Sunday, 27 April 2025
NEWS

ตำรวจภูธรภาค 1 แถลงผลล้างอาชญากรรม ต่างด้าวผิด กม. คริสต์มาส-ปีใหม่ 2568 (7วัน)

เมื่อวันที่ (24 ธ.ค.67) เวลา 10.30 น. พล.ต.ท.สุรพล เปรมบุตร ผบช.ภ.1 พร้อมคณะฯ และผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดในสังกัด ภ.1 ได้ร่วมแถลงผลการระดมกวาดล้างอาชญากรรม และแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย ห้วงเทศกาลคริสต์มาสและวันหยุดยาวปีใหม่ 2568 ระหว่างวันที่ 17-23 ธ.ค.67 (7วัน) ณ  ลานฝึกยุทธวิธีปราบไพรีอริศัตรูพ่าย ภ.1

วันที่ 25 ธ.ค.67 เป็นวันคริสต์มาส และระหว่างวันที่ 28 ธ.ค.67-วันที่ 1 ม.ค.68  เป็นวันหยุดยาวช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568  ซึ่งเป็นช่วงที่ประชาชนมีการเฉลิมฉลอง มีกิจกรรมจัดกิจกรรมที่สร้างความสนุกสนาน และบางส่วนเดินทางกลับภูมิลำเนา หรือไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ  ในช่วงดังกล่าวมักเป็นโอกาสที่มิจฉาชีพ ใช้ประโยชน์จากความประมาทและความรีบเร่งของผู้คน ในการก่อเหตุอาชญากรรมในรูปแบบต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงได้ออกมาตรการเข้ม และกำชับหน่วยต่าง ๆ ให้ถือปฏิบัติ ดังนี้ 

1.ให้ทุกหน่วยระดมกวาดล้างอาชญากรรมก่อนช่วงวันคริสต์มาสและวันหยุดยาวปีใหม่ 2568 ระหว่างวันที่ 17-23 ธ.ค.67 ทั้งความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทั่วไป เช่น การพนัน ยาเสพติด อาวุธปืน แรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย และความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี รวมทั้งตรวจสอบติดตามจับกุมบุคคลตามหมายจับค้างเก่า

2.กวดขันจับกุมผู้ยิงปืนขึ้นฟ้า ผู้เล่นดอกไม้เพลิง พลุ ประทัด และปล่อยโคมลอย ในลักษณะที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญ หรือในลักษณะที่น่าจะเป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือรบกวนการจราจรทางอากาศ, ป้องกันปราบปรามการแข่งรถในทางการรวมกลุ่มหรือมั่วสุมออกเดินทาง, ป้องกันและแก้ไขปัญหาเหตุทะเลาะวิวาทในสถานพยาบาล และกลุ่มวัยรุ่นต่างๆ

3.เพิ่มวงรอบตรวจตราแหล่งมั่วสุม สวนสาธารณะ สถานบริการ สถานบันเทิง สถานีขนส่ง โรงแรม แหล่งท่องเที่ยว เพื่อป้องกันการทำผิดกฎหมายทุกประเภท รวมทั้งป้องกันการโจรกรรมลักทรัพย์ในเคหสถานของประชาชน 

4.ให้ดำเนินการตาม “โครงการร่วมใจดูแลความปลอดภัยบ้านประชาชนช่วงเทศกาลสำคัญ (ฝากบ้าน 4.0)” รับฝากบ้านประชาชน ระหว่างวันที่ 21 ธ.ค.67-วันที่ 2 ม.ค.68 (13 วัน)

5.มาตรการอำนวยความสะดวกด้านการจราจร ให้มีการจัดตั้ง “ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568” ควบคุมเข้มข้นตั้งแต่วันที่ 20 ธ.ค.-วันที่ 9 ม.ค.68 (21 วัน) และให้ทุกหน่วยเพิ่มความเข้มในการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อมุ่งเน้นการลดอุบัติเหตุทางถนน ตามมาตรการ 10 ข้อหาหลัก โดยเฉพาะข้อหาเมาแล้วขับ กรณีเกิดอุบัติเหตุให้มีการตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ทุกราย ตรวจสอบประวัติการทำผิดซ้ำ หากผู้ขับขี่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี มีปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือดเกิน 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ ให้ถือว่าเมาสุรา และให้มีการสอบสวนขยายผลเพื่อดำเนินคดีกับผู้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามกฎหมาย

สำหรับผลการระดมกวาดล้างอาชญากรรม และแรงงานต่างด้าว ของตำรวจภูธรภาค 1 ในระหว่างวันที่ 17-23 ธ.ค.68 (7 วัน) ดังนี้ 
1.จับกุมคดีอาวุธปืนได้รวม 170 กระบอก เป็นปืนไม่มีทะเบียน 97 กระบอก และมีทะเบียน 73 กระบอก 
2.จับกุมคดียาเสพติดได้รวม 1,189 ราย ผู้ต้องหา 1,191 คน ของกลางยาบ้ารวม  1,032,963 เม็ด ยาไอซ์ 1,594 กรัม ตรวจยึดทรัพย์สิน 22,184,829 บาท
3.จับกุมแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายได้รวม 1,110 ราย 
4.จับกุมหมายจับค้างเก่าได้รวม 615 คน 
5.จับกุมคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้รวม 354 ราย ผู้ต้องหา 354 คน อายัดทรัพย์สินได้รวม 1,325,800 บาท  
รวมจับกุมทุกข้อหา 3,876 ราย ผู้ต้องหา 3,968 คน

ตำรวจภูธรภาค 1 จะดำเนินการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมและอำนวยความสะดวกด้านการจราจรในพื้นที่รับผิดชอบ ในช่วงวันคริสต์มาส และเทศกาลปีใหม่ 2568 อย่างจริงจังเข้มข้น และขอประชาสัมพันธ์ไปยังพี่น้องประชาชนในเรื่องที่สำคัญ  ดังนี้

1.โครงการฝากบ้านไว้กับตำรวจ 4.0  ได้เปิดรับฝากบ้านระหว่างวันที่ 21 ธ.ค.67-วันที่ 2 ม.ค.68 (รวม 13 วัน) เพื่อดูแลความปลอดภัยของบ้านเรือนประชาชนในช่วงวันหยุดยาว โดยมีขั้นตอนที่จะฝากบ้านกับตำรวจ 2 วิธี คือ เดินทางไปแจ้งความประสงค์ที่สถานีตำรวจ หรือลงทะเบียนผ่านแอพพลิเคชั่น “ฝากบ้าน 4.0 (OBS)” สามารถดาวน์โหลดได้ทั้งจากระบบ IOS และ Andriod  ซึ่งขณะนี้มีประชาชนในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 1 ฝากบ้านไว้กับตำรวจแล้วรวม 116 หลัง

2.ด้านการป้องกันภัยจากอาชญากรรมออนไลน์ ขอให้ไม่หลงเชื่อข้อความหลอกลวงต่างๆ อย่าคลิกลิงก์จากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ ไม่ดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ หลีกเลี่ยงการให้ข้อมูลส่วนตัวกับคนแปลกหน้า  และขอแนะนำให้ประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสาร การประชาสัมพันธ์ เพื่อรู้เท่าทันภัยออนไลน์ ผ่านช่องทางต่างๆ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อาทิ www.เตือนภัยออนไลน์.com เฟซบุ๊กแฟนเพจ : ตำรวจไซเบอร์ - บช.สอท., ตำรวจสอบสวนกลาง, สืบนครบาล IDMB เป็นต้น และหากพี่น้องประชาชนถูกมิจฉาชีพหลอกลวงในคดีออนไลน์ หรือต้องการคำปรึกษา หรือสอบถามเกี่ยวกับคดีออนไลน์ ขอให้โทรติดต่อที่สายด่วน 1441 ของศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (ศูนย์ AOC) ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือแจ้งความผ่านระบบรับแจ้งความออนไลน์ ได้ที่เว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th

การป้องกันและลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุทางถนน ขอให้ตรวจสอบสภาพรถก่อนเดินทาง ขับขี่ด้วยความเร็วที่กฎหมายกำหนดและเหมาะสมกับสภาพการจราจร ไม่ใช้โทรศัพท์ในขณะขับรถ ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยเด็ดขาด และปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด

รพ.เมตตาฯ แนะฉลองปีใหม่ ไม่กินของแปลก เลี่ยงอาหารปรุง สุกๆ ดิบๆ ป้องกันพยาธิขึ้นตา

(26 ธ.ค. 67) กรมการแพทย์ โดยรพ.เมตตาฯ ขอร่วมส่งความสุขต้อนรับเทศกาลปีใหม่ที่กำลังจะมาถึง ด้วยการมอบสุขภาพดวงตาที่ดีให้คงอยู่คู่กับสุขภาพทางกายโดยเตือน ระวัง! ไม่รับประทานอาหารปรุง สุกๆ ดิบๆ พยาธิอาจจะเข้าสู่ระบบประสาท เช่น สมอง ไขสันหลัง หรือดวงตา อาการเจ็บป่วยจะขึ้นอยู่กับตำแหน่งของอวัยวะที่พยาธิอยู่ เช่น พยาธิขึ้นตา ทำให้เกิดอาการ  ตามัวลงแบบเฉียบพลัน รักษาโดยการผ่าตัดนำพยาธิออก อาจสูญเสียการมองเห็นจนถึงตาบอดได้

นายแพทย์ไพโรจน์  สุรัตนวนิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผย โรคที่เกิดเนื่องจากพยาธิต่างๆ ในคนไทยเป็นภาวะที่พบได้บ่อยในไทย อาการ เช่น เปลือกตาบวม กระจกตาบวม ความดันตาสูง ปวดตา ตามัว จนถึงตาบอด ขึ้นอยู่กับพยาธิอยู่ส่วนใดของตา จึงขอเตือนประชาชนที่นิยมกินอาหารแปลกๆ สุกๆ ดิบๆ หรือปรุงประกอบไม่ถูกหลักสุขอนามัย อาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคที่จะเกิดขึ้นตามมาได้ เป็นวิธีการป้องกันการเกิดโรคได้ง่ายที่สุดเพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ ด้วยการมีสุขภาพอนามัยที่ดีให้แก่พี่น้องประชาชน

นายแพทย์อาคม  ชัยวีระวัฒนะ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์(วัดไร่ขิง) กล่าวว่า เทศกาลปีใหม่กำลังใกล้เข้ามาแล้ว เป็นช่วงเวลาที่ดีที่จะมอบสุขภาพที่ดีไม่ว่าจะเป็นสุขภาพทางกายและสุขภาพดวงตาให้กับตัวเราได้ด้วยการใส่ใจในเรื่องการรับประทานอาหารที่ถูกสุขอนามัย เนื่องในปัจจุบันมีคอนเทนต์การกิน ของแปลกๆในโลกโซเชียล ที่เกี่ยวกับการรับประทานสัตว์น้ำจืดดิบๆ เช่น กุ้ง หอย ปู ปลา ฯลฯ ที่เสี่ยงต่อโรคที่อาจจะตามมาในภายหลังได้นั้น กรมการแพทย์โดย รพ.เมตตาฯ แนะนำว่าการป้องกันการเกิดโรคนั้นเป็นวิธีที่ดีที่สุด และป้องกันได้ง่ายโดยการไม่กินอาหารพวกเนื้อสัตว์สุกๆ ดิบๆ เช่น กุ้งเต้น กุ้งแช่น้ำปลา เป็นต้น

แพทย์หญิงอรวีณัฏฐ์  นิมิตวงศ์สกุล  หัวหน้าศูนย์ตาปลอม กล่าวเสริมว่า พยาธิขึ้นตาทำให้เกิดอาการตามัว  ตาพร่าเลือน อาจมีการอักเสบในช่องหน้าลูกตา ทำให้ม่านตาอักเสบและตามัวลง การรักษา คือ ยิงเลเซอร์ไปที่ตัวพยาธิไม่ให้สามารถเคลื่อนไหว ก่อนผ่าตัดนำเอาพยาธิออก ซึ่งตามปกติพยาธิจะอาศัยอยู่ในหลอดเลือดแดงของปอดหนู  ซึ่งพยาธิออกมากับขี้หนู และไชเข้าไปในกลุ่มหอยน้ำจืด หอยบก หอยทาก กุ้งและปูน้ำจืด นอกจากนี้ยังอาจปนเปื้อนมากับ  น้ำดื่มหรือผักผลไม้ พยาธิเข้าตามาทางเส้นประสาทตาและไชเข้าตาทะลุจากจอตาขึ้นมาในช่องหน้าลูกตา ความเสียหายหรือการฟื้นการมองเห็นขึ้นกันเส้นทางที่พยาธิไชมาว่าทำความเสียหายในกับส่วนไหนของลูกตาบ้าง แนะนำควรทำการรักษาต่อเนื่องเพื่อเช็คร่างกายอย่างละเอียดว่าพยาธิมีเพิ่มเติมในตำแหน่งอื่นของร่างกายอีกหรือไม่จึงฝากเตือนในเรื่องของการรับประทานอาหารควรหมั่นล้างมือให้สะอาดก่อนรับประทานอาหาร ไม่แนะนำทานอาหารสุกๆ ดิบๆ ให้ทานเฉพาะอาหารที่ปรุงสุกและสด สะอาดเท่านั้น เพราะพยาธิในที่อาศัยอยู่ตามสัตว์น้ำจืด เมื่อเข้าสู่ร่างกายอาจเป็นอันตราย และหากพยาธิเข้าไปอยู่ตามจุดสำคัญในร่างกาย เช่น ระบบประสาท สมอง ไขสันหลัง อาจจะถึงขั้นรุนแรงถึงเสียชีวิตได้

กทม.ประกาศ 'ห้ามจุดพลุ' ฉลองปีใหม่ เว้นขออนุญาต ฝ่าฝืนโทษหนักทั้งจำคุก-ปรับ

ผู้ว่าฯกทม.ประกาศ ‘ห้ามจุดพลุ’ ฉลองปีใหม่ ยกเว้นได้รับอนุญาต ฝ่าฝืนเจอโทษหนักจำคุกไม่เกินสามปี-ปรับไม่เกินหกหมื่นบาท

เมื่อวันที่ (25 ธ.ค. 67) ที่ศาลาว่าการ กทม. นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม.ได้ลงนามประกาศมาตรการป้องกันอันตรายในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2568 เนื่องด้วยในช่วงเทศกาลปีใหม่ของทุกปีเป็นช่วงที่มีวันหยุดติดต่อกันหลายวัน ประชาชนส่วนใหญ่เดินทางกลับภูมิลำเนาต่างจังหวัด เพื่อร่วมเฉลิมฉลองในเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่

รวมทั้งประชาชนบางส่วนนิยมที่จะออกเดินทางไปท่องเที่ยวตามงานเทศกาล สถานบันเทิงและสถานบริการต่างๆ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร บ้านเรือนที่อยู่อาศัยจึงถูกทิ้งไว้ไม่มีผู้ดูแล ทำให้มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดเหตุสาธารณภัย หรืออุบัติภัยเพิ่มสูงขึ้นกว่าช่วงปกติ อาทิ ภัยจากการคมนาคม อาชญากรรม เหตุการณ์ความไม่สงบ การแพร่ระบาดของโรคติดต่อ เนื่องจากมีประชาชนมาร่วมงานจำนวนมากทำให้สถานที่จัดงานมีความแออัด

อีกทั้งงานเทศกาลและสถานบันเทิงบางแห่งมีการจัดงานเฉลิมฉลอง จุดพลุ หรือดอกไม้เพลิง ประกอบกับเป็นช่วงฤดูหนาว สภาพอากาศแห้งและแล้ง จึงมีความเสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัยได้ง่าย ซึ่งอาจทำให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่กรุงเทพฯ

ดังนั้นเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมในการป้องกันและลดความเสี่ยงอันตรายที่อาจเกิดขึ้น จึงอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 มาตรา 32 และมาตรา 23 วรรคสอง (1) ขอความร่วมมือจากผู้จัดงานเทศกาลปีใหม่ สถานประกอบการสถานบันเทิง ประชาชน รวมถึงผู้ผลิต สะสม จำหน่ายผู้เล่นดอกไม้เพลิงและโคมลอยในพื้นที่เขตกรุงเทพฯ ดังนี้

1.กรุงเทพมหานคร เตรียมความพร้อมและกำหนดแผนปฏิบัติการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในช่วงเทศกาลปีใหม่ของกรุงเทพมหานคร ประจำปี พ.ศ.2568 และจัดตั้งศูนย์ติดตามสถานการณ์กรุงเทพมหานคร (ศตส.กทม.) ในช่วงเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ ประจำปี 2568 จากหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อเฝ้าระวังความปลอดภัยให้กับชุมชนที่มีความเสี่ยงหรือพื้นที่ล่อแหลมสูง

โดยเฉพาะจุดเสี่ยงอุบัติเหตุ จุดเสี่ยงอาชญากรรม ตรวจสอบตรวจตราสถานประกอบการ สถานบันเทิงที่มีการจัดงานหรือกิจกรรม เพื่อวางแผนออกแบบมาตรการจัดกิจกรรมอย่างปลอดภัย กำหนดรูปแบบและลักษณะการใช้ประโยชน์พื้นที่เส้นทางหรือจุดเข้าออกพื้นที่จัดงานอย่างเข้มงวด และอำนวยความสะดวกด้านการจราจรตามสถานที่ต่างๆ ตลอดระยะเวลาจัดงาน โดยประสานงานกับหน่วยแพทย์ฉุกเฉิน พร้อมเฝ้าระวังดูแลในพื้นที่ที่มีคนหนาแน่นโดยใช้กล้อง CCTV

รวมถึงการตรวจตราสถานประกอบการที่ผลิต สะสม และจำหน่ายดอกไม้เพลิง สำหรับสถานที่ซึ่งได้รับอนุญาตให้จำหน่ายดอกไม้เพลิงต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การควบคุมและกำกับดูแลการค้าดอกไม้เพลิงตามประกาศกระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงแรงงาน กระทรวงอุตสาหกรรม

เรื่องหลักเกณฑ์การควบคุมและการกำกับดูแลการผลิต การค้าการครอบครอง การขนส่งดอกไม้เพลิงและวัตฤที่ใช้ในการผลิตดอกไม้เพลิง อย่างเคร่งครัด เพื่อให้เกิดความเป็นระเบียบเรียบร้อย และความปลอดภัยสูงสุดแก่ประชาชน

2.ขอความร่วมมือสถานประกอบการ สถานบันเทิง ผู้จัดงานและเจ้าของพื้นที่จัดงาน วางแผนการบริหารจัดการพื้นที่ และแผนงานรองรับความปลอดภัย พร้อมตรวจสอบความปลอดภัยทางกายภาพ หากพบจุดเสี่ยงอันตรายหรืออุปกรณ์ที่ชำรุดเสียหายให้ดำเนินการแก้ไขให้มีความปลอดภัยหรือประสานผู้รับผิดชอบดำเนินการทันที อาทิ ระบบป้องกันอัคคีภัยให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน ประตูทางเข้า-ออก ถังดับเพลิง ระบบสัญญาณเตือนภัย ระบบไฟฟ้าสำรอง ป้ายบอกเส้นทางหนีไฟต้องติดตั้งอยู่ในตำแหน่งที่มองเห็นได้ชัดเจนไม่มีสิ่งกีดขวางตลอดเส้นทาง และสามารถเปิดออกสู่ภายนอกได้อย่างทันที ตลอดจนกำหนดเส้นทางเข้า-ออกที่ชัดเจน จำกัดจำนวนคนภายในงานให้สอดคล้องกับขนาดและสภาพพื้นที่จัดงาน

เพื่อป้องกันความหนาแน่นแออัด และสื่อสารประชาสัมพันธ์ให้ผู้ใช้บริการทราบขั้นตอนการปฏิบัติเมื่อต้องอพยพผู้ใช้บริการกรณีเกิดสถานการณ์ฉุกเฉิน กรณีเหตุเพลิงไหม้หรือเหตุสาธารณภัยอื่นๆ ให้แจ้งสายด่วน โทร. 199 ได้ทันที ตลอด 24 ชั่วโมง และให้ประสานงานกับสำนักงานเขตอย่างใกล้ชิด

3.แจ้งเตือนประชาชน กรณีวางแผนเดินทางออกต่างจังหวัดขอให้ตรวจสอบสายไฟ ปลั๊กไฟและอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ หากพบความชำรุดให้แก้ไขทันที ปิดสวิตซ์ ดึงปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกครั้งเมื่อไม่ใช้งานหรือก่อนออกจากเคหสถาน

รวมถึงกำชับบุตรหลานไม่ให้เล่นไม้ขีดไฟหรือไฟแช็ก และควรเก็บวัสดุที่ติดไฟได้ง่ายให้อยู่ในที่ปลอดภัย พร้อมจัดหาอุปกรณ์ป้องกันอัคคีภัย ศึกษาวิธีการใช้งานอุปกรณ์ดังกล่าวเมื่อเกิดอัคคีภัย ตลอดจนดูแลบำรุงรักษาให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอเพื่อความปลอดภัยและรณรงค์ให้ประชาชน ลด เลิกการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ภายใต้แนวคิด “ ขับไม่ดื่ม ดื่มไม่ขับ กลับบ้านปลอดภัย” เพื่อความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนทั้งผู้ขับขี่และผู้สัญจรร่วมทาง หากพบผู้บาดเจ็บหรือเจ็บป่วยฉุกเฉิน แจ้งศูนย์เอราวัณ 1669 

4.ห้ามมิให้ผู้ใดจุดและปล่อย หรือกระทำการอย่างใด เพื่อให้บั้งไฟ พลุ ตะไล โคมลอย โคมไฟ โคมควัน หรือวัตถุอื่นใดที่คล้ายคลึงกันขึ้นไปสู่อากาศ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากผู้อำนวยการเขตพื้นที่นั้น หากผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเป็นความผิดตามกฎหมาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ทั้งนี้ ผู้ประสงค์จะขอจุดและปล่อยหรือกระทำการอย่างใด เพื่อให้บั้งไฟ พลุ ตะไล โคมลอย โคมไฟ โคมควัน หรือวัตถุอื่นใดที่คล้ายคลึงกันขึ้นไปสู่อากาศ ให้ยื่นแบบคำขอรับใบอนุญาตพร้อมแผนการป้องกันอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้น พร้อมเอกสารที่เกี่ยวข้องต่อผู้อำนวยการเขตพื้นที่ และห้ามมิให้ผู้ใดทำ สั่ง นำเข้า หรือค้าซึ่งดอกไม้เพลิง รวมถึง พลุ ประทัดไฟ ประทัดลม และวัตถุอื่นใด อันมีสภาพคล้ายคลึงกัน เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่

สำหรับผู้ใดฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือน หรือปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ยกระดับคุณภาพชีวิตเยาวชนในถิ่นทุรกันดารภาคเหนือ – อีสาน อย่างยั่งยืนต่อเนื่อง เดินสายมอบจักรยาน หน้ากากอนามัย อุปกรณ์กีฬาให้กับ 95 โรงเรียนในพื้นที่ชนบท รวมงบประมาณกว่า 3 ล้านบาท 

ระหว่างวันที่ 19 พฤศจิกายน - 27 ธันวาคม 2567 มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดย นายวิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการมูลนิธิฯ ห่วงใยเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร มอบหมายให้ ฝ่ายสังคมสงเคราะห์ นำโดย นางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ จัดทีมลงพื้นที่โรงเรียนชนบท มอบจักรยาน และอุปกรณ์กีฬา ให้แก่นักเรียนประสบปัญหาในการเดินทางมาโรงเรียนในพื้นที่จังหวัดทางภาคเหนือ และอีสาน ประกอบด้วย จังหวัดนครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี กำแพงเพชร ตาก พิษณุโลก นครสวรรค์ อุทัยธานี ลำปาง พะเยา เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ชัยภูมิ เลย หนองบัวลำภู อุดรธานี และขอนแก่น รวม 19 จังหวัด 95 โรงเรียน เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักเรียนที่ประสบปัญหาในการเดินทางมาโรงเรียน รวมถึงเป็นการแบ่งเบาภาระค่าพาหนะแก่ผู้ปกครองได้อีกทางหนึ่ง อีกทั้งยังเสริมสร้างให้นักเรียนได้ออกกำลังกายเรียนรู้กฎจราจร รวมถึงการแบ่งปัน การดูแลรักษาสาธารณสมบัติร่วมกัน โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานรัฐแต่ละแห่งเป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย เยาวชน และผู้แทนจากสถาบันการศึกษาในแต่ละแห่ง เป็นผู้รับมอบ

สำหรับโครงการจักรยานเพื่อน้องสัญจร ในปี พ.ศ.2567 นี้ มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้คัดเลือกโรงเรียนในพื้นที่จังหวัดทางภาคเหนือ และภาคอีสาน ที่มีนักเรียนประสบปัญหาในการเดินทางมาโรงเรียน รวมจำนวน 100 แห่ง ดำเนินการมอบรถจักรยานขนาด 20 และ 24 นิ้ว รวม 2,000 คัน , หน้ากากอนามัย จำนวน 50,000 ชิ้น อุปกรณ์กีฬา จำนวน 100 ชุด และค่าพาหนะเดินทางแก่โรงเรียนๆละ 2,000 บาท รวมคิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น จำนวน 3,195,000 บาท (สามล้านหนึ่งแสนเก้าหมื่นห้าพันบาทถ้วน) 

ตลอดระยะเวลากว่า 114 ปีที่ผ่านมา มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง  ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลาย ๆ ทาง รวมถึงการส่งเสริมด้านการศึกษา เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ต่อไป

ติดตามข่าวสาร และกิจกรรมงานสาธารณกุศลมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งได้ที่ เว็บไซต์ www.pohtecktung.org และ เฟซบุ๊ก แฟนเพจ www.facebook.com/atpohtecktung 

“มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต”

#แอปพลิเคชัน และ #สายด่วน ป่อเต็กตึ๊ง1418
#ช่วยจริงอุ่นใจแม้ในนาทีฉุกเฉิน

พังงา-จัดกิจกรรมรำลึกครบรอบ 20 ปี สึนามิถล่มพื้นที่ฝั่งอันดามัน เพื่อไว้อาลัยให้แก่ผู้เสียชีวิต-ผู้ที่สูญหาย

(26 ธ.ค.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่อนุสรณ์สถานสึนามิบ้านน้ำเค็ม ต.บางม่วง อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา มีการจัดกิจกรรมรำลึกครบรอบ 20 ปี ในวันที่ 26 ธ.ค. จากกรณีเหตุการร์คลื่นยักษ์สึนามิพัดถล่ม 6 จังหวัดอันดามัน ภูเก็ต พังงา กระบี่ ระนอง ตรัง สตูล เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.2547 ที่ผ่านมา โดยมีนายศิวัชฐ์ ระวังกุล นายอำเภอตะกั่วป่า ได้เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย นายธงชัย หันช่อ นายก อบต.บางม่วง นายมนัสศักดิ์ ยวนแก้ว ผู้ใหญ่บ้าน ม.2 บ้านน้ำเค็ม เครือข่ายผู้ประสบภัยสึนามิ และประชาชนในพื้นที่เข้าร่วมทำกิจกรรมครบรอบ 20 ปี รำลึกสึนามิ ในครั้งนี้ ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นได้ทำให้มีผู้เสียชีวิต และสูญหายจำนวนมาก รวมทั้งบ้านเรือนประชาชน ห้างร้าน สถานประกอบการต่างๆ ได้รับผลกระทบ

นางสาววรรณวิสา นนทอง ชาวบ้านบ้านน้ำเค็ม อายุ 37 ปี 12/11  ม.2 ต.บางม่วง อ.ตะกั่วป้า จ.พังงา กล่าวว่า จากวันนั้นจนถึงวันนี้ ยังคงจดจำไม่มีลืมเลือนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้สูญเสียคนในครอบครัวถึง 3 คน ความรูสึกยังคงระลึกถึงบุคคลที่จากไปเสมอ ส่วนการตื่นตัวกับเหตุการณ์ภัยพิบัติคลื่นยักษ์สึนามิ ก็ได้มีการหาความรู้ โหลดแอพเกี่ยวกับแผ่นดินไหว และในพื้นที่เองก็ยังมีการซ้อมแผนหนีภัยอย่างต่อเนื่อง จึงเพิ่มความมั่นใจในการใช้ชีวิตกว่าช่วงแรกๆที่เกิดเหตู

สำหรับจังหวัดพังงา เป็นอีกจังหวัดหนึ่งที่ได้รับความเสียหาย มีผู้เสียชีวิต และทรัพย์สินเสียหายจำนวนมาก โดยทาง จ.พังงา ได้กำหนดจัดให้มีกิจกรรมเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นประจำทุกปี การยืนไว้อาลัยให้แก่ผู้เสียชีวิต วางดอกไม้ไว้อาลัย ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา 3 ศาสนา พุทธ คริสต์ และอิสลาม แก่ผู้ล่วงลับและสูญหาย ซึ่งปัจจุบันได้ฟื้นฟูจนกลับคืนสู่สภาพปกติ โดยไม่มีเค้าโครงภาพการสูญเสียปรากฏให้เห็น แต่ยังคงมีอนุสรณ์สถานสึนามิในหลายพื้นที่ที่ยังเป็นเครื่องเตือนใจถึงเหตุการณ์ความรุนแรงจากภัยธรรมชาติในครั้งนั้น ซึ่งในแต่ละปีจะมีกิจกรรมการรำลึกให้ญาติของผู้ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ธรณีพิบัติภัยสึนามิ ได้ร่วมไว้อาลัย ณ สถานที่ต่างๆ ซึ่งการจัดงานรำลึกสึนามิในครั้งนี้ จะเป็นคุณูปการต่อสาธารณชนในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงนักท่องเที่ยวเองก็จะเข้าร่วมงานรำลึกสึนามิเป็นประจำตลอดทุกปี

โดยปีนี้จะมีการจัดงานครบรอบ 20 ปี สึนามิขึ้นจำนวน 5 จุด ได้แก่ บริเวณเรือตรวจการณ์บุเรศผดุงกิจ (ต.813) พื้นที่ ต.คึกคัก บริเวณอนุสรณ์สถานสึนามิบ้านน้ำเค็ม ต.บางม่วง พิพิธภัณฑ์สึนามิบ้านน้ำเค็ม ต.บางม่วง โรงแรมเขาหลัก แมริออท บีช รีสอร์ท แอนด์ สปา ต.บางม่วง และบริเวณสุสานผู้ประสบภัยสึนามิ บ้านบางมรวน (บาง-มะ-รวน) ต.บางม่วง

'พิชัย' มอบรางวัล Prime Minister’s Export Award 2024 ให้กับ 41 สุดยอดผู้ส่งออกไทย ขอบคุณสร้างเงินเข้าประเทศเพื่อคนไทยร่วม 43,000 ล้านบาท ในปี 67

(26 ธ.ค.67) นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้รับมอบหมายจากนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้เป็นประธานในพิธีมอบรางวัล Prime Minister’s Export Award 2024 หรือ รางวัลผู้ประกอบธุรกิจส่งออกดีเด่นประจำปี 2567 ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล โดยมีนายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ นางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐ-เอกชน ผู้ประกอบการส่งออกไทย ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 32 ภายใต้แนวคิด “Forward and Beyond, The Power of Perfection: ก้าวล้ำสู่สากล สร้างพลังสู่ความสำเร็จ” สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของผู้ประกอบการไทยในการยกระดับมาตรฐานสินค้าและบริการสู่ระดับสากล  ถือเป็นรางวัลเกียรติยศสูงสุดระดับประเทศสำหรับผู้ประกอบการส่งออกของไทย โดยปีนี้ มีผู้ประกอบการได้รับรางวัลรวมทั้งสิ้น 41 รางวัล จาก 7 สาขา ครอบคลุม 39 บริษัท จาก 25 จังหวัดทั่วประเทศ 

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านการส่งออก โดยดำเนินนโยบายเชิงรุกในการขยายตลาดการค้าไปยังกลุ่มเป้าหมายใหม่ อาทิ สหภาพยุโรป ตะวันออกกลาง อินเดีย แอฟริกา และอเมริกาใต้ ควบคู่ไปกับการรักษาและพัฒนาตลาดเดิม รวมถึงประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมโยงทางการค้าในภูมิภาคให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น สำหรับรางวัล PM’s Export Award  ถือเป็นรางวัลสูงสุดที่มอบให้แก่ผู้ประกอบการทั้งสินค้าและบริการประเภทต่างๆ รางวัลนี้ยังมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีให้กับผู้ประกอบการที่มีส่วนช่วยขับเคลื่อนการส่งออกของประเทศ พร้อมทั้งกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาสินค้าและบริการ ให้มีคุณภาพสูงและเป็นที่ยอมรับในระดับสากล 

ด้านนางสาวสุนันทา กังวาลกุลกิจ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ได้มอบรางวัล Prime Minister’s Export Award อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 32 นับตั้งแต่ปี 2535 เป็นรางวัลสำหรับผู้ประกอบการส่งออกที่ประสบความสำเร็จสูงสุด เพื่อสร้างการรับรู้และการจดจำภาพลักษณ์สินค้าและบริการไทยที่มีความโดดเด่นในมิติต่างๆควบคู่กับการบริหารจัดการองค์กรและการตลาด พัฒนากระบวนการผลิตที่มีคุณภาพและมาตรฐานในระดับสากล ให้เกิดความเชื่อมั่นและความไว้วางใจในกลุ่มผู้บริโภคในต่างประเทศต่อสินค้าและบริการที่มาจากประเทศไทยมากยิ่งขึ้น ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มีผู้ประกอบการที่ได้รับรางวัลนี้และยังคงดำเนินธุรกิจถึง 333 บริษัท รวม 879 รางวัล

โดยในปีนี้ มีผู้ประกอบการเข้าร่วมโครงการในประเภทรางวัลต่างๆ รวมทั้งสิ้น 150 ราย ผ่านการพิจารณาคัดเลือกและตัดสินให้เข้ารับรางวัลทั้ง 7 สาขา รวม 41 รางวัล 39 บริษัท จาก 25 จังหวัดทั่วประเทศ ประกอบด้วย
 
1. รางวัลผู้ประกอบธุรกิจส่งออกยอดเยี่ยม Best Exporter จำนวน 9 รางวัล 
2. รางวัลแบรนด์ไทยยอดเยี่ยม Best Thai Brand จำนวน 5 รางวัล 
3. รางวัลผู้ส่งออกยอดเยี่ยมด้านความยั่งยืน (Best Green & Sustainable Exporter) จำนวน 9 รางวัล 
4. รางวัลออกแบบยอดเยี่ยม (Best Design) จำนวน 8 รางวัล 
5. รางวัลธุรกิจบริการยอดเยี่ยม (Best Service Enterprise) ประกอบด้วย สาขาโรงพยาบาล/ศูนย์การแพทย์เฉพาะทาง/คลินิกเฉพาะทาง (Health & Wellness) สาขาดิจิทัลคอนเทนท์และซอฟท์แวร์ (Digital Content & Software) และสาขาธุรกิจสิ่งพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ (Printing and Packaging) รวมจำนวน 3 รางวัล
6. รางวัลสินค้าหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ยอดเยี่ยม (Best OTOP) จำนวน 3 รางวัล 
7. รางวัลสินค้าฮาลาลยอดเยี่ยม (Best Halal) รวมจำนวน 4 รางวัล 

“ท่านนายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญกับการส่งออก ประเทศเราต้องพึ่งส่งออกแต่ทำอย่างไรจะส่งออกได้มากขึ้น การไปสู้กับคนทั้งโลกไม่ง่าย พวกท่านมีความกล้าหาญ มีความสามารถมาก และปีนี้การส่งออกไทยดีมาก เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ขยายตัว 8.2% เดือนตุลาคมขยาย 14.6% โดย 11 เดือนที่ผ่านมา การส่งออกไทยขยายตัว 5.1% เราไม่เห็นตัวเลข 5% มาเป็น 10 ปีแล้ว ดีใจที่เราสามารถขยายตลาดส่งออกได้ จากที่โตแค่ 1.9% มาเป็น 10 ปี 

กระทรวงพาณิชย์เรามีหน้าที่ส่งเสริมพวกท่าน ผมได้ให้นโยบาย 80:20 นั่นคือ 80% ในการส่งเสริมพวกท่านผู้ส่งออกให้มีความสามารถในการแข่งขัน ให้ส่งออกได้มากขึ้น และอีก 20% จะคอยตรวจสอบดูว่ามีสินค้าไม่มีคุณภาพ มีนอมินีไหม ก่อนหน้านี้ผมได้เดินทางไปญี่ปุ่นก็มีนักลงทุนจากญี่ปุ่นให้ความสนใจที่จะมาลงทุนในไทย และญี่ปุ่นมีแผนลงทุนด้านเซมิคอนดักเตอร์ถึง 10 ล้านล้านเยน หรือ 2.2 ล้านล้านบาท และได้หารือกับนักการเมืองระดับสูงของญี่ปุ่น หวังว่าไทยจะเป็นซัพพลายเชนให้กับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์จากญี่ปุ่น 

และเรื่องการเจรจา FTA ล่าสุดเรากำลังจะได้ลงนาม FTA กับเอฟตา ที่เมืองดาววอส สวิตเซอร์แลนด์ ที่เป็นส่วนหนึ่งของยุโรป ประชากรมีรายได้ต่อหัวสูงมาก ถัดจากนี้กำลังดำเนินการกับอีกหลายประเทศ อาทิ  อียู เกาหลีใต้ ยูเออี และยูเค เป็นต้น เพื่อให้พวกท่านส่งออกสินค้าได้ง่ายขึ้น มีอาวุธเพิ่มเติมแข่งขันได้ และผมจะเดินทางไปอเมริกา เพื่อไปเจรจาไม่ให้ขึ้นกำแพงภาษีกับเรา รัฐบาลและกระทรวงพาณิชย์เราทำงานกันเชิงรุก จะส่งเสริมให้ผู้ประกอบการคนรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพใช้ Thailand brand by….(ชื่อบริษัท) ช่วยการันตีให้ผู้ซื้อ ซื้อของได้อย่างสบายใจ ถ้าพวกท่านประสบความสำเร็จประเทศชาติก็สำเร็จไปด้วย“ นายพิชัย กล่าว

โดยผู้ที่ได้รับรางวัล Prime Minister’s Export Award ประจำปี 2567 นับว่ามีบทบาทสำคัญในการสร้างรายได้จากการส่งออกให้แก่ประเทศ โดยในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 (มกราคม - ตุลาคม) มีมูลค่าการส่งออกรวมประมาณ 43,207 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของรางวัล Prime Minister’s Export Award ในการยกระดับภาพลักษณ์ของประเทศผ่านสินค้าและบริการของไทยให้เป็นที่ยอมรับในตลาดสากล และมีส่วนเพิ่มมูลค่าการส่งออกของประเทศอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน นอกจากนี้ ยังช่วยสนับสนุนการจ้างงานในประเทศไม่น้อยกว่า 22,700 ราย

สำหรับผู้ที่สนใจสามารถค้นหาข้อมูลช่องทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ pmaward.ditp.go.th หรือ โทรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 0 2136 5226, 0 2507 8260

เปิดวิธีสมัคร ‘โครงการฝากบ้านกับตำรวจ’ ช่วยเพิ่มความปลอดภัย - เที่ยวสุขใจ เทศกาลปีใหม่ 68

เมื่อวันที่ (25 ธ.ค. 67) นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์  รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 68 รัฐบาลห่วงใยประชาชน พร้อมดูแลความปลอดภัย และทรัพย์สินในช่วงเทศกาล โดยขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ออกมาตรการเข้มป้องกัน ปราบปรามอาชญากรรม ดูแลชีวิตและทรัพย์สินของพี่น้องประชาชนช่วงเทศกาลคริสต์มาส – ปีใหม่ 68 และดำเนินโครงการ “ฝากบ้านกับตำรวจ “ยุคใหม่ใส่ใจดูแล ซึ่งเป็นโครงการร่วมใจดูแลความปลอดภัยบ้านประชาชนช่วงเทศกาลสำคัญ”  ทั้งนี้ ประชาชนสามารถฝากบ้านได้ตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 2 ม.ค.68 ผ่าน 2 ช่องทาง  ดังนี้

1.แจ้งผ่านออนไลน์ แอปพลิเคชัน ฝากบ้าน 4.0 (OBS) โหลดผ่าน App Store หรือ Googlr play Store เท่านั้น โดยลงทะเบียน ข้อมูลผู้เข้าร่วมโครงการ ใส่รายละเอียด ภาพถ่าย และโลเคชัน พร้อมกับแจ้งสถานีตำรวจใกล้บ้าน แสดงบัตรประชาชนผู้แจ้ง และแนบภาพถ่ายบ้านและโลเคชัน

นายอนุกูล กล่าวด้วยว่า ขอแนะนำ 10 สิ่งต้องทำเมื่อฝากบ้านกับตำรวจ ดังนี้ 1.เตรียมบัตรประชาชน ประสาน สน. / สภ.ผ่านช่องทาง ฝากบ้านกับตำรวจ 2.กรอกแบบฟอร์มยืนยัน แนบภาพถ่ายบ้าน 3.ก่อนออกเดินทางสำรวจทรัพย์สินมีค่า จัดเก็บในที่ปลอดภัย 4.ก่อนออกเดินทางสำรวจไฟฟ้า ธูป เทียน แก๊ส 5.สำรวจความเรียบร้อยของประตู – หน้าต่าง 6. หากติดตั้งกล้องวงจรปิด  ตรวจสอบให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน 7.ฝากบ้านข้างเคียงช่วยดูแลเป็นหู เป็นตา 8.ติดตามการอัปเดตข้อมูลรายงาน “ฝากบ้าน” จากตำรวจเสมอ 9. กรณีกลับบ้านล่าช้าเกินเวลาที่ฝากบ้าน แจ้งให้ตำรวจรับทราบ และ 10.เมื่อเดินทางกลับมาแล้วให้รีบแจ้งตำรวจไปพบเพื่อตรวจสอบทรัพย์สิน

“ก่อนออกเดินทางแนะประชาชนสำรวจทรัพย์สินมีค่า จัดเก็บในที่ปลอดภัย สำรวจไฟฟ้า ธูป เทียน แก๊ส และความเรียบร้อยของประตู – หน้าต่าง หากติดกล่องวงจรปิดไว้ ตรวจสอบให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน ติดตามการอัปเดตข้อมูลรายงาน “ฝากบ้าน” จากตำรวจเสมอ กรณีกลับบ้านล่าช้าเกินเวลาที่ฝากบ้าน แจ้งให้ตำรวจทราบ เมื่อเดินทางกลับมาแล้วให้รีบแจ้งตำรวจเพื่อตรวจสอบทรัพย์สิน คริสต์มาส – ปีใหม่ 68 นี้ ขอให้ประชาชนเดินทางท่องเที่ยวปลอดภัย หากเกิดเหตุด่วนขอความช่วยเหลือโทร 191 หรือ 1599 ตลอด 24 ชม.” นายอนุกูล ระบุ

เชียงใหม่-กองบิน 41 จัดตั้งหน่วยบริการประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ ประจำปี 2568

(26 ธ.ค.67) นาวาอากาศเอก ปรธร จีนะวัฒน์ ผู้บังคับการกองบิน 41 เป็นประธานในพิธีเปิดหน่วยบริการประชาชนช่วงเทศกาลปีใหม่ ประจำปี 2568 โดยมีหัวหน้าหน่วยขึ้นตรง กองบิน 41 ร่วมพิธี ณ สถานีบริการเชื้อเพลิงสวัสดิการ กองบิน 41

ทั้งนี้ กองบิน 41 ได้จัดตั้งจุดบริการประชาชน ภายใต้ชื่อ 'ขับขี่ปลอดภัย เมืองไทยไร้อุบัติเหตุ' ช่วงเทศกาลปีใหม่ประจำปี 2568 เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชน รวมถึงเพื่อช่วยลดปัญหาอุบัติเหตุทางถนนให้สอดคล้องกับสถานการณ์และช่วงเวลาในการเดินทางของประชาชน ทั้งนี้ การดำเนินงานตั้งจุดบริการประชาชนในช่วงเทศกาลปีใหม่ มุ่งลดปัจจัยเสี่ยงอุบัติเหตุทางถนน 

โดยมาตรการลดปัจจัยเสี่ยงด้านต่าง ๆ ได้แก่ การช่วยกวดขันความพร้อมของผู้ขับขี่ การตรวจสภาพความปลอดภัยของยานพาหนะ การบริการเครื่องดื่ม การบริการทางการแพทย์ เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้เดินทางในช่วงเทศกาลปีใหม่อย่างปลอดภัย เต็มเปี่ยมด้วยความสุขและมีความปลอดภัยตลอดช่วงเทศกาล

นายกรัฐมนตรีเปิดนิทรรศการของขวัญปีใหม่ พ.ศ.2568 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ 5 โครงการเพื่อความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยว 

(26 ธ.ค.67) เวลา 09.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ให้การต้อนรับ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางมาเป็นประธานเปิดนิทรรศการของขวัญปีใหม่ พ.ศ.2568 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่มอบให้แก่ประชาชน ณ บริเวณห้องโถง ชั้น 1 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมีจเรตำรวจแห่งชาติ , รอง ผบ.ตร. , ผู้ช่วย ผบ.ตร. และข้าราชการตำรวจในสังกัด ร่วมต้อนรับ 

ทั้งนี้ ของขวัญปีใหม่ พ.ศ.2568 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่มอบให้แก่ประชาชน จำนวน 5 โครงการ ได้แก่

1. โครงการ Cyber Check : เป็นแอปพลิเคชันที่จะช่วยคัดกรองมิจฉาชีพจากเบอร์โทรปริศนาที่โทรเข้ามา รวมทั้งใช้ตรวจสอบเลขบัญชีธนาคารก่อนจะโอนเงิน โดยใช้ฐานข้อมูลโดยตรงจากระบบรับแจ้งความออนไลน์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

2. โครงการพัฒนาเพิ่มประสิทธิภาพการรับแจ้งเหตุฉุกเฉิน นักท่องเที่ยว ผ่านแอปพลิเคชัน Thailand Tourist Police : แอปพลิเคชันแนะนำข้อมูลข่าวสารแก่นักท่องเที่ยวในการท่องเที่ยวประเทศไทยอย่างปลอดภัย ให้นักท่องเที่ยวสามารถติดต่อตำรวจท่องเที่ยว แจ้งเหตุฉุกเฉิน และแชร์โลเคชันแบบออนไลน์ เพื่อรับความช่วยเหลือจากตำรวจท่องเที่ยวได้อย่างทันท่วงที

3. โครงการบูรณาการระบบบริหารรับแจ้งเหตุนักท่องเที่ยว 1155 และศูนย์ประสานงานการแก้ไขปัญหานักท่องเที่ยวแบบรวมศูนย์ : เมื่อนักท่องเที่ยวต้องการความช่วยเหลือ หรือแจ้งเหตุฉุกเฉิน สามารถประสานผ่านตำรวจท่องเที่ยว หมายเลข 1155 พร้อมกับนำเทคโนโลยีมาปรับใช้ในการดูแลความปลอดภัยแก่นักท่องเที่ยว และการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการร่วมในการรักษาความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว ซึ่งจะเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวเกี่ยวกับมาตรฐานด้านความปลอดภัยในการดูแลและช่วยเหลือนักท่องเที่ยว การปฏิบัติการฉุกเฉิน 

4. โครงการส่วนลดพิเศษสำหรับที่พัก The Cop Hotel and Villa Pattaya : สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีที่พักติดทะเล ริมถนนใหญ่ในพื้นที่ ต.บางละมุง อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ซึ่งเปิดให้ข้าราชการตำรวจและประชาชนทั่วไปสามารถเข้าพักได้ ในราคาพิเศษ

5. โครงการห้องพักทั่วไทย จากใจตำรวจทางหลวง 205 แห่ง ทั่วประเทศ : ตำรวจทางหลวงมีการให้บริการสำหรับผู้เดินทางในช่วงเทศกาลปีใหม่ สามารถพักผ่อนระหว่างการเดินทางไกลอย่างปลอดภัย ณ 205 หน่วยบริการตำรวจทางหลวง เข้าพักได้ตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคม 2567 ถึง 10 มกราคม 2568 รวมทั้งมีจุดกางเต็นท์สำหรับสายแคมป์ปิ้ง โดยบริการฟรีทั่วประเทศ

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี ขอขอบคุณสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ได้มอบของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชน และขอบคุณเจ้าหน้าที่และตำรวจทุกนายที่ได้ร่วมกันทำงานขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาลที่ผ่านมา ขอให้ช่วยกันปฏิบัติหน้าที่ ตรวจตรา ดูแลรักษาความปลอดภัยและการจราจรในช่วงเทศกาลปีใหม่ต่อไป

'พล.ต.อ.กรไชยฯ' เยี่ยมตำรวจ 2 นายที่ได้รับบาดเจ็บจากการเข้าปิดล้อมจับกุมผู้ต้องหายิงภรรยาเสียชีวิต

เมื่อวานนี้ (25 ธ.ค.67) เวลา 16.00 น. พล.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางไปเยี่ยมข้าราชการตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บจากการปฏิบัติหน้าที่ จากเหตุการณ์ปิดล้อมจับกุมผู้ต้องหาที่ อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา จำนวน 2 นาย ได้แก่ ด.ต.วิสุทธิ์ชัย ฉวีเวช และ ด.ต.กิตติศักดิ์ สุขประเสริฐ ผบ.หมู่ กก.ปพ.บก.สส.ภ.1

จากกรณีนางจิตรา อายุ 46 ปี ถูกนายวสันต์ อายุ 51 ปี สามี ใช้อาวุธปืนยิงเสียชีวิตภายในบ้าน ต.โคกข้าง อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา สาเหตุมาจากความหึงหวง หลังก่อเหตุนายวสันต์ได้หลบหนีไป ต่อมาพนักงานสอบสวนสอบสวน สภ.บางไทร ได้ขอศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยาออกหมายจับนายวสันต์ ในข้อกล่าวหาฆ่าคนตายโดยเจตนา จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจพบเบาะแสที่คาดว่านายวสันต์หลบซ่อนตัวอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง หมู่ 3 ต.โคกช้าง อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งห่างจากจุดเกิดเหตุ 600 เมตร พล.ต.ต.โชติวัตน์ เหลืองวิลัย ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จึงนำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ. บางไทร , สภ.ช้าง และชุดสืบสวน ตำรวจภูธรจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กว่า 50 นาย ปิดล้อมบ้านหลังดังกล่าว ปรากฏว่านายวสันต์ ได้ชักปืนยิงเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงเกิดการยิงโต้ตอบ สุดท้ายนายวสันต์ ถูกยิงเสียชีวิต และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 นาย คือ ด.ต.วิสุทธิ์ชัยฯ และ ด.ต.กิตติศักดิ์ฯ ได้รับบาดเจ็บ นำส่งโรงพยาบาลบางไทร และส่งต่อมารักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจ 

พล.ต.อ.กรไชยฯ กล่าวว่า ได้กำชับให้ดูแลข้าราชการตำรวจที่บาดเจ็บทั้ง 2 นาย และดูแลสิทธิประโยชน์อย่างเต็มที่ ทั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติพิจารณาจัดสนับสนุนเครื่องมือ อุปกรณ์ ยุทโธปกรณ์ ที่จะนำมาใช้ในการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพ สามารถป้องกันอันตรายแก่ชีวิตของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ ควบคู่กับการฝึกปฏิบัติทางยุทธวิธี ซึ่งจะนำไปสู่การดูแลประชาชนที่มีประสิทธิภาพต่อไป 

(สุรินทร์) พลเอก ธงชัย รอดย้อย เสนาธิการทหารบก ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมกองกำลังสุรนารีและอำนวยพรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 2568 

เมื่อวานนี้ (25 ธ.ค. 67) พลเอก ธงชัย รอดย้อย เสนาธิการทหารบก ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมกำลังป้องกันชายแดน และอำนวยพรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 2568 เพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้กับกำลังพลที่เสียสละปฏิบัติหน้าที่ป้องกันอธิปไตยของชาติ ณ กองบัญชาการกองกำลังสุรนารี อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ โดยมี พลตรี นรธิป โพยนอก รองแม่ทัพภาคที่ 2 พลตรี สมภพ ภาระเวช  ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี พลตรี ไชยนคร  กิจคณะ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 ผู้บังคับหน่วยขึ้นตรง/หน่วยขึ้นควบคุมทางยุทธการ และกำลังพลของกองกำลังสุรนารี ร่วมให้การต้อนรับ  

ในโอกาสนี้ ได้พบปะกำลังพล อวยพรปีใหม่ และมอบของขวัญปีใหม่เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้กับกำลังพลที่เสียสละปฏิบัติหน้าที่ป้องกันอธิปไตยของชาติตามแนวชายแดน จังหวัดบุรีรัมย์ จังหวัดสุรินทร์ และจังหวัดศรีสะเกษ และได้เน้นย้ำให้ทุกภาคส่วนปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้มแข็ง โดยเฉพาะช่วงเทศกาลปีใหม่ ขอให้ดูแลรักษาความปลอดภัยให้ประชาชน เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ให้แก่ประชาชนทุกคน สุดท้าย ได้อ่านสารอวยพรปีใหม่ พุทธศักราช 2568 ของ พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการกองทัพบก ความว่า “เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2568 ผมขอส่งความปรารถนาดี และความห่วงใยมายังเพื่อนทหารและตำรวจตระเวนชายแดนทุกท่าน ที่ได้ยึดมั่นในอุดมการณ์ และปฏิบัติการกิจหลักในการป้องกันประเทศได้อย่างดียิ่ง การปฏิบัติการกิจในรอบปีที่ผ่านมาทุกท่านเป็นกำลังสำคัญที่ได้ทุ่มเท เสียสละ  แรงกาย แรงใจ ปกป้องเอกราช อธิปไตย และรักษาดำรงไว้ซึ่งผลประโยชน์ของชาติ ตลอดจนสนับสนุนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนา และแก้ไขปัญหาสำคัญของประเทศชาติ ทำให้ภารกิจทุกด้านสำเร็จลุล่วงเป็นผลดีต่อส่วนรวม อีกทั้งสามารถเสริมสร้างความมั่นคงในพื้นที่ชายแดนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก่อให้เกิดการยอมรับเชื่อมั่น ศรัทธาในการปฏิบัติหน้าที่ของกองทัพบกที่พร้อมเป็นหลักด้านความมั่นคงให้กับประเทศชาติ ผมขอชื่นชม และขอขอบคุณทุกท่านมา ณ โอกาสนี้ 

สำหรับในปีพุทธศักราช 2568 กองทัพบกจะต้องเตรียมการทุกด้าน เพื่อให้พร้อมต่อการเปลี่ยนผ่านไปสู่อนาคต ในการเป็นกองทัพบกที่มีศักยภาพ ทันสมัย เป็นที่เชื่อมั่นของประชาชน และเป็นหนึ่งในกองทัพบกชั้นนำของภูมิภาค 

โดยการเตรียมกำลังและการใช้กำลังอย่างประสานสอดคล้องเสริมสร้างความรู้ และทักษะ ให้กับกำลังพลที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ ให้มีความเข้าใจแนวทางการปฏิบัติงานทั้งมิติด้านความมั่นคง และมิติด้านการพัฒนา พร้อมกับปรับปรุงแผนปฏิบัติทางทหารให้มีความทันสมัยและสอดคล้องกับสภาพแวดล้อม มีการพัฒนาด้านการข่าว การเฝ้าตรวจ และเสริมสร้างความมั่นคงปลอดภัยในพื้นที่ชายแดน 

โดยบูรณาการร่วมกับมิตรประเทศ เหล่าทัพ และทุกภาคส่วน เพื่อรองรับภัยคุกคาม  และสถานการณ์ด้านความมั่นคงทุกรูปแบบ ผมขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่าน ปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายอย่างเข้มแข็งควบคู่กับการสร้างความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินของประชาชน โดยน้อมนำพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มายึดถือปฏิบัติพร้อมแก้ไขในสิ่งผิด และพัฒนาตนเองให้เป็นทหารอาชีพที่มีความแข็งแกร่งทั้งร่างกาย และจิตใจ มีระเบียบ วินัย มีความซื่อสัตย์สุจริต ดำรงตนอยู่บนความไม่ประมาทและคำนึงความปลอดภัยในการปฏิบัติหน้าที่ตลอดจนยึดมั่นในอุดมการณ์ และจุดยืนของกองทัพบก ที่มุ่งมั่นปฏิบัติหน้าที่เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และประชาชนตลอดไป

เชียงใหม่-เปิดปฏิบัติการทะลายรังผลิตชิ้นส่วนอาวุธปืนเถื่อนส่งขายออนไลน์

ตำรวจภูธรภาค 5 ,ศปอส.ภ.5, บก.สส.ภ.5 เปิดปฏิบัติการทะลายรังผลิตชิ้นส่วนอาวุธปืนเถื่อนส่งขายออนไลน์ 2 จุด รวบ 2 ผู้ต้องหา พร้อมตรวจยึดชิ้นส่วนอาวุธปืนและเครื่องมือการผลิตกว่า 100 รายการ

โดยการอำนวยการ : พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.พิเชษฐ จีระนันตสิน รอง ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.นพดล กรึงไกร รอง ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยง รอง ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.ธนะรัชต์ ชุ่มสวัสดิ์ รอง ผบช.ประจำฯ ช่วยราชการ ภ.5, พล.ต.ต.วรพงศ์ คำลือ ผบก.สส.ภ.5, พล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ ,พล.ต.ต.ดเรศ  กัลยา ผบก.ภ.จว.น่าน, พ.ต.อ.จิตรพิสุทธิ์ อิ่มสงวน รอง ผบก.สส.ภ.5  และ พ.ต.อ.วชิรศักดิ์ ศรีประสม รอง ผบก.สส.ภ.5เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจับกุม ตำรวจภูธรภาค 5

โดย เจ้าหน้าที่ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศตำรวจภูธรภาค 5 (ศปอส.ภ.5) ,เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สส.ภ.5เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ปัว จว.น่าน, สภ.สันป่าตอง จว.เชียงใหม่,ผู้ต้องหา รวมจำนวน 2 ราย นายสนธยา สงวนนามสกุล อายุ 52 ปี ที่อยู่ ต.สกาด อ.ปัว จว.น่าน นายอัศวิน สงวนนามสกุล อายุ 35 ปี ที่อยู่ ต.บ้านกลาง อ.สันป่าตอง จว.เชียงใหม่

ฐานความผิด “ทำ ประกอบ มี หรือจำหน่ายอาวุธปืน หรือเครื่องกระสุนปืนสำหรับการค้าโดยไม่ได้รับอนุญาต” (ตามหมายจับของศาลจังหวัดเชียงใหม่) สถานที่จับกุม บริเวณบ้านพัก ต.สกาด อ.ปัว จว.น่าน และ ต.บ้านกลาง อ.สันป่าตอง จว.เชียงใหม่ ทำการตรวจยึด อุปกรณ์การผลิตชิ้นส่วนอาวุธปืนกว่า 100 รายการ พฤติการณ์แห่งการจับกุม เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2567 เวลา 08.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ PCT ภาค 5 และ บก.สส.ภ.5  ได้เปิดปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้นร่วมจับกุมแหล่งผลิตชิ้นส่วนอาวุธปืนเถื่อนในพื้นที่ 2 จังหวัด 

จุดที่ 1 สามารถจับกุม  นายสนธยา (สงวนนามสกุล) อายุ 52 ปี ในพื้นที่  ต.สกาด อ.ปัว จว.น่าน พร้อมตรวจยึดโทรศัพท์มือถือ จำนวน 3 เครื่อง ,ชุดลั่นไก จำนวน 3 ชิ้น, เสื้อปืน จำนวน 5 ชิ้น ,แม็กกาซีนปืนสีดำ ใช้กับกระสุนปืนขนาด .22 มม.จำนวน 5 ชิ้น และกล่องส่งพัสดุสำหรับรับ-ส่งสินค้า จำนวน 1 ชิ้น และจุดที่ 2 สามารถจับกุม นายอัศวิน (สงวนนามสกุล) อายุ 35 ปี  ในพื้นที่  ต.บ้านกลาง อ.สันป่าตอง จว.เชียงใหม่ 

พร้อมของตรวจยึดอุปกรณ์ผลิตชิ้นส่วนอาวุธปืน ได้แก่ท่อนเหล็ก 5 เส้น, ตู้เชื่อมไฟฟ้า จำนวน 1 เครื่อง,โต๊ะเลื่อยฉลุ จำนวน 1 เครื่อง ,เครื่องเชื่อมไฟฟ้า  จำนวน 1 เครื่อง , สว่านไฟฟ้า จำนวน 2 เครื่อง , สว่านไขควงไฟฟ้า จำนวน 1 เครื่อง ,หินเจีย จำนวน 1 เครื่อง , อุปกรณ์เครื่องมืออื่นๆ ที่ใช้ในการผลิตชิ้นส่วนอาวุธปืน รวมกว่า 100 ชิ้น โดยบุคคลทั้ง 2 ราย เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดเชียงใหม่ ในฐานความผิด “ทำ ประกอบ มี หรือจำหน่ายอาวุธปืน หรือเครื่องกระสุนปืนสำหรับการค้าโดยไม่ได้รับอนุญาต” 

สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ตำรวจภูธรภาค 5 (PCT ภาค 5) ได้ทำการสืบสวนกลุ่มคนที่มีพฤติกรรมจำหน่ายอาวุธปืนหรือส่วนประกอบอาวุธปืนเถื่อนรายใหญ่ ในพื้นที่  จว.น่าน และ จว.เชียงใหม่  จนทราบว่าผู้ต้องหาทั้งสองได้ใช้บ้านพักของตนเป็นที่ตั้งและผลิตชิ้นส่วนอาวุธปืนเถื่อน ได้แก่ชุดลั่นไกปืน, ชุดลูกเลื่อน เสื้อปืน, แม็กกาซีนปืน ฯลฯ โดยมีที่ตั้งอยู่ที่ ต.สกาด อ.ปัว จว.น่าน และ ต.บ้านกลาง อ.สันป่าตอง จว.เชียงใหม่ 

โดยนำไปโพสต์ขายออนไลน์ จึงได้ทำการสืบสวนจนทราบที่ตั้งและแหล่งผลิตทั้ง 2 จุด และรวบรวมพยานหลักฐานขอศาลอนุมัติหมายจับบุคคลทั้งสอง ในเวลาต่อมาศาลจังหวัดเชียงใหม่ได้อนุมัติหมายจับ และได้ศาลอนุมัติหมายค้นในเวลาต่อมาจึงได้ทำการตรวจค้น ผลการตรวจค้นพบ ชิ้นส่วนอาวุธปืน และอุปกรณ์การผลิตชิ้นส่วนอาวุธปืนกว่า 100 รายการ รับมีรายได้หลายหมื่นบาทต่อเดือน 

จากการขยายผลพบว่า นายสนธยาฯ ได้ผลิตชุดลั่นไก ชุดลูกเลื่อน เพื่อประกอบเป็นอาวุธปืนโดยมีเครื่องมือการผลิตอยู่ที่บ้านพักแล้วโพสต์ประกาศขายในเฟซบุ๊กจำนวน 6 กลุ่ม ซึ่งมีสมาชิกติดตามกว่า  30,000 คน จากการตรวจสอบข้อมูลการซื้อขาย พบว่ามีรายได้กว่า 40,000 บาท ต่อเดือน โดยทำมาแล้วประมาณเกือบ 2 ปี  ส่วนนายอัศวินฯ ได้ผลิตชุดลั่นไก เพื่อประกอบเป็นอาวุธปืนโดยมีเครื่องมือการผลิตอยู่ที่บ้านพักแล้วโพสต์ประกาศขายในเฟซบุ๊กจำนวน 3 กลุ่ม มีสมาชิกติดตามกว่า 30,000 คน จากการตรวจสอบข้อมูลการซื้อขาย พบว่ามีรายได้กว่า 10,000 บาท ต่อเดือน โดยทำมาแล้วประมาณ 4 เดือน ซึ่งมีลูกค้าที่ซื้อชิ้นส่วนอาวุธปืนจากผู้ถูกจับทั้งสองไปแล้วกว่า 500 ราย ซี่งชุดจับกุมอยู่ระหว่างสืบสวนขยายผลต่อไป

ตำรวจภูธรภาค 5 ขอแจ้งเตือนประชาชน กรณีการซื้ออาวุธปืน ต้องได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ให้ซื้ออาวุธปืน หากไม่ดำเนินการให้ถูกต้องจะเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ พ.ศ.2490 การซื้อ ขายการครอบครองชิ้นส่วนอาวุธปืน อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตอาวุธปืน ล้วนเป็นความผิดตามกฎหมายทั้งสิ้น  

จึงขอประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้เข้าใจและคอยสอดส่องดูแลทำความเข้าใจโดยเฉพาะเด็กและเยาวชน ถึงโทษตามความผิดทางกฎหมาย และอันตรายที่จะเกิดขึ้นจากการใช้อาวุธปืนโดยไม่ได้มีการศึกษาหรือฝึกฝนและอยู่ในการควบคุมดูแลที่ถูกต้อง

‘อ.ต่อตระกูล’ ประกาศเลิกดูรายการ ‘เจาะลึกทั่วไทย’ หลัง ‘หมาแก่’ บอกเสียดาย ‘กิตติรัตน์’ ไม่ได้เป็น ปธ.บอร์ดแบงก์ชาติ

(25 ธ.ค. 67) รองศาสตราจารย์ ต่อตระกูล ยมนาค นายกสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ อดีตอาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า... “หมาแก่” ช่อง อสมท. ( MCOT 30 ) ออกมาประกาศ ช่วยสนับสนุน กิตติรัตน์ เป็นประธานแบงก์ชาติ โดยเอ่ยคำว่า “เสียดาย กิตติรัตน์” (ถ้าไม่ได้เป็น ประธานบอร์ดแบงก์ชาติ )

และก็ได้เผยแพร่ เอกสารสำคัญ เป็นคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ แต่งตั้ง นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ให้เป็น ประธานที่ปรึกษา ของนายกรัฐมนตรี เศรษฐา ทวีสิน ลงวันที่ 14 กันยายน 2567

และรายชื่อ 830 บุคคลที่เป็นที่เชื่อถือในวงการวิชาการ ซึ่งรวมทั้งอดีตผู้ว่าฯธนาคารแห่งประเทศไทย อีกถึง 4 คนด้วย

ถึงผมจะไม่ได้ ไปลงชื่อใน 830 รายชื่อนั้นด้วย แต่ก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง ในเหตุผลต่างๆที่เหล่าผู้ทรงคุณวุฒิ และวิชาการสายเศรษฐศาสตร์ ได้อธิบายถึงเหตุผลต่างๆ อื่นๆอีกหลายประการ ในการคัดค้าน นอกเหนือจากการที่นายกิตติรัตน์ มีตำแหน่งทางการเมือง

ผมขอแสดงตน ว่าร่วมการสนับสนุน การคัดค้านมิให้ผู้ที่ฝักใฝ่ในการเมืองใดๆ เข้ามารับตำแหน่งสำคัญของประเทศใน ธนาคารชาติ 

โดย หากมีการชุมนุมคัดค้านอีกเมื่อใด ผมจะขอเดินออกจากบ้านไปแสดงตนร่วมคัดค้านต่อไปจนถึงที่สุด

สำหรับวันนี้ 25 ธค 2567 จะเป็นวันสุดท้ายที่ผมขอประกาศเลิกดูรายการ “เจาะลึกทั่วไทย” ยุค ทักษิณ เริงอำนาจ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

เชียงใหม่ - บรรยากาศรับสมัครเลือกตั้ง นายกอบจ.เชียงใหม่ คึกคักท่ามกลางกองเชียร์ ที่มาให้กำลังใจผู้สมัครตั้งแต่เช้า 

(25 ธ.ค. 67) การรับสมัคร นายก อบจ.เชียงใหม่  และสมาชิก ส.อบจ เชียงใหม่ วันแรกเป็นไปด้วยความคึกคัก ท่ามกลางบรรดากองเชียร์ของผู้สมัครแต่ละพรรคที่มาส่งแรงใจให้ผู้สมัครกันตั้งแต่เช้า โดยวันแรกมีว่าที่ผู้สมัครนายก  3 คน  ขณะที่ ผอ.กกต.เชียงใหม่ ตั้งเป้ามีผู้มาใช้สิทธิ์ 75 % 

เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2567 ที่ห้องประชุมสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งใช้เป็นสถานที่รับสมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ และสมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ วันแรกของการรับสมัคร บรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคัก ท่ามกลางบรรดากองเชียร์ของแต่ละพรรคที่มาคอยให้กำลังใจผู้สมัครตั้งแต่เช้า 

นายพิชัย เลิศพงษ์อดิศร แชมป์เก่าจากพรรคเพื่อไทย และ นายพันธุ์อาจ ชัยรัตน์ จากพรรคประชาชน มาถึงที่สมัครพร้อมกันก่อนเวลา 08.30 น. ซึ่งตกลงกันไม่ได้ จึงได้มีการจับสลากหมายเลขสมัคร   ปรากฏว่านายพิชัย เลิศพงษ์อดิศร ได้หมายเลขประจำตัวผู้สมัครหมายเลข 2, นายพันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ได้หมายเลขประจำตัวผู้สมัครหมายเลข 1 และผู้สมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 42 เขต ครบทั้ง 2 พรรค และพลตรี ดร.พนม ศรีเผือด ผู้สมัครอิสระ ได้หมายเลขประจำตัวผู้สมัครหมายเลข 3

โดยหลังเสร็จสิ้นการสมัครเรียบร้อยแล้ว ผู้สมัครนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่แต่ละรายได้มาพบปะบรรดากองเชียร์ และผู้สนับสนุน ที่มารอต้อนรับ ท่ามกลางเสียงเชียร์ดังสนั่น รวมถึงลงพื้นที่พบปะประชาชน ออกหาเสียง บรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคัก เป็นอย่างมาก

นายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร ผู้สมัครรับเลือกตั้งนายกอบจ.เชียงใหม่ หมายเลข 2 พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า
การเลือกตั้งนายกอบจ.เชียงใหม่ ครั้งนี้มีความมั่นใจ 100%ในผลงานเพราะตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมาได้สร้างผลงานและทำงานอย่างเต็มที่ มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ให้พี่น้องประชาชนนำไปประกอบการพิจารณาว่าควรจะมาเป็นนายกอบจ.เชียงใหม่ สมัยที่ 2 ต่ออีกหรือไม่ ซึ่งตามกฎหมายในขณะนี้ได้ไม่เกิน 2 สมัย มีความมั่นใจในตัวเองและทีมงาน ทั้ง ทีม ส.อบจ.ลงครบทุกเขต 42 เขต 25 อำเภอ
    
ซึ่งการเลือกตั้งครั้งนี้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีจะมาเป็นผู้ช่วยหาเสียงให้ผมด้วย ซึ่งการเลือกตั้งนายกอบจ.เชียงใหม่ครั้งก่อนอดีตนายกฯทักษิณอยู่ต่างประเทศก็ใช้วิธีวิดีโอคอลมาช่วยหาเสียงให้ แต่ครั้งนี้อดีตนายกฯทักษิณ จะมาขึ้นเวทีพบปะพี่น้องชาวเชียงใหม่ในทุกอำเภอ เชียงใหม่เป็นเมืองหลวงของพรรคเพื่อไทย และอดีตนายกฯทักษิณ สร้างผลงานไว้มากมายจึงทำให้ผมมั่นใจล้านเปอร์เซ็นต์ นายพิชัย กล่าว    

ประกอบกับกาคเลือกตั้งครั้งก่อนได้คะแนน 402,179 คะแนน ในการเลือกตั้งครั้งนี้ด้วยผลงานที่ทำมาตลอด 4 ปีที่ชาวเชียงใหม่เห็นเป็นที่ประจักษ์จึงทำให้มั่นใจว่าครั้งนี้
จะได้คะแนนเลือกตั้งตามทึ่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ 6 แสนคะแนน อยากให้เป็นประวัติศาสตร์การเลือกตั้งท้องถิ่น
ของอบจ.เชียงใหม่ 

เพราะก่อนนั้นในปี 2551-2557 ตนเป็นสมาชิกวุฒิสภา และมาลงสมัครรับเลือกตั้งได้เป็น นายกอบจ.เชียงใหม่ 4 ปี ลงพื้นที่ทุกอำเภอ อีกทั้งส.อบจ.เชียงใหม่ก็เข้มแข็ง มีจิตอาสาทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนต่อไป ซึ่งผลงานที่ชัดเจนเช่นการจัดสร้างสวนสาธารณะบนที่ดินการรถไฟ ซึ่งตอนที่เป็นนายกอบจ.เชียงใหม่ ได้ขอให้การรถไฟยกให้อบจ.เชียงใหม่ดูแลและจะมีการพัฒนาต่อไป 

รวมถึงสวนสาธารณะบริเวณด้านหลังศาลากลางจังหวัดเชียงใหม่ ก็ได้พัฒนาให้เป็นสวนอบจ.เชียงใหม่เป็นสถานที่พักผ่อน ออกกำลังกายและนันทนาการ มีการจัดงาน Charming Chiang Mai ซึ่งขณะนี้ก็ยังจัดอยู่มีคนมาเที่ยวชมสวนดอกไม้กว่า 3 ล้านคนและมีโครงการในด้านสาธารณสุขจะสร้างโรงพยาบาลอบจ.เชียงใหม่ ขนาด 200เตียง ซึ่งมีสถานที่ก่อสร้างและของบประมาณจากทางรัฐบาลเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นรูปธรรมแล้วพร้อมที่จะเข้ามาสานงานต่อในเรื่องนี้ต่อไป

ด้านนายพันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้สมัครรับเลือกตั้งนายกอบจ.เชียงใหม่ หมายเลข1 จากพรรคประชาชน กล่าวว่า การลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งนี้ ต้องบอกว่ามั่นใจสูง เพราะว่าพี่น้องประชาชนเชียงใหม่ก็อยากจะเห็นการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม คุณภาพชีวิตและมีประเด็นเรื่อง 3 ท. เรื่องความเท่าเทียมกัน ดูแลคนทุกคนทั่วถึง เชียงใหม่เป็นจังหวัดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ มีอำเภอถึง 25 อำเภอ จากแม่อายจนถึงอมก๋อยใช้เวลาเกือบ 10ชั่วโมง ในการเดินทาง เพราะว่ามีความไม่เท่าเทียมกันในการพัฒนา ก็อยากจะลดช่องว่างนี้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในระดับท้องถิ่น
   
นายนพดล สุยะ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ประจำจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า วันแรกมีผู้สมัคร นายก อบจ.เชียงใหม่ 3 คน และสมาชิก อบจ. สังกัดพรรคเพื่อไทย ครบ 42 คน 42 เขต สมาชิก อบจ. สังกัดพรรคประชาชน ครบ 42 คน 42 เขตเรียบร้อยแล้ว ส่วนพรรคอิสระยังมาไม่ครบ 

และจังหวัดเชียงใหม่มี  25 อำเภอ ประชากร 1 ล้าน 7 แสนคน เป็นผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปเป็นผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง 1,264,703 คน จำนวนครัวเรือน 559,541 ครัวเรือน มีหน่วยเลือกตั้ง 2,722 หน่วย 

คาดว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะมีผู้ออกมาใช้สิทธิ์ 75 เปอร์เซ็นต์ โดยการเลือกตั้งเมื่อ 4 ปีก่อน มีผู้ออกมาใช้สิทธิ์เพียง 72 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น

หนิง ปณิตา นำทีม Dr.master ปฏิวัติวงการสินค้าดูแลเส้นผม! ปั้น Creator ให้เป็น Hair Master ตัวจริง

"Dr.master" แบรนด์ที่มุ่งแก้ปัญหาเส้นผมของคนไทย ด้วยการยกระดับสมุนไพรไทยผ่านการวิจัยและพัฒนาจนพิสูจน์ได้จริง พร้อมความร่วมมือจาก โรงพยาบาลมาสเตอร์พีช (Masterpiece Hospital) ผู้เชี่ยวชาญอันดับต้นด้านการปลูกผมในประเทศไทย

Dr.master ตั้งเป้าหมายสร้างผลิตภัณฑ์ที่ไม่เพียงแต่ช่วยแก้ปัญหาเส้นผม แต่ยังให้ความรู้ที่ถูกต้องแก่ผู้ใช้งาน โดยมีการเปิดตัวในงาน "The Master of Hair Solutions" กับ 4 ผู้เชี่ยวชาญ
🌟 คุณดาว ลภัสรดา เลิศภานุโรจ
🌟 คุณหนิง ปณิตา พัฒนาหิรัญ
🌟 คุณภูริวัจน์ เสรีฐานุพัชร์
🌟 พญ.กุลธิดา ลุสวัสดิ์

4 ผลิตภัณฑ์ตัวเด่นที่ต้องลอง
✔️ Dr.master NewHair Shampoo: ต้านผมร่วง ผมหงอก ผมงอกใหม่แข็งแรง
✔️ Dr.master NewHair Conditioner: เติมความชุ่มชื้น นุ่มลึกถึงโคน
✔️ Dr.master HairVital Serum: กระตุ้นรากผม ลดการอักเสบ
✔️ Dr.master Nutri H Dietary: วิตามินบำรุงจากภายในสู่ภายนอก

💡 ส่วนผสมธรรมชาติคุณภาพสูง เช่น สมุนไพร วิตามิน และสารสกัดจากธรรมชาติ
📜 การันตีคุณภาพ จากงานวิจัยของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

"Dr.master" ช่วยให้ทุกคนดูแลเส้นผมได้อย่างมั่นใจ เหมือนมีผู้เชี่ยวชาญดูแลคุณที่บ้าน

🌟 ติดตามความเคลื่อนไหวได้ที่
Facebook: Dr.master Official
Instagram: @drmaster.official
TikTok: @drmaster.official
Line: @Dr.master


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top