Saturday, 24 May 2025
NEWS

เชียงใหม่- depa เหนือบน ร่วมให้การต้อนรับ นายกรัฐมนตรี ในโอกาสลงพื้นที่ตรวจราชการ จ.เชียงใหม่ 

เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2566 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง พร้อมคณะ ร่วมพบปะคนรุ่นใหม่ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อพูดคุยประเด็นด้านเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว ระบบขนส่งคมนาคม สังคม และสิ่งแวดล้อม (PM 2.5) พร้อมหารือทิศทางการพัฒนาจังหวัด โดยมี นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) และ นายปรัชญา โกมณี ผู้จัดการสาขาภาคเหนือตอนบน สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) ร่วมให้การต้อนรับ ณ อุทยานวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (STeP)

โดย นายกรัฐมนตรี ร่วมพูดคุยกับผู้แทนจากภาคเอกชน ผู้ประกอบการคนรุ่นใหม่ ภาคประชาชน ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ และผศ.ดร.ชนม์เจริญ แสวงรัตน์ ผู้ช่วยอธิการบดีมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในหลากหลายประเด็น ประกอบด้วย 1) โครงสร้างพื้นฐาน อาทิ สนามบินและระบบขนส่งสาธารณะ ขยายเวลาเปิด 24 ชั่วโมง เสนอสนามบินแห่งที่ 2 ส่งเสริมเอกชนโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล ระบบโครงข่ายถนน Links เชื่อม 25 อำเภอ 2) ส่งเสริมสนับสนุนการทำตลาด ได้แก่ อัปเกรดงานแสดงสินค้าสู่ระดับประเทศ จัดอีเวนต์ระดับโลก ดึงอีเวนต์ใหญ่มาจัดในจังหวัดเชียงใหม่ 3) ปรับปรุงกฎกระทรวงต่าง ๆ เกี่ยวกับ Visa ส่งเสริม Remote Woker และ Digital Nomad เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ 4) ส่งเสริมและสนับสนุนการทำตลาดในต่างประเทศ 5) นโยบายสนับสนุนเพิ่มจำนวนผู้ประเมินการปล่อยก๊าซเรือนกระจก พร้อมเดินหน้าแก้ไขปัญหาผังเมืองและการใช้ประโยชน์ที่ดิน

ขณะที่ข้อเสนอของคนรุ่นใหม่ อาทิ ประเด็นเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว ระบบขนส่งคมนาคม สังคม และสิ่งแวดล้อม (PM 2.5) Soft power โอกาสในการแข่งขันทางธุรกิจ การขอให้ขับเคลื่อน พ.ร.บ.อากาศสะอาด พื้นที่สาธารณะที่ปลอดภัยสำหรับเด็ก การทำ  Wellness Tourism ฯลฯ ซึ่งในบางเรื่องที่หารือนั้นอยู่ในแผนการดำเนินงานของรัฐบาลอยู่แล้ว 

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลฯ ยังได้ร่วมพูดคุยและรับฟัง Solution จาก Digital Startup ในจังหวัด ได้แก่ ระบบเตือนภัยแผ่นดินไหว ซึ่งเป็นแนวคิดจากเด็ก ป.6 สามารถนำมาต่อยอดให้การแจ้งเตือนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นวัตกรรมการผลิตน้ำเชื้อโคแยกเพศ ระบบบริหารจัดการหอพัก อพาร์ทเมนท์และธุรกิจรายวัน (Horganice) บริการทำความสะอาดและรีดผ้า (BeNeat) โดย นายกรัฐมนตรี ได้พิจารณาการจับคู่ค้า (Matching) กับต่างประเทศมาร่วมลงทุนด้วย พร้อมย้ำถึงการมีความทะเยอทะยานให้มากขึ้น เพื่อคิดหาแนวทางและขับเคลื่อนธุรกิจของตนเองให้มีศักยภาพ

ในโอกาสเดียวกันนี้ นายประเสริฐ ได้พบปะผู้แทนของหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวง อาทิ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (NT) ไปรษณีย์จังหวัดเชียงใหม่ สถิติจังหวัดเชียงใหม่ ศูนย์อุตุวิทยาภาคเหนือ และ depa โดย นายปรัชญา ได้รายงานการดำเนินงานที่ผ่านมาของ depa สาขาภาคเหนือตอนบน ไม่ว่าจะเป็นการผลักดันให้เกิดการขับเคลื่อนการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ในพื้นที่ การขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจดิจิทัลในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน รวมถึงการยกระดับกำลังคนดิจิทัล การเพิ่มทักษะใหม่ด้านดิจิทัลสำหรับวัยเรียนและผู้สูงอายุ

‘ยูเนสโก’ ประกาศขึ้นทะเบียน ‘เมืองโบราณศรีเทพ’ เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งที่ 4 ของไทยแล้ว

ถือเป็นข่าวที่คนไทย โดยเฉพาะชาวเพชรบูรณ์ได้ร่วมกันแสดงความยินดี หลังที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 45 ระหว่างวันที่ 10-25 ก.ย.นี้ ที่กรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย ประกาศขึ้นทะเบียน ‘เมืองโบราณศรีเทพ’ อุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งที่ 4 ของไทย

ทั้งนี้ ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ.2447 ประมาณ 118 ปีที่ผ่านมา สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงค้นพบเมืองโบราณศรีเทพ ที่ถูกทิ้งร้างอยู่กลางป่า ซึ่งเดิมชาวบ้านเรียกว่า เมืองอภัยสาลี ต่อมาสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ พบเมืองโบราณขนาดใหญ่ใกล้กับเมืองวิเชียรบุรี ซึ่งเมืองวิเชียรบุรีนั้น มีชื่อเดิมว่า เมืองท่าโรง และเมืองศรีเทพจึงทรงมีพระวินิจฉัยว่า ชื่อเมืองโบราณแห่งนี้น่าจะเป็นต้นเค้าของการเรียกชื่อเดิมของเมืองวิเชียรบุรีว่า ‘เมืองศรีเทพ’

ต่อมากรมศิลปากร ได้ทำการสำรวจขึ้นทะเบียนอนุรักษ์ และพัฒนาจนกระทั่ง จัดตั้งเป็นอุทยานประวัติศาสตร์เมื่อ พ.ศ.2527

ตลอดเวลาดังกล่าวได้มีการศึกษาวิจัย โดยนักวิชาการทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศ ทั้งนี้รัฐบาลได้เห็นถึงความสำคัญของเมืองโบราณแห่งนี้ จึงมอบหมายให้กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมศิลปากร ดำเนินงานอนุรักษ์และพัฒนาเมืองโบราณศรีเทพอย่างต่อเนื่อง

สำหรับเส้นทางสู่การขึ้นทะเบียน เมืองโบราณศรีเทพ และแหล่งต่อเนื่องนำเสนอเพื่อขึ้นทะเบียนมรดกโลก จำนวน 3 แหล่ง ได้แก่…

>> เมืองโบราณศรีเทพ
>> โบราณสถานเขาคลังนอก
>> โบราณสถานถ้ำเขาถมอรัตน์

ภายใต้เกณฑ์คุณค่าโดดเด่นอันเป็นสากล ด้วยเกณฑ์ข้อที่ 2 คือความสำคัญของการแลกเปลี่ยนคุณค่าของมนุษย์ในช่วงเวลาใด เวลาหนึ่งหรือในพื้นที่ในวัฒนธรรมใดๆ ของโลกผ่านการพัฒนาด้านสถาปัตยกรรม หรือทางเทคโนโลยีอนุสรณ์ศิลป์ ขณะที่การวางแผนผังเมืองหรือการออกแบบภูมิทัศน์และเกณฑ์ข้อที่ 3 เป็นพยานหลักฐานที่ยอดเยี่ยมหรือหาที่เสมอเหมือนไม่ได้ของประเพณีวัฒนธรรม หรือวัฒนธรรมที่ยังคงอยู่ หรือสูญหายไปแล้ว

กระทั่งนำไปสู่การเสนอเมืองโบราณศรีเทพ เข้าสู่บัญชีเบื้องต้นแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรม (Tentative List) เมื่อพ.ศ.2562 และจัดทำเอกสารนำเสนอเมืองโบราณศรีเทพขึ้นบัญชีแหล่งมรดกโลกฉบับสมบูรณ์แล้วเสร็จ นำส่งยังศูนย์มรดกโลกเมื่อ 28 ก.พ.2565

ต่อมาสภาการโบราณสถานระหว่างประเทศ (ICOMOS) ได้ส่งผู้เชี่ยวชาญทำการตรวจประเมินเมืองโบราณศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ ระหว่างวันที่ 12-17 ก.ย.2565

เมื่อผ่านการตรวจประเมินของผู้เชี่ยวชาญแล้ว เมืองโบราณศรีเทพจึงได้ถูกบรรจุเข้าในวาระการพิจารณาของคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 45 ระหว่างวันที่ 10-25 ก.ย.นี้ ณ กรุงริยาด ซาอุดีอาระเบีย

อย่างไรก็ตาม ภารกิจของรัฐบาล ยังไม่สิ้นสุดเพียงการเฉลิมฉลองการประกาศให้เมืองโบราณศรีเทพเป็นมรดกโลกเท่านั้น กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมศิลปากร ได้จัดทำแผนแม่บทการอนุรักษ์และพัฒนาอุทยานประวัติศาสตร์ ศรีเทพ เพื่อรองรับการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองโบราณศรีเทพภายหลังจากการได้รับการประกาศเป็นมรดกโลก

โดยแผนดังกล่าวได้ผ่านการทำประชาพิจารณ์ และการมีส่วนร่วมของชุมชนและประชาชนในพื้นที่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะครอบคลุมทั้งเรื่อง การอนุรักษ์ การปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม แผนบริหารจัดการด้านการท่องเที่ยว การจัดทำแผนชุมชนด้านการจัดการสิ่งแวดล้อม และ การจัดทำข้อบัญญัติท้องถิ่นในด้านการอนุรักษ์ ทั้งเรื่องการอนุรักษ์ การปรับปรุงสภาพแวดล้อมให้เหมาะสม และการจัดทำข้อบัญญัติท้องถิ่นในด้านการอนุรักษ์
30 ปีมรดกโลกแห่งที่ 4 ของไทย...

สำหรับแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมของไทย ก่อนหน้านี้เคยมีการขึ้นทะเบียนมรดกโลกไว้ 3 แหล่ง ได้แก่…

1. นครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.2534
2. อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ศรีสัชนาลัย และ กำแพงเพชร เป็นมรดกโลก เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.2534
3. แหล่งโบราณคดีบ้านเชียง จ.อุดรธานี ซึ่งได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลก เมื่อปี 2535

ดังนั้นการขึ้นทะเบียนมรดกโลกเมืองโบราณศรีเทพ แห่งที่ 4 จึงห่างกันนานถึง 30 ปี

ไม่เพียงเท่านี้ ปัจจุบันประเทศไทย ยังได้นำเสนอแหล่งมรดกทางวัฒนธรรม เพื่อขึ้นบัญชีเบื้องต้นแหล่งมรดกโลก (Tentative List) ซึ่งคาดว่าจะเข้าที่ประชุมมรดกโลกของยูเนสโกในปี 2567 อีกด้วย อาทิ อุทยานประวัติศาสตร์ภูพระบาท จ.อุดรธานี

‘น้องดีโด้’ เด็กสู้ชีวิต!! เรียนเก่ง-วาดภาพสวย แต่ฐานะยากจน ต้องขอครูกลับบ้านทุกวันเพื่อมาดูแลพ่อพิการ แถมไฟฟ้าเข้าไม่ถึง

(19 ก.ย.66) จากกรณีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ Kruchem jitsiripaiboon ได้มีการโพสต์คลิปและภาพนิ่ง เล่าเรื่องราวของลูกศิษย์ที่ได้ไปเจอมาว่า “เมื่อวันจันทร์ไปเยี่ยมบ้านนักเรียนอยู่กับพ่อที่พิการ และน้องชายได้เห็นความเป็นอยู่ที่ลำบากอยู่ในบ้านเล็กๆ ของญาติท้ายหมู่บ้านที่ไฟฟ้ายังไปไม่ถึง ไม่มีไฟส่องสว่าง ซึ่งท่านนายอำเภอโนนนารายณ์ ท่าน สจ.ชิติพัทธ์ นายก อบต.โนน ผู้ใหญ่บ้านผักไหม ทีมงาน อสม. ได้ลงพื้นที่ให้กำลังใจ วางแผนเพื่อช่วยเหลือ และให้การช่วยเหลือเบื้องต้น ในนามตัวแทนของโรงเรียนนารายณ์คำผงวิทยา ขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ ค่ะ”

ผู้สื่อข่าวจึงได้ติดต่อสอบถามผู้โพสต์ซึ่งเป็นครูของน้อง เล่าว่า ได้ออกเยี่ยมบ้านเจอสภาพการเป็นอยู่ของลูกศิษย์แล้ว น้ำตาแทบไหลเลย สงสารลูกศิษย์ อยู่บ้านหลังเล็กๆ ท้ายหมู่บ้านผักไหม ตำบลโนน อำเภอโนนนารายณ์ จังหวัดสุรินทร์ โดยอาศัยอยู่กับคุณพ่อพิการ และน้องชายอีกคนกำลังเรียนอยู่ชั้น ป.3 บ้านไม่มีไฟฟ้าใช้ จะหุงข้าวแต่ละครั้ง ต้องหุงด้วยหม้อดิน 

น้องชื่อนายจักรภพ บุญยิ่ง กำลังเรียนอยู่ชั้น ม.6 ในโรงเรียนแห่งหนึ่งของอำเภอโนนนารายณ์ น้องเป็นเด็กมีความประพฤติดี กตัญญู ส่วนผลการเรียนดี เกรดเฉลี่ย 3.32 ส่วนคุณพ่อเป็นคนพิการอาชีพขายลอตเตอรี่เพื่อเลี้ยงดูลูก ช่วงนี้คุณพ่อป่วยช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ น้องจึงขออนุญาตคุณครู เพื่อมาดูแลพ่อในช่วงบ่ายไปกลับระยะทางกว่า 10 กิโลเมตร และคุณครูได้ตามนักเรียนมาเห็นการเป็นอยู่ลูกศิษย์ด้วยสายตาตัวเองถึงกับอึ้ง จึงอยากวอนสังคมช่วยเหลือลูกศิษย์ด้วย เพื่อสนับสนุนด้านการศึกษาและการเป็นอยู่

ล่าสุดทีมข่าวลงพื้นที่ บ้านน้องดีโด้ นายจักรภพ บุญยิ่ง นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนนารายณคำผงวิทยา อำเภอโนนนารายณ์ จังหวัดสุรินทร์ เด็กกตัญญู เรียนดี เคยได้รับรางวัลที่ 1 การประกวดวาดภาพที่มหาลัยขอนแก่น อยู่กับพ่อพิการ และน้องชายอีกคนเรียนอยู่ชั้น ป.3 สภาพบ้านไม่มีไฟฟ้าใช้หุงข้าวด้วยเตาฟืน อาศัยอยู่กับพ่อพิการ นายศุภชัย บุญยิ่ง อายุ 44 ปี อาชีพขายลอตเตอรี่ ประทังชีวิต รายได้เดือนละ 4,000 บาท เบี้ยยังชีพ 800 เพื่อส่งลูกเรียน

จากการสอบถามคุณครูสมใจ จิตสิริไพบูลย์ เล่าว่า นายจักรภพ บุญยิ่ง เป็นคนนิสัยดีร่าเริง ไม่เคยเอาปัญหาชีวิตมาใช้ที่โรงเรียน เป็นที่รักใคร่ของเพื่อนในชั้นเรียน ผลการเรียนอยู่ในระดับดี ซึ่งตอนที่ตนไปเยี่ยมนั้น ไม่คิดว่าจะลำบากขนาดนี้ นึกว่าพอมีไฟฟ้าใช้ พอไปเห็นแล้วมันแย่กว่าที่เราคิด รู้สึกสงสารน้อง และคิดว่าจะช่วยน้องได้อย่างไรกับครูที่ไปด้วยกัน

คุณครูเกษร ศรีจำปา ครูที่ไปเยี่ยมน้อง เล่าให้ฟังว่า พอไปเจอถึงกับอึ้ง น้องหุงข้าวด้วยหม้อดิน อาศัยอยู่ในกระท่อมเล็กๆ กับผู้ที่พิการ ครูเกษร เล่าความรู้สึกที่ไปเจอวันนั้น น้ำตาคลอเบ้า น้องเขาอยู่อย่างลำบาก แต่น้องเขาไม่เคยแสดงให้ออกมาให้เรารู้ว่าเขาลำบาก น้องเป็นเด็กดีมาก เป็นเด็กร่าเริง

ส่วนเพื่อนๆ ในชั้นเรียน ก็ได้เล่าความในใจให้ฟังว่า เป็นเด็กดี ขยัน ร่าเริง เรียนเก่า และเป็นคนที่ชอบวาดภาพด้วย การที่เป็นคนดีมีน้ำใจและร่าเริง จึงทำให้เป็นที่รักของเพื่อนๆในชั้นเรียน

ส่วนทางด้าน บ้านชุมชน วันนี้ก็พากันมาร่วมตัดยูคา เพื่อทำเสาไฟฟ้า เดินไฟให้กับครอบครัวของน้อง โดยมีผู้ใหญ่บ้าน นางขนิษฐา โพธิ์ศรี (ผู้ใหญ่บ้าน) หน่วยงานภาครัฐ  มีนายอำเภอโนนนารายณ์ นายชาญชัย พชรวรางกูล ร่วมวางแผนช่วยเหลือครอบครัวของน้องร่วมกับผู้นำในพื้นที่ ซึ่งเห็นแล้วอบอุ่น โดยเฉพาะนายอำเภอ ลงมือทำด้วยตนเอง

ความฝันของน้องอยากเป็นครูและอยากเป็นจิตรกร เพราะน้องเป็นคนที่ชื่นชอบในการวาดภาพอยู่แล้ว หากใครอยากช่วยเหลือน้อง มีจิตศรัทธาร่วมบริจาค ข้าวของเครื่องใช้ และทุนเพื่อการศึกษา ตามความฝันน้องอยากเรียนครูและจิตรกร ก็สามารถโอนเงินที่บัญชี ธนาคาร ธกส. สาขารัตนบุรี 020 2256 34703 นายจักรภพ บุญยิ่ง

‘สสส.’ ผนึกกำลัง ’BEM-BMN’ ชวนผู้โดยสาร MRT สำรวจ 'อุโมงค์ปอด' หวังกระตุ้นสังคม ‘หยุดสูบ-ลดเสี่ยง’ จากต้นเหตุมะเร็งปอด ที่คร่าชีวิตคนไทย

(19 ก.ย. 66) ณ สถานีรถไฟฟ้า MRT ลุมพินี สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ผู้ให้บริการทางพิเศษและรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงินและสีม่วง บริษัท แบงคอก เมโทร เน็ทเวิร์คส์ จำกัด หรือ BMN ผู้ให้บริการสื่อโฆษณาและพื้นที่จัดกิจกรรมในระบบรถไฟฟ้า สื่อสารสุขต่อยอดโครงการ ’MRT Healthy Station’ ความร่วมมือนี้เป็นจุดที่ 5 ของความร่วมมือในการสร้างสังคมสุขภาวะ ด้วยการเปิดตัว ’อุโมงค์ปอด’ Lung Tunnel เพื่อกระตุ้นสังคมให้รับรู้ว่า แค่คุณหยุดสูบ ปอดฟื้นฟูได้ ลดเสี่ยงการเสียชีวิต ชวนผู้โดยสารทีใช้บริการรถไฟฟ้า MRT เดินเข้าสู่สถานีลุมพินี เสมือนการเดินสู่อวัยวะปอด ผ่านระยะทางความยาวของอุโมงค์และพื้นที่สื่อ กว่า 100 เมตร ทั้งลายเส้นกราฟิกภาพภายในปอด พร้อมกับเทคโนโลยี AR ที่จะพาคุณไปรู้จักผลกระทบและตัวช่วยเลิกบุหรี่

ดร.สุปรีดา อดุลยานนท์ ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า สถานการณ์การสูบบุหรี่มีแนวโน้มที่ลดลง จากสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ล่าสุด ปี 2564 มีผู้สูบบุหรี่ 9.9 ล้านคน คิดเป็น 17.4% ของประชากรอายุ 15 ปีขึ้นไป ทั้งนี้ ข้อมูลจากองค์การสหประชาชาติ องค์การอนามัยโลก และกระทรวงสาธารณสุขไทย ปี 2564 พบแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตจากบุหรี่มากกว่า 80,000 คน คิดเป็น 18% ของการเสียชีวิตทั้งหมด ในจำนวนนี้เสียชีวิตจากควันบุหรี่มือสองกว่า 6,000 คน คิดเป็นความสูญเสียทางเศรษฐกิจเฉลี่ย 352,000 ล้านบาทต่อปี สสส. สนับสนุนทั้งการผลักดันนโยบายควบคุมยาสูบ พัฒนาองค์ความรู้วิชาการ และรณรงค์สื่อสารสังคม มองถึงแนวทางการสื่อสารที่สกัดกั้นไม่ให้คนไทย ก้าวเข้าสู่วงจรการทำร้ายสุขภาพ ได้ต่อยอดโครงการ ’MRT Healthy Station’ สร้างพื้นที่สาธารณะ ให้เป็นพื้นที่สร้างเสริมสุขภาวะสำหรับคนเมือง กระตุ้นให้สังคมตระหนักรู้ ถึงประโยชน์การดูแลสุขภาพ จุดประกายปรับเปลี่ยนพฤติกรรม

“การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุหลักของโรคมะเร็งปอด การสัมผัส หรือได้รับควันบุหรี่มือสอง มือสาม ยังเพิ่มความเสี่ยงเช่นกัน เพราะปอดเป็นด่านแรกที่ได้รับสารพิษจากควันบุหรี่มากที่สุดเมื่อเทียบกับอวัยวะอื่น ๆ สสส.จึงเชิญชวนสำรวจ อุโมงค์ปอด Lung Tunnel หยุดสูบ ลดเสี่ยง เพลิดเพลินไปกับลายเส้นกราฟิกบนทางเดินและสื่อโดยรอบ กว่า 100 เมตร  ให้ทีละก้าว เป็นก้าวแห่งการตื่นรู้ ปอดคุณจะเป็นอย่างไร เมื่อคุณเลิกสูบบุหรี่ เพียงแค่ 20 นาที ที่คุณเลิกสูบ ความดันโลหิตลดลง  2-12 สัปดาห์ เหนื่อยน้อยลง เพราะสมรรถภาพปอดเริ่มฟื้นตัว หากเดินถึงปลายอุโมงค์ จะค้นพบว่าแท้จริงแล้วร่างกาย และปอดสามารถฟื้นฟู แค่เลิกสูบบุหรี่ เท่ากับลดเสี่ยง” ดร.สุปรีดา กล่าว

นางวัฒนา สิทธิไวทยาภรณ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ BEM กล่าวว่า ภายใต้ธุรกิจที่เป็นผู้ให้บริการด้านการคมนาคมของ BEM  ยังมีการเปิดพื้นที่สาธารณะภายในสถานีรถไฟฟ้า เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้ามาใช้ประโยชน์ในเชิงสร้างสรรค์ได้อย่างสูงสุด ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญด้านคุณภาพชีวิตที่ดี และการมีสุขภาพที่ดี ดังนั้นความร่วมมือระหว่าง BEM สสส. และ BMN ในโครงการนี้ จึงเป็นการตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นขององค์กรอย่างแท้จริง พร้อมร่วมรณรงค์ให้ประชาชนทุกคน ได้ใช้พื้นที่สาธารณะร่วมกันด้วยความรับผิดชอบ เพื่อให้สังคมได้อยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน

นาย วิทสุวัฒน์ อำคาเพท กรรมการผู้จัดการ BMN  กล่าวว่า ทุกวันนี้พฤติกรรมของตัวเราที่คอยทำลายสุขภาพโดยไม่รู้ตัว ความร่วมมือระหว่าง BEM BMN และ สสส. ในครั้งนี้ จะสร้างประสบการณ์การเดินทางแบบน่าประทับใจ ด้วยเส้นทางแห่งความสุขที่จะทำให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดีขึ้น ตระหนักรู้ถึงผลเสีย และเข้าใจถึงผลดีของการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม สู่การมีสุขภาพที่ดีกว่าเดิม การสื่อสารโครงการนี้ ได้ใช้พื้นที่สื่อโฆษณาในสถานีรถไฟฟ้า MRT ลุมพินี ทางออกที่ 2-3 ซึ่งเป็นสถานีที่มีผู้ใช้บริการหนาแน่น เป็นพื้นที่หลักในการสื่อสารโครงการ สำหรับ สถานีลุมพินีถือเป็นแหล่งรวมของหนุ่มสาวชาวออฟฟิศ และเป็นตำแหน่งที่มีผู้คนสัญจรผ่านเป็นจำนวนมาก เชื่อว่าใครที่ได้เดินทาง และสำรวจอุโมงค์ปอดจนถึงทางออกปลายอุโมงค์ จะได้พบกับแรงบันดาลใจนำไปสู่การตัดสินใจ เริ่มต้นชีวิตใหม่กับสุขภาพที่ดีกว่าเดิม เพียงแค่เลิกบุหรี่”

น.ส.สุพัฒนุช สอนดำริห์ ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารการตลาดเพื่อสังคม สสส. กล่าวว่า สื่อในพื้นที่สาธารณะเป็นสื่อที่คนเข้าถึงได้ทุกวัน มีมูลค่าทางการตลาดสูง สร้างการรับรู้กับสังคมได้เป็นอย่างดี สสส. BMN และ BEM มีเป้าประสงค์เดียวกัน คือ การทำสื่อเพื่อสังคม เป็นหัวใจสำคัญของการร่วมมือครั้งนี้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าพื้นที่สื่อสาธารณะ สามารถส่งสาร ข้อมูล ให้ประชาชนที่สัญจรไปมา หันมาดูแลสุขภาพได้ สสส. จึงได้รับการสนับสนุนพื้นที่ภายในอุโมงค์ และพื้นที่สื่อโดยรอบความยาวกว่า 100 เมตร ถูกออกแบบผ่านการเล่าเรื่องของปอด จากปอดปกติเมื่อสูบบุหรี่แล้ว จะค่อย ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร  สสส. ได้เปลี่ยนข้อมูลวิชาการสู่เรื่องราวสนุก ๆ ให้ทุกคนได้รับสื่อ และประสบการณ์ร่วม ที่จะทำให้ฉุกคิด เตือนสติ โดยร่วมกันพัฒนาชิ้นงานอุโมงค์ปอดกว่า 9 เดือน  นอกจากนี้ได้รับความร่วมมือสร้างสรรค์ไอเดียการออกแบบ และวาดลายเส้นอุโมงค์ปอดยักษ์จากภาคเอกชนอีกด้วย  เพื่อให้ทุกคนตระหนักว่า การดูแลสุขภาพร่างกายเริ่มต้นได้ทันที ไม่ต้องรอ

เปิดบทสนทนา 'ท่านอ้น-อ.ปวิน' ในงานนิทรรศการเหยื่อ 112 ใต้บริบท 'ไม่มีใครผิด-ถูก' แต่อยู่ที่ทุกฝ่ายควรฟังซึ่งกันและกัน

(19 ก.ย. 66) รศ.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการมหาวิทยาลัยเกียวโต เปิดนิทรรศการโฉมหน้าเหยื่อ 112 (Faces of Victims of 112) ที่ Leroy Neiman Gallery มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย นครนิวยอร์ก เผยแพร่เรื่องราวของผู้ต้องหาที่ได้รับผลกระทบจากมาตรา 112 ในประเทศไทย โดยมีผู้สนใจรับฟังแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเชิงวิชาการ รวมไปถึงคุณวัชเรศร วิวัชรวงศ์ หรือ ‘ท่านอ้น’ โอรสคนที่ 2 ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ขณะดำรงพระอิสริยยศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ที่เดินทางไปร่วมชมนิทรรศการ

‘ท่านอ้น’ คุณวัชเรศร วิวัชรวงศ์ กล่าวว่า “ผมมา (ร่วมนิทรรศการโฉมหน้าเหยื่อ 112) เพราะว่า ตามความคิดเห็นส่วนตัวก็คือ รู้ดีกว่าไม่รู้ แต่ละคนก็มีความคิดเห็นและว่ามุมมองที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งมาจากประสบการณ์ของตัวเอง ไม่ว่าใครจะมีความคิดอย่างไร เราจะฟังหรือไม่ฟัง เขาก็มีความคิดนั้นอยู่ดี การที่เราไม่ฟังเขาก็ไม่ได้ทำให้ความคิดเห็นเขาหายไป เพราะฉะนั้นรู้ไว้ดีกว่าที่จะไม่รู้ จะเชื่อหรือว่าจะเห็นด้วยไม่เห็นด้วย ก็เรื่องของส่วนตัว มาฟังไว้รับรู้ไว้เป็นสิ่งที่ดีที่สุด…”

“เรื่องมาตรา 112 เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน มีความคิดเห็นกันทุกฝ่าย หลายฝ่าย หลายด้าน ก็ไม่ใช่ว่าฝ่ายไหนจะผิดฝ่ายไหนจะถูก แต่จริง ๆ แล้วขอให้ทุกฝ่ายฟังซึ่งกันและกัน มันก็มีเหตุผล เรามีความคิดเห็นยังไง เราฟังของอีกฝ่ายหนึ่งด้วย แล้วมาปรับความคิดของเราเอง”

ทางด้านรศ.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ ได้แสดงความคิดเห็นในประเด็นที่ท่านอ้น เดินทางมาร่วมชมนิทรรศกาล โดยระบุว่า "ผมก็คิดว่าเป็นสัญลักษณ์ในเชิงบวกนะ สำหรับผมก็คิดว่าเขายังเป็นส่วนหนึ่งของพระบรมวงศานุวงศ์ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลส่วนตัวอะไรก็ตามที่กลับเมืองไทยไม่ได้ แต่การที่เรามีคนที่เป็นสมาชิกของพระบรมวงศานุวงศ์มาชมนิทรรศการแบบนี้ ซึ่งหนึ่งเกี่ยวข้องกับเมืองไทย สองเกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชน และสามประเด็นมาตรา 112 มันเป็นอะไรที่ผมคิดว่าน่าชื่นชม ประเด็นนี้ไม่ใช่เป็นประเด็นว่าคุณเป็นเจ้าหรือไม่เป็นเจ้า ประเด็นนี้คือคุณเป็นคนหรือไม่เป็นคน เท่านั้นแหละ"

สำหรับนิทรรศการโฉมหน้าเหยื่อ 112 (Faces of Victims of 112) จะจัดแสดงที่ Leroy Neiman Gallery มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย (Columbia University) ระหว่างวันที่ 18-25 กันยายนนี้

‘โบว์ ณัฏฐา’ เตือน ‘หยก’ เป็น ‘นางสาวแล้ว’ อีกไม่นานจะบรรลุนิติภาวะ หวังว่าจะรู้ตัว-กลับบ้าน ก่อนใช้ประโยชน์คำว่า ‘เด็ก’ ไม่ได้อีก

(19 ก.ย. 66) น.ส.ณัฏฐา มหัทธนา หรือโบว์ พิธีกรรายการวิเคราะห์ข่าว และนักกิจกรรมเพื่อสิทธิมนุษยชน โพสต์ทวิตเตอร์ Bow Nuttaa Mahattana ระบุว่า…

“แทนที่ บุ้ง จะสนับสนุนให้ หยก กลับบ้าน บุ้งกลับสนับสนุนให้หยกออกจากบ้าน แล้วย้ายมาอยู่กับตัวเอง และเปิดบัญชีบริจาคให้คนโอนเงินสนับสนุนกิจกรรมของกลุ่มทะลุวัง เพื่อจะป่วนไปทั่ว สะสมคดีความ ดับอนาคต .. อีกสองสามปีหยกก็จะบรรลุนิติภาวะ ไม่มีคำว่าเด็กเป็นเกราะคุ้มกันอีกต่อไป ในวันที่คดีความของบุ้งสิ้นสุดและเดินเข้าคุก .. หวังว่าหยกจะรู้ตัว กลับบ้าน หรือยอมเข้ากระบวนการช่วยเหลือของรัฐ ไม่ใช้คำว่าเด็กสิ้นเปลืองเกินไปจนหมดเวลา

ถ้าหยกอายุต่ำกว่า 9 ปี รัฐจะสามารถดำเนินคดีพ่อแม่ข้อหาทอดทิ้งบุตรได้ แต่เมื่ออายุเกิน 9 ปี กระบวนการช่วยเหลือจึงซับซ้อนกว่านั้น และยากขึ้นไปอีกเมื่อเด็กไม่ให้ความร่วมมือ จนถึงยากที่สุดเมื่อมีกลุ่มการเมืองคอยจับผิดและพร้อมจะมีปัญหากับหน่วยงานรัฐ ในขณะที่มีเด็กอีกมากมายที่ต้องการและสมควรได้รับการช่วยเหลือและทุ่มเททรัพยากร

ความร่วมมือของหยกเองซึ่งเป็น ‘นางสาว’ แล้วไม่ใช่ ‘เด็กหญิง’ จึงเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งในการคลี่คลายปัญหาด้วย แต่ที่ผ่านมา หยก ปฏิเสธทุกอย่าง เพราะมีแนวร่วมและกลุ่มการเมืองคอยทำให้เขาเชื่อว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นคือความกล้าหาญที่น่ายกย่อง … แต่สุดท้ายคนที่จะต้องรับผลของการตัดสินใจเลือกนั้นคือตัวหยกเอง และโดยลำพัง ในวันที่ไม่เหลือคำว่าเด็กไว้ให้ใครหาประโยชน์อีกต่อไป”

'สุริยะ' เร่งเคลียร์ถนนแม่ฮ่องสอน หลังดินสไลด์ปิดกั้นทางสัญจร สั่ง!! 'กรมทางหลวงชนบท' จัดการด่วน ล่าสุดลุล่วงภารกิจ

กรมทางหลวงชนบท รับมืออุทกภัยเร่งด่วน นำกำลังเจ้าหน้าที่พร้อมเครื่องจักรเข้าพื้นที่จัดการบริเวณที่มีดินสไลด์บนถนนสาย มส.3004 แยก ทล. 105 - บ้านแม่สามแลบ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน เพื่อให้ประชาชนสามารถสัญจรผ่านได้โดยเร็วตามข้อสั่งการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ปัจจุบันสัญจรผ่านได้เรียบร้อยแล้ว

(19 ก.ย. 66) กรมทางหลวงชนบท (ทช.) โดยแขวงทางหลวงชนบทแม่ฮ่องสอน หมวดบำรุงทางหลวงชนบทแม่สะเรียง จัดเจ้าหน้าที่พร้อมเครื่องมือเครื่องจักรเข้าพื้นที่ดำเนินการจัดการดินที่สไลด์ลงมากีดขวางทางจราจรบนถนนทางหลวงชนบทสาย มส.3004 แยก ทล.105 - บ้านแม่สามแลบ อำเภอสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ช่วง กม.ที่ 48 +000 เนื่องจากมีฝนตกหนักอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ ทำให้เกิดดินสไลด์บริเวณสายทางดังกล่าว

ปัจจุบันได้ดำเนินการเปิดเส้นทางโดยจัดการสิ่งกีดขวาง เพื่อให้ประชาชนสัญจรผ่านได้อย่างสะดวกปลอดภัยเรียบร้อยแล้ว ตลอดจนได้จัดเจ้าหน้าที่ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อเข้าช่วยเหลือประชาชนได้ทันที ตามข้อสั่งการของ 'นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม'

ทั้งนี้ ทช. จะติดตามสถานการณ์อุทกภัยอย่างต่อเนื่อง และจะให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ โดยประชาชนสามารถแจ้งเหตุอุทกภัยได้ที่แขวงทางหลวงชนบทในพื้นที่หรือสายด่วนกรมทางหลวงชนบท 1146

'หยก' โต้ปมจัดฉาก แค่ถ่ายรูปสะท้อนเชิงสัญลักษณ์ ยัน!! ขอมาอยู่กับบุ้งเอง ไม่เคยถูก 'ชี้นำ-บีบบังคับ'

(19 ก.ย. 66) เฟซบุ๊ก Thanalop Phalanchai ของ ‘หยก-ธนลภย์’ สมาชิกกลุ่มทะลุวัง โพสต์ข้อความ ระบุว่า วันนี้หนูนั่งที่เดิมตรงที่เคยมีนักสิทธิมนุษยชนไปโพสต์ว่าหนูจัดฉาก แล้วคุณสรยุทธเอาวิดีโอตัวสั้นตัดมาไม่นานมาลง มีเสียงพี่บุ้งบอกให้หนูเขียนข้อความ

ข้อความที่พี่บุ้งบอกหนูคิดมาแล้วว่าจะเขียนถ้าครูปฏิเสธ แต่ถ้าใครดูตัวเต็มวิดีโอ จะเห็นเหตุการณ์ที่แตกต่าง มันเริ่มจากหนูเขียนกระดาษเสียไปหลายใบเพราะลายมือไม่สวยซะที จนพี่บุ้งบอกหนูว่าหนูต้องเขียนข้อความสี่คำนี้แบบไหน เว้นวรรคยังไงถึงจะชัด โดยหนูบอกว่าลายมือไม่สวย ๆ พี่บุ้งก็มาช่วย

ที่จริงถ้ากล้องหน้าโรงเรียนมีครบน่าจะมีให้ดูตอนที่พี่บุ้งบอกให้กลับบ้านด้วย แต่หนูตอบว่าไม่ แต่หลาย ๆ ครั้งกล้องไม่ลงตัวเต็มหนูก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากล้องของใครและตัดมาทำไมเท่านี้
เรื่องที่มีนักสิทธิมนุษยชนมาโพสต์ให้สังคมเข้าใจว่าหนูจัดฉากก็เหมือนกัน จริง ๆ แล้วหนูก็นั่งจริง ๆ นั่นแหละ แต่นั่งในห้องประชาสัมพันธ์ แล้ววันนั้นพอจะถ่ายรูปหนูก็เลยออกมาถ่ายเป็นเชิงสัญลักษณ์เนื่องจากไม่สามารถถ่ายภายในห้องนั้นได้ เพราะคุณครูไม่อนุญาตให้พี่ ๆ นักข่าวถ่ายรูปในห้องประชาสัมพันธ์ แต่การนั่งเพื่อประท้วงโดยสันติแต่ถูกเมินเฉยของหนูยังคงมีต่อไปเรื่อย ๆ ตอนนี้คิดว่าจะไม่นั่งข้างในห้องประชาสัมพันธ์แล้ว ถึงพี่บุ้งจะยังเป็นห่วงเรื่องสุขภาพ

เรื่องของหนู หนูเข้าใจว่าหลายคนไม่เห็นด้วย ไม่ว่าจะเพราะไม่ชอบพี่บุ้ง หรือเพราะอะไร แต่หนูเป็นคนที่ขอมาอยู่กับพี่เขาสมัครใจที่อยู่กับพี่เขาและที่สำคัญเค้าไม่ได้บังคับหนู แต่ทุกคนไม่เคยมีใครมาถามหนูสัมภาษณ์หนูเหมือนกันว่าเรื่องจริงคืออะไร แต่มีแต่เอาคลิปวิดีโอไม่กี่วินาทีมาลง

หนูไม่แน่ใจว่าที่โรงเรียนพวกคุณ สังคมทำกับที่หนูทำ อันไหนรุนแรงดูหยาบคายกว่ากัน

'สุชัชวีร์' ห่วงความปลอดภัย การซ่อมสะพานลาดกระบัง  ชี้!! ไม่ได้มาตรฐาน บทเรียนราคาแพงก่อนหน้าไม่ช่วยอะไร

(19 ก.ย. 66) นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ หรือ ดร.เอ้ อดีตนายกสภาวิศวกรและอดีตนายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย เปิดเผยทางเฟซบุ๊ก เอ้ สุชัชวีร์ ระบุว่า

“สะพานลาดกระบัง ยังน่ากลัวเหมือนเดิม”

การสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินอาจเกิดขึ้นอีก หรือนี่คือ มาตรฐานกทม.

คนหัวตะเข้-ลาดกระบัง ตกอยู่ในภาวะเสี่ยง ต้องลอดผ่านสะพานที่กำลังก่อสร้างนี้ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ทุกวัน ทั้งที่รู้ว่าชีวิตอยู่กับอันตราย น่าเห็นใจที่สุด

จากรูป สะพานเดิมที่กำลังจะทุบ หรือจะปรับปรุง อยู่ในสภาพที่อันตรายมาก เพราะ

1.การก่อสร้างหรือรื้อถอนโครงสร้างสะพาน โดยไม่มีการค้ำยันที่เพียงพอ อันตรายมาก สังเกตจากรูป ไม่มีการค้ำยัน ทั้งที่มีการสัญจรของคนและรถ จำนวนมากทุกวัน หากคานแอ่น พังลงมา ไม่กล้าคิดว่าจะเกิดความสูญเสียมากเพียงใด

2.คานเริ่มมีรอยร้าว เพราะคานถูกสกัดอย่างหยาบ โดยไม่ระมัดระวัง เห็นสภาพแล้วแย่มาก หากของหล่นใส่คนเดินผ่าน หรือรถจักรยานยนต์ รถยนต์ ไม่เจ็บก็ตายได้

3.การป้องกันผลกระทบจากการก่อสร้าง ถือว่ามาตรฐานต่ำมาก ไม่ปิดกั้นบริเวณก่อสร้างให้ดี เปิดถ่างไว้ รถผ่านไปมา เสี่ยงที่สุด อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกเวลา ยิ่งมองเข้ามาข้างใน ยิ่งสลด เพราะการจัดการก่อสร้างแย่มาก ไม่เป็นระเบียบ งานลักษณะนี้สะท้อนถึงความใส่ใจของผู้รับเหมา และผู้ควบคุมงานได้ จริงไหมครับ

โครงการนี้ ผมเคยเตือนมาแล้ว สุดท้ายก็เกิดเหตุ ถล่มลงมา คนตาย ผมเคยคิดว่า กทม. เจ้าของโครงการได้บทเรียนราคาแพงไปแล้ว จะใส่ใจมากกว่านี้ แต่ที่เห็น ก็แทบไม่ต่างจากเดิม เสียใจและห่วงใยจริง ๆ ผมเองก็ต้องไปส่งลูกไปโรงเรียน ต้องผ่านทางนี้ เลี่ยงไม่ได้เช่นกัน จึงขอพูดในทั้งฐานะวิศวกรอาชีพ และชาวบ้านลาดกระบังคนหนึ่ง

ทำให้ดีเถอะครับ ท่านต้องคิดว่า ชาวบ้านเปรียบเสมือนครอบครัวของเรา คงไม่มีใครอยากให้ครอบครัวเราเดือดร้อน ใช่ไหมครับ

พังงา กองพันต่อสู้อากาศยานที่ 22 ฝึกทบทวนก่อนออกปฎิบัติราชการ 10 วันของการฝึก รู้ลึกยุทธวิธีและวิชาการ

นาวาโท ศักรินทร์ ซื่อสงวน ผู้บังคับกองพันต่อสู้อากาศยานที่ 22 / ผู้อำนวยการฝึก กองอำนวยการฝึกหน่วยปฏิบัติการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่งที่ 452 และคณะนายทหารฝ่ายอำนวยการฝึก ให้การต้อนรับ นาวาโท บัณฑิตย์ ขันธสาลี หัวหน้าชุดประเมินผลการฝึก ศูนย์การฝึกหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง และคณะ ในโอกาสเข้าประเมินการฝึกทบทวนความพร้อมก่อนออกปฏิบัติราชการของ หน่วยปฎิบัติการ หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่งที่ 452 และหมู่ปืนต่อสู้อากาศยานขนาด 37 มิลลิเมตร หน่วยปฎิบัตการ หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่งที่ 451 วงรอบผลัดเปลี่ยน ตุลาคม 66 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้การฝึกทบทวนในหัวข้อความรู้วิชาชีพต่าง ๆของกำลังพลชุดผลัดเปลี่ยนมีความพร้อมตามมาตรฐานของหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง และสามารถปฎิบัติภารกิจตอบสนองหน่วยเหนือได้อย่างมีประสิทธิภาพ และฝึกการใช้อาวุธให้ชำนาญ เมื่อปฏิบัติการจะเกิดผลสำเร็จ"โดยฝึกการใช้อาวุธประจำกายและอาวุธประจำหน่วย เพื่อให้เกิดความชำนาญในการใช้อาวุธและสามารถแก้ไขข้อขัดข้องเบื้องต้นได้อย่างรวดเร็วอันจะส่งผลสำเร็จอย่างต่อเนื่องของการปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากหน่วยเหนือ
            

นาวาโท ศักรินทร์ ซื่อสงวน ผู้บังคับกองพันต่อสู้อากาศยานที่ 22 / ผู้อำนวยการฝึก กองอำนวยการฝึกหน่วยปฏิบัติการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่งที่ 452 กล่าวว่า สำหรับการฝึกทบ ก่อนออกปฏิบัติราชการ เป็นการทบทวน ความรู้ความเข้าใจ ในด้านยุทธวิธี ส่วนใหญ่จะเน้นในการป้องกันฐาน ที่จะไปปรับเปลี่ยนกำลังพลในช่วงเดือนตุลาคมนี้ คนที่จะไปใหม่ก็ต้องมีพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือ ขนย้ายผู้ป่วย การยิงยุทธวิธี แบบทหารราบ ป้องกันฐานที่มั่นและ การถอนตัว เริ่มฝึกกันมาสักระยะแล้ว เป็นห้วงเวลาและเป็นช่วงการยิงอาวุธสุดท้าย ซึ่งเพิ่มความชำนาญและมั่นใจให้กับกำลังพล ที่ลงไปปฏิบัติหน้าที่ ตามหน่วยปฏิบัติการ ของหน่วยต่อสู้อากาศยานชายฝั่ง ในพื้นที่ต่างๆ การฝึกครั้งนี้ ทำให้กำลังพลมีความมั่นใจมีความรู้ในเทคโนโลยีใหม่ๆ รวมถึงภัยคุกคาม ในยุคปัจจุบันที่อาจจะเกิดขึ้นได้ และรู้ขั้นตอนการปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุการณ์ และสามารถประสานงานหน่วยข้างเคียงได้ การนำไปปฏิบัติการจริง กำลังพลฝึกมีขวัญและกำลังใจที่ดี สามารถศึกษาด้านยุทธวิธีและด้านวิชาการที่จะนำไปใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ดีเยี่ยม พร้อมเข้าปฏิบัติหน้าที่รักษาผลประโยชน์ของกองทัพเรืออย่างเต็มความสามารถ

‘มาดามแป้ง’ นั่งแท่นทูตยูนิเซฟ ประเทศไทย คนที่สองของไทยต่อจาก ‘อานันท์ ปันยารชุน’

ยูนิเซฟประกาศแต่งตั้งนางนวลพรรณ ล่ำซำ หรือ มาดามแป้ง เป็นทูตองค์การยูนิเซฟประจำประเทศไทย โดยมาดามแป้งจะมีบทบาทสำคัญในการช่วยยูนิเซฟรณรงค์สร้างความตระหนักถึงปัญหาต่าง ๆ ที่กระทบความเป็นอยู่ของเด็ก พร้อมทั้งระดมการสนับสนุนจากหลากหลายภาคส่วนเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็ก ๆ ในประเทศไทยและทั่วโลกโดยเฉพาะเด็กกลุ่มเปราะบางที่สุด

นางนวลพรรณ ล่ำซำ กล่าวว่า รู้สึกเป็นเกียรติและยินดีอย่างยิ่งที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นทูตองค์การยูนิเซฟประจำประเทศไทย และขอขอบคุณสำหรับความไว้วางใจที่ได้มอบหน้าที่อันทรงเกียรตินี้ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีสำหรับเด็กทุกคนในประเทศไทย ซึ่งนับเป็นงานที่สำคัญมาก 

“เพราะแป้งเชื่อจากใจจริงว่าเด็กทุกคนคืออนาคตของชาติ ที่จำเป็นที่จะต้องได้รับการดูแล เอาใจใส่ เพื่อให้เติบโตขึ้นมาอย่างแข็งแรงและมีคุณภาพ เฉกเช่นเดียวกับต้นไม้ที่จะเติบโตผลิดอกออกผลได้ดีก็ต่อเมื่อถูกปลูกในผืนดินที่อุดมสมบูรณ์ ได้รับการรดน้ำ พรวนดินจากสังคมและสิ่งแวดล้อมรอบข้าง และด้วยความตั้งใจจริงกับศรัทธาที่แป้งมี แป้งจะพยายามทำทุกอย่าง โดยอาศัยความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ และความถนัดที่แป้งมีเพื่อร่วมสร้างสังคมและสภาพแวดล้อมที่เด็ก ๆ สามารถจะเติบโตขึ้นมาได้อย่างมีคุณภาพ และมีความสุขที่ยั่งยืนค่ะ”

การแต่งตั้งมีขึ้นในวันนี้ที่องค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย โดยมีนางคยองซอน คิม ผู้อำนวยการองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย ร่วมแสดงความยินดีกับมาดามแป้งในโอกาสการเข้ารับตำแหน่งทูตองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทยอย่างเป็นทางการ

“เรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับมาดามแป้งในฐานะทูตองค์การยูนิเซฟคนใหม่ของประเทศไทย คุณสมบัติที่เพียบพร้อมของมาดามแป้ง ตลอดจนความสำเร็จจากบทบาทอันหลากหลายและแรงบันดาลใจที่มาดามแป้งได้ส่งต่อให้กับสังคม จะมีส่วนช่วยให้ยูนิเซฟบรรลุภารกิจเพื่อเด็กทั้งในด้านการเป็นกระบอกเสียงให้กับเด็กและเยาวชน และการทำให้สังคมได้รับรู้และเข้าใจถึงความต้องการของเด็ก ๆ มากขึ้น  นอกจากนี้ มาดามแป้งจะมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงให้ภาคส่วนต่าง ๆ เข้ามามีส่วนร่วมเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนให้กับชีวิตของเด็ก ๆ ในประเทศไทยและทั่วโลกอีกด้วย” นางคยองซอน กล่าว

ในฐานะทูตองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย มาดามแป้งจะร่วมสนับสนุนงานของยูนิเซฟในหลากหลายด้าน  โดยจะเน้นไปที่การพัฒนาเด็กปฐมวัย การศึกษา การกีฬาเพื่อการพัฒนา การคุ้มครองเด็กจากภัยออฟไลน์และออนไลน์ และการขับเคลื่อนนโยบายคุ้มครองทางสังคมสำหรับเด็กและเยาวชนกลุ่มเปราะบาง ควบคู่ไปกับการรณรงค์ด้านต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมให้ความเป็นอยู่ของเด็กดีขึ้นในทุก ๆ ด้าน

อนึ่ง มาดามแป้งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นทูตองค์การยูนิเซฟ ประเทศไทย เป็นคนที่สองต่อจาก นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งดำรงตำแหน่งทูตสันถวไมตรีขององค์การยูนิเซฟ ประเทศไทยตั้งแต่ปี 2539 โดยก่อนหน้านี้ มาดามแป้งได้ร่วมงานกับยูนิเซฟในฐานะที่ปรึกษาขององค์การยูนิเซฟ ประเทศไทยตั้งแต่เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และได้ลงพื้นที่กับยูนิเซฟเยี่ยมเด็กข้ามชาติและเด็กไร้สัญชาติในจังหวัดเชียงใหม่เพื่อเน้นย้ำเรื่องสิทธิการศึกษาของเด็ก โดยเด็กทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมในการเข้าถึงการศึกษาไม่ว่าพวกเขาจะมีสถานะหรือสัญชาติใดหรือไร้สัญชาติก็ตาม

‘ทีมเปตองชายไทย’ ปิดจ็อบ!! คว้าแชมป์โลกสมัยแรก หลังผงาดเอาชนะสเปน รองแชมป์โลกปี 2021 ไปได้

(18 ก.ย.66) การแข่งขันเปตองชิงแชมป์โลก 2023 ที่เมืองโกโตนู ประเทศเบนิน เป็นการแข่งขันวันสุดท้าย ในประเภททีมชาย และหญิง โดยทีมชายไทย ที่ประกอบไปด้วย พ.อ.อ.ศราวุฒิ ศรีบุญเพ็ง, จ.ส.ท.สุพรรณ ทองภู, ธนวันต์ ทูซิวฮะ และ รัชตะ คำดี รอบรองชนะเลิศเอาชนะ แชมป์ 2 สมัยล่าสุดอย่างฝรั่งเศส มาได้แบบระทึก 13-11 คะแนน ผ่านเข้าชิงชนะเลิศกับ สเปน รองแชมป์โลกปี 2021

โดยเกมรอบชิงชนะเลิศ ใน 4 เกมแรก ทีมชาติไทยทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ขึ้นนำไป 9-0 คะแนน แต่หลังจากนั้นเป็น สเปน ที่กลับมาเล่นได้ดีขึ้น ทั้งตี ทั้งวาง จนทำให้ไทย กดดัน ก่อนที่ สเปน จะไล่มาเป็น 10-11 

อย่างไรก็ตาม ในการโยนเที่ยวที่ 12 ไทยพลิกสถานการณ์กลับมาเป็นฝ่ายคุมเกมได้ และเป็นสเปนที่กดดันตัวเอง ตีลูกแก่นออกไปจากวง เข้าทางทีมไทย ก่อนจะเป็น ธนวันต์ ทูซิวฮะ จะออกมาโยนปิดเกม ช่วยไทยปิดจ็อบเอาชนะไปอย่างสุดมัน 13-10 คว้าแชมป์โลกประเภททีมชายเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ หลังก่อนหน้านี้ 3 ครั้งที่ผ่านเข้าชิงชนะเลิศ มาในปี 1991 ,2008 และ 2012 ได้รองแชมป์ทั้งหมด

สรุปผลงานของทีมเปตองไทย ในศึกชิงแชมป์โลก 2023 ส่งแข่งขัน 7 ประเภท คว้ามาได้ 3 เหรียญทอง จากทีมชาย (ศราวุฒิ ศรีบุญเพ็ง, สุพรรณ ทองภู, ธนวันต์ ทูซิวฮะ, รัชตะ คำดี), หญิงคู่ (นันทวัน เฟื่องสนิท, สุนิตรา พ่วงอยู่) และชายเดี่ยว รัชตะ คำดี, 1 เหรียญเงิน จากชู้ตติ้งชาย (รัชตะ คำดี) และ 1 เหรียญทองแดง คู่ผสม (นันทวัน เฟื่องสนิท, ศราวุฒิ ศรีบุญเพ็ง) พร้อมกับผงาดคว้าเจ้าเหรียญทองมาครองได้อีกด้วย

'หนูนา' รับ!! ไม่เห็นด้วยไทยจะขอ 'แพนด้า' มาอีก ชี้!! เมืองไทยขาดสภาพธรรมชาติ หนุนช้างไทยกันดีกว่า

(18 ก.ย.66) น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา ในฐานะแฟนคลับแพนด้าตัวยง และ ผู้สนับสนุนการอนุรักษ์สรรพสัตว์ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า...

ได้ข่าวว่าจะมีการขอแพนด้ามาอีก…ขอบอกว่า อย่าเลย…เขาอยู่ที่จีนน่ะดีแล้ว

ดิฉันรักแพนด้า รักสัตว์ทุกอย่าง และหลินปิงคือแรงบันดาลใจแรก ๆ ของดิฉันในเรื่องสัตว์ต่าง ๆ เมื่อเรารักอะไร เราต้องรักแบบเห็นความสุขเขาเป็นที่ตั้ง ไม่ใช่ความสุขของเรา…

ที่ผ่านมา ทีมแพนด้าของเราทุกคน เลี้ยง ช่วงช่วง หลินฮุ่ย หลินปิงได้ดีมาก แต่สภาพที่อยู่ ส่วนจัดแสดงเราจำกัด เขาอยู่จีน ที่โน่นมีสวนให้ออกมาเดินตามธรรมชาติได้ทุกตัว ของเราไม่มี อยู่แต่ห้องแอร์ ช่วงอากาศหนาว ซึ่งสั้นมาก อาจออกมาได้วันละ 1-2 ชั่วโมงแต่ก็เพียงไม่กี่วัน…และเป็นสวนเล็ก ๆ

งบในการเช่าหมีแพนด้าก็สูงมาก และกระแสแพนด้าก็ไม่แรงแล้ว …กระแสช้างไทยต่างหากที่มาแรง…

ขอบอกเลยนะคะ เอางบมาช่วยเรื่องทำแหล่งอาหารสัตว์ดีกว่า โดยเฉพาะสัตว์ป่า ที่ปีหน้าจะแล้งหนัก… ก็ไม่ทราบจะมีใครฟังเราไหม...ถ้าท่านใดเห็นด้วย กรุณาช่วยดิฉันให้เสียงนี้ดัง ๆ นะคะ…

‘ผอ.องค์การทหารผ่านศึก’ รับมอบผักมูลนิธิโครงการหลวง ใช้ทำอาหารให้ผู้ป่วย-บุคลากรแพทย์ ใน รพ.ทหารผ่านศึก

(18 ก.ค. 66) ที่โรงพยาบาลทหารผ่านศึก พล.อ.สัณทัศน์ นันทิภาคย์หิรัญ ผู้อำนวยการองค์การทหารผ่านศึก (ผอ.อผศ.) เป็นประธาน รับมอบพืชผักที่ปลูกบนที่สูง ง่ายต่อการนำไปประกอบอาหาร ของมูลนิธิโครงการหลวง เพื่อเป็นวัตถุดิบประกอบอาหาร ให้ทางผู้ป่วยของโรงพยาบาลทหารผ่านศึก และเจ้าหน้าที่ บุคลากร ทางการแพทย์ของทางโรงพยาบาล 

โดยมีผักจำนวนหลายชนิด อาทิ ผักกวางตุ้งอินทรีย์ ถั่วฝักยาวอินทรีย์ เบบี้ฮ่องเต้อินทรีย์ กะหล่ำปลี และซาโยเต้ หรือยอดฟักแม้ว รวมน้ำหนักกว่า 100 กิโลกรัม 

ทั้งนี้ทางพล.อ.สัณทัศน์ ได้ส่งมอบให้กับทาง นพ.สง่า พินิจพิชิตกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลทหารผ่านศึก และนางสาวศศิรินทร์ ชวพรธนานนท์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาล (ฝ่ายการพยาบาล)รักษาการผู้อำนวยการกองพยาบาล เพื่อนำไปมอบให้กับฝ่ายโภชนาการของทางโรงพยาบาลนำไปประกอบอาหารเลี้ยงต่อไป 

สำหรับผักโครงการหลวง เป็นโครงการส่วนพระองค์ในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เพื่อส่งเสริมการปลูกพืชเมืองหนาวแก่ชาวเขาทดแทนการปลูกฝิ่น ซึ่งผักผลไม้ส่วนใหญ่เป็นพืชเมืองหนาวจึงให้ผลผลิตได้ดี อีกทั้งยังเป็นผักปลอดสารพิษและหาซื้อได้ง่ายสินค้าโครงการหลวง สามารถสร้างความมั่นใจแก่ผู้บริโภค ว่ามีประโยชน์ มีคุณภาพ วัตถุดิบคัดสรรมาอย่างดี 

ผักโครงการหลวง แต่ละชนิดมีประโยชน์และสรรพคุณดี เช่น ซาโยเต้ หรือยอดฟักแม้วผลคล้ายฝรั่งหรือว่าลูกแพร์ผิวขรุขระ เนื้อคล้ายฟักและแตง เนื้อกรอบฉ่ำน้ำ สามารถรับประทานเป็นผักสดได้หรือนำมาปรุงอาหาร ผัด ทำแกงจืด และลวกจิ้มน้ำพริกได้

เบ้บี้ฮ่องเต้ออร์แกนิค มีสรรพคุณเป็นผักที่มีวิตามินสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิตามินเอ วิตามินซี นอกจากนั้นยังมีธาตุอาหารพวกแคลเซียม และฟอสฟอรัสสูง นิยมนำมาผัดกับเนื้อสัตว์ ผัดน้ำมันหอย หรือต้มเป็นแกงจืด รสชาติหวานและกรอบ

นอกจากพืชผักแล้วยังมีผลิตภัณฑ์จากนม ทั้งนมกล่อง นมถุง นมอัดเม็ด โยเกิร์ต เนย คุกกี้ หรือจะเป็นแนวผลไม้ เช่นน้ำผลไม้ ไอศกรีมโฮมเมด เยลลี่ผลไม้ ผลไม้แปรรูป หรือจะเป็นสินค้าหัตถกรรมที่มีความละเอียดในการผลิต มีให้เลือกมากมาย

สามารถซื้อหาซื้อได้ ตามจุดจำหน่ายทั่วกรุงเทพ เช่น ร้านโครงการหลวง สาขา อ.ต.ก., ร้านโครงการหลวง สาขา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, ร้านโครงการหลวง สาขา ดิโอลด์สยามพลาซ่า, ร้านโครงการหลวงสาขา ท่าอากาศยานดอนเมือง, ร้านโครงการหลวงสาขาฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต, ร้านโครงการหลวงสาขา บองมาร์เช่, ร้านโครงการหลวงสาขา ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ, ร้านโครงการหลวงหัตถกรรม สาขา เซ็นทรัลเวิลด์, ร้านโครงการหลวง สาขา โรงพยาบาลรามาธิบดี, ร้านโครงการหลวง สาขา มูลนิธิพระดาบส และร้านโครงการหลวง สาขา เซ็นทรัลเฟสติวัล พัทยาบีช เป็นต้น

‘Caviar’ ยกระดับความหรูหราของ 'iPhone 15' ด้วยการฝังเพชร 570 เม็ด ราคา 20 ล้านบาท

(18 ก.ย.66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า Caviar แบรนด์หรูระดับโลก เปิดตัวผลงานมาสเตอร์พีชชิ้นล่าสุดที่ยกระดับความหรูหราของ iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max โดยรังสรรค์ผลงานสุดหรูหราภายใต้ชื่อ Diamond Snowflake Edition (เกล็ดหิมะเพชร) 

โดยการออกแบบกรอบด้านนอกใหม่ของ iPhone 15 Diamond Snowflake Edition จะใช้กรอบสีเงินที่ทำขึ้นจากทองคำขาว 18K รอบตัวเครื่องประดับด้วยเพชร 570 เม็ด ที่แกะออกมาจากสร้อยเพชรของ Graff ซึ่งเป็นบริษัทเครื่องเพชรระดับโลก กรอบของ iPhone 15 ได้รับการออกแบบให้มีลายโค้งของเพชรล้อมรอบ 'เกล็ดหิมะ' ที่ประกอบด้วยเพชรแพลทินัมและทองคำขาว 

ทางด้าน Caviar ได้อธิบายผลงานนี้ว่า "ความเจิดจรัสของฤดูหนาวยะเยือกทั้งหมด ถูกขับเน้นออกมาในไอโฟนที่แพงที่สุดในโลก" โดยข้อมูลของเว็บไซด์ caviar.global เปิดเผยราคา iPhone 15 ประดับเพชร 570 เม็ดรวมถึงทองคำขาว 18K นี้จะอยู่ที่ราคา 563,410 ดอลลาร์ หรือราคาประมาณ 20 ล้านบาท


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top