Sunday, 27 April 2025
NEWS

ส.ส.ประชาธิปัตย์ ยำใหญ่ กกต.ส่งรายงานช้าไปสามปี ทำงานไร้ประสิทธิผล ปล่อยโกงเกลื่อนประเทศ ชี้ เลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา เลวร้ายที่สุดในรอบ 30 ปี ทำประชาธิปไตยถดถอย หวังพลิกโฉมการเมือง ให้บัตรเลือกตั้ง มีอำนาจกกว่ากระสุน

ดร.พิมพ์รพี พันธุ์วิชาติกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ลุกขึ้นอภิปรายในการประชุมสภา ระหว่างการรับทราบรายงานผลการปฏิบัติงาน กกต.ประจำปี 2561 โดยตำหนิว่าเป็นการนำรายงานเข้าสู่สภาที่ล่าช้าเกินไปถึงสามปี จะมีผลกระทบต่อรายงานครั้งถัดไปที่จะช้าออกไปสามปีเช่นเดียวกัน

พร้อมตั้งข้อสังเกตถึงการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาว่า เลวร้ายที่สุดในรอบสามสิบปี ซึ่งตนเชื่อในการเมืองระบอบประชาธิปไตย และการเลือกตั้งที่สุจริต มีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นต้นแบบ ทั้ง ๆ ที่เราคาดหวังการเลือกตั้งที่ดีขึ้น แต่กลับเลวร้ายลง ประชาธิปไตยถดถอย ประชาชนยากจน ทำให้เกิดการซื้อเสียงง่ายขึ้น หนึ่งหมู่บ้านเลือก 20 คน เป็นแกนนำ 20 คนดูแลคนในครอบครัว 20 คน ซื้อเสียงตามสบาย เพราะไม่มีใครขายครอบครัวตัวเอง 20 คูณ 20 เท่ากับ 400 เสียง เอาแค่ครึ่งเดียว 200 เสียง บางพื้นที่ปรากฏหนึ่งหมู่บ้านได้ 200 เสียงทั้งอำเภอ ไม่สงสัยบ้างหรือว่าเกิดอะไรขึ้น

“ภาคใต้ของดิฉันไม่เคยซื้อสิทธิ ขายเสียง ประชาชนมีความภูมิใจในการสั่งส.ส.ให้ทำงาน แต่วันนี้ก้มหน้าสารภาพบาปมีการซื้อสิทธิ ขายเสียง จนสมเพชตัวเองหมดแล้ว กกต.ทำอะไรอยู่ พัทลุง ซื้อเสียงจนจะยิงกันตายอยู่แล้ว แต่กกต.บอกไม่ผิด ซื้อไก่ กกต.ท้องถิ่นบอกผิด ส่วนกลางบอกไม่ผิด ใช้กฎหมายเล่นเล่ห์ เพทุบาย

กกต.ต้องใช้งบประมาณ เพื่อไม่ให้เกิดการซื้อสิทธิ ขายเสียง ดิฉันเกิดมาซื้อเสียงไม่เป็น ถ้าซื้อคงแพ้ เพราะซื้อไม่เก่ง คนอย่างดิฉันและพรรคประชาธิปัตย์ จะต้องแพ้อีกขนาดไหนเพราะปัญหานี้ กกต.ต้องทำให้บัตรเลือกตั้งมีอำนาจมากกว่ากระสุน ประชาชนไม่เชื่อ เหยียดหยาม กกต. เหมือนที่เหยียดหยาม ส.ส. ปลาเน่าตัวเองเน่าทั้งเข่ง จะอยู่อย่างนี้อีกนานไหม

จะตอบคำถามลูกหลานอย่างไร จะสร้างความเปลี่ยนแปลงการเมืองอย่างไร ให้บัตรเลือกตั้งส่งผลต่อประชาธิปไตย อย่าให้การเมืองเสียหายเพราะการซื้อสิทธิ ขายเสียง จากการคอร์รัปชันบ้านเมือง ฝาก กกต.ชี้แจงให้ชัดแก้อย่างไรในการรายงานต่อสภาครั้งหน้า” ดร.พิมพ์รพีกล่าว

ประเทศไหนรีบไปก่อนเลย แต่ออสเตรเลียขอเลือกรอดูผลสัมฤทธิ์ของวัคซีนก่อน ค่อยประกาศฉีดวัคซีนทั่วประเทศ แม้จะมีวัคซีนในสต็อคอยู่จำนวนหนึ่งพร้อมฉีดแล้วก็ตาม

ถึงแม้การตัดสินใจดึงเวลาที่จะเริ่มฉีดวัคซีน COVID -19 ออกไปจนถึงเกือบสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ จะทำให้ชาวออสเตรเลียบางส่วนไม่พอใจ แต่นายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย สก็อต มอร์ริสัน ตัดสินใจรอดูผลจากประเทศที่ฉีดวัคซีนไปแล้ว เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย

สก็อต มอร์ริสัน ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อออสเตรเลียว่า ประเทศอื่นที่มีปัญหาเรื่องการควบคุมการระบาด อาจจำเป็นต้องรีบฉีดวัคซีนแม้จะรู้ว่าเสี่ยง แต่ไม่ใช่กับที่ออสเตรเลีย ที่เราควบคุมการแพร่ระบาดได้ เราจึงต้องขอดูผลให้แน่ใจก่อนค่อยฉีด ก็ไม่สายเกินไป

จะเห็นได้ว่า ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ออสเตรเลียมีผู้ติดเชื้อในประเทศเพียง 10 ราย ล่าสุดเพิ่มขึ้นอีก 9 ราย ซึ่งทั้งหมดเป็นเคสที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ ทำให้ยอดรวมผู้ติดเชื้อในออสเตรเลียอยู่ที่ 28,739 ราย เสียชีวิต 909 คน

และรัฐบาลออสเตรเลียก็มีวัคซีนของ AstraZeneca อยู่แน่ ๆ แล้ว 53.8 ล้านโดส กับวัคซีน Pfizer อีก 10 ล้านโดส พร้อมฉีดให้กับบุคลากรแถวหน้า และกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง และมีเสียงเรียกร้องจากหลายฝ่ายให้เริ่มฉีดวัคซีดให้เร็วที่สุด เพื่อป้องกันการระบาดระลอกใหม่

แต่รัฐบาลยังคงยืนยันว่าต้องการรอดูผลเพื่อความปลอดภัยจนถึงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นระยะเวลาที่เลื่อนให้แล้ว เพราะก่อนหน้านั้นตั้งใจจะรอจนถึงเดือนมีนาคมด้วยซ้ำไป

และออสเตรเลียก็ไม่ใช่ชาติเดียว ที่ขอประวิงเวลาในการฉีดวัคซีนออกไปก่อน นิวซีแลนด์ก็เพิ่งประกาศว่าจะเริ่มแผนการฉีดวัคซีน COVID -19 ให้เฉพาะบุคลากรแถวหน้าได้ในเดือนเมษายน ส่วนประชาชนทั่วไปจะเริ่มรับวัคซีนหลังจากกรกฎาคมไปแล้ว

และไม่ใช่ว่านิวซีแลนด์หาวัคซีน COVID -19 ไม่ได้ แต่ได้จองซื้อไว้แล้วถึง 7.6 ล้านโดสจาก AstraZeneca และ 10.72 ล้านโดสจาก Novavax เพียงพอแล้วที่จะฉีดให้กับประชากรนิวซีแลนด์ทั้งประเทศ 5.36 ล้านคน แถมยังแจกให้ฟรีกับประเทศชาวเกาะเพื่อนบ้านได้อีกด้วย เพียงแค่ตอนนี้ขอดูผลข้อสอบจากประเทศอื่นก่อนเท่านั้น

ซึ่งยังมีอีกหลายประเทศที่ขอดูผลข้างเคียงจากประเทศอื่น รวมถึงเกาหลีใต้ และญี่ปุ่น ที่ก็มีวัคซีนพร้อมแล้วจำนวนหนึ่ง แต่ยังไม่ประกาศฉีดทันทีในตอนนี้ แม้จะมีกระแสกดดันจากฝ่ายค้าน และประชาชนบางส่วนในประเทศที่กำลังตื่นตระหนกกับคลื่นการระบาดระลอกใหม่ของ COVID -19 ในประเทศ

ผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีนได้ให้เหตุผลว่า ที่บางประเทศดึงเวลาการฉีดวัคซีน COVID -19 ออกไป เพราะยังไม่แน่ใจถึงประสิทธิภาพ และผลข้างเคียง เนื่องจากเป็นวัคซีนที่ใช้กระบวนการพัฒนาอย่างเร่งด่วนกว่าวัคซีนอื่นๆ และบางบริษัทใช้เทคโนโลยีใหม่ เช่น การใช้ mRNA ที่เป็นการตัดต่อสารพันธุกรรมจากไวรัส COVID -19 ที่ยังไม่อาจคาดเดาผลข้างเคียงเมื่อใช้งานจริงในกลุ่มผู้รับวัคซีนจำนวนมากถึงล้านคน

ดังนั้นหากประเทศใดที่คิดว่ายังสามารถจำกัดการแพร่ระบาดได้ดี ก็ยังพอมีเวลาที่จะศึกษาข้อมูลจากประเทศที่ได้ฉีดไปแล้ว แต่สำหรับบางประเทศที่วิกฤติจนรับมือไม่ไหวแล้ว ผลลัพธ์อาจคุ้มค่ากับความเสี่ยง

จึงเป็นวิจารณญาณของรัฐบาลแต่ละประเทศที่จะตัดสินใจว่าควรจะใช้วัคซีนเมื่อไร จึงเหมาะสม และปลอดภัยสำหรับประชาชน แต่การฉีดวัคซีนก็ไม่ได้หมายความว่าจะคุ้มกันโรคได้ 100% ดังนั้น การระวังตัวเองด้วยการ ใช้หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่าง ล้างมือ กันไว้ก่อน น่าจะช่วยลดโอกาสการแพร่ระบาดได้ดีที่สุดที่ทำได้ในเวลานี้


แหล่งข่าว

https://www.straitstimes.com/asia/australianz/australia-delays-vaccine-rollout-to-study-how-other-countries-cope-with-the-jab

https://www.theguardian.com/world/2021/jan/08/why-the-delay-the-nations-waiting-to-see-how-covid-vaccinations-unfold

https://www.aa.com.tr/en/asia-pacific/new-zealand-secures-2-more-covid-19-vaccines/2079683

‘อัศวิน ขวัญเมือง’ ไม่สน กมธ.คมนาคม ยันรถไฟฟ้าสายสีเขียวเก็บราคาใหม่ 16 ก.พ.นี้ ย้ำ ราคา 104 บาท ตลอดสาย ไม่ได้แพงเกินไป และรถไฟฟ้าสายอื่นก็เก็บค่าโดยสารไม่ได้ถูกกว่ารถไฟฟ้าสายสีเขียวแต่อย่างใด ท้าถ้าผิดให้ฟ้อง ป.ป.ช.

นายโสภณ ซารัมย์ ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การคมนาคม แถลงผลการประชุม กมธ. กรณีการต่อสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวว่า หลังจากที่ กมธ.ได้เชิญส่วนข้าราชการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวมาชี้แจง 2 ครั้ง กมธ.มีมติดังนี้ คือ

1.) ไม่เห็นด้วยกับการต่ออายุสัมปทานครั้งนี้ และ

2.) กมธ.ขอให้ กทม. มีการชะลอการขึ้นค่าโดยสาร 104 บาท ที่จะมีผลในวันที่ 16 ก.พ.64 ออกไปก่อน

วันเดียวกันที่ศาลาว่าการ กทม. พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม. เปิดเผยกรณีที่ประชุมคณะกรรมาธิการคมนาคม ที่มีนายโสภณ ซารัมย์ เป็นประธาน มีมติให้ กทม. ชะลอการเก็บค่าโดยสารรถไฟฟ้า สายสีเขียว 104 บาท วันที่ 16 ก.พ.64 นี้ออกไปก่อนนั้นว่า กทม.ยืนยันจะเก็บค่าโดยสารตามที่ประกาศและกำหนดวัน หากจะให้ชะลอมีเพียงกรณีเดียวคือ รัฐบาลสั่งให้ชะลอ

"ส่วนกรณีที่กระทรวงคมนาคมมีหนังสือให้ กทม.ชะลอการเก็บค่าโดยสารออกไปก่อนนั้น เขาก็มีเหตุผลของเขา แต่ กทม.ก็มีเหตุผลเหมือนกัน เพราะถ้าชะลอออกไปอีก จะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายให้เอกชน ทั้งนี้ ถ้า ครม.อนุมัติตามที่ กทม.เสนอทุกอย่างก็จบ ส่วน ครม.จะพิจารณาเมื่อไร ตอบไม่ได้ อย่างไรก็ตาม กทม.ยืนยันวันที่ 16 กุมภาพันธ์นี้ จะเก็บค่าโดยสารในอัตราใหม่แน่นอน" พล.ต.อ.อัศวินกล่าว

ผู้ว่าฯกทม.กล่าวว่า สำหรับค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียว ราคา 104 บาท ตลอดสาย ไม่ได้แพงเกินไป และรถไฟฟ้าสายอื่นก็เก็บค่าโดยสารไม่ได้ถูกกว่ารถไฟฟ้าสายสีเขียวแต่อย่างใด

"สามารถเปรียบเทียบกันได้แบบกิโลเมตรต่อกิโลเมตร (กม.) โดยสายสีน้ำเงิน ค่าโดยสาร 1.62 บาท/กม. ส่วนสายสีเขียว 1.23 บาท/กม. นอกจากนี้ รถไฟฟ้าสายอื่น รัฐบาลออกค่าก่อสร้างให้ทั้งหมดแสนกว่าล้านบาท แต่รถไฟฟ้าสายสีเขียว รัฐบาลไม่ได้ออกค่าก่อสร้างให้แม้แต่สลึงเดียว กทม.ยืนยันว่าค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวถูกกว่า และทำถูกต้องตามขั้นตอนพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ร่วมทุนฯ หากไม่ถูกต้องให้ยื่นฟ้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้เลย" พล.ต.อ.อัศวินกล่าว

‘เทพไท’ ขอบคุณรัฐบาล ที่เปิดลงทะเบียน ‘เราชนะ’ผ่านธนาคาร เสนอรัฐปรับปรุงข้อมูล ตรวจสอบสิทธิ์ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อให้ประชาชนคนยากคนจนจริงๆ ได้มีโอกาสใช้

นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงโครงการ”เราชนะ”ของรัฐบาล ที่เปิดให้มีการลงทะเบียนผ่านแอพพลิเคชั่นนั้น จะมีประชาชนส่วนหนึ่งที่ไม่มีโทรศัพท์แบบสมาร์ทโฟน จึงไม่สามารถลงทะเบียนได้ จนทำให้นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้โพสต์เฟซบุ๊กยืนยันว่า ประชาชนที่ไม่มีสมาร์ทโฟน ก็สามารถลงทะเบียน "เราชนะ" ได้ โดยได้ประสานงานกับธนาคารของรัฐให้ช่วยอำนวยความสะดวกแล้วนั้น

ผมต้องขอขอบคุณที่นายสุพัฒนพงษ์ แทนพี่น้องประชาชน ผู้ไม่มีโทรศัพท์แบบสมาร์ทโฟน และลงทะเบียนผ่านแอพพลิเคชั่นไม่เป็น ที่ได้รับฟังความเห็น หรือข้อเสนอของตนที่ได้นำเสนอไปก่อนหน้านี้ และได้เห็นความสำคัญหรือข้อจำกัดของประชาชนระดับรากหญ้า ที่ไม่มีโอกาสได้ใช้โทรศัพท์แบบสมาร์ทโฟนที่มีราคาค่อนข้างสูง จะได้มีโอกาสลงทะเบียนในโครงการเราชนะผ่านธนาคารของรัฐได้ เช่น ธนาคารกรุงไทย,ธนาคารออมสิน,ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์(ธกส.) ซึ่งมีอยู่ในทุกอำเภอ

จึงอยากจะให้ทางรัฐบาลได้ประชาสัมพันธ์ทำความเข้าใจกับประชาชน ที่ไม่สามารถลงทะเบียนผ่านแอพพลิเคชั่นได้ ให้ใช้วิธีการลงทะเบียนผ่านธนาคารของรัฐได้ทุกแห่ง และขอให้รัฐบาลได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ธนาคารของรัฐทั้งหมด ได้อำนวยความสะดวกช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ เพราะประชาชนในต่างจังหวัด จะมีส่วนหนึ่งที่มีความรู้น้อย อาจจำเป็นต้องการคำแนะนำ และการช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ธนาคารของรัฐมากที่สุด

ส่วนการที่รัฐบาลจะโอนเงินจากโครงการเราชนะ ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ที่มีผู้ถือบัตรจำนวน 13.8 ล้านคนนั้น ก็เป็นสิ่งที่น่ายินดี ที่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐหรือบัตรคนจน จะได้มีเงินเพิ่มขึ้น แต่อยากจะเสนอให้รัฐบาลได้ปรับปรุงข้อมูล หรือตรวจสอบสิทธิ์ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพื่อความถูกต้องและเป็นไปตามนโยบาย ที่ต้องการให้ประชาชนคนยากคนจนจริงๆ ได้มีโอกาสใช้บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

และยังมีผู้ตกค้างไม่ได้ลงทะเบียนที่เป็นคนจนอีกจำนวนมาก ที่รัฐบาลจะต้องให้โอกาสกับคนเหล่านี้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐด้วย และเมื่อข้อมูลของผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐถูกต้องตรงกับสภาพความเป็นจริง ก็จะเป็นฐานข้อมูลที่สำคัญของรัฐบาล ในการใช้เป็นข้อมูลพื้นฐาน เพื่อการช่วยเหลือประชาชนที่ยากจนในโอกาสต่อไป

หลังคณะรัฐมนตรีมีมติออกมาตรการ 'เราชนะ' เพื่อเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 โดยจะมอบให้กับกลุ่มบุคคล 3 กลุ่ม จำนวนทั้งสิ้น 7,000 บาท เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2564 ที่ผ่านมา กลุ่มบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ รับเงินเป็นกลุ่มแรก 5 กุมภาพันธ์

ทั้งนี้ จะมีการกำหนดช่วงเวลาในการรับเงิน โดยจำแนกเป็นแต่ละกลุ่มบุคคล ดังนี้

กลุ่มที่ 1 บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

- รับโอนเงินครั้งแรก (จำนวน 675 บาท หรือ 700 บาท): วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564

- รับโอนครั้งต่อไป (ทุกวันศุกร์) : วันที่ 12, 19, 26 กุมภาพันธ์ 2564 และ 5, 12, 19, 26 มีนาคม 2564

กลุ่มที่ 2 เป๋าตัง

- ตรวจสอบสถานะ: วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2564

- กดยืนยันสิทธิ์ พร้อมรับเงินครั้งแรก (จำนวน 2,000 บาท) : วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564

- รับโอนเงินครั้งถัดไป (จำนวน 1,000 บาท ทุกวันพฤหัสบดี) วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564 และ 4, 11, 18, 25 มีนาคม 2564

กลุ่มที่ 3 เราชนะ (กลุ่มไม่ได้อยู่ในฐานข้อมูล)

- รับสมัครลงทะเบียน: วันที่ 29 มกราคม 2564

- ตรวจสอบสถานะ: วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564

- ปิดรับลงทะเบียน: วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2564

รับโอนเงินครั้งแรก (จำนวน 2,000 บาท) : วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2564

- รับโอนเงินครั้งถัดไป (จำนวน 1,000 บาท ทุกวันพฤหัสบดี) วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2564 และ 4, 11, 18, 25 มีนาคม 2564

เครือข่ายลดบริโภคเค็ม และสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย เผยผลวิจัยล่าสุด พบพฤติกรรมคนไทยบริโภคโซเดียม (เกลือ) เกิน 2 เท่า "ภาคใต้" ครองแชมป์กินเค็ม

สะเทือนไตคนไทยทั้งประเทศ เมื่อเครือข่ายลดบริโภคเค็ม สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย เผยผลงานวิจัยล่าสุด ที่ได้รับการพิมพ์ในวารสาร Journal of Clinical Hypertension โดยความร่วมมือกับองค์การอนามัยโลก (WHO) ตีแผ่พฤติกรรมคนไทยบริโภคโซเดียม (เกลือ) เฉลี่ยสูงที่สุดในภาคใต้, ภาคกลาง, ภาคเหนือ, กรุงเทพมหานครและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

โดยค่าปริมาณการบริโภคโซเดียมเฉลี่ยประชาชนไทยเท่ากับ 3,636 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเท่ากับเกลือถึง 1.8 ช้อนชา ด้านองค์การอนามัยโลกระบุ จากผลการศึกษานี้ทำให้ต้องตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มความพยายามในการลดปริมาณการบริโภคโซเดียมในประชากรไทยให้มากขึ้น โดยเฉพาะเด็กไทยที่บริโภคเกลือมากเกินไป

รศ.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ ประธานเครือข่ายลดบริโภคเค็มและนายกสมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ประเทศไทยมีเป้าหมายที่จะลดปริมาณการบริโภคโซเดียมลงให้ได้ร้อยละ 30 ภายในปี พ.ศ. 2568 เพื่อลดโรคความดันโลหิตสูง และภาวะแทรกซ้อน แต่เนื่องจากข้อมูลการบริโภคโซเดียมในประชากรไทยนั้นมีจำกัด จึงทำให้เกิดงานวิจัย ชื่อ Estimated dietary sodium intake in Thailand: A nation-wide population survey with 24-hour urine collections (J Clin Hypertens. 2021;00:1–11.)

โดยงานวิจัยชิ้นนี้ได้รับความร่วมมือกันระหว่างเครือข่ายลดบริโภคเค็ม สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทย ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และคณะสาธารณสุขในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ทั่วประเทศ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และองค์การอนามัยโลก(WHO) ได้นำไปตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Clinical Hypertension โดยเก็บข้อมูลการบริโภคโซเดียมในประชากรไทยทั่วประเทศกว่า 2,388 คน ด้วยวิธีการตรวจเก็บปัสสาวะ 24 ชั่วโมง นำมาวิเคราะห์ปริมาณโซเดียมทางห้องปฏิบัติการ ซึ่งเป็นวิธีการที่น่าเชื่อถือและแม่นยำที่สุดในขณะนี้

ตัวเลขที่ได้จากห้องปฏิบัติการจะถูกคำนวณรวมกับปริมาณโซเดียมที่ขับออกทางอื่นนอกเหนือจากปัสสาวะอีกร้อยละ 10 โดยงานวิจัยชิ้นนี้ มีกลุ่มตัวอย่างอาสาสมัครที่ได้เก็บข้อมูลได้อย่างครบถ้วนและผ่านเกณฑ์การเข้าร่วมวิจัยทั้งหมด 1,599 คน โดยมีอายุเฉลี่ย 43 ปี เป็นเพศหญิงร้อยละ 53 และมีภาวะความดันโลหิตสูงกว่าเกณฑ์ร้อยละ 30 โดยค่าปริมาณการบริโภคโซเดียมเฉลี่ยประชาชนไทยเท่ากับ 3,636 มิลลิกรัมต่อวัน หรือเท่ากับเกลือถึง 1.8 ช้อนชา

ซึ่งผลการวิจัยพบปริมาณการบริโภคโซเดียมเฉลี่ยสูงที่สุดในประชากรภาคใต้จำนวน 4,108 มก./วัน, ภาคกลาง จำนวน 3,760 มก./วัน, ภาคเหนือ จำนวน 3,563 มก./วัน, กรุงเทพมหานคร จำนวน 3,496 มก./วันง แบะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 3,316 มก./วัน ตามลำดับ

รศ.นพ.สุรศักดิ์ กล่าวว่า ทางทีมวิจัยยังพบว่าผู้ที่มีระดับการศึกษาสูง น้ำหนักตัวเกินเกณฑ์ปกติ และคนที่มีความดันโลหิตสูง มีการบริโภคโซเดียมมากกว่ากลุ่มอื่นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ โดยสรุปแล้ว คนไทยบริโภคโซเดียมเกินเกณฑ์ที่องค์การอนามัยโลกแนะนำถึงเกือบ 2 เท่า (องค์การอนามัยโลกแนะนำให้บริโภคโซเดียมไม่เกินวันละ 2,000 มิลลิกรัม) การศึกษานี้เป็นการศึกษาแรกในประเทศไทยที่ใช้วิธีสำรวจมาตรฐานอย่างเป็นระบบ จึงเป็นประโยชน์มากต่อการเปรียบเทียบข้อมูลการบริโภคโซเดียมของคนไทยในอนาคต

ด้าน นพ.แดเนียล เคอร์เทสซ์ ผู้แทนองค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย กล่าวเสริมว่า “งานวิจัยฉบับนี้ใช้วิธีการเก็บข้อมูลที่เป็นมาตรฐานระดับสูงสุด ซึ่งชี้ให้เห็นว่าประชาชนไทยบริโภคโซเดียมเกินปริมาณที่ควรบริโภคต่อวันถึงเกือบ 2 เท่า ผลการศึกษานี้ทำให้ตระหนักถึงความจำเป็นที่เราจะต้องเพิ่มความพยายามในการลดปริมาณการบริโภคโซเดียมในประชากรไทยให้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยลดการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรได้หลายพันคน จากโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคไต และโรคเรื้อรังต่าง ๆ และยังจะช่วยลดความสูญเสียทางเศรษฐกิจได้อีกด้วย”

ส่วน พญ.ดร.เรณู การ์ก เจ้าหน้าที่ด้านการแพทย์ (โรคไม่ติดต่อ) สำนักงานผู้แทนองค์อนามัยโลกประจำประเทศไทย กล่าวว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากคือ เด็กไทยบริโภคเกลือมากเกินไป โดยเฉลี่ยเด็กไทยบริโภคโซเดียมมากถึง 3,194 มก. ต่อวัน ซึ่งเป็นระดับการบริโภคที่สูงเกินกว่าเกณฑ์แนะนำสำหรับกลุ่มเด็กมาก ยิ่งกว่านั้นปริมาณโซเดียมที่เด็กไทยบริโภคถือว่าอยู่ในระดับที่สูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในโลก ซึ่งทำให้เยาวชนตกอยู่ในความเสี่ยงที่อาจจะมีภาวะความดันโลหิตสูง และโรคไตเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้น เราต้องเร่งดำเนินมาตรการเพื่อลดการบริโภคโซเดียมทั้งในผู้ใหญ่ และเด็ก

เจ้าหน้าที่ WHO ยังแนะนำว่า ให้บริโภคโซเดียมไม่ควรเกิน 1 ช้อนชา หรือคิดเป็นปริมาณโซเดียม 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน แต่ปัจจุบันคนไทยบริโภคเกินกว่า 2 เท่า หากรัฐบาลผลักดันนโยบายเก็บภาษีผลิตภัณฑ์อาหารที่มีโซเดียมสูงเกินมาตรฐาน โดยเก็บภาษีผลิตภัณฑ์บรรจุหีบห่อ และผลักดันให้ผู้ผลิตอาหารปรับรูปแบบอาหารบรรจุหีบห่อให้มีโซเดียมน้อยลง จะช่วยปกป้องสุขภาพของประชาชน และลดความเสี่ยง NCDs จากการบริโภคโซเดียมมากเกินความพอดีได้สำเร็จ

ด่วน! ประธานสภาผู้แทนราษฎร "ชวน หลีกภัย" ยื่นคำร้อง ศาลรัฐธรรมนูญ สั่ง "สิระ เจนจาคะ" หยุดปฏิบัติหน้าที่ รวมทั้งให้วินิจฉัยว่า ขาดคุณสมบัติเป็น ส.ส. ตามที่ ส.ส.ฝ่ายค้าน ยื่นคำร้องมาหรือไม่

นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้ทำหนังสือแจ้งต่อ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะ ประธานกรรมาธิการ ป.ป.ช. สภาผู้แทนราษฎร โดยระบุว่า ขณะนี้ได้มีการยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.พรรคพลังประชารัฐ หยุดปฏิบัติหน้าที่

รวมทั้งให้วินิจฉัยว่า นายสิระนั้น ได้ขาดคุณสมบัติ การเป็น ส.ส. ตามที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ และ สมาชิกสภาผู้แทนราาฎร ในปีกฝ่ายค้านกว่าร้อยคน ได้ยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 15 มกราคม ที่ผ่านมา หรือไม่ อีกด้วย

 

จากสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ในอากาศเกินมาตรฐานตั้งแต่ปลายปี 2563 จนถึงตอนนี้นับวันทวีความรุนแรงต่อสุขภาพของคนกรุงมากขึ้นเรื่อย ๆ

จนกลายเป็นปัญหาระดับประเทศ หลายหน่วยงานทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน ยังคงหามาตรการในการลดปริมาณฝุ่น

เช่นเดียวกับแนวคิดที่น่าสนใจในการสร้างนวัตกรรมสีเขียวเพื่อต่อกรกับวายร้าย PM 2.5 คือ Project sky garden โครงการที่ริเริ่มโดยคนไทย คุณณภัทร ศรีกายกุลจากบริษัทเอิร์ธ คราฟต์ ทีเอช ได้ไอเดียมาจากประเทศเยอรมนี ที่ใช้มอสติดตั้งกับพัดลม ทำให้อากาศไหลเวียนและทำให้ฝุ่นลดน้อยลง

และนี่เองจึงจุดประกายให้เกิดการร่วมกันสร้างเครื่องมือดักจับฝุ่นหรือ "ไบโอฟิลเตอร์" โดยมีพระเอกคือ "มอส" ที่สามารถดักจับฝุ่นได้

ทำไม "มอส" พืชจิ๋วแต่ประโยชน์แจ๋วดักจบฝุ่นได้

เนื่องจาก "มอส" จะสร้างสารเคลือบผิวขึ้นมากักเก็บน้ำและความชุ่มชื้น ตัวสารเคลือบผิวนี้เองที่จะเป็นเหมือนกาวดักจับฝุ่นร้ายในอากาศแล้วย่อยสลายมันให้กลายเป็นปุ๋ย ทีมวิจัยจึงนำมอสมาทดลองในห้องปิดพร้อมติดตั้งระบบลม แล้วปล่อยควันและมลพิษต่าง ๆ เข้าไป พบว่า มอสทำให้ปริมาณฝุ่นค่อย ๆ ลดน้อยลงจนกระทั่งหมดไปในที่สุด

นอกจากแนวคิดนี้จะช่วยกำจัดฝุ่นร้ายให้หมดไปได้แล้ว หากแนวคิดนี้มีการพัฒนาให้มอสสามารถเติบโตในไทยได้ ที่ไม่เพียงฟอกอากาศให้สะอาด แต่ยังสร้างอาชีพให้กับคนไทยให้มีรายได้ด้วยเช่นกัน


ที่มา: เพจ PTT News / สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน)

รมช.พาณิชย์ ‘วีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล’ สั่งสถาบัน ITD เตรียมความพร้อมนักลงทุนไทย ลุยต่างประเทศหลังโควิด-19 จบลง โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเกษตรซึ่งไทยมีจุดแข็งและมีความพร้อมในการสร้างรายได้กลับเข้าประเทศมากที่สุด

นายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่าได้สั่งการให้ สถาบันระหว่างประเทศเพื่อการค้าและการพัฒนา (องค์การมหาชน) หรือ ไอทีดี เร่งหาแนวทางในการส่งเสริมทักษะความรู้และถ่ายทอดประสบการณ์ในการลงทุนในต่างประเทศให้แก่นักลงทุนไทย เพื่อให้พร้อมก้าวสู่ตลาดต่างประเทศได้อย่างมั่นใจ หลังสถานการณ์โควิด 19 คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น

ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจที่สำคัญ จากอุตสาหกรรมที่เน้นการใช้แรงงานเข้มข้นไปสู่อุตสาหกรรมที่เน้นการใช้ทักษะแรงงาน และเทคโนโลยี รวมทั้งการก้าวไปสู่การให้ความสำคัญกับเศรษฐกิจภาคบริการ กดดันให้ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมที่เน้นการใช้แรงงานเข้มข้นจำเป็นต้องปรับตัวโดยการออกไปลงทุนต่างประเทศ

ซึ่งเมื่อพิจารณาจากความสามารถในการแข่งขันระหว่างประเทศแล้วพบว่า ประเทศไทยถือเป็นผู้ผลิตและส่งออกสินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูปอันดับต้น ๆ ของโลก ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมเกษตรของไทยมีทักษะความรู้และประสบการณ์ในการประกอบการธุรกิจแปรรูปสินค้าเกษตร ให้สามารถแข่งขันได้จนเป็นผู้นำในตลาดโลก เป็นเจ้าของเทคโนโลยีที่เหมาะสมกับการประยุกต์ใช้ในประเทศกำลังพัฒนา ทั้งเทคโนโลยีการผลิตและการแปรรูปสินค้าเกษตรซึ่งเป็นที่ต้องการของประเทศกำลังพัฒนา

มีนโยบายพัฒนาภาคการเกษตรเพื่อความมั่นคงทางอาหารและยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร ซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ประสบการณ์และความชำนาญของผู้ประกอบการไทยจึงเป็นที่ต้องการของประเทศเพื่อนบ้านที่กำลังพัฒนาภาคการผลิตและมีนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจ

แม้เงื่อนไขและปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ สนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยออกไปลงทุนต่างประเทศ แต่การลงทุนต่างประเทศต้องอาศัยพร้อมในหลายมิติ ทั้งด้านเงินทุนและบุคลากร รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐต้องมีนโยบายและมาตรการสนับสนุน ทั้งด้านการให้ความช่วยเหลือด้านการเงินและการให้แรงจูงใจด้านภาษี เพื่อผู้ประกอบการไทยซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กให้สามารถแข่งขันในตลาดการลงทุนต่างประเทศได้

ทั้งนี้ ปัจจัยพื้นฐานสำคัญของการออกไปลงทุนต่างประเทศ คือ “ทักษะความรู้และเครือข่าย” ที่ผู้ประกอบการต้องเตรียมความพร้อม ความรู้และทักษะที่จำเป็นต่อการออกไปลงทุนสามารถเรียนลัดได้โดยการถ่ายทอดจากผู้มีประสบการณ์ที่ผ่านสนามจริงจนสามารถสร้างกิจการในต่างประเทศให้เติบโตยืนหยัดมาได้

ประสบการณ์เหล่านี้ต้องครอบคลุมทั้งมิติด้านการปฏิบัติตามกฎหมายในต่างประเทศ ทั้งกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กฎหมายแรงงาน กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา ความเข้าใจเรื่องการแสวงหาแหล่งเงินทุนและการบริหารเงินทุนเพื่อผลตอบแทนการลงทุนที่เหมาะสม ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงอัตราแลกเปลี่ยน

ต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการตลาดในยุคดิจิทัลซึ่งสามารถใช้เป็นช่องทางในการเจาะตลาดในต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมทั้งต้องเข้าใจการใช้ประโยชน์จากความตกลงด้านการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศเพื่อสร้างได้เปรียบและแต้มต่อทางการลงทุน

"ดังนั้น ผมจึงสั่งให้สถาบัน ไอทีดี จัดการอบรมทักษะการลงทุนในต่างประเทศขึ้น เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ ประสบการณ์การลงทุน และสอนทักษะที่จำเป็นในการลงทุนในแต่ละประเทศ โดยให้เน้นผู้ประกอบการในกลุ่มเกษตร อุตสาหกรรมเกษตร ท่องเที่ยว และยานยนต์ ซึ่งคาดว่าผู้ประกอบการจะได้เห็นและเข้าใจถึงคุณลักษณะของการเป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จ เพื่อสร้างทัศนคติและทักษะที่เหมาะสม เกิดแรงบันดาลใจที่จะเป็นผู้ประกอบการ ตลอดจนสามารถนำไปใช้เป็นเครื่องมือสำหรับเริ่มต้นทำธุรกิจในต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ" นายวีรศักดิ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 (COVID – 19) ซึ่งได้ระบาดอยู่หลายพื้นที่ในประเทศไทย แม้ว่าสถานการณ์จะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น แต่ยังมีโอกาสที่จะพบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นได้อีก ซึ่งรัฐบาลได้ขอความร่วมมือให้ทุกหน่วยงานกำหนดมาตรการในการควบคุม ป้องกัน และเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโรคอย่างต่อเนื่อง

ดังนั้น สถาบันไอทีดีอาจจะต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการจัดกิจกรรมมาเป็นการจัดฝึกอบรมในรูปแบบออนไลน์ โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ การเรียนรู้ผ่านระบบ Online Real-time Course โดยใช้โปรแกรม Zoom, Google Meet หรือ Microsoft Team เป็นต้น และการจัดทำวีดีโอคลิปเนื้อหาองค์ความรู้เพื่อเป็นสื่อประกอบการอบรมในรูปแบบสื่อผสม เพื่อให้ผู้เข้าร่วมอบรมได้เห็นภาพที่กว้างขึ้น และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้จริง

"ในการอบรมนั้นจะมีการติดตามผลการให้คำปรึกษาและการตรวจสอบความเข้าใจของผู้เข้าอบรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การอบรมเกิดประสิทธิภาพสูงสุด และนำไปพัฒนาต่อยอดในการสร้างผู้ประกอบการ ทั้งนี้สามารถติดตามการจัดอบรมเรื่องดังกล่าวได้ที่ www.itd.or.th" นายวีรศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย

รมว.แรงงาน ส่งผู้ช่วยฯ ลงพื้นที่จังหวัดชลบุรี ตรวจคัดกรองโควิด-19 เชิงรุกในสถานประกอบกิจการพื้นที่เสี่ยง บูรณาการการทำงานร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หาเชื้อโควิด -19 เข้าสู่กระบวนการรักษาตามขั้นตอนของกระทรวงสาธารณสุขได้อย่างรวดเร็ว

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบหมายให้นายสุรชัย ชัยตระกูลทอง ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่เสี่ยงในจังหวัดชลบุรี เพื่อดำเนินการตรวจคัดกรองโควิด-19 เชิงรุกในสถานประกอบกิจการ แก่ลูกจ้างผู้ประกันตน ม.33 ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เพื่อป้องกัน และควบคุมโรคติดต่อไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดไปยังแหล่งชุมชน หรือสถานที่ทำงาน หรือสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆ รวมไปถึงร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า ร้านบริการต่างๆ

อีกทั้งเป็นการแบ่งเบาภาระงานของกระทรวงสาธารณสุขในการติดตาม สอบสวนโรค ตลอดจนสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน นักท่องเที่ยว ผู้ประกอบการ ลูกจ้าง ธุรกิจการท่องเที่ยว และการโรงแรม รวมถึงประชาชนทั่วไป มีความมั่นใจในการเดินทางเข้ามาพื้นที่ในจังหวัดชลบุรีได้อย่างปลอดภัยและปราศจากการติดเชื้อโควิด-19 เพราะมีมาตรการตรวจคัดกรองโควิด-19 ในทุกมิติ

ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า รัฐบาล ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้มีความห่วงใยพี่น้องแรงงานและประชาชนทุกกลุ่มได้มีการสั่งการและดำเนินการตามมาตรการมาอย่างต่อเนื่อง จึงได้มอบหมายให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานบูรณาการกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ทำงานเชิงรุก เพื่อเป็นการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของโรคดังกล่าวให้มีการจำกัดอยู่ในพื้นที่ไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดในวงกว้าง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศทั้งทางตรงและทางอ้อม ตลอดจนสุขภาวะของประชาชนทั่วประเทศ

ในวันนี้ท่านสุชาติ ชมกลิ่น ท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มีความห่วงใยเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน บุคลากรทางการแพทย์ที่ปฏิบัติหน้าที่ รวมถึงแรงงานทุกคน จึงได้มอบหมายให้ผมลงพื้นที่ชลบุรีเพื่อตรวจเยี่ยมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่ด่านคัดกรองโควิด – 19 ที่เสียสละเวลาในการปฏิบัติงานดูแลความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน พร้อมมอบสิ่งของอำนวยความสะดวกและอุปกรณ์สนับสนุนกิจกรรมป้องกันโควิด – 19 ซึ่งท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ให้การสนับสนุนมาโดยตลอด ตั้งแต่การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด – 19 ครั้งที่ผ่านมา โดยตรวจเยี่ยมในครั้งนี้ พบว่า ทุกหน่วยงานมีการบูรณาการการทำงานร่วมกันเป็นอย่างดี

การตรวจคัดกรองโควิด-19 เชิงรุกในวันนี้ ได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากผู้ประกอบกิจการ เช่น ห้างสรรพสินค้า ร้านค้า และโรงงานที่ตั้งอยู่ในพื้นที่อำเภอศรีราชา และอำเภอเมือง ทั้งนี้ เป็นการบูรณาการงานร่วมกันระหว่างสำนักงานประกันสังคมจังหวัดชลบุรี และโรงพยาบาลในเครือข่ายประกันสังคม อาทิเช่น โรงพยาบาลพญาไท และโรงพยาบาลวิภาราม ในการเข้าตรวจคัดกรองหาเชื้อโควิด-19 เชิงรุกให้แก่ผู้ประกันตน ม. 33 ประมาณ 800 คน

รองโฆษกรัฐบาล ประกาศแล้ว โครงการเราชนะ เริ่มลงทะเบียน 29 ม.ค. นี้ ใช้ซื้ออาหาร สินค้า และจ่ายค่าแท็กซี่ รถตู้ มอเตอร์ไซค์รับจ้างได้ ตั้งแต่ 18 ก.พ. – 31 พ.ค. 64

รองโฆษกรัฐบาล ประกาศแล้ว โครงการเราชนะ เริ่มลงทะเบียน 29 ม.ค. นี้ ใช้ซื้ออาหาร สินค้า และจ่ายค่าแท็กซี่ รถตู้ มอเตอร์ไซค์รับจ้างได้ ตั้งแต่ 18 ก.พ.–31 พ.ค.64

รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกรัฐบาล ได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวประกาศเกี่ยวกับโครงการเราชนะ มีข้อความว่า

โครงการเราชนะ เริ่มลงทะเบียน 29 ม.ค.นี้

ใช้ซื้ออาหาร สินค้า และจ่ายค่าแท็กซี่ รถตู้ มอเตอร์ไซค์รับจ้างได้ ตั้งแต่ 18 ก.พ.–31 พ.ค.64

ส่วนร้านค้า แท็กซี่ รถตู้ มอเตอร์ไซค์รับจ้าง ที่สนใจร่วมโครงการ ลงทะเบียนได้ตั้งแต่ 29 ม.ค. - 31 มี.ค.64 ทางเว็บไซต์เราชนะ

สอบถามเพิ่มเติม

ธนาคารกรุงไทย โทร.021111114


ที่มา: เฟซบุ๊ก รัชดา ธนาดิเรก -รองโฆษกรัฐบาล

กทม. ปลดล็อก 13 กิจการ กลับมาเปิดให้บริการได้ มีผล 22 ม.ค. นี้ พร้อมยังสั่งปิด 13 กิจการต่อไป

ร.ต.อ.พงศกร ขวัญเมือง โฆษกกรุงเทพมหานคร แถลง ผลการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 กรุงเทพมหานคร(ศบค.กทม.) ว่า มติที่ประชุมศบค.กทม.มติมติ ผ่อนปรน 13 สถานที่ให้เปิดกิจการและสถานที่ ตามที่สั่งปิดไปก่อนหน้านี้จากสถานการณ์โควิด-19 ดังนี้

1.) ตู้เกม โดยต้องทำความสะอาดจุดสัมผัสบ่อย ต้องสวมหน้ากาก

2.) ร้านเกม อินเทอร์เน็ต

3.) สถานดูแลผู้สูงอายุ ให้ลดเวลาทำกิจกรรม

4.) สนามแข่งขันทุกประเภท ยกเว้น สนามมวย สนามม้า แต่ทั้งนี้ห้ามมีผู้ชม

5.) ห้องจัดเลี้ยง สถานที่จัดเลี้ยง ไม่เกิน 300 จัดได้โดยไม่ต้องมีมาตรการ หากเกิน 300 ต้องยื่นขออนุญาตสำนักอนามัย กทม.

6.) สนามพระเครื่อง

7.) สถานเสริมความงาม สถานที่สัก เจาะผิวหนัง

8.) ฟิตเนส ไม่ให้มีเทรนเนอร์ ยกเว้นกิจกรรมอบไอน้ำ อบตัวแบบรวม

9.) สปา ร้านนวดแผนไทย ฝ่าเท้า ไม่รวมอาบ อบ นวด

10.) สถานที่ฝึกซ้อมมวย ค่ายมวย โรงยิม เปิดได้เฉพาะฝึกซ้อม

11.) โบว์ลิ่ง สเก็ต ห้ามมีผู้ชม ห้ามแข่ง

12.) สถาบันสอนลีลาศ

และ 13.) โรงเรียนสอนศิลปะการต่อสู้ แต่ห้ามมีแข่งขันและห้ามผู้ชม

ขณะที่สถานที่และกิจกรรมที่ยังต้องปิดยังไม่สามารถเปิดได้

คือ 1.) สถานบันเทิง

2.) สนามเด็กเล่น

3.) เครื่องเล่น

4.)สนามมวย

5.) โต๊ะสนุ๊ก

6.) สนามม้า

7.) สนามชนไก่

8.) สนามปลากัด

9.) สนามชนโค

10.) สถานรับเลี้ยงเด็ก

11.) สถานประกอบกิจการอาบน้ำ อาบ อบ นวด

12.) สถานรับเลี้ยงเด็กเล็ก

13.) สวนสนุก

14.) สถาบันกวดวิชา

ดีแทค เข้าพบ กสทช. รายงานการให้บริการลงทะเบียนโครงการคนละครึ่งรอบเก็บตก ระบุ ระบบไอทีทำงานเต็มประสิทธิภาพ 100% ส่งOTP สำเร็จประมาณ 500,000 รายการ จากจำนวน 1.34 ล้านสิทธิ ในช่วงเวลา 9 นาที

นายชารัด เมห์โรทรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กล่าวว่า “ระบบไอทีของดีแทคสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ 100% เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าในช่วงลงทะเบียนโครงการคนละครึ่งเมื่อวันที่ 20 มกราคม โดยมีอัตราเฉลี่ยในการส่ง OTP ให้ลูกค้าสำเร็จด้วยเวลาที่รวดเร็วและถูกต้องตามมาตรฐานของเรา”

ทั้งนี้ ดีแทคได้รายงานข้อมูลต่อ กสทช. ระบุว่าระบบของดีแทคสามารถส่ง OTP ประมาณ 500,000 รายการในการลงทะเบียนโครงการคนละครึ่งก่อนที่จะปิดให้ทำรายการในเวลาประมาณ 06.09 น. ตามที่โครงการแจ้งในเว็บไซต์ระบุสิทธิครบจำนวน โดยผู้ที่ลงทะเบียนจะได้รับการยืนยันสิทธิ์ตามขั้นตอนต่อไป สำหรับในครั้งนี้จะมีผู้ได้รับสิทธิ์จากโครงการคนละครึ่งจำนวน 1.34 ล้านสิทธิ

“ดีแทคได้เตรียมพร้อมล่วงหน้าอย่างเต็มที่ในการให้บริการ ซึ่งเป็นไปตามที่ กสทช ร้องขอ และที่สำคัญเราเตรียมพร้อเพื่อลูกค้าของเรา ดีแทคได้ดำเนินมาตรการต่างๆ ในการทดสอบทั้งระบบไอทีและระบบโครงข่ายเพื่อรองรับโครงการคนละครึ่ง รวมถึงทดสอบความพร้อมเทคโนโลยีทั้งระบบกับพันธมิตรผู้ที่ให้บริการหลักที่เกี่ยวข้อง และจำลองการทดสอบในสถานการณ์จริงล่วงหน้าเพื่อความมั่นใจในการให้บริการอย่างเต็มที่” นายชารัด กล่าว

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (21 มกราคม พ.ศ. 2564)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 142 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 12,795 ราย รวมยอดผู้เสียชีวิต 71 ราย รักษาหายเพิ่ม 221 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 9,842 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 2,882 ราย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 142 ราย เป็น ผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้าสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ จากเมียนมา 2 ราย ,สวิตเซอร์แลนด์ 1 ราย ,สวีเดน 1 ราย ,ตุรกี 3 ราย ,ญี่ปุ่น 1 ราย ,อินเดีย 3 ราย ,สหรัฐอเมริกา 3 ราย ,มาเลเซีย 3 ราย

ผู้ป่วยรายใหม่จากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 88 ราย

ติดเชื้อจากการตรวจคัดกรองเชิงรุก 37 ราย

ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้

ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 174 ราย รักษาหายแล้ว 169 ราย เสียชีวิต 3 ราย

ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 453 ราย รักษาหายแล้ว 396 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 9.4 แสน ราย รักษาหายแล้ว 7.64 แสน เสียชีวิต 26,857 ราย

ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 41 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.69 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.28 แสน ราย เสียชีวิต 630 ราย

ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.36 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.19 แสน ราย เสียชีวิต 2,997 ราย

ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 5.06 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.67 แสน ราย เสียชีวิต 10,042 ราย

ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 59,197 ราย รักษาหายแล้ว 58,926 ราย เสียชีวิต 29 ราย

ประเทศเวียดนาม ยอดรวมติดเชื้อ 1,544 ราย รักษาหายแล้ว 1,406 ราย เสียชีวิต 35 ราย

‘บิ๊กป้อม’ ห่วงใยประชาชน สั่งเร่งแก้ปัญหาน้ำ ประชุม กนช. ผลักดันโครงการขนาดใหญ่ แก้ภัยแล้ง-น้ำท่วม ซ้ำซาก เห็นชอบโครงการ ป้องกันน้ำท่วม กทม. และพัฒนาเมืองต้นแบบ จ.ปัตตานี ย้ำนโยบายรายได้ท้องถิ่น พัฒนากลับคืนสู่ ประชาชนช่วยแก้ปัญหายั่งยืน

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ครั้งที่1/2564 โดยมี นาย วราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทส. เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล

กนช. ได้รับทราบสถานการณ์น้ำ ในปัจจุบันจากแหล่งน้ำทั่วประเทศ มีปริมาณน้ำ จำนวน 48,558 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 59 ปริมาณน้ำใช้การ 24,456 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 42 อยู่ในเกณฑ์ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา และได้มีการพิจารณาเห็นชอบ โครงการขนาดใหญ่ งป.ปี65 ของ กทม.จำนวน 4 โครงการ ได้แก่

1) โครงการก่อสร้างเขื่อน คลองบางไผ่จากบริเวณ คลองพระยาราชมนตรี ถึงบริเวณสุดเขต กทม.

2) โครงการ ก่อสร้างเขื่อน พร้อมระบบรวบรวมน้ำเสียคลองแสนแสบบริเวณประตู ระบายน้ำมีนบุรี ถึงประตูระบายน้ำหนองจอก

3) โครงการก่อสร้างเขื่อนคลองบางนา จากคลองเคล็ดถึงบริเวณแม่น้ำเจ้าพระยา

และ 4) โครงการก่อสร้างส่วนต่อขยายอุโมงค์ระบายน้ำใต้คลองบางซื่อ จากถนนรัชดาภิเษก ถึงคลองลาดพร้าว และเนื่องจากเป็นโครงการ ที่เป็นคลองซอยเพื่อการระบายน้ำในพื้นที่กทม. ที่ประชุมจึงเห็นชอบให้กทม.ใช้งบรายได้ ของกทม.เองในการดำเนินโครงการ ต่อไป

นอกจากนั้น กนช. ยังได้เห็นชอบให้ อบจ.ปัตตานี ดำเนินโครงการสถานีสูบน้ำดิบ พร้อมระบบท่อส่งน้ำ โดยให้ใช้รายได้ของตนเองในการเชื่อมต่อระบบ และดูแลบำรุงรักษา เพื่อรองรับการพัฒนาเมืองต้นแบบสามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน จ.ปัตตานี เพื่อส่งเสริมการฟื้นฟู และพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม ของภาคใต้ ต่อไปด้วย

พล.อ.ประวิตร ได้กำชับ กนช.ให้กำกับ ติดตาม การดำเนินโครงการ ที่ผ่านความเห็นชอบแล้วในวันนี้ ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ และกรอบเวลาที่กำหนด พร้อมมอบให้ สทนช. เร่งประสานงาน กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีการบูรณาการทำงานร่วมกัน ในการขับเคลื่อนโครงการ ดังกล่าวให้บังเกิดผล เป็นรูปธรรม ต่อไป

พล.อ.ประวิตร ยังได้กล่าวย้ำว่าโครงการต่าง ๆ ที่ได้มีการเสนอขึ้นมานั้น โดยเฉพาะ หน่วยงานหรือท้องถิ่นที่มีรายได้ควรจะต้องใช้งบประมาณของตนเอง กลับมาพัฒนาท้องถิ่น เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ให้มากขึ้นด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top