Wednesday, 14 May 2025
NEWS

รัฐบาลอังกฤษ เล็งออกแผนให้กักตัวผู้เดินทางเข้าสหราชอาณาจักร ในโรงแรมเป็นเวลา 10 วัน พร้อมออกค่าโรงแรมเอง ประมาณ 1,500 ปอนด์ ราว 60,000 บาท เฉลี่ยค่ากักตัวในโรงแรม พร้อมอาหารสามมื้อ ต่อห้องต้องจ่าย 100 ปอนด์ หรือ 4,000 บาท ต่อคนต่อวัน

ชาวอังกฤษที่เดินทางกลับเข้ามาจากประเทศที่มีความเสี่ยงสูง ที่ซึ่งมีการตรวจพบเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์ใหม่ อย่างเช่น ประเทศบราซิล และ แอฟริกาใต้ จะถูกให้กักตัวอยู่ในโรงแรมแถวสนามบินเป็นเวลาสิบวัน

ขณะนี้ชาวต่างชาติถูกห้ามไม่ให้เข้าสหราชอาณาจักรเมื่อเดินทางมาจากประเทศเหล่านี้ รัฐบาลจึงกำลังมองหาการขยายข้อกำหนดการกักตัวในโรงแรมสำหรับผู้โดยสารขาเข้าที่สนามบินและท่าเรือจากทุกแห่งที่เดินทางมาจากทั่วโลกเพิ่มขึ้น โดยการนำร่องกระบวนการนี้กับกลุ่มคนจำนวนน้อยก่อน

นายกฯบอริส จอห์นสันจะมีประชุมคณะรัฐมนตรีในวันนี้ (26/01/2021) เพื่อลงนามในแผนพร้อมกับการตัดสินใจที่จะประกาศในบ่ายวันนี้หรือพรุ่งนี้

จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อเดินทางมาถึงสหราชอาณาจักร?

นักท่องเที่ยวต้องเผชิญกับการกักบริเวณจะถูกนำขึ้นรถบัสไปยังโรงแรมซึ่งจะต้องอยู่ต่อเป็นเวลาสิบวัน (คล้ายที่ประเทศไทยทำอยู่)

เจ้าหน้าที่ได้เริ่มพูดคุยกับกลุ่มโรงแรมเกี่ยวกับการบล็อกการจองห้องพักที่สามารถใช้แยกในการกักตัวได้

ในออสเตรเลียผู้คนจะต้องอยู่ในห้องตลอดเวลาโดยมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคอยตรวจตราตามทางเดิน ห้ามพนักงานของโรงแรมทำความสะอาดห้องพักระหว่างการเข้าพัก

คุณสามารถอัพเกรดโรงแรมของคุณได้หรือไม่?

นักท่องเที่ยวจะไม่ได้รับตัวเลือกโรงแรม ในออสเตรเลียผู้คนไม่ทราบล่วงหน้าว่าจะพักที่ไหนและได้รับคำเตือนว่าไม่มีการรับประกันว่าจะสามารถเข้าถึงระเบียงหรือหน้าต่างที่เปิดได้

คุณควรทำอะไรทั้งวัน?

ในออสเตรเลียไม่อนุญาตให้ออกกำลังกายข้างนอก เพื่อให้แขกได้ออกกำลังกายยืดเส้นยืดสายหรือเล่นโยคะในห้องของตน

คำแนะนำที่มอบให้กับนักเดินทางเพื่อช่วยเตรียมความพร้อมสำหรับการกักตัวในโรงแรมแนะนำให้วางแผนกิจกรรมต่างๆ เพื่อฆ่าเวลาในแต่ละวัน ตัวอย่างกอจกรรมเหล่านี้ได้แก่ การติดต่อกับเพื่อนและครอบครัว , การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศบนแอปโทรศัพท์มือถือ, การลองงานอดิเรกใหม่ ๆ เช่นการถักไหมพรม, การประดิษฐ์ตัวอักษร หรือ จัดการกับธุระส่วนตัว

คำแนะนำคือให้วาง 'รางวัล' เพื่อหวังผลจากการทำกิจกรรม เช่นการโทรศัพท์คุยกับคนที่คุณรักหรือการส่งของให้กัน ผู้ที่แชร์ห้องร่วมกับแฟนและสมาชิกในครอบครัวควรตั้งกฎพื้นฐานสำหรับการเข้าพัก เช่น การกำหนดเวลาในแต่ละวันเมื่อทุกคนทำกิจกรรมแบบ 'เงียบ' เพื่อช่วยหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้น

ฤดูร้อนที่ผ่านมาการระบาดของไวรัสโคโรนาในเมลเบิร์น ประนามเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยไปนอนกับแขกที่ในพักในโรงแรมกักตัวแห่งหนึ่ง

ใครเป็นคนจ่ายบิลโรงแรม?

รัฐบาลจะจัดรถรับส่งสำหรับผู้เดินทางมาถึงสหราชอาณาจักรไปยังที่พักของพวกเขา แต่พวกเขาจะต้องจ่ายค่าห้องพักในโรงแรมเองซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 1,500 ปอนด์ หรือราว 60,000 บาท ในอังกฤษ ส่วนในออสเตรเลีย จะเสียค่าใช้จ่าย 14 วันในโรงแรมกักตัวคือ 1,692 ปอนด์ หรือราว 68,000 บาท ส่วนนิวซีแลนด์ค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 1,630 ปอนด์ ราว 65,000 บาท และ ในประเทศไทย ค่าห้องพักกักตัวอยู่ที่ 642 ปอนด์ หรือประมาณ 26,000 บาท


ที่มา : เพจ Amthaipaper (หนังสือพิมพ์ไทยในอังกฤษ)

https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=3768126303226353&id=178210772217942

https://www.dailymail.co.uk/.../Who-forced-quarantine...

แกนนำคณะราษฎร 2563 ‘อานนท์ นำภา’ ถูกสภาทนายความฯ ตั้งกรรมการสอบมรรยาท จากการปราศรัย “แฮรี่พอตเตอร์” เมื่อปีก่อน เจ้าตัวโวยไร้สาระ ระบุการเคลื่อนไหวทางการเมือง ไม่ใช่การทำหน้าที่ทนายความ ลั่นถ้าถูกถอดใบอนุญาตจะไปขายลาบก้อย

นายอานนท์ นำภา ทนายศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน และแกนนำคณะราษฎร 2563 ได้โพสต์เฟซบุ๊ก เป็นภาพเอกสารจากสภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ เรื่องการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนคดีมรรยาททนายความ

โดย นายอานนท์ ระบุว่า กลับจากฟังคำพิพากษาเหนื่อยๆ มาเจอหนังสือจากสภาทนายความสอบมรรยาททนายความเพื่อขอให้เพิกถอนใบอนุญาต จากการปราศรัย “แฮรี่พอตเตอร์” เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม ที่ราชดำเนิน

จริงๆ เรื่องนี้ไร้สาระมาก สภาทนายฯ ไม่ควรไปรับเรื่องแต่แรก เพราะการเคลื่อนไหวการเมือง ไม่ใช่การว่าความหรือการทำหน้าที่ทนายความ ที่สำคัญ การเสนอปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ในภาวะที่กษัตริย์ขยายอำนาจจนกระทบระบอบประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่คนเรียนกฎหมายควรทำด้วยซ้ำ

ก็ว่ากันไป ถ้าอยากถอดใบอนุญาตว่าความผมก็ทำไป ไม่ได้เป็นทนายก็ไปขายลาบขายก้อยก็น่าจะรวยก็มาทำคดีช่วยคนแบบทุกวันนี้

ที่มา : เพจ อานนท์ นำภา (https://www.facebook.com/story.php?story_fbid=4980379198670103&id=100000942179021)

‘โจ ไบเดน’ ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐอเมริกา ประกาศกร้าว เปลี่ยนยานพาหนะของรัฐบาลส่วนกลางทั้งหมดมาเป็น ‘รถยนต์ไฟฟ้า’

ทั้งนี้ จากรายงานปี 2019 เกี่ยวกับยานพาหนะของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ มีจำนวนอยู่ทั้งหมดราวๆ 645,000 คัน โดยแบ่งใช้งานในหน่วยงานต่างๆ ได้แก่

...ยานพาหนะพลเรือน 245,000 คัน

...ยานพาหนะทางทหาร 173,000 คัน

...และ ยานพาหนะหน่วยไปรษณีย์ 225,000 คัน

เป้าหมายของการปรับเปลี่ยนยานยนต์หลวงทั้งหมดนี้ จึงเป็นอีกนโยบายเร่งด่วน เพื่อที่จะแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน โดย ‘โจ ไบเดน’ หวังที่จะเพิ่มรถยนต์ไฟฟ้าใหม่บนท้องถนนอเมริกาให้ได้ 1 ล้านคัน ซึ่งเขาเตรียมที่จะสนับสนุนการสร้างที่ชาร์จไฟสาธารณะที่ใช้พลังงานสะอาด ให้ทุกคนสามารถใช้ได้อย่างทั่วถึงทั้งประเทศ

“รัฐบาลกลางเป็นเจ้าของยานพาหนะจำนวนมหาศาล และเราจะแทนที่ด้วยรถยนต์ไฟฟ้าพลังงานสะอาด ที่จะถูกสร้างขึ้นที่นี่ ที่อเมริกา โดยแรงงานชาวอเมริกัน” นี่คือคำกล่าวของ ‘โจ ไบเดิน’ ถึงภารกิจดังกล่าว (คลิป>> https://twitter.com/ABCNewsLive/status/1353809013348171778)

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมว่าจะเริ่มเปลี่ยนยานพาหนะของรัฐบาลกลางเมื่อไหร่ เปลี่ยนภายในเวลากี่ปี และแทนที่ด้วยรถอะไร ซึ่งก็ต้องรอติดตามกันต่อไป

แต่นี่ถือเป็นนโยบายใหม่ที่น่าจับตาภายใต้แผน Buy Americanเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ โดยบริษัทที่ผลิตและประกอบรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐที่น่าจะได้รับผลประโยชน์จากนโยบายนี้โดยตรง คงหนีไม่พ้น Tesla, GM, Nissan และ Ford

สหรัฐอเมริกาในยุคของ โจ ไบเดน จะสามารถทำให้ความนิยมของรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มได้มากขึ้น และต่อกรกับตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของจีนที่กำลังมาแรงได้มากแค่ไหน คงต้องตามดูหลังจากนโยบายนี้ถูกผลักออกไป


ที่มา :

https://www.theverge.com/.../biden-electric-vehicle...

https://insideevs.com/.../president-biden-replace.../...

https://electrek.co/.../president-biden-will-make.../...

กระทรวงมหาดไทย ออกประกาศขยายเวลาการขอมีบัตร-เปลี่ยนบัตรประชาชนใหม่ จากภายในกำหนดหกสิบวัน เป็นภายในวันที่ 30 เม.ย.

พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย เปิดเผยว่า ตามที่ได้เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ระลอกใหม่ ซึ่งสถานการณ์มีการแพร่ระบาดของโรคออกเป็นวงกว้างกระจายไปในหลายพื้นที่ มีการตรวจพบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรายใหม่ภายในประเทศมีจำนวนสูงขึ้นในแต่ละวัน

ซึ่งศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ได้ขอความร่วมมือให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังพื้นที่เสี่ยง หรือสถานที่ชุมนุมชนต่างๆ เพื่อเป็นการร่วมแก้ไขปัญหาสถานการณ์ฯ และระงับยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19

ตามนโยบาย ศบค.และเพื่อความปลอดภัยของประชาชนผู้ขอรับบริการ จึงใช้อำนาจตามกฎหมายว่าด้วยบัตรประจำตัวประชาชน ออกประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ขยายกำหนดเวลาการจัดทำบัตรประจำตัวประชาชนจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ลงวันที่ 12 ม.ค.

โดยให้ขยายกำหนดเวลาการขอมีบัตร การขอมีบัตรใหม่ หรือเปลี่ยนบัตรในทุกท้องที่จังหวัดและกรุงเทพฯ จากภายในกำหนดหกสิบวันนับแต่วันที่ต้องมีบัตร มีบัตรใหม่ หรือเปลี่ยนบัตร เป็นภายในวันที่ 30 เม.ย. ทั้งนี้ มีผลตั้งแต่วันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วเมื่อวันที่ 26 ม.ค.

พล.อ.อนุพงษ์ กล่าวอีกว่า ขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตามมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด ได้แก่ การสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ การเว้นระยะห่างทางสังคม ไม่อยู่ในกิจกรรมแออัดซึ่งเสี่ยงต่อการแพร่ระบาด เพื่อเป็นการป้องกันตนเองและหยุดยั้งการแพร่ระบาดได้โดยเร็วที่สุด

กระทรวงแรงงาน เตรียมนำทีมร.พ.กล้วยน้ำไท มอบทุน - สร้างอาชีพทั่วประเทศ ในโครงการ “ให้ทุน สร้างอาชีพ” หลักสูตรวิชาชีพการดูแลผู้สูงอายุ ช่วยเหลือเยาวชน สตรีที่ว่างงาน ตกงาน ผู้ด้อยโอกาส

ศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เปิดเผยว่า เนื่องจากทั่วโลกต่างเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร เด็กเกิดใหม่ลดลง ผู้สูงอายุเริ่มมากขึ้น ประเทศไทยก็เช่นกัน รัฐบาลไทยจึงกำหนดให้สังคมสูงอายุเป็นวาระแห่งชาติ เนื่องจากอัตราส่วนของวัยแรงงาน ต้องรับภาระเลี้ยงดูผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นวัยที่เข้าสู่ภาวะพึ่งพิงสูงขึ้นไปอีก

ผู้สูงอายุบางรายสุขภาพยังแข็งแรง สามารถทำงาน ช่วยเหลือและดูแลตัวเองได้ แต่ยังมีผู้สูงอายุอีกจำนวนไม่น้อยที่ต้องการคนดูแล ในส่วนนี้เองที่รัฐบาลต้องจัดบริการดูแลและควรจัดให้มีขึ้น ความต้องการมีบุคลากรเพื่อทำหน้าที่ในด้านดังกล่าว เช่น การอาบน้ำ แต่งตัว การรับประทานอาหาร รวมไปถึงดูแลเรื่องสุขภาพ ความเป็นอยู่ในทุกรูปแบบจึงจำเป็นอย่างยิ่ง

ศาสตราจารย์ นฤมล กล่าวเพิ่มเติมว่า โรงพยาบาลกล้วยน้ำไทยได้จัดทำโครงการ “ให้ทุน สร้างอาชีพ” หลักสูตรวิชาชีพการดูแลผู้สูงอายุ เพื่อช่วยเหลือเยาวชน สตรีที่ว่างงาน ตกงาน ผู้ด้อยโอกาส และขาดแคลนทุนทรัพย์ที่ต้องการศึกษาในหลักสูตรระยะสั้นและต้องการมีงานทำที่มั่นคง ได้เข้าศึกษาต่อในหลักสูตรวิชาชีพการดูแลผู้สูงอายุเป็นระยะเวลา 6 เดือน ณ โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท

โดยจะได้รับการสนับสนุนทุนเป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมดตลอดหลักสูตร เมื่อจบการศึกษาจะได้เข้าทำงานในกลุ่มเครือบริษัทกล้วยน้ำไทเป็นระยะเวลา 2 ปี หลังจากนั้นสามารถเลือกทำงานต่อหรือไปทำงานที่องค์กรอื่นได้ โดยในวันที่ 30 มกราคม 2564 ที่จะถึงนี้ จะได้นำทีมผู้บริหารจากโรงพยาบาลกล้วยน้ำไทและคณะ ลงพื้นที่จังหวัดนราธิวาส เพื่อประชาสัมพันธ์เชิญชวนผู้สนใจสมัครเข้ารับการฝึกอบรมหลักสูตรดังกล่าว

และหลังจากนั้นจะได้ขยายกลุ่มเป้าหมายไปภาคเหนือและอิสาน เพื่อเปิดโอกาสให้เข้าถึงครอบคลุมทั้งประเทศ โดยหวังว่ากลุ่มเป้าหมายที่เข้ารับการศึกษาจะได้มีโอกาสเรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น รวมทั้งมีโอกาสก้าวหน้าด้านการประกอบอาชีพและมีงานทำต่อไป

“การทำหน้าที่เป็นผู้ดูแลผู้สูงอายุเป็นงานที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถใช้ชีวิตแต่ละวันอย่างมีความสุข มีอิสระที่จะดำเนินชีวิตอย่างมีคุณภาพตามที่ตนต้องการ ถึงแม้สภาพร่างกายจะเสื่อมถอยไป และมีโรคเรื้อรัง ต่าง ๆ อยู่ก็ตาม ดังนั้น จะต้องปรับการดูแลให้เหมาะสม โดยหลักสำคัญ คือ ต้องให้ผู้สูงอายุเหล่านั้นสามารถดำเนินชีวิตได้ด้วยตนเอง โดยพึ่งพาผู้อื่นน้อยที่สุด และมีความสุขกายสบายใจในบั้นปลายของชีวิต” รมช. แรงงาน กล่าวท้ายสุด

รัฐบาลเกาหลีเหนือได้เริ่มออกกฏหมายต่อต้านสื่อบันเทิงต่างชาติ โดยเฉพาะสื่อบันเทิงจากเกาหลีใต้ แม้แต่จะแสดงความชื่นชอบ หรือเลียนแบบวัฒนธรรมก็ไม่ได้ หวีดอปป้าอาจโดนโทษหนักถึงจำคุกตลอดชีวิตในค่ายกักกันแรงงาน

เมื่อไม่นานมานี้ ที่เกาหลีเหนือได้ออกกฏหมายใหม่ สั่งแบนสื่อบันเทิงของต่างชาติ โดยเฉพาะสื่อบันเทิงจากเกาหลีใต้ ไม่ว่าจะเป็นหนัง ละคร ซีรียส์ ดนตรี K-Pop และสื่อลามกอนาจาร หากพบว่าใครมีสื่อบันเทิงต่างชาติในครอบครอง หรือแสดงออกว่านิยมชมชอบ เป็นติ่ง เป็นแฟนคลับ มีโทษหนัก ทั้งจำ ทั้งปรับ นานสูงสุดถึง 15 ปี

แต่ถ้าจับได้ว่านอกจากจะเสพ ขาย แล้วยังผลิต ลักลอบนำเข้า สื่อบันเทิงเกาหลีใต้ หรือมีอุปกรณ์รับชม เช่น วิทยุ โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่โทรศัพท์มือถือต่างชาติที่ไม่ใช่สินค้าของรัฐบาล หรือที่บ้านเราเรียกว่าของเถื่อน หิ้วข้ามชายแดนเข้ามาเอง ซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นแบรนด์ดังของเกาหลีใต้ อาจโดนโทษหนักถึงจำคุกตลอดชีวิตในค่ายกักกันแรงงาน

โทษในการครอบครองสินค้าจากเกาหลีใต้ว่าหนักแล้ว แต่หากพบว่าเป็นแบรนด์จากสหรัฐ หรือญี่ปุ่น โทษหนักกว่านั้น เพราะหมายถึงการทรยศชาติซึ่งมีโทษถึงประหารชีวิต

สำนักข่าว Daily NK ได้อ้างอิงแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ของตัวเองในเกาหลีเหนือ ว่ารัฐบาลเกาหลีเหนือได้เริ่มออกกฏหมายต่อต้านสื่อบันเทิงต่างชาติ ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป ห้ามชาวเกาหลีเหนือเสพสื่อบันเทิงต่างชาติ ที่อาจทำลายค่านิยมความเป็นเกาหลีเหนือ

อันเนื่องจากมีการแอบลักลอบเอาสื่อบันเทิงจากเกาหลีใต้ เข้ามาขายในตลาดมืดของเกาหลีเหนือ และก็ได้รับความนิยม จนเริ่มมีวัฒนธรรมการพูดคุยด้วยศัพท์แสลง หรือสำเนียงของเกาหลีใต้ในบ้านโสมแดงมากขึ้น จนถึงขั้นแอบมีบ่นว่าอยากให้เกาหลีเหนือพัฒนาสื่อบันเทิงให้ได้แบบเกาหลีใต้บ้าง

ซึ่งนั่นถือว่าเป็นสัญญาณไม่ค่อยดีสำหรับรัฐบาลคิม เพราะอาจให้ชาวเกาหลีเหนือซึมซับค่านิยมของโลกเสรี ผ่านทางสื่อบันเทิงเหล่านี้

ว่าแล้วทางเกาหลีเหนือก็ไม่รอที่จะตัดไฟแต่ต้นลม ด้วยการออกกฏหมายแบนสื่อบันเทิงจากเกาหลีใต้ แม้แต่จะแสดงความชื่นชอบ หรือเลียนแบบวัฒนธรรมเกาหลีใต้ก็ไม่ได้

ยกตัวอย่างเช่น การพูดจาสำเนียงแบบคนเกาหลีใต้ หรือการเรียกใครว่า โอ้ปป้า ทงแซง ทั้งๆที่เขาไม่ใช่พี่ ไม่ใช่น้อง ไม่ใช่คนในครอบครัวเดียวกัน ก็เข้าข่ายผิดกฏหมายแล้ว เพราะมันเป็นวัฒนธรรมของเกาหลีใต้ ที่พบเห็นบ่อยๆ ในหนัง ในละครนั่นเอง

เมื่อเพิ่มระดับการแบนสื่อบันเทิงจากต่างประเทศ ก็ต้องยกระดับการเผยแพร่สื่อบันเทิงของเกาหลีเหนือด้วย ให้ชาวเกาหลีเหนือได้มีอะไรมาดูแทน จะได้ไม่เครียด (หรืออาจจะเครียดหนักกว่าเดิม)

ซึ่งคิม จอง-อุน หรือน้องพลับของเราก็ประกาศว่าจะพัฒนา ระบบอินเตอร์เนต wifi ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ จะปรับปรุงสัญญาณวิทยุโทรทัศน์ ให้ทันสมัย คม ชัด ใสยิ่งกว่าเดิม เพิ่มเติมคือหน้าน้องพลับ จะปรากฏในสื่อทุกช่องทาง จะไม่ให้เปลี่ยนช่องหนีไปไหนได้เลยทีเดียว

นับเป็นข่าวร้ายสำหรับแฟนคลับโอ้ปป้าชาวเกาหลีเหนือยิ่งนัก ให้กินดิน กินแกลบยังพอรับ แต่ให้พรากจากโอ้ปป้าที่รัก รับไม่ได้


แหล่งข้อมูล

https://www.reuters.com/.../north-korea-cracks-down-on...

https://www.scmp.com/.../no-south-korean-culture-north...

https://www.usnews.com/.../north-korea-cracks-down-on...

https://www.straitstimes.com/.../north-korea-cracks-down...

ที่มา: เฟซบุ๊ก หรรสาระ By Jeans Aroonrat

https://www.facebook.com/104132041212023/posts/231893531769206/

ทะเลจีนใต้เดือด !!! เมื่อจีนผ่านร่างกฏหมายใหม่ สั่งให้ยิงเรือต่างชาติได้ทุกลำที่ละเมิดน่านน้ำจีน การขยับตัวอย่างแข็งกร้าวที่พร้อมฟาดทุกชาติที่ขวางหน้า ทำให้ความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ร้อนแรงขึ้นไปอีก

เมื่อวันศุกร์ (22 มกราคม) ที่ผ่านมา รัฐบาลจีนได้ออกร่างกฏหมาย ที่เรียกว่า The Coast Guard Law หรือกฏหมายพิทักษ์ชายฝั่ง ที่จะเพิ่มอำนาจให้หน่วยพิทักษ์ชายฝั่งของจีนสามารถยิงเรือต่างชาติได้ทุกลำที่เห็นว่าละเมิดน่านน้ำจีน โดยไม่เกี่ยงอาวุธ เพื่อเป้าหมายเดียวคือ ปกป้องเขตน่านน้ำของจีนบริเวณชายฝั่งตะวันออก และทะเลจีนใต้

นอกจากจะยิงทิ้งเรือต่างชาติได้แล้ว กฏหมายฉบับใหม่นี้ ยังอนุญาตให้ทำลายสิ่งปลูกสร้างที่ก่อสร้างบนพื้นที่ ดินแดน แนวหิน แนวปะการัง ที่จีนเคลมว่าเป็นเขตพื้นที่ของตนได้ทันที ตามดุลยพินิจของหน่วยพิทักษ์ชายฝั่ง

หมายความง่าย ๆ คือ เห็นประเทศไหน ไสเรือแหยมหน้ามา สามารถยิงสวนก่อนได้เลย แล้วค่อยรายงานรัฐบาลกลางทีหลัง

พอทางจีนผ่านกฏหมายใหม่นี้ออกมา ก็ทำให้บรรยากาศในทะเลจีนใต้ กลายเป็นทะเลจีนเดือดขึ้นมาทันที เพราะคู่กรณีของจีนในทะเลจีนใต้ก็มีไม่ใช่น้อยๆ ไล่มาตั้งแต่ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนิเซีย บรูไน

ที่บัญชีหนังหมายาวเป็นหางว่างเช่นนี้ ก็เพราะพี่จีนเล่นลากเส้นประกาศเขตของตัวเอง ที่เรียกว่า nine-dash line ออกมาทับพื้นที่เขตน่านน้ำของประเทศอื่นในย่านทะเลจีนใต้หมด ซึ่งเป็นเส้นแบ่งเขตที่ไม่มีชาติไหนรับรอง แต่ทางจีนก็ยังยืนยันอ้างสิทธิ์ในน่านน้ำของตน

และเมื่อจีนได้ผ่านร่างกฏหมายพิทักษ์นี้ออกมา ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์เป็นต้นไป ก็ไม่ต่างจากประกาศเปิดศึกกับทุกประเทศเพื่อนบ้านที่ใช้ทะเลจีนใต้ร่วมกันดีๆนี่เอง

อันเนื่องจาก กองกำลังพิทักษ์ชายฝั่งของจีนนั้นก็ไม่ใช่กรมเจ้าท่าธรรมดา แต่ไม่ต่างจากกองทัพเรือขนาดย่อมเลยทีเดียว ที่มีเจ้าหน้าที่ประจำการมากกว่า 16,000 นาย มีกองเรือลาดตระเวนติดอาวุธกว่า 164 ลำ ที่บางลำติดปืนใหญ่ต่อต้านอากาศยานอีกต่างหาก

และงบประมาณที่ทางการจีนทุ่มให้กับกองกำลังพิทักษ์ชายฝั่งก็ไม่ธรรมดา ในแต่ละปีได้งบประมาณมากถึง 1.74 พันล้านเหรียญ หรือตกประมาณ 52,200 ล้านบาท ทำให้จีนมีกองกำลังพิทักษ์ชายฝั่งที่ใหญ่ที่สุดในโลก

การขยับตัวอย่างแข็งกร้าวของจีนที่พร้อมฟาดทุกชาติที่ขวางหน้า ก็ทำให้ความตึงเครียดในทะเลจีนใต้ร้อนแรงขึ้นไปอีก ที่จะสังเกตเห็นได้ว่าหลายชาติได้เตรียมรับมือเอาไว้แล้ว

เช่นญี่ปุ่นได้ประกาศเพิ่มงบกองทัพในปีนี้สูงถึง 52,000 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นงบทหารที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ เพื่อต่อต้านการแผ่อิทธิพลของจีนโดยเฉพาะ

และไต้หวันที่ทุ่มงบประมาณซื้ออาวุธจากสหรัฐเป็นจำนวนมาก และซ้อมรบถี่ยิบในช่วงปีที่ผ่านมา ไม่นับกองทัพเรือสหรัฐ ที่ขยับเรือบรรทุกเครื่องบินรบ USS Theodore Roosevelt เข้ามาประชิดน่านน้ำจีนในทะเลจีนใต้มากขึ้น

ซึ่งก็เป็นการเปิดหน้าศึกจากจีน ต้อนรับโจ ไบเดนประธานาธิบดีคนใหม่แต่หน้าเก่าของสหรัฐ ที่ท้าทายกันสุดๆ ไม่มีคำว่าเกรงใจกันแล้ว และทำให้พื้นที่พิพาทในย่านนี้กลายเป็นที่จับตาว่าจะเป็นดินแดนสุ่มเสี่ยงที่จะจุดชนวนมหาสงคราม ไม่ต่างจากจากตะวันออกกลางหรือไม่

แหล่งข้อมูล

https://www.aljazeera.com/.../china-authorises-coast...

https://www.channelnewsasia.com/.../taiwan-military-drill...

https://chinapower.csis.org/maritime-forces.../

https://www.reuters.com/.../us-china-coastguard-law...

https://www.reuters.com/.../japan-defence-budget...

https://www.reuters.com/.../us-southchinasea-usa...

https://en.m.wikipedia.org/wiki/China_Coast_Guard


ที่มา: เฟซบุ๊ก หรรสาระ By Jeans Aroonrat

https://www.facebook.com/104132041212023/posts/234478868177339/

ฟาห์เรตติน โคกา รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขของตุรกี ประกาศว่าตุรกีเตรียมรับมอบวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) จากจีน จำนวน 6.5 ล้านโดสในวันจันทร์ (25 ม.ค.)

โคกาโพสต์ทวิตเตอร์ว่าการส่งมอบข้างต้นเป็นส่วนหนึ่งของแผนการจัดส่งวัคซีนรอบสอง จำนวน 10 ล้านโดส โดยวัคซีนดังกล่าวเป็นฝีมือการพัฒนาของซิโนแวค (Sinovac) บริษัทจีน

“วัคซีนส่วนที่เหลือจะถูกส่งมอบในลักษณะที่เอื้อให้โครงการฉีดวัคซีนขนานใหญ่ของตุรกีดำเนินต่อไปโดยไม่หยุดชะงัก” โคกากล่าวเสริม

ตุรกีเริ่มโครงการฉีดวัคซีนขนานใหญ่เมื่อวันที่ 14 ม.ค. หลังจากรับวัคซีนจีนชุดแรก จำนวน 3 ล้านโดส เมื่อปลายเดือนธันวาคม

ทั้งนี้ ข้อมูลจากกระทรวงฯ ระบุว่าปัจจุบันตุรกีดำเนินการฉีดวัคซีนให้ประชาชนแล้วมากกว่า 1.24 ล้านคน


ที่มา: https://www.xinhuathai.com/high/171646_20210125

ออสเตรเลีย อนุมัติใช้วัคซีน ‘ไฟเซอร์ - ไบออนเทค’ นับเป็นวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ตัวแรกที่ได้รับอนุมัติการใช้งานในออสเตรเลีย มั่นใจมีมาตรฐานความปลอดภัย โดยแรงงานดูแลสุขภาพและผู้สูงอายุจะได้รับวัคซีนเป็นกลุ่มแรก

องค์การกำกับดูแลสินค้ารักษาโรค (TGA) ของออสเตรเลียอนุมัติการใช้งานชั่วคราวในประเทศแก่วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ของไฟเซอร์/ไบออนเทค (Pfizer/BioNtech)

องค์การฯ ประกาศว่าวัคซีนฯ มีคุณสมบัติตรงตามมาตรฐานความปลอดภัย ประสิทธิภาพ และคุณภาพ จึงรับรองให้ใช้งานในผู้ที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไป โดยนับเป็นวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ตัวแรกที่ได้รับอนุมัติการใช้งานในออสเตรเลีย

สกอตต์ มอร์ริสัน นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย กล่าวขณะร่วมงานแถลงข่าวในกรุงแคนเบอร์ราว่า “สิ่งสำคัญที่สุดคือดำรงความปลอดภัยและปกป้องชีวิตชาวออสเตรเลีย” พร้อมเสริมว่า “การอนุมัติครั้งนี้เป็นอีกก้าวยิ่งใหญ่ เพื่อปกป้องกลุ่มบุคคลที่เปราะบางที่สุด” โดยชาวออสเตรเลียจะได้รับวัคซีนฯ คนละ 2 โดส ห่างกันอย่างน้อย 21 วัน

รัฐบาลวางแผนเริ่มฉีดวัคซีนช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งช้ากว่าที่กำหนดไว้ก่อนหน้าว่าจะเริ่มช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ เนื่องจากความล่าช้าในการผลิตและจัดส่ง โดยแรงงานดูแลสุขภาพและผู้สูงอายุจะได้รับวัคซีนเป็นกลุ่มแรก

ออสเตรเลียจะแบ่งการฉีดวัคซีนออกเป็น 5 ระยะในช่วง 2 - 3 เดือนข้างหน้า พร้อมทั้งจะจัดตั้งสถานที่ฉีดวัคซีนมากกว่า 1,000 แห่ง

ด้านเกร็ก ฮันต์ รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า องค์การฯ “ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเหนือสิ่งอื่นใด” ระหว่างกระบวนการอนุมัติ โดย “การอนุมัติครั้งนี้และการเปิดตัววัคซีนที่กำลังจะมาถึงจะมีส่วนสำคัญในการจัดการกับโรคระบาดใหญ่ในปี 2021”

ทั้งนี้ รัฐบาลออสเตรเลียสั่งซื้อวัคซีนของไฟเซอร์ จำนวน 10 ล้านโดส ซึ่งเพียงพอต่อประชาการ 5 ล้านคน โดยรวมวัคซีนมากกว่า 53 ล้านโดสที่พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดและแอสตราเซเนกา (AstraZeneca) ซึ่งจำเป็นต้องผ่านการประเมินและอนุมัติจากองค์การฯ ก่อน

ข้อมูลล่าสุดจากกระทรวงฯ ระบุว่าออสเตรเลียมีผู้ป่วยโรคโควิด-19 สะสม 28,766 ราย ซึ่งรวมถึงผู้ป่วยที่ยังคงรักษาตัวอยู่ 130 ราย และผู้ป่วยเสียชีวิต 909 ราย เมื่อนับถึงบ่ายวันอาทิตย์ (24 ม.ค.) โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่ถูกตรวจพบที่สถานดูแลผู้สูงอายุในรัฐวิกตอเรียระหว่างการติดเชื้อระลอกสองของรัฐ

แม้ออสเตรเลียจะประสบความสำเร็จในการป้องกันการระบาดใหญ่ แต่พอล เคลลี หัวหน้าเจ้าหน้าที่การแพทย์ ชี้ว่าชาวออสเตรเลียยังจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับไวรัสตัวนี้

“เราจะควบคุมไวรัสให้ได้มากขึ้นกว่าปีก่อน แต่เราจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกับมัน เพราะผมไม่คิดว่ามันจะถูกกำจัดจนหมดสิ้นในเร็ววันนี้” เคลลีให้สัมภาษณ์กับสื่อเมื่อไม่นานนี้


ที่มา: https://www.xinhuathai.com/high/171767_20210125

รู้หรือไม่ ทำไมทั่วโลกต้องใช้วัคซีน AstraZeneca แพงกว่ายุโรป รวมถึงไทย เหตุผลเพราะไม่ได้ออกเงินช่วย AstraZeneca วิจัยเลยสักบาท และรัฐบาลไทยใช้แค่งบ 500 ล้านบาท

ส่งต่อให้ บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ นำไปปรับปรุงโรงงานให้เป็นไปตามข้อกำหนดการผลิตวัคซีนของ AstraZeneca จนที่สุดก็ได้วัคซีนที่มีราคาต่อโดสอยู่ราว 5 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งแม้จะแพงกว่ายุโรป 2.18 ดอลล่าร์สหรัฐต่อโดส แต่ก็ถูกกว่าอีกหลาย ๆ ประเทศ

มีประเด็นที่เป็นที่พูดถึงว่า ทำไมในยุโรปถึงสามารถซื้อวัคซีนต่อโดสของ AstraZeneca ได้ถูกกว่าไทยและประเทศอื่นๆ ทั่วโลกที่ 2.18 ดอลล่าร์สหรัฐต่อโดส จนเกิดการเปรียบเทียบราคาขึ้นมาเป็นประเด็นต่อยอดในสังคม โดยเฉพาะกับประเทศไทยที่ถูกชี้ว่าซื้อแพง มีนอกมีในอะไรหรือไม่?

เรื่องนี้มีคำตอบ!!

ทว่าก่อนหน้าที่จะไปถึงคำตอบนั้น ต้องขอพาไปดูข้อมูลจากยูนิเซฟ, รัฐบาลสหรัฐ และองค์การอนามัยโลก ก่อนว่า ราคาต่อโดสของ AstraZenecaนั้นจริงๆ แล้วมีราคาอยู่ในช่วงระดับเท่าไร เมื่อเทียบกับวัคซีนต่อโดสของบริษัทต่างๆ โดยเรียงจากถูกไปแพงดังนี้

– AstraZenecaราคา : 4 – 8.1 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส (ถูกที่สุด)

– Johnson & Johnsonราคา : 10 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส

– Sputnik Vราคา : 10 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส

– Sanofi/GSKราคา : 10.65 – 21 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส

– Curevac ราคา : 11.84 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส

– Sinovac ราคา : 13:6 – 29.75 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส

– Novavax ราคา : 16 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส

– Pfizer/BioNTech ราคา : 18.39 – 19 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส

– Moderna ราคา : 25 – 37 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส

ข้อมูลจากสำนักข่าว BBCอังกฤษที่มีการนำเสนอเรื่อง ‘Covid vaccines: Will drug companies make bumper profits?’ กล่าวถึงข้อมูลของการผลิตวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด – 19 โดยเป็นการร่วมพัฒนาจากหน่วยงานเอกชน บริษัท มูลนิธิเพื่อการกุศล หรือแม้แต่มหาเศรษฐีชื่อดังระดับโลก รวมทั้งมีรัฐบาลของประเทศต่างๆ ที่สนับสนุนการผลิตวัคซีนโดยเทงบประมาณหลายพันล้านดอลลาร์ร่วมด้วย

จุดประสงค์หลักก็คือ การผลิตวัคซีนที่มีราคาไม่สูงมาก และเข้าถึงกลุ่มของประชาชนทุกชนชั้นไม่ว่าจะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วหรือประเทศยกจนก็ต้องได้รับวัคซีนในปริมาณต่อคนที่ 2 โดสตามเกณฑ์ เพื่อประสิทธิภาพในการสูงสุดในการป้องกัน

บริษัทบางแห่งไม่ต้องการถูกมองว่าทำกำไรจากวิกฤตครั้งนี้ โดยเฉพาะหลังจากได้รับเงินทุนจากภายนอกจำนวนมาก เช่น Johnson & Johnson ผู้ผลิตยารายใหญ่ของสหรัฐ และบริษัท AstraZeneca ของสหราชอาณาจักรซึ่งทำงานร่วมกับบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพของมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ที่ได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะขายวัคซีนในราคาที่ไม่สูงและคุ้มค่า เข้าถึงได้ ปัจจุบัน AstraZeneca มีราคาถูกที่สุดที่ 4 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส

ส่วน Moderna บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพขนาดเล็กซึ่งทำงานเกี่ยวกับเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังวัคซีน RNA ที่ล้ำสมัยมานานหลายปี กำลังกำหนดราคาที่สูงขึ้นมากถึง 37 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส จุดมุ่งหมายคือการทำกำไรให้กับผู้ถือหุ้นของบริษัท (แม้ว่าส่วนหนึ่งของราคาที่สูงขึ้นจะครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการขนส่งวัคซีนในอุณหภูมิต่ำมาก)

แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าราคาวัคซีนที่ว่ามาจะคงที่ โดยปกติบริษัทยาจะเรียกเก็บเงินที่มีสัดส่วนแตกต่างกันในแต่ละประเทศตามที่รัฐบาลสามารถจ่ายได้ ซึ่งในรายของ AstraZeneca ยืนยันว่าจะรักษาระดับราคาให้อยู่ในระดับต่ำในช่วงเวลาของการระบาดเท่านั้น และเมื่อวิกฤติซาลงอาจเริ่มจำหน่ายวัคซีนในราคาที่สูงขึ้นในต้นปีหน้า แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับระดับความรุนแรงของการระบาดช่วงนั้นด้วย

จากจุดนี้ คงทราบได้ถึงราคาของวัคซีนในตลาด ซึ่งมี AstraZenecaเป็นตัวเลือกที่มีราคาต่ำที่สุด (แต่ประสิทธิภาพไม่ได้ต่ำเท่าราคา) และการเลือกวัคซีนตัวนี้มาใช้ ซึ่งใช้เวลาในการพัฒนาและการส่งต่อล่าช้ากว่าตัวอื่นๆ จึงเป็นอีกเหตุผลที่ไทยเลือกวัคซีนตัวนี้ ทั้งในแง่ของราคา และการทดลองที่รัฐบาลประเมินได้ถึงประสิทธิภาพ

ทีนี้มาดูประเด็นหลักเกี่ยวกับ ราคาวัคซีน AstraZeneca ว่าราคาในยุโรป สหรัฐ และประเทศไทย ถึงมีราคาไม่ต่างกัน โดยข้อมูลสืบค้นจากหลายแหล่งข้อมูลทั้ง คณะกรรมาธิการยุโรป, วอชิงตัน โพสต์ และBusiness insiderระบุว่า สาเหตุที่ทางประเทศในยุโรปได้วัคซีนราคาถูกกว่าไทยคือ

1.) สหภาพยุโรปได้ให้เงินทุนสนับสนุนเพื่อร่วมพัฒนาวัคซีนตั้งแต่อยู่ในงานวิจัยเฟส 2 ซึ่งเงินสนับสนุนนี้เป็นเหมือนกับการจองแบบ ‘พรีออเดอร์’ ก่อนใครจำนวน 200 ล้านโดส และจองอีก 100 ล้านโดส ในนามของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป รวมทั้งระดมเงินทุนอีก 16,000 ล้านยูโร เพื่อสนับสนุนการสำหรับการเข้าถึงการทดสอบ การรักษา และการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสทั้งในยุโรปและทั่วโลก ดังนั้นก็ย่อมได้ของที่ราคาถูกกว่าอยู่แล้ว แต่ก็ต้องแบกรับความเสี่ยงหากวัคซีนนั้นไม่ประสบความสำเร็จดังคาดหวัง

2.) รัฐบาลสหรัฐฯ สนับสนุนเงินทุนเพื่อการวิจัยและพัฒนาวัคซีนให้กับAstraZenecaมากถึง 1,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ Modernaได้รับทุนที่ 4,100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้สหรัฐได้วัคซีนสูตรOxfordในราคาที่ 4 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส ส่วนวัคซีนModernaที่ 15 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส พร้อมกับเงื่อนไขซื้อเหมาวัคซีนAstraZenecaที่ 300 ล้านโดส และซื้อเพิ่มอีก 100 ล้านโดส ซึ่งมากกว่าไทยที่จองวัคซีนจำนวน 29 ล้านโดสถึง 20 เท่า

3.) วัตถุดิบ และสารเคมี ที่ใช้เป็นองค์ประกอบการทำวัคซีนทั้งหลายถูกผลิตขึ้นในยุโรป และไม่ต้องเสียภาษีนำเข้า ไม่เสียค่าขนส่ง แถมได้รับการผลักดันสนับสนุนร่วมกันทั้งภูมิภาคในการผลิตวัคซีน รวมทั้งรัฐบาลของประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป ก็ข้ามไปให้เงินลงทุนวิจัยวัคซีนบริษัทอเมริกันอีกด้วย ซึ่งหน่วยงานด้านการเงินของสหภาพยุโรปเสนอเงินกู้ 122 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้กับPfizer/BioNTechเพื่อช่วยในการพัฒนาวัคซีน ตามด้วยเงินอีก 458 ล้านดอลลาร์สหรัฐจากรัฐบาลเยอรมนีอีกก้อน

ดังนั้นราคาวัคซีนในยุโรปจึงถูกกว่าภูมิภาคอื่นก็ไม่แปลกอะไร เพราะว่ารัฐบาลอียูมีการอุดหนุนทุ่มเงินให้กับการวิจัยกันมหาศาลของบริษัทวัคซีนต่างๆ อย่างมหาศาล แถมต้นทุนการผลิตที่ถูกกว่า และการเป็นเจ้าของสิทธิบัตรนั่นเอง

กลับมาที่ประเทศไทย ผู้ซึ่งไม่ได้ออกเงินช่วยAstraZenecaวิจัยเลยสักสตางค์แดงเดียวก็จริง แต่รัฐบาลไทยใช้งบประมาณราว 500 ล้านบาท หรือเพียง 16 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ให้บริษัทสยามไบโอไซเอนซ์ ปรับปรุงโรงงานให้เป็นไปตามข้อกำหนดการผลิตวัคซีนของAstraZenecaและได้วัคซีนที่ราคาต่อโดสคือ 5 ดอลลาร์สหรัฐ พร้อมรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้อีก เพื่อเป็นศูนย์กลางการผลิตวัคซีนกระจ่ายสู่ภูมิภาคในอนาคต

ขณะที่ประเทศอื่นๆ เช่น แอฟริกาใต้โดนไป 5.25 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส / ปากีสถาน 6 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส / ประเทศอื่นๆ ในอาเซียนก็ 7.8 – 8.1 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส และอินเดียที่เป็นพื้นที่ทดสอบวัคซีนของAstraZenecaร่วมกับบริษัทในประเทศแท้ๆ ยังมีราคาวัคซีนต่อโดสสูงถึง 13.4 ดอลลาร์สหรัฐ

ดังนั้นการที่ไทยได้วัคซีนของAstraZenecaได้ราคาที่ 5 ดอลลาร์สหรัฐต่อโดส โดยที่ไม่ได้ทุ่มงบลงทุนการวิจัยให้กับบริษัทแห่งนี้เลย แต่กลับได้วัคซีนที่มีราคาอยู่ในระดับนี้ จะเรียกว่าแพงหรือไม่นั้น? น่าจะเป็นคำตอบเชิงวิทยาศาสตร์ที่ใครก็คงตอบได้ว่า ‘ เหมาะสม’ หรือไม่เหมาะสม ซึ่งอันนี้คงต้องไปคิดต่อกันเอาเอง...


แหล่งที่มา/อ้างอิง

Reporter Journey

ข้อเท็จจริงเรื่องราคาวัคซีน AstraZeneca ที่สื่อใหญ่พูดไม่หมด ทำไมแพงกว่ายุโรป เทียบราคาต่อยี่ห้อ เงื่อนไขที่มีผลต่อราคา – REPORTER JOURNEY (reporter-journey.com)

BBC

The Washington Post

European Commission

Business Insider

กทม. ออกข้อปฏิบัติเรื่องความปลอดภัย หากโรงเรียนในสังกัด จะกลับมาเปิดทำการอีกครั้ง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความปลอดภัยแก่เด็กนักเรียน และผู้ปกครองทุกคน

หลังจากหยุดยาวมากว่า 1 เดือนเต็ม เนื่องจากสถานการณ์โควิด -19 ระบาดระลอกใหม่ ล่าสุด กทม. ได้หารือเตรียมมาตรการในการปฏิบัติ หากว่าโรงเรียนในสังกัดจะกลับมาเปิดอีกครั้ง

โดย พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้เข้ารับฟังการหารือจากสำนักการศึกษาและพัฒนาสังคม ที่รายงานความพร้อมในการเปิดการเรียนการสอนของโรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานคร และศูนย์พัฒนาเด็กเล็กก่อนวัยเรียน เบื้องต้นยังเน้นย้ำเรื่องผู้ปกครองและบุคคลที่จะเข้ามาในโรงเรียน ต้องผ่านการคัดกรองอย่างเข้มงวด มีการสวมหน้ากากอนามัย การรักษาระยะห่าง การล้างมือ และการทำความสะอาด

ปัจจุบันกรุงเทพมหานครมีโรงเรียนในสังกัดทั้งสิ้น 437 แห่ง และศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนกรุงเทพมหานครอีก 292 ศูนย์ ในพื้นที่ 45 สำนักงานเขต โดยในวันที่ 27 มกราคมนี้ โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพมหานครทั้งหมดจะจัดกิจกรรม Big Cleaning พร้อมกัน เพื่อเตรียมความพร้อม หากจะมีการประกาศเปิดการเรียนการสอน เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ปกครอง

ส่วนเมื่อเปิดเรียนแล้ว นักเรียนและบุคลากรที่เกี่ยวข้องในโรงเรียน จะต้องปฏิบัติตัวอย่างไรบ้าง The States Times รวบรวมมาให้ได้ทราบกันดังนี้


ข้อมูลจาก: เพจกรุงเทพมหานคร โดยสำนักงานประชาสัมพันธ์

ครม. เคาะปรับลดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม เป็นระยะเวลา 2 เดือน (ก.พ.–มี.ค. 64) โดยผู้ประกันตนมาตรา 33 เหลือ 0.5% ของค่าจ้าง ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 จากเดิมอัตรา 278 บาทต่อเดือน ให้เหลืออัตรา 38 บาทต่อเดือน

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม. เห็นชอบการปรับลดอัตราเงินสมทบกองทุนประกันสังคม เป็นระยะเวลา 2 เดือน ตั้งแต่เดือนก.พ. – มี.ค. 2564 โดยลดอัตราเงินสมทบฝ่ายผู้ประกันตนมาตรา 33 เหลือ 0.5% ของค่าจ้างผู้ประกันตน จากเดิม 3% ของค่าจ้างผู้ประกันตน เหลือ 75 บาทต่อเดือน สำหรับฝ่ายนายจ้างให้คงอัตราเดิมโดยส่งเงินสมทบ 3% ของค่าจ้างผู้ประกันตน รัฐบาลส่งเงินสมทบอัตราเดิม 2.75% ของค่าจ้างผู้ประกันตน

สำหรับผู้ประกันตนตามมาตรา 39 จากเดิมอัตรา 278 บาทต่อเดือนให้เหลืออัตรา 38 บาทต่อเดือน ซึ่งจะทำให้นายจ้าง 486,192 ราย ผู้ประกันตนมาตรา 33 จำนวน 11,164,387 คน และผู้ประกันตนมาตรา 39 จำนวน 1,832,500 คน ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย โดยนำเงินสมทบที่ลดลงไปใช้จ่ายเสริมสภาพคล่อง เกิดการหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ ตั้งแต่เดือน มกราคม ถึง มีนาคม 2564 จำนวน 23,119 ล้านบาท ลดปัญหาทางการเงินของนายจ้างและผู้ประกันตน ส่งผลให้คุณภาพชีวิตผู้ประกันตนดีขึ้น

นายอนุชา กล่าวว่า การลดอัตราเงินสมทบของผู้ประกันตนในครั้งนี้ ส่งผลให้กองทุนประกันสังคมจัดเก็บเงินสมทบได้ลดลงจำนวน 7,166 ล้านบาท และหากรวมกับการลดอัตราเงินสมทบครั้งที่หนึ่งตั้งแต่เดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม 2563 ครั้งที่สองตั้งแต่เดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน 2563 และการลดอัตราเงินสมทบปัจจุบันตั้งแต่เดือนมกราคมถึงมีนาคม 2564 เงินสมทบทั้งหมดรวมกัน 9 เดือนจะลดลงประมาณ 68,669 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังมีผู้ประกันตน ม.33 ได้รับผลกระทบหนัก ทางพรรคก้าวไกล ก็เตรียมเชือด ‘รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน’ กลางเวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจ ฐานละเลยแรงงานอยู่

โดยนายสุเทพ อู่อ้น ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการเเรงงาน สภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วย วรรณวิภา ไม้สน ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ ในฐานะปีกเเรงงาน พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีเครือข่ายสิทธิแรงงานเพื่อประชาชนและผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่อยู่ในระบบของประกันสังคม รวมตัวกันไปเรียกร้องความเป็นธรรมจากรัฐบาล ให้เยียวยาผู้ใช้เเรงงานที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การเเพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 ระลอกใหม่ อย่างถ้วนหน้า เสมอภาคและเท่าเทียมกันบริเวณ หน้าทำเนียบรัฐบาล ในวันนี้ ( 26 มค. 64 )

นายสุเทพ กล่าวว่า กรณีที่เกิดขึ้นคือการเรียกร้องของผู้ประกันตน มาตรา 33 ในระบบประกันสังคมที่ถูกตัดออกจากการเป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินเยียวยามาตั้งเเต่การระบาดของโควิดในรอบแรก เนื่องจากรัฐบาลอ้างว่า ในส่วนของผู้ประกันตนมาตรา 33 ให้ไปใช้เงินสะสมในส่วนของประกันสังคม ซึ่งสำนักงานประกันสังคม มีระเบียบเเละเงื่อนไขในการรับเงินเยียวยาหรือเงินกรณีที่เกิดวิกฤติโควิดดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ข้อเรียกร้องของผู้ประกันตน

ได้ระบุไว้ว่า การเยียวยาในรอบเเรกที่รัฐให้เงินเยียวยาเดือนละ 3,500 บาท ระยะเวลา 2 เดือน คือ 7,000 บาทนั้น รัฐเยียวยาไปทั้งหมดเพียง 31 ล้านคน แต่ยังมีการตกหล่นเเละได้อย่างไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะพี่น้องผู้ใช้เเรงงานในระบบประกันสังคมในระบบประกันสังคมมาตรา 33 ซึ่งเป็นลูกจ้างในธุรกิจหน่วยงานทุกภาคส่วนที่มีมากถึง 11 ล้านคน รวมไปถึงเเรงงานข้ามชาติที่เข้าระบบประกันสังคมประมาณ 1.5 ล้านคน ยังไม่ได้รับการเยียวยาเลย

ในฐานะที่ตนเป็นประธานกรรมาธิการการเเรงงาน สภาผู้แทนราษฎร ขณะนี้ทางคณะกรรมาธิการได้ส่งเรื่องร้องเรียนกรณีดังกล่าวไปยังศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ( ศบค. ) เพื่อให้มีการพิจารณาให้ผู้ใช้แรงงานในระบบประกันสังคม 11 ล้านคน ได้รับการเยียวยาด้วย และเรื่องนี้จะเข้าสู่การหารือเป็นวาระเร่งด่วนของคณะกรรมาธิการการเเรงงานในวันที่ 27 ม.ค. ในส่วนของปีกเเรงงานของพรรคก้าวไกล ขณะนี้ได้จัดประชุมเครือข่ายเเรงงานในทุกภาคส่วน เพื่อรับฟังปัญหาและนำปัญหาเหล่านี้เข้าสู่การแก้ไข รวมถึงจะนำไปใช้เป็นประเด็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลที่จะเกิดขึ้นในกลางเดือนกุมพาพันธ์

“ขอฝากไปยังนายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเเรงงาน จากการที่เคยหารือไปหลายครั้งให้นำเรื่องมาตรการเยียวยาแรงงานในระบบให้เท่าเทียมกับประชาชนทั่วไปเสนอต่อคณะรัฐมนตรี ซึ่งนายสุชาติ อ้างว่า การดำเนินการในส่วนของตนเป็นการช่วยเหลือผู้ใช้เเรงงานอยู่เเล้ว เช่น เรื่องของการลดเงินสมทบประกันสังคมหรือเงื่อนไขการได้รับชดเชยในกรณีว่างงาน

เเต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ผู้ใช้แรงานในระบบ 11 ล้านคน จะต้องตกหล่นจากการรับการเยียวยาเหมือนประชาชนคนอื่นๆ เพราะในข้อเท็จจริงยังมีผู้ประกันตนในระบบมีรายได้ลดลงมากแต่ก็ต้องทำเพื่อรักษางานไว้ จึงอยากให้นายสุชาติ ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน สะท้อนปัญหาดังกล่าวต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรีอีกครั้ง เพื่อการแก้ไขปัญหาอย่างตรงจุด เป็นรูปธรรมเเละเยียวยาประชาชนได้อย่างทั่วถึง”

ขณะที่ วรรณวิภา กล่าวว่า กลุ่มผู้ประกันตน มาตรา 33 เป็นกลุ่มเดียวที่ไม่ได้รับการเยียวยาจากรอบเเรกของภาครัฐ ซึ่งการบริหารของรัฐรอบแรกต่อกรณีนี้ทำให้เงินประกันสังคมไหลออกอย่างมหาศาล ซึ่งเงินเหล่านี้เป็นเงินสะสมของลูกจ้างเเละนายจ้างเพื่อไว้ใช้กรณีฉุกเฉิน 7 อย่าง ตามประกาศเเละระเบียบของประกันสังคม

อาทิ รักษาพยาบาล ชราภาพ คลอดบุตร และว่างงาน แต่ตอนนี้ได้ถูกนำเงินส่วนนี้ออกมาใช้เพื่อเยียวยาแทนรัฐบาล เเละในปัจจุบันผู้ประกันตนในส่วนนี้ลดน้อยลง ทำให้เงินในกองทุนลดลง สวนทางกับความต้องการของคนที่ใช้เงินจากกองทุนนี้มากขึ้น ซึ่งการบริหารเช่นนี้ไม่เป็นผลดีกับกองทุนประกันสังคมในอนาคต เมื่อมีการเยียวยารอบ 2 คนกลุ่มนี้ก็ไม่ได้รับการประกาศเยียวยาจากภาครัฐอีก นวันนี้จึงมีที่ผู้ประกันตนออกมาเรียกร้องสิทธิของเขา

“ทำไมรัฐไม่เยียวยา ตกหล่น และเป็นเหตุให้ต้องนำเงินของเขาที่สะสมไว้ในอนาคตมาใช้ ทั้งที่รัฐควรจะต้องเยียวยาอย่างทั่วหน้า เเละให้เงินเยียวยาเป็นเงินสดเหมือนรอบแรก แรงงานในระบบประกันสังคมมาตรา 33 ควรจะต้องได้รับการดูแลเหมือนประชาชนทุกคนที่ได้รับสิทธิดังกล่าว รวมไปถึงสิทธิต่างๆที่จะได้รับจากรัฐในการเยียวยาอย่างถ้วนหน้า เเละเท่าเทียม” วรรณวิภา กล่าว

‘พุทธิพงษ์’ ขอบคุณประชาชน แจ้งโพสต์ผิดกฎหมายมาทางเพจ "อาสา จับตา ออนไลน์" เพียบ พร้อมเดินหน้าลุยส่งเรื่องให้ศาลและแจ้งความต่อปอท.แล้ว เร่งนำตัวคนทำผิดมาลงโทษถึงที่สุด

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอีเอส) กล่าวขอบคุณประชาชนที่ให้ความร่วมมือ แจ้งเหตุกรณีพบการกระทำความผิดทางสื่อสังคมออนไลน์ ผ่านช่องทางเพจ "อาสาจับตาออนไลน์" จำนวนมากและส่งเข้ามาอย่างต่อเนื่อง

โดยกองป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปท.) กระทรวงดิจิทัลฯ รายงานสถิติการรับแจ้งเหตุจากประชาชน ผ่านช่องทางเพจ "อาสา จับตา ออนไลน์" ระหว่างวันที่ 1-22 มกราคม 2564 รวมจำนวน 15,306 รายการ ตรวจสอบแล้วเข้าข้อกฎหมาย 2,111 รายการ (ยูอาร์แอล)ทั้งทางแพลตฟอร์มเฟซบุ๊ก,ยูทูบ,ทวิตเตอร์ และเว็บไซต์อื่น

ซึ่งล่าสุด เจ้าหน้าที่ได้ส่งเรื่องที่เข้าข่ายผิดกฎหมาย ขออำนาจศาลในการปิดกั้นหรือลบข้อความไปแล้ว 2,111 รายการ (ยูอาร์แอล) และเจ้าหน้าที่กองกฎหมาย กระทรวงดิจิทัลฯ ได้แจ้งความดำเนินคดีฐานความผิดพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14 ยื่นแจ้งความต่อตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) แล้ว 254 รายการ(ยูอาร์แอล)

โดยหลังจากนี้ขอให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตำรวจปอท.ที่จะเร่งดำเนินการสืบสวนสอบสวน นำตัวผู้ที่กระทำความผิดทางสื่อสังคมออนไลน์มาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างถึงที่สุดต่อไป

"ฝากเตือนไปยังผู้ใช้โซเชียลมีเดียและประชาชน ก่อนที่จะโพสต์หรือแสดงความคิดเห็นอย่างหนึ่งอย่างใด ขอให้ใช้วิจารณญาณและไตร่ตรองให้ดีก่อนโพสต์ เพราะหากกระทำผิด เจ้าหน้าที่ก็จำเป็นต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ซึ่งประชาชนสามารถแจ้งเข้ามาทางเพจ "อาสา จับตา ออนไลน์" ได้อย่างต่อเนื่อง เจ้าหน้าที่จะเร่งดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย"

‘กาละแมร์’ โพสต์เฟซบุ๊กให้กำลังใจตัวเอง หลังตกเป็นประเด็นดราม่าเหตุโฆษณาอาหารเสริมของตัวเองเกินจริง ตัดพ้อ “ได้เรียนรู้ เติบโต ได้เข้าใจในกฏระเบียบ แม้จะพูดตามข้อเท็จจริง แต่ถ้าไม่ตรงกับกฎที่มีก็ไม่สามารถ”

จากกรณีที่ กาละแมร์- พัชรศรี เบญจมาศ พิธีกรชื่อดัง ตกเป็นประเด็นดราม่าเกี่ยวกับการโฆษณาสรรพคุณผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของตัวเองอย่างเกินจริง จนกลายเป็นเรื่องราวที่โลกออนไลน์วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง

ต่อมา อย. ออกมายืนยันว่าไม่เป็นความจริง เนื่องจากไม่มีผลิตภัณฑ์อาหารตัวใดที่สามารถเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง หรือการทำงานของร่างกายได้ตามที่กล่าวอ้าง

จนกระทั่ง (25 ม.ค. 64) มีการแจ้งความดำเนินคดีกับ กาละแมร์- พัชรศรี เบญจมาศ ในความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ม.14 (1) และ ฉ้อโกงประชาชน หลังโฆษณาผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเกินจริง

ล่าสุดเจ้าตัวได้ออกมาเคลื่อนไหว โพสต์ข้อความพร้อมรูปภาพให้กำลังใจตัวเองผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า

ขอบพระคุณทุกคำแนะนำจากทุกคน ผู้ใหญ่จากทุกหน่วยงานภาครัฐ ทำให้แมร์ได้พัฒนาทุกอย่างให้ถูกต้อง แมร์ได้เรียนรู้ เติบโต ได้เข้าใจในกฏระเบียบ แม้จะพูดตามข้อเท็จจริง แต่ถ้าไม่ตรงกับกฎที่มีก็ไม่สามารถ

แมร์อาจไม่ทราบทุกกฎทุกเรื่องต้องกราบขออภัยจากใจ

และแมร์ขอขอบพระคุณลูกค้าทุกท่านที่ส่งทั้งกำลังใจ รีวิวการกินมาอย่างทะลักทะล้น แมร์ซาบซึ้งไม่มีวันลืม สัญญาจะทำผลิตภัณฑ์ให้ดีขึ้นไปอีกเรื่อยค่ะ

‘บิ๊กตู่’ และครม. ร่วมส่งกำลังใจให้ผู้ว่าฯ สมุทรสาคร หลังแพทย์เจาะคอปรับวิธีรักษา เชื่อบุญกุศลทำให้ปลอดภัย ขอบคุณในการเสียสละ ย้ำเราจะดูแลให้ดีที่สุด

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ถึงอาการป่วยของนายวีระศักดิ์ วิจิตร์แสงศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ว่า

วันนี้ตนได้พูดให้ที่ประชุมครม.ทราบ และขอให้ทุกคนรวมพลัง รวมกำลังใจและห่วงใยส่งไปให้ไปยังผู้ว่าฯ ซึ่งวันนี้มีสถานการณ์ที่ต้องเฝ้าระวังเข้มข้นขึ้น โดยคณะแพทย์โดยกระทรวงสาธารณสุขได้ดูแลเป็นพิเศษ ซึ่งได้มีการหารือมาตลอดและตนได้รับคำชี้แจงมาว่าต้องมีการปรับวิธีการรักษาให้เหมาะสม เพื่อแก้ปัญหาในเรื่องของช่องคอและช่วงอก เพราะการใช้เครื่องช่วยหายใจตลอดเวลาค่อนข้างมีปัญหาในช่วงนี้ จึงต้องมีการเจาะคอ ซึ่งเป็นเรื่องของทางการแพทย์

"ผมขอให้ท่านมีสุขภาพแข็งแรงโดยเร็ว และขอขอบคุณในการเสียสละของท่าน จนถึงวันนี้ผมคิดว่าบุญกุศลที่ท่านทำไว้ จะทำให้ท่านปลอดภัย ขอให้ปลอดภัยเป็นปกติสุขโดยเร็วกำลังใจจากผมเอง ซึ่งผมก็ให้ไปเยี่ยมเยือน 3 ครั้งแล้ว และทางกระทรวงสาธารณสุข รองนายกรัฐมนตรีก็เยี่ยมเยียนเป็นพิเศษอยู่แล้ว วันนี้ก็เอากำลังใจจากครม. ไปถึงท่านและครอบครัวท่านด้วย เราจะดูแลให้ดีที่สุด"นายกฯ กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top