Sunday, 18 May 2025
NEWS

กองกำลังสุรนารี จัดกิจกรรมแข่งขันกีฬาเชื่อมความสัมพันธ์ ระหว่าง 3 ประเทศ ตามโครงการ “หมู่บ้านเข้มแข็งคู่ขนานตามแนวชายแดน”

วันที่ 18 พฤษภาคม 2566 ที่ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี พลโท สวราชย์  แสงผล แม่ทัพภาคที่ 2  เป็นประธานมอบรางวัล กับ นักกีฬา 3 ประเทศ ในการแข่งขันกีฬาเชื่อมความสัมพันธ์ ระหว่าง 3 ประเทศ ตามโครงการ “หมู่บ้านเข้มแข็งคู่ขนานตามแนวชายแดน” โดยในช่วงเช้า มี พลตรี วีรยุทธ  รักศิลป์ ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี พลโท เจีย  โซะเพียะ รองผู้บัญชาการประจำยุทธการบริเวณด้านภูมิภาคทหารที่ 4 พื้นที่ 2 และท่าน อำนวย  สุริยการ รักษาการหัวหน้าแผนกการต่างประเทศ สาธารณรัฐประชาธิปไตย ประชาชนลาว ร่วมเป็นประธานเปิด กิจกรรมการแข่งขันกีฬาเชื่อมความสัมพันธ์ ระหว่าง 3 ประเทศ ตามโครงการ “หมู่บ้านเข้มแข็งคู่ขนานตามแนวชายแดน” โดยมี วัตถุประสงค์ เพื่อให้หน่วยทหาร และส่วนราชการด้านความมั่นคง รวมถึงประชาชนในโครงการ “หมู่บ้านเข้มแข็งคู่ขนานตามแนวชายแดน” ของทั้ง 3 ประเทศ ได้มีกิจกรรมร่วมกัน

เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่าง 3 ประเทศ โดยใช้กีฬาเป็นสื่อกลาง เพื่อส่งเสริมความมั่นคงตามแนวชายแดน ให้มีความยั่งยืน และมีเสถียรภาพ ซึ่งมีผู้เข้าร่วมการแข่งขัน จำนวน 240 คน มีส่วนราชการ และประชาชน จากประเทศไทย สาธารณรัฐประชาธิปไตย ประชาชนลาว และประเทศกัมพูชา มีการแข่งขันกีฬา 4 ประเภทกีฬา ประกอบไปด้วย ฟุตบอลชาย เปตอง วอลเล่ย์บอล และ กอล์ฟ VIP  แบ่งเป็น 4 ทีม  มี ทีมไทย (กองทัพภาคที่ 2 และกองกำลังสุรนารี) จำนวน 60 นาย ทีมไทย (ม.ราชภัฏอุบลราชธานี และส่วนราชการ) จำนวน 60 คน  ทีม สาธารณรัฐประชาธิปไตย ประชาชนลาว (แขวงจำปาสัก) จำนวน 60 คน และทีมประเทศกัมพูชา (ภูมิภาคทหารที่ 4 และ พลสนับสนุนที่ 3) จำนวน 60 คน 


ปุรุศักดิ์  แสนกล้า  ข่าว/ภาพ

ผบ.ทร.เป็นประธานกิจกรรมเทิดพระเกียรติ "พระอาจารย์พระองค์แรกของนักเรียนนายเรือ”  

พลเรือเอก เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานในกิจกรรมเทิดพระเกียรติ "พระอาจารย์พระองค์แรกของนักเรียนนายเรือ” โดยมีพลเรือโท ประวุฒิ รอดมณี ผู้บัญชาการโรงเรียนนายเรือ พร้อมด้วยนายทหารผู้ใหญ่ของโรงเรียนนายเรือ ให้การรับรอง และมีราชสกุลอาภากร สามสมอสมาคม สมาคมภริยาทหารเรือ นายทหารผู้ใหญ่ของกองทัพเรือ หัวหน้าหน่วยขึ้นตรงกองทัพเรือในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล ตลอดจนหัวหน้าส่วนราชการจังหวัดสมุทรปราการ และข้าราชการในสังกัดเข้าร่วมกิจกรรมฯ ณ โรงเรียนนายเรือ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อรำลึกถึงพระกรุณาคุณของพระองค์ท่าน ที่ทรงมีต่อโรงเรียนนายเรือ กองทัพเรือและประเทศชาติ

โดยมีกิจกรรมต่างๆ ดังนี้ เวลา 09.20 น.พิธีถวายสักการะ กล่าวสดุดี และร้องเพลงพระนิพนธ์จำนวน 3 เพลง(ดาบของชาติ เดินหน้า ดอกประดู่) เทิดพระเกียรติฯ ณ พระอนุสาวรีย์กรมหลวงชุมพรฯ  
เวลา 09.45 น.พิธีเปิด และชมนิทรรศการเทิดพระเกียรติกรมหลวงชุมพรฯ ในชื่อ“เสด็จเตี่ยของนักเรียนนายเรือ สืบสานคำสอนเสด็จเตี่ยจวบจนปัจจุบัน" เวลา 10.00 น. กิจกรรมเสวนา “เสด็จเตี่ยของนักเรียนนายเรือ” โดยมีผู้ให้ความรู้งานเสวนา ได้แก่ หม่อมราชวงศ์ อภิเดช อาภากร พลเรือเอก ไพโรจน์ แก่นสาร พลเรือเอก จุมพล ลุมพิกานนท์ และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ด็อกเตอร์ รังสิพันธุ์ แข่งขัน และมีคุณเบส อรพิมพ์ รักษาผล เป็นพิธีกรดำเนินการเสวนา ณ หอประชุมภูติอนันต์ โรงเรียนนายเรือ 

ทั้งนี้ ระหว่างวันที่ 16 -19 พฤษภาคม 2566 เวลา 08.30 น. -17.00 น. โรงเรียนนายเรือได้เปิดให้หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน นักเรียนนักศึกษา ตลอดจนประชาชนที่มีความสนใจเข้ามาสักการะพลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ และนิทรรศการเทิดพระเกียรติฯ  ตามห้วงเวลาดังกล่าว

โดยสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ กองกิจการพลเรือน กองบัญชาการโรงเรียนนายเรือ  โทร.02 475 7403 02 475 3963


นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน 0909535645

จันทบุรี-กองทัพเรือ ฝึกการสนธิกำลังดำเนินกลยุทธ์ด้วยกระสุนจริง เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถของกำลังรบจากเหล่าทัพต่าง ๆ อันจะนำไปสู่การวางแผนการใช้กำลังทางทหารและการปฏิบัติการรบร่วมที่มีประสิทธิภาพ

วันนี้ (18 พ.ค.66 ) ที่ สนามฝึกกองทัพเรือ หมายเลข 16 บ้านจันทเขลม (จัน-ทะ-เขม) อำเภอเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี พลเรือเอก เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ พร้อมคณะนายทหารระดับสูงของกองทัพเรือ ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมการฝึก ชมการสาธิตสนธิกำลังดำเนินกลยุทธ์ด้วยกระสุนจริง ในการฝึกกองทัพเรือ ประจำปี 2566 โดยมีพลเรือโท เผดิมชัย สุคนธมัต ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน,นายมนต์สิทธิ์ ไพศาลธนวัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี ตลอดจนข้าราชการระดับสูงในพื้นที่ ให้การต้อนรับ 

การตรวจเยี่ยมการฝึกของผู้บัญชาการทหารเรือ และคณะในวันนี้ นอกจากจะทำให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพเรือได้รับทราบรายละเอียดการปฏิบัติในการฝึก และทราบถึงขีดความสามารถ ตลอดจนความพร้อมในการปฏิบัติการของหน่วยต่าง ๆ ที่เข้ารับการฝึกแล้ว ยังเป็นแนวทางที่เปิดโอกาสให้ผู้ใต้บังคับบัญชาได้ใกล้ชิดผู้บังคับบัญชาชั้นสูง อันจะเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับกำลังพลที่เข้ารับการฝึกกองทัพเรือ ได้ตระหนักในหน้าที่หลัก ด้านการเตรียมความพร้อมของกำลังรบทางเรือเพื่อการป้องกันประเทศ โดยการพัฒนากำลังพลและระบบยุทโธปกรณ์ให้มีความพร้อมในการปฏิบัติการทางทหาร ในฐานะหน่วยงานหลักด้านความมั่นคงทางทะเลของประเทศไทย ในการเตรียมกำลังให้เกิดความพร้อม เพื่อปฏิบัติตามแผนป้องกันประเทศผ่านการฝึก ทั้งนี้ กองทัพเรือได้กำหนดให้หน่วยกำลังรบในทุกระดับ ดำเนินการเตรียมความพร้อมในระดับหน่วยตามความเชี่ยวชาญเฉพาะของกิจที่ได้รับ จนถึงการบูรณาการกำลังขนาดใหญ่เข้าด้วยกัน เพื่อฝึกการปฏิบัติการภายใต้สถานการณ์การฝึกตามแผนป้องกันประเทศในแต่ละด้านโดยกำหนดแนวคิดหลักอ้างอิงจากสถานการณ์ที่มีโอกาสเกิดขึ้นมากที่สุดไว้ในการฝึกกองทัพเรือประจำปี ซึ่งนอกจากจะเป็นการเตรียมความพร้อมของกำลังรบในการปฏิบัติการแล้ว การฝึกกองทัพเรือยังเป็นการทดสอบแผนการปฏิบัติระบบการควบคุมการบังคับบัญชา ระบบการสื่อสารและระบบการส่งกำลังบำรุงในภาพรวม ตลอดจนเป็นการทดสอบการปฏิบัติการร่วมระหว่างเหล่าทัพอีกด้วย รวมทั้งเพิ่มประสบการณ์ในเรื่องการจัดทำแผนการฝึกปัญหาที่บังคับการ การดำเนินกลยุทธ์ด้วยกระสุนจริง และการควบคุมบังคับบัญชา การประสานการยิงสนับสนุนอากาศ - พื้นดิน การติดต่อสื่อสาร การต่อต้านข่าวกรองของข้าศึก และการประสานการปฏิบัติร่วมกันให้มีความเข้าใจในหน้าที่ของกันและกัน โดยมีหัวข้อการฝึกที่สำคัญ คือ การฝึกแลกเปลี่ยน/ปรับมาตรฐาน (ปืนใหญ่) การฝึกแลกเปลี่ยน/ปรับมาตรฐาน (ทหารราบ) การฝึกยิงจรวดนำวิถี TOW การสนับสนุนทางอากาศ การส่งกลับสายแพทย์ และการฝึกดำเนินกลยุทธ์ด้วยกระสุนจริง ซึ่งกำลังที่เข้าร่วมฝึกจัดจาก กองพันทหารราบที่ 1 กองพันทหารราบที่ 6 กองพันรถถัง กองพันรถสะเทินน้ำสะเทินบก และกองพันลาดตระเวน ในสังกัดกองพลนาวิกโยธิน หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ประกอบด้วย กำลังทหารนาวิกโยธิน พร้อมยุทโธปกรณ์ อาทิ ปืนใหญ่ ขนาด 155 มม. ปืนใหญ่ขนาด 105 มม. ปืนต่อสู้อากาศยาน ขนาด 40/60 มม. ยานเกราะล้อยาง แบบ BRT รถสะเทินน้ำสะเทินบก (AAV) และรถฮัมวี่ติดจรวดนำวิถี TOW กำลังจากกองพันรักษาฝั่งที่ 12กรมรักษาฝั่งที่ 1 หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง พร้อมยุทโธปกรณ์ คือ ปืนใหญ่รักษาฝั่ง ขนาด 155 มม.

องคมนตรี เป็นประธานประสาทอนุปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษา วิทยาลัยชุมชนยะลา ประจำปีการศึกษา 2565

วันนี้ (18 พฤษภาคม 2566) ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา อำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา พลเอกกัมปนาท รุดดิษฐ์ องคมนตรี เป็นประธานในพิธีประสาทอนุปริญญาบัตรผู้สำเร็จการศึกษา ของวิทยาลัยชุมชนยะลา ประจำปีการศึกษา 2565

ซึ่งมีผู้สำเร็จการศึกษาของวิทยาลัยชุมชนจังหวัดยะลา จำนวน 346 คนจำแนกเป็นสาขาวิชาการจัดการ สาขาวิชาการปกครองท้องถิ่น สาขาวิชาการพัฒนาชุมชน สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย สาขาวิชาคอมพิวเตอร์ธุรกิจ สาขาวิชาเทคโนโลยีการเกษตร สาขาวิชาสาธารณสุขชุมชน

โดยมีสภามหาวิทยาลัยชุมชน คณาจารย์ของวิทยาลัย เลขาธิการศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ รองผู้ว่าราชการจังหวัดยะลา และหัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่ร่วมในพิธี
พลเอกกัมปนาท รุดดิษฐ์ องคมนตรี มีความยินดีและรู้สึกเป็นเกียรติในการเป็นประธานมอบประสาทอนุปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาวิทยาลัยชุมชนยะลา ขอแสดงความยินดีและชื่นชมแก่ผู้สำเร็จการศึกษา ขอให้ยึดมั่นในคำปฏิญาณ อย่างไรก็ตาม การสำเร็จการศึกษา

แสดงให้เห็นถึงความมีความมุ่งมั่น วิริยะอุตสาหะในการศึกษาเล่าเรียนจนประสบความสำเร็จ นำมาซึ่งความภาคภูมิใจของผู้ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้การศึกษานอกจากจะทำให้เป็นผู้มีความรู้ ก็ขอให้นำหลักการที่สำคัญไปประยุกต์ใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต การประกอบอาชีพและการพัฒนาคุณภาพงาน

เพื่อส่งผลดีต่อการพัฒนาบ้านเมือง จังหวัดชายแดนภาคใต้ และประเทศชาติต่อไป
สำหรับวิทยาลัยชุมชนจังหวัดยะลา เป็นสถาบันอุดมศึกษา สังกัดสถาบันวิทยาลัยชุมชน กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม จัดตั้งขึ้นเพื่อให้คนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ขาดโอกาสทางการศึกษา ได้เข้ามาศึกษาในระดับอุดมศึกษา ด้วยค่าใช้จ่ายที่ถูก เรียนใกล้บ้านและพัฒนาอาชีพให้กลุ่มเปราะบางทุกช่วงวัย เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม

ก.แรงงาน เปิดตัวโครงการส่งเสริมอาชีพ ปั้นแรงงานสู่ผู้ประกอบการร้านสตรีทฟู๊ด สร้างงาน เพิ่มรายได้ กระตุ้นเศรษฐกิจ

วันที่ 18 พฤษภาคม 2566 นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานกล่าวเปิดงานกิจกรรมเปิดตัวโครงการพัฒนาส่งเสริมอาชีพผู้ประกอบการร้านสตรีทฟู้ด (Street Food) กระทรวงแรงงาน
โดยมี นายประทีป ทรงลำยอง รองปลัดกระทรวงแรงงาน นางสาวกรจิรัฏฐ์ พงจันทร์ศธร ผู้ช่วยปลัดกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน และบุคลากรหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงาน เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย ณ ห้องวายุภักษ์ 3 - 4 ชั้น 4 อาคารวายุภักษ์ โรงแรมเซ็นทรา บายเซ็นทารา ศูนย์ราชการ และคอนเวนชันเซ็นเตอร์ ถนนแจ้งวัฒนะ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร 

นายบุญชอบ กล่าวว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มในช่วง 5 ปีที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วจากปัจจัยของเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภค ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด -19 คลี่คลายลง ทำให้ภาคธุรกิจสตาร์ทอัพและเอสเอ็มอีด้านอาหารและเครื่องดื่มเร่งปรับตัวนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาให้บริการ รวมทั้งเชื่อมโยงธุรกิจร้านสตรีทฟู้ดเพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น จากข้อมูลของยูโรมอนิเตอร์ พบว่า ในปี 2564 ประเทศไทยมีผู้ประกอบการร้านสตรีทฟู้ด (Street Food) อยู่มากกว่า 560,000 ราย และมีมูลค่ากว่า 3.4 แสนล้านบาท มีอัตราการเติบโตประมาณร้อยละ 5 ต่อปี ซึ่งสะท้อนถึงความนิยมในร้านอาหารสตรีทฟู้ดของประเทศไทยเป็นอย่างดีทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามาในประเทศ เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจปีละกว่า 2.21 ล้านล้านบาท รัฐบาลจึงได้เร่งผลักดันให้สตรีทฟู้ดของไทยเกิดการขยายตัวเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้งสร้างอาชีพ สร้างรายได้ให้แก่ประชาชน 

นายบุญชอบ กล่าวต่อว่า การเปิดตัวโครงการพัฒนาส่งเสริมอาชีพผู้ประกอบการร้านสตรีทฟู้ดในวันนี้
กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานปลัดกระทรวงแรงงานจัดขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้ว่างงานให้มีโอกาสเข้าสู่อาชีพรวมถึงผู้ประกอบการร้านสตรีทฟู้ดเดิมให้มียอดขายเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580) ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม ภายใต้ 4 กิจกรรม ประกอบด้วย การเปิดตัวโครงการในกรุงเทพมหานครในวันนี้ กิจกรรมจัดฝึกอบรมให้แก่ผู้สนใจประกอบอาชีพสตรีทฟู้ดรายใหม่ 300 รุ่น เป้าหมายจำนวน 15,000 คน เพื่อสร้างโอกาสในการเข้าสู่เส้นทางอาชีพร้านสตรีทฟู้ด และจัดฝึกอบรมให้แก่ผู้ประกอบอาชีพสตรีทฟู้ดรายเดิม 300 รุ่น เป้าหมายจำนวน 15,000 คน กิจกรรมแสดงร้านค้าสตรีทฟู้ด จำนวน 5 ครั้ง 

ตำรวจไซเบอร์ รวบเจ้าแม่ซิมผีเมืองยโสลงทะเบียนพร้อมใช้ เปิดทางแก๊งคอลเซ็นเตอร์ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์  วัฒน์นครบัญชา  ผบช.สอท. ได้สั่งการให้ให้มีตรวจสอบการกระทำความผิดตามสื่อสังคมออนไลน์ ระดมกวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งขบวนการซื้อขายซิมผีบัญชีม้า 
สร้างความเดือดร้อนให้พี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมาก

เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.สอท.3 สืบสวนติดตามพฤติกรรมสมาชิกกลุ่มเฟสบุ๊ค “ซิม sim” ตรวจพบการซื้อขายซิมโทรศัพท์ที่ถูกลงทะเบียนแล้วโดยบุคคลอื่น โดยได้มีซึ่งผู้ใช้เฟสบุ๊ค ชื่อ “คุณนุ่น เบอร์มงคล” 

ทำการโพสต์ข้อความระบุว่า “ดีแทคลงทะเบียนไม่เปิดเบอร์มี 300 เบอร์” จึงได้ออกอุบายติดต่อซื้อซิมโทรศัพท์ดังกล่าว โดยผู้ต้องหาแจ้งให้ชำระเงินเข้าบัญชีธนาคาร ชื่อบัญชี นางสาววรภาชา บุญเล่ห์ กระทั่งได้รับพัสดุจึงตรวจสอบพบว่าเป็นซิมการ์ดที่ถูกลงทะเบียนด้วยบุคคลอื่นที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้ ถูกส่งมาจากบ้านแห่งหนึ่งในพื้นที่ตำบลสงยาง อำเภอมหาชนะชัย จังหวัดยโสธร ซึ่งจากการตรวจสอบพบเป็นที่อยู่อาศัยของ นางสาววรภาชาฯ โดยข้อมูลตรงกันกับชื่อบัญชีและข้อมูลที่ให้ไว้ในการจัดส่งพัสดุ

ต่อมาในวันที่ (17 พ.ค.66) พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3 สั่งการ พ.ต.อ.มรกต แสงสระคู ผกก.2 บก.สอท.3 เร่งรัดนำทีมสืบสวนพร้อมหมายค้นศาลจังหวัดยโสธรเข้าทำการตรวจค้นบ้านพักหลังดังกล่าว พบนางสาววรภาชาฯ แสดงตัวเป็นเจ้าของบ้านและนำตรวจค้น ผลการตรวจค้นพบซิมการ์ดโทรศัพท์พร้อมหมายเลขเบอร์โทรศัพท์ จำนวน 26 ซิมการ์ด และตรวจพบกล่องพัสดุ บรรจุหีบห่อเตรียม ส่งสินค้าให้กับลูกค้าโดยจ่าหน้าซองผู้ต้องหาในช่องผู้ส่ง ภายในยังพบซิมการ์ดโทรศัพท์อีก จำนวน 6 ซิม

พ.ต.อ.มรกต แสงสระคู ผกก.2 บก.สอท.3 ยังกล่าวอีกว่า จากการตรวจสอบซิมทั้งหมดพบว่ามีการลงทะเบียนเป็นชื่อบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ชื่อนางสาววรภาชาฯ อีกทั้งยังไม่สามารถให้ข้อมูลได้โดยไม่ทราบว่าผู้ใดเป็น

ผู้ลงทะเบียนไม่สามารถระบุตัวตนได้ โดยบัญชีธนาคารที่พบเป็นบัญชีธนาคารที่มีชื่อเจ้าของบัญชีตรงกันกับบัญชีที่ใช้กระทำความผิด จึงได้จับกุมตัว นางสาววรภาชา บุญเล่ห์ อายุ 35 ปี ชาวจังหวัดยโสธร ในความผิดฐาน “เป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าวโดยประการใดๆ เพื่อให้มีการซื้อหรือขายเลขหมายโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งลงทะเบียนผู้ใช้บริการในนามของบุคคลใดบุคคลหนึ่งแล้ว แต่ไม่สามารถระบุตัวผู้ใช้บริการได้” พร้อมด้วยของกลาง บัญชีธนาคาร, โทรศัพท์เคลื่อนที่ และซิมการ์ดที่ลงทะเบียนพร้อมใช้อีกจำนวนมากหลายรายการ ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย

ผลการปฏิบัติภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท., พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3, พ.ต.อ.มรกต แสงสระคู ผกก.2 บก.สอท.3  ได้สั่งการให้ พ.ต.ต.ธเนตร กาละกุล สว.กก.2 บก.สอท.3 พร้อมชุดสืบสวนดำเนินการจับกุม

ผบ.ตร.ขอบคุณตำรวจทั่วประเทศ ร่วมภารกิจดูแลความปลอดภัย รักษาความสงบเรียบร้อยการเลือกตั้ง สำเร็จ ลุล่วงด้วยดีขอบคุณตำรวจทั่วประเทศ ร่วมภารกิจดูแลความปลอดภัย รักษาความสงบเรียบร้อยการเลือกตั้ง สำเร็จ ลุล่วงด้วยดี

วันนี้ (17 พฤษภาคม 2566) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) มีวิทยุในราชการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ด่วนที่สุด ถึง รอง ผบ.ตร. – ผู้บังคับการ หรือตำแหน่งเทียบเท่าทั่วประเทศ ขอบคุณข้าราชการตำรวจทุกนายทั่วประเทศที่ร่วมปฏิบัติในภารกิจรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยการจัดการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เป็นการทั่วไป พ.ศ.2566 ใจความว่า

“ภารกิจตามแผนรักษาความสงบเรียบร้อยการจัดการเลือกตั้ง ตร. หรือ พิทักษ์เลือกตั้ง / 66 ที่ปฏิบัติมาตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2566 นั้น เนื่องจากภารกิจรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อยการจัดการเลือกตั้ง ส.ส. เสร็จสิ้น และเป็นไปด้วยความเรียบร้อย บรรลุวัตถุประสงค์ ในนามผู้บังคับบัญชาของ ตร. ซึ่งเป็นหน่วยรับผิดชอบหลักตามแผนฯ จึงขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ปฏิบัติงานทุกนาย และทุกหน่วยที่ร่วมปฏิบัติ ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความตั้งใจ ทุ่มเท และเสียสละ ในภารกิจด้านการรักษาความปลอดภัยและความสงบเรียบร้อย การจัดการจราจร และให้การสนับสนุน กกต. ตลอดจนภารกิจที่เกี่ยวข้องด้านต่าง ๆ ถือได้ว่าเจ้าหน้าที่ทุกนาย เป็นส่วนหนึ่งในการปฏิบัติหน้าที่ในครั้งนี้ให้มีความสำเร็จ ลุล่วงไปได้ด้วยดี ตามวิถีทางครรลองของระบอบประชาธิปไตยและกฎหมาย” 
***************

หนีไม่รอด !! ตำรวจไซเบอร์ ติดตามรวบเพิ่ม ๒ ผู้เกี่ยวข้อง เครือข่ายขบวนการเว็บพนันออนไลน์ Lionking 88

กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งการให้เร่งรัดระดมกวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยี บัญชีม้า เว็บพนันออนไลน์อย่างจริงจัง

สืบเนื่องจากปรากฏเป็นข่าวทางสังคมออนไลน์ กรณีหลานสาวแอบขโมยเงินยายวัย 73 ปี เล่นพนันออนไลน์จนเกลี้ยงบัญชี จากการตรวจสอบพบว่า น.ส.เกสิรินทร์ อายุ 27 ปี ชาวจังหวัดอุดรธานี แอบผูกแอพพลิเคชั่นธนาคารกับเลขบัญชีธนาคารของนางสมศรี อายุ 73 ปี  ซึ่งเป็นยายแท้ ๆ แล้วนำเงินไปเล่นการพนันออนไลน์ (เล่นสล๊อต) จนเสียเกลี้ยงบัญชีกว่า 7.5 แสนบาท นั้น

ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.3 บก.สอท.3 จึงได้สืบสวนขยายผลและรวบรวมข้อมูลออกหมายจับผู้เกี่ยวข้อง 22 ราย เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2566 จับกุมผู้ต้องหา 5 ราย โดยมีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายเว็บพนัน lionking88.com ยอดเงินหมุนเวียนกว่า 875 ล้านบาท มีจำนวนสมาชิกที่เป็นผู้เล่นประมาณ 20,000 คน และสามารถตรวจยึดทรัพย์สิน รวมมูลค่าได้ประมาณ 10,466,707.30 บาท ต่อมาวันที่ 16 พฤษภาคม 2566 ได้ทำการสืบสวนติดตามจับกุมผู้ต้องหาหมายจับศาลจังหวัดขอนแก่นเพิ่มเติม 2 ราย ดังนี้
1.นางสาวดาราภรณ์ อายุ ๒๓ ปี ชาวจังหวัดหนองบัวลำภู 
2.นางสาวอรวรรณ อายุ ๓๖ ปี ชาวจังหวัดชลบุรี
โดยกล่าวหาว่ากระทำผิดฐาน  “ร่วมกันจัดให้มีการเล่นการพนันหรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนันในการพนันทางสื่ออีเล็กทรอนิกส์โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน” และ “สมคบกันโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำผิดฐาน
ฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันและร่วมกันฟอกเงิน” 
จับกุมได้ที่ ตัวเมืองจังหวัดขอนแก่น

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง “สร้างอาชีพ สร้างชีวิต” ร่วมกับกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้กับสตรีที่ด้อยโอกาสในพื้นที่ จ.ศรีสะเกษ ในโครงการส่งเสริมอาชีพเพื่อสตรี

วันนี้ (วันพุธที่ 17 พฤษภาคม 2566) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดย นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ พร้อมด้วย นายจารุรัตน์ คุณัตถานนท์ กรรมการและเหรัญญิก  นางศิริพร กระจ่างหล้า ผู้จัดการฝ่ายสังคมสงเคราะห์ และนางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ นำทีมลงพื้นที่จังหวัดศรีสะเกษ มอบวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้กับสตรีที่มีรายได้น้อย มีภาระหน้าที่ดูแลคนในครอบครัว เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว หรือด้อยโอกาสทางสังคม จำนวน 8 ราย คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 139,810 บาท  (หนึ่งแสนสามหมื่นเก้าพันแปดร้อยสิบบาทถ้วน) เพื่อให้สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้อย่างยั่งยืน โดยมี  นายสำรวย เกษกุล ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ นางจินตนา จันทร์บำรุง อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว เป็นประธานร่วมในพิธี พร้อมด้วย นางสาวชนมณัฐ รอดบุญธรรม รองผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ นางสาวจารุวรินทร์ ธนาชนะสิทธิ์ ผู้อำนวยการศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดศรีสะเกษ ร่วมในพิธี  ณ  บริเวณศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จังหวัดศรีสะเกษ

กรมสุขภาพจิตชี้ มุมมองทางการเมืองของแต่ละบุคคลแตกต่างกันได้ วอน สื่อสารด้วยความเข้าใจ แตกต่างแต่ไม่แตกแยก

วันนี้ (15 พฤษภาคม 2566) กรมสุขภาพจิต ขอให้สังคมติดตามการรายงานผลการเลือกตั้งด้วยสติ ใช้เวลาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นผลการเลือกตั้งอย่างเหมาะสม เนื่องจากทุกบุคคลมีพื้นฐานความชื่นชม ศรัทธาและประสบการณ์ต่างกัน ย่อมมีความคาดหวังที่หลากหลาย ทำให้มีทั้งผู้ที่มีความเห็นแตกต่างและไม่สมหวังในผลของการเลือกตั้งฯ ครอบครัวและชุมชนควรสื่อสารกัน ด้วยความเข้าใจ ยอมรับ และป้องกันความขัดแย้งอันจะนำไปสู่ความรุนแรงทั้งในครอบครัวหรือในสังคม

แพทย์หญิงอัมพร เบญจพลพิทักษ์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า จากกระแสความใส่ใจในการเมืองที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในการเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2566  กรมสุขภาพจิตได้ติดตามสถานการณ์ทางอารมณ์และสุขภาพจิตของประชาชนอย่างใกล้ชิดเช่นเดียวกับในทุกครั้งที่มีเหตุการณ์สำคัญในสังคม และจากรายงานทางระบบ Mental Health Check In ณ วันที่ 15 พฤษภาคม 2566 พบว่า ประชาชนมีระดับความเครียดเริ่มขยับตัวสูงขึ้นจาก ร้อยละ 2.17 ตั้งแต่ต้นปี 2566 และในระยะสองสัปดาห์ก่อนเลือกตั้ง ระดับความเครียดขยับเพิ่มถึง ร้อยละ 3.07 และมีระดับสูงขึ้นเท่าตัว คือสูงกว่าร้อยละ 6.0 ในบางวัน และในช่วงเวลาการรอคอยผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการนี้ มีแนวโน้มที่ความเครียดของประชาชนจะสูงขึ้นต่อไปอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในครอบครัวหรือกลุ่มต่างๆในสังคมที่มีสมาชิกหลายกลุ่มวัย ที่อาจมีผลต่อมุมมองทางการเมืองที่แตกต่างได้มากขึ้น 

แพทย์หญิงอัมพร กล่าวต่ออีกว่า  สิ่งที่จะมองข้ามไม่ได้ คือ สถานการณ์การรายงานผลการเลือกตั้งฯ ที่ประชาชนหลายภาคส่วนยังคงตั้งใจ จดจ่อเพื่อติดตามว่าพรรคหรือบุคคลที่ตนเองเลือก จะประสบความสำเร็จหรือไม่ ซึ่งในวงจรของการเลือกตั้งย่อมมีทั้งผู้ที่ลงคะแนนเลือกแล้วเป็นไปตามที่หวังและไม่สมหวัง หากผู้ที่ติดตามข่าว ไม่สามารถดูแลอารมณ์ของตนได้ อาจเกิดปัญหาการมีปากเสียงหรือความรุนแรงที่เกิดขึ้นหลังจากการเลือกตั้งได้ กรมสุขภาพจิตเสนอข้อแนะนำเพื่อการดูแลสุขภาพจิตและสัมพันธภาพกับคนรอบข้างในช่วงของการรอผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ ด้วยหลัก 4 ไม่ 4 ต้อง โดย 4 ไม่ ได้แก่ 1. ไม่กดดัน ตำหนิ ผู้ที่มีความเห็นแตกต่าง 2. ไม่เยาะเย้ย ดูถูก หรือถากถาง ผู้ที่ผิดหวัง 3. ไม่ใส่อารมณ์ ความรู้สึกกับข่าวมากเกินไป 4. ไม่ล้อเลียน ไม่ซ้ำเติมความผิดหวังของผู้ที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ และ 4 ต้อง ประกอบด้วย 1. ต้องรับฟังอย่างเปิดใจ 2. ต้องหลีกเลี่ยงการรับข่าวสารมากเกินไป 3. ต้องหมั่นดูแลสุขภาพร่างกายและจิตใจตนเอง 4. ต้องให้กำลังใจ พูดคุย ด้วยสติและถ้อยคำที่สุภาพแสดงความห่วงใย ซึ่งโอกาสนี้นอกจากผู้ที่ไม่สมหวังจะต้องยอมรับในความเห็นที่แตกต่าง ผู้ที่สมหวังเองก็ต้องแสดงออกถึงการให้เกียรติ มีน้ำใจนักกีฬาโดยยอมรับความคิดเห็นที่แตกต่างกัน เพื่อให้ครอบครัวหรือญาติมิตรได้ปรับปรุงสายใยความผูกพันและสังคมก็สามารถดำเนินพัฒนาการทางการเมืองระดับมหภาคต่อไปได้ ด้วยความสงบและสันติสุข

กรมสุขภาพจิต ขอให้ประชาชนติดตามข่าวสารผลของการลงคะแนนการเลือกตั้งฯ อย่างมีสติและปล่อยใจให้สงบ แต่หากรู้สึกเครียดสามารถสำรวจสุขภาพใจด้วย Mental Health Check-In (MHCI)เพื่อรับทราบแนวทางการดูแลตนเอง หรือรับการปรึกษาที่สถานบริการสาธารณสุขที่อยู่ใกล้บ้านหรือโทรปรึกษาสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ตลอด 24 ชั่วโมง 
 
เสริมสร้างสุขภาพใจ และสายใยครอบครัว ในช่วงลุ้นผลการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการ
นภาพร/เชียงใหม่

‘กำนันเผ่น’ ส.ส. เพื่อไทย ดวงเฮง!! ถูกรางวัลที่ 1 รับ 24 ล้าน หลังแพ้ชัยให้ ‘ก้าวไกล’ ถือเป็นรางวัลปลอบใจแม้สอบตก

เมื่อวันที่ 16 พ.ค.66 ภายหลังกองสลากประกาศผลการออกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล งวดประจำวันที่ 16 พฤษภาคม 66 รางวัลที่ 1 ได้แก่หมายเลข 132903 รางวัลเลขท้าย 2 ตัวได้แก่ 99

ล่าสุด เฟซบุ๊กเพจ ‘สังคมข่าว สมุทรสาคร 2’ ได้โพสต์ภาพ ‘กำนันเผ่น’ หรือ นายอุดม กันม่วง อดีตผู้สมัคร ส.ส.สมุทรสาคร พรรคเพื่อไทย เขต 1 ดวงเฮงถูกรางวัลที่ 1 หมายเลข 132903 งวดประจำวันที่ 16 พฤษภาคม 2566 จำนวน 4 ใบ ได้รับเงินรางวัล 24 ล้าน

โดยระบุข้อความว่า “24 ล้านอยู่นี่เอง กำนันเผ่น กำนันอุดม กันม่วง อดีตกำนันตำบลพันท้ายนรสิงห์ อดีตผู้สมัคร ส.ส.สมุทรสาคร พรรคเพื่อไทย เขต 1 ดวงเฮง ถูกลอตเตอรี่ งวดประจำวันที่ 16 พฤษภาคม 2566 รางวัลที่ 1 4 ใบ เป็นเงิน 24 ล้านบาท”

สำหรับ นายอุดม กันม่วง เพิ่งลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคเพื่อไทย เขต 1 จ.สมุทรสาคร ในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 14 พ.ค.ที่เพิ่งผ่านมา และได้อันดับ 3 ส่วนผู้ชนะได้แก่ ว่าที่ ส.ส.จากพรรคก้าวไกล

จับแล้วหนึ่งในแก๊งปลอมไลน์ผู้ว่าขอนแก่น หลอกยืมเงินข้าราชการในพื้นที่กว่า 5 แสนบาท

สืบเนื่องจากกรณี ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น ได้ออกประกาศแจ้งเตือนผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัว “ไกรสร กองฉลาด” แจ้งเตือนมิจฉาชีพใช้รูปภาพและชื่อไลน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น ทักข้อความไปยืมเงินบุคคลอื่น ทั้งภาพและข้อความระบุว่า “ใช้รูปภาพและชื่อผู้ว่าขอนแก่น หลอกยืมเงิน ตั้งแต่เช้าแล้วครับ ทั้งนายอำเภอบ้านแฮด บ้านไผ่ และเขาสวนกวาง โทรมาพร้อมทั้งส่งข้อความแชทมารายงาน มีคนแอบอ้างชื่อและนำรูปผมไปเป็นโปร์ไฟล์ หลอกยืมเงินนายกเทศมนตรีเทศบาลบ้าง สมาชิกสภาเทศบาลบ้าง ในพื้นที่ 3 อำเภอในข้างต้น”

เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.3 จึงได้สืบสวนติดตามกรณีดังกล่าว โดยมิจฉาชีพปลอมไอดีไลน์ ได้ใช้รูปโปรไฟล์และชื่อตรงกับ นายไกรสร กองฉลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น ทักข้อความไปหาผู้บริหารและสมาชิกสภาองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในจังหวัดขอนแก่นหลายแห่ง หลอกยืมเงินรายละ 500,000 บาท จากการตรวจสอบพบว่าบัญชีที่ใช้ก่อเหตุมีนายสารนิช อายุ 24 ปี เป็นเจ้าของบัญชี ประกอบกับหมายเลขโทรศัพท์ที่ใช้เปิดบัญชีมีคนต่างด้าว ซึ่งอยู่บริเวณชายแดนไทย-เมียนมาร์ เป็นผู้จดทะเบียน จึงเชื่อมั่นว่ากลุ่มแก๊งดังกล่าวมีลักษณะเป็นขบวนการมิจฉาชีพกลุ่มใหญ่ ประกอบกับ นายสารนิช ยังเป็นบุคคลตามหมายจับของศาลจังหวัดอุบลราชธานี ในความผิดฐาน “ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น”

โดยได้หลบหนีการจับกุมมาอาศัยอยู่ในพื้นที่บ้านพรุ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
กระทั่งวันที่ 15 พ.ค.66 กก.วิเคราะห์ข่าวและเครื่องมือพิเศษ บก.สอท.3 จึงนำข้อมูลทั้งหมดประสานกรณีดังกล่าวให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.ปฏิบัติการพิเศษ ภ.จว.สงขลา และบูรณาการกำลังร่วมกันทำการจับกุมตัวผู้ต้องหาส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี
ในเบื้องต้นผู้ต้องหารับว่าเป็นเจ้าของบัญชีธนาคารดังกล่าว ซึ่งตนไปรับจ้างเปิดและขายบัญชีให้กับคนที่รู้จักกันทางเฟซบุ๊ค ชื่อ นายฮ้อย (รับจัดหาบัญชี) ในราคา 300 บาท เมื่อช่วงต้นเดือนพฤษภาคม ปี 66

ผลการปฏิบัติภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท.,พล.ต.ต.อำนาจ ไตรพจน์ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3 ได้สั่งการให้ พ.ต.อ.พงศ์นรินทร์ เหล่าเขตกิจ ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ บก.สอท.3 พร้อมชุดสืบสวนร่วมดำเนินการจับกุม

‘ต่าย ชุติมา’ ย้ำสถานะ ‘ทิม พิธา’ เป็นแค่พ่อและแม่ แถมบอกตอนนี้มีคนคุกเข่า ‘ขอแต่งงาน’ แล้ว!!

(17 พ.ค.66) แม้จะเลิกรากันไปหลายปี แต่อยู่ๆความสัมพันธ์ของ ‘ต่าย ชุติมา’ กับ ‘ทิม พิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ ก็กลับมาถูกจับตาอีกครั้งในช่วงการเลือกตั้งที่ผ่านมา หลังฝ่ายหญิงโพสต์สนับสนุน รวมถึงยังนำภาพหวานในอดีตมาลงอีกครั้ง 

ล่าสุดต่ายได้ไปร่วมรายการ ‘แย่งซีน’ ของ แพรี่ ไพรวัลย์ วรรณบุตร พร้อมให้สัมภาษณ์ว่า เธอกับเขามีสถานะเพียงพ่อและแม่ของลูก ซึ่งตอนนี้ลูกสาวอายุได้ 7 ขวบ ในส่วนการเลี้ยงลูก เธอจะมีระเบียบมากกว่า ขณะที่พิธาจะออกแนวสบายๆ

เมื่อแพรรี่ถามว่า พิธาโอ๋ลูกสาวไหม ต่ายก็ว่า เขาจะมีความหวง “ตอนเด็กๆ เขาจะบอกว่าไม่ต้องแต่งงานหรอก” เธอเล่ายิ้มๆ แล้วว่า “เขาเป็นคุณพ่อที่โรแมนติกกับลูก วันวาเลนไทน์ก็ซื้อดอกไม้ให้ลูกทุกปี” เมื่อถามว่าซื้อให้แค่ลูกเหรอ ต่ายตอบว่า “ซื้อให้แค่ลูกค่ะ”

เขาได้บอกไหมว่าหนูฝากเอาไปให้หม่ามี๊ด้วย? “เคยมีมาเป็นคำพูดค่ะ ก็มีแบบปะป๊าคิดถึง อะไรอย่างนี้ เราก็เอ๊ะ…พูดเองหรือเปล่า” ต่ายเล่าพลางยิ้ม

เรื่องที่พิธากำลังฮอตเป็นที่หมายตา เหมือนจะเป็นสามีแห่งชาติไปแล้ว ต่ายบอก “ก็ยินดีกับเขาด้วย” มันทำให้เราอยากขยับเขยื้อนกลับไปไหม กับคำถามนี้ เธอบอกทันทีว่า “ไม่ เพราะคนใหม่มันดีกว่า” ก่อนจะตามมาด้วยคว่า “ไม่ได้ๆ อันนี้พูดไม่ได้” บอกพลางหัวราะ

ส่วนเรื่องการแชร์ภาพแต่งงานที่ทำให้หลายคนฮือฮา เธออธิบายว่า เป็นเรื่องที่สืบเนื่องจากการที่มีด้อมโพสต์เรื่องแต่งงานกับพิธา โดยเธอตั้งใจจะแซวเล่นเท่านั้น อีกทั้งภาพสติ๊กเกอร์ที่ใช้ก็ไม่ใช่ภาพปากคว่ำ แต่เป็นรูปยิ้มมุมปากต่างหาก “แซวด้อมเฉยๆ แซว หวงอะไรอ่ะ” เธอว่าที่ด้อมบอกให้ไปต่อแถว อย่ามาแซงคิว เรื่องนี้ก็ไม่ได้คิด เพราะเราไม่ได้ต่อคิว “เขาบอกอย่าแซงคิว เราก็บอกไม่แซงอยู่แล้วละ เพราะเราไม่ได้ต่อตั้งแต่แรก จนออกจากแถวไปแล้ว แล้วเขาเพิ่งมาจะให้มาต่อใหม่ ไม่ต่อแล้วดิ”

สำหรับโอกาสจะกลับมาคืนดี ต่ายบอกขอบคุณคนที่เชียร์ แต่สถานะพ่อแม่ของลูกในตอนนี้ก็แฮปปี้อยู่แล้ว เมื่อถามว่ามีโอกาสจะเป็นไปได้ไหม เธอบอกนั่นเป็นเรื่องอนาคต ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้เสมอ “กรรมยังไม่หมดกัน เราก็ต้องมาชดใช้กันอยู่ดี”

ช่วงที่พิธาหาเสียง ต่ายบอกว่าเธอก็ได้ให้กำลังใจ ฝากลูกไปบอกว่าเชียร์อยู่นะ ขอให้ได้ 
“แบบยูทำได้อยู่แล้ว อะไรประมาณนั้น”

ครั้นแพรี่ถามว่าไม่อยากเป็นสตรีหมายเลข 1 หรือ เธอก็ว่า “มันเหนื่อยไป ไม่ๆๆๆ” การไปไหนแล้วสื่อจับจ้อง ก็ไม่ใช่ฟีลของเธอ

เมื่อถูกถามว่าในความคิดของเธอ อะไรคือเสน่ห์ของพิธา เธอบอกอันดับแรกก็รูปลักษณ์ภายนอก แล้วเขาเป็นคนคลั่งรักไง จะชัดเจน จะลงรูปคู่ ซึ่งในความเห็นเธอ ความชัดเจนทำให้ผู้หญิงมีความปลอดภัยในความรู้สึก

สำหรับเรื่องของหัวใจในปัจจุบัน ต่ายบอก “จริงๆ เป็นคนไม่มีคนจีบนะ ถ้าเจอก็จะคลิกกันเองมากกว่า ไม่ได้ต้องมาตามจีบ” บอกด้วยว่า เธอจะดูคนที่สามารถคุยด้วยกันได้ สมมติเขาเป็นคนดีมาก หล่อมาก รวยมาก แต่คุยแล้วไม่รู้จะคุยอะไร ก็ไม่คุยนะ มันต้องรู้สึกว่าถ้าเราอยากจะคุย อยากจะรู้จักเขามากขึ้น มันก็จะคุยกันไปเอง ก็ไม่ได้เชิงว่ามีสเปก แต่ถ้าเจอแล้วชอบ ก็คือใช่

เรื่องความคิดจะแต่งงาน เธอบอกพลางหัวเราะว่า “จริงๆ มีคนขอแต่งงานแล้วนะ ไม่นาน เมื่อปีที่แล้ว เขาก็คุกเข่า แต่แหวนผิดไซส์ ก็เลยใส่นิ้วอื่น”

แพรี่ถามอีกว่า การที่อยู่ดีๆ ก็โดนพาดพิง โดนแซะ ในแบบที่ไม่ค่อยดีมีความรู้สึกอยากฟาดไหม เธอรับว่า “อยากฟาดมาก ถ้าพูดเรื่องจริงไม่ได้ว่าอะไรเลย แต่ส่วนใหญ่จะรู้สึกหงุดหงิดที่ไม่รู้แล้วพูดทำไม เห็นแล้วแบบดูมั่นใจมาก ก็จะแบบเจ๋อเนอะ”

ผบ.ตร. มอบรางวัลแก่ตำรวจสายตรวจสน.เทียนทะเล

ผบ.ตร. มอบรางวัลแก่ตำรวจสายตรวจสน.เทียนทะเล เข้าระงับเหตุตามหลักยุทธวิธีตำรวจ
วันนี้ (16 พ.ค.66) เวลา 12.00 น. ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้มอบเกียรติบัตรโครงการ “ทำดี มีรางวัล” ตำรวจสายตรวจ สน.เทียนทะเล เข้าระงับเหตุตามหลักยุทธวิธีตำรวจในพื้นที่ใกล้เคียง

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ กล่าวว่า สำหรับโครงการ “ทำดี มีรางวัล” 
นั้นเป็นโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับข้าราชการตำรวจและประชาชนที่ประกอบคุณงามความดีมีจิตสาธารณะ จนเป็นที่ยอมรับของสังคม ตลอดจนข้าราชการตำรวจที่มุ่งมั่นทุ่มเททำงานจนมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ สร้างชื่อเสียงให้แก่หน่วยงาน และกรณีนี้จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2566 เวลาประมาณ 01.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานีตำรวจนครบาลเทียนทะเล ได้รับแจ้งเหตุ ว่ามีชายทะเลาะกับภรรยา และมีพฤติกรรมคล้ายจะทำร้ายร่างกาย ในพื้นที่ติดต่อใกล้เคียง จึงได้รุดนำกำลังเข้าตรวจสอบ

เมื่อถึงที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นหมู่บ้านจัดสรร บริเวณหน้าบ้านที่เกิดเหตุ พบลูกสาวของผู้ก่อเหตุ และเจ้าหน้าที่สายตรวจของสถานีตำรวจภูธรโคกขาม จำนวน 2 นาย กำลังประเมินสถานการณ์ โดยลูกสาวของผู้ก่อเหตุได้ให้ข้อมูลว่า พ่อของตนเกิดอาการคุ้มคลั่งทะเลาะกับแม่ และมีอาวุธปืนติดตัว ในขณะเจ้าหน้าที่ตำรวจสอบถามข้อมูลจากผู้แจ้ง ได้มีเสียงเอะอะโวยวายเกิดขึ้นในบ้าน เจ้าหน้าที่ประเมินสถานการณ์ดูแล้ว มีความเสี่ยงที่จะเกิดความไม่ปลอดภัย จึงได้ตัดสินใจเข้าระงับเหตุตามหลักยุทธวิธีและใช้จิตวิทยาโน้มน้าวผู้ก่อเหตุ จนสามารถคลี่คลายสถานการณ์ ระงับเหตุได้อย่างปลอดภัย ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พิจารณาแล้วเห็นว่า ตำรวจทั้ง 3 นายเป็นผู้ที่มีความสามารถสูง ปฏิบัติงานตามหลักยุทธวิธีตำรวจสมควรแก่การยกย่องสรรเสริญ ตามโครงการ “ทำดีมีรางวัล” เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ข้าราชการตำรวจและสังคมสืบไป 

ผบ.ตร.กล่าวอีกว่า “ตนขอชื่นชมในความกล้าหาญ ที่ให้การช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว และทันท่วงทีตนจึงได้มอบใบประกาศเกียรติคุณและรางวัลตามโครงการ “ทำดี มีรางวัล” และเงินรางวัล 5,000 บาท เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจเป็นแบบอย่างที่ดีแก่สังคม ซึ่งโครงการนี้เป็นโครงการที่จะมอบรางวัลให้กับข้าราชการตำรวจหรือประชาชนที่ปฏิบัติหน้าที่ดีเด่น ทำงานเชิงรุก เพื่อความสงบสุขของประชาชน ประกอบคุณงามความดี ช่วยเหลือประชาชน หรือทางราชการ ประพฤติตนดี คิดถึงประโยชน์ส่วนรวมและช่วยเหลือประชาชนจนเป็นที่ยอมรับต่อสังคม”

แม่ทัพภาคที่ 4 กำชับ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เป็นหูเป็นตา แนะนำ ชี้แนะ ส่งเสริม สนับสนุนสิ่งที่ถูกต้อง ให้แก่เด็กเยาวชน ตลอดจนชุมชน เพื่อต่อยอดความคิดและพัฒนาคุณภาพชีวิต  พร้อมแจงคืบหน้าพูดคุยสันติสุข จชต.

ที่หอประชุมวิทยาลัยชุมชนจังหวัดนราธิวาส อำเภอเมือง จังหวัดนราธิวาส พลโท ศานติ  ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 เป็นประธานมอบนโยบายแนวทางการปฏิบัติงานการรักษาความปลอดภัยในพื้นที่ ให้แก่ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านฝ่ายรักษาความสงบของจังหวัดนราธิวาส รวมถึงหารือแนวทางการทำงานร่วมกันของหน่วยกำลังในพื้นที่ พร้อมเน้นย้ำการปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยมี พลโท อุทิศ อนันตนานนท์ แม่ทัพน้อยที่ 4, พลตรี ปราโมทย์  พรหมอินทร์ รองแม่ทัพภาคที่ 4/รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า พร้อมด้วย นายสนั่น  พงศ์อักษร ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส และหัวหน้าส่วนราชการ, นายอำเภอ, ปลัดอำเภอ, กำนัน และผู้ใหญ่บ้านในพื้นที่จังหวัดนราธิวาส ร่วมรับมอบนโยบายฯ

โดย พลโท ศานติ  ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ย้ำว่าผู้นำท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ถือเป็นกำลังสำคัญและเป็นหัวใจหลักในการขับเคลื่อนสร้างการรับรู้ สร้างความเข้าใจแก่พี่น้องประชาชนในพื้นที่ เพื่อร่วมกันดูแลปกป้องประชาชน ให้มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน รวมทั้งยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้น ภายใต้นโยบายสำคัญเร่งด่วน คือการแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า พยายามที่จะมีการพบปะกับผู้นำทุกจังหวัดเพื่อมาพูดคุยหารือกัน จะเห็นได้ว่าภายหลังจากรับตำแหน่งแม่ทัพภาคที่ 4 มีการแถลงแผนเสริมสร้างสันติสุข เพื่อสร้างความสันติสุขคืนสู่พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้

สิ่งหนึ่งที่ทางกองในการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า อยากเรียนให้รับทราบ คือ ความคืบหน้าการพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมี พลตรี ปราโมทย์  พรหมอินทร์ รองแม่ทัพภาคที่ 4/รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ผู้ที่มีความรู้ความสามารถและเป็นหนึ่งในคณะทำงาน ได้มาสื่อสารให้กับพี่น้องกำนันผู้ใหญ่บ้านให้รับทราบถึงความคืบหน้าในการพูดคุยและได้เห็นถึงความตั้งใจของภาครัฐในการพูดคุยสันติสุขเพื่อให้จังหวัดจะเดินภาคใต้เกิดสันติสุข กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาคสี่ส่วนหน้าได้มีการบูรณาการร่วมกันกับทุกภาคส่วนใน การแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เดินหน้าขับเคลื่อนกับทุกภาคส่วน ช่วยเหลือกัน หาทางออกร่วมกัน เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้มีความสงบสุขเรา สิ่งสำคัญที่สุดที่มีความตั้งใจ คือ การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่ ตัดวงจรผู้เสพ ผู้ค้ายาเสพติดทุกพื้นที่ภาคใต้ด้วยการบูรณาการร่วมกับเจ้าหน้าที่และทุกภาคส่วน ทั้งการจับกุมดำเนินคดีตามกฎหมายและการบำบัดฟื้นฟูรักษา

โดยใช้สภาประชาธิปไตยตำบลเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหายาเสพติดควบคู่แนวทางการบำบัด Camp 35 ที่เชื่อมโยงกับกระบวนการชุมชนบำบัดยาเสพติด (CBTx) พร้อมย้ำว่าให้ชุมชนมีการเสริมสร้างการเล่นกีฬาเพื่อสุขภาพและต้านยาเสพติดในกลุ่มเยาวชนในพื้นที่ได้สร้างความสามัคคี รักการเล่นกีฬา ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ และส่งเสริมบทบาทกลุ่มสตรีที่มีความสามารถให้ผู้นำชุมชน ตลอดจนส่งเสริมการแต่งกายตามอัตลักษณ์ท้องถิ่น พร้อมกันนี้ได้เน้นย้ำ กำนันผู้ใหญ่บ้านดูแลพื้นที่ให้มีการดูแลพื้นที่ความปลอดภัยอย่างเข้มงวด ทั้งดูแลเส้นทาง ร่วมมือกับทางเจ้าหน้าที่รัฐ นอกจากนี้ได้เน้นย้ำให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ต้องรู้จักพื้นที่ รู้ว่ามีใครเข้าออกเคลื่อนไหวในพื้นที่รับผิดชอบ และต้องไม่เข้าข้างฝ่ายตรงข้าม หากตรวจพบว่าให้การสนับสนุนที่พักอาศัยแก่กลุ่มผู้ก่อเหตุในทุกกรณีถือว่ามีความผิดเทียบเท่า ผู้ก่อเหตุทุกประการ จะต้องถูกดำเนินการทางคดีอย่างเข้มงวด หากมีปัญหาต้องช่วยกันแจ้งเบาะแสไม่ต้องกังวลเรื่องความไม่ปลอดภัยในฐานะแม่ทัพภาคที่ 4 ขอรับรองสามารถโทรมาแจ้งเบาะแสได้ที่เบอร์ 061-1732999 ซึ่งเป็นเบอร์ของแม่ทัพภาคที่ 4 โดยตรง ขอให้ทุกฝ่ายได้มีส่วนร่วมในการสร้างพื้นที่ให้สงบสุข ด้วยการแจ้งเบาะแสข่าวสารแก่เจ้าหน้าที่ภาครัฐ ซึ่งจะนำไปสู่การคลี่คลายปัญหาต่างๆในพื้นที่ให้เกิดความสงบสุขเร็วยิ่งขึ้น


ข่าว.แวดาโอ๊ะ หะไร จ.นราธิวาส


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top