Sunday, 18 May 2025
NEWS

‘ครม.’ เคาะลดค่าไฟอีก 4 เดือน ‘กฟน.’ แนะ เช็กยอด พ.ค. หากชำระบิลแล้วจะคืนส่วนลดให้ในเดือนถัดไป

(19 พ.ค. 66) จากสถานการณ์ราคาพลังงานที่ได้รับผลกระทบจากราคาไฟฟ้า ตามที่ ครม. เสนอโดยให้ส่วนลดค่าไฟฟ้าต่อเนื่อง 4 เดือน ตั้งแต่เดือน พ.ค. – ส.ค. 2566 แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน และส่วนลดค่าไฟฟ้า (เพิ่มเติม) สำหรับงวดเดือน พ.ค. 2566 จำนวน 150 บาทต่อราย ให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 500 หน่วยต่อเดือน ทั้งนี้กำหนดให้เป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าก่อนการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น

นายอนุชา กล่าวว่า การไฟฟ้านครหลวง (MEA) แจ้งว่า สำหรับใบแจ้งค่าไฟฟ้าประจำเดือน พ.ค. 2566 ที่จดหน่วยและส่งใบแจ้งค่าไฟฟ้าในวันที่ 14 – 17 พ.ค. 2566 ที่ยังไม่มีส่วนลด MEA จะปรับปรุงในระบบรับชำระเงินค่าไฟฟ้า โดยผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถตรวจสอบยอดเงินค่าไฟฟ้าประจำเดือน พ.ค. 2566 ที่มีการปรับปรุงแล้วได้ที่แอปพลิเคชัน MEA Smart life หรือที่ทำการ MEA ทั้ง 18 เขต หากผู้ใช้ไฟฟ้าที่ชำระค่าไฟฟ้าแล้ว MEA จะคืนเงินส่วนลดดังกล่าวให้ในเดือนถัดไป ทั้งนี้ ใบแจ้งค่าไฟฟ้าประจำเดือนพ.ค. 2566 จะเป็นการจดหน่วยในวันใดวันหนึ่งระหว่างวันที่ 14 พ.ค. — 13 มิ.ย. 2566

นายอนุชา กล่าวต่อว่า ตามที่มีประชาชนได้รับข้อความแอบอ้างหน่วยงาน MEA หรือ การไฟฟ้านครหลวง เพื่อหลอกเก็บเงินค่าบริการต่าง ๆ นอกสถานที่ทำการ MEA รวมถึงเพื่อล่อลวงให้รับบริการผ่านระบบออนไลน์ หรือคลิกลิงก์ต่าง ๆ จนมีความเสี่ยงทำให้เหยื่อเสียทรัพย์สินนั้น MEA มีความห่วงใยต่อกรณีดังกล่าว

โดยได้แจ้งวิธีสังเกต SMS ของ MEA ที่ถูกต้อง ขอให้ประชาชนสังเกตบริเวณชื่อบุคคลผู้ส่ง โดยจะต้องระบุชื่อเป็น ‘MEA’ เท่านั้น หากพบชื่อผู้ส่งเป็นตัวเลขเบอร์โทรศัพท์ หรือตัวอักษรที่ไม่ใช่การสะกดตามคำว่า ‘MEA’ ขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อข้อความดังกล่าว ทั้งนี้ MEA ยืนยันว่าจะไม่ส่ง SMS ให้กับบุคคลทั่วไป ยกเว้นเป็นผู้ที่กำลังติดต่อธุรกรรมกับ MEA หรือรับบริการ MEA e-Bill อยู่เท่านั้น

นายอนุชา กล่าวด้วยว่า สำหรับการตรวจสอบความถูกต้องของการใช้งาน Line ของ MEA ประชาชนสามารถตรวจสอบความถูกต้องได้โดยการดูความถูกต้องของชื่อ Line ต้องระบุเป็น “MEA Connect” โดยระบุชื่อ Line id เป็น @meathailand และด้านหน้าชื่อต้องมีสัญลักษณ์โล่สีเขียว ซึ่งแสดงถึงสถานะที่เป็นทางการ

ส่วนกรณีเว็บไซต์ MEA นั้น ประชาชนสามารถตรวจสอบความถูกต้องได้โดยการดูความถูกต้องของชื่อเว็บไซต์ ซึ่งต้องระบุเป็น https://www.mea.or.th รวมถึง MEA ยืนยันว่า ปัจจุบัน MEA ไม่มีนโยบายให้พนักงาน หรือตัวแทนพนักงาน รับชำระค่าไฟฟ้า หรือค่าบริการใด ๆ นอกสถานที่ทำการของ MEA อีกด้วย

นายอนุชา กล่าวว่า MEA ขอให้ประชาชนระมัดระวังการรับข้อมูลจากช่องทางการสื่อสารในสื่อโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ซึ่งอาจมีการนำเสนอข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง และทำให้ประชาชนเกิดความสับสนได้ ซึ่งประชาชนสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสามารถสอบถามข้อมูลค่าไฟฟ้าได้ที่ช่องทางโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ของ MEA ได้แก่ Facebook: การไฟฟ้านครหลวง MEA, Line : @meathailand, Twitter : @mea_news, และ MEA Call Center โทร 1130 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สตม. รวบหัวหน้าแก๊ง CALL CENTER จีน หลอกลงทุน CRYPTO ปลอม ความเสียหายกว่า 500 ล้านบาท

สืบเนื่องจากได้รับการประสานงานจากเอกอัครราชทูตจีนประจำประเทศไทยและเจ้าหน้าที่ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมเมืองเซี่ยงไฮ กรณีผู้ต้องหาตามหมายจับของสาธารณรัฐประชาชนจีนรายสำคัญ  3 ราย   

1. MR.ZHOU  หรือ นายโจว (นามสมมติ) อายุ  35 ปี สัญชาติจีน 
2. MR.LI หรือ นายหลี่ (นามสมมติ) อายุ 27 ปี สัญชาติจีน
3. MR.HUANG หรือ นายหวง (นามสมมติ) อายุ 37 ปี สัญชาติจีน ซึ่งก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยีในลักษณะฉ้อโกงประชาชน ฯ เป็นขบวนการแก๊ง call center ชักชวนหลอกลงทุนบนแพลตฟอร์มแอพพลิเคชั่นปลอม มูลค่าความเสียหายกว่า 500 ล้านบาท โดยตั้งฐานอยู่ที่เมืองสีหนุวิลล์ ประเทศกัมพูชา แล้วหลบหนีเข้ามายังประเทศไทย บก.สส.สตม.จึงทำการสืบสวนติดตามจับกุมคนร้ายทั้งสาม ต่อมาเมื่อวันที่ 27 เม.ย.66 เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนได้ทำการสืบสวนจนทราบว่า MR.ZHOU ได้หลบซ่อนอยู่ในคอนโดหรูแห่งหนึ่งย่านพระราม 9 จึงได้ทำการขอหมายค้นต่อศาลอาญาเพื่อทำการเข้าทำการตรวจค้น เมื่อไปถึงห้องพัก พบ MR.ZHOU ที่เป็นบุคคลเดียวกันกับบุคคลตามหมายจับสาธารณรัฐประชาชนจีน และถูกเพิกถอนการอนุญาตอยู่ในราชอาณาจักรไทยเป็นการชั่วคราว ได้ออกมาจากห้อง จึงแสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและแสดงหมายค้นศาลอาญาเพื่อขอทำการตรวจค้น โดยก่อนการตรวจค้นได้แสดงความบริสุทธิ์จนเป็นที่พอใจแล้ว ซึ่ง MR.ZHOU สมัครใจพาตรวจค้นห้อง ผลการตรวจค้นพบ โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์และบัตรเครดิต จำนวนหลายรายการ จึงได้นำตัวส่ง กก.3 บก.สส.สตม. เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

จากนั้น สตม. ได้ประสานข้อมูลกับทางเจ้าหน้าที่ตำรวจของสาธารณรัฐประชาชนจีน ขยายผลพบว่า นอกจาก MR.ZHOU จะเป็นหนึ่งในหัวหน้าของแก๊ง call center แล้วยังมีคนจีนอีก 2 คน เป็นระดับผู้บริหารของแก๊ง call center ดังกล่าว คือ MR.LI หรือนายหลี่ และ MR.HUANG หรือนายหวง โดยทั้งสองรายเป็นบุคคลที่มีหมายจับของสาธารณรัฐประชาชนจีน และได้หลบหนีเข้ามาอยู่ที่ประเทศไทย
ต่อมาเมื่อวันที่ 16 พ.ค.66 เวลาประมาณ 12.00 น. เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมได้สืบสวนทราบว่า MR.LI พักอยู่ที่คอนโดแห่งหนึ่งย่านทองหล่อ เมื่อเดินทางไปตรวจสอบพบ MR.LI จึงได้แสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและแจ้งกับ MR.LI ว่าเป็นบุคคลที่มีหมายจับของสาธารณรัฐประชาชนจีนและถูกเพิกถอนการอนุญาตอยู่ในราชอาณาจักรไทยเป็นการชั่วคราวแล้ว เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้ทำการจับกุมตัว และจากการสืบสวนยังพบว่า MR.HUANG ได้พักอาศัยอยู่คอนโดหรูแห่งหนึ่งย่านวัฒนา กรุงเทพมหานคร จึงได้ขอหมายค้นต่อศาลอาญาธนบุรี เมื่อไปถึงห้องพัก พบ MR.HUANG ซึ่งเป็นบุคคลเดียวกันกับบุคคลตามหมายจับสาธารณรัฐประชาชนจีนและถูกเพิกถอนการอนุญาตอยู่ในราชอาณาจักรไทยเป็นการชั่วคราว จึงแสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและแสดงหมายค้นศาลอาญาธนบุรี เพื่อขอทำการตรวจค้น โดยก่อนการตรวจค้นได้แสดงความบริสุทธิ์จนเป็นที่พอใจแล้ว โดย MR.HUANG สมัครใจพาตรวจค้นห้อง ผลการตรวจค้นพบ โทรศัพท์มือถือและคอมพิวเตอร์ จึงได้นำตัวส่ง กก.3 บก.สส.สตม.เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ตำรวจ ปส.(NSB) ลุยหนักจับ 4 ผู้ต้องหาเครือข่ายลำน้ำโขง พร้อมด้วยยาบ้า 7 ล้านเม็ด ผ่านทางเรือด้าน จ.นครพนม เพื่อส่งต่อปลายทางประเทศที่ 3

ตามนโยบายของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ให้กวาดล้างจับกุมเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่และรายย่อย รวมทั้งสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดที่ขบวนการค้ายาเสพติด นำยาเสพติดจากประเทศเพื่อนบ้านผ่านเข้ามาในประเทศไทย   ไปยังปลายทาง ให้หมดสิ้นโดยเร็ว พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ปส. กวาดล้างจับกุมเครือข่ายยาเสพติดและสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดในประเทศอย่างเด็ดขาด  โดยในห้วงที่ผ่านมา ตำรวจ ปส.(NSB)  ได้เฝ้าติดตามเครือข่ายลักลอบลำเลียงยาเสพติดข้ามลำน้ำโขง บริเวณตะเข็บชายแดนในพื้นที่ตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อส่งต่อให้กับผู้ค้าในภาคกลางและภาคใต้ ก่อนไปสู่ประเทศที่ 3
 
พล.ต.ต.ธนรัชน์ สอนกล้า ผบก.ปส.2 ได้สั่งการให้ พ.ต.อ.เฉลิมชัย ไวยสุระสิงห์ ผกก.3 ปส.2 นำกำลังตำรวจ ปส.2  สืบสวนหาข่าวความเคลื่อนไหวขบวนการค้ายาเสพติดข้ามแม่น้ำโขง จนกระทั่งทราบว่าจะมีการขนลำเลียงยาเสพติดล็อตใหญ่จากประเทศเพื่อนบ้าน ข้ามฝั่งโขงมาส่งให้ขบวนการค้ายาเสพติดในประเทศไทย จึงได้วางกำลังตำรวจ ปส.2 เฝ้าระวังตลอดพื้นที่ที่เป็นจุดผ่านยาเสพติดตามแนวชายแดน จ.นครพนม และ จ.สกลนคร  ต่อมาวันที่ 16 พ.ค.66 เวลาประมาณ 04.00 น. ได้มีกลุ่มรถกระบะต้องสงสัย วิ่งไปตามเส้นทางริมลำน้ำโขง ในลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำ โดยมีรถนำสำรวจเส้นทาง เพื่อสำรวจด่านตรวจรวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ และมีรถที่ขับตาม  ตำรวจ ปส.2 ได้ติดตามไปจนกระทั่งรถกระบะ 2 คัน ขับขี่เข้าไปในปั้มน้ำมัน ปตท.สมเด็จ อ.สมเด็จ จ.กาฬสินธุ์ ตำรวจ ปส.2 จึงได้สกัดจับกุม 4 ผู้ต้องหา พร้อมรถกระบะ 2 คัน หมายเลขทะเบียน บน -6XX นครพนม มีนายสุริยันต์ เป็นผู้ขับขี่ และ น.ส.พลา นั่งไปด้วย และ รถกระบะหมายเลขทะเบียน บว -54XX สกลนคร  มีนายชิณวัตร เป็นผู้ขับขี่ และ น.ส.ปรียาพร นั่งไปด้วย จากการตรวจค้นรถกระบะหมายเลขทะเบียน บน -6XX นครพนม พบยาบ้า 14 กระสอบ รวม 7 ล้านเม็ด ตำรวจ ปส. ชุดจับกุมจึงแจ้งข้อกล่าวหาให้ผู้ต้องหาทั้ง 4 คน ทราบว่า “ร่วมกันครอบครองยาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรงประเภท 1(เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพื่อการค้า และก่อให้เกิดการแพร่กระจานในกลุ่มประชาชน” จับกุมผู้ต้องหาทั้ง 4 คน ยึดยาเสพติดและรถกระบะ 2 คันไว้เป็นของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี โดย ตำรวจ ปส.2 จะขยายผลติดตามจับกุมผู้สั่งการซึ่งเป็นชาวไทยที่หลบหนีคดียาเสพติดไปอาศัยในประเทศเพื่อนบ้านต่อไป
 
สำหรับยาเสพติดของกลางที่ตรวจยึดมาได้นั้น พนักงานสอบสวนจะส่งไปตรวจพิสูจน์ยังหน่วยที่กำหนดไว้ อาทิ สำนักงาน ป.ป.ส., กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์, สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ และสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ จากนั้นยาเสพติดของกลางจะถูกเก็บรักษาไว้ที่กระทรวงสาธารณสุข เพื่อการทำลายต่อไป

ผบ.ตร. นั่งหัวโต๊ะประชุมบริหาร ตร.ครั้งที่ 5/66 มอบรางวัลหน่วยที่ผลงานกวาดล้างอาชญากรรม และลดอุบัติเหตุเข้าเป้า ช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2566 พร้อมกล่าวขอบคุณกำลังพลที่ช่วยดูแลความสงบเรียบร้อยการเลือกตั้ง ส.ส. ที่ผ่านมา

วันที่ 19 พ.ค.66 เวลา 09.00 น. ที่ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. เป็นประธานการประชุมบริหาร ตร. ครั้งที่ 5/2566 โดยก่อนเริ่มการประชุมมีพิธีมอบรางวัลให้แก่หน่วยงานที่มีผลการระดมกวาดล้างอาชญากรรมดีเด่นช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ.2566 และหน่วยงานที่ที่มีผลการปฏิบัติงานดีเด่น ตามมาตรการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสงกรานต์ พ.ศ.2566  ดังนี้

หน่วยงานที่มีผลการะดมกวาดล้างอาชญากรรมดีเด่น มอบรางวัล 2 ประเภท 6 รางวัล
1.ประเภทหน่วยงานที่มีผลการระดมกวาดล้างอาชญากรรมดีเด่น
   1.1 การปราบปรามอาชญากรรมทั่วไป ได้แก่ กองบัญชาการตำรวจนครบาล
   1.2 การปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ได้แก่ ตำรวจภูธรภาค 5
     1.3 การจับกุมบุคคลตามหมายจับ ได้แก่ กองบัญชาการตำรวจนครบาล
2.ประเภทรางวัลผลจับกุมอาวุธปืน 
  อันดับ 1 ตำรวจภูธรภาค 4  
  อันดับ 2 ตำรวจภูธรภาค 5 
  และอันดับ 3 ตำรวจภูธรภาค 2 

2.หน่วยงานที่มีผลการปฏิบัติงานดีเด่น ตามมาตรการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ช่วงเทศกาลสงกรานต์ มอบรางวัล 5 ประเภท 26 รางวัล
  2.1 ประเภทหน่วยที่มีผลงานดีเด่นด้านป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน 
ระดับกองบัญชาการ 
  อันดับ 1 ตำรวจภูธรภาค 3 
  อันดับ 2  ตำรวจภูธรภาค 4 
  และอันดับ 3  ตำรวจภูธรภาค 9

ระดับตำรวจภูธรจังหวัด 
  อันดับ 1 ได้แก่ ตำรวจภูธรจังหวัดอุบลราชธานี 
  อันดับ 2 ได้แก่ ตำรวจภูธรจังหวัดกาฬสินธุ์  
  และอันดับ 3 ได้แก่ ตำรวจภูธรจังหวัดชัยภูมิ

  2.2 ประเภทการบังคับใช้กฎหมายข้อหาขับขี่รถในขณะเมาสุรา
ระดับกองบัญชาการ 
  อันดับ 1 ตำรวจภูธรภาค 8  
  อันดับ 2  ตำรวจภูธรภาค 7 
  และอันดับ 3 ตำรวจภูธรภาค 5

ระดับตำรวจภูธรจังหวัด
  อันดับ 1 ตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานี 
  อันดับ 2 ตำรวจภูธรจังหวัดชุมพร 
  และอันดับ 3 ตำรวจภูธรจังหวัดบึงกาฬ

  2.3 ประเภทการจับกุมข้อหาขับรถในขณะเมาสุรามากที่สุด
ระดับกองบัญชาการ
  อันดับ 1 ตำรวจภูธรภาค 3  
  อันดับ 2 ตำรวจภูธรภาค 4 
  และอันดับ 3 ตำรวจภูธรภาค 5 

ระดับตำรวจภูธรจังหวัด
  อันดับ 1 ตำรวจภูธรจังหวัดนครราชสีมา  
  อันดับ 2 ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ 
  และอันดับ 3 ตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรี

  2.4 ประเภทการบังคับใช้กฎหมาย 10 ข้อหาหลัก(ยกเว้นข้อหาขับขี่รถในขณะเมาสุรา)
ระดับกองบัญชาการ
  อันดับ 1 ตำรวจภูธรภาค 7  
  อันดับ 2 ตำรวจภูธรภาค 9 
  และอันดับ 3 ตำรวจภูธรภาค 2 

ระดับตำรวจภูธรจังหวัด
  อันดับ 1 ตำรวจภูธรจังหวัดนครปฐม  
  อันดับ 2 ตำรวจภูธรจังหวัดชัยนาท 
  และอันดับ 3 ตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรสงคราม

  2.5 ประเภทที่ไม่มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน ได้แก่ ตำรวจภูธรจังหวัดพังงา และตำรวจภูธรจังหวัดพัทลุง

นายกสมาคมกีฬากระบี่ร่วมกับทกจ.กระบี่เตรียมทัพนักกีฬาผู้สูงอายุ สู้ศึก "พิษณุโลกเกมส์"

เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2566 เวลา 13.30 น. ณ ห้องประชุม ชั้น 2 สำนักงานการท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดกระบี่  นายสมเกียรติ กิตติธรกุล นายกสมาคมกีฬาแห่งจังหวัดกระบี่ และนายสุรัตน์ จรณโยธิน ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดกระบี่ เป็นประธานในการประชุม พร้อมด้วยตัวแทนนักกีฬาผู้สูงอายุ เข้าร่วมประชุม เพื่อปรึกษาหารือและเตรียมความพร้อม การเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาและนันทนาการผู้สูงอายุแห่งประเทศไทย ครั้งที่ 15 ประจำปี 2566 "พิษณุโลกเกมส์" ระหว่างวันที่ 23 - 26 พฤษภาคม 2566 ณ จังหวัดพิษณุโลก

ทั้งนี้ สมาคมกีฬาแห่งจังหวัดกระบี่ ได้มอบเสื้อในการแข่งขันกีฬาฯให้แก่ทัพนักกีฬา จำนวนท่านละ 2 ตัว พร้อมทั้ง ท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดกระบี่ มอบเบี้ยเลี้ยงและค่ายานพาหนะให้กับทัพนักกีฬาที่จะเข้าร่วมในการแข่งขันครั้งนี้

ตำรวจไซเบอร์ จับขบวนการหลอกให้ติดตั้งแอพสรรพากรหลอกให้ติดตั้งดูดเงินออกจากบัญชี ความเสียหายร่วม 5 แสนบาท

สืบเนื่องจากการที่ผู้เสียหายถูกหลอกให้ติดตั้งแอฟสรรพากรแล้วดูดเงินออกจากบัญชีธนาคาร อ้างว่าเป็นกรมสรรพพากรบอกว่าให้คุณยกเลิกโครงการคนละครึ่ง ส่งลิ้งค์ดาวน์โหลดแอป Revenue มาให้แล้วผู้แจ้งดาวน์โหลด หลังจากนั้นเครื่องไม่สามารถใช้การและไม่สามารถปิดเครื่องได้ พอเปิดดูแอพธนาคารพบว่าเงินหายไป จำนวน 499,900 บาท

กระทั่งวันที่ 18 พฤษภาคม 2566 หลังจากสืบสวนจนทราบตัวผู้กระทำความผิด เจ้าที่ตำรวจ กก.4. บก.สอท.3 บช.สอท. สืบสวนติดตาม นายรัทพล โครตติ อายุ 25 ปี ชาวจังหวัดอุดรธานี จนพบตัว ณ บริเวณไหล่ทางขาเข้าวัดป่าบ้านตาด ต.บ้านตาด อ.เมืองอุดรธานี จ.อุดรธานี จึงได้นำหมาย ศาลจังหวัดนครราชสีมา ที่ จ.130/2566 ลงวันที่ 5 เมษายน 2566 แจ้งข้อกล่าวหา ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น, นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชนและเข้าถึงโดยมิชอบซึ่งระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน”
ส่งดำเนินคดีตามกฎหมาย

ผลการปฏิบัติภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ,พล.ต.ต.อำนาจ  ไตรพจน์ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3, พ.ต.อ.คัมภีร์ พรหมสนธิ รอง ผบก.สอท.3,พ.ต.อ.ธีระ เชื้อสุวรรณ ผกก.4 บก.สอท.3 ได้สั่งการให้ พ.ต.ต.ธีรศักดิ์ นราศรี สว.กก.4 บก.สอท.3,

พ.ต.ต.ณัฐพล เสียมไหม สว.กก.4 บก.สอท.3 พร้อมชุดสืบสวนดำเนินการจับกุม
 

ตำรวจไซเบอร์ ทลายแหล่งผลิตซิมผีชายแดนแม่สอด ส่งออกแล้วกว่าหมื่นซิม ก่อนเตรียมย้ายรังหนี

กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์  วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท.,พล.ต.ต.วิวัฒน์  คำชำนาญ รอง ผบช.สอท.,พล.ต.ต.อำนาจ 
ไตรพจน์ รอง ผบช.สอท. ได้สั่งการให้ให้มีตรวจสอบการกระทำความผิดตามสื่อสังคมออนไลน์ ระดมกวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งขบวนการซื้อขายซิมผีบัญชีม้า สร้างความเดือดร้อนให้พี่น้องประชาชนเป็นจำนวนมาก

สืบเนื่องจากการจับกุมนายสมชาย ศิริเดชไพบูลย์ อายุ 59 ปี พร้อมลูกจ้างชาวเมียนมาอีก 2 คน เมื่อวันที่ 17 พ.ค.2566 พร้อมของกลางซิมการ์ดที่ได้ลงทะเบียนแล้วพร้อมใช้งานกว่า 346 ซิม เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.สอท.4 จึงได้ขยายผลไปถึงตัวการใหญ่ในการส่งซิมการ์ดโทรศัพท์ที่พร้อมใช้งานขายในประเทศและประเทศเพื่อนบ้าน จากสืบสวนทราบว่าเฟสบุ๊คที่ใช้ชื่อว่า “นู๋นุช ธรรศธนพร” มีผู้ติดตามกว่า 3.5 พันคน โพสต์ข้อความพร้อมรูปภาพขายซิมการ์ดโทรศัพท์พร้อมใช้งาน และยังโพสต์ภาพขณะที่กำลังนั่งลงทะเบียนเปิดใช้งาน (Activate) 

พล.ต.ต.ฐิตวัฒน์ สุริยฉาย ผบก.สอท.๔ ยังกล่าวอีกว่า จากการสืบสวนเจ้าของบัญชีเฟสบุ๊คดังกล่าว
คือ น.ส.ธรรศธนพร โชคสกุลอมรกิจ อายุ 38 ปี ชาวอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก มีพฤติกรรมในการนำบัตรประจำตัวประชาชนของผู้อื่นและบัตรบุคคลต่างด้าว (บัตรสีชมพู) มาลงทะเบียนซิมการ์ดเปิดใช้งาน (Activate) เพื่อส่งขายแก่ผู้ที่สนใจและขายให้แก่บุคคลทั่วไปหรือพวกมิจฉาชีพ (แก๊งคอลเซ็นเตอร์) ที่กบดานอยู่ตามประเทศเพื่อนบ้าน นำไปใช้โทรหลอกกลวงประชาชนในประเทศไทย หรือพวกที่เกี่ยวข้องกับเว็บพนันออนไลน์นำไปใช้ติดต่อในการชักชวนให้ประชาชนทั่วไปมาเล่นพนันออนไลน์ ทั้งในและต่างประเทศ นำมาซึ่งความเสียหายมหาศาล

ปทุมธานี มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ มอบเงินและสิ่งของพระราชทาน ช่วยเหลือผู้ประสบอัคคีภัย ในพื้นที่ จ.ปทุมธานี

ด้วยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดี ศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชูปถัมภก แห่งมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระราชูปถัมภ์ ทรงมีพระราชหฤทัยห่วยใยในความเดือดร้อนของประชาชน ได้มีพระราโชบายให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ในฐานะประธานมูลนิธิราชประชานุเคราะห์จังหวัด  ช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากอัคคีภัย ให้มีขวัญและกำลังใจในการต่อสู้ฝ่าฟันให้พ้นวิกฤตภัยไปได้ด้วยดี   ในวันนี้ (18 พ.ค. 66) จังหวัดปทุมธานี โดยนายอดิเทพ กมลเวชช์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี รองประธานคณะกรรมการมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ประจำจังหวัดปทุมธานี จึงได้นำเงินและสิ่งของพระราชทาน ไปมอบให้แก่ครอบครัวผู้ประสบอัคคีภัยในพื้นที่ จ.ปทุมธานี จำนวน 2 ครอบครัว ได้แก่  นางสาวสมพิศ วงษ์สนอง เจ้าของบ้านเลขที่ 30/24 หมู่ที่ 9 ตำบลคลองสี่ อำเภอคลองหลวง ซึ่งบ้านเกิดเหตุเพลิงไหม้ เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2566  เวลา 10.00 น. ได้รับความเสียหายบางส่วน  และนางสาวสวิตตา แจ่มใส  เจ้าของบ้านเลขที่ 24/315 หมู่ที่ 2 ตำบลคลองสี่ อำเภอคลองหลวง  เกิดเหตุเพลิงไหม้เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2566 เวลา 14.00 น. ได้รับความเสียหายทั้งหลัง  โดยผู้ประสบภัยทั้ง 2 ครอบครัวต่างรู้สึกสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้   

โอกาสนี้ นายนิติชัย วิริยานนท์ นายอำเภอคลองหลวงนางสาวสุพีพร โมรา หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดปทุมธานี หัวหน้าส่วนราชการ เหล่ากาชาดจังหวัด กลุ่มแม่บ้านมหาดไทยจังหวัดปทุมธานี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เข้าร่วมพิธี ในเวลา  10.00 น. ณ ห้องประชุมองค์การบริหารส่วนตำบลคลองสี่  ตำบลคลองสี่ อำเภอคลองหลวง  จังหวัดปทุมธานี

ภาพ/ข่าว ประภาพรรณ ขาวขำ/รายงาน

โรงเรียนนายเรือ จัดกิจกรรมจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ” บริจาคโลหิต 

โรงเรียนนายเรือ จัดกิจกรรมจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ “เราทำความ ดี 
ด้วยหัวใจ” ในการบริจาคโลหิต เพื่อถวายเป็นพระกุศล เนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปี วันสิ้นพระชนม์ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ 

พลเรือตรี จักรชัย น้อยหัวหาด เสนาธิการโรงเรียนนายเรือ นำคณะนายทหารชั้นผู้ใหญ่โรงเรียนนายเรือ และกำลังพลจิตอาสาโรงเรียนนายเรือ เข้าร่วมกิจกรรมจิตอาสาพระราชทานตามแนวพระราชดำริ “เราทำความ ดี ด้วยหัวใจ”ในการบริจาคโลหิต เพื่อถวายเป็นพระกุศลเนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปี วันสิ้นพระชนม์ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ 19 พฤษภาคม 2566 ณ สโมสรสัญญาบัตรโรงเรียนนายเรือ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ 
สืบเนื่องจาก สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ประชาชนไม่สะดวกในการเดินทางไปบริจาคโลหิตให้แก่สภากาชาดไทย และโรงพยาบาลต่างๆ ส่งผลให้ปริมาณโลหิตสำรองขาดแคลนไม่เพียงพอต่อความต้องการของโรงพยาบาลต่างๆโรงเรียนนายเรือ จึงได้จัดกำลังพลจิตอาสา ในการบริจาคโลหิตให้กับโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือในการช่วยแก้ไขวิกฤตการณ์ขาดแคลนโลหิตสำรองให้กับโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า กรมแพทย์ทหารเรือ

โดยการบริจาคในครั้งนี้ โรงเรียนนายเรือ ได้บริจาคโลหิตเป็น จำนวน 34,650  ซีซี.
นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน

ผู้บัญชาการโรงเรียนนายเรือ ประดับเครื่องหมายยศให้แก่ผู้ที่ได้เลื่อนยศสูงขึ้น

พลเรือโท ประวุฒิ รอดมณี ผู้บัญชาการโรงเรียนนายเรือ เป็นประธานในพิธีประดับเครื่องหมายยศ ให้แก่กำลังพลของโรงเรียนนายเรือที่ได้เลื่อนยศสูงขึ้น จำนวน 6 นาย ประกอบด้วยนายทหารสัญญาบัตร 3 นาย และนายทหารประทวน 3 นาย โดยมีนายทหารผู้ใหญ่ของโรงเรียนนายเรือเข้าร่วมพิธีฯ ดังกล่าว ณ ห้องหัวเรือ กองบัญชาการโรงเรียนนายเรือ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ 


นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน 

ผบ.ทร. ตรวจเยี่ยมการฝึกยิงอาวุธทางยุทธวิธี และการฝึกดำเนินกลยุทธ์ด้วยกระสุนจริง ในการฝึกกองทัพเรือ ปี 66

วันที่ 18 พ.ค.66 พลเรือเอก เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ พร้อมด้วยคณะนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของกองทัพเรือ เดินทางไปตรวจเยี่ยมการฝึกยิงอาวุธทางยุทธวิธี ของหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ณ สนามฝึกยิงอาวุธ กองการฝึก กองเรือยุทธการ หาดยาวทุ่งโปรง อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี และการฝึกดำเนินกลยุทธ์ด้วยกระสุนจริงของหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ณ สนามฝึกกองทัพเรือ หมายเลข 16 บ้านจันทเขลม อ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี

การฝึกยิงอาวุธทางยุทธวิธี และการฝึกดำเนินกลยุทธ์ด้วยกระสุนจริง เป็นส่วนหนึ่งของการฝึกภาคสนาม/ภาคทะเล ในการฝึกกองทัพเรือ ประจำปี 2566 โดยเป็นการฝึกในสถานการณ์ต่อเนื่องจากการฝึกยุทธวิธีร่วมของเรือในทะเล ในการป้องกันพื้นที่สำคัญของทัพเรือภาคที่ 1 และการฝึกตีโต้ตอบกำลังของข้าศึกที่ได้รุกล้ำอธิปไตย เข้ามาในพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพเรือ
โดยการฝึกยิงอาวุธทางยุทธวิธี ของหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง เป็นการฝึกในการปฏิบัติการของหน่วยต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่งประจำพื้นที่ โดยใช้อาวุธสำหรับป้องกันพื้นที่ทางบกจากการโจมตีของกำลังทางเรือและกำลังทางอากาศของฝ่ายตรงข้าม เพื่อตอบสนองภารกิจในการป้องกันประเทศ ซึ่งกำลังรบสำคัญในการฝึกครั้งนี้ ประกอบด้วย ปืนต่อสู้อากาศยาน อาวุธนำวิถีต่อสู้อากาศยานระยะใกล้แบบเคลื่อนที่ IGLA - S ปืนรักษาฝั่ง ซึ่งเป็นอาวุธประจำการของหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง และปืนรักษาฝั่งขนาด 155 มม. (ATMG) นอกจากนั้นยังมียานเกราะโจมตีสะเทินน้ำสะเทินบก แบบ VN – 16 จากหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน และอากาศยานไร้คนขับแบบ RQ - 21 Blackjack จากกองเรือยุทธการร่วมในการฝึกด้วย

สำหรับการฝึกดำเนินกลยุทธ์ด้วยกระสุนจริง (CALFEX) ของหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ณ สนามฝึกกองทัพเรือ หมายเลข 16 บ้านจันทเขลม อ.เขาคิชฌกูฏ จ.จันทบุรี นั้น เป็นการฝึกสถานการณ์ต่อเนื่องจากการฝึกกองทัพเรือ ประจำปี 2565 ในการปฏิบัติการต่อกำลังของฝ่ายตรงข้ามที่รุกล้ำอธิปไตยเข้ามาในพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพเรือตามแผนป้องกันประเทศ มีกำลังจากหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน และหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ซึ่งมีกำลังรบสำคัญ ประกอบด้วย ยานเกราะ (BTR 3E1) พร้อมด้วยอาวุธสนับสนุนในอัตรา ยานเกราะโจมตีสะเทินน้ำสะเทินบก แบบ VN – 16 ปืนใหญ่สนามขนาด 155 มม. เครื่องยิงลูกระเบิดหนักขนาด 120 มม. และปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน กองเรือยุทธการจัด เฮลิคอปเตอร์ลำเลียง เครื่องบินตรวจการณ์และชี้เป้า และอากาศยานไร้คนขับแบบ Schiebel Camcopter S - 100 และกำลังของกองทัพบก ประกอบด้วย
รถถังแบบ T - 84 Oplot รวมทั้งกำลังของกองทัพอากาศ ประกอบด้วย เครื่องบินขับไล่แบบ F–16

ผบ.ตร.ติวเข้มกำชับแนวทางการปฏิบัติการ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 เน้นย้ำการบันทึกภาพ เสียงขณะจับ ควบคุมตัว รับ ตร.ขาดแคลนอุปกรณ์ แต่จะบริหารจัดการที่มีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และระเบียบฯ ที่ออกโดยคณะกรรมการป้

วันนี้ (18 พ.ค.66) เวลา 16.00 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร.ได้เรียกประชุมด่วนตำรวจระดับหัวหน้าหน่วยประเทศ เพื่อกำชับการปฏิบัติการ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565  โดยมี พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร รอง ผบ.ตร., พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. พร้อมผู้บังคับบัญชาทุกระดับ (ผบช. ผบก. และหัวหน้าหน่วยระดับพื้นที่) เข้าร่วม ณ ห้องประชุม ศปก.ตร.ชั้น 20 อาคาร 1 ตร. 

การประชุมดังกล่าวสืบเนื่องจาก พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565  มาตรา 22 กำหนดให้ ในการควบคุมตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐผู้รับผิดชอบต้องบันทึกภาพและเสียงอย่างต่อเนื่องในขณะจับและควบคุมจนกระทั่งส่งตัวให้พนักงานสอบสวนหรือปล่อยตัวบุคคลดังกล่าวไป รวมถึงการแจ้งให้การจับกุม การควบคุมตัวให้พนักงานอัยการ ฝ่ายปกครองรับทราบ

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ จึงได้เรียกประชุมตำรวจเพื่อกำชับการปฏิบัติตามแนวทางกฎหมายให้ได้มากที่สุด แม้ว่าขณะนี้ ตร.จะขาดแคลนอุปกรณ์ อยู่ระหว่างการจัดซื้อจัดหา แต่ก็เน้นย้ำให้หน่วยบริหารจัดการตามที่มีอยู่เดิม ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด 

 เบื้องต้น ตร. มีกล้องติดตัวเดิม 120,597 ตัว กำลังพล ตร. ที่จะใช้ 160,000 นาย อยู่ระหว่างจัดหาอีกราวๆ 37,000 ตัว  โดยได้เร่งให้ทางสำนักงานส่งกำลังบำรุง รับผิดชอบการจัดซื้อจัดจ้างอุปกรณ์เครื่องบันทึกภาพและเสียง  และ เร่งให้ สำนักงานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (สทส.) รับผิดชอบจัดทำระบบจัดเก็บข้อมูลการบันทึกภาพและเสียง คาดว่าจะเสร็จสิ้นและส่งมอบให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ประมาณต้นเดือนกันยายน 2566 ประกอบกับระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหายว่าด้วยการบันทึกภาพและเสียงในขณะจับและควบคุม การแจ้งการควบคุมตัวและบันทึกข้อมูลเกี่ยวกับผู้ถูกควบคุมตัว พ.ศ. 2566 ซึ่งจะต้องออกโดยคณะกรรมการฯ ดังกล่าว   ยังไม่แล้วเสร็จ แต่ ตร. ได้แก้ปัญหา โดยจะออกแนวทางให้ตำรวจปฏิบัติไปพลางก่อน

ผบ.ตร.จึงได้สั่งการ เน้นย้ำข้าราชการตำรวจ ให้การดำเนินการเกี่ยวกับการบันทึกภาพและเสียงในขณะทำการจับและควบคุม และการแจ้งเรื่องการจับและควบคุม เป็นไปตามกฎหมาย พ.ร.บ.ฯ ดังนี้ 

1. ให้หัวหน้าหน่วยงานบริหารจัดการอุปกรณ์กล้องบันทึกภาพและเสียงที่มีอยู่เดิม ให้กับเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน (ส.) ฝ่ายป้องกันปราบปราม (ป.) และฝ่ายจราจร (จร.) หรือเจ้าหน้าที่ที่จะต้องปฏิบัติหน้าที่จับและควบคุมตัวเป็นหลักก่อน และหากไม่เพียงพอให้จัดให้กับเจ้าหน้าที่ที่เข้าเวรปฏิบัติหน้าที่ประจำวันก่อน  
2. การบันทึกภาพและเสียง ตามมาตรา 22 วรรคหนึ่ง ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้รับผิดชอบ บันทึกภาพและเสียงอย่างต่อเนื่องในขณะจับและควบคุมจนกระทั่งส่งตัวให้พนักงานสอบสวนหรือปล่อยตัวบุคคลดังกล่าวไป โดยให้ใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์บันทึกภาพและเสียงที่รัฐจัดหาให้ หรือในกรณีจำเป็นอาจใช้อุปกรณ์อื่นใดที่สามารถบันทึกภาพเหตุการณ์และเสียงได้ชัดเจนเพียงพอ เว้นแต่มีเหตุสุดวิสัยที่ไม่สามารถกระทำได้ก็ให้บันทึกเหตุนั้นเป็นหลักฐานไว้ในตามแบบบันทึกการควบคุมตัวที่ ตร.ได้ดำเนินการทำเป็นแนวทางการปฏิบัติ
3. การแจ้งการควบคุมตัวไปยังพนักงานอัยการ และนายอำเภอท้องที่ที่มีการจับกุม หรือผู้อำนวยการสำนักการสอบสวนและนิติการ ตาม ม.22 วรรคสอง เบื้องต้นให้ใช้วิธีประสานแจ้งไปยังศูนย์รับแจ้งของสำนักงานอัยการสูงสุด และกรมการปกครอง ซึ่งได้แจ้งแนวทางไปยังหน่วยแล้ว  พร้อมให้จัดทำสมุดคุมการแจ้ง ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ ชื่อผู้ต้องหา ข้อหา เจ้าหน้าที่ผู้แจ้ง - ผู้รับแจ้งพร้อมหมายเลขโทรศัพท์ วัน เวลาที่แจ้ง
4. การจัดเก็บบันทึกข้อมูลภาพและเสียง ในเบื้องต้นให้เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้รับผิดชอบในการจับและควบคุมตัว บันทึกข้อมูลภาพและเสียงลงในเครื่องคอมพิวเตอร์หน่วยงานของตนเองไปพลางก่อน   โดยในการเก็บข้อมูลให้จัดทำให้ปรากฎชื่อและนามสกุลของผู้ถูกจับ พร้อมทั้งหมายเลขประจำวันไว้ด้วย  ส่วนการจัดเก็บในระบบภาพรวม ตร. ขณะนี้ สทส. อยู่ระหว่างการจัดหาระบบจัดเก็บข้อมูลภาพและเสียงในระบบ CRIMES ซึ่งจะแล้วเสร็จภายในเดือน ส.ค.66 

กองกำลังสุรนารี จัดกิจกรรมแข่งขันกีฬาเชื่อมความสัมพันธ์ ระหว่าง 3 ประเทศ ตามโครงการ “หมู่บ้านเข้มแข็งคู่ขนานตามแนวชายแดน”

วันที่ 18 พฤษภาคม 2566 ที่ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี พลโท สวราชย์  แสงผล แม่ทัพภาคที่ 2  เป็นประธานมอบรางวัล กับ นักกีฬา 3 ประเทศ ในการแข่งขันกีฬาเชื่อมความสัมพันธ์ ระหว่าง 3 ประเทศ ตามโครงการ “หมู่บ้านเข้มแข็งคู่ขนานตามแนวชายแดน” โดยในช่วงเช้า มี พลตรี วีรยุทธ  รักศิลป์ ผู้บัญชาการกองกำลังสุรนารี พลโท เจีย  โซะเพียะ รองผู้บัญชาการประจำยุทธการบริเวณด้านภูมิภาคทหารที่ 4 พื้นที่ 2 และท่าน อำนวย  สุริยการ รักษาการหัวหน้าแผนกการต่างประเทศ สาธารณรัฐประชาธิปไตย ประชาชนลาว ร่วมเป็นประธานเปิด กิจกรรมการแข่งขันกีฬาเชื่อมความสัมพันธ์ ระหว่าง 3 ประเทศ ตามโครงการ “หมู่บ้านเข้มแข็งคู่ขนานตามแนวชายแดน” โดยมี วัตถุประสงค์ เพื่อให้หน่วยทหาร และส่วนราชการด้านความมั่นคง รวมถึงประชาชนในโครงการ “หมู่บ้านเข้มแข็งคู่ขนานตามแนวชายแดน” ของทั้ง 3 ประเทศ ได้มีกิจกรรมร่วมกัน

เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่าง 3 ประเทศ โดยใช้กีฬาเป็นสื่อกลาง เพื่อส่งเสริมความมั่นคงตามแนวชายแดน ให้มีความยั่งยืน และมีเสถียรภาพ ซึ่งมีผู้เข้าร่วมการแข่งขัน จำนวน 240 คน มีส่วนราชการ และประชาชน จากประเทศไทย สาธารณรัฐประชาธิปไตย ประชาชนลาว และประเทศกัมพูชา มีการแข่งขันกีฬา 4 ประเภทกีฬา ประกอบไปด้วย ฟุตบอลชาย เปตอง วอลเล่ย์บอล และ กอล์ฟ VIP  แบ่งเป็น 4 ทีม  มี ทีมไทย (กองทัพภาคที่ 2 และกองกำลังสุรนารี) จำนวน 60 นาย ทีมไทย (ม.ราชภัฏอุบลราชธานี และส่วนราชการ) จำนวน 60 คน  ทีม สาธารณรัฐประชาธิปไตย ประชาชนลาว (แขวงจำปาสัก) จำนวน 60 คน และทีมประเทศกัมพูชา (ภูมิภาคทหารที่ 4 และ พลสนับสนุนที่ 3) จำนวน 60 คน 


ปุรุศักดิ์  แสนกล้า  ข่าว/ภาพ

ผบ.ทร.เป็นประธานกิจกรรมเทิดพระเกียรติ "พระอาจารย์พระองค์แรกของนักเรียนนายเรือ”  

พลเรือเอก เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานในกิจกรรมเทิดพระเกียรติ "พระอาจารย์พระองค์แรกของนักเรียนนายเรือ” โดยมีพลเรือโท ประวุฒิ รอดมณี ผู้บัญชาการโรงเรียนนายเรือ พร้อมด้วยนายทหารผู้ใหญ่ของโรงเรียนนายเรือ ให้การรับรอง และมีราชสกุลอาภากร สามสมอสมาคม สมาคมภริยาทหารเรือ นายทหารผู้ใหญ่ของกองทัพเรือ หัวหน้าหน่วยขึ้นตรงกองทัพเรือในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล ตลอดจนหัวหน้าส่วนราชการจังหวัดสมุทรปราการ และข้าราชการในสังกัดเข้าร่วมกิจกรรมฯ ณ โรงเรียนนายเรือ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อรำลึกถึงพระกรุณาคุณของพระองค์ท่าน ที่ทรงมีต่อโรงเรียนนายเรือ กองทัพเรือและประเทศชาติ

โดยมีกิจกรรมต่างๆ ดังนี้ เวลา 09.20 น.พิธีถวายสักการะ กล่าวสดุดี และร้องเพลงพระนิพนธ์จำนวน 3 เพลง(ดาบของชาติ เดินหน้า ดอกประดู่) เทิดพระเกียรติฯ ณ พระอนุสาวรีย์กรมหลวงชุมพรฯ  
เวลา 09.45 น.พิธีเปิด และชมนิทรรศการเทิดพระเกียรติกรมหลวงชุมพรฯ ในชื่อ“เสด็จเตี่ยของนักเรียนนายเรือ สืบสานคำสอนเสด็จเตี่ยจวบจนปัจจุบัน" เวลา 10.00 น. กิจกรรมเสวนา “เสด็จเตี่ยของนักเรียนนายเรือ” โดยมีผู้ให้ความรู้งานเสวนา ได้แก่ หม่อมราชวงศ์ อภิเดช อาภากร พลเรือเอก ไพโรจน์ แก่นสาร พลเรือเอก จุมพล ลุมพิกานนท์ และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ด็อกเตอร์ รังสิพันธุ์ แข่งขัน และมีคุณเบส อรพิมพ์ รักษาผล เป็นพิธีกรดำเนินการเสวนา ณ หอประชุมภูติอนันต์ โรงเรียนนายเรือ 

ทั้งนี้ ระหว่างวันที่ 16 -19 พฤษภาคม 2566 เวลา 08.30 น. -17.00 น. โรงเรียนนายเรือได้เปิดให้หน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน นักเรียนนักศึกษา ตลอดจนประชาชนที่มีความสนใจเข้ามาสักการะพลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ และนิทรรศการเทิดพระเกียรติฯ  ตามห้วงเวลาดังกล่าว

โดยสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ กองกิจการพลเรือน กองบัญชาการโรงเรียนนายเรือ  โทร.02 475 7403 02 475 3963


นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี รายงาน 0909535645

จันทบุรี-กองทัพเรือ ฝึกการสนธิกำลังดำเนินกลยุทธ์ด้วยกระสุนจริง เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถของกำลังรบจากเหล่าทัพต่าง ๆ อันจะนำไปสู่การวางแผนการใช้กำลังทางทหารและการปฏิบัติการรบร่วมที่มีประสิทธิภาพ

วันนี้ (18 พ.ค.66 ) ที่ สนามฝึกกองทัพเรือ หมายเลข 16 บ้านจันทเขลม (จัน-ทะ-เขม) อำเภอเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี พลเรือเอก เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ พร้อมคณะนายทหารระดับสูงของกองทัพเรือ ได้เดินทางไปตรวจเยี่ยมการฝึก ชมการสาธิตสนธิกำลังดำเนินกลยุทธ์ด้วยกระสุนจริง ในการฝึกกองทัพเรือ ประจำปี 2566 โดยมีพลเรือโท เผดิมชัย สุคนธมัต ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน,นายมนต์สิทธิ์ ไพศาลธนวัฒน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี ตลอดจนข้าราชการระดับสูงในพื้นที่ ให้การต้อนรับ 

การตรวจเยี่ยมการฝึกของผู้บัญชาการทหารเรือ และคณะในวันนี้ นอกจากจะทำให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพเรือได้รับทราบรายละเอียดการปฏิบัติในการฝึก และทราบถึงขีดความสามารถ ตลอดจนความพร้อมในการปฏิบัติการของหน่วยต่าง ๆ ที่เข้ารับการฝึกแล้ว ยังเป็นแนวทางที่เปิดโอกาสให้ผู้ใต้บังคับบัญชาได้ใกล้ชิดผู้บังคับบัญชาชั้นสูง อันจะเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับกำลังพลที่เข้ารับการฝึกกองทัพเรือ ได้ตระหนักในหน้าที่หลัก ด้านการเตรียมความพร้อมของกำลังรบทางเรือเพื่อการป้องกันประเทศ โดยการพัฒนากำลังพลและระบบยุทโธปกรณ์ให้มีความพร้อมในการปฏิบัติการทางทหาร ในฐานะหน่วยงานหลักด้านความมั่นคงทางทะเลของประเทศไทย ในการเตรียมกำลังให้เกิดความพร้อม เพื่อปฏิบัติตามแผนป้องกันประเทศผ่านการฝึก ทั้งนี้ กองทัพเรือได้กำหนดให้หน่วยกำลังรบในทุกระดับ ดำเนินการเตรียมความพร้อมในระดับหน่วยตามความเชี่ยวชาญเฉพาะของกิจที่ได้รับ จนถึงการบูรณาการกำลังขนาดใหญ่เข้าด้วยกัน เพื่อฝึกการปฏิบัติการภายใต้สถานการณ์การฝึกตามแผนป้องกันประเทศในแต่ละด้านโดยกำหนดแนวคิดหลักอ้างอิงจากสถานการณ์ที่มีโอกาสเกิดขึ้นมากที่สุดไว้ในการฝึกกองทัพเรือประจำปี ซึ่งนอกจากจะเป็นการเตรียมความพร้อมของกำลังรบในการปฏิบัติการแล้ว การฝึกกองทัพเรือยังเป็นการทดสอบแผนการปฏิบัติระบบการควบคุมการบังคับบัญชา ระบบการสื่อสารและระบบการส่งกำลังบำรุงในภาพรวม ตลอดจนเป็นการทดสอบการปฏิบัติการร่วมระหว่างเหล่าทัพอีกด้วย รวมทั้งเพิ่มประสบการณ์ในเรื่องการจัดทำแผนการฝึกปัญหาที่บังคับการ การดำเนินกลยุทธ์ด้วยกระสุนจริง และการควบคุมบังคับบัญชา การประสานการยิงสนับสนุนอากาศ - พื้นดิน การติดต่อสื่อสาร การต่อต้านข่าวกรองของข้าศึก และการประสานการปฏิบัติร่วมกันให้มีความเข้าใจในหน้าที่ของกันและกัน โดยมีหัวข้อการฝึกที่สำคัญ คือ การฝึกแลกเปลี่ยน/ปรับมาตรฐาน (ปืนใหญ่) การฝึกแลกเปลี่ยน/ปรับมาตรฐาน (ทหารราบ) การฝึกยิงจรวดนำวิถี TOW การสนับสนุนทางอากาศ การส่งกลับสายแพทย์ และการฝึกดำเนินกลยุทธ์ด้วยกระสุนจริง ซึ่งกำลังที่เข้าร่วมฝึกจัดจาก กองพันทหารราบที่ 1 กองพันทหารราบที่ 6 กองพันรถถัง กองพันรถสะเทินน้ำสะเทินบก และกองพันลาดตระเวน ในสังกัดกองพลนาวิกโยธิน หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ประกอบด้วย กำลังทหารนาวิกโยธิน พร้อมยุทโธปกรณ์ อาทิ ปืนใหญ่ ขนาด 155 มม. ปืนใหญ่ขนาด 105 มม. ปืนต่อสู้อากาศยาน ขนาด 40/60 มม. ยานเกราะล้อยาง แบบ BRT รถสะเทินน้ำสะเทินบก (AAV) และรถฮัมวี่ติดจรวดนำวิถี TOW กำลังจากกองพันรักษาฝั่งที่ 12กรมรักษาฝั่งที่ 1 หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง พร้อมยุทโธปกรณ์ คือ ปืนใหญ่รักษาฝั่ง ขนาด 155 มม.


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top