Thursday, 15 May 2025
NEWS FEED

‘ดร.สุวินัย’ ชี้!! มุมดี ‘ปรีดี’ ช่วยไทยรอดสงครามโลกครั้งที่ 2 ลดบาป 'ต้นคิดการปฏิวัติ 2475' ก่อนคณะราษฎรสิ้นอำนาจ

(14 มี.ค. 67) รองศาสตราจารย์ ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้โพสต์ข้อความรีวิวแอนิเมชัน ๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ โดยระบุว่า…

ผมเพิ่งดู ‘แอนิเมชั่น ๒๔๗๕’ จบลงด้วยความประทับใจ และขอเสนอมุมมองที่อาจจะแตกต่างกับผู้ชมทั่วไปบ้าง  ดังนี้

- อยากให้เราย้อนกลับไปดูสถานการณ์ของยุโรปใน ปี ค.ศ. 1926 หรือ 6 ปี ก่อนการปฏิวัติ 2475 (ค.ศ. 1932) ซึ่งเป็นครั้งแรกที่พวกคณะผู้ก่อการปฏิวัตินัดประชุมกันอย่างเป็นทางการครั้งแรก เพื่อคิดก่อการปฏิวัติในนามของ ‘คณะราษฎร’.... คนพวกนี้คือ Mastermind หรือกลุ่มต้นคิดการปฏิวัติ 2475

- ยุโรปในปี ค.ศ. 1926 คือเพิ่งผ่านการปฏิวัติบอลเชวิค (การปฏิวัติรัสเซีย) ในปี ค.ศ. 1917 มาแค่ 9 ปี หลังจากที่เลินนิน ผู้นำสูงสุดของการปฏิวัติรัสเซีย เจ้าลัทธิมาร์กซ-เลนิน เพิ่งเสียชีวิตใน ปี ค.ศ. 1924 ‘ระบอบสตาลิน’ (ระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จ) เพิ่งจะก่อตัวในรัสเซีย

ขณะนั้น ‘ความจริงของการปฏิวัติสังคมนิยม’ เป็นสิ่งที่จับต้องได้ ไม่ใช่เรื่องเพ้อฝันยูโทเปียอีกต่อไป

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกใจที่เด็กบ้านนอกจากสยาม อย่างนายปรีดี จะตื่นเต้นกับการปฏิวัติรัสเซียในระดับคลั่งไคล้ มิหนำซ้ำ เขาคือผู้นำทางความคิดเพียงคนเดียวของคณะก่อการกลุ่มนี้ ขณะที่สมาชิกผู้ก่อการคนอื่น ไม่ได้มีองค์ความรู้เรื่องการปฏิวัติรัสเซียแบบนายปรีดี พวกเขาแค่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงนำระบอบรัฐสภาและประชาธิปไตยเข้ามาใช้ในประเทศสยามตามแบบอังกฤษ เพื่อทำให้สยามเป็นอารยประเทศเท่านั้น

- ผมคิดว่าความต้องการให้มีระบอบรัฐสภาและประชาธิปไตยแบบอังกฤษ ของคณะผู้ก่อการกลุ่มนี้มีความชอบธรรมนะ เพราะมันคือทิศทางที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของสยามอยู่แล้ว แค่ช้าหรือเร็วเท่านั้น

ตัวนายปรีดีต่างหาก คือ ‘ความแปลกแยก’ ในหมู่คณะผู้ก่อการกลุ่มนี้ เพราะตัวนายปรีดีคนเดียวเท่านั้นที่มีหัวเอียงซ้ายตามโมเดลการปฏิวัติบอลเชวิก ขณะที่ผู้ก่อการคนอื่นแค่อยากเร่งกระบวนการ Modernization ของสยามเท่านั้นเอง

นี่คือความย้อนแย้งแบบปฏิบท (Paradox) ของการปฏิวัติ 2475

กล่าวคือ ถ้าไม่มีนายปรีดีมาเป็นหัวหน้าคณะผู้ก่อการตั้งแต่แรก การปฏิวัติ 2475 น่าจะไม่ประสบความสำเร็จและลงเอยด้วยการเป็นกบฏ เหมือนกลุ่มทหารหนุ่มในสมัยรัชกาลที่ 6 ก่อนหน้านี้

ถ้าไม่มีนายปรีดี คณะผู้ก่อการกลุ่มนี้ก็แทบไม่ต่างจากกลุ่มกบฏทหารหนุ่มก่อนหน้านี้แต่อย่างใด

- ‘ใบปลิว Fake News’ ที่นายปรีดีจงใจเขียน เพื่อโจมตี บิดเบือนใส่ร้ายสถาบันกษัตริย์ และเอามากระจายแจกจนเป็น ไวรัล ไปทั่วกรุงช่วงนั้น คือจุดเริ่มต้นของ ‘ความเลวร้าย’ ที่ ‘อุตส่าห์ปฏิวัติสำเร็จ แต่ไม่สามารถรักษาการปฏิวัติอย่างเป็นระบบได้’ สุดท้ายก็แค่ได้ ‘คณะผู้นำทหารกลุ่มใหม่’ มาเถลิงอำนาจรัฐ และหลงไหลในอำนาจรัฐที่ตัวเองครอบครองอยู่เท่านั้น

โดยที่คนสุดท้ายที่ชนะใน ‘เกมอำนาจคณะราษฏร’ นี้ นายทหารหนุ่มที่ชื่อ แปลก พิบูลสงคราม (ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะผู้ก่อการรองจากนายปรีดีที่เป็นหัวหน้า) ที่สุดท้ายนายแปลกก็ทำตัวเป็น ‘เจ้าคนใหม่’ ในระบอบฟาสซิสต์ไทยอยู่ช่วงหนึ่งเสียเอง ไม่ต่างจากบทบาทของนายฮุนเซนในเขมร

- จึงไม่แปลก ที่ช่วงสุดท้าย หรือ End Game ใน ‘เกมอำนาจคณะราษฏร’ จึงเป็นการต่อสู้เพื่อช่วงชิงอำนาจรัฐระหว่างนายปรีดี หัวหน้าคณะผู้ก่อการ กับนายแปลก รองหัวหน้าคณะผู้ก่อการ ซึ่งจบลงด้วยชัยชนะอันเบ็ดเสร็จของนายแปลก ในปี พ.ศ. 2490 หรือ 15 ปีหลังการปฏิวัติ 2475

- ความย้อนแย้งอีกอันหนึ่ง คือคุณูปการของนายปรีดีในวัยกลางคน ในฐานะ ‘ผู้นำขบวนการเสรีไทย’ ที่ช่วยให้ประเทศไทยหลุดรอดจากหายนะของผู้นำประเทศอย่างนายแปลกที่พาประเทศไทยเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สองร่วมกับญี่ปุ่น

- โดยส่วนตัว ผมไม่อาจยอมรับนายปรีดีในวัย 32 ที่ก่อการปฏิวัติ 2475 ได้  ... ในสายตาของผม นายปรีดีตอนนั้นเป็นแค่ปัญญาชนที่ร้อนวิชา คลั่งการปฏิวัติรัสเซีย และขาดความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับความเป็นจริงของคนไทยและสังคมไทย

แต่ผมเคารพในคุณูปการของนายปรีดี ที่มีวุฒิภาวะแล้วในวัยกลางคนในฐานะผู้นำขบวนการเสรีไทย  ... เพราะเขาเองก็เติบใหญ่ทางความคิดและมีประสบการณ์ทางโลกจนเจนจัดแล้ว

มันจึงเป็นความย้อนแย้งอย่างยิ่งของตัวนายปรีดีเอง ที่เริ่มจากเป็นตัวการให้เกิดกลียุคในบ้านเมืองโดยการปฏิวัติ 2475 แต่สุดท้ายก็เป็นนายปรีดีนี่แหละที่เป็น ฮีโร่ช่วย save ประเทศไทยจากวิกฤตช่วงนั้นเอาไว้ได้ในฐานะ ‘ผู้นำขบวนการเสรีไทย’

‘ชัชชาติ’ วอนอย่าโยง ‘คลองโอ่งอาง’ เข้าประเด็นการเมือง ย้ำ!! กทม.พัฒนาอย่างเต็มที่-เคารพผลงานผู้ว่าฯ เก่าทุกคน

(14 มี.ค.67) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยถึงประเด็นที่นายปารเมศ วิทยารักษ์สรรค์ สส.กรุงเทพฯ (เขต 1 พระนคร ป้อมปราบศัตรูพ่าย สัมพันธวงศ์) พรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงการพัฒนาย่านคลองโอ่งอ่างว่า

ขอร้องอย่าให้เป็นประเด็นเรื่องการเมือง กทม.พยายามพัฒนาย่านให้มีความยั่งยืน ไม่ใช่จัดงานอีเวนต์หรือตลาดนัด ที่เป็นกิจกรรมชั่วคราว แต่ก่อนคลองโอ่งอ่างเป็นหลังบ้านของผู้พักอาศัย ส่วนที่มีการถ่ายภาพที่จอดรถเยอะ เพราะมีพื้นที่ส่วนต่อขยายไปยังคลองบางลำพู ที่ยังก่อสร้างยังไม่เสร็จ รวมถึงบางช่วงที่เป็นหลังร้านหรือออฟฟิศ ที่ต้องมีการจอดรถบ้างเป็นปกติ

“ถามว่าเราจะไปคลองโอ่งอ่างเพื่ออะไร คำตอบคือ ไม่มีสินค้า ไม่มีอัตลักษณ์เหมือนกับปากคลองตลาด เสาชิงช้า บรรทัดทอง ตลาดน้อย การพัฒนาอัตลักษณ์ต้องใช้เวลา การนำผู้ค้าด้านนอกมาจัดตลาดนัด ผมว่าคนในพื้นที่ไม่ได้ประโยชน์อย่างยั่งยืน แต่เราก็น้อมรับฟังคำติชม” นายชัชชาติกล่าว

นายชัชชาติ กล่าวว่า หัวใจของคลองโอ่งอ่าง อยู่ใกล้กับวิทยาลัยเพาะช่าง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ เบื้องต้นอาจจะทำเป็นสตรีตอาร์ต เพื่อช่วยดึงดูดคนมาเยี่ยมชม อย่างไรก็ตาม คนในชุมชนก็ต้องช่วยกันพัฒนาอัตลักษณ์ด้วย ไม่ใช่เพียงแค่มาดูคลอง หรือมาพายเรือแคนู เรือคายัคก็ไม่ได้อีก เพราะคลองแคบและมีตลิ่งสูง ถ้าอยากพายเรือ ให้ไปที่สวนลุมพินี สวนรถไฟ และอีกหลาย ๆ ที่ ซึ่งเหมาะกับการพายเรือมากกว่า

“เรื่องย่านต้องพัฒนาจากตัวเอง จะเห็นได้จากลานคนเมือง เราจัดอีเวนต์ตลาดนัดได้ แต่จัดเสร็จต่างคนต่างไป คนที่มาขายก็ไม่ใช่คนแถวนั้น แต่เรียนว่าไม่ใช่เรื่องการเมือง เราเคารพผลงานของทุกท่านที่ผ่านมา ไม่เคยคิดเป็นประเด็นการเมืองทั้งสิ้นเลย เราก็พัฒนาย่านเยอะแยะทั่วกรุงเทพฯ เลย” นายชัชชาติกล่าว

อย่างคลองผดุงกรุงเกษม มีการพัฒนาริมคลองให้มีความสวยงาม บางช่วงไม่ได้มีร้านค้าหรือกิจกรรมทางธุรกิจ ซึ่งคนก็มาวิ่งมาเดินชมความสวยงาม เดินไปถึงตลาดเทวราช มีขายของสด ขายต้นไม้

“ผมเบื่อเรื่องการเมืองนะ เราทำงานอย่างเดียว เพราะเราไม่ได้มีความทะเยอทะยานอะไร ขอทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ผู้ว่าฯ กทม.ที่ผ่านมาก็ทำผลงานได้ดี” นายชัชชาติ กล่าว

อยุธยา - ป.ป.ช.อยุธยา บูรณาการ เทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา เดินหน้าหามาตรการป้องกันการบุกรุกพื้นที่สาธารณะประโยชน์ พร้อมกำหนดจุดผ่อนปรน เพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อย

วันนี้ (14 มี.ค.67) ที่เทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา สำนักงาน ป.ป.ช.ประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมด้วย ป.ป.ช.ภาค 1 จังหวัดนนทุบรี และชมรม STRONG จิตพอเพียงต้านทุจริตจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นำโดย นางศิริพร กฤชสินชัย  ประธานโค้ช STRONG – จิตพอเพียงต้านทุจริตจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ติดตามผลการปฏิบัติการหาแนวทางป้องกันการบุกรุกพื้นที่สาธารณะประโยชน์ที่อยู่ในความรับผิดชอบของเทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา

นางศิริพร กฤชสินชัย ประธานโค้ช STRONG – จิตพอเพียงต้านทุจริตจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เปิดเผยว่า การลงพื้นที่หารือกับเทศบาลนครพระนครศรีอยุธยาครั้งนี้ เป็นไปตามโครงการ STRONG – จิตพอเพียงต้านทุจริต แผนงานปฏิบัติการ STRONG – จิตพอเพียงต้านทุจริตของ ป.ป.ช.ประจำจังหวัดฯ ภายใต้กิจกรรมการจับตามองและแจ้งเบาะแส (Watch & Voice) ครั้งที่ 3  ซึ่งถือว่าเป็นการบูรณาการร่วมกันกับเทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา ในการหามาตรการแนวทางการป้องกันการบุกรุกที่สาธารณะประโยชน์ จุดผ่อนปรนทั้งหมดทั้งปัจจุบันและอนาคต รวมถึง ทางเท้าหลายจุดในเมืองมรดกโลก และครอบคลุมในเขตพื้นที่อำเภอพระนครศรีอยุธยาทั้งหมด   เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนให้เห็นเป็นรูปธรรม และเป็นต้นแบบ โดยเฉพาะการจัดทำแผน ควบคู่กับการกำหนดระยะเวลาดำเนินการที่แน่นอน

ด้านนายกฤษณ์ เถี่ยนมิตรภาพ รองนายกเทศมนตรีเทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า จากการสำรวจร้านค้าที่ทำการค้าขายบริเวณพื้นที่สาธารณะ และบางจุดมีการรุกล้ำ พบว่า มีร้านค้าที่ทำการขายบริเวณที่หรือทางสาธารณะภายในเขตเทศบาลนครฯ มีทั้งหมด 504 ร้านค้า  ซึ่งจะมีการทบทวนทั้งจุดผ่อนปรน และต้องดำเนินการให้เป็นไปตามระเบียบและข้อกฎหมาย  ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้เทศบาลนครฯ ได้ส่งเจ้าหน้าที่สร้างความเข้าใจให้กับผู้ประกอบการร้านค้าอย่างต่อเนื่อง  พร้อมกำหนดระยะเวลาให้รื้อถอน  ขณะเดียวกัน มีบางพื้นที่ต้องประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปด้วยดีและไม่เกิดผลกระทบมากนัก  พร้อมกันนี้ ได้รับปาก ภายในระยะเวลาอันใกล้นี้จะพลิกฟื้นจังหวัดพระนครศรีอยุธยาให้กลับคืนมาเป็นเมืองมรดกโลกอย่างสง่างามอย่างแน่นอน

กระบี่-อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุฯ ถึงกระบี่แล้ว

กระบี่ จัดพิธีรับพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุของพระอัครสาวก จากจังหวัดอุบลราชธานี ถึงจังหวัดกระบี่แล้วเมื่อช่วงสายที่ผ่านมา ก่อนจะอัญเชิญไปประดิษฐานเป็นการชั่วคราว ณ วัดมหาธาตุวชิรมงคล เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 และเปิดให้ประชาชนเข้าสักการะได้ ระหว่างวันที่ 15-18 มีนาคมนี้

เมื่อช่วงสายที่ผ่านมา เครื่องบิน ซี 130 ของกองทัพอากาศ ขบวนอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ได้เดินทางจากท่าอากาศยานทหาร กองบิน 21 อุบลราชธานี ถึงท่าอากาศยานนานาชาติกระบี่ ก่อนที่จะอัญเชิญไปประดิษฐานเป็นการชั่วคราว ณ วัดมหาธาตุวชิรมงคล เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยมี นางปอโลมี ตริปาฐี อุปทูตสาธารณรัฐอินเดียประจำประเทศไทย นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายสมชาย หาญภักดีปฏิมา ผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ รวมทั้งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของจังหวัดกระบี่ ต้อนรับ

จากนั้น ผู้แทนจากอินเดียวได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะลงจากเครื่องบินไปประกอบพิธีสวดเจริญพระพุทธมนต์
และเจริญชัยมงคลคาถา ณ ห้องรับรอง ภายในสนามบิน โดยมีพระสงฆ์ และฝ่ายไทยและอินเดียร่วมพิธี ก่อนจะอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ก่อนอัญเชิญไปประดิษฐานยังห้องมั่นคงภายใน ณ วัดมหาธาตุวชิรมงคล หรือ วัดบางโทง ตำบลนาเหนือ อำเภออำอ่าวลึก จังหวัดกระบี่ และในวันที่ 15 มีนาคม 2567 เวลา 07.00 น.ทางจังหวัดได้จัดขบวนอัญเชิญยิ่งใหญ่ บนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 415 สายนาเหนือ - พนม ประกอบด้วย ขบวนช้างเทิดพระเกียรติ และนางรำมโนราห์กว่า 600 คน ข้าราชการ และประชาชนกว่าพันคน ร่วมในขบวน และในเวลา 12.00 น.จะเปิดให้ประชาชนได้เข้ากราบสักการะ ตั้งแต่วันที่ 15-18 มีนาคมนี้

ทั้งนี้ การเข้าสักการะพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุฯ ทางจังหวัดกระบี่ จะเปิดให้พุทธศาสนิกชนเข้ากราบสักการะ ณ บริเวณพระวิหาร โดยจะจัดเตนท์ให้บริการประชาชน และเปิดให้ประชาชนสามารถเข้าไปสักการะพระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุได้รอบละ 100 คน ตั้งแต่เวลา 08.00-20.00 น. และในทุกๆ ช่วงเย็นเวลา 18.00 – 19.00 น. จะมีพิธีเจริญพระพุทธมนต์เสริมสิริมงคลให้กับศาสนิกชนที่เข้ากราบสักการะพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันตธาตุของพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ซึ่งจะหยุดพักไม่อนุญาตให้ขึ้นสักการะพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันตธาตุฯ บนพระวิหารแต่บริเวณเจดีย์พุทธคยาและภายในเจดีย์จะเปิดให้ประชาชนเข้าไปไหว้สักการะพระพุทธเมตตา และสักการะบูชาพระพุทธรูปบริเวณรอบๆ เจดีย์ได้ และจะปิดการเข้าสักการะในเวลา 20.00 น. และขอความร่วมมือประชาชนที่เข้าร่วมงานในครั้งนี้แต่งกายด้วยชุดสุภาพ งดเว้นสีดำ โดยคาดว่าจะมีประชาชนเข้าร่วมสักการะฯ ประมาณวันละ 100,000 คน นอกจากนี้ ในทุกๆ ช่วงค่ำตลอดระยะเวลา 15-18 มีนาคม 2567 จะมีการส่องไฟเสริมความสวยงามให้กับเจดีย์พุทธคยา อีกด้วย..

ข้อมูลข่าว / ภาพ 
มโนธรรม ใจหาญ จ.กระบี่ รายงาน 

‘ทหารพรานปัตตานี’ แลกกระสุนเดือด!! กับ ‘ผู้ก่อความไม่สงบ’ หลังเจรจาไม่เป็นผล สุดท้ายตัดสินใจวิสามัญคนร้ายไป 2 ศพ

(14 มี.ค.67) พ.อ.สฐิรพงษ์ อาจหาญ ผู้บังคับกองกำลังทหารพรานจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.อ.ภาคภูมิ จันทรักษ์ ผบ.ทพ.44 นำกำลังร่วมกว่า 50 นาย เข้าทำการปิดล้อมตรวจค้นบ้านเช่า หมู่ 1 ต.เตราะบอน อ.สายบุรี จ.ปัตตานี ตั้งอยู่ริมถนนสายปัตตานี-นราธิวาส เนื่องจากได้รับแจ้งจากสายข่าวว่ามีบุคคลตามหมายจับคดีความมั่นคงเข้ามาหลบซ่อนตัวอยู่ภายในบ้านเช่าดังกล่าว เบื้องต้นคาดว่า น่าจะเป็นกลุ่มของ นายอับดุลเลาะ มูดอ และ นายหมัดไซฟูดดีน ลอแม่ ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับหลายหมาย เจ้าหน้าที่จึงส่งติดตามหาความเคลื่อนไหวตั้งแต่ช่วงกลางดึกเมื่อคืนนี้

ซึ่งเมื่อถึงช่วงเช้า เจ้าหน้าที่จึงนำกำลังไปสมทบ ไปถึงได้ทำการปิดถนนสายดังกล่าวทันที เนื่องจากเกรงว่าจะเกิดเหตุปะทะและประชาชนจะได้รับอันตราย เจ้าหน้าที่ไปถึงพบว่าเป็นบ้านเช่าห้องแถวชั้นเดียวติดกัน 8 ห้อง บ้านต้องสงสัยเป็นห้องแรกเจ้าหน้าที่ได้ปิดล้อมพร้อมได้เรียกบุคคลภายในบ้านออกมา กระทั่งมีคนตะโกนออกมาจากบ้านก่อนจะเดินออกมา เจ้าหน้าที่ได้สอบถามและทราบว่ามีอีก 2 คนที่ซ่อนตัวและไม่ยอมออกมา เจ้าหน้าที่จึงได้เชิญผู้นำท้องที่มาเจรจาให้ออกมาแสดงตัว แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ

กระทั่งเวลา 07.00 น. เจ้าหน้าที่ยังคงใช้การเจรจาอย่างต่อเนื่องโดยการสลับผู้นำท้องที่และผู้นำศาสนาเพื่อหวังให้ผู้ต้องสงสัยมอบตัว ปรากฏว่าคนร้ายที่ซ่อนตัวในบ้านได้ใช้อาวุธปืนยิงใส่เจ้าหน้าที่ที่พยายามปิดล้อมหน้าบ้าน ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องกระโดดหลบกระสุน เมื่อเห็นว่าคนร้ายมีอาวุธ เจ้าหน้าที่จึงได้เพิ่มความระมัดระวังกันพื้นที่ให้ปลอดภัยพร้อมกับการเจรจาอย่างต่อเนื่อง แต่คนร้ายก็ยังคงยิงใส่และถูกเจ้าหน้าที่ยิงตอบโต้

ต่อมาเวลา 07.30 น. เจ้าหน้าที่ได้ยิงแก๊สน้ำตา จำนวน 2 ลูก ก่อนจะบุกเข้าไปภายในบ้านเพื่อหวังยุติเหตุรุนแรง แต่ปรากฏว่าไม่พบตัวคนร้าย จึงได้รีบออกมาจากตัวบ้าน พร้อมกับวางแผนอีกครั้ง โดยเชื่อว่าคนร้ายน่าจะขึ้นไปหลบซ่อนตัวบนฝ่าใต้หลังคา จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ทำการใช้เหล็กยาวกระทุ้งฝ่าหลังจากทำให้คนร้ายยิงสวนใส่เจ้าหน้าที่ จนเกิดการยิงปะทะกันขึ้นเสียงดังสนั่นหวั่นไหว การปะทะเกิดขึ้นเป็นระยะ กระทั่งหนึ่งในคนร้ายถูกกระสุนปืนตกลงมาที่พื้นเสียชีวิตหนึ่งราย โดยข้างศพมีอาวุธปืน ขนาด 38 จำนวน 1 กระบอก ส่วนคนร้ายที่เหลือยังคงหลบซ่อนตัว เจ้าหน้าที่ภายนอกยังคงเจรจาให้คนร้ายที่เหลือออกมามอบตัวเพื่อลดความสูญเสีย แต่คนร้ายไม่ฟังยังคงยิงต่อสู้และเกิดการปะทะกันสนั่นทำให้ฝ้าเพดานเปิดกว้างและเห็นตัวคนร้ายที่ใช้คานปูนเป็นกำบังทำให้ยากต่อการจับกุมและคนร้ายยังคงใช้อาวุธยิงสวนเจ้าหน้าที่ตลอดเวลา ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะถอยออกมา

จากนั้นเวลา 08.00 น. เจ้าหน้าที่ได้ใช้โดรนบินเข้าไปในบ้านเพื่อดูความเคลื่อนไหวของคนร้าย ก่อนจะเห็นตัวคนร้ายที่พยายามหนีไปอีกฝั่งของบ้านอีกหลังโดยการใช้คานปูนบังตัวไว้ เจ้าหน้าที่จึงได้บุกเข้าไปอีกครั้งก่อนมีการยิงปะทะกันอีกระยะเกือบ 3 นาทีทำให้คนร้ายถูกยิงเสียชีวิตเป็นรายที่สองอยู่บริเวณคานใต้หลังคาด้านหลังบ้าน

จากการตรวจสอบคนร้ายที่เสียชีวิต เบื้องต้นทราบชื่อ นายฮัมดี สะลอ ผู้ต้องหาตามหมายจับ 1 หมาย และ นายราชิตร มะยูโซะ หมายจับ 2 หมาย อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่จะได้ตรวจสอบอีกครั้งว่าใช่บุคคลทั้งสองหรือไม่

และจากการสอบถามบุคคลที่เช่าบ้าน ให้การว่า คนร้ายทั้งสองคนตนไม่รู้จัก แต่ทราบว่าได้ขอเช่าบ้านอีกหลัง อย่างไรก็ตาม จากรายงานข่าวเชื่อว่าคนร้ายที่เสียชีวิตพยายามเคลื่อนไหวในพื้นที่ในช่วงรอมฎอนคาดว่าจะมีการก่อเหตุร้ายในพื้นที่ แต่โชคดีชาวบ้านได้แจ้งเจ้าหน้าที่ก่อนและเข้าตรวจสอบ กระทั่งคนร้ายถูกวิสามัญเสียชีวิตดังกล่าว

'ดร.เอ้' โพสต์ภาพทางเท้าแถวชินจุกุ เรียบสนิท ไม่มีหลุม ไม่มีทรุด เชื่อ!! กทม.ก็ทำได้ หากทำงานด้วย 'มาตรฐาน-ตั้งใจจริง'

(14 มี.ค.67) ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ 'ดร.เอ้' รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กทม. ได้โพสต์ข้อความพร้อมภาพผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว 'เอ้ สุชัชวีร์' ขณะที่ไปญี่ปุ่น ระบุว่า...

ทำไมมันเรียบอย่างนี้! ฟุตพาทแถวชินจุกุ โตเกียว เรียบสนิท ไม่มีหลุม ไม่มีทรุด กรอบต้นไม้ก็ทำดีมาก ฝั่งซ้ายที่เอกชน เชื่อมกับฝั่งขวาที่สาธารณะ เนียนกริบ เหมือนไร้รอยต่อ ฝาท่อไม่มีโป่ง ไม่เผยอ เดินสบาย

ในความเป็นจริง กทม. #เราทำได้ เช่นกัน อยู่ที่มาตรฐานการทำงาน และความตั้งใจจริง

ความจริงเรื่อง 'ค่าไฟฟ้า' ความถูก-แพง ที่ทำ 'ก.พลังงาน' กลุ้ม ผลพวงจากทิศทางโลก ผสมโรงบิ๊กเอกชนผูกขาดก๊าซธรรมชาติ

ปัญหาด้านสาธารณูปโภคที่เรื้อรังมายาวนานและกลายเป็นประเด็นที่บรรดานักกิจกรรมทางการเมือง นักร้อง นักเคลื่อนไหว นักการเมือง นักวิชาการ ฯลฯ ตลอดจนเหล่ามนุษย์ผู้หิวโหยหาแสงทั้งหลาย มักจะหยิบยกขึ้นมาเป็นประจำก็คือ 'ปัญหาราคาค่าไฟฟ้า'

แน่นอน 'ค่าไฟฟ้าแพง' เป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าพรรคการเมืองใดก็ตามมาเป็นรัฐบาล แต่เรื่องราวที่ผู้คนส่วนใหญ่อาจไม่รู้ หลงลืม หรือไม่ได้ใส่ใจ ก็คือ รัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานไม่ได้เป็นผู้กำหนดทั้งอัตราค่าไฟฟ้าหลัก (ค่าไฟฟ้าฐาน ซึ่งไม่ได้ปรับเปลี่ยนมาแล้วหลายปี) และ อัตราค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่า Ft : ค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ) ค่า Ft ถูกกำหนดไว้เพื่อให้สะท้อนการเปลี่ยนแปลงต้นทุนที่อยู่ในค่าไฟฟ้าฐานที่อยู่เหนือการควบคุมของการไฟฟ้า คือค่าใช้จ่ายด้านเชื้อเพลิง ค่าซื้อไฟฟ้า และค่าใช้จ่ายตามนโยบายของรัฐที่เปลี่ยนแปลงไปจากต้นทุนคงที่ซึ่งคำนวณไว้ในค่าไฟฟ้าฐาน โดยมีคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. ทำหน้าที่กำกับดูแล

คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. อันเป็นคณะบุคคลจำนวน 7 คน (ประธานฯ 1 คน กรรมการ 6 คน ซึ่งได้รับการคัดสรรและได้รับการโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง) ทำหน้าที่ในการกำกับดูแลการประกอบกิจการพลังงาน อันหมายถึง กิจการไฟฟ้า กิจการก๊าซธรรมชาติ และกิจการระบบโครงข่ายพลังงาน ดังนั้นการพิจารณาปรับขึ้นหรือลดอัตราค่าไฟฟ้า จึงไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของรัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานที่เพียงแต่ทำหน้าที่ในการทำให้ราคาต้นทุนพลังงานที่นำมาใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าลดลงให้มากที่สุด เพื่อให้สามารถลดค่า Ft ลงอันจะเป็นการช่วยเหลือประชาชนคนไทยได้

แต่เริ่มเดิมทีไทยเราผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานถ่านหินเป็นส่วนใหญ่ รองลงมาคือ พลังงานน้ำ เมื่อบ้านเมืองมีการพัฒนาให้เจริญก้าวหน้า กอปรกับพลังงานถ่านหินที่มีอยู่ก็ลดน้อยลงไปตามการใช้งาน อีกทั้งยังก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ นอกจากนั้นแล้วการสร้างเขื่อนเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าก็ถูกคัดค้านโดย NGO และบรรดานักอนุรักษ์ธรรมชาติทั้งหลาย เพราะความเจริญก้าวหน้าของประเทศนำมาซึ่งความต้องการในการใช้ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น

ดังนั้นโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าจากก๊าซจึงเป็นกระบวนการหลักในการผลิตกระแสไฟฟ้าในเวลาต่อมาจนกระทั่งปัจจุบันทุกวันนี้

ปัจจุบันก๊าซธรรมชาติที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าของไทยมาจาก 3 แหล่ง คือ...

- ก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทย 
- ก๊าซธรรมชาติจากเมียนมา 
- ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่นำเข้าด้วยสัญญาระยะยาวและ LNG Spot

โดยที่ผ่านมาผู้ที่ผูกขาดจัดจำหน่ายก๊าซธรรมชาติเพียงเจ้าเดียวของไทยก็คือ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และปัจจุบันยังคงผูกขาดก๊าซธรรมชาติจากอ่าวไทยและเมียนมา ในขณะที่ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่นำเข้าด้วยสัญญาระยะยาวและ LNG Spot นั้น ปี พ.ศ. 2567 กกพ.พึ่งจะอนุญาตให้ผู้ประกอบการโรงงานผลิตกระแสไฟฟ้าสามารถนำเข้าเองได้เป็นปีแรก

ในปัจจุบันราคาซื้อขาย LNG จะแตกต่างกันตามภูมิภาค ทั้งยังมีโครงสร้างราคาที่ต่างกัน ได้แก่...

- ตลาดภูมิภาคอเมริกาเหนือ จะใช้ดัชนีราคา Henry Hub (HH) 
- ตลาดภูมิภาคยุโรป แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ ประเภทที่ใช้ดัชนีราคา National Balancing Point (NBP) และประเภทที่ใช้ดัชนีราคา Title Transfer Facility (TTF)
- ตลาดภูมิภาคเอเชีย จะใช้ดัชนีราคา Japanese Crude Cocktail (JCC) 

นอกจากนี้ ยังสามารถแบ่งรูปแบบการซื้อขายออกเป็น 2 รูปแบบ คือ...

- Spot คือการซื้อ-ขาย LNG ที่มีการส่งมอบเป็นรายเที่ยวเรือ เป็นไปตามราคาตลาดในช่วงเวลานั้นๆ 
- Term Contract คือ การซื้อ-ขาย ที่มีการส่งมอบสินค้าอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลาที่แน่นอน โดยจะคำนวณตามสูตรราคาอ้างอิงกับดัชนีราคาน้ำมันหรือราคาก๊าซฯ ตามข้อตกลงในสัญญาซื้อ-ขาย

แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นกับราคา LNG ในปัจจุบันก็คือ ยุโรปยกเลิกการสั่งซื้อ LNG จากรัสเซียอันเนื่องมาจากการคว่ำบาตรรัสเซียที่ทำสงครามกับยูเครน ทำให้ต้องนำเข้า LNG จากแหล่งอื่นๆ โดยเฉพาะตะวันออกกลางและแอฟริกา ราคา LNG จึงมีราคาเพิ่มขึ้น อีกทั้งการนำเข้า LNG มีต้นทุนค่าขนส่งและคลังจัดเก็บ ตลอดจนค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อันเป็นสกุลเงินที่ใช้ในการซื้อขาย LNG กอปรกับแหล่งก๊าซของ บริษัทปตท. จำกัด (มหาชน) ไม่ว่าจะเป็นอ่าวไทยหรือเมียนมามีปริมาณการผลิตที่ลดลง เรื่องเหล่านี้จึงส่งผลกระทบต่อการคำนวณพิจารณาค่า Ft ซึ่งต้องนำราคา LNG ซึ่งเป็นเชื้อเพลิงหลักในการผลิตกระแสไฟฟ้าของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ด้วยเหตุผลที่ได้กล่าวมานั้นไม่ว่ารัฐบาลจากพรรคไหนก็ตาม จึงไม่สามารถกำหนดราคาค่าไฟฟ้าได้ตามอำเภอใจ เพราะเป็นบทบาทหน้าที่ตามกฎหมายของกกพ. แม้ว่าปัจจุบันภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจะพยายามส่งเสริมการผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยพลังงานทางเลือก (Alternative energy) ไม่ว่าจะเป็นพลังงานธรรมชาติเช่น พลังงานแสงอาทิตย์ หรือพลังงานลม หรือพลังงานน้ำ หรือพลังงานจากชีวมวล ฯลฯ ก็ตาม ต้องมีการจ่ายค่า Adder (ค่าไฟฟ้าส่วนเพิ่มโดยบวกเพิ่มจากอัตราค่าไฟฟ้าปกติเป็นระยะเวลา 7 หรือ 10 ปี ตามประเภทของโรงไฟฟ้า) ในอดีต และปัจจุบันจ่ายค่า  FiT (Feed-in-Tariff) อันเนื่องมาจากแม้จะไม่มีต้นทุนในการจัดหาเชื้อเพลิง แต่จะมีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของพลังจากธรรมชาติ และความเสี่ยงจากความผันผวนของต้นทุนในการจัดหาเชื้อเพลิงในกรณีพลังงานจากชีวมวล 

นอกจากนั้นแล้วไทยยังต้องมีการ 'สำรองไฟฟ้า' เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหาย หากเกิดเหตุฉุกเฉินจึงต้องมีการสำรองไฟฟ้าให้เพียงพอ https://thestatestimes.com/post/2023042021 และ https://thestatestimes.com/post/2023042443 

ดังนั้นราคาค่าไฟฟ้าที่กกพ.กำหนด จึงเป็นไปตามบริบทที่แท้จริงตามสภาวะการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะที่มีการคำนวณค่า Ft หากไม่เช่นนั้นแล้วเหล่าบรรดานักกิจกรรมทางการเมือง นักร้อง นักเคลื่อนไหว นักการเมือง นักวิชาการ ฯลฯ ตลอดจนเหล่ามนุษย์ผู้หิวโหยหาแสงทั้งหลาย ยังไม่มีใครกล้านำข้อมูลที่นำมาสร้างเป็นกระแส 'ค่าไฟฟ้าแพง' ฟ้องร้องดำเนินคดีกับคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ.เลยจนถึงทุกวันนี้

ตำรวจปราบปรามยาเสพติด สกัดจับเครือข่ายยานรก

ตำรวจปราบปรามยาเสพติด สกัดจับเครือข่ายยานรก พบการลำเลียงลงภาคใต้จำนวนมาก  
คาดมาทดแทนยาเสพติดที่ถูกจับได้ก่อนหน้านี้ เบื้องต้นยึดยาบ้า ล้านเม็ด, ไอซ์ 150 กก., เฮโรอีน  
157 กก. และ คีตามีน 250 กก.  

ตามนโยบายการปราบปรามยาเสพติดของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เน้นใช้มาตรการทางกฎหมายเพื่อทำลายเครือข่ายยาเสพติดอย่างจริงจังทั้งระบบ ประกอบกับนโยบายของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร. และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา, พล.ต.ท.นิรันดร เหลื่อมศรี, พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. มุ่งเน้นให้เดินหน้าเชิงรุกปราบปรามจับกุมผู้ค้ายาเสพติดในพื้นที่และขยายผลการเครือข่ายที่จับกุมได้ทุกระดับ รวมทั้งสืบสวนขยายผลเพื่อยึดทรัพย์สินที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด ทั้งของผู้ค้ายาเสพติด รวมทั้งผู้ช่วยเหลือและสนับสนุนเครือข่ายทั้งหมดมาตรวจสอบ  

วันนี้ 14 มี.ค.67 เวลา 10.00 น. พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส. พร้อมด้วย พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผบช.ปส., พล.ต.ต.สมเกียรติ วัฒนพรมงคล, พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว, พล.ต.ต.ออมสิน ตรารุ่งเรือง, พล.ต.ต.พลัฎฐ์ วิเศษสิงห์รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยง รอง ผบช.ฯ, พล.ต.ต.นพสิทธิ์ มิตรภักดี ผบก.ปส.1, พล.ต.ต.ธนรัชน์ สอนกล้า ผบก.ปส.2, พล.ต.ต.อดิศ เจริญสวัสดิ์ ผบก.ปส.3, พล.ต.ต.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผบก.ปส.4, พล.ต.ต.อิทธิพล จันทร์ศรีบุตร  
ผบก.ขส. และพล.ต.ต.วิทัศน์ บริรักษ์ ผบก.สกส. ร่วมแถลงผลการจับกุมเครือข่าย 9 เครือข่าย ผู้ต้องหารวม 19 คน ตรวจยึดยาบ้ารวม 22 ล้านเม็ด, ไอซ์ 150 กก., เฮโรอีน 157 กก. และ คีตามีน 250 กก. พร้อมของกลางรถที่ใช้ก่อเหตุ 18 คัน  
  
คดีที่ 1 สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 10 ก.พ.67 ตำรวจ กก.3 ปส.2 ร่วมกับ บก.ขส. บช.ปส. จับกุมนายสมพงษ์ พร้อมยาบ้า 12 กระสอบ จำนวน 5 ล้านเม็ด จึงร่วมกันขยายผลและวิเคราะห์ข้อมูล พบเครือข่ายนี้มี นายสมพงษ์ และนายสุรพล ยังคงลอบนำยาเสพติดเข้าสู่พื้นที่ตอนใน อย่างต่อเนื่อง จนวันที่ 4 มี.ค.67 สายลับแจ้งว่า นายสุรพล  
กับพวก จะนำยาเสพติดจากพื้นที่แนวชายแดน ด้าน จว.บึงกาฬ ไปส่งให้ลูกค้าในเขต กทม. โดยใช้รถยนต์กระทั่งช่วงค่ำของวันเดียวกัน พบรถยนต์เป้าหมาย วิ่งเกาะกันเป็นขบวน บนถนนหมายเลข 212 (ถนนชยางกูร) ในพื้นที่ อ.บุ่งคล้า-อ.บึงโขงหลง จว.บึงกาฬ ต่อเนื่อง จว.นครพนม - จว.สกลนคร -จว.กาฬสินธุ์และ จว.มหาสารคาม เมื่อถึงสี่แยกไฟแดงบายพาสกาฬสินธุ์ (ชุมชนทุ่งศรีเมืองกลาง) ต.เหนือ อ.เมือง จว.กาฬสินธุ์ ชุดจับกุมจึงสกัดจับ พร้อมแสดงตัวขอตรวจสอบรถยนต์ ทั้ง 3  
คัน คือ รถยนต์HONDA ACCORD หมายเลขทะเบียน กย 67xx กาญจนบุรี พบนายสุนัน เป็นผู้ขับขี่ ตรวจสอบไม่พบสิ่งของผิดกฎหมาย ส่วนรถยนต์ HONDA CITY หมายเลขทะเบียน 4กล57xx กทม. และรถยนต์ TOYOTA VIOS หมายเลขทะเบียนกธ 26xx สระแก้ว ผู้ขับขี่พยายามขับหลบหนีมุ่งหน้า จว.มหาสารคาม ก่อนที่ทะเบียน สระแก้ว ถูกนำไปจอดทิ้งไว้ที่ลานจอดโรงพยาบาลจังหวัดมหาสารคาม ส่วนคนขับ วิ่งขึ้นรถอีกคันเพื่อหลบหนีเมื่อขับมาได้ระยะหนึ่งจึงจอดรถทิ้ง และวิ่งหนีไปคนละทิศละทาง ทั้งนี้ ตำรวจสามารถติดตามจับกุมคนขับรถทั้ง 2 คัน คือ นายขจรเกียรติ์ ได้บริเวณสถานีขนส่งจังหวัดมหาสารคาม ส่วน นายสุรพล ถูกควบคุมตัวได้บริเวณริมถนนวรบุตร ใน อ.เมือง จว.มหาสารคาม ก่อนจะนำทั้งสองมาที่จุดทิ้งรถเพื่อตรวจค้น เบื้องต้นไม่พบสิ่งของผิดกฎหมาย จากนั้นคุมตัวทั้ง 3 คน มาตรวจค้นรถที่ถูกจอดบริเวณลานจอดโรงพยาบาล จังหวัดมหาสารคาม พบกระสอบต้องสงสัยวางอยู่เบาะหลังภายในห้องโดยสาร 2 กระสอบ และท้ายกระโปรงรถ 2 กระสอบ ตรวจสอบเป็นยาบ้าประมาณ 1,500,000 เม็ด นอกจากนี้ยังพบเฮโรอีน 20 แท่ง น้ำหนัก 7 กิโลกรัม  

คดีที่ 2 จากการสืบสวนและวิเคราะห์ข้อมูลของ ตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 พบเครือข่ายยาเสพติดมีพฤติการณ์ลักลอบ ลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ชายแดน เพื่อส่งต่อในพื้นที่ตอนในของ จว.เชียงใหม่ โดยใช้รถกระบะสีเทาลำเลียง และมักนำยาเสพติดอำพรางมากับพืชผลทางการเกษตรอยู่อย่างต่อเนื่อง กระทั่งช่วงสายของวันที่ 5 มี.ค.2567 ชุดจับกุม ตรวจสอบพบรถเป้าหมายเป็นรถกระบะติดคอกเหล็ก หมายเลขทะเบียน ยน-79xx เชียงใหม่ ขับมุ่งหน้าไปยัง อ.แม่แตง จว.เชียงใหม่ จึงติดตามและสกัดจับไว้ได้บริเวณโรงเรียนสบเปิงวิทยา ต.สบเปิง อ.แม่แตง จว.เชียงใหม่ มี นายอรรถพล เป็นคนขับรถ ภายในห้องโดยสารและท้ายกระบะมีกระสอบต้องสงสัยถูกวางอยู่จำนวน 30 กระสอบ ตรวจสอบเป็นยาบ้า รวม 6,000,000 เม็ด เบื้องต้น จับกุม นายอรรถพล พร้อมของกลางนำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย.  
คดีที่ 3 เมื่อวันที่ 1 มี.ค.67 เวลา 15.00 น. ตำรวจ บก.ปส.4 ร่วมกับตำรวจภูธรจังหวัดชุมพร สนธิกำลังตั้งด่านตรวจบริเวณริมถนนเพชรเกษม หน้าด่านตรวจยานพาหนะชุมพร ขณะปฏิบัติหน้าที่ พบรถกระบะ ยี่ห้ออีซูซุ สีขาว หมายเลข ทะเบียน 3 ฒน 1xxx กทม. เป็นรถยนต์ที่อยู่ในบัญชีเฝ้าระวังขับผ่านมา ชุดจับกุมจึงเรียกให้หยุด เพื่อตรวจสอบ พบ นายปราการ เป็นผู้ขับขี่ จากนั้นตำรวจจึงนำรถเข้าเครื่องเอกซเรย์พบวัตถุมีลักษณะเป็นก้อน ๆ บริเวณกระบะท้าย จึงตรวจค้น อย่างละเอียดพบยาบ้า 6 แสนเม็ด ซุกซ่อนอยู่บริเวณหลังกระบะท้ายโดยมีผ้าใบสีดำคลุมปิดทับไว้สอบสวน นายปราการ สารภาพว่าถูกว่าจ้างจาก นายเป้ ให้ลำเลียงยาบ้าจำนวนนี้มาจาก อ.ลาดหลุมแก้ว จว.ปทุมธานีไปส่งลูกค้าใน อ.หาดใหญ่ จว.สงขลา  

คดีที่ 4 สืบเนื่องจากการจับกุมไอซ์ 1,000 กก. ที่ผ่านมา ตำรวจ บก.ปส.4 ได้สืบสวนขยายผล จนพบเส้นทางการเงินของกลุ่มเครือข่ายนี้ มีความเชื่อมโยงกับกลุ่มบุคคลที่ใช้รถกระบะ ISZUSU สีเทา หมายเลขทะเบียน ผพ – 2xx สงขลา และรถกระบะ หมายเลขทะเบียน ผค-6xxx สงขลา ตำรวจจึงได้เฝ้าระวัง กระทั่งวันที่ 9 มี.ค.67 เวลา 17.30 น .  พบความเคลื่อนไหวของรถทั้ง 2 คัน เคลื่อนตัวจากภาคใต้ไปยังพื้นที่ภาคกลาง และขับกลับเข้ามาในพื้นที่ภาคใต้ พร้อมรถยนต์ อีก 1 คัน ในลักษณะขับนำหน้าและขับตามกัน ชุดจับกุมจึงประสานตำรวจทางหลวงพัทลุง ตั้งจุดตรวจบริเวณหน่วยบริการ ประชาชน เมื่อรถต้องสงสัยขับผ่านมา จึงเรียกเพื่อทำการตรวจค้น พบ น.ส.ปรียานุช เป็นผู้ขับขี่ เบื้องต้นไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย ต่อมารถกระบะลักษณะตีคอกสูง หมายเลขทะเบียน ผค-6xxx สงขลา ขับมาถึงจุดตรวจ พบนายธวัชชัย เป็นผู้ขับขี่ ตรวจค้นพบเฮโรอีน น้ำหนัก 150 กก. และ คีตามีน น้ำหนัก 250 กก. ถูกซุกซ่อนอำพรางมากับพืชผลทางการเกษตร สอบสวนสารภาพว่าได้รับการว่าจ้างให้ลำเลียงยาเสพติดทั้งหมดนี้มาจาก จว.อ่างทอง ไปส่งยังจังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วน น.ส.ปรียานุช รับว่า ได้ขับรถนำทางมาเพื่อสำรวจเส้นทางล่วงหน้า

คดีที่ 5 ก่อนการจับกุม ตำรวจ บก.สกส. ได้รับแจ้งมีเครือข่ายจะลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ภาคกลาง ไปส่งลูกค้าในภาคใต้ โดยจะใช้รถยนต์ 2 คัน กระทั่งวันที่ 29 ก.พ.67 ช่วงเที่ยงต่อเนื่องถึงเย็น พบความเคลื่อนไหวของรถยนต์เป้าหมาย จึงจัดกำลังสะกดรอยติดตาม จนสามารถจับกุม นายมนตรีพร้อมรถยนต์หมายเลขทะเบียน กน 50xx ประจวบคีรีขันธ์ ตรวจสอบ พบยาบ้าจำนวน 100 แพ็ค รวม 1,000,000 เม็ด ได้ที่บริเวณถนนเอเชีย หมายเลข 41 กม. ต.นาขา อ.หลังสวน จว.ชุมพร ส่วน นายปฐม และ นายสุวรรณ ได้ที่บ้านเลขที่ 245 หมู่ที่ 5 ต.อ่าวน้อย อ.เมือง จว.ประจวบคีรีขันธ์  
พร้อมรถยนต์หมายเลขทะเบียน กค 18xx ประจวบคีรีขันธ์ที่ทำหน้าที่สำรวจด่านตรวจ 

คดีที่ 6 เมื่อวันที่ 2 มี.ค. 67 ตำรวจ บก.สกส. ร่วมกับ บก.ปส.4, บก.ขส.บช.ปส., ภ.จว.สุพรรณบุรี และ บก.ทล. จับกุม 2 ผู้ต้องหา สืบเนื่องจากตำรวจ บก.สกส.บช.ปส. รับแจ้งจากสายลับว่ากลุ่มบุคคลซึ่งมีพฤติการณ์ลักลอบลำเลียงยาเสพติด จากพื้นที่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เพื่อนำมาส่งลูกค้าที่ จว.สุพรรณบุรีจะใช้รถกระบะ และ รถยนต์ ลำเลียงยาเสพติดจำนวนมากผ่าน จว.สกลนคร - อ.ภูพาน - จว.กาฬสินธุ์ - จว.มหาสารคราม - จว.ขอนแก่น - วิ่งเส้นถนนมิตรภาพเจ้าหน้าที่จึงเฝ้าระวังและติดตามรถเป้าหมายทั้ง 2 คัน กระทั่งวันที่ 2 มี.ค.67 พบความเคลื่อนไหวของกลุ่มรถยนต์จึงจัดกำลัง 
สะกดรอยติดตาม แต่ผู้ต้องหารู้ตัวจึงทิ้งรถและแยกย้ายกันหลบหนี พบรถกระบะติดหลังคาแครี่บอย หมายเลขทะเบียน 2 ฒช  16xx กทม. ได้หน้าบ้าน เลขที่ 99/9 หมู่ 2 ต.บ้านโพธิ์ อ.เมือง จว.สุพรรณบุรีพบกระสอบต้องสงสัย 6 กระสอบ ตรวจสอบภายในเป็นยาบ้ารวม 2,400,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่หลังกระบะ ต่อมาจับกุม นายเกรียงศักดิ์ได้บริเวณ 4 แยกกำนันดิเรก ตำบล 
บ้านใหม่ อำเภอพระนครศรีอยุธยา จว.พระนครศรีอยุธยา พร้อมรถยนต์ Honda หมายเลขทะเบียน ฆบ 69xx กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นสำรวจเส้นทาง ก่อนจะจับ    กุม นายพชร ได้ริมถนนพหลโยธิน (ขาเข้า) หน้าค่ายอดิศร ตำบลปากเพรียว อำเภอเมืองสระบุรี จว.สระบุรี  

คดีที่ 7 วันที่ 2 มี.ค. 67 ตำรวจ บก.สกส., ภ.จว.ตาก , ภ.จว.ลำปาง และเจ้าหน้าที่ทหาร ร่วมกันจับกุม 2 ผู้ต้องหาสาว สืบเนื่องจากตำรวจ บก.สกส. รับแจ้งว่ากลุ่มบุคคลมีพฤติการณ์ลักลอบนำยาเสพติดจากพื้นที่ทางภาคเหนือ มาส่งให้ลูกค้า ในพื้นที่ จว.ตาก โดยใช้รถยนต์ กท 14xx พะเยา กระทั่งวันเกิดเหตุพบรถเป้าหมายขับมุ่งหน้า จว.ตาก ชุดจับกุมจึง ประสานงานกับตำรวจ สภ.วังประจบ ภ.จว.ตาก เพื่อเรียกตรวจค้นรถยนต์คันดังกล่าวบริเวณด่านตรวจ พบ น.ส.ทักษอร เป็นผู้ขับขี่ และ น.ส.สุมาลี ผาด่าน เป็นผู้โดยสาร สอบถามพบพฤติการณ์น่าสงสัย จึงเชิญตัวและนำรถยนต์ไปที่ด่านตรวจ  
ยาเสพติดแม่พริก เพื่อ X-Ray พบวัตถุต้องสงสัย เมื่อเปิดตรวจสอบดูพบเป็นยาบ้า 211 มัด รวม 422,000 เม็ด ซุกซ่อนในช่องลับที่ถูกดัดแปลงใต้ช่องเก็บของท้ายรถยนต์  
คดีที่ 8 สืบเนื่องจาก บก.สกส. ได้รับแจ้งว่ามี นายนพดล เครือข่ายยาเสพติดยังมีพฤติการณ์เคลื่อนไหวรับจ้างขนลำเลียงยาเสพติดอยู่อย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ทราบว่าจะลักลอบนำยาเสพติดจากพื้นที่ชายแดนไทย-เมียนมา ด้าน จว.เชียงรายไปส่งให้กับลูกค้า ในเขตพื้นที่ กทม. และปริมณฑล กระทั่งวันที่ 6 มี.ค.67 ได้รับแจ้งว่า นายนพดล จะใช้รถตู้และ รถยนต์ในการลำเลียง จึงสะกดรอยติดตาม พบรถตู้หมายเลขทะเบียน นจ 41xx กทม เข้าเติมน้ำมันที่ปั๊มในพื้นที่ จ.สิงห์บุรี ชุดจับกุม 
จึงเข้าควบคุมตัว นายนพดล คนขับรถ และมี น.ส.สิรีธร โดยสารมาด้วย หลังจากซักถามทั้ง 2 คน ให้การไม่ตรงกับเส้นทางที่เดินทางมา จึงเชิญตัวและนำรถยนต์เข้าเครื่องเอกซเรย์ ที่ด่านตรวจยาเสพติดพยุหะคีรี ผลการตรวจสอบ พบไอซ์ จำนวน150 ห่อ ถูกซุกซ่อนอยู่ในรถตู้ รวม 150 กก. จากนั้นได้ขยายผลจับกุม นายวัชรพล ซึ่งทำหน้าที่รับช่วงต่อจากนายนพดลฯ เพื่อนำยาเสพติดไปส่ง ได้ที่ลานจอดรถห้างโลตัส สาขาศรีนครินทร์อ.เมือง จว.สมุทรปราการ 

คดีที่ 9 ตำรวจ บก.สกส., บก.ปส.3, บก.ขส.บช.ปส., ป.ป.ส.และ บก.ทล. ร่วมจับกุม 2 สามีภรรยาลำเลียงยาเสพติด หลัง บก.สกส. ได้รับแจ้งว่ามี นายอดิสรณ์, นางกันยา 2 สามีภรรยา พร้อมพวก จะใช้รถบรรทุกเสริมข้าง พร้อมลูกพ่วง, รถยนต์ 3 คัน และ รถกระบะ 1 คัน เพื่อลักลอบลำเลียงยาเสพติดจาก อ.ภูซาง จว.พะเยา จึงจัดกำลังเฝ้าติดตาม กระทั่งวันที่ 11 มี.ค.67 ระหว่างที่รถยนต์ หมายเลขทะเบียน กต 41xx พะเยา ซึ่งเป็นรถนำเส้นทาง มีนางกันยา เป็นคนขับ มาถึงด่านตรวจยาเสพ
ติดพยุหะคีรีขณะเดียวกันรถบรรทุก หมายเลขทะเบียน 71 24xx เชียงใหม่ มีนายอดิศรณ์ เป็นคนขับก็ได้แวะจอดที่ปั๊มน้ำมัน อย่างมีนัยยะ ตำรวจจึงเข้าตรวจสอบและนำรถเข้าเครื่องเอกซเรย์ที่ด่านตรวจยาเสพติดพยุหะคีรี พบยาบ้า 50 กระสอบ รวม 10,000,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ภายในกระบะของลูกพ่วง ของรถบรรทุกดังกล่าว  
  
ทั้งนี้ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2566 – 12 มีนาคม 2567 กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.)  
สามารถจับกุมขบวนการค้ายาเสพติด รายสำคัญได้ 126 คดี ผู้ต้องหา 219 คน ของกลางเป็นยาบ้า 166,697,573 เม็ด, ไอซ์ 4,296 กก. เฮโรอีน 250 กก. คีตามีน 1,451 กก. และ ยาอี 498 เม็ด ยึดอายัดทรัพย์สินไว้เพื่อตรวจสอบมูลค่าประมาณ 709

ผบ.ทร.สิงคโปร์ เยี่ยมชม นย. ในโอกาสเดินทางเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ในฐานะแขกของกองทัพเรือ

เมื่อวันที่ 13 มี.ค.67 พลเรือตรี อภิชาติ ทรัพย์ประเสริฐ รองผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน (รอง ผบ.นย.) ผู้แทน ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน และคณะนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ให้การต้อนรับ พลเรือตรี Sean Wat ผู้บัญชาการทหารเรือสิงคโปร์ (ผบ.ทร.สิงคโปร์) และคณะฯ เนื่องในโอกาสเดินทางมาเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ระหว่างวันที่ 22-15 มี.ค.67 ในฐานะแขกของกองทัพเรือ โดยเข้า วางพวงมาลา ณ อนุสาวรีย์ทหารนาวิกโยธิน รับชมวิดีทัศน์ และรับฟังการบรรยายสรุปถึง ภารกิจของหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ณ หน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน ค่ายกรมหลวงชุมพร อ.สัตหีบ จว.ชลบุรี บรรยากาศ เป็นด้วยความแน่นแฟ้น อบอุ่นและเป็นกันเอง 

สำหรับ กองทัพเรือไทย และกองทัพเรือสิงคโปร์ มีความสัมพันธ์ อันดีต่อกันมาอย่างต่อเนื่อง ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กองทัพเรือไทย ได้จัดเรือเและกำลังพล เข้าร่วมทำการฝึกร่วมผสม ภายใต้ระหัสชื่อ 'SINGSIAM' ณ ประเทศสิงคโปร์ มาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2528 เป็นต้นมา 

‘ทักษิณ’ ควง ‘อุ๊งอิ๊ง’ นั่งรถรางชมอุทยานราชพฤกษ์ 'อดีตนายกฯ สมชาย-เจ๊แดง-ธรรมนัส-บิ๊กโจ๊ก' รอรับ

(14 มี.ค. 67) ที่จังหวัดเชียงใหม่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางกลับบ้านเกิดที่จังหวัดเชียงใหม่ ด้วยเครื่องบินส่วนตัว พร้อมด้วย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะบุตรสาว นายปิฎก สุขสวัสดิ์ บุตรเขย และหลานสาว ลงที่ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ หักพาล รองผบ.ตร. มาต้อนรับด้วย

ก่อนที่นายทักษิณ เดินทางต่อด้วยรถยนต์รถเลกซัสสีดำ ทะเบียน ขย 111 กรุงเทพมหานคร มาชมพืชสวนโลก ที่อุทยานหลวงราชพฤกษ์ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2549 ถือเป็นหนึ่งในผลงานที่นายทักษิณ ได้ผลักดันสมัยเป็นนายกฯ ก่อนถูกรัฐประหาร ปี 2549

โดยทันทีที่ นายทักษิณ มาถึงนายภูดิท อินสุวรรณ์ อดีต สส.เชียงใหม่ พรรคไทยรักไทย นำพระพุทธรูปพุทธบารมี วัดทับคล้อ หน้าตัก 9 นิ้ว มามอบให้นายทักษิณ พร้อมกันนี้นายทักษิณยังกล่าวทักทายคนที่มาให้การต้อนรับอย่างเป็นกันเอง ซึ่งเป็นที่สังเกตว่าการมาครั้งนี้ นายทักษิณ มีสีหน้าสดใส สวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าคราม กางเกงยีนส์ รองเท้าลำลอง และเดินกุมมือกับ น.ส.แพทองธาร ตลอดเวลา โดยผู้สื่อข่าวพยายามสอบถามว่ามาเชียงใหม่ครั้งนี้ เชียงใหม่เปลี่ยนแปลงไปเยอะหรือไม่ นายทักษิณ ตอบเพียงสั้น ๆ ว่า เหมือนเดิม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคณะที่เดินทางมาร่วมกับนายทักษิณ ประกอบด้วย นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวนายทักษิณ และยังมีร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมว.เกษตรและสหกรณ์ มีนายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นายประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มารอต้อนรับด้วย 

โดยตลอดการเดินทางของนายทักษิณ มีพยาบาลคอยดูแลอย่างใกล้ชิด ซึ่งนายทักษิณ ยังสวมเฝือกอ่อนที่คอ จากนั้นคณะได้ขึ้นรถกอล์ฟไปด้านในอุทยานหลวงฯ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในการลงพื้นที่ครั้งนี้กลุ่มคนเสื้อแดงได้นัดรวมตัวเพื่อให้กำลังใจนายทักษิณ ที่วัดโรงธรรมสามัคคี อำเภอสันกำแพง ในวันที่ 15 มี.ค. ทำให้บริเวณพืชสวนโลกมีกลุ่มคนเสื้อแดงมาที่จุดดังกล่าวประปราย โดยเป็นคนเสื้อแดงจากจังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ มาชูป้ายสีแดงรูปนายทักษิณ พร้อมข้อความนายกฯ ในดวงใจ และใส่เสื้อที่มีรูป น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ กับนายทักษิณ รวมทั้งยังมีการถือกระเป๋าผ้าสกรีนรูปนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง พร้อมลายเซ็นด้วย

ด้านนางสำเนียง คงพลปาน ตัวแทนกลุ่มเสื้อแดง เปิดเผยว่า มาให้กำลังใจนายทักษิณ นายกฯ ในดวงใจ  อันเป็นที่รักและเป็นนายกฯ ที่ดีที่สุด ที่ผ่านมามีผลงานที่ชัดเจน ประเทศชาติประชาชนมีกิน มีอยู่ทุกคน ได้สัมผัสชัดเจน และในวันที่ 15 มี.ค. จะไปรวมตัวที่วัดโรงธรรมสามัคคีด้วย ส่วนที่มีกระแสข่าวคนเสื้อแดงบางส่วนเปลี่ยนใจนั้น ขอยืนยันว่า เลือดเปลี่ยนสีเมื่อไหร่เปลี่ยนใจเมื่อนั้น 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top