Friday, 9 May 2025
NEWS FEED

กิจการร่วมค้าฟิวเจอร์สกาย จัดอบรมพนักงานให้บริการผลิตใบอนุญาตทำงานและให้บริการคำขอ สำหรับแรงงานต่างด้าว

วันนี้ 28 พฤษภาคม 2567 นายสมชาย มรกตศรีวรรณ อธิบดีกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิดการอบรมพนักงานในโครงการผลิตใบอนุญาตทำงานและให้บริการรับคำขอและการแจ้งการทำงานของคนต่าวด้าว ณ โรงแรม เจซี เควิน สาทร กรุงเทพ โดยมี ดร.ศรัณญู สอนกำเนิด ผู้จัดการฝ่ายปฎิบัติการ กิจการร่วมค้า ฟิวเจอร์ สกาย พร้อมผู้บริหารและพนักงานให้การต้อนรับ 

นายสมชาย กล่าวว่า ในวันนี้ รู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้มาเป็นประธานเปิด การอบรมพนักงาน ในโครงการผลิตใบอนุญาตทำงานและให้คำบริการคำขอและการแจ้งการทำงานของคนต่างด้าว โดยโครงการนี้ มีวัตถุประสงค์ เพื่อให้บริการระบบสารสนเทศแด่แรงงานต่างด้าวอย่างสะดวก รวดเร็ว โปร่งใส โดยมีการอบรมตั้งแต่การทำความรู้จักการทำงานด้านต่าง ๆ ทั้งทางด้านการทำงานศูนย์แรกรัย  ศูนย์บริการ ศูนย์โมบายยูนิต ศูนย์ออกบัตร เป้นระยะเวลา 5 วัน เพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรม ได้เรียนรู้ขั้นตอนการดำเนินงาน และสามารถแก้ไขปัญหาต่างๆ ในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวได้ 

ทั้งนี้ นายสมชาย ยังเปิดเผยว่า ในช่วงเดือนต้นสิงหาคม 67 จะมีการเปิดให้บริการศูนย์ เพื่อรองรับการเข้ามาทำงานของคนต่างด้าว กว่า 46 ศูนย์และมีหน่วยให้บริการเคลื่อนที่อีก 8 คัน เพื่อตอบสนองความต้องการของแรงงานต่างด้าวในประเทศไทย 

ส่วน นายจำรัส สว่างสมุทร  ผู้อำนวยการสายงานปฎิบัติงาน ของกิจการร่วมค้า ฟิวเจอร์ สกาย ได้กล่าวว่า โครงการนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อแรงงานต่างด้าวทุกสัญชาติที่จะเข้ามาทำงานในประเทศไทย เพราะจะใช้ระบบออนไลน์ ในการขับเคลื่อนการระบบการทำงาน

'ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์' ประกาศรับสมัครให้ทุนการศึกษา ปี 67  ระดับปริญญาเอก และหลังปริญญาเอก รวมจำนวน 126 ทุน

เมื่อไม่นานมานี้ เพจเฟซบุ๊ก 'สำนักงาน ก.พ.' ได้เผยแพร่ประกาศจาก ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ที่รับสมัครให้ทุนการศึกษา ตามโครงการทุนเฉลิมพระเกียรติเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระชนมายุ 60 พรรษา เพื่อพัฒนาผู้มีอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ และบุคลากรทางการแพทย์ด้านภัยพิบัติ ไปศึกษาต่อ ณ ต่างประเทศ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 (ครั้งที่ 2)

โดยเป็นทุนการศึกษาระดับปริญญาเอก และหลังปริญญาเอก รวมจำนวน 126 ทุน สามารถยื่นใบสมัครด้วยตนเอง หรือส่งไปรษณีย์ไปที่ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ตั้งแต่วันนี้ - วันศุกร์ที่ 31 พฤษภาคม 2567 มีรายละเอียดของทุน ดังนี้...

>> ประเภท และจํานวนทุน

1. ระดับปริญญาเอก
- เพื่อพัฒนาอาจารย์ แพทย์นักวิจัย และอาจารย์สาขาวิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อม จํานวน 15 ทุน
- เพื่อพัฒนาอาจารย์ สาขาพยาบาลศาสตร์ จํานวน 42 ทุน
- เพื่อพัฒนาอาจารย์ด้านภัยพิบัติ/ฉุกเฉินการแพทย์ จํานวน 19 ทุน

2. หลังปริญญาเอก (Postdoc)
- เพื่อส่งเสริมการวิจัวิยด้านวิทยาศาสต์การแพทย์ จำนวน 50 ทุน

>> สำหรับงบประมาณ และระยะเวลาศึกษา กําหนดให้ทุนการศึกษาในแต่ละปีงบประมาณ ดังนี้…

1. ระดับปริญญาเอก 
- เพื่อพัฒนาอาจารย์ แพทย์นักวิจัย และอาจารย์สาขาวิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อม งบประมาณทุนละ 2,500,000 บาท/คน/ปี ระยะเวลาศึกษาไม่เกิน 5 ปี
- เพื่อพัฒนาอาจารย์ สาขาพยาบาลศาสตร์ งบประมาณทุนละ 2,500,000 บาท/คน/ปี ระยะเวลาศึกษาไม่เกิน 5 ปี
- เพื่อพัฒนาอาจารย์ด้านภัยพิบัติ/ฉุกเฉินการแพทย์ 2,500,000 บาท/คน/ปี ระยะเวลาศึกษาไม่เกิน 5 ปี

2. หลังปริญญาเอก (Postdoc)
- เพื่อส่งเสริมการวิจัยด้านวิทยาศาสต์การแพทย์ งบประมาณทุนละ 1,000,000 บาท/คน/ปี ระยะเวลาศึกษาไม่เกิน 2 ปี

>> ลักษณะการให้ทุน

- เป็นการศึกษาในสาขาวิชาตามที่ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ กําหนด
- เป็นหลักสูตรในสถาบันการศึกษาที่สํานักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนรับรอง และที่ความเห็นชอบจากคณะกรรมการพิจารณาให้ทุนฯ ของราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์

สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถสอบถามเพิ่มเติม โทร. 02-576-6000 ต่อ 8711 (คุณณัชชา) หรืออ่านรายละเอียดเพิ่มเติม และดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่ >> https://drive.google.com/drive/folders/1dMcWLaHX100ugssECBwcUNkEQaKwhrb5?usp=sharing

NT ร่วม FIBO มจธ. หารือการพัฒนา 'Robotics-Generative AI' พร้อมชวนนักศึกษาคนเก่ง ร่วมแชร์ไอเดียต่อยอดให้เกิดขึ้นจริง

เมื่อวานนี้ (27 พ.ค. 67) พันเอก สรรพชัย หุวะนันทน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) หรือ NT พร้อมด้วยคณะผู้บริหารและพนักงาน ประชุมร่วมกับ รศ.ดร.ชิต เหล่าวัฒนา ที่ปรึกษาสถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม และ ผศ.ดร.สุภชัย วงศ์บุณย์ยง ผู้อำนวยการสถาบันวิทยาการหุ่นยนต์ภาคสนาม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (KMUTT) หรือ มจธ.

โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงลึก ความก้าวหน้า และความเชี่ยวชาญด้านวิทยาการหุ่นยนต์และ Generative AI ตลอดจนสำรวจความเป็นไปได้และโอกาสในการพัฒนางานร่วมกันของทั้ง 2 หน่วยงาน 

นอกจากนี้ NT ยังได้หารือร่วมกับทีมนักศึกษา FIBO มจธ. ที่ได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดนวัตกรรมระดับประเทศ เพื่อร่วมผลักดันงานด้านวิทยาการหุ่นยนต์และ Generative AI ในอนาคต

ผู้ช่วย ผบ.ตร. ร่วมเปิดโครงการขยายความร่วมมือการฝึกอบรมของสำนักงานโครงการ ILEA-Bangkok ไปยังประเทศหมู่เกาะแปซิฟิก เพื่อเพิ่มศักยภาพในการต่อสู้กับอาชญากรรมข้ามชาติ

วันนี้ (27 พฤษภาคม 2567) เวลา 08.30 น. นายโรเบิร์ต โกเดค (Robert Godec) เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย/ประธานคณะกรรมการกำกับดูแล ฝ่ายสหรัฐอเมริกา และ พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ/ประธานคณะกรรมการกำกับดูแลฝ่ายไทย โครงการความร่วมมือฝึกอบรมระหว่างประเทศว่าด้วยการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย (ILEA-Bangkok) ร่วมเป็นประธานในพิธีเปิดโครงการขยายความร่วมมือการฝึกอบรมของสำนักงานโครงการ ILEA-Bangkok ไปยังประเทศหมู่เกาะแปซิฟิก โดยมีคณะกรรมการกำกับดูแลโครงการความร่วมมือฝึกอบรมระหว่างประเทศว่าด้วยการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมายฝ่ายไทยและสหรัฐ เข้าร่วมงาน

พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ฯ กล่าวว่า การรวมเอาประเทศหมู่เกาะแปซิฟิกเข้ามาในโครงการฝึกอบรมของสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) หรือ สบร. ถือเป็นบทใหม่ในประวัติศาสตร์ของสถาบันฝึกอบรมระหว่างประเทศว่าด้วยการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย กรุงเทพมหานคร ถือเป็นก้าวสำคัญในการขยายขอบเขตความร่วมมือออกไปยังประเทศหมู่เกาะแปซิฟิก และยังเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อเพิ่มศักยภาพในการต่อสู้กับอาชญากรรมข้ามชาติ อีกทั้งจะทำให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักในฐานะ ศูนย์การฝึกอบรมด้านการบังคับใช้กฎหมายชั้นนำในภูมิภาคอีกด้วย ซึ่งความร่วมมือนี้จะช่วยส่งเสริมเสถียรภาพ
ความมั่นคง และความสำเร็จของทั้งหมู่เกาะแปซิฟิก และภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกที่กว้างขึ้นอย่างแน่นอน

ด้านนายโรเบิร์ตฯ เน้นความสำคัญถึงการยกระดับความร่วมมือดังกล่าวที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิกของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา และแสดงความขอบคุณในการเป็นหุ้นส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติกับฝ่ายสหรัฐอเมริกา ในการดำเนินการฝึกอบรมและความร่วมมือด้านการบังคับใช้กฎหมายของสำนักงานโครงการ ILEA-Bangkok ตลอดระยะเวลากว่า 26 ปี ที่มีความแข็งแกร่งและยั่งยืน

ทั้งนี้ หลักสูตร Drug Unit Commanders Course (หลักสูตรผู้นำหน่วยยาเสพติด) เป็นหลักสูตรแรกที่จัดการฝึกอบรมระหว่างวันที่ 27 - 31 พฤษภาคม 2567 ซึ่งผู้เข้ารับการฝึกอบรมเป็นเจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายระดับสูงจากประเทศในหมู่เกาะแปซิฟิกใต้ ได้แก่ หมู่เกาะคุก สาธารณรัฐฟิจิ สาธารณรัฐคีรีบาส สาธารณรัฐหมู่เกาะมาร์แชลล์ สหพันธรัฐไมโครนีเซีย นีวเว ปาเลา รัฐเอกราชปาปัวนิวกินี ซามัว หมู่เกาะโซโลมอน ตองกา ตูวาลู วานูอาตู และไทย รวม 14 ประเทศ 

นราธิวาส-รอง มทภ.4 ตรวจเยี่ยม ฉก.ทพ.49 เน้นย้ำติดตามสถานการณ์ เพิ่มความเข้มงวด ระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่

วันนี้ (27 พฤษภาคม 2567) เวลา 13.00 น. พลตรี ไพศาล  หนูสังข์ รองแม่ทัพภาคที่ 4 / รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า พร้อมคณะฯ เดินทางลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทหารพรานหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 49 ตำบลซากอ อำเภอศรีสาคร จังหวัดนราธิวาส เพื่อร่วมประชุมและรับฟังปัญหาข้อขัดข้อง รวมทั้งมอบแนวทางการปฏิบัติงานให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยมี พันเอก กำธร  ศรีเกตุ รองผู้บังคับหน่วยเฉพาะนราธิวาส, พันเอก ภาณุวัฒน์  สุคชเดช ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 49, พันเอก ชาญฤทธิ์  ฮันสราช รองผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 49, ผู้บังคับกองร้อยฯ และกำลังพลร่วมให้การต้อนรับและร่วมประชุม

สำหรับการตรวจเยี่ยมในครั้งนี้ เป็นการติดตามการปฏิบัติงานและรับทราบปัญหาข้อขัดข้อง รวมทั้งหารือแนวทางแก้ไขของห้วงที่ผ่านมาของหน่วย พร้อมกำชับให้ปรับแผนการปฏิบัติให้มีความรัดกุม ทั้งเชิงรุก เชิงรับ และปฏิบัติด้วยความจริงใจ อีกทั้งได้นำนโยบายการปฏิบัติ 5 งานสำคัญตามนโยบาย แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 เพื่อยึดถือและปฏิบัติในทิศทางเดียวกัน

ทั้งนี้  รองแม่ทัพภาคที่ 4 / รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ได้เน้นย้ำพร้อมกำชับให้เจ้าหน้าที่มีความระมัดระวังในการปฏิบัติหน้าที่ และเฝ้าติดตามด้านการข่าวอย่างใกล้ชิด รวมถึงฐานปฏิบัติการทุกฐานเพิ่มความเข้มงวดเป็นพิเศษ โดยบูรณาการการปฏิบัติงานร่วมกันของหน่วยงานด้านความมั่นคงในพื้นที่ ตลอดจนฝ่ายปกครอง ผู้นำชุมชนให้เข้ามามีส่วนร่วม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการดูแลพื้นที่ชุมชน

ข่าว.แวดาโอ๊ะ หะไร จ.นราธิวาส 

รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิกิติ์ฯ สนับสนุนนักกีฬาเรือพาย ร่วมแข่งโอลิมปิคเกมส์ 2024 ณ กรุงปารีส

พลเรือตรี ดนัย ปานแดง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ ให้การต้อนรับ นายเปรมณัฏฐ์ วัฒนานุสิทธิ์ นักกีฬาเรือพายหนึ่งเดียวของประเทศไทย ที่เดินทางไปแข่งขันโอลิมปิกเกมส์ 2024 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส และคู่ซ้อม จ่าโทณรงค์ศักดิ์ นาคแสง ที่เข้ารับการฟื้นฟูร่างกาย post training recovery

โดย  Hyperbaric Oxygen Therapy ( HBOT) ณ โรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ รวม 10 ครั้ง ในวันทำการ ตั้งแต่ 21-31 พ.ค.67 ก่อนเดินทางเข้าร่วมการแข่งขัน โอลิมปิกเกมส์ 2024 ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ก012 ชลบุรี 0909535645

‘ครูสาว’ ซี 8 พ้อ!! วันลา-วันสายเกิน 1 ครั้ง โดนประเมินไม่ได้ขึ้นเงินเดือน พร้อมเผยเหตุผลความจำเป็น วอนเห็นใจตนไม่ได้หนีสอน-โกงเงินหลวง

(27 พ.ค. 67) ครูสาวสังกัดสถาบันอาชีวะแห่งหนึ่งใน จ.อุดรธานี โพสต์ตัดพ้อ มาสาย 10 ครั้ง ครั้งละ 1-2 นาที ไม่ได้ปรับขึ้นเงินเดือนครู เผยสาเหตุ เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว ต้องทำงานเสริมร้องเพลงกลางคืน ซึ่งโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า

"ผลของการสาย สาย 10 ครั้ง (เกิน 1 ครั้ง) ลา 8 ครั้ง 9 วัน (ลาเกิน 1 ครั้ง) ตามระเบียบการพิจารณาการขึ้นเงินเดือนของข้าราชการ = 0 ผลที่ได้เหมือนละทิ้งหน้าที่ เหมือนหนีสอน เหมือนไปโกงเงินหลวง ติดแฮชแท็ก #คนไม่ชอบทำอะไรก็ไม่ใช่ #ทำบุญวันวิสาขบูชา"

ทั้งนี้ ล่าสุด เมื่อวานนี้ 26 พ.ค.67 ผู้สื่อข่าวเดินทางไปพบกับครูโอ๋ (นามสมมุติ) อายุ 38 ปี เจ้าของโพสต์ดังกล่าว ได้นำหนังสือร้องทุกข์ และขอความเป็นธรรม ที่ส่งถึง ประธานคณะกรรมการ อ.ก.ค.ศ. และนายยศพล เวณุโกเศศ. เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา มาให้ผู้สื่อข่าวดู มีเนื้อหาใจความว่า

"ตามเอกสารบันทึกข้อความที่ส่งมาด้วย เมื่อข้าพเจ้าได้มาตรวจสอบเอกสารพบว่าไม่ถูกต้องและไม่ได้รับความเป็นธรรม ทำให้เกิดการเสียขวัญ และกำลังใจในการทำงาน วันลาจำนวน 8 ครั้ง รวม 8.5 วัน และมาปฏิบัติงานสาย จำนวน 10 ครั้ง ไม่ถูกต้องตามเอกสารสรุปวันลาของบุคลากรวิทยาลัยฯ ซึ่งมีวันลา 8 ครั้ง รวม 8.5 วัน จริง แต่มาปฏิบัติงานสาย 9 วัน

เมื่อพิจารณาจากวันลา และวันปฏิบัติงานสาย วันลาเกิน 1 ครั้ง เนื่องจากครั้งสุดท้าย ในวันที่ 28 มี.ค. 2567 นั้น ข้าพเจ้าเกิดอุบัติเหตุตกบันได มีอาการปวดหลังไม่สามารถมาปฏิบัติงานได้ และเข้ารับการรักษาจริง มีเอกสารใบรับรองแพทย์แนบใบลา ซึ่งก่อนหน้าจะเกิดอุบัติเหตุข้าพเจ้าทราบดีว่าข้าพเจ้าลาไปแล้ว 7 ครั้ง รวม 7.5 วัน

แต่การลาครั้งสุดท้ายเป็นการเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิด ทำให้ข้าพเจ้าลาเกิน ไป 1 ครั้ง ทั้งนี้ผู้บังคับบัญชาไม่ได้มีการให้ข้าพเจ้าทำบันทึกข้อความชี้แจงเหตุผลแต่อย่างใด และมีการพูดโน้มน้าวให้ข้าพเจ้า ลงลายมือชื่อรับทราบให้เป็นผู้ถูกงดการเลื่อนเงินเดือน

ข้าพเจ้าจึงขอร้องทุกข์ ขอความเป็นธรรมและความเมตตา ประธานอนุกรรมการ อ.ก.ค.ศ. การอาชีวศึกษา และเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ได้พิจารณา อนุโลมเลื่อนเงินเดือนของข้าพเจ้า และไม่เป็นผู้ถูกงดการเลื่อนเงินเดือนในครั้งนี้"

ครูโอ๋ กล่าวอีกว่า ตนเองเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว เป็นครูซี 8 รับราชการมา 13 ปี ด้วยภาระที่ต้องดูแลลูกและครอบครัว ลำพังเงินเดือนไม่พอใช้ เพราะไปกู้สมัยอยู่กับสามีคนเก่าแล้วต้องเลิกรากันไป ต้องรับภาระคนเดียว จึงต้องไปหาร้องตามผับ และร้านอาหาร ตอนนี้ไม่สบายใจเพราะไม่ได้ขึ้นเงินเดือนแม้แต่บาทเดียว เพราะทางวิทยาลัยฯ ประเมินออกมาว่า นับวันลาวันสายเกินคือ สาย 1 ครั้ง ลาเกิน 1 ครั้ง จึงประเมินไม่ขึ้นเงินเดือนให้ครั้งนี้ คือเท่ากับ 0

ที่ผ่านมาไม่เคยตั้งใจที่จะให้ขาดงานหรือมาสายเลย มันมีเหตุเพราะต้องไปส่งลูกไปโรงเรียน แล้วต้องขับรถมาวิทยาลัยระยะกว่า 10 กม. แต่ยอมรับลาเกินมา 1 ครั้ง ส่วนสายก็เกิน 1 ครั้ง แต่สายเพียง 1-2 นาทีเท่านั้น ไม่ใช่มาสายเป็นชั่วโมง หรือหลายชั่วโมง

ครูโอ๋ เล่าต่ออีกว่า ในวงดนตรีของตนเองมีครูโรงเรียนอื่น เพื่อน ๆ พี่ ๆ เขาบอกว่าทางโรงเรียนและวิทยาลัยเข้าใจ ไม่เคยปรับขึ้นเงินเดือนเท่ากับ 0 เลย อย่างต่ำก็ 2.4 ตนอยากให้เห็นใจ อะลุ้มอล่วยให้บ้าง กับการลาและมาสายเกิน 1 ครั้ง

ปกติเขาสอนกันไม่เกิน 20 คาบต่อสัปดาห์ แต่ตนเองสอนไปเกือบ 40 คาบ น่าจะเอามาถัวเฉลี่ยให้บ้าง แต่นี่จะเล่นให้กันให้ตาย ไม่ขึ้นเงินเดือนให้เลย ตนไม่ได้ทำอะไรผิด ไปเป็นนักร้องตามผับและร้านอาหาร เรื่องนี้ทางวิทยาลัยได้ส่งหนังสือไปกรุงเทพฯ เรื่องการปรับเงินเดือนเท่ากับ 0 ทางสถาบันอาชีวฯ ก็ทำหนังสือมา ทางผู้บริหารก็ยืนยัน ยังไงก็ไม่ขึ้นเงินเดือนให้

"หรือว่าผู้บริหารไม่ชอบหนู เห็นครูไปร้องเพลง เพราะ ผอ.เคยตำหนิว่า ทำแบบนี้ผิดจรรยาบรรณและจริยธรรม แล้วที่ผู้บริหารไปกินเหล้าด้านหลังวิทยาลัยฯ คืออะไร เหมาะสมไหม อยากให้เห็นใจหนูด้วย หนูไม่ได้ฆ่าคนตาย ไม่ได้หนีสอน ไม่ได้โกงเงินหลวงสักหน่อย" ครูโอ๋ กล่าว 

'นท เดอะสตาร์' เผยเคยร่วมพิธีกรรม ‘อายาวัสกา’ ดื่มน้ำรากไม้ ฟาก 'ชาวเน็ต' ถกสนั่น!! เป็นพืชหลอนประสาทและผิดกฎหมาย

(27 พ.ค.67) บนโซเชียลฯ วิจารณ์ หลัง นท เดอะสตาร์ เล่าประสบการณ์ทำอายาวัสกา (Ayahuasca) ดื่มน้ำสมุนไพรสกัดจากรากไม้ที่มาจากแอฟริกาใต้ ให้สมองหลั่งสาร DMT เป็นฟาสต์แทรกต์สู่การรู้แจ้งเห็นจริง รู้ว่าความตายคืออะไร ชาวเน็ตชี้ DMT เป็นวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 1 ผิดกฎหมาย ภาษาบ้านๆ เรียก “หลอนยา” เตือนอย่าเสียเงินเปล่ากับการนั่งเสพวัตถุออกฤทธิ์

การทำอายาวัสกา (Ayahuasca) เป็นพิธีกรรมแบบหนึ่งที่ต้องถูกนำกระบวนการโดยผู้นำทางจิตวิญญาณ ถ้าจะทำต้องค้นหาดีๆ และทำกับคนที่ทำถูกต้องเท่านั้น และควรทำในที่ที่ ปลอดภัย คือที่ธรรมชาติและมีแพทย์แผนปัจจุบันอยู่ด้วยกัน เป็นพิธีที่ดื่มน้ำสมุนไพรชนิดหนึ่ง ที่สกัดจากรากไม้ที่มาจากแอฟริกาใต้ พอดื่มน้ำนี้ไปทำให้สมองหลั่งสาร DMT ซึ่งหลั่งเฉพาะ 2 ครั้ง คือตอนที่เราเกิดและเราตาย ตนมองว่าเป็นฟาสต์แทรกต์สู่การรู้แจ้งเห็นจริง และยังมี เจ มณฑล จิรา นักร้องดังเป็นคนชวนให้ไปทำอีกด้วย เรารู้สึกว่าการที่ตายคืออย่างไร คือรู้สึกหายใจเฮือกสุดท้าย

ปรากฏว่ามีเสียงวิจารณ์ในแพลตฟอร์ม X ระบุว่า DMT เป็นวัตถุออกฤทธิ์ประเภท 1 ตามกฎหมายยาเสพติด มาตรา 94 ห้ามมีไว้ในครอบครอง การนำไปใช้ในลักษณะนี้ผิดกฎหมาย ทั้งตัวคนอ้างว่าเป็นเจ้าพิธี ก็ผิดฐานครอบครองวัตถุออกฤทธิ์ โทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท คนเข้าพิธีก็ผิดฐานเสพ โทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี จะเรียกอย่างไรก็ผิดกฎหมาย อย่าหลงทำตาม

ข้อมูลจากเว็บไซต์ adf ระบุว่า Ayahuasca เป็นยาประสาทหลอนจากพืช อาการประสาทหลอนส่งผลต่อประสาทสัมผัสทั้งหมด เปลี่ยนแปลงความคิด ความรู้สึกของเวลา และอารมณ์ของบุคคล สิ่งเหล่านี้อาจทำให้บุคคลเกิดอาการประสาทหลอน เช่น การมองเห็นหรือได้ยินสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงหรือถูกบิดเบือน

Ayahuasca เป็นยาต้มที่ทำโดยการให้ความร้อน หรือต้มเถา Banisteriopsis caapi เป็นเวลานานกับใบของไม้พุ่ม Psychotria viridis แม้ว่าอาจมีพืชชนิดอื่นหลายชนิดรวมอยู่ในยาต้มเพื่อจุดประสงค์ดั้งเดิมที่แตกต่างกันก็ตาม ซึ่งสารเคมีออกฤทธิ์ใน ayahuasca คือ DMT (dimethyltryptamine) นอกจากนี้ยังมีสารยับยั้ง monoamine oxidase (MAOIs) ด้วย

อย่างไรก็ตาม Ayahuasca ถูกนำมาใช้มานานหลายศตวรรษโดยชนเผ่า First Nations จากเปรู บราซิล โคลอมเบีย และเอกวาดอร์ เพื่อวัตถุประสงค์ในพิธีกรรมทางศาสนาและการบำบัดรักษา

ทั้งนี้ กองควบคุมวัตถุเสพติดระบุว่า สาร DMT (dimethyltryptamine) เป็นวัตถุออกฤทธิ์ใน 4 ประเภท ดังนี้

1.เป็นสารที่มีศักยภาพในการก่อให้เกิดการใช้ยาในทางที่ผิด มีความเสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพสูง และไม่มีการใช้ทางการแพทย์ ส่วนใหญ่มีฤทธิ์หลอนประสาท ได้แก่ Mescaline, Psilocybin, DMT, DET, Cathinone เป็นต้น กฎหมายจึงห้ามเด็ดขาดไม่ให้ผู้ใดมีไว้ในครอบครองวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท

2.เป็นสารที่มีศักยภาพในการก่อให้เกิดการใช้ในทางที่ผิดสูง มีอันตรายต่อสุขภาพมากหากใช้ไม่เหมาะสมหรือไม่อยู่ภายใต้การดูแลของผู้ประกอบวิชาชีพ แต่มีประโยชน์ทางการแพทย์ ได้แก่ Phentermine, Midazolam, Zolpidem, Methylphenidate, Ketamine, Pseudoephedrine เป็นต้น กฎหมายห้ามมิให้ผู้ใด ผลิต ขาย นำเข้า หรือส่งออก ซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ยกเว้นกระทรวงสาธารณสุข หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากกระทรวงสาธารณสุขวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท

3.เป็นยามีประโยชน์ทางการแพทย์ แต่ที่มีศักยภาพในการก่อให้เกิดการใช้ในทางที่ผิดปานกลาง เช่น Amobarbital, Pentobarbital, Pentazocine เป็นต้น วัตถุออกฤทธิ์ในประเภท

4.เป็นยาที่มีประโยชน์ทางการแพทย์ และศักยภาพในการก่อให้เกิดการนำไปใช้ในทางที่ผิดต่ำ เช่น Diazepam, Lorazepam, Clorazepate, Chlordiazepoxide เป็นต้น

“พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ” มอบประกาศเกียรติคุณ “ทำดี มีรางวัล” ให้กับตำรวจ 3 นาย ทำงานด้วยหัวใจผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ช่วยเหลือประชาชน เพื่อให้กำลังใจ ยกเป็นแบบอย่างที่ดี

วันนี้ (27 พฤษภาคม 2567) เวลา 10.30 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร.) มอบใบประกาศเกียรติคุณตามโครงการ “ทำดี มีรางวัล” ให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ 3 นาย คือ ร.ต.ท.นพกร สินทอง ร.ต.ท.พิทยายุทธ ชาวงษ์ รอง สว.(จร.) ช่วยราชการศูนย์ควบคุมสั่งการและการจัดจราจรทางพิเศษ (บางพลี-สุขสวัสดิ์) และ ส.ต.ต.พงศธร อุดมทวี ผบ.หมู่ ฝ่ายป้องกันปราบปราม สน.บางพลัด จาก 2 เหตุการณ์ โดยมี พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.กรไชย คล้ายคลึง ผู้ช่วย ผบ.ตร. ร่วมแสดงความยินดี

เหตุการณ์แรก เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2567 เวลาประมาณ 07.30 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งอุบัติเหตุรถชนกันบริเวณลงด่านบางแก้ว มุ่งหน้า ถนนเทพรัตน์ หรือ ถนนบางนา-ตราด จึงเข้าตรวจสอบ ในเบื้องต้นไม่พบผู้บาดเจ็บ ถึงแยกรถคู่กรณีมาจอด ณ จุดเว้า เพื่อรอประกันภัยรถยนต์มาตรวจสอบ ในขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจอำนวยความสะดวกการจราจร ได้สังเกตเห็นรถยนต์ของคู่กรณีมีอาการสั่นอย่างรุนแรง ร.ต.ท.นพกรฯ และ ร.ต.ท.พิทยายุทธฯ จึงรีบเข้าตรวจสอบ พบว่าผู้ขับขี่มีอาการชักกระตุกและไม่พบสัญญาณชีพ เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 2 นายจึงเข้าให้การช่วยเหลือปฐมพยาบาลด้วยการปั๊มหัวใจ หรือ CPR จนผู้ป่วยกลับมามีสัญญาณชีพและฟื้นคืนสติ ในขณะเดียวกันได้แจ้งให้หน่วยกู้ชีพเข้าช่วยเหลือนำส่งโรงพยาบาลต่อไป

เหตุการณ์ที่ 2 เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2567 เวลาประมาณ 19.00 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ฝนตกหนัก ลมกระโชกแรง ส.ต.ต.พงศธร อุดมทวี ผบ.หมู่ ฝ่ายป้องกันปราบปราม สน.บางพลัด ปฏิบัติหน้าที่อยู่ ณ ตู้ควบคุมสัญญาณไฟจราจรบริเวณแยกบางพลัด ได้สังเกตเห็นเด็กหญิงและเด็กชายรวมถึงคุณแม่ยืนกอดกันตากฝนอยู่บริเวณเกาะกลางถนน จึงได้รีบวิ่งถือร่มเข้าช่วยเหลือ นำเด็กทั้งสองคนไปหลบฝนที่ป้อมจราจร โดยให้คุณแม่ขี่รถจักรยานยนต์ตามมา โดยคลิปวีดีโอดังกล่าวด้วยถูกเผยแพร่ไปอย่างกว้างขวางในสังคมออนไลน์ และได้รับเสียงชื่นชมเป็นอย่างมาก

ทั้งนี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ กล่าวว่า ขอขอบคุณและชื่นชม ร.ต.ท.นพกรฯ , ร.ต.ท.พิทยายุทธฯ และ ส.ต.ต.พงศธรฯ ที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยหัวใจความเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์อย่างแท้จริง เป็นที่ประจักษ์แก่สังคม สมควรได้รับการยกย่องสรรเสริญ ตามโครงการ “ทำดี มีรางวัล” เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจ เป็นแบบอย่างที่ดีแก่สังคมสืบไป พร้อมขอให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับส่งเสริมข้าราชการตำรวจปฏิบัติหน้าที่เพื่อพี่น้องประชาชนลักษณะเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง

ด้าน พล.ต.ท.ประจวบฯ และ พล.ต.ท.กรไชยฯ ได้ขอบคุณเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้ง 3 นาย ที่สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามนโยบายของรอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร. ที่ต้องการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนอย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องคำนึงว่าจะมีใครเห็นหรือไม่ แต่ขอให้ทำความดีและปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มที่ เพื่อให้ประชาชนเชื่อมั่นศรัทธา

‘หนุ่มโคราช’ ทิ้งงานประจำ หันมาทำ ‘เกษตรทฤษฎีใหม่’ เนรมิตที่ดิน 30 ไร่ จนสร้างรายได้ 3-5 แสนบาทต่อปี

(27 พ.ค. 67) ที่บ้านหนองสระธาร หมู่ที่ 10 ตำบลด่านเกวียน อำเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา นายปุณยวัจน์ ชาบุญเรือง หรือพี่เตี้ย อายุ 50 ปี ชาวบ้านหนองสระธาร หมู่ที่ 10 ตำบลด่านเกวียน อดีตพนักงานห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่งใน กทม. ยอมสละเงินเดือนกว่า 25,000 บาท จากงานประจำที่ทำมานานกว่า 30 ปี กลับมาบ้านเกิดที่อำเภอโชคชัย เป็นเกษตรกรเต็มตัวเพื่อทำการเกษตรทฤษฎีใหม่ จนประสบความสำเร็จ

นายปุณยวัจน์ ชาบุญเรือง เปิดเผยว่า เมื่อเรียนจบได้เข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานขายในห้างสรรพสินค้าที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่อายุ 20 ปี เมื่อแต่งงานมีครอบครัวจึงได้ย้ายกลับมาอยู่กับครอบครัวที่จังหวัดนครราชสีมาโดยยึดอาชีพเกษตรกร ตั้งแต่ ปี 2558 ได้เริ่มทำการเกษตรอย่างจริงจัง โดยมีพื้นที่ทั้งหมด 30 ไร่ เน้นปลูกพืชไร่เชิงเดี่ยว ได้แก่ ยูคาลิปตัส และ มันสำปะหลัง ทำนา 10 ไร่ประสบกับปัญหารายได้ไม่เพียงพอใช้จ่ายในช่วงที่ผลผลิตยังไม่เก็บเกี่ยว เนื่องจาก 1 ปี ขายผลผลิต 1 ครั้ง 

อีกทั้งประสบปัญหาเรื่องโรค-แมลง และภัยธรรมชาติ จึงเกิดการปรับความคิด ปรับเปลี่ยนจากการปลูกพืชเชิงเดี่ยวมาทำเกษตรทฤษฎีใหม่ และได้มีโอกาสไปศึกษาดูงานเรียนรู้เรื่องการทำเกษตรทฤษฎีใหม่ ที่ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงบ้านโนนรัง อำเภอชุมพวง จ.นครราชสีมา จึงได้กลับมาปรับเปลี่ยนพื้นที่ของตนเองในการทำการเกษตรในรูปแบบเกษตรทฤษฎีใหม่ โดยขุดบ่อ 3 บ่อพื้นที่ 3 ไร่ ทำนา พื้นที่ 12 ไร่ ที่อยู่อาศัย, โรงสีข้าวพื้นที่ 2 ไร่ ปลูกไผ่กิมซุง พื้นที่ 1.5 ไร่ ปลูกพืชไร่ พื้นที่ 8 ไร่ ปลูกมะม่วง, มะนาว, มะขามเปรี้ยว, มะพร้าวน้ำหอม พื้นที่ 3 ไร่ ซึ่งการจัดสรรพื้นที่และการทำการเกษตรทฤษฎีใหม่ ทำให้มีผลผลิตออกจำหน่ายได้ตลอดทั้งปี และสามารถสร้างรายได้เป็นรายสัปดาห์ รายเดือน และรายปี ไม่ว่าจะเป็น ถั่วลิสง พริก มะนาว มะขามเทศ หน่อไม้ ข้าวโพดหวาน มะม่วง มะพร้าว การแปรรูปปลา การแปรรูปหน่อไม้ ข้าวสาร พืชผักสมุนไพรพื้นบ้าน 

ทั้งนี้ การทำการเกษตรทฤษฎีใหม่ของตนจะเน้นการผลิตแบบเกษตรอินทรีย์ ทำให้มีความปลอดภัยทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค มีการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ (มูลแพะ,มูลไก่) ปุ๋ยหมัก น้ำหมักจุลินทรีย์ชีวภาพ และการไถกลบตอซังเพื่อปรับปรุงบำรุงดิน การจำหน่ายผลผลิต ก็จำหน่ายด้วยตนเองโดยไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง ซึ่งจะเดินทางมาจำหน่ายที่ตลาดสีเขียวหน้าศาลากลางจังหวัดนครราชสีมา ทุกวันศุกร์ ปัจจุบันตนเองจะรายได้เฉลี่ย 6,000 - 8,000 บาท ต่อสัปดาห์ หรือ 300,000 - 500,000 บาทต่อปี

นายปุณยวัจน์ ชาบุญเรือง เปิดเผยอีกว่า การทำการเกษตรจะประสบความสำเร็จจะต้องจัดการกับปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นภายในพื้นที่ให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นด้านการจัดการน้ำ ตนมีการขุดสระน้ำเพื่อเก็บน้ำในฤดูฝน ที่สามารถนำน้ำมาใช้ยามขาดแคลนได้ มีการขุดเจาะน้ำบาดาลและขุดลอกบ่อเก็บน้ำให้ลึกเพื่อให้สามารถเก็บน้ำได้ตลอดปี การจัดการดิน จะปรับปรุงบำรุงดินด้วยอินทรียวัตถุ เช่น การใช้ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยพืชสด การใช้น้ำหมักจุลินทรีย์ และการไถกลบฟางข้าวในพื้นที่นา เป็นต้น 

จากการดำเนินการปรับปรุงดินที่ผ่านมาทำให้สภาพดินค่อย ๆ ดีขึ้น จากการสังเกตพบว่าดินมีความอ่อนตัวลงกว่าเดิม พืชต่าง ๆ สามารถเจริญเติบโตได้ดีขึ้นเรื่อยๆรวมทั้งการหาความรู้เพิ่มเติมเป็นสิ่งสำคัญ จำเป็นต้องมีการศึกษาดูงานและการแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากผู้ที่มีประสบการทำงานหรือผู้ประสบความสำเร็จในด้านการประกอบอาชีพด้านการเกษตร และผ่านการอบรมในการทำเกษตรทฤษฎีใหม่โดยการน้อมนำหลักการทำเกษตรแบบใหม่ตามศาสตร์พระราชา การทำเกษตรแบบพอเพียง เพื่อความยั่งยืนนำไปสู่ชีวิตที่มีความสุขอยู่ดีกินดีและมีครอบครัวที่เป็นสุข อบอุ่น และยั่งยืน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top