Friday, 9 May 2025
NEWS

‘ดร.อานนท์’ ไขปม 6 ประเด็นบิดเบือน ‘ธนาธร – ปิยบุตร’ หลังใส่ความสถาบันไม่เลิก เหตุวัคซีน AstraZeneca ถึงไทยล่าช้า

‘ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์’ ดีกรี ด็อกเตอร์ ด้าน Psychometrics and Quantitative Psychology จากมหาวิทยาลัยฟอร์ดแฮม สหรัฐอเมริกา ปัจจุบัน เป็นอาจารย์ประจำสาขาวิชา Business Analytics and Intelligence และ Actuarial Science and Risk Management คณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้โพสต์เฟซบุ๊ก Arnond Sakworawich

‘ธนาธร’ และ ‘ปิยบุตร’ กล่าวหาว่าในหลวงต้องรับผิดชอบหากวัคซีนโควิด-19 ล่าช้า ไม่เพียงพอ หรือมี Adverse Event

แต่ในความเป็นจริงไม่ได้เกี่ยวอะไรกับในหลวงเลย

1.) รัฐบาลไทยโดยสถาบันวัคซีนแห่งชาติซื้อวัคซีนจาก AstraZeneca

2.) Siambioscience แค่รับจ้างผลิต และรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีแบบ in kind คือไม่มีค่าใช้จ่าย จาก AstraZeneca และ Oxford โดยมีเงื่อนไขว่าจะไม่ได้กำไรจากการผลิตวัคซีน

3.) การควบคุมคุณภาพอยู่ที่ AstraZeneca ดังนั้นเรื่อง adverse event อันอาจจะเกิดขึ้นตามปกติ เช่น การแพ้วัคซีน ไม่ได้เกี่ยวกับ Siambiosicence แต่อย่างใด

4.) คำสั่งซื้อมาจากสถาบันวัคซีนแห่งชาติ หากจะเพียงพอหรือไม่เพียงพอ ล่าช้าหรือไม่ล่าช้า ก็ตามเป็นความรับผิดชอบของสถาบันวัคซีนแห่งชาติและ AstraZeneca ไม่ได้เกี่ยวกับ Siambioscience และไม่ได้เกี่ยวกับในหลวงแต่อย่างใด

5.) เงินที่ SCG และรัฐบาลให้มาปรับปรุงเครื่องจักรและกำลังการผลิต Siambioscience ก็นำไปซื้อวัคซีนจาก AstraZeneca ส่งมอบให้รัฐบาลคือสถาบันวัคซีนแห่งชาติต่อไป ไม่ได้ได้มาฟรีๆ แต่อย่างใด

6.) ในฐานะนิติบุคคลของ Siambioscience ผู้ที่มีความรับผิดคือกรรมการผู้จัดการใหญ่ ตามกฎหมาย หาได้เป็นความรับผิดของผู้ถือหุ้นในพระปรมาภิไธยก็หาไม่ อันนี้เป็นหลักของกฎหมายหุ้นส่วนบริษัทที่ใครที่ทำธุรกิจหรือเรียนกฎหมายมาบ้างก็ต้องรู้อยู่แล้ว ทำไมมันโง่ ไม่รู้เรื่องอะไรเลยถึงเพียงนี้

รายละเอียดอื่น ๆ แสดงในแผนภาพที่ผมวาดด้านล่างนี้

ไม่รู้มันจะพยายามโยงบ้าโยงบอเพื่อด้อยค่าสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ยอมเลิกสักที คงต้องให้มันติดคุก ถึงจะเลิก

#ให้มันติดคุกที่รุ่นเรา


ที่มา: https://www.facebook.com/784302727/posts/10159241688227728/

การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย เผย รถไฟฟ้า MRT พร้อมรับผู้โดยสารใช้สิทธิโครงการ ‘เราชนะ’ ได้ตั้งแต่ 5 ก.พ. - 31 พ.ค.

การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ร่วมกับ บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) พร้อมสนับสนุนนโยบายของรัฐบาล โดยได้เตรียมพร้อมรองรับการใช้สิทธิ์ในโครงการ “เราชนะ” ออกเหรียญโดยสาร (Token) เพื่อเดินทางในระบบรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล (MRT สายสีน้ำเงิน) และรถไฟฟ้ามหานคร สายฉลองรัชธรรม (MRT สายสีม่วง) ได้ทุกสถานี ตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ – 31 พฤษภาคม 2564

ผู้ได้รับสิทธิในโครงการฯ แบ่งเป็น กลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และกลุ่มผู้ได้รับสิทธิ์ผ่านแอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” ดังนี้

กลุ่มผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ สามารถใช้สิทธิสนับสนุนค่าเดินทางจากภาครัฐได้ทั้ง 2 กรณี

กรณีที่ 1 ใช้สิทธิค่าเดินทางของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐในวงเงิน 500 บาทต่อเดือน โดยผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีสัญลักษณ์ “แมงมุม” บนหลังบัตร สามารถใช้แตะที่ประตูจัดเก็บค่าโดยสารอัตโนมัติเพื่อเดินทางได้ทันที ส่วนผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่มีสัญลักษณ์ “Prompt Card” ต้องนำบัตรมาออกเหรียญโดยสารที่ห้องออกบัตรโดยสาร

กรณีที่ 2 ใช้สิทธิในโครงการ “เราชนะ” ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐนำบัตรมาออกเหรียญโดยสารที่ห้องออกบัตรโดยสาร ซึ่งระบบจะตัดเงินจากโครงการฯ ทั้งนี้ ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐสามารถเริ่มใช้สิทธิ์ในโครงการ “เราชนะ” ได้ตั้งแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ - 31 พฤษภาคม 2564

กลุ่มผู้ได้รับสิทธิในโครงการ “เราชนะ” ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง (G-Wallet) สามารถมาติดต่อออกเหรียญโดยสารได้ที่ห้องออกบัตรโดยสารทุกสถานี โดยระบบจะตัดเงินจากโครงการ “เราชนะ” ผ่านแอปพลิเคชันเป๋าตัง ซึ่งจะเริ่มใช้สิทธิ์ในโครงการฯ ได้ตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์-31 พฤษภาคม 2564

ผู้ได้รับสิทธิในโครงการ “เราชนะ” สามารถออกเหรียญโดยสารประเภทบุคคลทั่วไป โดยคิดอัตราค่าโดยสารตามระยะทาง ได้ที่ห้องออกบัตรโดยสารรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน และสายสีม่วง ทุกสถานี ระหว่างเวลา 06.00-23.00 น.

และหากผู้ใช้สิทธิออกเหรียญโดยสารแล้ว จะไม่สามารถนำเหรียญโดยสารเปลี่ยนหรือคืนได้ทุกกรณี ทั้งนี้ สิทธิในโครงการฯ ไม่สามารถใช้ออกเหรียญโดยสารประเภทเด็ก/ผู้สูงอายุ และไม่สามารถใช้เติมเงิน เติมเที่ยวโดยสาร ชำระค่าที่จอดรถ หรือชำระค่าธรรมเนียมต่างๆ ของรถไฟฟ้า MRT ได้

เจ้าของเฟซบุ๊ก Natty in Myanmar โพสต์เฟซบุ๊ก เปิดเผยเอกสารที่มีการแพร่ในโลกโซเชี่ยลของเมียนมา ถึงการบล็อก Facebook / IG และ Messenger

เอกสารฉบับนี้แพร่หลายในโลกโซเชียลของเมียนมา ช่วงประมาณตี 2 ความว่า จะมีการตัดการเข้าถึง Facebook ตั้งแต่คืนนี้ ถึงวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 23:59 น.

มีรายงานว่า คนที่ใช้อินเตอร์เนทบ้าน หรือมือถือของค่าย MPT ไม่สามารถเข้าFacebook / IG / Messengerได้แล้ว คาดว่าภายในเช้านี้ค่ายอื่นๆ ก็จะทยอยบล็อกเช่นกัน

การดำเนินการดังกล่าวนี้ ถือว่าเป็นความพยายามในการจัดการกับการรุกฮือขึ้นต่อการรัฐประหารครั้งล่าสุด ซึ่งก็เกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการดำเนินการอารยะขัดขืนโดยบรรดาแพทย์ และการออกมาชุมนุมทั้งในประเทศ และต่างประเทศของชาวเมียนมา

ส่วนของสาเหตุในการปิดการเข้าถึง Facebook นั้น เนื่องมาจากความนิยมใช้งานของชาวเมียนมา ที่ถือว่าเป็น Domain หลักที่ผู้คนมักใช้งานกัน ไม่ว่าจะเป็นในทางสังคม และทางอื่นๆ โดยคนเมียนมาเวลาค้นหาข้อมูลจะไม่นิยมค้นหา Google เท่าไรนัก แต่จะใช้วิธีการค้นหาผ่าน Facebook มากกว่า หรือหลายครั้งที่มีการสร้างคอนเนคชั่นใหม่ๆ ก็จะเพิ่มเพื่อนใน Facebookทันที


ที่มา: https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=259970128827438&id=100044433576342

“ธนาธร” ขึ้นศาลไต่สวนเพิกถอนคำสั่ง ดีอีเอสขอระงับเผยเเพร่ข้อมูลไลฟ์สดวัคซีนป้องกันโควิดกระทบมั่นคง มั่นใจพูดโดยสุจริต พร้อมย้ำต้องแก้ม.112 เหตุมีโทษที่สูงเกินไป

วันที่ 4 ก.พ. ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า เดินทางมาที่ศาลเพื่อเข้าฟังนัดไต่สวนคำร้องคัดค้านของคณะก้าวหน้า ที่ขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลสั่งลบลิงค์ตามคำขอ กระทรวงดิจิตอลฯ (MDES) การเผยแพร่ภาพ-คลิปเกี่ยวกับวัคซีนป้องกันโควิดพาดพิงสถาบันฯ ผ่านเพจคณะก้าวหน้า

นายธนาธร เปิดเผยว่า วัตถุประสงค์ในวันนี้ ตนมาที่ศาลเพื่อขอคัดค้านใบคำสั่งจากกระทรวงดิจิตอลฯที่ขอให้ ปลดการไลฟ์เฟซบุ๊ก ทั้งในช่องทางเฟซบุ๊ก และยูทูป

เมื่อถามว่า ส่วนตัวคิดว่าการตั้งคำถามในประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกับสถาบันสามารถใช้หลักการวิจารณ์สุจริตกล่าวอ้างต่อศาลได้หรือไม่ นายธนาธร กล่าวว่า ตนเห็นด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรที่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองล้วนเป็นเรื่องของทุกคนในประเทศ สถาบันพระมหากษัตริย์ก็เป็นส่วนหนึ่งในสังคมไทย ดังนั้นการพูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์โดยสุจริต โดยไม่ว่าร้ายพยาบาท เพื่อหวังดีต่อสังคม ย่อมเป็นสิ่งที่พลเมืองพึงกระทำได้

เมื่อถามว่าคิดว่าศาลจะใช้ดุลยพินิจที่ครอบคลุมถึงหลักการข้างต้นด้วยหรือไม่ นายธนาธรกล่าวว่า อันนี้ตนคงก้าวล่วงศาลไม่ได้ เพราะเห็นว่าสิ่งที่เราวิพากษ์วิจารณ์การจัดหาวัคซีนของรัฐบาลให้คนไทย เป็นสิ่งที่พวกเราทำด้วยความประสงค์ดี ก็หวังว่าศาลคงจะเข้าใจ ตนคงไม่ไปก้าวล่วงคำวินิจฉัยของศาล

เมื่อถามว่าจนถึงตอนนี้แล้วมองว่าขอบเขตความผิด ม.112 ในประเทศไทย มีความต่างจากประเทศที่ปกครองด้วยราชาธิปไตยใต้รัฐธรรมนูญอย่างไรบ้าง นายธนาธร กล่าวว่า ใน ม.112 เป็นมาตราที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานอย่างแน่นอน เพราะสิทธิสิทธิมนุษยชนนั้นคือการมีเสรีภาพทางการแสดงออก และม.112 มีโทษที่สูงเกินไปด้วย จึงเห็นว่าควรมีการแก้ไขกฎหมาย ม.112

เมื่อถามว่าคิดว่าอะไรเป็นตัวแปรที่ทำให้สัดส่วนโทษทางอาญาของมาตรา 112 ในไทยรุนแรงกว่าชาติอื่น ที่ยังคงมีระบบกษัตริย์ นายธนาธร กล่าวว่า ตรงนี้ตนคงไม่ทราบ ต้องไปถามนักกฎหมาย

เมื่อถามว่าในวันนี้ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม รักษาการหัวหน้าพรรคไทยภักดี จะเดินทางมาไปแจ้งความเพิ่มเติม นายธนาธร กล่าวว่า เชิญครับเพราะตนเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ใจ ขอเรียนพ่อแม่พี่น้องประชาชนอย่างนี้ว่าจนถึงวันนี้รัฐบาลไทยก็ยังไม่สามารถให้คำสัญญากับประชาชนได้ว่าตกลงวัคซีนที่จัดซื้อจัดหาได้แล้วจะมีจำนวนเท่าไหร่กันแน่ เอกสารทางราชการก็ระบุไว้ชัดเจนว่าการหาวัคซีนให้คนไทยล่าช้าไป 1 เดือน ความเสียหายทางเศรษฐกิจเป็นแสนล้านบาท อย่าลืมว่าเมื่อไม่นานมานี้เองรัฐบาลยังยืนยันว่าจะฉีดวัคซีน 50% ให้กับคนไทยภายใน 3 ปี แต่เพิ่งมาเปลี่ยนเมื่อไม่นานมานี้เอง เมื่อมีการตั้งคำถามจากประชาชนที่ต้องการเห็นการจัดหาวัคซีนให้กับคนไทยได้อย่างเร็วที่สุด

ดังนั้นการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลเรื่องกลยุทธ์การจัดซื้อหาวัคซีนและการฉีดวัคซีนให้กับคนไทยเป็นสิ่งที่พึงกระทำและตนอยากจะเห็นรัฐบาลให้คำสัญญาที่ชัดเจนว่าตกลงจะฉีดวัคซีนให้กับคนไทยได้จำนวนมากเท่าไหร่ในเวลาเท่าไหร่ ตนคิดว่าเรื่องนี้เป็นความเป็นความตายของพี่น้องประชาชน คนที่หาเช้ากินค่ำ คนที่เป็นแรงงานนอกระบบไม่มีประกันสังคม ไม่มีความมั่นคงในชีวิตรอนานเป็นปีไม่ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลายประเทศเริ่มฉีดวัคซีนกันแล้วอย่างอิสระเอลตั้งเป้าว่าจะฉีด วัคซีนให้ครบ 100% ให้ครบจำนวนประชากรในไตรมาสที่ 1 และวันนี้อังกฤษฉีดไปแล้ว 10 % อเมริกา 6-7 % ประเทศอินโดนีเซียก็เริ่มฉีดแล้ว ตนจึงเป็นกังวลเรื่องนี้ การมีวัคซีนเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ แต่ตราบใดที่เราฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมจำนวนประชากร เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันในสังคมไม่ได้ เราก็ยังอยู่ในอุโมงค์ที่มืดมิด

ด้านนายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความ ระบุว่า วันนี้เตรียมพยานหลักฐานมาพอสมควร แต่ต้องรอดูพยานหลักฐานฝั่งผู้กล่าวหาก่อนว่าเป็นอย่างไรบ้าง แต่มองว่าเรื่องนี้ ศาลไม่จำเป็นต้องไต่สวนก็ได้ เพราะเจตนาของนายธนาธรคือต้องการจะปกป้องประชาชนจากนโยบายที่อาจจะผิดพลาดของรัฐบาล

"ผมไม่รู้ว่าจะใช้เวลาไต่สวนนานเท่าไหร่ แต่ขอยืนยันในความบริสุทธิ์ใจ สิ่งที่พูดไปเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนเพื่อปกป้องภาษีของประชาชน การสั่งซื้อวัคซีนจากแอสทราเซเนก้า เป็นเงินที่มาจากประชาชน ใช้ภาษีของประชาชน ดังนั้นการตรวจสอบการใช้เงินย่อมเป็นเรื่องที่พลเมืองพึงที่จะกระทำได้" นายธนาธร กล่าวทิ้งท้าย

รายงานจาก TechCrunch ได้มีการเปิดเผยว่า Instagram กำลังพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ ที่เลียนแบบการจัดวางฟังก์ชันการใช้งาน Story ให้เป็นฟีดแนวตั้ง (Vertical) เหมือนกันแอปพลิเคชัน TikTok จากจีน หลังจากก่อนหน้านี้ หากผู้ใช้งานต้องการดู Story ถัดไป

แนวคิดในการการปรับฟังก์ชันใน Story ครั้งนี้ของ Instagram มาจากผลงานวิจัยต่างๆ ที่ทางทีม Instagram ค้นหามา โดยพวกเขาพบว่า เหล่าผู้ใช้งานส่วนใหญ่ จะมีความรู้สึกที่ดีกับการปัด ‘ขึ้น และ ลง’ มากกว่า เพราะรู้สึกถึงความสะดวกและง่าย ซึ่งนั่นก็ไปตรงกับลักษณะการทำงานของแอป ‘TikTok’

ล่าสุด หนึ่งในผู้พัฒนา Instagram อย่าง Alessandro Paluzzi ได้ออกมาเปิดเผยว่า ตอนนี้เขาได้เขียนโค้ดรองรับการเปลี่ยนแปลงสำหรับฟีเจอร์ใหม่นี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว และได้ทดลองใช้งานมันจริงๆ และตัวเขาก็รู้สึกว่า “น่าใช้งานมากกว่า”

ขณะที่หัวเรือใหญ่ของ Instagram อย่าง Adam Mosseri ก็ได้เผยว่า การพัฒนาในครั้งนี้ก็ไม่ต่างจากการพัฒนาฟีเจอร์ที่ออกมาในช่วงปลายปีที่ผ่านมา อย่าง Reels หรือฟีเจอร์อัดคลิปวิดีโอสั้นความยาว 15 วินาที แต่ถึงกระนั้นหากสิ่งไหนที่ทำให้ผู้ใช้งานชื่นชอบ และ ง่ายต่อการใช้งาน ก็พร้อมที่จะนำมาประยุกต์ใช้กับ Instagram

ทั้งนี้ Adam Mosseri ยังบอกอีกว่า สิ่งต่อไปที่เขากำลังจะพัฒนาคือ การแบ่งความแตกต่าง ให้ชัดเจนระหว่าง IGTV และ การโพสต์วิดีโอทั่วไป ผ่านแอป Instagram


ที่มา:

https://www.facebook.com/1387231808035873/posts/3635479016544463/

https://techcrunch.com/2021/02/03/instagram-confirms-its-working-on-a-vertical-stories-feed/?fbclid=IwAR1qGr9-NpJZse2MidEgDNRP2_L_dCblJz_ATfdjDy3uwJBakkmFL5hl0K0

https://www.theverge.com/2021/2/3/22264891/instagram-stories-vertical-feed-tiktok-style?fbclid=IwAR35w-5op71Yaog34nobQBNNjg_p7NrNYWouc1BOFXBHlXb2SB5WbuJlJkg

จังหวัดฉะเชิงเทรา ผุดโครงการ ‘ไม่เผา เราทำได้’ ดันราชสาส์นโมเดล เป็นต้นแบบ รณรงค์ลดการเผาในพื้นที่การเกษตร เพื่อลดปัญหาการเผาตอซังฟางข้าวของเกษตรกร ต้นตอปัญหาฝุ่น PM 2.5

นายเกรียงไกร ปัญญาพงศธร นายอำเภอราชสาส์น เป็นประธานเปิดกิจกรรม รณรงค์ลดการเผาในพื้นที่เกษตรอำเภอราชสาส์น พ.ศ.2564 “ไม่เผา เราทำได้” จัดขึ้นที่หอประชุมอำเภอราชสาส์น จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งพร้อมด้วย สำนักงานเกษตรจังหวัดฉะเชิงเทรา สถานีพัฒนาที่ดินฉะเชิงเทรา กรมควบคุมมลพิษ

และสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดฉะเชิงเทรา ศูนย์พัฒนาการสื่อสารด้านภัยพิบัติไทยพีบีเอส สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. สำนักงานเกษตรอำเภอราชสาส์น สถานีตำรวจภูธรราชสาส์น ส่วนราชการ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตอำเภอราชสาส์น บริษัท ยันมา เอส พี จำกัด บริษัท ป.ต.ท. จำกัด (มหาชน) เกษตรกร และนักเรียนนักศึกษาเข้าร่วมพิธีเปิดอย่างพร้อมเพรียง

โดยสาเหตุหลักที่เกษตรกรมีการเผาในพื้นที่เกษตร เนื่องจากเกษตรกรมีต้นทุนน้อย การเผาเป็นวิธีที่สะดวก รวดเร็ว ต้นทุนต่ำ และเกษตรยังไม่มี วัสดุ อุปกรณ์ เครื่องจักรกลการเกษตร ที่จะนำมาอัดฟาง เป็นต้น

ขณะเดียวกัน การซื้อ - ขายฟาง มีข้อจำกัด ได้แก่ การซื้อไม่ทันเนื่องจากผู้ค้าน้อยราย การเข้าไม่ถึงแปลงที่ที่ต้องการซื้อ และที่สำคัญการประสานบูรณาการระหว่างหน่วยงาน และการบังคับใช้กฎหมายยังขาดประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ "ราชสาส์นโมเดล" จึงเป็นแนวทางลดการเผาในพื้นที่การเกษตร ซึ่งมีการประชุมผู้เกี่ยวข้อง ทบทวนปัญหาที่ผ่านมา กำหนดแนวทาง การบูรณาการทุกภาคส่วนเพื่อขับเคลื่อนงาน

ภายใต้โครงการรณรงค์ลดการเผาในพื้นที่การเกษตร อำเภอราชสาส์น มีการประชาสัมพันธ์เชิงรุกลดการเผาเสริมความรู้เทคนิควิธีทำนาโดยไม่ต้องเผา เช่น ไถกลบ การหมักตอซัง ขอความร่วมมือ สร้างแรงจูใจ เกษตรกรให้เข้าร่วมโครงการฯ และทำข้อตกลง(MOU)หยุดเผา ซึ่งมีเกษตรกรที่ร่วมประกาศเจตนารมณ์ไม่เผา เราทำได้ รวม 604 ราย ทั้งนี้ ยังได้มีแปลงสาธิต เพื่อสาธิตการไถกลบตอซัง และการปรับปรุงบำรุงดิน และได้มีการขอรับการสนับสนุนวัสดุ อุปกรณ์

ทั้งจากภาครัฐ และภาคเอกชน ตามมาตรการ ดึงฟางออกจากไฟ เป้าหมายคือ การนำฟางออกจากพื้นที่ให้ได้มากที่สุด โดยหาผู้รับซื้อฟางให้เพียงพอต่อปริมาณฟาง และ ภาครัฐช่วยอำนวยความสะดวกผู้ประกอบการทั้งการซื้อ และการขนส่งฟาง โดยมีการจัดกิจกรรม Kick Off โครงการรณรงค์หยุดเผาในพื้นที่การเกษตร อำเภอราชสาส์น

พร้อมทั้งกำหนดมาตรการรับมือ ด้วยการจัดชุดเฝ้าระวัง และชุดระงับเหตุ และบังคับใช้กฎหมาย ติดตามประเมินผล เพื่อเป็นข้อมูลขับคลื่อนในปีต่อไป เช่น ผลผลิต รายได้เกษตรกรหลังเข้าร่วมโครงการ

อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันพบว่าในประเทศไทยมีการเผาในพื้นที่เกษตรกรรมเป็นปัญหาสำคัญ เพราะนอกจากจะก่อให้เกิดมลภาวะส่งผลต่อสุขภาพของประขาชนในพื้นที่แล้ว ยังส่งผลโดยตรงต่อการประกอบอาชีพทางการเกษตร ในส่วนของอำเภอราชสาส์นเอง มีพื้นที่ทำนาถึง 31,000 ไร่ หลังการเก็บเกี่ยว

โดยเฉพาะเดือนมกราคม - มีนาคม ของทุกปี มักพบการเผาตอชังฟางข้าว ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างมาก ด้วยเหตุนี้ อำเภอราชสาส์นจึงได้จัดทำโครงการ รณรงค์ลดการเผาในพื้นที่การเกษตร เพื่อลดสาเหตุของการเกิดมลภาวะโดยเฉพาะฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM2.5) และเพิ่มทางเลือกเพื่อทดแทนการเผา เพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดิน ส่งผลต่อผลผลิต รายได้และความยั่งยืนของเกษตรกรต่อไป


ศักรินทร์ กิยาหัต รายงาน

วัคซีนโควิด-19 ที่พัฒนาโดยมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ด และแอสตราเซเนกา ไม่ใช่แค่ป้องกันผู้คนจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่แบบไม่แสดงอาการ แต่ดูเหมือนว่ามันจะช่วยชะลอการแพร่กระจายเชื้อได้อีกด้วย จากผลวิจัยหนึ่งซึ่งเผยแพร่เมื่อวันอังคาร (2 ก.พ.)

ผลการค้นพบดังกล่าว ซึ่งเผยแพร่ในเอกสารก่อนตีพิมพ์ฉบับหนึ่งและยังไม่ได้ผ่านการทบทวนโดยเหล่าผู้ทรงคุณวุติ คือหลักฐานชิ้นแรกที่บ่งชี้ว่ามีวัคซีนโควิด-19 ตัวหนึ่ง ที่สามารถลดการแพร่กระจายเชื้อของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ และตอกย้ำให้เห็นว่าการฉีดวัคซีนหมู่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ในหนทางหลุดพ้นจากโรคระบาดใหญ่

คณะผู้วิจัยจากมหาวิทยาลัยอ็อกซ์ฟอร์ดวัดการแพร่กระจายเชื้อ ผ่านการเก็บตัวอย่างส่งตรวจ (Swab) อาสาสมัครบางส่วนในทุกๆ สัปดาห์ เพื่อตรวจหาสัญญาณต่างๆ ของไวรัส และพบว่าอัตราอาสาสมัครที่มีผลตรวจแบบ PCR เป็นบวกนั้น มีจำนวนลดลงราวๆ ครึ่งหนึ่งหลังจากได้รับวัคซีน 2 โดส ซึ่งในกรณีนี้ผู้เขียนชี้ว่าหากวัคซีนแค่ทำให้ผู้ติดเชื้อมีอาการเบาลง ผลตรวจ PCR ก็จะยังคงเป็นบวกไม่เปลี่ยนแปลง

ผลการศึกษายังพบด้วยว่าวัคซีน 1 โดสของแอสตราเซเนกา สามารถมอบประสิทธิภาพการคุ้มกันการติดเชื้อโควิด-19 แบบไม่แสดงอาการ ราว 76% หากชะลอการฉีดโดสที่ 2 ออกไปนานสูงสุด 3 เดือน ซึ่งเป็นข้อมูลที่ช่วยสนับสนุนแผนการฉีดวัคซีนของสหราชอาณาจักรและประเทศอื่นๆ เกี่ยวกับช่วงเวลาของการฉีดวัคซีนโดสแรกและโดสที่สอง

ทั้งนี้หากมีการฉีดวัคซีนครบ 2 โดส วัคซีนของแอสตราเวเนกาจะมีประสิทธิภาพในการป้องกันโควิด-19 เพิ่มขึ้นเป็น 82.4%

พวกนักวิจัยบอกว่าการเว้นระยะห่างระหว่างโดสนาน 3 เดือน เป็น "ยุทธศาสตร์ที่มีประสิทธิภาพในการลดการติดเชื้อ และบางทีอาจเป็นวัคซีนโรคระบาดใหญ่ที่เหมาะสมสำหรับการแจกจ่ายอย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่อุปทานมีอย่างจำกัดในระยะสั้น"

ข้อมูลดังกล่าวถือเป็นข่าวดีอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในสหราชอาณาจักร ซึ่งกำลังเร่งฉีดวัคซีนให้ประชาชนมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ท่ามกลางการแพร่ระบาดของตัวกลายพันธุ์ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ซึ่งแพร่เชื้อได้ง่ายกว่าเดิมหลายเท่า

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่สหราชอาณาจักรแสดงความกังวลว่าตัวกลายพันธุ์ที่พบครั้งแรกในประเทศของพวกเขา รวมถึงตัวกลายพันธุ์จากแอฟริกาใต้และบราซิล อาจทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง


ที่มา: CNN

https://mgronline.com/around/detail/9640000011100

โควิด ระลอกใหม่ ที่เวียดนาม สายพันธุ์อังกฤษ มาเร็วและแรงกว่าเดิม .. ส่งผล ทำให้มีผู้ติดเชื้อแล้ว 301 คน และ แพร่กระจายลามไปยัง 10 จังหวัด

หวู ดึ๊ก ดาม รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะทำงานเฉพาะกิจด้านโควิด-19 กล่าวในที่ประชุมรัฐบาลว่า..

"สายพันธุ์ใหม่กำลังแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว และเราต้องเร็วกว่า"

"เราไม่ควรกังวลเรื่องตัวเลขผู้ป่วยติดเชื้อที่พุ่งสูง แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการติดตามผู้สัมผัส เราต้องเฝ้าระวัง แต่ไม่ต้องตื่นตระหนก"

ผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่ 12 ใน 276 คน เป็นเชื้อไวรัสโควิดสายพันธุ์อังกฤษ แต่อย่างไรก็ตามยังคงไม่ทราบแหล่งที่มาของการระบาดครั้งนี้

"ฮานอยต้องเพิ่มมาตรการสกัดกั้นเชื้อไวรัส กระทรวงสาธารณสุขจะสนับสนุนฮานอยในการยกระดับขีดความสามารถในการตรวจหาเชื้อเป็น 40,000 ครั้งต่อวัน"

เวียดนามอนุมัติรับรองวัคซีนจากบริษัทแอสตราเซเนกา เมื่อวันเสาร์ที่ 30 มกราคม ..

หลังนายกรัฐมนตรีเหวียน ซวน ฟุ้ก กล่าวว่า ประเทศต้องมีวัคซีนภายในไตรมาสแรก และก่อนหน้านี้ รัฐบาลได้กล่าวว่ากำลังการเจรจาจัดหาวัคซีนจำนวน 30 ล้านโดส โดย วัคซีนชุดแรกจำนวน 50,000 โดส จะมาถึงในเดือน มี.ค. และส่วนที่เหลือจะส่งมอบภายในเดือน มิ.ย.

ขณะที่ เด็กนักเรียนในกรุงฮานอย กว่า 2 ล้านคน ตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลไปจนถึงมัธยมศึกษา ได้หยุดเทศกาลวันตรุษญวนเร็วขึ้น 1 สัปดาห์ ในมาตรการป้องกันโควิด-19 ท่ามกลางการระบาดครั้งใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. ไปจนถึงวันที่ 16 ก.พ. จากเดิมที่มีกำหนดเริ่มหยุดตั้งแต่วันที่ 8 ก.พ.


หนุ่มโคราช รายงาน

ก.แรงงาน ปล่อยมาตรการช่วยเหลือลูกจ้างนายจ้างเสริมสภาพคล่องด้านการเงินสู้วิกฤตโควิด-19 วงเงิน 50 ล้านบาท ดอกเบี้ยต่ำ ผ่านสหกรณ์ออมทรัพย์ในสถานประกอบกิจการและรัฐวิสาหกิจ วันนี้ถึง 31 ก.ค. 64

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปัจจุบัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อพี่น้องแรงงาน และสถานประกอบกิจการในทุกภาคส่วนของประเทศ

รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และกระทรวงแรงงาน ภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน หาแนวทางในการดำเนินการช่วยเหลือกลุ่มนายจ้างลูกจ้าง โดยมีคณะกรรมการบริหารกองทุนเพื่อผู้ใช้แรงงาน ได้ลงมติเห็นชอบโครงการเงินกู้เพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เปิดโอกาสให้ผู้ใช้แรงงานที่เป็นสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ในสถานประกอบกิจการหรือรัฐวิสาหกิจสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุกดอกเบี้ยต่ำเพื่อนำไปเสริมสภาพคล่องสำหรับการใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ตลอดจนสามารถนำไปพัฒนารายได้ของตนเองและครอบครัวได้

นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวเพิ่มเติมว่า กองทุน เพื่อผู้ใช้แรงงาน ได้จัดทำโครงการเงินกู้เพื่อบรรเทาผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยมีวงเงินงบประมาณ 50 ล้านบาท เพื่อให้สหกรณ์ออมทรัพย์ในสถานประกอบกิจการหรือรัฐวิสาหกิจสหกรณ์ออมทรัพย์ในรัฐวิสาหกิจสามารถยื่นคำขอกู้เงินเพื่อนำไปให้บริการเงินกู้แก่ผู้ใช้แรงงานที่เป็นสมาชิกสหกรณ์ออมทรัพย์ได้ไม่เกินแห่งละ 10 ล้านบาท ในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1.00 ต่อปี ระยะเวลาการส่งชำระคืนสูงสุดไม่เกิน 1 ปี 6 เดือน และผ่อนส่งเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยเงินกู้เป็นงวดรายเดือน โดยมีเงื่อนไขว่าสหกรณ์ออมทรัพย์ที่เข้าร่วมโครงการจะต้องคิดดอกเบี้ยเงินกู้จากสมาชิกต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยปกติประเภทสามัญ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 1.75 ต่อปี ทั้งนี้ สหกรณ์ออมทรัพย์ที่สนใจสามารถยื่นคำขอกู้ได้ตั้งแต่วันนี้ จนถึง 31 กรกฎาคม 2564

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ กองสวัสดิการแรงงาน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน โทรศัพท์ 02-246-0383 หรือ 02-248-6684

อพท. ผลักดันพื้นที่พิเศษสู่เมืองในเครือข่าย ‘เมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก’ หวังดันเมืองพัทยาสู่เมืองสร้างสรรค์ด้านภาพยนตร์ หลังปั้นภูเก็ต เชียงใหม่ กรุงเทพมหานครฯ และสุโขทัยสำเร็จไปแล้วก่อนหน้า

นายบรรลือ กุลละวณิชย์ รองนายกเมืองพัทยา กล่าวเปิดประชุมเชิงปฏิบัติการจัดทำแผนขับเคลื่อนเมืองพัทยาสู่เมืองสร้างสรรค์ด้านภาพยนตร์ ที่ดำเนินการโดยองค์การบริหารพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท.

โดยมี เรือตรี ปราโมทย์ ทับทิม ปลัดเมืองพัทยา นายรัตนชัย สุทธิเดชานัย ที่ปรึกษานายกเมืองพัทยาด้านภาคท่องเที่ยว รวมทั้งผู้เข้าร่วมประชุมเป็นตัวแทนหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในพื้นที่เขตเมืองพัทยา เข้าร่วมที่ห้องประชุมโรงแรมดุสิตธานี พัทยา จ.ชลบุรี

นายสุธารักษ์ สุนทรวิภาต ผู้จัดการสำนักงานพื้นที่พิเศษ 3 อพท. เปิดเผยว่า อพท. ได้มีแนวทางการผลักดันพื้นที่พิเศษให้เป็นเมืองในเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโก ตามหลักเกณฑ์พิจารณาสู่ความเป็นเมืองสร้างสรรค์เพื่อการท่องเที่ยว 7 ด้าน คือ 1.) เมืองแห่งวรรณคดี 2.) เมืองแห่งการออกแบบ 3.) เมืองแห่งภาพยนตร์ 4.) เมืองแห่งดนตรี 5.) เมืองแห่งหัตถกรรมพื้นบ้าน 6.) เมืองแห่งศิลปกรรมร่วมสมัย และ 7.) เมืองแห่งอาหาร

ที่ผ่านมา อพท.ได้ผลักดันพื้นที่พิเศษเข้าเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโกของไทยไปแล้ว ประกอบด้วย 1.) ภูเก็ต เมืองแห่งอาหาร 2.) เชียงใหม่ เมืองแห่งหัตถกรรมพื้นบ้าน 3.) กรุงเทพมหานครฯ เมืองแห่งการออกแบบ 4.) สุโขทัย เมืองแห่งหัตถกรรมพื้นบ้าน และกำลังผลักดันสุพรรณบุรี ให้เป็นเมืองสร้างสรรค์ด้านดนตรี และเมืองพัทยา เป็นเมืองสร้างสรรค์ด้านภาพยนตร์ ซึ่งทางยูเนสโกมีหลักเกณฑ์พิจารณาชัดเจนว่า เมืองที่จะได้รับการรับรองต้องมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลในด้านนั้นๆ อย่างชัดเจน

ทั้งนี้ ทาง อพท.3 ได้มีการเสนอแผนปฏิบัติการภายใต้แผนแม่บทการบริหารพัฒนาพื้นที่พิเศษเมืองพัทยาและพื้นที่เชื่อมโยงฉบับ พ.ศ.2564 - 2570 ให้กับเมืองพัทยา ซึ่งสอดคล้องกับแผนแม่บทพัฒนาเมืองพัทยาสู่เมืองภาพยนตร์ในระยะ 5 ปี (2565 - 2570) และแนวทางของรัฐบาลในเรื่องการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ด้านภาพยนตร์ (City of Film) โดยบูรณาการความร่วมมือทุกหน่วยงานเพื่อขับเคลื่อนเมืองพัทยาสู่การเป็นเมืองสร้างสรรค์ด้านภาพยนตร์

องค์การบริหารพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) สำนักงานพื้นที่พิเศษ 3 สาขาพัทยา จึงได้จัดกิจกรรมในครั้งนี้ขึ้น เพื่อให้ความรู้ในหัวข้อ แนวทางการขับเคลื่อนเมืองสู่เมืองสร้างสรรค์ตามแนวทางขององค์กรยูเนสโก จากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ จากนั้นเป็นการจัดประชุมเชิงปฏิบัติการขับเคลื่อนเมืองพัทยาสู่เมืองสร้างสรรค์ด้านภาพยนตร์ โดยผู้เข้าร่วมประชุมได้มีการแบ่งกลุ่มจัดทำแผนงานโครงการฯ ก่อนสรุปเป็นข้อมูลให้กับทาง อพท.สำนักงานใหญ่ดำเนินการผลักดันให้เมืองพัทยาได้เข้าร่วมเป็นเครือข่ายเมืองสร้างสรรค์ของยูเนสโกตามลำดับต่อไป


ที่มา: ภาพ/ข่าว อนันต์ สุขวัฒนะ เอกชัย สุขวัฒนะ ผู้สื่อข่าวภูมิภาค พัทยา จ.ชลบุรี

‘รมว.แรงงาน’ วอน เข้าใจ ‘บิ๊กป้อม’ กรณีส่งผู้สมัครเลือกตั้งซ่อมนครศรีธรรมราช ชี้เป็นการเลือกตั้งซ่อมที่เกิดจากเหตุโมฆะ ไม่ใช่โดนใบเหลือง - ใบแดง ไม่เหมาะยกเรื่องมารยาทมาอ้าง

นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ให้สัมภาษณ์ถึงความขัดแย้งของพรรคร่วมรัฐบาลระหว่างพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)และพรรคประชาธิปัตย์เกี่ยวกับการส่งผู้สมัครลงรับเลือกตั้งซ่อมส.ส.เขต 3 จ.นครศรีธรรมราช แทนนายเทพไท เสนพงศ์ ว่าในวันที่4 ก.พ.จะมีการหารือกันในที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค ส่วนที่พรรคประชาธิปัตย์ออกมาท้วงติงถึงเรื่องของมารยาทในการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลควรหลีกทางให้เจ้าของพื้นที่นั้น

นายสุชาติ กล่าวว่า "เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ ความจริงเรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องของใบเหลือง ใบแดง แต่เป็นเรื่องของโมฆะ ไม่น่าจะเกี่ยวกับเรื่องมารยาท ถ้าเป็นกรณีของใบเหลือง ใบแดง ที่เลือกตั้งซ่อมใหม่ ก็ยังถือเป็นเรื่องของมารยาทได้ แต่นี่เป็นกรณีของการเลือกตั้งที่โมฆะ เหมือนกับการเลือกตั้งใหม่

ซึ่งคนละเรื่องกัน โดยพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคก็ต้องฟังเสียงของกรรมการบริหารพรรคกว่า 30 คน เมื่อกรรมการบริหารพรรค เห็นชอบให้ส่งก็ต้องดำเนินตามนั้น เพราะทีมภาคใต้เขาก็มั่นใจของเขา เราต้องให้ความเป็นธรรมให้หัวหน้าพรรคด้วย"

ส่วนความกังวลต่อปัญหาที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้หรือไม่ โดยเฉพาะการลงมติการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลที่พรรคประชาธิปัตย์อาจไม่ลงมติไปในแนวทางเดียวกับรัฐบาล นายสุชาติ กล่าวว่า "เข้าใจเรื่องนี้ดีว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน อะไรก็เกิดขึ้นได้ แต่คิดว่าผู้ใหญ่ในระดับหัวหน้าพรรคต่อหัวหน้าพรรคน่าจะคุยกันได้จนจบ"

เรียกคืนย้อนหลัง​ เบี้ยยังชีพคนชรา...งานนี้ใครผิด​ ใครถูก? | News​ มีนิสส​ More​ Minutes Contrast

เรียกคืนย้อนหลัง​ เบี้ยยังชีพคนชรา...งานนี้ใครผิด​ ใครถูก?

.

 

"ชินวรณ์" มั่นใจปชป.เสียงไม่แตกโหวตศึกซักฟอก หลังลูกพรรคออกมาขู่พปชร.ส่งผู้สมัคร ส.ส.นครศรีฯแข่ง เชื่อแยกเรื่องออก เมินฝ่ายค้านขอเพิ่มวัน เชื่อเสียเวลาเปล่า ไม่เป็นผลดี ชี้ "เพื่อไทย - ก้าวไกล"

นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรองประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ให้สัมภาษณ์ว่า วันนี้ (3 ก.พ.) จะมีการประชุมคณะกรรมการประสานงานร่วมสภาผู้แทนราษฎรที่มีนายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาฯคนที่ 1 เป็นประธานในเวลา 15.00 น.

เพื่อประชุมเรื่องกรอบเวลาหลักที่กำหนดไว้จำนวน 4 วัน คือวันที่ 16 - 19 ก.พ. และลงมติในวันที่ 20 ก.พ. โดยประเด็นหลักจะดูเนื้อหาสาระ และผู้เสนอญัตติที่จะอภิปราย ทั้งนี้ ที่ผ่านมาทางวิปรัฐบาลได้เสนอความเห็นนี้ไปยังคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้วโดยครม.มีมติให้ความเห็นชอบว่าช่วงเวลาดังกล่าวเป็นเวลาที่เหมาะสม และพรรคร่วมรัฐบาลยังยึดในหลักการเดิม

เมื่อถามถึงกรณีที่ฝ่ายค้านจะขอเวลาอภิปรายไม่ไว้วางใจเพิ่มอีก 1 วัน นายชินวรณ์ กล่าวว่า ได้พูดคุยกับฝ่ายค้านไปแล้วว่าพรรคเพื่อไทยและพรรคก้าวไกลต้องไปบริหารจัดการเวลา ไม่ควรให้เกิดกรณีเหมือนครั้งที่ผ่านมา เพราะจะทำให้มีข้อถกเถียงกันเอง อีกทั้งตนได้เสนอว่าหากมีการขอเพิ่มเวลาจริงอีก 1 วัน แต่ก็ยังไปถกเถียงกันเรื่องเวลาจะทำให้เสียเวลาเปล่า

และที่สำคัญฝ่ายค้านจะเสียประโยชน์ แทนที่ผู้สรุปจะได้สรุปญัตติให้เกิดความชัดเจน และสื่อมวลชนจะได้สนใจเรื่องดังกล่าวพร้อมทั้งนำไปขยายผลต่อไป หากไปจบเรื่องการถกเถียงเวลาก็ไม่มีประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ตนพูดด้วยความปรารถนาดี

เพราะอยากให้รัฐสภาเป็นที่หวังของประชาชนว่าอย่างน้อยท้ายที่สุดถึงไม่มีหลักฐานอะไรที่เป็นใบเสร็จ แต่รัฐสภาสามารถตรวจสอบเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจตามกลไกการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่ทุกฝ่ายต้องยอมรับ ดังนั้นเราให้เกียรติฝ่ายค้านเต็มที่ แต่ฝ่ายค้านก็ต้องบริหารจัดการเวลาที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด

เมื่อถามว่า การลงมติให้กับรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายฯ ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์จะคุมเสียงอย่างไร เพราะมีปัจจัยการแข่งขันการเลือกตั้งซ่อมส.ส.เขต 3 จ.นครศรีธรรมราชด้วย นายชินวรณ์ กล่าวว่า "การอภิปรายไม่ไว้วางใจกับการเลือกตั้งซ่อมเป็นคนละมิติกัน

ซึ่งการเลือกตั้งซ่อมเป็นเรื่องของคณะกรรมการบริหารที่จะต้องพูดคุยกัน ในส่วนของบทบาทในสภาฯ โดยเฉพาะการอภิปรายไม่ไว้วางใจถือเป็นเรื่องสำคัญที่บัญญัติไว้ในกฎหมายรัฐธรรมนูญและข้อบังคับโดยให้สิทธิ์ทั้งสองฝ่ายอภิปรายอย่างเท่าเทียมกัน"

โดยหลักทั่วไปฝ่ายรัฐบาลมีเสียงข้างมากทุกครั้งก็จะชนะ เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าผู้อภิปรายไม่ไว้วางใจต้องมีเสียงเกินกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกสภาที่มีอยู่ ซึ่งขณะนี้คือต้องเกิน 244 เสียง แต่ของฝ่ายค้านไม่ถึง ดังนั้นประเด็นไม่ได้อยู่ตรงนี้

แต่อยู่ที่เนื้อหาสาระของฝ่ายค้านว่ามากพอหรือไม่ และทำให้ประชาชนเชื่อถือหรือไม่ ส่วนประเด็นมติที่จะออกมานั้นเป็นไปตามหลักการทุกครั้งที่มีการอภิปรายฯ ที่พรรคร่วมรัฐบาลจะตั้งคณะทำงานติดตามข้อมูลอยู่แล้ว และหลังจากอภิปรายฯเสร็จตามเจตนารมณ์ของข้อบังคับและรัฐธรรมนูญต้องทิ้งไว้ 1 วันสำหรับลงมติฯ เพื่อให้ไตร่ตรองกันให้ดีก่อน เราก็ต้องฟังการอภิปรายฯก่อนจึงจะมาพูดเรื่องการลงมติ แต่ตนมั่นใจว่าพรรคร่วมรัฐบาลจะไปในแนวทางเดียวกัน

เมื่อถามว่า แต่ก็เริ่มมีส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ออกมาขู่ว่าจะโหวตไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ เพื่อแก้เกมกรณีส่งผู้สมัครส.ส.แข่งที่จ.นครศรีธรรมราช นายชินวรณ์ กล่าวว่า คงจะใช้เงื่อนไขอื่นมาเป็นเงื่อนไขที่จะรับผิดชอบต่อประเทศชาติบ้านเมืองไม่ได้ เพราะการอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่ใช่เรื่องส่วนตัว

แต่เป็นเรื่องรัฐบาลร่วมกัน อยู่ที่วิรัฐบาลต้องติดตามและมีมติที่ชัดเจน รวมถึงต้องเปิดโอกาสให้เพื่อนสมาชิกได้รับฟังความคิดเห็นก่อน ส่วนจะอ้างเหตุผลเรื่องอื่นหรือเรื่องส่วนตัวก็เป็นเรื่องที่เป็นความคิดเห็นของแต่ละคน

เมื่อถามว่า พรรคประชาธิปัตย์จะคุมเสียงพรรคอย่างไร นายชินวรณ์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยมีปัญหา เพราะเป็นเรื่องที่เราต้องทำความเข้าใจร่วมกันอยู่แล้ว ตนเข้าใจว่าเมื่อวิปแต่ละฝ่ายได้อธิปบายเหตุผลแล้ว ทุกคนต้องยอมรับมติวิปแต่หากใครไม่ยอมรับก็เป็นเรื่องของกรรมการบริหารพรรคแต่ละพรรคต้องดำเนินการต่อไป

เมื่อถามย้ำว่า จะมีการปล่อยฟรีโหวตหรือไม่ นายชินวรณ์ กล่าวว่า ไม่เคยมี เพราะการอภิปรายไม่ไว้วางใจต้องมีการทำงานร่วมกันของระบบรัฐสภา ไม่เช่นนั้นระบบรัฐสภาจะอยู่ไม่ได้ เพราะต้องเดินด้วยเสียงข้างมาก ส่วนผู้ชี้แจงจะชี้แจงเป็นที่พอใจหรือไม่ก็เป็นเรื่องที่ผู้ชี้แจงต้องรับผิดชอบเอง

เมื่อถามว่า มั่นใจพรรคประชาธิปัตย์จะคุมส.ส.ของพรรคได้หรือไม่ นายชินวรณ์ กล่าวว่า "คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าการแข่งขันในการเลือกตั้งนั้นเป็นอย่างไร และการทำงานร่วมกันในระบบรัฐสภาควรเป็นอย่างไร ก็คงไม่มีปัญหา ส่วนการคุมส.ส.ตอนนี้คุมง่ายขึ้นเพราะเหลือส.ส. 51 คน เมื่อถามว่ากรรมการบริหารพรรคมีการคาดโทษที่โหวตแหกมติพรรคหรือไม่ นายชินวรณ์ กล่าวว่า ยังไม่ถึงขั้นนั้น โดยเรายังไม่ได้คุยกัน ซึ่งมีเพียงคณะทำงานติดตามข้อมูล"

Jeff Bezos มหาเศรษฐีระดับท็อปของโลก ประกาศลาออกจากซีอีโอ Amazon หลังจากบริหารงาน Amazon จากเว็บไซต์ขายหนังสือในปี 1995 จนกลายมาเป็นธุรกิจอีคอมเมิร์ซใหญ่ที่สุดของโลกในปัจจุบัน

ล่าสุดทาง Jeff Bezos ซึ่งเป็นทั้งผู้ก่อตั้งและซีอีโอในปัจจุบัน ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่งแล้ว เขาจะยังคงบริหารงานต่อไป เพื่อเตรียมการเปลี่ยนผ่านสู่ซีอีโอคนใหม่ในช่วงกลางถึงปลายปี 2021 นี้

หลังจากลาออก ถึงแม้จะยังคงตำแหน่งประธานบริษัทอยู่ แต่งานบริหารทั้งหมดนั้นจะถูกส่งต่อไปยัง Andy Jassy ผู้บริหารซึ่งเข้าไว้ใจที่สุดให้มารับช่วงต่อ

Andy Jassy ปัจจุบันเป็นผู้บริหารของ Amazon Web Services ซึ่งถือเป็นธุรกิจคลาวด์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกเช่นกัน และเป็นธุรกิจของ Amazon ที่เติบโตเร็วมาก ๆ ในช่วงหลัง

ซึ่งการบริหารงานที่ดีในธุรกิจคลาวด์ น่าจะเป็นเหตุผลหลักที่ Jeff เลือกเขามารับตำแหน่งแทน

หลังจากลาออกจากซีอีโอแล้ว Jeff ระบุว่าตัวเขาจะได้เอาเวลาและพลังงานของตัวเอง ไปโฟกัสไปที่อีก 4 งาน นั่นก็คือ

- ธุรกิจสื่อ The Washington Post

- ธุรกิจด้านอวกาศ Blue Origin

- กองทุนช่วยเหลือคนไร้บ้านและการศึกษา Day 1 Fund

- กองทุนอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม Bezos Earth Fund

ภายใต้การบริหารงานของ Jeff ตลอด 25 ปีที่ผ่านมานั้น ทำให้ Amazon พัฒนาจากเว็บไซต์เล็กๆ กลายมาเป็นบริษัทที่มีมูลค่ากว่า 50 ล้านล้านบาท

และส่งผลให้ผู้ก่อตั้งอย่าง Jeff เป็นมหาเศรษฐีด้วยทรัพย์สิน 5.8 ล้านล้านบาทอีกด้วย


ที่มา: Billion Mindset

https://www.facebook.com/331394447302302/posts/1148298742278531/

แจ็ค หม่า ผู้ก่อตั้งธุรกิจ อี-คอมเมิร์ชยักษ์ใหญ่ อาลีบาบา และเคยได้ชื่อว่าเป็นอภิมหาเศรษฐีอันดับ 1 ของจีน ถูกถอดชื่ออกจากทำเนียบรายชื่อผู้ประกอบการชั้นนำของจีน ที่ตีพิมพ์ใน Shanghai Securities News ซึ่งเป็นสื่อของรัฐบาลที่ทรงอิทธิพลอย่างมากในแวดวงนักธุรกิ

นอกจากจะไม่ปรากฏชื่อของ หม่า หยุน หรือ แจ็ค หม่า แล้ว ยังไม่ลงตัวเลขรายได้ของเครือบริษัทอาลีบาบา อีกด้วย ทั้งๆที่ยังปรากฏชื่อผู้ประกอบการรายใหญ่แถวหน้าของจีนยังอยู่ครบ ไม่ว่าจะเป็นโทนี่ หม่า ผู้ก่อตั้งบริษัท Tencent คู่แข่งของแจ็ค หม่า เหริน เจิ้งเฟย ผู้ก่อตั้ง Huawei หรือ เหลย จุน ผู้ก่อตั้ง Xiaomi

ทางสำนักข่าว Shanghai Securities News ลงความเห็นไว้ว่า ผู้ประกอบการบางคนที่เคยได้รับการยกย่องว่าเป็น ฮีโร่ ที่กล้าเดินออกจากกรอบระบบเศรษฐกิจเก่าๆ แต่วันนี้เขาก็ยังคงต้องเป็นผู้นำในองค์กร ที่ต้องปฏิบัติตามกฏหมายอย่างเคร่งครัด

ซึ่งก็อาจเป็นการส่งสัญญาณให้กับแจ็ค หม่า ที่ตอนนี้ไม่ใช่ลูกรักของรัฐบาลจีนอีกต่อไป และกับผู้ประกอบการบริษัทยักษ์ใหญ่เจ้าอื่นของจีน อย่าง Tencent หรือ Pinduoduo ที่กำลังจะดำเนินตามรอยแจ็ค หม่า ขึ้นท้าทายระบบเศรษฐกิจ และอุตสาหกรรมโลกการเงิน ที่รัฐบาลจีนยังถืออำนาจควบคุมอยู่

ทางฝ่าย อาลีบาบา ก็ไม่ได้ออกมาให้ความเห็นว่าทำไมถึงไม่มีข้อมูลบริษัท และชื่อของ แจ็ค หม่า ตีพิมพ์ในสื่อของรัฐบาลเหมือนอย่างเคย แม้ว่าจะได้ส่งรายงานตัวเลขรายได้ของบริษัทไปให้แล้วก็ตาม

และก็ยังคงไม่อาจคาดเดาได้ถึงอนาคตของแจ็ค หม่า ซึ่งยังคงเก็บตัวเงียบ และ อาลีบาบา ที่กำลังโดน รัฐบาลจีนสั่งตรวจสอบทั้งเครือว่าเข้าข่ายผิด กฏหมายต่อต้านการผูกขาดตลาดหรือไม่

แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายคาดการณ์ว่ารัฐบาลจีนมีแผนที่จะหั่นซอย อาลิบาบา ออกมาเป็นบริษัทเล็กๆ ที่จะมีอำนาจในการกำหนดทิศทางตลาดในจีนน้อยลง และก็อาจสร้างปรากฏการณ์ อาลีบาบา เอฟเฟค ที่กระทบไปยังอีกหลายเครือบริษัทยักษ์ใหญ่ในจีนได้ในอนาคตเช่นกัน


อ้างอิง

https://www.reuters.com/article/us-china-alibaba-jack-ma-idUSKBN2A20E1

https://www.bloomberg.com/news/articles/2021-02-02/china-state-media-celebrate-top-entrepreneurs-except-jack-ma

https://www.straitstimes.com/asia/east-asia/jack-ma-omitted-from-china-state-medias-top-entrepreneurs-list


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top