Saturday, 17 May 2025
NEWS

กระทรวงกลาโหม ย้ำการปกครองบังคับบัญชาทางทหาร ต้องยึดแบบธรรมเนียมทหารและหลักกฎหมาย ยืนยันไม่ใช้ความรุนแรงโดยเด็ดขาด

พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า กระทรวงกลาโหม ให้ความสำคัญกับการปกครองบังคับบัญชา และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของกำลังพลในทุกระดับอย่างต่อเนื่อง โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันท์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้ย้ำเป็นนโยบายสำคัญในการประชุมสภากลาโหม กับ หัวหน้าหน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหมและผู้บัญชาการทุกเหล่าทัพ ถึงการปกครองบังคับบัญชาของทุกเหล่าทัพ

ต้องดำรงความยุติธรรม และเป็นไปตามแบบธรรมเนียมทหาร ยึดระเบียบและหลักกฎหมาย บนพื้นฐานของหลักเมตตาธรรม มนุษยธรรมและหลักสิทธิมนุษยชน โดยต้องไม่มีการใช้ความรุนแรงเด็ดขาด ทั้งนี้ให้ผู้บังคับหน่วยทุกระดับถือปฏิบัติและกำกับดูแลตามสายการบังคับบัญชาอย่างใกล้ชิด และต้องรับผิดชอบหากปล่อยปละละเลย

โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีการบาดเจ็บและเสียชีวิตของกำลังพลจากการฝึกและการปกครองบังคับบัญชาที่ผ่านมาในทุกกรณีที่เกิดขึ้นกับหน่วยงานของกองทัพ ได้ตั้งกรรมการสอบสวนจากหน่วยเหนือของทุกเหล่าทัพถึงสาเหตุที่เกิดขึ้น เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงและดำรงความยุติธรรมกับทุกฝ่ายตามระเบียบและหลักกฎหมาย โดยสรุปภาพรวมความเสี่ยงหลักของเหตุเกิดจากทั้งปัญหาของกำลังพลทหาร รวมถึงผู้ฝึกหรือผู้ปกครอง

โดยกำลังพลทหารบางรายมีปัญหาพื้นฐานเดิมส่วนตัวและด้านสุขภาพ ส่งผลต่อพฤติกรรมและความสามารถทางร่างกาย ซึ่งมีมาตรการดูแลเป็นพิเศษในทุกกรณี ในขณะที่ผู้ฝึกและผู้ปกครองบางราย ไม่ปฏิบัติตามนโยบายที่กำหนด ขาดสำนึกและความรับผิดชอบในการใช้อำนาจหน้าที่ มีการลงโทษไม่เป็นไปตามแบบธรรมเนียมทหารและขัดต่อหลักมนุษยธรรม

ถือเป็นทั้งความผิดทางกฎหมายและความผิดทางวินัยร้ายแรง ซึ่งทุกเหล่าทัพ ได้ลงโทษทางวินัยผู้กระทำผิดในทุกราย หนักเบาตามมูลฐานความผิดจากผลการสอบสวน และหากมีความผิดตามกฎหมาย ต้องได้รับโทษทุกรายไม่มีละเว้น ทั้งนี้ กองทัพไม่ได้ละเลยในการแสดงความเสียใจและเยียวยากับครอบครัวกำลังพลทหารที่ได้รับบาดเจ็บ ทุพลภาพหรือเสียชีวิตจากเหตุที่เกิดขึ้นในทุกกรณี

เหล่านี้ ถือเป็นบทเรียนของการปกครองบังคับบัญชาทางทหาร ที่ กระทรวงกลาโหม โดยทุกเหล่าทัพตระหนักและให้ความสำคัญร่วมกัน โดยไม่ต้องการให้เกิดปัญหาในลักษณะเช่นนี้ขึ้นอีก

ทั้งนี้ได้ศึกษาและร่วมกันกำหนดมาตรการป้องกัน แก้ปัญหาการปกครองบังคับบัญชาในทุกระดับชั้นให้รัดกุมมากขึ้น บนพื้นฐานของการใช้อำนาจหน้าที่อย่างถูกต้องตามแบบธรรมเนียมทหารและหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง พร้อมทั้งได้ร่วมกันกวดขันการฝึกทหารใหม่ รวมทั้งการปกครองบังคับบัญชาระดับหมู่ หมวดและชุดปฏิบัติการใกล้ชิดมากขึ้นควบคู่กับการพัฒนาคุณภาพชีวิตกำลังพล

พร้อมกันนี้ได้เปิดช่องทางการร้องเรียนกับกำลังพลทุกระดับตามแบบธรรมเนียมทหารหากไม่ได้รับความเป็นธรรม ขณะเดียวกันได้เปิดศูนย์รับเรื่องราวร้องเรียนร้องทุกข์ของ กระทรวงกลาโหม และเหล่าทัพ ให้ประชาชน หรือครอบครัวกำลังพลที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมเข้าร้องเรียน เพื่อดำรงความยุติธรรมและความโปร่งใสขององค์กร

“ไพบูลย์” เผย กมธ.แก้รัฐธรรมนูญ พิจารณาเนื้อหาเสร็จแล้ว รอโหวตบางประเด็น 4 ก.พ. นี้ ยันเดินหน้าไม่ถอนญัตติส่งศาลรัฐธรรมนูญ แต่หากเสียงข้างมากเห็นว่าไม่ควรส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตนก็ไม่ติดใจ

นายไพบูลย์ นิติตะวัน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่...) พ.ศ.... (แก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1 ว่าด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่) รัฐสภา กล่าวว่า กมธ.ฯ พิจารณาเนื้อหาทั้งฉบับเสร็จแล้ว และในวันที่ 4 ก.พ. จะพิจารณาในรายละเอียดอีกครั้ง รวมถึงการลงมติในประเด็นที่รอพิจารณา ได้แก่ มาตรา 256 ว่าด้วยมติของสมาชิกรัฐสภา ในชั้นรับหลักการ ที่มีผู้สงวนความเห็น ใน 3 ประเด็น คือ ใช้เสียง 3 ใน 5 , ใช้เสียงเกินกึ่งหนึ่ง และใช้เสียง 2 ใน 3

นอกจากนั้นยังมีประเด็นว่าด้วยการส่งทำประชามติ ในมาตรา 256(8) ตามร่างของส.ส.รัฐบาล ที่ระบุให้นำไปทำประชามติ หากเนื้อหาแก้ไขหมวด 1 บททั่วไป หมวด2 พระมหากษัตริย์ หมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ หรือเรื่องที่เกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ดำรงตำแหน่งต่างๆ ตามรัฐธรรมนูญ หรืออำนาจหน้าที่ศาลหรือองค์กรอิสระหรือเรื่องที่ทำให้ศาลหรือองค์กรอิสระไม่อาจปฏิบัติหน้าที่หรืออำนาจได้

นายไพบูลย์ กล่าวถึงการประชุมร่วมรัฐสภา ในวันที่ 9 ก.พ. เพื่อพิจารณาญัตติขอให้รัฐสภามีมติส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัยเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภาต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ตามมาตรา 210(2) ของรัฐธรรมนูญ ที่ตนและนายสมชายแสวงการ ส.ว.เป็นผู้เสนอนั้น ว่ายังไม่มีบุคคลใดขอให้ตนถอนญัตติดังกล่าวและเชื่อว่ารัฐสภาจะพิจารณาในรายละเอียดและลงมติตัดสิน

ซึ่งตนไม่ติดใจในผลการลงมติ หากเสียงข้างมากเห็นว่าไม่ควรส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย อย่างไรก็ตามตนเชื่อว่าหากมติรัฐสภาไม่ส่งเรื่องดังกล่าวไปยังศาลรัฐธรรมนูญ จะทำให้ส.ว. ไม่สบายใจ และส่งผลต่อการลงมติในวาระสองและวาระสามได้

"ผมยืนยันว่าญัตติดังกล่าวไม่มีผลกระทบให้รัฐสภายุติการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้การลงมติจะอย่างไร ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของรัฐสภา แต่ผมมองว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้นเป็นอำนาจที่รัฐสภาต้องดำเนินการ

และการแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบรายมาตราของรัฐสภานั้นจะทำให้เวลาการแก้ไขรัฐธรรมนูญรวดเร็ว ไม่ต้องใช้เวลามากเหมือนกับการให้สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร.)ดำเนินการ เชื่อว่าจะใช้เวลาเกือบ 2 ปี เพราะหลังจากมีส.ส.ร. ต้องทำรัฐธรรมนูญใหม่ ต้องทำประชามติ และเมื่อรัฐธรรมนูญผ่านแล้วต้องออกกฎหมายลูก ซึ่งรัฐธรรมนูญใหม่ จะไม่ทันใช้ในการเลือกตั้งรอบที่จะมาถึงแน่นอน" นายไพบูลย์ กล่าว

‘บิ๊กตู่’ ยึดหลักการกระจายวัคซีนโควิด-19 อย่างเป็นธรรมให้ทุกกลุ่ม แบ่งฉีดเป็น 3 ระยะ ตามมาตรฐานสากล คาดจะเริ่มฉีดวัคซีนให้ประชาชนคนไทยคนแรกได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้ วอนคนไทยตั้งการ์ดสูง ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม มอบแนวทางเกี่ยวกับการบริหารวัคซีนโควิด-19 ให้ยึดหลักกระจายวัคซีนอย่างเป็นธรรมและเป็นไปตามมาตรฐานสากล มีคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ บริหารแผนการฉีดวัคซีน

โดยกระทรวงสาธารณสุข จะติดตามประเมินผลการฉีดวัคซีนอย่างใกล้ชิด คาดว่าจะเริ่มฉีดวัคซีนให้ประชาชนคนไทยคนแรกได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์นี้ นอกจากนั้นนายกฯมอบหมายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง บูรณาการแผนปฏิบัติงานในทุกมิติ ทั้งรายละเอียด การขนย้าย การขนส่งและการจัดเก็บวัคซีนเพื่อรักษาประสิทธิภาพวัคซีน โดยเฉพาะแผนปฏิบัติการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนแต่ละกลุ่ม และเร่งประชาสัมพันธ์ สื่อสารข้อมูลที่ถูกต้องให้กับประชาชนในพื้นที่

"นายกฯวอนให้คนไทย ตั้งการ์ดสูง และใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวัง สวมหน้ากากอนามัย ล้างมือ เว้นระยะห่าง ไม่ไปในสถานที่เสี่ยงและสถานที่แออัด"

นายอนุชา กล่าวว่า "ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือศบค.ได้การรายงานลำดับกลุ่มเป้าหมายการให้วัคซีนโควิด-19 ในประเทศไทย แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ช่วงที่วัคซีนมีปริมาณจำกัด ดำเนินการในพื้นที่ที่มีการระบาด เพื่อลดการป่วยรุนแรงและเสียชีวิต รักษาระบบสาธารณสุขของประเทศ จะดำเนินการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้า ผู้มีโรคประจำตัว 6 โรคกำหนด คือ โรคทางเดินหายใจเรื้อรังรุนแรง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคไตวายเรื้อรัง โรคหลอดเลือดสมอง มะเร็ง เบาหวาน และโรคอ้วน ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมโรคโควิด 19 ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ป่วย"

"ระยะที่ 2 ช่วงที่มีวัคซีนเพิ่มขึ้น ขยายพื้นที่ครอบคลุมทั้งประเทศ เพื่อรักษาเศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงของประเทศ โดยกำหนดฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขที่นอกเหนือจากด่านหน้า เจ้าหน้าที่ที่มีโอกาสสัมผัสซื้อโควิด 19 ผู้ประกอบอาชีพที่มีโอกาสสัมผัสกับคนจำนวนมาก และผู้เกี่ยวข้องกับการเดินทางระหว่างประเทศ และระยะที่ 3 ช่วงที่วัคซีนมีปริมาณเพียงพอ"

"เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันในระดับประชากร จะดำเนินการฉีดวัคซีนโควิด-19 ให้กับประชาชนทั่วไป เพื่อฟื้นฟูให้ประเทศกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ทั้งนี้รัฐบาลได้สนับสนุนงบประมาณการวิจัยพัฒนาวัคซีนโควิด 19 ภายในประเทศ โดยกลุ่มที่ก้าวหน้ามากที่สุดมี 3 ชนิด คือ ชนิด mRNA โดยศูนย์วิจัยวัคซีนแห่งจุฬาลงกรณ์ ชนิด Protein subunit (Plant-based) ของบริษัทใบยา ไฟโตฟาร์ม ร่วมกับคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และชนิด DNA โดยบริษัทไบโอเนท เอเชีย อยู่ระหว่างการแสวงหาความร่วมมือ หรือพัฒนาศักยภาพการขยายขนาดการผลิต เพื่อผลิตวัคซีนต้นแบบสำหรับทดสอบในอาสาสมัคร"

รมว.แรงงาน เผย รัฐบาลเร่งช่วยลูกจ้างแมรีกอท บางปูทุกมิติ ล่าสุด บริษัทฯ โอนเงินชดเชยและช่วยพิเศษรวมกว่า 470 ล้านบาท ให้ครบทุกคนแล้ว

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงความคืบหน้าการการจ่ายเงินค่าชดเชยและเงินช่วยเหลือพิเศษกรณี บริษัท แมรีกอท จิวเวลรี่ (ประเทศไทย) จำกัด ยุติการดำเนินกิจการที่สาขาบางปู และย้ายไปสาขาพระนครศรีอยุธยา รัฐบาลเร่งติดตามช่วยเหลือแรงงานทุกมิติ ล่าสุด บริษัทโอนเงินผ่านบัญชีธนาคารของชื่อลูกจ้างทุกคนเรียบร้อยแล้ว รวมมูลค่ากว่า 470 ล้านบาท

นายสุชาติ ยังกล่าวอีกว่า จากการติดตามการจ่ายเงินค่าชดเชยตามกฎหมาย และเงินช่วยเหลือพิเศษล่าสุดได้รับแจ้งจากนางสาวกรรณิกา ฯ รองหัวหน้าแผนกทรัพยากรมนุษย์ ของบริษัท แมรีกอท จิวเวลรี่ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นผู้ที่บริษัทได้มอบหมายให้ดำเนินการ ในวันที่ 30 ม.ค.64 ว่าบริษัทได้จ่ายเงินค่าชดเชยตามกฎหมายและเงินช่วยเหลือพิเศษ โดยโอนเงินผ่านบัญชีธนาคารของชื่อลูกจ้างทุกคนเรียบร้อยแล้ว รวมจำนวนเงินทั้งสิ้น 470,628,497 บาท และขณะนี้ลูกจ้างสามารถถอนเงินดังกล่าวได้แล้ว

ทั้งนี้ จากการลงพื้นที่ของนางสาวโสภา เกียรตินิรชา รองอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน พบว่า นายจ้างยืนยันว่าไม่ได้เลิกจ้างลูกจ้างแต่ขอความร่วมมือให้ลูกจ้างทั้งหมดย้ายไปปฏิบัติงานที่สำนักงานแห่งใหม่ จ.พระนครศรีอยุธยา เนื่องจากบริษัทสาขาบางปูได้รับผลกระทบมียอดสั่งซื้อสินค้าลดลง จึงต้องปรับแผนธุรกิจไปยุบรวมกับสำนักงานที่พระนครศรีอยุธยา ซึ่งมีลูกจ้างที่ประสงค์จะย้ายไปทำงานที่ใหม่จำนวน 101 คน

สำหรับลูกจ้างที่ไม่ประสงค์จะย้ายไปจำนวน 1,610 คน บริษัทจะจ่ายค่าชดเชยตามกฎหมาย เงินโบนัสประจำปี ค่าจ้างวันหยุดพักผ่อนประจำปี และเงินช่วยเหลือพิเศษนอกเหนือกฎหมาย รวมเป็นเงินทั้งสิ้นกว่า 470 ล้านบาท ในส่วนของกระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคมจังหวัดสมุทรปราการ จะเข้าไปตรวจสอบเพื่อจ่ายเยียวยาสิทธิประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงาน สำนักงานจัดหางานจังหวัดสมุทรปราการเตรียมตำแหน่งงานว่างรอบรับกว่า 1,000 อัตรา

นอกจากนี้ ฝ่ายบุคคลของบริษัทแจ้งว่า มีสถานประกอบการที่ดำเนินกิจการลักษณะเดียวกันแสดงความประสงค์ที่จะรับลูกจ้างของบริษัทแมรีกอทฯ ด้วย เนื่องจากลูกจ้างส่วนใหญ่เป็นแรงงานที่มีทักษะฝีมือในการผลิตจิวเวลรี่

ขณะที่ลูกจ้างที่ไม่ประสงค์จะย้ายไปทำงานที่ใหม่ กล่าวว่า ทำงานกับบริษัทแห่งนี้มานานหลายปี และมีแผนอยู่แล้วที่จะขอเกษียณที่นี่ ซึ่งเป็นช่วงพอดีที่บริษัทมีแผนย้ายไปประกอบกิจการที่แห่งใหม่ สิ่งที่บริษัทให้มาถือว่าคุ้มค่ามากพอแล้ว เพราะเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดและคิดว่าจะนำเงินส่วนนี้ไปใช้ดำเนินชีวิตต่อที่บ้านเกิด และลูกจ้างบางส่วนที่ไม่ประสงค์ย้ายไปที่แห่งใหม่ บริษัทยังได้ฝึกอบรมอาชีพให้เพื่อนำความรู้ไปต่อยอดในการประกอบอาชีพต่อไป

‘วอร์รูมรัฐบาล’ ถกรับมือซักฟอกนัดแรกพรุ่งนี้! ‘ชาญกฤช เดชวิทักษ์’ เก็งข้อสอบฝ่ายค้าน คาดพุ่งเป้าปมเศรษฐกิจ จากผลพวงวิกฤติโควิด-19

นายชาญกฤช เดชวิทักษ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการปรากฎชื่อเป็นหนึ่งในทีมวอร์รูมรัฐบาลว่า ตนได้ตอบรับเข้าร่วมเป็นทีมงานแล้ว ซึ่งทราบว่าคณะทำงานชุดนี้จะทำหน้าที่สนับสนุนข้อมูลชี้แจงข้อกล่าวหาของฝ่ายค้าน โดยมีทั้งการเก็งข้อสอบว่าฝ่ายค้านจะอภิปรายประเด็นใดบ้าง และควรหาข้อมูลมาชี้แจงตอบโต้อย่างไร เพื่อรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายสามารถชี้แจงได้ทันท่วงที

โดยคณะทำงานชุดดังกล่าวจะประชุมหารือและแบ่งหน้าที่ร่วมกันในวันพรุ่งนี้ (1 ก.พ.) เวลา 10.00 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ตรงข้ามทำเนียบรัฐบาล โดยคาดว่าตนน่าจะได้รับมอบหมายให้ดูแลสนับสนุนข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้เกิดผลกระทบกับเศรษฐกิจรุนแรง รวมถึงมาตรการที่รัฐบาลออกมาช่วยเหลือประชาชนที่เห็นผลเป็นรูปธรรม

ซีแอตเติลอลหม่าน ตู้แช่เก็บสต็อควัคซีน Covid-19 เสียกลางดึก! ต้องเกณฑ์คนอเมริกันมาเข้าคิวฉีดวัคซีนด่วนตอนเที่ยงคืน ขณะที่ประชาชนฝ่าลมหนาวออกจากบ้านเข้าคิวฉีดหมดภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง

งานเข้าโรงพยาบาลในซีแอตเติล เมื่อมีข่าวด่วนแจ้งเข้ามาว่าตู้แช่วัคซีนมาเสียเอาตอนกลางดึกของคืนวันพฤหัสบดีที่ 29 มกราคมที่ผ่านมา ซึ่งเป็นตู้แช่ที่เก็บสต็อควัคซีน Covid-19 ของ Moderna มากถึง 1,650 โดส

หลังจากที่รับแจ้ง เวลาเริ่มนับถอยหลังทันที เนื่องจากวัคซีนของ Modern ต้องเก็บในตู้เย็นอุณหภูมิ -20 องศาเซลเซียส หากอุณหภูมิไม่ถึง วัคซีนก็จะเสีย เมื่อคำนวนเวลาแล้ว ก็ประเมินได้ว่าจะสามารถคงความเย็นได้ถึงแค่ตี 5 ของเช้าวันศุกร์

บริษัทตู้แช่ Kaiser Permanente จึงต้องรีบกระจายวัคซีนทั้งหมดไปยังศูนย์การแพทย์ในเมืองซีแอตเติล 2 แห่ง ได้แก่ UW Medical Center วิทยาเขต Northwest และ Montlake กับ Swedish Medical Center ซึ่งก็สร้างความโกลาหลไปทั้งโรงพยาบาล ที่ต้องเกณฑ์แพทย์ พยาบาล หน่วยกู้ภัย ตำรวจดับเพลิง อาสาสมัคร กระจายข่าวทั้งทางทวิตเตอร์ และโทรศัพท์ตามกลุ่มเป้าหมายที่กำลังรอรับวัคซีน ให้มาเข้าคิวฉีดวัคซีนกันตอนเที่ยงคืน

ซึ่งชาวซีแอตเติลก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี มีคนติดต่อเข้ามาจองคิวหมดภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง และรีบออกจากบ้านมาต่อคิวฉีดวัคซีนทั้งชุดนอน แม้อากาศจะหนาวจัด

นับเป็นแผนการฉีดวัคซีนที่แปลกประหลาดที่สุดครั้งหนึ่งที่เคยเห็น ซึ่งทางบริษัทตู้แช่ก็ไม่ได้อธิบายสาเหตุที่ตู้แช่มาขัดข้องอย่างกระทันหันนั้นเกิดจากอะไร แต่ขออย่าให้เกิดบ่อยก็แล้วกัน

และก็ถือเป็นกรณีศึกษา หากเกิดเหตุฉุกเฉินลักษณะนี้ในอนาคต และไม่สามารถจัดการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างทันท่วงที ก็อาจหมายถึงความเสียหายของวัคซีนมูลค่ามหาศาลได้


อ้างอิง

https://www.seattletimes.com/seattle-news/health/late-night-freezer-failure-in-seattle-sends-hundreds-scrambling-to-get-a-fast-expiring-covid-19-vaccine/

https://www.q13fox.com/news/seattle-hospitals-rush-out-covid-19-vaccines-overnight-after-freezer-failure

https://www.dailymail.co.uk/news/article-9202437/Hundreds-rush-Washington-state-clinic-overnight-vaccines-freezer-broke.html

ขนส่งฯ เปิดแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue ให้สิทธิผู้ที่จองคิวล่วงหน้าทำใบขับขี่วันที่ 4 - 31 ม.ค. 64 เลือกจองคิวใหม่ได้ตั้งแต่ 1 ก.พ. - 15 มี.ค. 64 ส่วนผู้ที่จองคิววันที่ 1 ก.พ. 64 เป็นต้นไป เข้ารับบริการตามวันและเวลาที่นัดหมายตามปกติ

นายจิรุตม์ วิศาลจิตร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) กระทรวงศึกษาธิการ และกรุงเทพมหานคร พิจารณาเปิดการเรียนการสอนของสถานศึกษา โดยให้มีมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นไป

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม จึงให้กรมการขนส่งทางบกผ่อนคลายการควบคุมการให้บริการด้านใบอนุญาตขับรถ เพื่อให้สำนักงานขนส่งทุกแห่งกลับมาเปิดให้บริการด้านใบอนุญาตขับรถและผู้ประจำรถได้ตามปกติทุกกระบวนงาน ทั้งการขอรับใบอนุญาตขับรถใหม่ และการต่ออายุใบอนุญาตที่ต้องเข้าอบรมที่สำนักงานขนส่ง แต่จำกัดจำนวนผู้เข้ารับบริการในแต่ละช่วงเวลาตามมาตรการ Social Distancing โดยได้กำหนดช่วงเวลาการให้บริการ ดังนี้

1.) ผู้ที่จองคิวล่วงหน้า ไว้ในวันที่ 4 - 31 มกราคม 2564 ให้สิทธิเข้าจองคิวใหม่ระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 เวลา 09.00 น. ถึงวันที่ 15 มีนาคม 2564 ทางแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue หรือเว็บไซต์ https://gecc.dlt.go.th ของกรมการขนส่งทางบก

2.) ผู้ที่จองคิวล่วงหน้า ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นไป ให้เข้ารับบริการตามวันและเวลาที่นัดหมายได้ตามปกติ

3.) ผู้ที่ไม่เคยเข้าระบบจองคิวมาก่อน ให้เริ่มจองคิวตั้งแต่วันที่ 16 มีนาคม 2564 เวลา 09.00 น. เป็นต้นไป ผ่านแอปพลิเคชัน DLT Smart Queue หรือเว็บไซต์ https://gecc.dlt.go.th ของกรมการขนส่งทางบก

ทั้งนี้ เพื่อลดความเสี่ยงการแพร่กระจายของโรค ในการต่ออายุใบอนุญาตขับรถส่วนบุคคล ใบอนุญาตขับรถขนส่ง และใบอนุญาตขับรถสาธารณะ แนะนำให้อบรมผ่านระบบ e-Learning ได้ทาง www.dlt-elearning.com และนำผลการอบรมติดต่อสำนักงานขนส่งทุกแห่งทั่วประเทศ โดยไม่ต้องเข้าอบรมที่สำนักงานขนส่ง

พร้อมกันนี้ ให้สำนักงานขนส่งทุกแห่งติดตามและประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในพื้นที่อย่างใกล้ชิด และบริหารจัดการการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์และเป็นไปตามประกาศจังหวัดหรือประกาศคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด ส่วนการดำเนินการของโรงเรียนสอนขับรถที่กรมการขนส่งทางบกรับรอง ให้เริ่มดำเนินการได้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นไป

อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมการขนส่งทางบกมีมาตรการเยียวยาผู้ที่ใบอนุญาตขับรถและใบอนุญาตเป็นผู้ประจำรถสิ้นอายุเกิน 1 ปี หรือ 3 ปี ในช่วงที่กรมการขนส่งทางบกงดการอบรม ประกอบด้วย 1.) ใบอนุญาตขับรถ ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ สิ้นอายุเกิน 1 ปี ระหว่างวันที่ 4 มกราคม - 31 มีนาคม 2564 ได้รับการยกเว้นการทดสอบข้อเขียน 2.) ใบอนุญาตขับรถ ตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ สิ้นอายุเกิน 3 ปี ระหว่างวันที่ 4 มกราคม - 31 มีนาคม 2564 ได้รับการยกเว้นการทดสอบขับรถ 3.) ใบอนุญาตเป็นผู้ขับรถ ตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก สิ้นอายุเกิน 3 ปี ระหว่างวันที่ 4 มกราคม - 31 มีนาคม 2564 ได้รับการยกเว้นการทดสอบขับรถ

ส่วนเอกสารประกอบคำขอรับหรือต่ออายุใบอนุญาตขับรถหรือผู้ประจำรถ เช่น ใบรับรองแพทย์ หนังสือรับรองการผ่านการอบรมและทดสอบ คำขอที่ยังดำเนินการไม่แล้วเสร็จภายใน 90 วัน ผลผ่านการอบรมจากระบบ e-Learning ที่สิ้นอายุ อนุโลมให้ใช้ประกอบการดำเนินการด้านใบอนุญาตขับรถได้จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2564 เช่นเดียวกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ผ่อนผันการบังคับใช้กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ คำสั่ง กับผู้ได้รับใบอนุญาตขับรถและใบอนุญาตเป็นผู้ประจำรถที่สิ้นอายุแล้ว ยังสามารถใช้แสดงตนได้ จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2564

อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวต่อไปว่า ตั้งแต่วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2564 เป็นต้นไป การดำเนินการด้านใบอนุญาตขับรถตามกฎหมายว่าด้วยรถยนต์ และกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก ต้องดำเนินการภายใต้เงื่อนไขหลักเกณฑ์ใหม่ โดยจะต้องใช้ใบรับรองแพทย์เป็นเอกสารประกอบในการดำเนินการ

ทั้งการขอรับใบอนุญาตขับรถใหม่ การเปลี่ยนชนิด และการต่ออายุ โดยใบรับรองแพทย์ ต้องเป็นไปตามแบบมาตรฐานของแพทยสภา มีสองส่วนคือ ส่วนที่ผู้ขอรับรองสุขภาพตนเองและส่วนของแพทย์ตรวจรับรอง ซึ่งจะต้องแสดงให้เห็นว่าผู้นั้นไม่มีโรคประจำตัวหรือสภาวะของโรคที่ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมเห็นว่าอาจเป็นอันตรายขณะขับรถตามที่แพทยสภากำหนด

‘ยุทธพงศ์’ อัด ‘บิ๊กตู่’ บริหารเศรษฐกิจล้มเหลว ทำราคา ‘พริก - ลอตเตอรี่’ พุ่งสูง เปิดสถิติข้อมูลพาณิชย์พบพริกแพงขึ้น 4 เท่า ซัดรัฐบาลไม่ใส่ใจหามาตรการช่วยดูแลราคาสินค้าให้ประชาชน

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 31 ม.ค. ที่พรรคเพื่อไทย นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แถลงว่าวันนี้รัฐบาลล้มเหลวทุกเรื่อง วันนี้มีประเด็นพริกเม็ดละ 1 บาท ตอนเช้าตนไปซื้อพริกจินดาที่ตลาด ราคา 12 บาท ได้ 22 เม็ด และพริกขี้หนูที่คนส่วนใหญ่ใช้บริโภคเป็นหลัก ตนตรวจสอบข้อมูลของกระทรวงพาณิชย์ พบว่า ช่วงเดือน ม.ค.63 ราคาพริกจินดาเฉลี่ยอยู่ที่ขีดละ 4.50 บาท ช่วงเวลาเดียวกันปี 64 ราคาเฉลี่ยขีดละ 17 บาท

ซึ่งราคาพริกสูงขึ้นถึง 4 เท่า คำถามคือรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม บริหารประเทศอย่างไรคนเดือดร้อนไปหมด นายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฏ์ รองนายกฯ และรมว.พาณิชย์ บอกมีผลงานประทับใจ ตนคิดว่าประทับใจมากจริงๆราคาพริกยังขึ้นมาถึง 4 เท่า แสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไม่ได้ใส่ใจ ไม่มีมาตรการอะไรที่มาช่วยดูแลราคาสินค้าให้ประชาชน

นายยุทธพงศ์ ยังกล่าวถึงปัญหาการค้าสลากเกินราคาของผู้ค้ารายย่อย ว่า เกิดจากต้นทางคือยี่ปั๊วที่ขายสลากให้ผู้ค้ารายย่อยในราคา 90 - 93 บาท ทั้งที่ต้นทุนจริงอยู่ที่ 70 บาท ทำให้ผู้ค้ารายย่อยต้องมาขายเอากำไรในราคา 100 บาท พอขายเกินราคาก็ถูกตำรวจล่อซื้อจับปรับ 2,000 บาท ถ้าไม่อยากถูกจับต้องจ่ายเงินค่าส่วยลอตเตอรี่ งวดละ 300 บาท ซึ่งคนขายลอตเตอรี่ไม่ได้ขายพื้นที่เดียว ไม่ว่าจะเดินไปขายในเขตพื้นที่ไหนก็ต้องจ่ายส่วยให้แต่ละพื้นที่

โดยเฉพาะงวดวันที่ 1 ก.พ.นี้ มีเลขดัง คือ 36 และ 63 เลขชุด 5 ใบ ขาย 750 บาท ถามว่าแต่ละงวดกองสลากพิมพ์ลอตเตอรี่ทั้งหมด 1 ล้านเล่ม เล่มละ 100 ใบ ต้นทุนจริงๆ 70 บาท ยี่ปั๊วเอามาขาย 90 บาท งวดหนึ่งจะมีผลประโยชน์ประมาณ 2,000 ล้านบาท

"ผู้ค้ารายย่อยไปรอกดตู้ธนาคารกรุงไทย แต่กดไม่ได้เพราะไม่มีให้กด ทำให้ต้องมาซื้อลอตเตอรี่หน้ากองสลากไปขาย นายกฯบอกว่าจะดูแลกองสลากให้ เคยมอบหมายให้ พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ อดีตผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ดูแลกองสลาก ก็ไม่เห็นแก้ปัญหาได้ วันนี้ทุกคนเดือดร้อน คนขายลอตเตอรี่ไม่มีใครอยากถูกจับหรือต้องจ่ายส่วย เพราะคนเหล่านี้ยากจนลำบากอยู่แล้ว แต่ทุกคนจำเป็นต้องขาย ถามว่านายกฯในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ปัญหาลอตเตอรี่ยังแก้ไม่ได้แล้วจะไปแก้อะไรได้ จึงขอเรียกร้องให้นายกฯแก้ปัญหาเรื่องนี้" นายยุทธพงศ์ กล่าว

‘สิระ’ งานเข้า!!! ‘ศรีสุวรรณ’ เตรียมบุกกกต.จี้สอบปม ‘สิระ’ แจกข้าวสาร - หน้ากากอนามัยช่วงโควิด เกินมูลค่าที่กฎหมายกำหนดหรือไม่

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย กล่าวว่า ตามที่นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม.พลังประชารัฐ แจกข้าวสาร 1 หมื่นถุงๆ 5 กิโลกรัม ให้ประชาชนชาวหลักสี่ จตุจักร ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด -19 เมื่อเดือนเม.ย. - พ.ค.63

ที่ผ่านมา และช่วงใหม่ 2564 จำนวน 1 หมื่นถุง รวมถึงแจกหน้ากากอนามัย 2 หมื่นชิ้น เพื่อใช้ป้องกันการแพร่ระบาด ในนามกลุ่มเพื่อนสิระ เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ เมื่อตรวจสอบราคาขายในตลาดจะตกถุงละ 79 บาท รวมเป็นเงิน 1,580,000 บาท ส่วนหน้ากากอนามัยประมาณ 5 หมื่นบาท รวมเป็นค่าใช้จ่ายประมาณ 1,630,000 บาท

นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า การช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เป็นสิ่งที่ดีและสามารถทำได้ เมื่อมีเหตุอันสมควรและเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่ผู้ประสบภัยพิบัติ แต่ต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่าด้วยจำนวน หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขของการให้ตามประเพณีหรือเมื่อมีเหตุอันสมควร

และการยื่นคัดค้านเกี่ยวกับการบันทึกค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งต่อไป พ.ศ. 2561 กำหนดโดยมีราคาหรือมูลค่าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จะให้ได้ไม่เกิน 3 แสนบาท หากเกินกว่าจำนวนที่กำหนดกฎหมายกำหนดให้นำไปรวมคำนวณเป็นค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งต่อไป ซึ่งการเลือกตั้งเมื่อ 24 มี.ค.62 กกต.กำหนดค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งของผู้สมัคร ส.ส. แต่ละคนได้ไม่เกิน 1.5 ล้านบาท

ซึ่งการแจกข้าวและหน้ากากอนามัย ของนายสิระ มูลค่าประมาณ 1,630,000 บาท เกินกว่าที่ กกต.กำหนด จึงอาจเป็นเหตุทำให้ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป นายสิระอาจไม่สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งได้อีกเพราะแค่ค่าสมัครอย่างเดียวก็ 1 หมื่นบาทแล้ว ดังนั้นทางสมาคมฯจะนำพยานหลักฐานมอบให้กกต.

เพื่อสั่งการให้เลขาธิการ กกต.ตรวจสอบและบันทึกไว้เป็นค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง ของพรรคการเมืองในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งต่อไป ตามระเบียบหรือกฎหมายที่กำหนด ในวันจันทร์ที่ 1 ก.พ.นี้เวลา 10.00 น. ที่สำนักงาน กกต. ศูนย์ราชการ

ศาล ชี้ ‘ธนาธร’ ไลฟ์วัคซีนโควิดฯ ผิด พ.ร.บ.คอมฯ สั่งปิดกั้น-ลบโพสต์คณะก้าวหน้าที่ทำการเผยแพร่ออกจากระบบแล้ว ส่วนม.112 ตำรวจปอท.อยู่ระหว่างดำเนินคดี ‘พุทธิพงษ์’ ยัน ยึดตามกฎหมายไม่ละเว้น

ภายหลังจากเมื่อวันที่ 20 ม.ค. 2564 ที่ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) มอบหมายทีมกฎหมายไปแจ้งความต่อกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี( บก.ปอท.) ให้ดำเนินคดีกับนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ไลฟ์สดเกี่ยวกับวัคซีนป้องกันโควิดที่พาดพิงสถาบันหลัก ผ่านเพจคณะก้าวหน้า ฐานความผิดประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และ ผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14(3) พร้อมกับได้ยื่นให้ศาลพิจารณาการกระทำดังกล่าว

ล่าสุด ศาลอาญาได้ตรวจสอบ พบเว็บไซต์ เผยแพร่ข้อความภาพและคลิปวีดีโอ ที่มีเนื้อหาอันเข้าข่ายเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงในราชอาณาจักร ปรากฎใน 3 URLs (รายการ) ประกอบด้วย

1.) https://progressivemovement.in.th/article/3258/

2.) https://youtube/Oq7KPO5TBc8

3.) https://fbwatch/3aiaDnGJTi/

โดยพบว่าเป็นโพสต์ผ่านทางเพจเฟซบุ๊คและยูทูปของคณะก้าวหน้า

ศาลจึงอาศัยอำนาจตามพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14(3) ประกอบมาตรา 20 มีคำสั่งให้ระงับการทำให้แพร่หลายซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ การไลฟ์สดของนายธนาธร เนื่องจากเห็นว่า เป็นการกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร จึงสั่งระงับการทำให้แพร่หลาย 3 URLs ดังกล่าว

นายพุทธิพงษ์ ระบุว่า สำหรับคดีความตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่ได้ยื่นแจ้งความนายธนาธรต่อ บก.ปอท.ไว้นั้น ต้องติดตามความคืบหน้ากับเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปอท.และที่เกี่ยวข้อง ทราบว่าอยู่ระหว่างตรวจสอบหลักฐานดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย ยืนยัน เจ้าหน้าที่รัฐ ต้องดำเนินการตามกฎหมาย ไม่สามารถละเว้นได้

ร่วมด้วยช่วยกัน! กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ถกกระทรวงการคลัง ชงมาตรการภาษี จูงใจผู้ประกอบการลดขยะพลาสติก แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม หลังพบปัจจุบันไทยมีปริมาณขยะพลาสติก 1.6 ล้านตันต่อปี รีไซเคิลได้ 2 แสนตันเท่านั้น

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อยู่ระหว่างการหารือกับกระทรวงการคลัง ถึงมาตรการทางภาษี เพื่อส่งเสริมเพิ่มแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หลีกเลี่ยงการก่อขยะพลาสติก

อันจะเป็นหนทางหนึ่งในการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน ซึ่งเรื่องนี้หลายประเทศทั่วโลกต่างตื่นตัวและให้ความสำคัญกับการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมีการออกมาตรการต่างๆ เพื่อสร้างแรงจูงใจ ก่อให้เกิดความร่วมมือจากประชาชนอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปี 2563 เป็นต้นมา ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้เริ่มนโยบายลดการใช้ถุงพลาสติก โดยขอความร่วมมือห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อทั่วประเทศ งดบริการถุงพลาสติก ซึ่งได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการและประชาชนเป็นอย่างดี ทำให้เห็นว่าแนวโน้นการบริหารจัดการแก้ไขปัญหาถุงพลาสติกเป็นไปในทิศทางที่ดี

โดย กระทรวงทรัพยากรฯ มีเป้าหมายงดการนำเข้าเศษพลาสติกต่างจากต่างประเทศ ให้ได้ภายในปี 2569 จากเดิมที่ตั้งเป้าจะงดการนำเข้าเศษพลาสติกภายในปี 2570 ซึ่งจะทำให้ขยะพลาสติกในประเทศถูกบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยระหว่างนี้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จะมีกระบวนการค่อยๆปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทิ้งขยะของประชาชน เพื่อการบริหารจัดการที่ดี เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ และประชาชน ทั้งด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม

ปัจจุบันประเทศไทยมีปริมาณขยะพลาสติกอยู่ประมาณ 1.6 ล้านตันต่อปี สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ประมาณ 2 แสนตัน ดังนั้นหากมีการคัดแยกขยะอย่างเป็นระบบ ก็จะสามารถนำขยะพลาสติกกลับใช้ใหม่ได้มากกว่า 2 แสนตัน แม้ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ทำให้ประชาชนหันมาใช้บริการสั่งอาหารแบบเดลิเวอรี่มากขึ้น แต่การคัดแยกขยะ ก็จะช่วยลดปัญหาสิ่งแวดล้อมได้เป็นอย่างดี

กสิกรไทย มองดัชนีหุ้นไทยสัปดาห์หน้าแกว่งในกรอบ 1,425-1,500 จุด ส่วนค่าเงินบาท ประเมินกรอบการเคลื่อนไหว อยู่ที่ 29.80-30.20 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ระบุ การประชุม กนง. - สถานการณ์โควิด-19 - ผลประกอบการงวดไตรมาส 4/63 ของบจ. และดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนม.ค. ของไทย

บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีหุ้นไทยสัปดาห์หน้า (1 - 5 ก.พ.) มีแนวรับที่ 1,455 และ 1,425 จุด ขณะที่ แนวต้านอยู่ที่ 1,480 และ 1,500 จุด ตามลำดับ

โดยประเมินปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) (3 ก.พ.) สถานการณ์โควิด-19 ผลประกอบการงวดไตรมาส 4/63 ของบจ. และดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนม.ค. ของไทย รวมถึงความคืบหน้าเกี่ยวกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ

ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตและบริการ ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรและอัตราการว่างงานเดือนม.ค. ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญอื่นๆ ได้แก่ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/63 ของยูโรโซน ตลอดจนดัชนี PMI Composite เดือนม.ค. ของยูโรโซน ญี่ปุ่นและจีน

ขณะที่ ค่าเงินบาท ประเมินว่า จะเคลื่อนไหว อยู่ที่ 29.80 - 30.20 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) (3 ก.พ.) ความคืบหน้าของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ และสถานการณ์การระบาดของโควิด-19

ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร อัตราการว่างงาน ข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชนจาก ADP ดัชนี PMI และดัชนี ISM ภาคการผลิตเดือนม.ค. 64 ยอดสั่งซื้อภาคโรงงาน รายจ่ายด้านการก่อสร้างเดือนธ.ค. 63

นอกจากนี้ตลาดอาจรอติดตามผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิต-ภาคบริการเดือนม.ค. ของจีน ยูโรโซน อังกฤษ และตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/63 ของยูโรโซน ด้วยเช่นกัน

สวนดุสิตโพล เผยผลสำรวจ พบประชาชนส่วนใหญ่กังวลผลข้างเคียงของวัคซีนโควิด - 19 แต่พร้อมฉีด ส่วนวัคซีนไฟเซอร์ - ไบโอเอ็นเทค คนรู้จักมากสุด

สวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยสวนดุสิต สำรวจความคิดเห็นของประชาชนเรื่อง “คนไทยกับวัคซีนโควิด-19” จำนวน 1,570 คน สำรวจวันที่ 22 - 29 มกราคม 2564 พบว่า ส่วนใหญ่ประชาชนรู้จักวัคซีนไฟเซอร์ - ไบโอเอ็นเท็ค (Pfyzer- BioNTech) มากที่สุด ร้อยละ 64.27 รองลงมาคือ อ๊อกฟอร์ด-แอสตราเซเนกา (Oxford-Astrazeneca) ร้อยละ 52.55

ขณะที่ สิ่งที่กังวลมากที่สุด คือ ผลข้างเคียงของวัคซีน ร้อยละ 82.71 โดยต้องการจะฉีดวัคซีน แต่ขอดูผลข้างเคียงก่อน ร้อยละ 65.99 ทั้งนี้ค่อนข้างเชื่อมั่นว่าเมื่อฉีดวัคซีนแล้วจะป้องกันโควิด-19 ได้ ร้อยละ 63.88 และหลังจากฉีดวัคซีนแล้วจะยังดูแลสุขภาพตัวเองเหมือนช่วงที่ผ่านมา ร้อยละ 60.83

เรื่องวัคซีนโควิด -19 เป็นประเด็นร้อนที่หลายฝ่ายตั้งคำถามต่อการบริหารงานของรัฐบาล เพราะเมื่อเปรียบเทียบกับการดำเนินงานของหลายประเทศต่างมีความคืบหน้าอย่างมากในการฉีดวัคซีนให้กับประชาชน ความแตกต่างที่เห็นได้ชัด

ทำให้ประชาชนเกิดความกังวลใจทั้งในเรื่องยี่ห้อวัคซีน ประสิทธิภาพ ผลข้างเคียง กระบวนการจัดซื้อ ความล่าช้า ราคา และความโปร่งใส นับว่าเรื่องวัคซีนโควิด-19 เป็นโจทย์ที่ท้าทายรัฐบาลอย่างยิ่งในการเร่งสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชน

นายวิทวัส รัตนถาวร อาจารย์ประจำสาขาวิชาวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เปิดเผยว่า จากผลสำรวจในเรื่อง “คนไทยกับวัคซีนโควิด-19” บ่งชี้ได้ว่า ประชาชนส่วนใหญ่ให้ความสนใจและติดตามข้อมูลเกี่ยวกับวัคซีนโควิด-19 ทั้งในด้านของประสิทธิภาพ ราคา และผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้ภายหลังจากการได้รับวัคซีน

ปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ยังส่งผลกระทบโดยตรงกับความเชื่อมั่นของประชาชนในด้านความปลอดภัยของวัคซีน โดยสะท้อนจากผลสำรวจ ที่พบว่า ประชาชนยังมีความกังวลเกี่ยวกับผลข้างเคียงของวัคซีนมากถึงร้อยละ 82.71 ซึ่งเป็นหน้าที่ของหน่วยงานทางภาครัฐ ที่ต้องดำเนินการเร่งชี้แจง ทำความเข้าใจกับประชาชนถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัยของวัคซีนโควิด-19 ที่มีความแตกต่างกันของแต่ละบริษัท

ถึงแม้ว่าในปัจจุบันจะมีวัคซีนโควิด-19 ที่มีประสิทธิภาพ แต่ประชาชนยังคงต้องมีการดูแลตัวเองอย่างเคร่งครัด เนื่องจากเชื้อโควิด-19 จะยังไม่ได้หายไปในระยะเวลาอันสั้นนี้ การฉีดวัคซีนมีจุดมุ่งหมายในการป้องกันการแพร่ระบาดในวงกว้าง

อีกทั้งช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากการติดเชื้อลง ดังนั้นการป้องกันตนเองโดยการใส่หน้ากากอนามัย ล้างมืออย่างสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงการเข้าไปในพื้นที่แออัด ยังคงเป็นสิ่งจำเป็นในการใช้ชีวิตประจำวันต่อไป

ยอดติดเชื้อทั่วโลกทะลุ 103 ล้านคน ‘หมอธีระ’ ระบุมีโอกาสเห็นการระบาดในไทยที่รุนแรงขึ้นไปอีกได้ หลังจากผ่อนคลายมาตรการ 1 ก.พ.นี้ เชื่อยังมีผู้ติดเชื้อไม่รู้ตัวอีกมากในสังคม แนะออกจากบ้านเท่าที่จำเป็น ไม่กินดื่มในร้าน ซื้อกลับบ้านปลอดภัยกว่า

รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั่วโลก ผ่านเฟซบุ๊ก ‘Thira Woratanarat’ ระบุว่า

สถานการณ์ทั่วโลก 31 มกราคม 2564 ทะลุ 103 ล้านไปแล้ว

เมื่อวานทั่วโลกติดเพิ่ม 542,482 คน รวมแล้วตอนนี้ 103,067,009 คน ตายเพิ่มอีก 13,591 คน ยอดตายรวม 2,226,554 คน

อเมริกา เมื่อวานติดเชิ้อเพิ่ม 169,432 คน รวม 26,631,590 คน ตายเพิ่มอีก 3,471 คน ยอดตายรวม 449,916 คน

อินเดีย ติดเพิ่ม 19,631 คน รวม 10,746,871 คน

บราซิล ติดเพิ่ม 58,462 คน รวม 9,176,975 คน

รัสเซีย ติดเพิ่ม 19,032 คน รวม 3,832,080 คน

สหราชอาณาจักร ติดเพิ่มอีก 23,275 คน รวม 3,796,088 คน

อันดับ 6-10 เป็น ฝรั่งเศส ตุรกี อิตาลี สเปน และเยอรมัน ส่วนใหญ่ติดกันหลายพันถึงหลายหมื่นต่อวัน

แถบอเมริกาใต้ ยุโรป เอเชีย อย่างโคลอมเบีย เนเธอร์แลนด์ โปแลนด์ ยูเครน แคนาดา รวมถึงอิหร่าน บังคลาเทศ อิสราเอล อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น และมาเลเซีย ยังติดกันเพิ่มหลักพันถึงหลักหมื่น

อีก 3 วัน สาธารณรัฐเชคจะแตะหลักล้าน ในขณะที่เนเธอร์แลนด์จะใช้เวลาอีกราว 1 สัปดาห์จะแตะล้านเช่นกัน เป็นประเทศที่ 20 และ 21 ตามลำดับ

แถบสแกนดิเนเวีย บอลติก และยูเรเชีย ก็ยังมีติดเชื้อเพิ่มอย่างต่อเนื่อง

เมียนมาร์ เกาหลีใต้ และไทย ติดเพิ่มหลายร้อย ส่วนจีน ฮ่องกง เวียดนาม และสิงคโปร์ ติดเพิ่มหลักสิบ ในขณะที่กัมพูชา ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ติดเพิ่มต่ำกว่าสิบ

...สถานการณ์ในเมียนมาร์ เมื่อวานติดเพิ่มขึ้นอีก 349 คน ตายเพิ่มอีก 10 คน ตอนนี้ยอดรวม 139,864 คน ตายไป 3,125 คน อัตราตายตอนนี้ 2.2%...

วิเคราะห์จากข้อมูลที่มี..

ประเทศที่มีการระบาดซ้ำ ยังไม่มีประเทศใดที่สามารถกดให้การระบาดจนหมดไปได้แบบระลอกแรก

ส่วนใหญ่แล้วจะประสบปัญหาเรื่องเศรษฐกิจสังคม และข้อจำกัดด้านทรัพยากรในระบบสุขภาพ ทำให้มาตรการต่างๆ ที่ดำเนินไปจะทำได้อย่างมากคือกดการระบาดให้ต่ำลง

มีทั้งที่กดไม่ได้ แล้วระบาดรุนแรงขึ้นไปอีก

และมีทั้งที่กดลงมาได้ แต่จะมีจำนวนการติดเชื้อต่อวัน เป็นหลักสิบ หลักร้อย หลักพัน หลักหมื่น ขึ้นอยู่กับแต่ละประเทศ

เคยเล่าให้ฟังแล้วว่า ช่วง 4 สัปดาห์แรกของการระบาดซ้ำนั้นเป็นช่วงเวลาทองที่จะกดการระบาด หากทำสำเร็จจะมีโอกาสระบาดซ้ำรุนแรงน้อยกว่าระลอกแรก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสามปัจจัยหลักคือ การดำเนินมาตรการเคร่งครัดเฉียบขาดอย่างทันเวลา, การตรวจคัดกรองโรคอย่างครอบคลุมและต่อเนื่อง, และความร่วมมือของประชาชนในการป้องกันตัวอย่างเคร่งครัด

ทั้งนี้หากทำได้ทั้งสามองค์ประกอบ ก็จะมีโอกาสสำเร็จมากขึ้น โดยจากสถิติที่ติดตาม พบว่า มีประเทศที่รุนแรงน้อยกว่าระลอกแรก 12% ในขณะที่ส่วนใหญ่จะระบาดซ้ำรุนแรงกว่าระลอกแรก เฉลี่ยแล้วจะมียอดติดเชื้อสูงสุดต่อวันมากกว่าเดิม 5 เท่า และสู้ยาวนานกว่าเดิมอย่างน้อย 2 เท่า

เคยคาดการณ์เพื่อให้เตรียมรับมือไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ธันวาคมปีที่แล้วว่า หากเราเป็นแบบประเทศส่วนใหญ่ 88% นั้น จะมีโอกาสตรวจพบติดเชื้อต่อวันสูงราว 940 คน และสู้ยาวราว 88 วัน หรือสามเดือน เพื่อหวังให้เราวางแผนการใช้ชีวิต และเตรียมรับมืออย่างมีสติ ภายใต้ข้อมูลความรู้ที่มีไว้เพื่อเป็นไฟส่องนำทาง

พรุ่งนี้จะเริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการ ขอให้ดำรงชีวิตโดยเน้นความปลอดภัยนะครับ เพราะสัจธรรมคือ หากมีการเคลื่อนที่ของประชากรมากขึ้น การแพร่เชื้อรับเชื้อจะมีโอกาสมากขึ้น และด้วยข้อมูลที่ชี้ให้เห็นข้างต้นว่า น่าจะยังไม่จบศึกสงคราม จะมีผู้ที่ติดเชื้อโดยไม่รู้ตัว และใช้ชีวิตประจำวันอยู่ในสังคมอยู่อีกจำนวนไม่น้อย หากทุกคนป้องกันตัวเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นคนที่จะติดเชื้อหรือไม่ติดเชื้ออยู่ก็ตาม โอกาสติดเชื้อแพร่เชื้อกันก็จะน้อยลง แต่หากไม่ป้องกัน เพิกเฉย ละเลย รู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องของฉัน ก็จะมีโอกาสเห็นการระบาดที่รุนแรงขึ้นไปอีกได้

หากประเมินตามเงื่อนเวลา จุดตัดสินลักษณะการระบาดในอนาคตของเรา จะอยู่ในช่วงกลางมีนาคมเป็นต้นไป หากสามารถกดการระบาดให้จำนวนติดเชื้อต่อวันเหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ก็จะมีช่วงเวลาที่ระบาดแบบน้อยๆ ไปเรื่อย ๆ ได้นานหน่อย แต่หากขยับหลักขึ้นไปจากสิบเป็นร้อยจากร้อยเป็นพันหรือเป็นหมื่น ระยะเวลาปลอดการระบาดรุนแรงก็จะน้อยลงตามลำดับ ทุกหลักที่เพิ่มขึ้นจะทำให้ระยะเวลาปลอดการระบาดรุนแรงสั้นลงประมาณ 3 สัปดาห์

ขณะนี้หลายประเทศมักเจอระบาดระลอกสอง แต่มีถึง 13 ประเทศแล้วที่ประสบปัญหาระลอกสามครับ ทั้งนี้ 12 ประเทศ (92.3%) มีการระบาดซ้ำที่หนักกว่าเดิม

หวังว่าพวกเราจะร่วมด้วยช่วยกัน ป้องกันตัวอย่างเคร่งครัด

ใส่หน้ากากเสมอ ล้างมือบ่อยๆ อยู่ห่างจากคนอื่นหนึ่งเมตร

ออกจากบ้านเท่าที่จำเป็น ไม่กินดื่มในร้านหากไม่จำเป็นจริงๆ ซื้อกลับจะปลอดภัยกว่า

คอยสังเกตอาการตนเองและครอบครัว หากไม่สบาย ต้องหยุดเรียนหยุดงานแล้วรีบไปตรวจรักษา

สวัสดีวันอาทิตย์ครับ


ที่มา : เพจ Thira Woratanarat

'จุรินทร์'​ นำทีมลุย!! ลานมัน ตรวจเข้มการรับซื้อหัวมันสำปะหลังหนองบัวลำภู 

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ราคามันสําปะหลัง ณ ลานมัน ห้างหุ้นส่วนจํากัด อุดรไพบูลย์ อําเภอเมือง จังหวัดหนองบัวลําภู พร้อมคณะ

นายจุรินทร์ พบปะเกษตรกร ตรวจขั้นตอนการรับซื้อมันสำปะหลัง และกล่าวว่า นำกระทรวงพาณิชย์มาติดตามสถานการณ์ราคามันสำปะหลังที่จังหวัดอุดรธานีกับจังหวัดน้องบัวลำภู ซึ่งที่นี่เป็นโรงโรงมันที่ส่งมันเส้นออกนอกประเทศเพื่อทำเอทานอล​ ที่ก่อนหน้านี้มีความพยายามจะร่วมมือกันกับสมาคมมันสำปะหลังต่างๆ​ ร่วมกับกรมการค้าภายใน กรมการค้าต่างประเทศกระทรวงพาณิชย์ที่จะหาทางยกระดับราคาให้สูงขึ้นจากที่ซื้อขายกันในลานมันที่กิโลกรัมละ 2.00-2.10 บาท ได้มีการหารือร่วมกันระหว่างกระทรวงพาณิชย์กับสมาคมผู้ส่งออก เกษตรกร ทำบันทึกความเข้าใจร่วมกันช่วยกันยกระดับราคา โดยสัปดาห์นี้จะพยายามยกระดับราคาการรับซื้อหัวมันสดที่เชื้อแป้ง 25% ให้ได้ถึง 2.40 บาท ถ้าเป็นไปได้สัปดาห์ต่อไปจะขยับขึ้นเป็น 2.45-2.50 บาท โดยสถานการณ์ดีขึ้นมีการรับซื้อที่เชื้อแป้ง 25% ตามมาตรฐานที่กิโลกรัมละประมาณ 2.40 บาทในขณะนี้ บางแห่งก็ 2.45 บาท ถือว่ามาตรการเริ่มได้ผล
.
"ถัดจากนี้ไปได้สั่งการให้พาณิชย์จังหวัดทุกจังหวัดที่มีมันสำปะหลัง​ ติดตามตรวจสอบบังคับใช้กฎหมายโดยเคร่งครัด

1.มันสำปะหลังเป็นสินค้าควบคุมต้องติดป้ายราคารับซื้อให้ชัดเจน เพื่อให้เกษตรกรได้รับทราบและต้องบังคับใช้ทุกจังหวัดทั่วประเทศ

2.ขณะนี้ราคาแอลกอฮอล์เอทานอลในตลาดจีนขยับตัวสูงขึ้นน่าจะส่งผลให้สามารถรับซื้อหัวมันสดจากเกษตรกรในประเทศได้ราคาดีขึ้นสอดคล้องกับราคาแอลกอฮอล์ที่เมืองจีนเกิดติดปัญหาคือผู้ส่งออกของเราบางรายไปตัดราคากันเองทำให้ทำให้ได้ราคาไม่ถึงราคาที่ควรจะเป็น​ โดยบริษัทที่จะส่งออกเอทานอลได้ต้องเป็นสมาชิกสมาคมผู้ส่งออกถ้ารายได้ไปขายตัดราคาจะทำให้สมาคมมีมาตรการไล่ออกจากสมาชิกจะทำให้ส่งออกไม่ได้เป็นการตกลงร่วมกัน

3.การลักลอบนำเข้ามันสำปะหลังจากประเทศเพื่อนบ้าน ตนได้พูดในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อ 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ขอความกรุณาท่านนายกสั่งการให้ฝ่ายความมั่นคงศุลกากรและผู้เกี่ยวข้องดำเนินการโดยเคร่งครัดกับการนำเข้า ไม่ให้มีการลักลอบ มากดราคามันสำปะหลังจากเกษตรกรในประเทศไทย 

4.ช่วงไหนหัวมันสำปะหลังออกมากจะให้ชะลอขาย​ โดยกระทรวงพาณิชย์มีเงินช่วยดอกเบี้ยร้อยละ 3 สำหรับการเก็บมันไว้ช่วยดอกเบี้ยเงินกู้ 3% ทั้งเกษตรกรสหกรณ์และโรงมัน

กระทรวงพาณิชย์จะพยายามดูแลเกษตรกรให้ดีที่สุดร่วมกับกระทรวงเกษตรและสหกรณ์แต่ถ้าราคาต่ำกว่ากิโลกรัมละ 2.50 บาท ที่เชื้อแป้ง 25% กระทรวงพาณิชย์กับกระทรวงเกษตรจะยังมีนโยบายประกันรายได้เกษตรกรที่กิโลกรัมละ 2.50 บาท​ โดยมีส่วนต่างโอนเงินเข้าบัญชี ธ.ด.ส.ของเกษตรกรชาวไร่มันที่มาขึ้นทะเบียนไว้โดยอัตโนมัติเพื่อช่วยชดเชยส่วนต่างให้เกษตรกรสามารถขายมันสำปะหลังที่เชื้อแป้ง 25% ได้ในรายได้ 2.50 บาท ตามรายได้ที่ประกัน

รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ระบุด้วยว่า รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้กำชับให้กรมการค้าต่างประเทศและกรมการค้าภายในติดตามผู้ประกอบการที่มีพฤติกรรมทำลายตลาดอย่างใกล้ชิด และบังคับใช้กฎหมายในกำกับดูแลของแต่ละหน่วยงานทันทีเมื่อพบการกระทำที่ผิดกฎหมาย และขอย้ำว่าหากกลไกภาคเอกชนมีความเข้มแข็ง จะแก้ปัญหาการขายตัดราคาที่ไม่เป็นผลดีต่อทุกฝ่ายตลอดห่วงโซ่อุปทานในระยะยาวได้

และหากพบเห็นการนำเข้าส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่ไม่ถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด อาทิ ความชื้นสูง มีสิ่งปลอมปน สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน 1385 กรมการค้าต่างประเทศ และหากเกษตรกรชาวไร่มันสำปะหลังพบเห็นหรือไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการซื้อขายมันสำปะหลัง หรือถูกเอาเปรียบในการชั่ง ตวง วัด สามารถร้องเรียนได้ที่สายด่วน 1569 กรมการค้าภายใน ขอให้พี่น้องประชาชนร่วมกันเป็นหูเป็นตา เพื่อให้อุตสาหกรรมมันสำปะหลังไทยเติบโตอย่างมีเสถียรภาพต่อไป


สำหรับวันนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์พร้อมคณะ ได้ติดตามสถานการณ์ราคาเพื่อช่วยเกษตรกรอย่างใกล้ชิดประกอบด้วย นายไชยยศ จิรเมธากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข นายกีรติ รัชโน อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน และ นายรณรงค์ พูลพิพัฒน์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น 
 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top