Friday, 9 May 2025
NEWS

'หมอวรงค์' เผยเอกสารสำคัญ​ 'กรณีไลฟ์วัคซีนของธนาธร' ถึงมือ 'กระทรวงดีอีเอส' แล้ว >> แอบงง!! เหตุที่ธนาธรทำไป​ เพราะอ้างปกป้องสถาบัน

นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม รักษาการหัวหน้าพรรคไทยภักดี โพสต์เฟซบุ๊ก โดยมีรายละเอียดดังนี้

#ธนาธรอ้างปกป้องสถาบัน

วันนี้ผมไปยื่นเอกสารสำคัญ ให้กระทรวงดีอีเอส กรณีนายธนาธร ไลฟ์เรื่องวัคซีน และกระทรวงขอให้ศาล มีคำสั่งลบคลิปนี้ เพราะมีข้อมูลบิดเบือน สร้างความเสื่อมเสียต่อสถาบัน

แต่นายธนาธรใช้สิทธิ์อุทธรณ์ต่อศาล ผมจึงนำเอกสารสำคัญไปมอบให้ เพื่อให้กระทรวงดีอีเอสมอบต่อศาล ไปยื่นคัดค้านคำขอนายธนาธร

ที่สำคัญ สัญญาการซื้อขายวัคซีนนั้น เป็นเรื่องของรัฐบาล กับทางแอสตรา เซนิก้า ประเทศอังกฤษ และแอสตรา เซนิก้า จ้าง Siam Bioscience ผลิต ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ควรจะเป็นเรื่องของแอสตรา เซนิก้า กับทางรัฐบาล

แต่นายธนาธรกลับโยงไปที่บริษัทผู้ผลิต ซึ่งควรจะเป็นเรื่องของแอสตรา เซนิก้า ซึ่งเป็นผู้ว่าจ้าง Siam Bioscience และในส่วนของSiam Bioscience ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ควรจะเป็นกรรมการบริษัท ที่รับผิดชอบ

แต่นายธนาธร กลับพุ่งเป้าไปที่ผู้ถือหุ้น ซึ่งโยงไปถึงในหลวง ทั้งๆที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไร แต่ทำให้ประชาชนเข้าใจผิด เขาโยงถึงในหลวงถึง 14 ครั้ง ทั้งๆที่ควรจะเป็นกรรมการบริษัท Siam Bioscience ที่ต้องรับผิดชอบ (ถ้ามีปัญหาใดๆ)

ทั้งนี้​ นพ.วรงค์​ ยังได้ทิ้งท้ายอีกว่า...

ข้อมูลแปลกๆ​ ที่ได้รับคือ การที่นายธนาธรทำแบบนี้ เพราะเขาคิดว่า เขาต้องการปกป้องสถาบัน...???


ที่มา: https://www.facebook.com/1635406246730420/posts/2841003249504041/

สลากกินแบ่งเตือน!! รับไปขายต่อออนไลน์​ ผิดระเบียบ​ โดนยึดสิทธิการจำหน่าย ย้ำ!! ต้องไปขายด้วยตัวเองเท่านั้น

พ.ต.อ.บุญส่ง จันทรีศรี ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล กล่าวว่า จากกรณีที่มีการโพสต์ขายสลากกินแบ่งรัฐบาลผ่านออนไลน์โซเชียลมีเดียนั้น ขอเตือนตัวแทนจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาล และผู้ซื้อจองล่วงหน้าการนำสลากไปขายต่อนั้น

เป็นการกระทำที่ผิดเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในสัญญา และหลักเกณฑ์ในการรับสลากไปจำหน่าย ตามที่กำหนดให้ตัวแทนจำหน่ายและผู้ซื้อจองล่วงหน้า มีหน้าที่ต้องไปขายด้วยตนเองทุกงวดตลอดอายุสัญญา และต้องขายในลักษณะขายปลีกให้แก่ผู้บริโภคโดยตรงเท่านั้น ห้ามนำไปขายส่ง หรือขายให้แก่ผู้ที่ซื้อสลากเพื่อนำไปขายต่อเป็นอันขาด รวมถึงห้ามขายเกินราคาที่กำหนดด้วย

หากตรวจพบว่าไม่ได้ขายด้วยตนเองจะถือว่าผิดสัญญา และสำนักงานสลากฯ จะบอกเลิกสัญญา รวมถึงยกเลิกสิทธิการลงทะเบียน กรณีเป็นผู้ซื้อจองล่วงหน้า และผู้ที่จำหน่ายสลากเกินราคา มีความผิดตามกฎหมายระวางโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท


ที่มา: https://www.thairath.co.th/news/business/2027145

วันนี้เป็นวันสำคัญ โดยเฉพาะในมุมเรื่องราววัฒนธรรมของชาติ เนื่องจากวันนี้ถูกยกกำหนดให้เป็น ‘วันมวยไทยแห่งชาติ’

โดยที่มาของวันนี้ สืบเนื่องจากกระทรวงวัฒนธรรม เล็งเห็นถึงคุณค่าของศิลปะการต่อสู้อันเก่าแก่ของชาติไทย ซึ่งปัจจุบันได้รับการความเผยแพร่ต่อในระดับนานาชาติ กลายเป็นศาสตร์การต่อสู้และป้องกันตัวที่ทั่วโลกให้การยอมรับ จึงได้มีการประกาศขึ้นทะเบียนมวยไทย เป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

นอกจากนี้ กระทรวงวัฒนธรรมยังได้ร่วมกับหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องอีกหลายฝ่าย ผลักดันให้มีการสถาปนา ‘วันมวยไทย’ โดยเลือกเอาวันขึ้นเสวยราชสมบัติของสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 (สมเด็จพระเจ้าเสือ) แห่งราชอาณาจักรอยุธยา คือวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2245 เป็นวันมวยไทย

เหตุที่เลือกเอาวันเสวยราชสมบัติของสมเด็จพระเจ้าเสือ เนื่องจากพระองค์ทรงมีพระปรีชาสามารถในศิลปะการต่อสู้ประเภทนี้ ครั้งหนึ่งขณะที่ยังดำรงตำแหน่งเป็นหลวงสรศักดิ์ ทรงเคยชกต่อยกับพระยาวิไชเยนทร์ (คอนสแตนติน ฟอลคอน) ขุนนางฝรั่งในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชมาแล้ว

สมเด็จพระเจ้าเสือยังทรงวางระบบการคัดเลือกชายฉกรรจ์มาฝึกมวยไทยในราชสำนัก โดยเป็นพระอาจารย์ด้วยพระองค์เอง และทรงคิดตำรับท่าแม่ไม้มวยไทยซึ่งเรียกว่ามวยไทยตำรับพระเจ้าเสือ ตำราแม่ไม้มวยไทยที่เก่าแก่ที่สุด ต่อมายังได้ถูกบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรในสมัยรัชกาลที่ 5 อีกด้วย

มวยไทยถือเป็นศิลปะการต่อสู้และศาสตร์การป้องกันตัวของชนชาติไทยที่เป็นเอกลักษณ์ ควรค่าแก่การอนุรักษ์และเผยแพร่แก่คนรุ่นหลังให้ได้สืบต่อและรักษาเอาไว้ตราบนานเท่านาน

“วิษณุ” ยัน คนแก่ไม่ติดคุก ปมรับเงินสองทาง เผยคัดกรองแล้วเจอมีปัญหาราว 6,000 คน ระบุต้องสอบทานรับสิทธิ์โดยสุจริตหรือไม่ ล่าสุดมีคนแก่ตกใจหาเงินมาคืนแล้วกว่า 130 ล้านบาท

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังหารือกับคณะกรรมการค่าเบี้ยยังชีพ ถึงปัญหาการจ่ายเบี้ยยังชีพคนชราซ้ำซ้อน ว่า ที่ประชุมไม่ได้มีมติเรื่องนี้ เพราะเป็นเพียงการรับฟังสรุปจากหน่วยงานต่างๆ เท่านั้นและต้องการรับฟังความก้าวหน้าของแต่ละหน่วยงาน ไม่ได้มีอำนาจสั่งการใด ๆ

โดยผู้มีอำนาจตัดสินใจสุดท้ายคือ คณะรัฐมนตรี (ครม.) เบื้องต้นสามารถตอบคำถามได้ 3 เรื่อง คือ 1.) จะไม่มีการดำเนินคดีอาญากับผู้สูงอายุที่ไม่คืนเบี้ยยังชีพคนชรา เรื่องนี้ไม่เคยดำเนินการในอดีตและจะไม่ดำเนินการในอนาคตด้วย เพราะการดำเนินคดีอาญาจะต้องตั้งข้อหาฉ้อโกง แต่คนเหล่านี้ไม่ได้มีพฤติกรรมฉ้อโกง จึงไม่มีผู้ใดที่จะติดคุก

นายวิษณุ กล่าวว่า 2.) การรับผิดทางแพ่ง หรือการคืนเงิน สรุปง่าย ๆ หากได้มาโดยสุจริตไม่ต้องคืน แต่ถ้าเงินยังเหลืออยู่จะต้องคืนหากไม่เหลือก็ไม่ต้องคืน กรณีถ้ามีเงินเหลือยู่ แต่ไม่ใช่เงินที่ได้รับจากเบี้ยยังชีพคนชราก็ไม่ต้องคืน โดยแต่ละรายจะรับสุจริตหรือไม่จะดูเป็นรายบุคคล และมีผู้อยู่ในข่ายที่จะต้องถูกไต่สวนทวนพยานว่าสุจริตหรือไม่ ประมาณ 6,000 คนทั่วประเทศ

"ถ้าปล่อยให้เป็นคดีอาญา 6,000 คดีทั่วประเทศ คดีจะรกศาล เป็นภาระอัยการในฐานะโจทก์ เป็นภาระของคุณตา คุณยาย ในฐานะจำเลย ที่จะต้องไปจ้างทนาย เขากินไม่ได้ นอนไม่หลับ เป็นทุกข์ จึงกำลังคิดว่าจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดคดีอาญา ดังนั้นอย่าไปคิดเลยว่าจะมีการฟ้อง" นายวิษณุ ระบุ

นายวิษณุ กล่าวว่า และ 3.) เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่เข้าไปเกี่ยวข้อง ที่รับผิดชอบจ่ายเงินดังกล่าว จะมีส่วนต้องรับผิดด้วยหรือไม่ เป็นเรื่องที่จะต้องดูอีกครั้ง สำหรับผู้สูงอายุบางส่วนที่รับเงินเบี้ยยังชีพคนชราและซ้ำซ้อนกับเงินสวัสดิการอื่น ก่อนหน้านี้มีทั้งหมด 15,300 คน เมื่อตรวจสอบรายละเอียดเหลือผู้สูงอายุที่รับเงินซ้ำซ้อนประมาณ 6,000 คน

ส่วนนี้จำเป็นที่ต้องหยุดจ่ายเงินเบี้ยยังชีพคนชราไว้ก่อน แต่ยืนยันว่าไม่นาน โดยปกติผู้สูงอายุจะได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐ 3 ส่วนคือ เบี้ยยังชีพคนชรา หากเจ็บป่วยจะได้รับเบี้ยผู้พิการ ถ้าฐานะยากจนจะได้บัตรคนจนด้วย ซึ่งระเบียบของเบี้ยคนพิการและบัตรคนจนไม่ได้ห้ามรับเงินบำนาญ จึงไม่มีปัญหา จึงเหลือแค่เบี้ยยังชีพคนชราอย่างเดียวที่ต้องไปแก้ไข และหยุดจ่ายส่วนนี้ไปก่อน

รองนายกฯ กล่าวว่า "วันนี้ขอให้ผู้สูงอายุสบายใจได้ว่าไม่ติดคุกแน่ นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลระบุว่ามีผู้สูงอายุที่รู้ข่าวแล้วตกใจจึงรีบเอาเงินมาคืน มียอดรวมทั้งหมด 130 ล้านบาท ส่วนจะต้องพิจารณาคืนเงินกลับไปให้ผู้สูงอายุที่คืนเงินมาแล้วหรือไม่นั้น โดยหลักเรื่องลาภที่มิควรได้ เมื่อคุณเอามาคืนและถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นจะมาขอคืนไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นการชำระหนี้ และถือว่ารัฐรับกลับคืน เว้นแต่จะผ่อนผันให้ ซึ่งเป็นเรื่องที่กำลังคิดอยู่"

ส่วนในอนาคตมีแนวคิดที่จะทำให้ผู้สูงอายุรับเงินได้ทั้งสองทางหรือไม่นั้น นายวิษณุ กล่าวว่า "ไม่ขอตอบเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องของนโยบาย"

 

 

หลังจากที่มีข่าวว่า Alibaba เตรียมที่จะออกพันธบัตรตราสารหนี้ในตลาดต่างประเทศมากถึง 5 หมื่นล้านเหรียญ แม้ว่าจะมีข่าวไม่ค่อยดีว่ารัฐบาลจีนอาจบังคับใช้กฎหมายต่อต้านการผูกตลาดกับกลุ่มธุรกิจในเครือ Alibaba

และก็เป็นดังคาด ทันทีที่ Alibaba ประกาศเปิดจองหุ้นกู้ ก็มียอดจองเข้ามาอย่างถล่มทลายกว่า 3.8 หมื่นล้านเหรียญจากนักลงทุนรายใหญ่หน้าเดิม ๆ ในตลาด เช่น ผู้บริหารกองทุนความมั่งคั่งของรัฐบาล กองทุนบำเหน็จบำนาญ กองทุนสินทรัพย์ต่างประเทศจากสหรัฐอเมริกา และยุโรป ที่มักสนใจลงทุนในหุ้นกู้ของบริษัทด้านเทคโนโลยีระดับโลกที่มีอนาคตอยู่แล้ว อาทิ Amazon Google หรือ Tencent

จึงกลายเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า นักลงทุนไม่ค่อยวิตกกับคดีความที่ Alibaba หรือแจ็ค หม่า อาจต้องเจอในอนาคต แต่ยังเชื่อมั่นว่าธุรกิจ E-commerce ของ Alibaba ยังสดใส และไปต่อได้อีกไกล

และในเมื่อหุ้นกู้ของ Alibaba ยังเป็นที่ต้องการของนักลงทุนรายใหญ่อย่างมาก ก็ทำให้ Alibaba สามารถกำหนดราคาหุ้นกู้ได้ดีกว่าที่คิด โดย Alibaba ได้เสนอขายหุ้นกู้ 4 ประเภทตามระยะเวลาของสัญญา เริ่มต้นตั้งแต่ 10 ปี 20 ปี 30 ปี และ 40 ปี

ตามข้อมูลล่าสุดหุ้นกู้ระยะเวลา 30 ปีจะได้ดอกเบี้ย 3.15% 40 ปี จะได้ 3.25% ซึ่งเป็นดอกเบี้ยที่น้อยกว่าตอนที่ Alibaba เคยออกหุ้นกู้ในปี 2017 ที่ให้ผลตอบแทนแก่นักลงทุนถึง 4.2% - 4.4% กับหุ้นกู้ระยะเวลา 30 ปี และ 40 ปี ตามลำดับ

ส่วนการจัดระดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ Alibaba ในครั้งนี้ สถาบัน Moody ให้ที่เกรด A1 ส่วน S&P และ Fitch ให้ที่เกรด A+

และสิ่งที่ทำให้ Alibaba เสนอขายหุ้นกู้ได้ในราคาดีกว่าเมื่อปี 2017 มาจากรายได้ที่โตขึ้นถึง 37% ในไตรมาศสุดท้ายของปีที่ผ่านมาดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งเป็นผลพวงจากยอดขายในวันเทศกาลคนโสด 11.11 ที่มีการขยายช่วงเวลานาทีทองลดราคานั่นเอง

นักวิเคราะห์การตลาดยังมองว่า อนาคตธุรกิจชอปปิ้งออนไลน์ในจีนยังสามารถโตได้ถึงปีละ 12% และธุรกิจ Cloud service อาจเพิ่มได้มากถึง 23% จนถึงปี 2023 ซึ่งเป็นธุรกิจหลักที่ Alibaba ยังคงได้รับผลประโยชน์จากกระแส E-Commerce ที่ยังเติบโตต่อเนื่อง

จึงทำให้นักลงทุนไม่ค่อยตื่นตระหนกกับข่าวการที่รัฐบาลจีนจะใช้มาตรการทุบ Alibaba ด้วยกฎหมายต่อต้านการผูกขาด หรือ แจ็ค หม่า อาจไม่ใช่หน้าตาของ Alibaba อีกต่อไป

ตราบใดที่แมวยักษ์ Alibaba ยังไล่ล่าจับหนูเก่ง นักลงทุนก็ไม่เกี่ยงว่าเจ้าของแมวจะเป็นใคร ขอให้จับหนูได้ก็แล้วกัน - ท่านประธานเหมา ไม่ได้กล่าว


อ้างอิง

https://www.scmp.com/business/banking-finance/article/3120368/alibaba-sell-us5-billion-dollar-bonds-analysts-say-risk

https://www.reuters.com/article/us-alibaba-fundraising-idUSKBN2A4083

‘บิ๊กป้อม’ สั่งทีมงานเร่งแก้ปัญหาน้ำเค็ม หลังพบแม่น้ำในพื้นที่ EEC มีค่าความเค็มเกินมาตรฐาน จากน้ำทะเลหนุนสูง พร้อมพร้อมให้กรมชลฯติดตามค่าความเค็มอย่างใกล้ชิด

พล.ร.อ.พิเชฐ ตานะเศรษฐ ประธานคณะอนุกรรมการบริหารจัดการน้ำเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เปิดเผยว่า ได้รับมอบหมายจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ให้ประชุมติดตามสถานการณ์น้ำและขับเคลื่อนการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ภาคตะวันออก โดยเฉพาะปัญหาคุณภาพน้ำในแม่น้ำที่มีค่าความเค็มสูงเกินกว่ามาตรฐาน เนื่องจากน้ำทะเลหนุนสูงในขณะนี้

พล.ร.อ.พิเชษ กล่าวว่า พล.อ.ประวิตรมีความห่วงใยประชาชน โดยขอให้ทุกหน่วยงานเร่งแก้ปัญหา สาเหตุความเค็มของน้ำในแม่น้ำสายหลักในพื้นที่อื่นๆด้วย นอกเหนือจากภาคตะวันออก เพื่อให้คุณภาพน้ำกลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว

สถานการณ์น้ำในปัจจุบัน พื้นที่ภาคตะวันออกมีแหล่งน้ำ 14,560 แห่ง แยกเป็น แหล่งน้ำขนาดใหญ่ 6 แห่ง ขนาดกลาง 44 แห่ง และขนาดเล็ก 1 4,510 แห่ง ปัจจุบันมีการกักเก็บน้ำต้นทุนไว้แล้ว 1,942 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ตลอดช่วงฤดูแล้งปี 64 จะมีความต้องการใช้น้ำ 1,790 ล้าน ลบ.ม.

ซึ่งสามารถบริหารการใช้น้ำได้อย่างเพียงพอ แต่เนื่องจากสถานการณ์น้ำทะเลหนุนสูง ทำให้ต้องมีการใช้น้ำต้นทุนผลักดันน้ำเค็ม เพื่อรักษาคุณภาพน้ำไว้ จึงต้องบริหารแผนการใช้น้ำอย่างระมัดระวัง โดยให้กรมชลประทานจะติดตามค่าความเค็ม ณ สถานีวัดคุณภาพน้ำทั้ง 4 แห่งอย่างใกล้ชิด

สำหรับรายงานความเค็มสูงสุดของแม่น้ำเจ้าพระยา วันที่ 4 ก.พ.64 พบว่า 1.) สถานีแจงร้อน 13.8 กรัม/ลิตร เวลา 10:00 น. 2.) สถานีดาวคะนอง 12.2 กรัม/ลิตร เวลา 10:00 น. 3.) สถานีบางกอกใหญ่ 10.6 กรัม/ลิตร เวลา 10:00 น. 4.) สถานีเทเวศร์ 11.0 กรัม/ลิตร เวลา 16:00 น. 5.) สถานีบางเขนใหม่ 7.2 กรัม/ลิตร เวลา 11:00 น. ทั้งนี้หากค่าความเค็มเกิน 1.2 กรัม/ลิตร ควรระมัดระวังในการใช้กับพืชทั่วไป

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังได้มีการพิจารณาแนวทางการบริหารจัดการน้ำในพื้นที่เกษตรกรรม โดยมอบหมายให้ สทนช., กรมชลประทาน, กรมทรัพยากรน้ำบาดาล และกรมทรัพยากรน้ำ ร่วมกันประสานข้อมูลพื้นที่เกษตรกรรม

ทั้งในเขตชลประทาน และนอกเขตชลประทาน เพื่อให้การบริหารทรัพยากรน้ำ การจัดทำโครงการต่าง ๆ มีการแบ่งหน่วยงานรับผิดชอบอย่างชัดเจน ไม่ให้มีความซ้ำซ้อน เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการจัดสรรน้ำครอบคลุมทุกภาคส่วน และให้มีน้ำที่มีคุณภาพใช้ เพื่อการเกษตร รวมถึงน้ำอุปโภคบริโภค การท่องเที่ยว และภาคอุตสาหกรรมอย่างเพียงพอ

สถานการณ์โควิด - 19 ประเทศไทยและอาเซียน ประจำวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2564

สถานการณ์โควิด - 19 ประเทศไทยและอาเซียน ประจำวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2564

 

‘วิษณุ เครืองาม’ ยันคดีรับจำนำข้าวทุกคดี ยังไม่หมดอายุความแม้แต่คดีเดียว หลังมีกระแสข่าว ระบุ ยังตามยึดทรัพย์ 'ยิ่งลักษณ์' อยู่ ไม่ต้องห่วง

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าคดีรับจำนำข้าว หมดอายุความในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2563 ว่า ทั้งคดีแพ่ง คดีอาญา ยังไม่ขาดอายุความ รวมทั้งคดียึดทรัพย์และการบังคับคดีก็ยังไม่ขาดอายุความ

ซึ่งอายุความบังคับคดีคือ ถ้ายึดไม่ได้ภายใน 10 ปี ยึดมาได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น ที่เหลือก็ยังไม่ขาดอายุความ บางคดีที่ต้องยึดทรัพย์เวลานี้ยังไม่นับหนึ่งด้วยซ้ำ ส่วนคดีแพ่งได้ฟ้องไปหมดทุกคดีแล้ว เมื่อฟ้องอายุความก็จะหยุด

นายวิษณุ กล่าวว่า "ส่วนคดีอาญาโครงการรับจำนำข้าว มี 1,188 คดี ขณะนี้อยู่ระหว่างกระบวนการ ยังไม่มีคดีใดที่ขาดอายุความแม้แต่คดีเดียว สำหรับคดียึดทรัพย์บังคับคดี ได้ยึดทรัพย์ไปแล้วจำนวนมากและยังต้องตามยึดต่อ เพราะไม่รู้ว่าทรัพย์อยู่ที่ไหน

เท่าที่ทราบได้ยึดบ้านและรถ และกำลังจะนำขายทอดตลาด ในส่วนของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ยึดไปแล้วจำนวนหนึ่ง ที่เหลือที่คิดว่าใช่นั้น ไม่ใช่ทรัพย์เขา ยังมีเวลาตรวจสอบ ยังไม่ขาดอายุความ และมีที่ต้องยึดต่ออีกเยอะ โดยคดีความที่จะหมดอายุความเร็วที่สุดคือปี 2565 เช่น คดีที่เกี่ยวกับโรงสี เป็นต้นเมื่อดำเนินการอะไรแล้วอายุความนั้นก็จะไม่หมด"

กรณีของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ถือว่าปิดประตูเดินทางกลับบ้านแล้วใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า "ไม่ปิด กลับมาได้ไม่มีปัญหา การยึดทรัพย์กับการกลับบ้านเป็นคนละเรื่องกัน และมีลูกหนี้เยอะแยะที่เวลานี้ถูกตามยึดทรัพย์ แต่ก็ยังอยู่ไม่มีปัญหาอะไร"

ส.ส.ก้าวไกล ‘ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์’ โต้ ‘ศรีสุวรรณ จรรยา’ กรณีพาหมอสูตินารีค้านกฎหมายยุติการตั้งครรภ์ โดยยกเหตุมโนธรรมชั้นสูงของแพทย์ ย้ำกฎหมายยุติการตั้งครรภ์ผ่านการพิจารณาอย่างรอบด้าน จากผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย

นายธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล และฐานะประธานอนุกรรมาธิการ เด็ก เยาวชน สตรี ผู้มีความหลากหลายทางเพศ ได้แสดงความคิดเห็นผ่านทางเพจเฟซบุ๊ก ต่อกรณีที่นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย

นำคณะหมอสูตินารีเดินทางไปยื่นหนังสือร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อค้าน “กฎหมายยุติการตั้งครรภ์” โดยให้เหตุผลว่า ถึงแม้ในทางกฎหมายทารกยังไม่ “สภาพบุคคล” แต่ในทางการแพทย์ตัวอ่อนอายุเกิน 12 สัปดาห์ที่แขนขาครบแล้ว ประกอบด้วยเหตุผล “มโนธรรมชั้นสูง” ของแพทย์ที่สร้างบาดแผลในจิตใจ

โดยนายธัญวัจน์ ระบุว่า “เรียนนายศรีสุวรรณ จรรยา ด้วยความเคารพ กฎหมายยุติการตั้งครรภ์ที่ผ่านสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภานั้นได้ผ่านการกลั่นกรองของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งแพทย์ นักกฎหมาย ภาคประชาชน และในชั้นการพิจารณาของกรรมาธิการวิสามัญที่ผ่านมาอย่างรอบด้านแล้ว ด้วยเหตุผล 2 ด้าน

ที่เราต้องย้ำเตือนตนเองเสมอคือ สถานการณ์จริง และความปลอดภัย จึงเป็นเหตุที่ร่างคณะรัฐมนตรีมีการเพิ่มอนุมาตรา 5 หรือเหตุผลด้านสังคมและเศรษฐกิจที่หญิงสามารถยุติการตั้งครรภ์ได้อายุครรภ์ไม่เกิน 20 สัปดาห์”

ทั้งนี้ เรายังมีการพิจารณาจากองค์กรอนามัยโลกที่พูดถึงการยุติการตั้งครรภ์ โดยมองว่าในระยะ 22 สัปดาห์บวกลบคือช่วงเวลาแท้ง กับ คลอดก่อนกำหนด ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยีการแพทย์ว่ามีความทันสมัยแค่ไหน และหากเราพิจารณาในหลายประเทศทั่วโลก

การยุติการตั้งครรภ์ตามคำร้องขอนั้นหมายถึงสถานพยาบาลที่ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น เพราะคำนึงเรื่องความปลอดภัยและก็มีอายุครรภ์ต่างกัน 8 - 24 สัปดาห์ และในหลายประเทศเรื่องยุติการตั้งครรภ์ก็เป็นบริการสุขภาพของผู้หญิง และมี 70 กว่าประเทศทั่วโลกไม่กำหนดอายุครรภ์ หรือตัวอย่างของ ไต้หวัน สิงคโปร์ อินเดีย ญี่ปุ่น ก็กำหนดอายุครรภ์ไว้ 24 สัปดาห์

นายธัญวัจน์ กล่าวอีกว่า ไม่ใช่ว่าคณะกรรมาธิการไม่พิจารณาเรื่องความเชื่อทางศาสนา หรือจริยธรรม เราถกเถียงเรื่องนี้กันอย่างกว้างขวางในการทำงาน แต่ท้ายที่สุดแล้ว เรื่องศาสนานั้นเป็นความเชื่อส่วนบุคคล เช่นเดียวกับที่หญิงต้องตัดสินใจการยุติการตั้งครรภ์

หากหญิงมีความเชื่อในแบบหนึ่งก็จะตัดสินใจแบบหนึ่ง ซึ่งเราต้องเคารพไม่ตีตรา เช่นเดียวกัน กฎหมายผ่านแล้วทางแพทยสภาก็ต้องไปออกระเบียบความสมัครใจของแพทย์ที่จะทำการยุติการตั้งครรภ์

สุดท้ายนายธัญวัจน์ กล่าวว่า การที่นายศรีสุวรรณมีความคิดเห็นต่างนั้นไม่ใช่เรื่องแปลก สามารถกระทำได้ สามารถนำเสนอสู่สังคมได้ แต่ตนมองว่าแต่การค้านกฎหมายโดยไม่มองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ก็เท่ากับว่าเราผลักผู้หญิงสู่การทำแท้งเถื่อนไม่ปลอดภัย ไม่นำไปสู่การแก้ปัญหา

ถ้านายศรีสุวรรณ จะหารือการจัดการของแพทยสภาในกรณีคุณหมอบางส่วนที่ไม่เห็นด้วย และไม่ต้องการทำ ก็น่าจะออกแบบระเบียบให้เป็นไปตามความสมัครใจของแพทย์ อันนั้นน่าจะช่วยกันแก้ปัญหามากกว่า

เพราะท้ายที่สุดแล้ว ผู้หญิงก็ต้องมาพบแพทย์อยู่ดี ขึ้นอยู่กับว่าจะมาพบแพทย์ก่อนตอนเกิดปัญหา หรือมาพบตอนที่มดลูกทะลุ บาดเจ็บมาแล้ว

ตอนนี้กระแสกัญชงมาแรงทันที่ อย. เปิดให้มีการขออนุญาตทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ ‘กัญชง’ ทำให้หลายบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ให้ความสนใจในการทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกัญชงมากขึ้น

โดยเมื่อไม่กี่วันก่อน RS Group ก็ได้ประกาศว่า ได้จับมือพันธมิตรเพื่อผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในหมวดสกินแคร์ เครื่องดื่ม และอาหารเสริม ที่มีสารสกัดจากกัญชงไปแล้ว

ล่าสุด ก็มี บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG ที่แว่วมาว่าสนใจและมีความพร้อมในการทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับกัญชง เพราะมีธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มอย่าง กาแฟพันธุ์ไทย และ Coffee World ที่สามารถนำกัญชง มาต่อยอดธุรกิจได้อยู่แล้ว อีกทั้งบริษัท มีนโยบายในการดำเนินธุรกิจ ที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาวิสาหกิจชุมชน จึงหยิบคอนเซ็ปต์ กัญชง เพื่อประชาชนมาชู

สำหรับ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เป็นผู้ให้บริการสถานีบริการน้ำมันภายใต้แบรนด์ ‘PT’ นอกจากนี้ PTG ยังเป็นเจ้าของ ร้านสะดวกซื้อ Max Mart ร้านกาแฟพันธุ์ไทย และร้านกาแฟ Coffee Worldทั้งในและนอกสถานีบริการน้ำมัน

ฉะนั้นในจังหวะที่ตลาดกัญชง กำลังกลายเป็นอีกเทรนด์ร้อนแรงในเมืองไทย จึงเชื่อได้ว่าจะมีอีกหลายๆ ธุรกิจหันมาไล่จับกัญชงมากขึ้น และเราอาจจะได้เห็นหลากหลายผลิตภัณฑ์ ที่มีกัญชงเป็นส่วนผสม ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่องก็เป็นได้


ที่มา: https://www.ryt9.com/s/prg/3197384

การบินไทย เคาะลดขนาดฝูงบิน ปลดกัปตันเฉียด 400 ชีวิต พร้อมตัดเงินที่เหลือ 900 คน แต่พนักงานข้องใจ? ทำไมยังจะทุ่มหมื่นล้าน ซื้อเครื่องบินเจ้าปัญหาเพิ่ม

รายงานข่าวจากบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ล่าสุดการบินไทยได้สรุปแผนฟื้นฟูกิจการด้านการปรับลดฝูงบินเรียบร้อยแล้ว โดยบริษัทตัดสินใจปลดระวางเครื่องบิน 3 ประเภท คือ แอร์บัส A-330-300, แอร์บัส A380 และโบอิ้ง 747 คงเหลือเครื่องบิน 3 ประเภทที่จะใช้ในการทำบินต่อไป ได้แก่ โบอิ้ง 777-300ER, โบอิ้ง 787 และแอร์บัส 350-900

การปรับลดฝูงบินครั้งนี้ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อนักบินที่ทำการบินเครื่องบิน 3 ประเภทดังกล่าว รวมประมาณ 395 คน ซึ่งจะต้อง ‘ถูกปลดออก’ หรือขอให้เข้าร่วมโครงการสมัครใจลาออกก่อนกำหนด โดยเฉพาะนักบินที่มีอายุเกินกว่า 52 ปี ซึ่งบริษัทมีคำแนะนำให้สมัครใจลาออก โดยจะอนุมัติให้ออกตั้งแต่ต้นเดือนเมษายน-พฤษภาคม 2564 และส่งผลให้มีนักบินเหลือที่จะปฏิบัติงานรวม 905 คน จากปัจจุบันที่มีนักบินรวม 1,300 คน และในช่วงปี 2564-2565 จะไม่มีการเพิ่มจำนวนนักบินอีก

รายงานข่าวแจ้งว่า ในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2564 บริษัทจะประกาศรายชื่อนักบินที่บริษัทเลือกให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อจำนวน 905 คน โดยจะใช้เกณฑ์ในการประเมินและคัดเลือก ซึ่งพิจารณาจากประสิทธิภาพการทำงานด้านต่างๆ

นอกจากนี้ บริษัทจะทำการปรับโครงสร้างเงินเดือนของนักบินใหม่ทั้งหมด โดยจะปรับลดอัตราเงินเดือนลง 15-20% ตามตลาดความต้องการนักบินทั่วโลกที่ปรับลดลง หลังจากอุตสาหกรรมการบินซบเซาจากปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยบริษัทจะให้นักบินทั้ง 905 คน ที่ทำสัญญาจ้างฉบับใหม่

อย่างไรก็ตาม ในแผนการปรับโครงสร้างฝูงบินครั้งนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะจัดหาเครื่องบินโบอิ้ง 787 จำนวน 9-10 ลำ พร้อมเครื่องยนต์โรลส์รอยซ์รุ่น Trent-1000 มูลค่าอีกหลายหมื่นล้านบาท ซึ่งฝ่ายมองว่าไม่สมเหตุสมผล เนื่องจากเครื่องยนต์รุ่นดังกล่าวมีปัญหาใบพัดอัดอากาศเสี่ยงต่อการแตกร้าว ซึ่งการบินไทยเคยประสบปัญหาดังกล่าวมาแล้วในอดีต ทำให้ต้องจอดเครื่องบินรอซ่อมเครื่องยนต์เป็นเวลานาน จนสูญเสียประโยชน์ในการทำการบิน รวมทั้งที่ผ่านมาสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติของสหรัฐ (FAA) ยังได้ออกคำเตือนความเสี่ยงในการใช้เครื่องยนต์ประเภทดังกล่าวด้วย

“ไม่เข้าใจว่าทำไมการบินไทยจะซื้อเครื่องบินโบอิ้ง 787 เพิ่มอีก 10 ลำ พร้อมเครื่องยนต์โรลส์รอยซ์รุ่น Trent-1000 เพราะเป็นเครื่องที่มีปัญหาไปทั่วโลก มีการผูกขาดหลังการขายต้องซ่อมในศูนย์ซ่อมโรลส์รอยซ์และยังต้องจ่ายค่าใช้โปรแกรมเครื่องยนต์อีก ถือว่าเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายให้บริษัทมาก ขัดแย้งกับแผนฟื้นฟูที่ต้องเร่งลดค่าใช้จ่าย ที่สำคัญในอดีตเครื่องยนต์ยี่ห้อนี้ยังมีข้อครหาเรื่องสินบนมาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นอยากให้ผู้ทำแผนชี้แจงเหตุผลการสั่งปลดเครื่องบินแอร์บัส A-330-300 จำนวน 15 ลำ ทั้งๆ ที่ผ่อนหมดแล้ว และยังเหลืออายุการใช้งานอีกอย่างน้อย 5 ปี เป็นอย่างน้อย” แหล่งข่าวกล่าว


ที่มา: https://www.thebangkokinsight.com/545260/

The Battle Quotes ประโยคปะทะเดือด ‘ธนาธร vs นพ.วิกรม’ กรณีมาตรา ม.112

#เพราะข่าวก็ร้อน #และประโยคก็เชือดเฉือน The States Times จึงขอเปิดพื้นที่คอนเท้นใหม่ ในชื่อว่า The Battle Quotes เราจะหยิบจับเอา ‘ประโยคเข้มๆ’ จากข่าวดัง ข่าวเด่น ที่มีประเด็นจากสองฝ่าย นำมาปะทะ เอ้ย! เรียกว่า นำมาให้อ่านกันชัดๆ ว่าใคร ฝ่ายไหน คิดเห็นอย่างไร?

ประเดิมเริ่มต้นด้วยประเด็นร้อนๆ กับกรณี ‘ไลฟ์สดวัคซีนพระราชทาน’ ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ที่กลายเป็นว่า เข้าข่ายผิดกฎหมาย มาตรา 112 พาดพิงสถาบันฯ ซึ่งงานนี้มีคู่มวย เอ้ย! คู่ปรับแรงคือ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม รักษาการหัวหน้าพรรคไทยภักดี ที่ยกพลขึ้น สน.นางเลิ้ง แจ้งความเอาผิดนายธนาธร มาตรา 112 และ 116 ฐานก้าวล่วงสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้ร้าย และนำไปสู่การยั่วยุปลุกปั่น

สถานการณ์ล่าสุด เมื่อวาน (4 ก.พ.64) นายธนาธร เดินทางมาที่ศาลอาญา เพื่อเข้าฟังนัดไต่สวนคำร้องคัดค้านของคณะก้าวหน้า ที่ขอให้เพิกถอนคำสั่งศาลสั่งลบลิงค์ตามคำขอ กระทรวงดิจิตอลฯ (MDES) การเผยแพร่ภาพ-คลิปเกี่ยวกับวัคซีนป้องกันโควิดพาดพิงสถาบันฯ ผ่านเพจคณะก้าวหน้า โดยเจ้าตัวได้ตอบคำถามสื่อมวลชน ถึงเรื่องขอบเขตความผิดของ ม.112 ในประเทศไทย

นายธนาธร กล่าวว่า ใน ม.112 เป็นมาตราที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานอย่างแน่นอน เพราะสิทธิมนุษยชนนั้นคือการมีเสรีภาพทางการแสดงออก และม.112 มีโทษที่สูงเกินไปด้วย จึงเห็นว่าควรมีการแก้ไขกฎหมาย ม.112

เมื่อถามต่อว่าในวันนี้ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม จะเดินทางมาไปแจ้งความเกี่ยวกับกรณีนี้ นายธนาธร ก็ตอบกลับมาว่า เชิญครับ เพราะตนเองนั้นก็เชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ใจ

ด้าน นพ.วิกรม เดชกิจวิกรม ซึ่งได้เดินทางไปที่สน. นางเลิ้ง เพื่อแจ้งความเอาผิดกับนายธนาธร เมื่อได้ทราบการตอบคำถามของนายธนาธร ก็ได้โพสต์ข้อความขึ้นเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยมีเนื้อหาว่า...

“...ผมมาแจ้งความดำเนินคดีแล้ว และอยากจะบอกนายธนาธรด้วยว่า ที่บอกว่าตนเองบริสุทธิ์ใจนั้น ขอให้พยายามทำการบ้านให้ดีนะ เพราะสิ่งที่คุณบริสุทธิ์ใจนั้น มันกลายเป็นบิดเบือนทั้งสิ้น ที่สำคัญเป็นการจงใจบิดเบือน ให้ร้ายสถาบันเบื้องสูงเสียด้วย ดูแล้วงานนี้ คุณน่าจะรอดยากครับ จำไว้ด้วยว่า ควรตรวจสอบข้อมูลให้ดีเสียก่อน ก่อนที่จะนำเสนออะไร

นายธนาธร กล่าวว่า ใน ม.112 เป็นมาตราที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานอย่างแน่นอน เพราะสิทธิมนุษยชนนั้นคือการมีเสรีภาพทางการแสดงออก

ผมอยากจะบอกนายธนาธรด้วยว่า เสรีภาพในการแสดงออกนั้น ต้องอยู่ในกรอบกฏหมาย ไม่ใช่อยากจะไปกล่าวให้ร้ายใครก็ได้ เพราะการไปกล่าวให้ร้ายคนอื่นเสียหาย เขาไม่เรียกเสรีภาพ เขาเรียกดูหมิ่น หรือหมิ่นประมาท เข้าใจไหมครับ”

ดูท่าว่า คู่ปะทะ เอ้ย! คูกรณีคู่นี้ จะได้แลกหมัดกันอีกหลายยก โปรดติดตามกันต่อไป ว่าใครจะน็อคใคร?!!

กระทรวงแรงงาน เชื่อมสัญญาณหัวเว่ย ผลิตบุคลากรติดตั้งระบบ 4G และ 5G เทรนคนละครึ่งทั้งออนไลน์และภาคสนาม ตามแนวทางประชารัฐร่วมมือกับภาคเอกชน

นายธวัช เบญจาทิกุล อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน (กพร.) กระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ปัจจุบันอินเตอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันทั้งการติดต่อสื่อสาร การทำงาน การเรียน และการพักผ่อน โดยระบบส่งสัญญาณโทรคมนาคมในระบบ 4G และ 5G เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้การใช้อินเตอร์เน็ตมีความสะดวกรวดเร็ว ลื่นไหล ไม่ติดขัด .

แต่อย่างไรก็ตามช่างฝีมือในการติดตั้งระบบส่งสัญญาณยังคงขาดแคลนอยู่มาก นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน และศาสตราจารย์ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรี ช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน จึงมอบหมายให้กพร. ใช้แนวทางประชารัฐร่วมมือกับบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด ในการพัฒนากำลังคนผลิตช่างฝีมือรองรับการเข้าสู่ยุคสังคมดิจิทัล

นายธวัช กล่าวต่อไปว่า ทั้งสองหน่วยงานได้ร่วมกันจัดฝึกอบรมหลักสูตร การติดตั้งระบบส่งสัญญาณโทรคมนาคมในระบบ 4G และ 5G ผู้เข้ารับการฝึกอบรมจะได้เรียนรู้ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติภายใต้หัวข้อการใช้เครื่องมือติดตั้งตามข้อกำหนดการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัยนอกสถานที่ การติดตั้งสถานีฐานไร้สายและการตรวจสอบหลังการติดตั้งตามข้อกำหนดความปลอดภัยทางไซเบอร์ และปฏิบัติการภาคสนาม ใช้ระยะเวลาการฝึกอบรม 18 ชั่วโมง

ซึ่งได้เริ่มจัดการฝึกอบรมไปแล้วจำนวน 1 รุ่น แต่ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ จึงชะลอการฝึกอบรม และจะกลับมาเริ่มฝึกอีกครั้งในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ - มีนาคม 2564 กำหนดฝึกอบรมจำนวน 4 รุ่น รุ่นละ 20 คน โดยสั่งการให้สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 13 กรุงเทพมหานคร ประสานความร่วมมือกับหัวเว่ยดำเนินการฝึกอบรมในกรุงเทพมหานครเป็นพื้นที่แรก และตั้งเป้าหมายขยายการฝึกอบรมทั่วประเทศในปี 2564 นี้

"เพื่อเป็นการป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 กพร.และหัวเว่ย จึงพัฒนารูปแบบการฝึกอบรให้เหมาะสม โดยภาคทฤษฎีจะใช้การฝึกอบรมผ่านระบบออนไลน์แบบถ่ายทอดสด ส่วนภาคปฏิบัติจะเน้นการฝึกปฏิบัติงานภาคสนาม การฝึกอบรมทั้งแบบออนไลน์ภาคทฤษฎีและฝึกปฏิบัติภาคสนามแบบคนละครึ่งนี้ผู้เข้าฝึกอบรมจะได้รับทั้งความรู้และทักษะที่สำคัญและจำเป็นต่อการปฏิบัติงานดูแลระบบส่งสัญญาณ 4G และ 5G ที่มีกระจายอยู่ทั่วประเทศ

เป็นอีกหนึ่งหลักสูตรดี ๆ ที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนที่ต้องการพัฒนากำลังคนให้มีความพร้อมสู่สังคมดิจิทัลที่ต้องการการสื่อสารที่สะดวกรวดเร็ว โดยคุณสมบัตของผู้เข้ารับการฝึกอบรมต้องมีอายุตั้งแต่ 18-54 ปี มีทักษะด้านการใช้งานคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ช่างพื้นฐาน ผู้สนใจสามารถสอบรายละเอียดเพิ่มได้ที่สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน 13 กรุงเทพมหานคร เบอร์โทรติดต่อ 0 2390 0265 หรือ www.facebook.com/dsdbangkok" อธิบดีกพร กล่าว

'ณวัฒน์' สื่อถึงใคร ผู้หญิงข้ามเพศ ออกทีวีโอ้อวด-บูลลี่คนอื่น ชี้ศัลยกรรมเปลี่ยนได้ทุกอย่างยกเว้นนิสัยและความคิด ลั่นแบนในทุกรายการที่ทำ ไม่ยอมให้ใช้พื้นที่สื่อเหยียดคนอื่น

ณวัฒน์ อิสรไกรศีล พิธีกรดัง โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊ก ณวัฒน์ อิสรไกรศีล - Mr.Nawat Itsaragrisil ระบุว่า ผมสนับสนุนสิทธิและความเท่าเทียมกันไม่ว่าคุณจะอยู่ในสถานะใดก็ตาม แต่เห็นผู้หญิงข้ามเพศที่พยายามปั้นตัวเองว่าทั้งสวยและรวยมากมานั่งให้สัมภาษณ์นั่งแฉเรื่องส่วนตัวและบูลลี่คนอื่นโดยใช้คำหยาบคายโอ้อวดพฤติกรรมในเรื่องแฟนบลา ๆ ๆ โดยที่บุคคลที่ถูกพาดพิงไม่มีสิทธิ์โต้แย้งเข้าข่ายหมิ่นประมาทได้เต็มๆ

คนนี้พยายามรณรงค์เปลี่ยนคำนำหน้าให้เป็นนางสาวผมว่าผู้หญิงทั้งประเทศเค้าคงไม่อยากให้ใช้เพราะผู้หญิงทั่วไปเค้าไม่ทำนิสัยแบบนี้ ศัลยกรรมเปลี่ยนแปลงได้ทุกอย่างครับยกเว้นนิสัยและความคิด

ผมขอแบนคนนี้ทุกรายการทีวีที่ผมทำ ไม่ยอมให้ใช้พื้นที่สื่อในการเหยียดคนอื่น และโฆษณาตัวเองเกินจริงครับ และหลายรายการที่ผมรู้จักก็แบนเหมือนกัน

‘แรมโบ้’ ทำจดหมายเปิดผนึกด่วน ถึง ผู้นำฝ่ายค้าน จี้ถาม 7 ข้อ ขอให้ตอบปมยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ ‘บิ๊กตู่’ ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์

นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี ได้ทำจดหมายเปิดผนึกถึง นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้านและหัวหน้าพรรคเพื่อไทยเรียน นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย

ตามข้อเรียกร้องที่ผม นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ และนายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาล และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พรรคพลังประชารัฐ ได้เสนอแนวทางและเรียกร้องให้ท่าน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้าน ขอให้มีการถอน ญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจหรือแก้ไขญัตติใหม่ ในประเด็นข้อกล่าวหานายกรัฐมนตรี ที่เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์ ซึ่งเป็นความไม่เหมาะสมและอาจจะเกิดความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง

และจะสร้างปรากฏการณ์ความเสื่อมเสียอันก่อให้เกิดความแตกแยกในหมู่พี่น้องประชาชนคนไทย จะเป็นการเปิดโอกาสให้มีการอภิปรายก้าวล่วง จาบจ้วง บิดเบือน ใส่ร้ายให้สถาบันกษัตริย์เกิดความเสียหายได้ อาจส่งผลกระทบกระเทือนต่อจิตใจคนไทยทั้งประเทศ เพราะเจตนาของพรรคการเมืองบางพรรคที่มีพฤติกรรมในการที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุขที่ได้ปกครองประเทศอย่างสงบสุขร่มเย็นมาเป็นระยะเวลาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน

กระผมจึงขอตั้งคำถามถึงนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ดังนี้

1.) ท่าน และ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ตั้งใจวางแผนร่วมมือกับพรรคร่วมฝ่ายค้าน ในการเสนอญัตติที่อัปยศอดสูที่สุดตั้งแต่เคยมีการยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจมา เพราะเป็นความต้องการให้มีการอภิปรายถึงสถาบันเบื้องสูง มีเจตนาให้เกิดความเสียหายต่อสถาบันใช่หรือไม่

2.) หากมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอภิปรายพาดพิง ก้าวร้าว ป้ายสี จาบจ้วง ก้าวล่วง บิดเบือนข้อมูลอันเป็นเท็จต่อสถาบันเบื้องสูง ท่านในฐานะผู้นำฝ่ายค้านและหัวหน้าพรรคเพื่อไทยที่ได้ร่วมยื่นญัตติร่วมกับพรรคร่วมฝ่ายค้านในครั้งนี้ จะรับผิดชอบอย่างไร

3.) ท่าน และ ส.ส.พรรคเพื่อไทย มีความจงรักภักดีและปกป้องสถาบันกษัตริย์หรือไม่ เพราะผู้นำฝ่ายค้านได้รับโปรดเกล้าฯ จากในหลวง รัชกาลที่ 10 ควรที่จะช่วยกันปกป้องสถาบันใช่หรือไม่

4.) ถ้ามีการอภิปรายพาดพิงสถาบันให้เกิดความเสียหายและเกิดผลกระทบต่อจิตใจของพี่น้องประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ของประเทศ จนเกิดความแตกแยกมากขึ้นในบ้านเมือง พรรคเพื่อไทยจะรับผิดชอบอย่างไร

5.) ท่าน และพรรคเพื่อไทย ไม่กลัวประชาชนเข้าใจว่ามีส่วนร่วมในการวางแผนล้มล้างสถาบันกษัตริย์เหมือนกับกลุ่มก้าวหน้า โดยการนำของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และนายปิยบุตร แสงกนกกุล ท่านจะอธิบายประชาชนที่จงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์อย่างไรว่า ท่าน และพรรคเพื่อไทยไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง

6.) ท่าน และพรรคเพื่อไทย ไม่กลัวว่าในการเลือกตั้งหาเสียงในสมัยหน้าจะไปลงพื้นที่ในจังหวัดใดก็ตาม จะถูกประชาชนออกมาประท้วงต่อต้านและเปิดเพลงหนักแผ่นดินขับไล่ดังเช่นกลุ่มก้าวหน้า จนส่งผลไม่ได้รับการเลือกตั้ง นายก อบจ. แม้แต่เขตเลือกตั้งเดียว ซึ่งพรรคเพื่อไทยอาจไม่ได้ ส.ส. แม้แต่เขตเลือกตั้งเดียวในการเลือกตั้งสมัยหน้า เพราะถูกต่อต้านจากประชาชนดังเช่นกลุ่มก้าวหน้า ท่านไม่กลัวเช่นนั้นใช่หรือไม่

7.) ท่านจะตอบคำถามให้กับสมาชิกพรรคเพื่อไทยที่มีจำนวนมากทั่วประเทศให้เข้าใจและหายสงสัยอย่างไรว่า ท่านและพรรคเพื่อไทยไม่เป็นเครื่องมือให้กับพรรคและกลุ่มที่คิดล้มล้างสถาบันเบื้องสูง เพราะพฤติกรรมของท่าน และพรรคเพื่อไทยเจตนาจงใจกล้าร่วมมือกับพรรคร่วมฝ่ายค้านยื่นญัตติในการอภิปรายไม่ไว้วางใจให้เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์ในครั้งนี้

กระผมจึงเขียนจดหมายเปิดผนึกถึงท่านสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ผู้นำฝ่ายค้าน และหัวหน้าพรรคเพื่อไทย โดยขอให้ท่านได้ชี้แจงและอธิบายคำตอบให้พี่น้องประชาชนที่จงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ และสมาชิกพรรคเพื่อไทยทั่วประเทศได้ทราบข้อเท็จจริง เพื่อที่จะได้หายเคลือบแคลงสงสัยให้เกิดความกระจ่างและสบายใจมาในครั้งนี้

หวังเป็นอย่างยิ่งว่า คงได้รับคำตอบที่ชัดเจน เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย ต่อสถาบันและความทุกข์ใจของพี่น้องประชาชนผู้จงรักภักดีและปกป้องสถาบันต่อไป

ขอแสดงความนับถือ

นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์

(แรมโบ้ อีสาน)

5 กุมภาพันธ์ 2564


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top