Sunday, 28 April 2024
NEWS

‘น้องปาล์มมี่’ ช่วยแม่ขาย ‘น้ำลำไย’ เมนูคลายร้อนสุดฮิต ใช้ลำไยวันละ 70 กิโล ขายได้ 400 แก้ว สร้างรายได้ละวันหมื่น!!

ขนมาเท่าไรก็ขายหมด!! น้อง ม.6 ช่วยแม่หาเงิน ขายน้ำลำไย สร้างรายได้หลักหมื่นต่อวัน!!
ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา น้ำลำไย ถือเป็นเมนูคลายร้อนที่ได้รับความนิยมและยังฮอตฮิตไม่สร่าง กลายเป็นอาชีพ ขายน้ำลำไย ที่สร้างรายได้ได้ดีอาชีพหนึ่งเลยทีเดียว

เมื่อไม่นานนี้ ‘น้องปาล์มมี่’ น.ส.อภิสรา โกมลวัฒนะ สาวน้อยวัย 18 ปี จากโรงเรียนสาธิต “พิบูลบำเพ็ญ” มหาวิทยาลัยบูรพา ผู้ใช้เวลาว่างจากการเรียน มาขายน้ำลำไยในตลาดนัดกับครอบครัว ทำยอดขายต่อวันหลักหมื่น!!

น้องปาล์มมี่ เล่าว่า ปัจจุบันตนเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สายวิทย์-คณิต ที่โรงเรียนสาธิตพิบูลบำเพ็ญ มหาวิทยาลัยบูรพา โดยตั้งใจจะสอบเข้าในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ เพราะชอบวาดรูป นอกจากเรียน-ติวหนังสือ และซ้อมวอลเลย์บอลแล้ว เมื่อมีเวลาว่างก็ไปช่วยแม่ขายน้ำพริกไข่ปูที่ตลาดนัดเป็นปกติอยู่แล้ว

กระทั่งช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมากระแสของ น้ำลำไย ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก น้องปาล์มมี่จึงนำไอเดียที่ได้เห็นไปพูดคุยกับคุณแม่และคนที่บ้าน

“ปกติคุณแม่ขายน้ำพริกไข่ปูอยู่ที่ตลาดนัดอยู่แล้วค่ะ แล้วหนูเป็นคนชอบเล่นโซเชียล ก็ไปเห็นว่า ช่วงนี้คนเขานิยมน้ำลำไยกัน ใน TikTok นี่ดังมาก เลยเอาไปให้แม่ดูและคุยกันว่า มาลองทำกินทำขายดีไหม เพราะหนูก็อยากกินด้วย แล้วถ้าทำขายมันก็น่าจะรุ่งนะ เพราะในตลาดนัดที่แม่ขายอยู่ ณ ตอนนั้น ยังไม่มีร้านน้ำลำไยขายเลย พอคุยกันเสร็จแม่ก็บอกลองดูก็ได้ เขาก็อยากหาอะไรใหม่ๆ มาขายเหมือนกัน เพราะน้ำพริกไข่ปูมันก็ไม่ได้ขายดีเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ก็เลยเปิดเน็ตดูว่าคนอื่นๆ เขาทำน้ำลำไยกันยังไง ให้พ่อให้พี่ให้น้องช่วยกันชิม ช่วยกันทำช่วยกันปรับสูตร ใช้เวลา 1 อาทิตย์ค่ะ ก็ได้สูตรที่ลงตัว ก็ไปขายกับแม่ที่ตลาดนัดเลย ตอนนี้ก็เปิดมาได้ 5 เดือนแล้วค่ะ” น้องปาล์มมี่ กล่าว

โดยร้านน้ำลำไยของน้องปาล์มมี่ ใช้ลำไยสายพันธุ์พวงทองในการทำ เพราะน้องบอกว่า ลำไยพันธุ์นี้รสชาติหวานและหอมกว่าพันธุ์อื่นๆ

“วันแรกที่ขายเลย เตรียมลำไยไปแค่ 10 กิโลเท่านั้นค่ะ ออกจากบ้านตั้งร้านบ่าย 2 โมง ประมาณ 5 โมงก็ขายหมดแล้วค่ะ มันเกินคาด เพราะหนูกับแม่ไปตั้งร้านเร็วด้วย ก็จะได้ลูกค้ากลุ่มแม่ค้าพ่อค้าที่เขามาตั้งร้านกันมาซื้อเป็นกลุ่มแรกๆ วันต่อๆ ไปก็เตรียมของเพิ่มขึ้นทีละนิดๆ จนปัจจุบัน ใช้ลำไยประมาณวันละ 70 กิโลค่ะ หนูขายแก้วละ 40 บาท ถ้าใส่ขวดหรือถุงก็ 50 บาท มันก็ขายได้ประมาณ 300-400 แก้วต่อวัน” น้องปาล์มมี่ กล่าว

ในเรื่องการลงทุน น้องปาล์มมี่ บอกว่า ส่วนนี้น้องไม่ทราบตัวเลขแน่ชัด เพราะคุณแม่เป็นคนจัดการทั้งหมด และได้บอกมาว่า ใน 1 วันที่ลงทุนซื้อของทำน้ำลำไย ลงทุนในเรื่อง ลำไย 70 กก. x 150 บาท น้ำตาล 600 บาท เตย 120 บาท ถุงแก้ว สติกเกอร์ 500 บาท และ น้ำแข็ง ประมาณ 1,000 บาท

“จริงๆ มันก็รู้สึกเหนื่อยนะคะ แต่ว่ามันสนุก เพราะเวลาไปตั้งร้านขาย เพื่อนๆ ก็จะแวะมาหากันเยอะ แต่ถ้าเรียนเสร็จกลับบ้านมาเฉยๆ มันก็เบื่อค่ะ” น้องปาล์มมี่ กล่าว

นอกจากกิจการน้ำลำไยที่ทำอยู่ น้องปาล์มมี่ยังเผยอีกว่า คุณแม่ได้ทดลองทำน้ำลำไยที่ผสมใบเตยลงไป เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ให้ลูกค้า อีกทั้งยังมีแพลนจะต่อยอดทำเป็นรถ Food Truck เพื่อเปิดเป็นร้านสาขา 2 ด้วย

พิกัดร้าน น้ำลำไยสด ของน้องปาล์มมี่อยู่ที่ ตลาดโต้รุ่ง จังหวัดชลบุรี หรือสอบถามได้ที่เบอร์ 095-141-6428

นราธิวาส-แม่ทัพภาคที่ 4 รุดเยี่ยมให้กำลังใจ 2 ครอบครัวไทยพุทธ หลังเกิดเหตุลอบยิง เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย เร่งติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีทางกฎหมาย

วันนี้ 21 มิถุนายน 2566 เวลา 15.00 น. ณ วัดทรายทอง อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส พลโท ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4/ ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 พร้อมด้วย พลตรี เฉลิมพร ขำเขียว ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส/ ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 15/ ผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

ตลอดจนหน่วยงานราชการในพื้นที่ เดินทางให้กำลังใจครอบครัวผู้เสียชีวิตเหตุคนร้ายลอบยิงชาวบ้านไทยพุทธ ขณะขับขี่รถจักรยานยนต์ 2 คัน เพื่อไปหาของป่า เป็นเหตุให้ประชาชนเสียชีวิต 2 ราย คือนายประเทือง พรหมทอง อายุ 42 ปี และนายนิวัฒน์ สังข์ทอง อายุ 55 ปี ประชาชนบ้านป่ากุง ตำบลรือเสาะ อำเภอรือเสาะจังหวัดนราธิวาส ซึ่งทั้ง 2 ราย เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 6 และเป็นสมาชิกโครงการราษฏรอาสารักษาหมู่บ้าน (อรบ.) กองพัน อรบ. รือเสาะ ซึ่งภายในงาน ยังมีพี่น้องประชาชนมุสลิมในพื้นที่ได้เดินทางมาร่วมแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตลอดจนให้กำลังใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิตอีกด้วย 

โดยแม่ทัพภาคที่ 4 ได้พบปะพูดคุยให้กำลังใจ ตลอดจนสอบถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับหน่วยในพื้นที่รับผิดชอบ พร้อมมอบเงินช่วยเหลือเกี่ยวกับการจัดการศพเบื้องต้น ก่อนจะสั่งการหน่วย ปรับมาจากการรักษาความปลอดภัยเป้าหมายอ่อนแอโดยเฉพาะกลุ่มไทยพุทธให้มีความรัดกุมมากยิ่งขึ้น เร่งตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุ ปิดกั้นเส้นทางเข้า - ออก ไม่ให้ประชาชนหรือผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามายังบริเวณจุดเกิดเหตุ หวั่นอันตรายหรือเกิดเหตุซ้ำซ้อน ช่วยกันดูแลพื้นที่ รวมทั้งตั้งจุดตรวจ จุดสกัด ทั้งเส้นทางหลัก เส้นทางรอง เพื่อสกัดกั้นการหลบหนีของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง พร้อมรวบรวมหลักฐาน ติดตามคนรายที่ก่อเหตุมาดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายอย่างเร่งด่วน 

นอกจากนี้ ยังกำชับให้เจ้าหน้าที่ ส่วนที่เกี่ยวข้องได้ทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ในการเข้าไปหาของป่า รวมทั้งมาตรการต่างๆ และให้เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยจุดเสี่ยง เฝ้าระวังไม่ให้เกิดเหตุการณ์กับพี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์อีก 

อย่างไรก็ตาม แม่ทัพภาคที่ 4 ได้ฝากไปยัง ผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น  กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน รวมถึงพี่น้องประชาชน ได้ช่วยเป็นหูเป็น หากพบเห็นสิ่งผิดปกติหรือบุคคลต้องสงสัย สามารถแจ้งหน่วยเฉพาะกิจในพื้นที่ หรือแจ้งเบาะแสสายตรงหาแม่ทัพภาคที่ 4 ได้ที่หมายเลขโทรศัพท์  061 - 1732999 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งนี้ จะมีการรดน้ำศพ นายประเทือง พรหมทอง  และนายนิวัฒน์ สังข์ทอง ในวันพรุ้งนี้ (22 มิถุนายน 2566) ณ วัดทรายทอง อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส มีพิธีสวดพระอภิธรรมศพทุกคืน และจะมีพิธีฌาปนกิจ ในวันที่ 25 มิถุนายน 2566 นี้
ข่าว.แวดาโอ๊ะ หะไร / อัสมา บินมะนุ จ.นราธิวาส

ผบ.ตร. มอบรางวัลแก่ผู้กองฮีโร่ช่วยหญิงชราป่วยติดเตียงจากเหตุบ้านเพลิงไหม้และตำรวจด่านตรวจแอลกอฮอล์จับกุมผู้ก่อเหตุอุ้มทำร้ายร่างกายพร้อมอาวุธปืนและกระสุนปืนเพียบ

วันนี้ (21 มิ.ย.66) เวลา 11.45 น. ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้มอบเกียรติบัตรโครงการ “ทำดี มีรางวัล” ให้แก่ข้าราชการตำรวจทั้งหมด 14 ราย 

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ กล่าวว่า สำหรับโครงการ “ทำดี มีรางวัล” 
นั้นเป็นโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับข้าราชการตำรวจและประชาชนที่ประกอบคุณงามความดีมีจิตสาธารณะ จนเป็นที่ยอมรับของสังคม ตลอดจนข้าราชการตำรวจที่มุ่งมั่นทุ่มเททำงานจนมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ สร้างชื่อเสียงให้แก่หน่วยงาน และในกรณีนี้คือ
เหตุการณ์แรก กรณี “ตํารวจวิ่งฝ่าเปลวเพลิงช่วยชีวิตผู้ป่วยติดเตียง” ผู้ที่ทําความดี คือ ร.ต.อ.ชูศักดิ์ แสงรูจี รองสารวัตรป้องกันปราบปราม สถานีตํารวจนครบาล ทองหล่อ

โดยเหตุการณ์เกิดเมื่อวันที่ 14 มิ.ย 66 เวลาประมาณ 13.30 น. เจ้าหน้าที่ตํารวจได้รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้ จึงได้นํากําลังไปยังที่เกิดเหตุซึ่งเป็นบ้านลักษณะทาวเฮ้าส์ และเมื่อทราบว่ามีผู้ป่วยติดเตียงติดอยู่ภายใน ร.ต.อ.ชูศักดิ์ฯ จึงได้ประเมินสถานการณ์และตัดสินใจวิ่งฝ่ากลุ่มควันและเปลวเพลิง เข้าไปภายในบ้าน และทําการช่วยเหลือโดยอุ้มหญิงผู้ป่วยติดเตียงที่กําลังสําลักควันไฟดิ้นรนช่วยเหลือตัวเองออกมาได้อย่างปลอดภัย คลิปวีดีโอการช่วยชีวิตดังกล่าว ถูกส่งต่อไปในโลกสังคมออนไลน์ ได้รับกระแสชื่นชมเป็นอย่างมาก 

และเหตุการณ์ที่ 2 กรณี “จับคนร้ายที่ด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์” ของเจ้าหน้าที่ตํารวจ งานสายตรวจ1 กองบังคับการตํารวจราจร โดยเมื่อวันที่ 20 มิ.ย.66 เมื่อเวลาประมาณ 00.30 น. ขณะที่เจ้าหน้าที่ ตํารวจปฏิบัติหน้าที่ตั้งด่านจุดตรวจวัดแอลกอฮอล์ บริเวณถนนร่มเกล้า เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร พบรถยนต์ต้องสงสัย 2 คัน ขับผ่านมาจึงเรียกให้หยุดเพื่อตรวจสอบ พบว่ามีชายตะโกนส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือออกมาจากรถเชฟโรเลตสีขาว เจ้าหน้าที่จึงเข้าไปทําการตรวจสอบ โดยระหว่างนั้น ชายฉกรรจทั้ง 5 คน ที่โดยสารมาในรถทั้ง 2 คัน พยายามวิ่งหลบหนี แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมไว้ได้ทั้งหมดที่บริเวณจุดดังกล่าว

เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจทําการตรวจค้นรถทั้ง 2 คัน พบอาวุธปืนสั้นและปืนลูกซอง รวม 6 กระบอก เครื่องกระสุนปืน 61 นัด และรถทั้ง 2 คัน ใช้ทะเบียนรถยนต์ปลอม จึงควบคุมตัวผู้ต้องหาไปสอบสวนที่ สน.มีนบุรี จากการ สอบสวนในเบื้องต้น ได้ข้อมูลว่าผู้เสียหายและผู้ต้องหารู้จักกัน โดยผู้เสียหายถูกทําร้ายร่างกายแล้วพาขึ้นรถมา ซึ่งเจ้าหน้าที่ตํารวจจะได้สอบสวนในรายละเอียดอีกครั้ง

ผบ.ตร.กล่าวอีกว่า “ตนขอชื่นชมในความกล้าหาญ ที่ให้การช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว และทันท่วงที ตนจึงได้มอบใบประกาศเกียรติคุณและรางวัลตามโครงการ “ทำดี มีรางวัล” และเงินรางวัล รวมทั้งสิ้น 25,000 บาท เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจเป็นแบบอย่างที่ดีแก่สังคม ซึ่งโครงการนี้เป็นโครงการที่จะมอบรางวัลให้กับข้าราชการตำรวจหรือประชาชนที่ปฏิบัติหน้าที่ดีเด่น ทำงานเชิงรุก เพื่อความสงบสุขของประชาชน ประกอบคุณงามความดี ช่วยเหลือประชาชน หรือทางราชการ ประพฤติตนดี คิดถึงประโยชน์ส่วนรวมและช่วยเหลือประชาชนจนเป็นที่ยอมรับต่อสังคม”

ปทุมธานี นายกแจ็สเสียใจผู้ว่าฯหมูป่าเสียชีวิตแล้วที่โรงพยาบาลศิริราช

เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2566 พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่างนายก อบจ.ปทุมธานี กล่าวว่า พึ่งจะทราบข่าวท่านณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี อายุ 58 ปี เสียชีวิตอย่างสงบ ที่โรงพยาบาลศิริราช ภายหลังเข้ารักษาอาการป่วยโรคมะเร็ง ที่โรงพยาบาลศิริราช จากท่านอดิเทพ กมลเวชช์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี โดยเสียชีวิตในช่วงเย็นที่ผ่านมาก็รู้สึกเสียใจและเสียดายแทนพี่น้องชาวจังหวัดปทุมธานี เพราะว่าช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ท่านมาดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี

และได้ปฏิบัติหน้าที่ทุกสิ่งทุกอย่างได้มีการประสานงานที่ดี ทั้งข้าราชการฝ่ายไหนก็ตาม นักการเมืองท้องถิ่นทั้งหมด ทำงานเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งหมด เพราะฉะนั้น การสูญเสียท่านไปพี่น้องชาวปทุมธานีก็เสียใจอย่างยิ่ง และเรากำลังเดินหน้าโครงการใหญ่ ๆ ที่ได้ท่านมาช่วยกันวางแผนการทำงานไว้หมดแล้ว ทุกอย่างต้องเดินหน้าต่อไป ฝากแสดงความเสียใจต่อครอบครัวของท่าน แทนประชาชนจังหวัดปทุมธานีด้วยครับ

ภาพ/ข่าว วะจะนะชัย วาจาพารวย/รายงาน

ชื่นชม!! ‘3 นร.’ ชั้น ม.5 ทำ CPR ช่วยเหลือลุงหมดสติ ด้านครอบครัวคุณลุงขอมอบทุนการศึกษาแก่เด็กทั้ง 3 คน

โซเชียลแห่แชร์เรื่องราวชื่นชม 3 นักเรียนชายจากโรงเรียนท่าวังผาพิทยาคม สพม.น่าน ที่ช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้น (CPR) ให้คุณลุงประชา ศิริอังกูร ที่กำลังประสบอุบัติเหตุ ต่อมาครอบครัวคุณลุงประชามอบทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนทั้ง 3 คน

เมื่อวันที่ 18 มิ.ย. 66 ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ‘Thida Samerjai’ ได้โพสต์นำเสนอเรื่องราวชื่นชม 3 นักเรียนชายจากโรงเรียนท่าวังผาพิทยาคม สพม.น่าน ที่ช่วยปฐมพยาบาลเบื้องต้น (CPR) ให้ชายรายหนึ่งที่กำลังประสบอุบัติเหตุ โดยผู้โพสต์ระบุข้อความว่า

“ขอพื้นที่เสนอข่าวเด็กดีบ้างนะคะ เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. 66 นายพิชาภพ ปะทิ นายอรรถกร จันทรธิมา และนายพนมชัย สนลา นักเรียนโรงเรียนท่าวังผาพิทยาคม สพม.น่าน ขณะเดินทางกลับบ้าน ได้ประสบเหตุพบคุณลุงประชา ศิริอังกูร ประสบอุบัติเหตุ มีจิตอาสาช่วยเหลือปฐมพยาบาลเบื้องต้น (CPR) และในวันต่อมา ภรรยา และลูกของคุณลุงประชา ศิริอังกูร ได้นำเงินมามอบเป็นทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนทั้ง 3 คน”

ล่าสุดเมื่อวันที่ 19 มิ.ย. เพจ ‘ที่นี่เมืองน่าน’ ได้โพสต์ภาพพร้อมรายงานเพิ่มเติมว่า…

“จากนั้นวันที่ 14 มิถุนายน 2566 ทางโรงเรียนท่าวังผาพิทยาคม อำเภอท่าวังผ่า จังหวัน่าน ได้ชื่นชมนักเรียนที่เป็นฮีโร่ได้เข้าช่วยเหลือลุงประชา ศิริอังกูร ประสบอุบัติเหตุ ก่อนที่มี นายพิชาภพ ปะทิ ชั้น ม.5/4, นายอรรถกรณ์ จันทรธิมา ชั้น ม.5/4 และนายพนมชัย สมลา ชั้น ม.5/3 นักเรียนโรงเรียนท่าวังผาพิทยาคม ที่มีจิตสาธารณะในการช่วยเหลือปฐมพยาบาลผู้ประสบเหตุเบื้องต้น คุณลุงประชา ศิริอังกุล ก่อนนำตัวส่งเข้ารักษาที่โรงพยาบาลท่าวังผา และทางญาติๆ คุณลุงได้นำเงินจำนวนหนึ่งมามอบให้เป็นทุนการศึกษาให้น้องๆ ฮีโร่ 3 คน เพื่อแทนคำขอบคุณนักเรียนที่ทำความดี เป็นตัวอย่างแก่นักเรียนและคนทั่วไป ณ หอประชุมหลังใหม่ โรงเรียนท่าวังผาพิทยาคม อ.ท่าวังผา จ.น่าน

จากการสอบถามฮีโร่ 1 ใน 3 คน ได้ ทราบว่า ขณะที่ตนเองกำลังเลิกเรียนและได้ขับรถกลับเข้ามาที่โรงเรียนเพื่อมาเตรียมจัดกิจกรรมกีฬาสี ขณะนั้นรถได้ติดไฟแดงก่อนถึงทางเข้าโรงเรียน แล้วได้หันไปเจอคุณลุงประสบอุบัติเหตุล้มลงตรงบันได ก็เลยขับรถออกไฟแดง แล้วเข้าไปช่วยเหลือคุณลงโดยทำ CPR ช่วยกันปั๊มหัวใจคุณลุง ในการปฐมพยาบาลเบื้องต้นในจุดที่เกิดเหตุ และประสานไปยัง 1669 ก่อนที่มูลนิธิเพชรเกษมน่านสาขาท่าวังผาได้เร่งนำตัวคุณลุงไปยังโรงพยาบาล ขณะที่เกิดเหตุนั้นคุณลุงหมดสติ เรียกไม่รู้สึกตัว ชีพจรก็เริ่มอ่อนลง

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ฮีโร่ทั้ง 3 คน ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เป็นความภาคภูมิใจเป็นอย่างยิ่งกับการได้เข้าช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ถึงแม้ว่า จะช่วยเหลือคุณลุงให้กลับคืนมาได้ก็ตาม แต่พวกเขาทั้ง 3 คนก็ได้ให้การช่วยเหลือจนสุดความสามารถ แต่ก็แสดงความเสียใจต่อการจากไปของคุณลุง

ด้านนางธิดา เสมอใจ ผู้อำนวยการโรงเรียนท่าวังผาพิทยาคม ได้กล่าวว่า มีความภาคภูมิใจกับเด็กนักเรียนทั้ง 3 คนที่เป็นจิตอาสาช่วยเหลือผู้อื่นโดยที่ไม่ได้ร้องขอ เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าโรงเรียนเป็นที่บ่มเพาะคนที่มีจิตใจที่ดีงามป็นตัวอย่างให้เยาวชนคนอื่นๆ และสร้างความภาคภูมิใจให้แก่โรงเรียนท่าวังผาพิทยาคม, ครอบครัวและตัวของนักเรียนเอง อีกทั้งยังสอดคล้องกิจกรรมนโยบายโรงเรียนปลอดภัย ของ สพม.น่าน และ สพฐ.อีกด้วย”

เยาวชนอายุ 15 ปี ที่กำลังมีประเด็นดรามา

เมื่อวันที่ 19 มิ.ย. 66 เฟซบุ๊กเพจ ‘SpokeDark TV’ ได้โพสต์ข้อความถึงกรณีของ น.ส.ธนลภย์ หรือ ‘หยก’ เยาวชนอายุ 15 ปี ที่กำลังมีประเด็นดรามา จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างมากในสังคมขณะนี้ โดยระบุว่า…

“ตอนเด็กเราไม่เคยกล้าเรียกร้องอะไร เพราะ ‘กลัว’ แต่พอเราโต เรากลับ ‘กล้า’ ที่จะทำให้เด็กหวาดกลัว ที่จะเรียกร้องอะไรๆ เราต่างเป็นผู้ใหญ่ที่น่าละอาย จงละอาย”
 

‘ดร.หิมาลัย’ แนะวิธีผ่อนคลาย มีสติ และทำใจให้เป็นกลาง เพื่อยอมรับ กับการเมืองที่มันเปลี่ยนไป

เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 66 ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้เล่าถึงประเด็น การจัดการ ความเครียดที่มากับการเมืองและการเลือกตั้ง
ผ่านรายการ ‘คุยกับ ดร. หิมาลัย’ EP.4 โดยระบุว่า…

ความเครียดที่มากับการเมือง ช่วงนี้คนไทยเครียดมาก ในเรื่องของการเมือง ในทางการเมืองนั้นที่ผ่านมามันเป็นการปลุกเร้าทางการเมือง เพื่อหาคะแนนเสียง มันเป็นการทำสงครามทางการเมือง มันจะรุนแรงก้าวร้าวและยิงตรงประเด็น เพราะถ้อยคำที่อ่อนโยนอ่อนหวานนั้นมันจะโดนกลืน มันไม่จุดกระแสมันไม่กินใจ ซึ่งเราอยู่ในบรรยากาศแบบนี้มานาน ในการเลือกตั้ง ซึ่งหลังจากที่ผ่านการเลือกตั้งมาแล้วบรรยากาศแบบนี้ก็ยังไม่หมดไป ทุกคนยังอินอยู่กับบรรยากาศที่เพิ่งผ่านมาอย่างต่อสู้โจมตีกัน มันก็เกิดความเครียด

วิธีการ ที่จะคลายความเครียดทางการเมือง ก็คืออยากจะให้ทุกคนทำใจให้เป็นกลาง ในระบบประชาธิปไตยนั้น เราต้องเคารพสิทธิ์ เคารพเสียงส่วนใหญ่แต่ในขณะเดียวกันเสียงส่วนใหญ่ก็ต้องเคารพและฟังเสียงส่วนน้อยด้วย เพราะความคิดเห็นของเสียงส่วนน้อยนั้นก็อาจจะนำมาช่วยเหลือชาติบ้านเมืองได้
.
อย่างแรก เสพข่าวให้น้อยลง ถ้ารู้สึกเครียด แน่นอนว่าข่าวการเมืองนั้นคือการมุ่งไปสู่จุดหมายเป้าหมายฉะนั้น ถ้อยคำที่ใช้ก็ย่อมจะ ปลุกเร้าอารมณ์

อย่างที่สอง ก็คือในการเสพข่าวนั้นเราต้องมีสติและมีใจที่เป็นกลาง ได้ยินสิ่งที่ไม่ชอบ มันลอยมาเข้าหูเราก็ต้องทำใจให้เป็นกลาง ก็ปล่อยให้มันเป็นไป

อย่างที่ 3 ก็คือหาสิ่งใหม่ๆทำ เอาชีวิตของเราไปให้กับสิ่งที่เราชอบให้กับครอบครัวให้กับพ่อแม่พี่น้อง แล้วก็ปล่อยเรื่องการเมืองให้มันเป็นไปตามบริบท

อย่าให้มิตรภาพเสียไปเพราะการเมือง เป็นเพื่อนกันมาเรียนกันมาตั้งแต่สมัยมัธยม เพราะเรื่องการเมืองแค่นี้ จะเสียมิตรภาพไปทำไม บางครั้งก็ต้องปล่อยวางกันบ้าง อย่าไปเครียดว่าเขาจะตั้งรัฐบาลกันได้ไม่ได้มันไม่ใช่หน้าที่ของเราแล้ว

ตามหลักศาสนานั้น มีคำว่าอนิจจังซึ่งก็คือการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงนั้นเราก็จะต้องยอมรับมันให้ได้ ถ้าชอบก็ยินดีถ้าไม่ชอบก็ทำใจ ก็แค่นั้นเอง ใครจะเป็น รัฐบาลก็เป็นไปเถอะอย่างน้อย เราก็เป็นคนไทยด้วยกันเราไม่ได้ไปเป็นเมืองขึ้นของใคร

ระวังภัยออนไลน์ เข้าดูเว็บไซต์ 18+ กดหัวใจใน TikTok เพื่อรับเงินค่าคอมมิชชัน สุดท้ายโดนหลอก

วันนี้ (20 มิ.ย. 66) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.สมพงษ์ ชิงดวง ที่ปรึกษาพิเศษ ตร. พร้อมคณะร่วมกันเปิดเผย การหลอกลวงสูงมากขณะนี้ เป็นคดีออนไลน์เรทติ้งเกี่ยวกับเว็บไซต์ 18+ และหลอกลวงให้โอนเงินทำภารกิจกดหัวใจใน TikTok เพื่อรับเงินค่าคอมมิชชัน

โดย พล.ต.ต. ชูศักดิ์ ขนาดนิด  ผบก.ตอท.บช.สอท. เปิดเผยว่า ภัยออนไลน์ที่คนร้ายหลอกลวงให้ประชาชนโอนเงินทำภารกิจเพื่อรับค่าคอมมิชชันเกี่ยวกับเว็บไซต์ 18+  “เข้าดูเว็บโป๊ สูญเงิน 3 ล้าน” คนร้ายโพส Facebook โฆษณาหาเหยื่อโดยใช้รูปแบบเว็บไซต์ 18+ เหยื่อหลงเชื่อกดลิงก์เพิ่มเพื่อนไลน์  คนร้ายเสนอเงื่อนไขให้ดูฟรีและมีเงินค่าคอมมิชชันจากการโอนเงินทำภารกิจเพิ่มเรทติ้ง  

โดยดึงเข้ากลุ่มหน้าม้า 5 คน (รวมเหยื่อและคนร้ายคนที่ 2 ด้วย) จากนั้นคนร้ายให้กดเข้าลิงก์เว็บไซต์ v-verve club ปลอมเพื่อโอนเงินทำภารกิจ เมื่อเหยื่อลงทะเบียนแล้ว ในช่วงแรกให้โอนเงินทำภารกิจจำนวนไม่มาก และเหยื่อได้เงินค่าคอมมิชชัน จากนั้นให้โอนเงินทำภารกิจจำนวนมากขึ้น คนร้ายจะอ้างว่าไม่เขียนบันทึกช่วยจำ เขียนผิด เขียนไม่ครบ เว้นวรรคไม่ถูกฯลฯ เพื่อให้โอนเงินเพิ่ม  

ต่อมาเมื่อคนร้ายให้เหยื่อถอนเงินได้  แต่ต้องจ่าย ค่าภาษี 37% ค่ายืนยันบัญชี 50% และค่าอื่นๆ ทุกครั้งจะให้โอนเพิ่มและอ้างเหมือนเดิมว่า ไม่เขียนบันทึกช่วยจำ เขียนผิด เขียนไม่ครบ เว้นวรรคไม่ถูกฯลฯ ในช่วงที่ให้เหยื่อโอนเงินเพิ่มนั้น คนร้ายจะแจ้งย้ำตลอดว่าสุดท้ายจะได้เงินคืนทั้งหมด ส่วนเหยื่อเห็นยอดเงินการลงทุนทำภารกิจขึ้นในระบบของเว็บไซต์ปลอม จึงเชื่อว่าจะได้เงินคืนทั้งหมดเช่นกัน สุดท้ายสูญเงินไป 3 ล้านกว่าบาท 

ขณะที่ รับโทรศัพท์ครั้งเดียว สูญเงินหลายแสน” คนร้ายใช้เบอร์โทรศัพท์ 02-502-8053 โทรหาเหยื่อแนะนำตัวว่าโทรมาจาก tiktok อยากให้ช่วยทำการตลาดโดยกดหัวใจ แล้วจะได้รับเงินค่าคอมมิชชั่นจำนวนมาก เหยื่อหลงเชื่อกดเพิ่มเพื่อนไลน์  คนร้ายส่งลิงก์แอปพลิเคชัน TikT0k ของจริงมาให้เหยื่อกดหัวใจ แล้วให้บันทึกหน้าจอส่งให้ดู  คนร้ายจ่ายเงินค่าคอมมิชชันให้เหยื่อ จากนั้นคนร้ายให้เหยื่อกดลิงก์เข้าเว็บไซต์ปลอมโอนเงินทำภารกิจง่ายๆ ใช้เงินทุนน้อย ๆ  เมื่อทำภารกิจเสร็จให้บันทึกหน้าจอส่งให้ดูแล้วให้เหยื่อโอนเงินเข้าบัญชีม้า  คนร้ายโอนเงินทุนพร้อมค่าคอมมิชชันให้เหยื่อคืนเพื่อให้หลงเชื่อ ต่อมาคนร้ายให้เหยื่อเข้ากลุ่ม VIP 3 คน และให้ทำภารกิจ 3 ภารกิจ 9 คำสั่งซื้อ แล้วจึงจะถอนเงินค่าคอมมิชชันได้หลายครั้ง 

โดยเพิ่มเงื่อนไขให้ยากขึ้น หากทำภารกิจผิดพลาดเหยื่อต้องรับผิดชอบ โดยต้องสั่งซื้อเพิ่ม 3-5 ครั้ง และต้องทำงานให้เสร็จภายในเวลาที่กำหนด ในภารกิจช่วงนี้คนร้ายให้เหยื่อโอนเงินซื้อพอร์ตหุ้น BTC ในเว็บไซต์ปลอมด้วย เหยื่อทำการกิจและโอนเงินตามขั้นตอนที่คนร้ายบอกให้ทำ ซึ่งแต่ละขั้นตอนยอดเงินจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และยอดเงินจะแสดงให้เห็นในระบบ เมื่อทำภารกิจเสร็จจะถอนเงินได้ คนร้ายอ้างว่าทำผิดขั้นตอน ถอนยอดไม่ตรง ต้องโอนเงินปลดล็อคระบบ และต้องโอนเงินฝากยอดเข้าระบบ สุดท้ายก็จะสูญเสียเงินไปจำนวนมาก

สมุทรปราการ-นายก ”อรัญญา” นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา สร้างภูมิทัศน์จัดกิจกรรม ปลูกต้นไม้ 12,000 ต้น สร้างพื้นที่สีเขียว ถนนแพรกษาเมืองน่าอยู่

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เทศบาลตำบลแพรกษา ต.แพรกษา อ.เมือง จ.สมุทรปราการ จัดกิจกรรมปลูกต้นไม้ (ต้นเฟื่องฟ้า) จำนวน 12,000 ต้น ที่บริเวณเกาะกลางด้านหน้าสำนักงานเทศบาลตำบลแพรกษา เพื่อสร้างพื้นที่สีเขียว อีกทั้ง เพื่อเป็นการส่งเสริมสร้างความสวยงามให้ถนนแพรกษากลายเป็นถนนที่สวยงามและเป็นเมืองที่น่าอยู่ ภายใต้โครงการ “ถนนสวย” ตามนโยบายการบริหารจัดการเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีแก่พี่น้องประชาชน

โดยกิจกรรมในครั้งนี้ ทางเทศบาลตำบลแพรกษา ได้รับเกียรติจากท่าน ขจร ศรีชวโนทัย อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น พร้อมด้วยคณะให้เกียรติร่วมปลูกต้นไม้ ได้แก่ ต้นเฟื่องฟ้า จำนวน 12,000 ต้น โดยมีท่าน ดร.ยงยุทธ สุวรรณบุตร อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสมุทรปราการ พร้อมด้วย นายเฉลิม ประสาททอง ท้องถิ่นจังหวัดสมุทรปราการ นางพรทิพย์ เดชะทัศน์ ท้องถิ่นอำเภอเมืองสมุทรปราการ นางอรัญญา สุวรรณบุตร นายกเทศมนตรีตำบลแพรกษา นำคณะผู้บริหาร สมาชิกสภาเทศบาล หัวหน้าส่วนราชการ พนักงานเทศบาลตำบลแพรกษา ครู และนักเรียนโรงเรียนมัธยมแพรกษาวิเทศศึกษา ร่วมให้การต้อนรับและร่วมกิจกรรมในครั้งนี้

ซึ่งการปลูกต้นเฟื่องฟ้าในครั้งนี้ เป็นการเริ่มต้นในโครงการถนนสวย ตามนโยบายการบริหารจัดการเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีแก่พี่น้องประชาชน โดยปลูกพันธุ์ไม้ประเภทต้นเฟื่องฟ้า จำนวน 12,000 ต้น ครอบคลุมบริเวณเกาะกลางถนน เพื่อสร้างภูมิทัศน์อันสวยงามตลอดเส้นทางสัญจรในเขตเทศบาลตำบลแพรกษา

สำหรับ ความหมาย เฟื่องฟ้า "ต้นไม้ของพ่อ" คนไทยมีความเชื่อว่าหากปลูกต้นเฟื่องฟ้าไว้ประจำบ้านหรือตามหน่วยงานองค์กรต่างๆ จะสามารถช่วยสร้างคุณค่าของชีวิตให้สูงขึ้น เนื่องจาก ต้นเฟื่องฟ้าเป็นพรรณไม้ที่ได้รับสมญานาม "ราชินีแห่งไม้ประดับ"

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน

‘คุณปลื้ม’ ชี้ ‘หยก’ ต้องเรียนวิชา ‘จริยศาสตร์’ มองเป็นสิ่งที่ขาดอยู่ ในหมู่นักเคลื่อนไหว ไม่เคารพกติกา-ไร้มรรยาท

วันที่ 20 มิ.ย. 2566-หม่อมหลวงณัฏฐกรณ์ เทวกุล หรือ “คุณปลื้ม” พิธีกร และผู้ดำเนินรายการข่าว โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก M.l. Nattakorn Devakula แสดงความคิดเห็น กรณี “หยก ธนลภย์” ระบุว่า ไม่ต้องการเรียนวิชาศีลธรรมเพราะผู้ใหญ่เรียนกันมาก็ยังทุจริตคอรัปชั่น? เป็นบทสรุปที่ขาดความเข้าใจเกี่ยวกับการเรียนรู้ การศึกษาทุกยุคทุกสมัย ทุกชาติ ทุกภาษา ต่างให้ความสำคัญในการสอนวิชาในกลุ่ม “จริยศาสตร์” (Ethics) กันทั้งนั้น

เด็กซึ่่งเรียนในระบบการศึกษาไทยนั้นโชคดีที่ได้มีหลักสูตรด้านนี้ตั้งเเต่ช่วงมัธยมทั้งที่ในหลายประเทศกว่าจะได้มีโอกาสเลือกวิชาประเภทนี้คือช่วงเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเเล้วบังเอิญอาจได้เลือกเรียนวิชาทางด้านปรัชญาหรือศาสนา เอาจริงๆเเล้วมันคือหนึ่งในเเขนงวิชาที่สำคัญที่สุดสำหรับเด็กที่ต้องเติบโตขึ้นมาใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางสังคมมีเเต่ผู้ใหญ่ที่พร้อมใช้โอกาสเเสวงหาอำนาจเเละความนิยมให้กับตนเอง

จริยศาสตร์เป็นวิชาที่ว่าด้วยความดี ความชั่ว ความถูก ความผิด สิ่งที่ควรเว้นสิ่งที่ควรทำ

เอาง่าย ๆ มันคือวิทยาศาสตร์เเห่งความผิดชอบชั่วดี ซึ่งดูเหมือนว่าเป็นสิ่งที่ขาดอย่างมากในหมู่นักเคลื่อนไหวซึ่งไม่เคารพกติกาเเละไร้มรรยาทอยู่ ณ เวลานี้ มันคือศาสตร์ที่ว่าด้วยศีลธรรมหลักศีลธรรมเเละกฎที่ว่าด้วยความประพฤติและพฤติกรรม

นอกเหนือไปจากนั้น ถึงเเม้ว่าผู้ใหญ่ทางการเมืองเเละเอ็นจีโอหลายท่านไม่ได้มีโอกาสสอนเด็กๆเรื่องนี้ เยาวชนควรมองให้เห็นคุณค่าของวัฒนธรรมในการจะช่วยจรรโลงโลก จรรโลงศีลธรรม จริยธรรม ด้วยหัวใจสำคัญที่เราเรียกกันว่า “รสนิยม” รสนิยมสะสมคือผลพวงจากการปลูกฝังทางด้าน ศิลปะวัฒนธรรม (ศิลปะวัฒนธรรมที่หลากหลายในทุกแขนง) รสนิยมสะสมนี้จะช่วยชี้ทางผิดชอบชั่วดี และที่สำคัญที่สุดก็คือ รสนิยมสะสมนี้ จะช่วยบอกเราเรื่อง “กาลเทศะ” และ “อะไรควร อะไรไม่ควร” และ “ความพอเหมาะพอดี” สิ่งเหล่านี้เป็น อัตวิสัย (Subjectivity) ที่จะใช้กำกับกรอบแห่งความพอเหมาะพอดี ที่เราจะต้องมีสำนึกขึ้นมาเพื่อควบคุมตนเองให้อยู่ในความพอเหมาะได้

ในชีวิตนี้จะมีแต่คำว่าสิทธิเสรีภาพอย่างเดียวไม่ได้ กรุณาหากรอบความคิดที่ครบถ้วนกระบวนความเเละรอบด้านกว่านี้ ที่เหมาะสมเสียกว่า เเล้วร่วมกันถ่ายทอดสิ่งนั้นถึงรุ่นลูกรุ่นหลาน การรู้ดีเเละเฮ้าเลี่ยนด้าน “เสรีภาพ” เพียงอย่างเดียวมันไปไม่รอด ทั้งในตัวบุคคลเเละสังคม นี่ผมไม่ได้เทศนาเด็กวัย 15 ปีอยู่เเต่กำลังสื่อสารถึงบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ที่อาบน้ำร้อนมาก่อนเเต่ในวันนี้กลับคิดไม่เป็นเพราะไม่กล้าเสียสิ่งที่เรียกว่า ‘Personal Popularity’ เเละ ‘Political Convenience’

ผบ.ตร. มอบรางวัลแก่พลเมืองดี ช่วยชีวิต 3 นักท่องเที่ยวจมน้ำ

วันนี้ (20 มิ.ย.66) เวลา 11.30 น. ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้มอบเกียรติบัตรโครงการ “ทำดี มีรางวัล” ให้แก่พลเมืองดีและตำรวจรวมทั้ง 4 ราย เข้าช่วยเหลือนักท่องเที่ยวจมน้ำ

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ กล่าวว่า สำหรับโครงการ “ทำดี มีรางวัล” 
นั้นเป็นโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับข้าราชการตำรวจและประชาชนที่ประกอบคุณงามความดีมีจิตสาธารณะ จนเป็นที่ยอมรับของสังคม ตลอดจนข้าราชการตำรวจที่มุ่งมั่นทุ่มเททำงานจนมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ สร้างชื่อเสียงให้แก่หน่วยงาน และกรณีนี้กล่าวคือ

เมื่อวันที่ 7 พ.ค ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 16.30 น. 
ได้เกิดเหตุ พ่อ แม่ ลูก ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวประสบเหตุจมน้ำ บริเวณแก่งตาเบิ้ม 
หลังวัดชำนาญรังสรรค์ ต.สาริกา อ.เมืองนครนายก จ.นครนายก 

พลเมืองดี 3 ราย และเจ้าหน้าที่ตำรวจ 1 นาย ได้แก่ 
1.)ด.ต.ศักรินทร์ คณะธรรม ผบ.หมู่ กก.สส.ภ.จว.นครนายก
2.) นายปรีชา แก้วเงิน
3.) นายอักษร โพธิ์เงิน
4.) นายวุฒิศักดิ์ มั่งคั่ง หรือ น้องยูโร

ที่อยู่บริเวณใกล้เคียงและเห็นเหตุการณ์ ได้เข้าให้ความช่วยเหลือจนผู้ประสบเหตุทั้ง 3 คนปลอดภัย ในระหว่างการให้ความช่วยเหลือ พลเมืองดี คือ นายปรีชา แก้วเงิน ได้ให้ความช่วยเหลือจนหมดแรง จมน้ำ และได้รับการปฐมพยาบาล CPR จนปลอดภัย และนายวุฒิศักดิ์ มั่งคั่ง หรือ น้องยูโร นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 6 โรงเรียนนครนายกวิทยาคม เกิดสำลักน้ำ จนทำให้ติดเชื้อในกระแสเลือด จนต้องเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ปัจจุบันได้รับการรักษาพยาบาลจนหาย และกลับมาเรียนได้เป็นปกติ เหตุการณ์ดังกล่าว สร้างความประทับใจและได้รับความชื่นชมจากสังคมเป็นอย่างมาก

ผบ.ตร.กล่าวอีกว่า “ตนขอชื่นชมในความกล้าหาญ เด็ดเดี่ยวในการเข้าช่วยเหลือผู้ประสบเหตุให้พ้นจากอันตราย โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตของตนเองเลยในการเข้าช่วยเหลือ จึงได้มอบใบประกาศเกียรติคุณและรางวัลตามโครงการ “ทำดี มีรางวัล” และเงินรางวัล คนละ 5,000 บาท เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจเป็นแบบอย่างที่ดีแก่สังคม

ซึ่งโครงการนี้เป็นโครงการที่จะมอบรางวัลให้กับข้าราชการตำรวจหรือประชาชนที่ปฏิบัติหน้าที่ดีเด่น ทำงานเชิงรุก เพื่อความสงบสุขของประชาชน ประกอบคุณงามความดี ช่วยเหลือประชาชน หรือทางราชการ ประพฤติตนดี คิดถึงประโยชน์ส่วนรวมและช่วยเหลือประชาชนจนเป็นที่ยอมรับต่อสังคม”

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเร่งรัดปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ แสวงหาความร่วมมือในภูมิภาคอาเซียนและระดับสากล มุ่งแก้ไขความเดือดร้อน สร้างความสงบสุขอย่างยั่งยืนแก่ประชาชนและสังคม

พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. เปิดเผยว่า ตามนโยบายของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. ที่มุ่งให้ความสำคัญในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติและแก้ไขปัญหาความมั่นคงทุกประเภท ซึ่งทวีความรุนแรง เป็นภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน และก่อให้เกิดความเสียหายต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศเป็นอันมาก สมควรที่จะแสวงหาความร่วมมือ แลกเปลี่ยนข้อมูลและร่วมบูรณาการปฏิบัติกับหน่วยงานความมั่นคงของประเทศเพื่อนบ้านทั้งในและนอกภูมิภาคอาเซียน ในระดับพหุภาคีและระดับสากล
 
จึงได้มอบหมายให้ พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร. พร้อมคณะ ประกอบด้วย พล.ต.ท.สรร พูลศิริ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ตร., พล.ต.ต.เขมรินทร์ หัสศิริ ผบก.ตท., พ.ต.อ.พงษ์เดช คำใจสู้ รอง ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่ พร้อมผู้แทนจาก บช.ก., สตม., บช.ปส., บก.ปคม., บก.ปทส., ตท. และ ป.ป.ส. เดินทางไปร่วมประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านอาชญากรรมข้ามชาติ ครั้งที่ 23 (The 23rd ASEAN Senior Officials Meeting on Transnational Crimes) (SOMTC) ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20 - 23 มิถุนายน 2566 ณ เมืองยอร์กยากาตาร์ สาธารณรัฐอินโดนีเซีย ร่วมกับนายไมเคิล เทเน รองเลขาธิการอาเซียนฝ่ายประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน พร้อมทั้งผู้แทนประเทศสมาชิกอาเซียน ทั้ง 10 ประเทศ สาธารณรัฐประชาธิปไตยติมอร์-เลสเต และประเทศคู่เจรจา

ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น  เกาหลีใต้(ประเทศคู่เจรจา SOMTC+3) สหภาพยุโรป(EU) ออสเตรเลีย รัสเซีย อินเดีย นิวซีแลนด์ สหรัฐอเมริกาและแคนาดา โดยมี พล.ต.อ.ลิสติโย ซิกิต ปราโบโว ผบ.ตร.อินโดนีเซีย และ พล.ต.ท.อกุส อันเดรียนโต ผู้บัญชาการตำรวจฝ่ายสอบสวนคดีอาญา         
และประธานคณะทำงานเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียน ให้การต้อนรับ

พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวว่า การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสอาเซียนด้านอาชญากรรมข้ามชาติ (SOMTC) ในครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการสนับสนุนและเตรียมความพร้อมสำหรับการประชุมรัฐมนตรีอาเซียนด้านอาชญากรรมข้ามชาติ ในการทำหน้าที่เป็นกลไกและหน่วยงานในการกำกับนโยบายของอาเซียนในการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติแล้ว ยังเป็นการดำเนินการภายใต้ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน ซึ่งเป็นเสาหลักที่ 1 จาก 3 เสาหลักของอาเซียน โดยจะร่วมดำเนินการ ประสานงาน ดำเนินกลยุทธ์และกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อป้องกันและต่อสู้กับอาชญากรรมข้ามชาติที่มีอยู่และเกิดขึ้นใหม่ และเน้นการติดตามผลตามแผนงานความร่วมมือด้านการต่อต้านการก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งและปรับปรุง การประสานงานข้ามภาคส่วนและระดับพหุภาคี การยกระดับความร่วมมือระหว่างอาเซียนกับประเทศคู่เจรจาข้างต้นและประเทศผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ภายใต้ความร่วมมือป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ ใน 10 สาขา

ได้แก่ การลักลอบค้าอาวุธ(Arms smuggling) การก่อการร้าย(Terrorism) การฟอกเงิน(Money laundering) การละเมิดลิขสิทธิ์ทางทะเล (Sea piracy) การลักลอบขนคนโดยผิดกฎหมาย (Human smuggling) การค้ามนุษย์ (Trafficking in persons) อาชญากรรมทางไซเบอร์ (Cybercrime) อาชญากรรมทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ(International economic crime) การลักลอบค้ายาเสพติด (Illicit drug trafficking) และการลักลอบค้าไม้และสัตว์ป่า (Illicit wildlife and timber trafficking) โดยประเทศไทยได้รับมอบหมายให้เป็นผู้นำในการป้องกันปราบปรามการลักลอบค้ายาเสพติด และการลักลอบค้าไม้และสัตว์ป่า ซึ่งทุกประเทศที่ร่วมประชุมได้ร่วมติดตามผลการปฏิบัติและพร้อมดำเนินการตามแผนความร่วมมือ ผลการประชุมหารือเป็นไปด้วยความเรียบร้อย
 
พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวต่อว่า จากการเปิดประเทศภายหลังการคลี่คลายของสถานการณ์แพร่ระบาดโรคโควิด - 19 เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของหลายประเทศ ส่งผลให้ประเทศไทยต้องรับมือกับอาชญากรรมข้ามชาติที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น เช่น อาชญากรรมทางไซเบอร์ ในประเทศไทย มีการฉ้อโกงออนไลน์และแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากมีลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรมขนาดใหญ่ ซึ่งในห้วงที่ผ่านมา ศปอส.ตร.(PCT) ได้รับแจ้งเหตุแก๊งคอลเซ็นเตอร์ กว่าหมื่นราย สร้างความเสียหาย กว่า 400 ล้านบาท ภายใน 1 สัปดาห์ โดย บช.สอท. ได้ใช้เทคโนโลยีช่วยเหลือประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อ

โดยเชิญชวนผู้ใช้โทรศัพท์รายงานหมายเลขต้องสงสัย และผู้ให้บริการให้ความร่วมมือสืบสวนหมายเลขต้องสงสัยและบล็อคหมายเลขคนร้าย แล้วส่งข้อมูลมายังตำรวจไซเบอร์ ส่งผลให้การสืบสวนจับกุมมีประสิทธิภาพมากขึ้น สำหรับการค้ามนุษย์ ในห้วงที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ร่วมกับกัมพูชา ทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์รายใหญ่ในเมืองสีหนุวิลล์ และช่วยเหลือเหยื่อคนไทยที่ถูกหลอกผ่านทางโซเชียลมีเดียไปทำงาน แล้วถูกกักขัง บังคับใช้แรงงานกว่า 800 คน สำหรับการลักลอบค้ายาเสพติด ประเทศไทยเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านการต่อต้านยาเสพติดเพื่อประชาคมที่มั่นคงของอาเซียนฯ และเป็นผู้ริเริ่มจัดตั้งศูนย์ความร่วมมืออาเซียนด้านยาเสพติด(ASEAN-NARCO)

โดยในครั้งนี้ได้พิจารณาความร่วมมือในโครงการต่อต้านยาเสพติดร่วมกับออสเตรเลีย สำหรับการลักลอบค้าไม้และสัตว์ป่า มีการนำเทคโนโลยีระบบนิติวิทยาศาสตร์ด้านพันธุกรรม DNA มาใช้เพื่อระบุตัวตนและจำแนกแหล่งที่มาของสัตว์ป่าและพันธุ์พืช ทั้งนี้ การบริหารจัดการชายแดนแบบเชิงรุก การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร การปฏิบัติตามแผนความร่วมมือ การเสริมสร้างศักยภาพของเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมาย คือกุญแจสำคัญในการปราบปราม สกัดกั้นและจับกุมขบวนการผู้กระทำผิดในทุกรูปแบบ  
  
พล.ต.ท.ประจวบฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า ปัจจุบันอาชญากรรมข้ามชาติพัฒนาไปสู่รูปแบบใหม่ ใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือมีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ถือเป็นภัยคุกคามรูปแบบใหม่ที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคง เศรษฐกิจและสังคมของทุกประเทศ ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ที่หน่วยงานความมั่นคงทั้งในและระหว่างภูมิภาคจะต้องส่งเสริมความร่วมมือทั้งในระดับพหุภาคีและระดับสากล นำไปสู่ความสำเร็จในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทุกประเภทในภาพรวม เพื่อให้ประเทศชาติและประชาชนมีความปลอดภัย มีสันติภาพและความมั่นคงอย่างยั่งยืน

เคยสงสัยกันมั้ย

🔍เคยสงสัยกันมั้ย ว่าทำไมร้านค้าที่ขายของคล้ายๆ กัน ถึงชอบเปิดร้านใกล้กัน ไม่ว่าจะเป็น ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร ปั๊มน้ำมัน ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด ทั้งนี้ หากมองในมิติเชิงทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ ก็สามารถอธิบายได้ด้วยทฤษฎี ‘Hotelling's law’ 

แต่ถ้าจะมองในมิติที่ไม่ซับซ้อน อาจกล่าวได้ว่า การที่ธุรกิจประเภทเดียวกัน เปิดร้านอยู่ใกล้กัน ในบางธุรกิจถือว่าเป็นการเกื้อกูลซึ่งกันและกัน สร้างความคึกคักน่าสนใจและเป็นทางเลือกให้กับลูกค้าเพิ่มขึ้นอีกด้วย ไปลองดูตัวอย่างธุรกิจประเภทเดียวกันที่มักพบเห็นเปิดในพื้นที่ใกล้เคียงกัน ว่ามีอะไรบ้าง
 

ผบ.ตร. เป็นประธานการประชุมบริหารราชการ ตร. ครั้งที่ 6/2566

วันที่ 20 มิ.ย.66 เวลา 13.30 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์  กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
เป็นประธานการประชุมบริหารราชการของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ครั้งที่ 6/2566 ณ ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อติดตามผลการดำเนินงาน และกำหนดแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

อาทิ การดำเนินการตามแนวทางการยกระดับการบริการประชาชนของสถานีตำรวจ, การตั้งด่านตรวจ จุดตรวจ จุดสกัด, การสำรวจการก่อสร้างที่ทำการศูนย์รับแจ้งเหตุ 191 ร่วมถึงอาคารที่ทำการ และอาคารที่พักอาศัย และการคัดเลือกตำรวจดีเด่น เป็นต้น โดยมีผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วยผู้แทนจากหน่วยงานในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติเข้าร่วมการประชุมฯ

ทั้งนี้ ก่อนเริ่มการประชุม พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์  กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน ในประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมทั้งยังได้มีการกำชับการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตำรวจ โดยเฉพาะผู้บังคับบัญชาระดับผู้บัญชาการ หรือผู้บังคับการ ต้องหมั่นดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของผู้ใต้บังคับบัญชา ระวังอย่าให้ทำผิดกฎหมาย ระเบียบ วินัย ซึ่งก่อให้เกิดภาพลักษณ์ ที่ไม่ดีกับองค์กร
 

กรุงเทพฯ ครองแชมป์ เมืองที่นักท่องเที่ยว จองมาพักมากที่สุดในโลก จากข้อมูลของ Agoda

ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องน่ายินดีของวงการท่องเที่ยวไทย เมื่อล่าสุดทาง Agoda แพลตฟอร์มจองที่พักยักษ์ใหญ่ของโลก ได้ออกมาเผยข้อมูลการจองที่พักของนักท่องเที่ยว โดยเมืองที่นักท่องเที่ยวจองมาพักมากที่สุดเป็นอันดับ 1

นั่นก็คือกรุงเทพมหานครนั่นเอง นอกจากเมืองกรุงเทพฯ แล้ว ประเทศไทยยังได้ถูกจัดอันดับเป็นที่ 2 รองจากประเทศญี่ปุ่น ที่เป็นเป้าหมายในการเดินทางของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกอีกด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top