Friday, 9 May 2025
NEWS FEED

‘ชูชัย’ ไม่เข็ด ขนเครื่องเพชรหลายร้อยล้าน ร่วมเดินพาเหรด สนับสนุน ‘ความเท่าเทียม’ ย้ำ!! ไม่ได้เรียกร้องอะไรที่เกินไปกว่า ‘ชายจริง-หญิงแท้’ ขอแค่ ‘ความเสมอภาค’ เท่านั้น

(2 มิ.ย.67) ไฮโซชูชัย ชัยฤทธิเลิศ เจ้าของธุรกิจเพชรชื่อดัง ได้รับเชิญให้มาร่วมเดินพาเหรดแสดงพลังในงาน 𝐂𝐄𝐍𝐓𝐑𝐀𝐋 𝐖𝐎𝐑𝐋𝐃 𝐑𝐇𝐘𝐓𝐇𝐌 𝐎𝐅 𝐏𝐑𝐈𝐃𝐄 𝟐𝟎𝟐𝟒 กับ LGBTQ+ ที่ลานด้านหน้าเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งงานนี้มีคนดังมาร่วมเดินพาเหรดเยอะมากมาย อาทิ ลูกเกด เมทินี, หยิ่นวอร์, ดร.โก้ ธีรศักดิ์, ดีเจ มะตูม เตชินท์, มิวกี้ ไปรยา, ซิลวี่ ภาวิดา มอริจจิ, ทารีน่า โบเทส, เฟิร์ส หวัง ฯลฯ

งานนี้ ไฮโซชูชัย มาในชุดสุดสะพรึงสาดสีสัน ปักตาแตกวิบวับได้อีก กับผ้าคลุมที่ประดับด้วยเครื่องเพชรชุดใหญ่มูลค่ามากกว่าร้อยล้านบาท พร้อมทีมเชียร์ลีดเดอร์ดัง โชว์ดีด เด้ง ตีลังกา ม้วนตัวสูงเสียดฟ้า พร้อมยกไฮโซชูชัยประดุจลอยฟ้ามา เรียกเสียงฮือฮาได้สุดฤทธิ์สุดเดช!!

ไฮโซชูชัย เผยว่า เกินคาดมากๆ กับงานปาร์ตี้เพชรวันเกิดของพี่ที่ผ่านมา ไม่คิดว่าจะเป็นกระแสแรงนานได้ขนาดนี้ คนยังพูดถึงไม่หยุด ปีหน้าจัดอีกแน่นอน พี่จะจัดให้ใหญ่กว่าเดิม สปอนเซอร์หลายรายก็มีคุยๆ มีจองข้ามปีกันแล้ว อยากจะมาร่วมงานกับเราด้วย ศิวลึงค์ที่พี่ทำเช่าคนก็สั่งๆ เยอะขึ้นๆ และโรงแรมของพี่ ชูชัยบุรีศรีอัมพวา ที่ใกล้ตลาดน้ำอัมพวา ยอดจองก็เพิ่มขึ้นๆ ด้วย หลังจัดงานวันเกิดปาร์ตี้เพชรไป

ส่วนเครื่องเพชรที่ขนมาใส่วันนี้ ไม่เข็ดนะ เพราะเชื่อว่าจะไม่หล่นหายอีกแน่นอน พี่เชื่อในความดีที่พี่ทำมา ส่วนครั้งนั้นถือว่าฟาดเคราะห์ไปแล้ว ต่อจากนี้จะมีแต่เรื่องเฮงๆ เรื่องดีๆ เข้ามาตลอดไป

พวกเราชาว LGBTQ ที่มาเดินพาเหรด 𝐂𝐄𝐍𝐓𝐑𝐀𝐋 𝐖𝐎𝐑𝐋𝐃 𝐑𝐇𝐘𝐓𝐇𝐌 𝐎𝐅 𝐏𝐑𝐈𝐃𝐄 𝟐𝟎𝟐𝟒 เพื่อสร้างความตระหนักรู้ว่า สิทธิความเท่าเทียมความเสมอภาคของชาวเราเป็นสิ่งสำคัญมากๆ เราไม่ได้เรียกร้องขออะไรที่เกินกว่าชายจริงหญิงแท้ เป็นเรื่องสิทธิมนุษย์ที่หลายๆ ประเทศก็ยอมรับกันแล้ว ซึ่งประเทศไทยพี่ก็นับวันรออยู่ กับเรื่องสิทธิที่เท่าเทียม เรื่องสมรสเท่าเทียม ฯลฯ ของชาว LGBTQ ก็เป็นสิ่งที่พี่อยากจะช่วยผลักดันด้วย

พี่อยากบอกว่า ไม่ว่าเราจะเป็นเพศไหน สิทธิของทุกคนต้องเท่ากัน ไม่ถูกจำกัดกีดกันเพราะความแตกต่างใดๆ ทั้งเรื่องสิทธิสมรส สิทธิการเลือกคำนำหน้านาม ฯลฯ การทำให้สังคมไทยเป็นสังคมที่ยินดีเปิดรับความหลากหลาย ไม่บูลลี่กัน จะทำให้สังคมไทยน่าอยู่ขึ้น ส่งผลดีมากๆ ต่อการท่องเที่ยวระดับโลกและเศรษฐกิจด้วย มาร่วมผลักดันความเท่าเทียมทางเพศในสังคมไทยในหลายมิติไปด้วยกัน

‘เกรท วอลล์ มอเตอร์’ ออกแถลง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้คนไทย ย้ำ!! เป็น ‘ค่ายเดียวจากจีน’ ที่ตั้งโรงงานผลิตเต็มรูปแบบที่ระยอง 

(2 มิ.ย.67) จากสภาวการณ์ทั่วโลกและสถานการณ์ของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย ทำให้เกิดข่าวลือด้านลบกับการดำเนินงานของบริษัทค่ายรถยนต์ต่าง ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง สำหรับเกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) เราขอเรียนยืนยันว่า การดำเนินธุรกิจในประเทศไทยของเรายังคงดำเนินไปด้วยความมั่นคงและแข็งแกร่ง ทั้งด้านการขายและบริการหลังการขาย รวมถึงการส่งมอบผลิตภัณฑ์และการบริการที่มีคุณภาพให้กับลูกค้าชาวไทย ทั้งลูกค้าในปัจจุบันและลูกค้าในอนาคตของเราอย่างเต็มกำลังความสามารถ เราเป็นแบรนด์จากประเทศจีนเพียงรายเดียวในปัจจุบันที่มีโรงงานผลิตแบบเต็มรูปแบบที่จังหวัดระยองและดำเนินการผลิตมาเป็นเวลามากกว่า 3 ปี รวมถึงนำพันธมิตรทางธุรกิจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น SVOLT, HYCET, NOBO, MIND และ Exquisite สร้างงาน สร้างรายได้ให้กับคนไทยหลายพันคน รวมถึงมีรถยนต์พลังงานใหม่ที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในวงกว้าง และครอบคลุมในหลากหลายเซ็กเมนต์ ที่เป็นโอกาสทางการขายใหักับพาร์ทเนอร์ สโตร์ของเรา ทั้งไฮบริด ปลั๊กอิน-ไฮบริด และรถยนต์ไฟฟ้า 100% รวมถึงยังมีการลงทุนอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการใช้และการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าระดับภูมิภาคอีกด้วย 

สุดท้ายนี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ ขอขอบพระคุณสื่อมวลชน พันธมิตรทางธุรกิจ และลูกค้าทุกท่านที่ได้มอบความเชื่อมั่นและไว้วางใจให้กับ เกรท วอลล์ มอเตอร์ (ประเทศไทย) ด้วยดีเสมอมา เรามุ่งมั่นที่จะเติบโตไปพร้อมกับคนไทยและประเทศไทยในระยะยาวอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน

GWM Thailand

‘รมว.ดีอี’ นำทีมตำรวจไซเบอร์ ลุย ‘กทม.- ระยอง’ ทลายเครือข่ายโจรออนไลน์ข้ามชาติ ยึดทรัพย์ 220 ล้านบาท

วันที่ 30 พฤษภาคม 2567 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) พร้อมด้วย นายสุทธิเกียรติ วีระกิจพานิช ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงดีอี พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) พล.ต.ต.อรรถสิทธิ์ สุดสงวน รอง ผบช.สอท. พล.ต.ต.สถิตย์ พรมอุทัย ผบก.สอท.3 นำทีมเปิดปฏิบัติการ The Purge EP.2 กวาดล้างเครือข่ายอาชญากรออนไลน์ข้ามชาติ ทำการเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 7 จุด ในกรุงเทพมหานคร และจังหวัดระยอง

นายประเสริฐ กล่าวว่า กระทรวงดีอี  ได้ร่วมกับ สอท. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เข้ากำลังเปิดปฏิบัติการ The Purge EP.2 เข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมายทั้งหมด 6 จุดในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และ 1 จุดในจังหวัดระยอง ซึ่งเป็นปฏิบัติการสืบเนื่องจากการขยายผลต่อเนื่องกรณีกลุ่มอาชญากรออนไลน์ข้ามชาติในคดีหลอกลงทุนสกุลเงินดิจิทัล (Hybrid Scam) หรือ ไฮบริด สแกม โดยก่อนหน้านี้ได้จับกุมผู้ต้องหาพร้อมยึดทรัพย์เครือข่ายกว่า 220 ล้านบาท 

ทั้งนี้เครือข่ายอาชญากรข้ามชาติดังกล่าว ได้ใช้วิธีชักชวนผู้เสียหายให้ลงทุนสกุลเงินดิจิทัลผ่านแพลตฟอร์มปลอม โดยให้ผู้เสียหายซื้อเงินสกุล USDT และโอนไปตามเลขกระเป๋าเงินดิจิทัลตามที่คนร้ายระบุ ก่อนที่จะถูกโอนเข้าบัญชีของแพลตฟอร์มเทรดเงินดิจิทัล แล้วนำมาซื้ออสังหาริมทรัพย์ และทรัพย์สินต่างๆ ซึ่งถือเป็นวิธีการฟอกเงินรูปแบบหนึ่ง

สำหรับการปฏิบัติการครั้งนี้ สามารถจับกุมผู้ต้องการซี่งทำหน้าที่เป็นผู้บริหารบัญชีเงินที่ได้จากการกระทำความผิด และนำเงินดังกล่าวมาฟอกแปรสภาพเป็นอสังหาริมทรัพย์ รถยนต์ และทรัพย์สินมีค่า โดยสามารถยึดอายัดบ้านและคอนโดหรูที่มีความเชื่อมโยงกับเครือข่ายดังกล่าวได้ พร้อมกับการอายัดบัญชีธนาคารผู้ต้องหา และบริษัทที่เกี่ยวข้อง รวมถึงตรวจยึดทรัพย์สิน ได้แก่ เงินสด รถยนต์หรู 3 คัน นาฬิกาหรูกว่า 10 เรือน กระเป๋าแบรนเนมด์ โทรศัพท์มือถือ ได้หลายรายการ ยึดทรัพย์สินมูลค่ากว่า 220 ล้านบาท 

นายประเสริฐ กล่าวว่า ปฏิบัติการ The Purge EP.2 เป็นปฏิบัติการตามข้อสั่งการของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เพื่อเร่งรัดปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ให้เกิดเป็นรูปธรรม ในระยะที่ 2 ซึ่งเป็นการขยายผลการจับกุมต่อเนื่องจากปฏิบัติการรอบแรกในเดือน เม.ย.67 เพื่อจับกุมเครือข่ายอาชญากรข้ามชาติ ที่ใช้วิธีการหลอกลวงให้ลงทุน พร้อมกับนำเงินที่ได้จากการกระทำผิดมาฟอกเงินเปลี่ยนเป็นทรัพย์สินต่างๆ ทั้ง บ้าน รถยนต์หรู และของมีค่าอื่นๆ โดยหลังจากนี้จะทำการขยายผลเส้นทางการเงินที่พบว่าเป็นบัญชีม้าของคนต่างชาติ และในบัญชีต่างประเทศ ซึ่งหมุนเวียนเข้ามาในประเทศไทย 

‘โฆษกรัฐบาล’ เผย ‘นทท.อินเดีย’ จองเที่ยวไทยบนแพลต์ฟอร์ม Airbnb เพิ่มขึ้นกว่า 60%  ชี้!! เป็นผลจากมาตรการขยายระยะเวลา Visa Free ของนายกฯ ที่ขยายออกไปอีก 6 เดือน 

(2 มิ.ย.67) นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยถึงผลสำเร็จของนโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ในการขยายระยะเวลาการยกเว้นการตรวจลงตรา หรือ Visa Free ให้แก่นักท่องเที่ยวชาวอินเดียเป็นการชั่วคราวออกไปอีก 6 เดือน ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 11 พฤษภาคม - 11 พฤศจิกายน 2567 นั้น ล่าสุด แพลตฟอร์ม Airbnb ได้เปิดเผยข้อมูลการจองที่พักในช่วงปี 2565 - 2566 พบว่า นักท่องเที่ยวชาวอินเดียจองที่พักในประเทศไทยเพิ่มขึ้นกว่า 60% โดยในปี 2567 ซึ่งเป็นช่วงวันหยุดยาว เช่น เทศกาลโฮลี (Holi Festival) และเทศกาลอีสเตอร์ (Easter) มีชาวอินเดียค้นหาที่พักในประเทศไทยบนแพลตฟอร์ม Airbnb เพิ่มขึ้นมากกว่า 200% โดยมีจุดหมายปลายทางยอดนิยม 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพฯภูเก็ต เชียงใหม่ กระบี่ และเกาะสมุย

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าจากข้อมูล Airbnb พบว่าชาวอินเดียมีความชื่นชอบและสนใจที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มขึ้น โดย Airbnb อธิบายว่า เทรนด์การท่องเที่ยวไทยของชาวอินเดียส่วนใหญ่มาจากกลุ่มคนรุ่นใหม่ (New Gen) โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z และ Gen Y ที่จองที่พักบน Airbnb มากถึง 80% ของนักท่องเที่ยวชาวอินเดียทั้งหมด เนื่องจากอินเดียมีประชากรกลุ่ม Gen Z และ Gen Y มากที่สุดในโลก โดยจุดหมายปลายทางยอดนิยมในประเทศไทยของนักเดินทาง Airbnb ชาวอินเดีย 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพฯ ภูเก็ต เชียงใหม่ กระบี่ และเกาะสมุย ส่วนประเภทที่พัก Airbnb ในไทยที่มีนักท่องเที่ยวชาวอินเดียเลือกจองมากที่สุด ได้แก่ สระว่ายน้ำ เขตร้อน ชายหาด อุทยานแห่งชาติ และเมืองดัง อีกทั้งนักท่องเที่ยวชาวอินเดียที่เดินทางแบบกลุ่มขนาดเล็ก (3 - 5 คน) และกลุ่มขนาดกลาง (5 คนขึ้นไป) มีการเติบโตเร็วที่สุด โดยนักท่องเที่ยวแบบกลุ่มขนาดเล็ก เดินทางเพิ่มขึ้น 67% และนักท่องเที่ยวแบบกลุ่มขนาดกลาง เดินทางเพิ่มขึ้น 68% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันจากปีก่อน

นอกจากนี้ นายอมันพรีท บาจาจ ผู้จัดการทั่วไปประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดีย ฮ่องกง และไต้หวัน ของ Airbnb เปิดเผยว่า นักท่องเที่ยวชาวอินเดียเริ่มให้ความสนใจในการเดินทางไปยังสถานที่ที่ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก ซึ่งนับเป็นการสนับสนุนการท่องเที่ยวแบบมีส่วนร่วมมากขึ้น และยังเป็นการช่วยกระจายเศรษฐกิจไปยังชุมชนต่างๆ ไม่เพียงแค่เมืองใหญ่เท่านั้น

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า เมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบมาตรการเเละเเนวทางการตรวจลงตรา ทั้งหมด 3 ระยะ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยมีมาตรการที่สำคัญเเละจะเริ่มใช้ต่อเนื่องในเดือนมิถุนายน 2567 นี้ เช่น

- การให้สิทธิยกเว้นการตรวจลงตรา (Visa Free) สามารถพำนักในประเทศไทย ไม่เกิน 60 วัน เพื่อการท่องเที่ยว การติดต่อธุรกิจ และการทำงานระยะสั้น จำนวน รวม 93 ประเทศ/ดินแดน ประกอบด้วย (1) ประเทศที่ได้รับสิทธิ ผ.30 เดิม 57 ประเทศ/ดินแดน และ (2) เพิ่มประเทศที่ได้รับสิทธิ ผ.30 ใหม่ 36 ประเทศ/ดินแดน

- การให้สิทธิ Visa on Arrival (VOA) จากเดิม 19 ประเทศ เพิ่มรวมเป็น 31 ประเทศ

- การเพิ่มการตรวจลงตราประเภทใหม่ Destination Thailand Visa (DTV) เพื่อให้คนต่างด้าวที่มีทักษะและทำงานทางไกลผ่านระบบดิจิทัล (Remote worker หรือ Digital nomad) ที่ประสงค์จะพำนักในประเทศไทย สามารถมาทำงานและท่องเที่ยวไปพร้อมกันได้ เป็นต้น

“นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นการดำเนินมาตรการเชิงรุกของไทยในเรื่องของการอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวต่างชาติ การยกเว้นการตรวจลงตรา หรือ Visa Free สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น ประกอบกับมาตรการสนับสนุนอื่นๆ ของรัฐบาล ทั้งนี้ เห็นได้ชัดจากตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเป็นอีกกลไกสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ” นายชัย กล่าว

‘คนขับแกร็บ’ วอน ‘ผู้โดยสาร’ ไม่ต้องทาครีมเผื่อชาวบ้าน ทำเลอะเต็มเบาะ เช็ดยาก ชี้!! เจอแบบนี้ 3 รอบแล้ว

(2 มิ.ย.67) ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งชื่อได้โพสต์ลงในกลุ่ม ‘Grab Car Drivers Club Thailand’ ระบุข้อความว่า ... 

"เรียนลูกค้าที่เคารพรักนะครับ ทาแป้งทาครีมไม่ต้องเผื่อชาวบ้านด้วยก็ได้นะครับเข้าใจว่าอยากสวยอยากขาว ติดเบาะแล้วเช็ดออกยากชิบ รูดตั้งแต่เบาะฝั่งขวายันฝั่งซ้ายเลย ผ้าชุบน้ำเช็ดลงแว๊กยังไม่อยากจะออก เจอแบบนี้ 3 รอบแล้วหมดคำสิเว้ารอบนี้หนักสุด"

เมื่อโพสต์ดังกล่าวเผยแพร่ออกไปทำให้คนเข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก อาทิ ติดทุกอย่างยกเว้นผิว, แป้งหรือสี toa, เบาะหนังยังทิ้งรอยขนาดนี้ คันไหนเป็นเบาะผ้านี่ สงสารเจ้าของรถเลย, ความลับนางฟ้า, ผิวลูกคุณหนู 100%, เช็ดออกยากมาก, เจอเหมือนกันแบบนี้ เช็ดยังออกไม่หมดเลย ยังมีรอยจางๆอยู่, เบื่อมากเจอเพื่อนขึ้นเเบบนี้เลย, ถ้าเบาะผ้า มีร้องอะเจ้าของรถ ค่าซักแพง เป็นต้น

‘ราชันชุดขาว’ เรอัล มาดริด ยักษ์ใหญ่จากสเปน ครองเจ้ายุโรปสมัยที่ 15 เอาชนะ ‘เสือเหลือง’ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ จากเยอรมนี 2-0

(2 มิ.ย.67) เกมที่สนามนิว เวมบลีย์ มหานครลอนดอน อังกฤษ ‘ดอร์ทมุนด์’ ต้องเจ็บปวดที่สนามแห่งนี้เป็นคำรบที่ 2 หลังจากเคยแพ้ บาเยิร์น 1-2 เมื่อปี 2013 มาในครั้งนี้พวกเขามีโอกาสมากกว่าบานตะไทในครึ่งแรก โดยเฉพาะการเล่นหนามยอกเอาหนามบ่ง

บอลทะลุไลน์ที่เป็นจุดเด่นของ เรอัล มาดริด วันนี้โดน ดอร์ทมุนด์ ดักได้ดีและมีวินัยสูงมาก แค่ครึ่งชั่วโมงแรก โดน ดอร์ทมุนด์ แทงตัดขั้วหัวใจไปแล้ว 3 ที ดีที่ไม่เสียประตู

มาดริด ครองบอลมากกว่าแต่ ‘ตัวทำ’ อย่าง จู๊ด เบลลิ่งแฮม ไร้บทบาท และ ‘ตัวจ่าย’ อย่าง โทนี่ โครส ไม่มีโอกาส

ดอร์ทมุนด์ เล่นได้ดีมากกับแผนการปิดพื้นที่ได้เหนียวแน่น ทุกคนวินัยสูงมาก และมีโอกาสทำประตูจะแจ้งกว่าโดยเฉพาะบอลทะลุถึง 4 ครั้ง แต่เมื่อทำไม่ได้ ทุกคนเห็นภาพซ้ำเดิม ๆ ในครึ่งหลัง เปิดครึ่งหลังมา 15 นาทีแรก

จังหวะบอลของ เรอัล มาดริด เร็วขึ้นและแรงขึ้น บีบพื้นที่ขึ้นมาสูงขึ้น และฟรีคิกของ โทนี่ โครส เกือบเสียบตาข่าย แต่ ดอร์ทมุนด์ ยังคงอยู่ในแผนที่ดี โดยเฉพาะการเล่นเป็นกลุ่ม กระทั่ง คาริม อเดเยมี่ วิ่งจนหมดถูกปรับทัพคนแรก ด้วยการส่ง  มาร์โก้ รอยส์ อดีตกัปตันทีมลงสนาม
แต่แค่ไม่ถึงสองนาที นาฬิกาเดินมา นาทีที่ 73.14 เรอัล มาดริด นำจนได้ 1-0 จากลูกเตะมุม

ดานี่ คาร์บาฆาล ขึ้นไปโหม่งที่เสาแรกเสียบตาข่าย เป็นประตูแรกของเขาในการเตะยูซีแอลตลอด 9 ปีที่่ผ่านมา แต่เป็นประตูทองจริง ๆ ต้นครึ่งหลัง เขามีโอกาสได้โหม่งจุดเดิมจุดเดียวแบบนี้มาแล้ว แต่ข้ามคาน และหนนี้ฉีกมาอยู่จุดมาร์กจุดเดิม ซึ่งไม่พลาด

แล้วไม่กี่นาทีต่อมา หลังจาก ดอร์ทมุนด์ ตัดสินใจเกหมดหน้าตัก ก็มาพลาดเองเมื่อ มาตเซ่น ที่เล่นได้เด่นตลอดครึ่งซีซั่นหลัง ไปจ่ายบอลขวางสนาม ทำให้พวกเขาสังเวียประตูที่ 2 ให้กับ วินิซิอุส นาทีที่ 83

ปีกแซมบ้า วัย 23 ปี 325 วัน ทำสถิติเป็นนักฟุตบอลอยู่น้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ยิงในแชมเปียนส์ลีกสองสมัย แซงหน้า ลีโอเนล เมสซี่ ไปแล้ว โดยทำไว้ 23 ปี 338 วัน

ดอร์ทมุนด์ ดีที่สุดเกมนี้คือ ความวูบวาบ และปิดโอกาสของอดีตเด็กเก่าอย่าง จู๊ด เบลลิงแฮม ได้อย่างสมบูรณ์ แต่พวกเขาทิ้งโอกาสสำคัญ ซึ่งเกมใหญ่ขนาดนี้มันพลาดไม่ได้

ติบอร์ กูร์กตัวส์ นายประตูเรอัล มาดริด โชว์เกมใหญ่อีกครั้ง หลังจากไม่ได้เล่นเลยด้วยซ้ำในปีนี้ถ้วยนี้ แต่กลายเป็นฮีโร่ เซฟให้ทีมจะ ๆ อย่างน้อย 4 ครั้ง ก่อนทำให้ทีมอยู่ในเกมและก้าวไปสู่ชัยชนะ ไม่รู้ว่าใครจะเบื่อขั้นไหน แต่นี่คือความสำเร็จที่น่ายกย่องอีกครั้งของ เรอัล มาดริด กับแชมป์สมัยที่ 15

‘นิด้าโพล’ เผย ‘คนกรุงเทพฯ’ พอใจผลงานของ ‘ผู้ว่าฯชัชชาติ’ ชี้!! หากวันนี้เป็นวันเลือกตั้ง ก็ยังกาให้ทำหน้าที่ต่อไป

(2 มิ.ย.67) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง ‘2 ปี ผู้ว่าฯ ชัชชาติ’ ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 16-27 พฤษภาคม 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป และมีสิทธิเลือกตั้งในกรุงเทพมหานคร ครอบคลุมพื้นที่ทั้ง 50 เขต กระจายทุกระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ รวมทั้งสิ้น จำนวน 2,000 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับการทำงานในรอบ 2 ปี ของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ ‘นิด้าโพล’ สุ่มตัวอย่างด้วยวิธีแบบง่าย (Simple Random Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

จากการสำรวจเมื่อถามถึงความคิดเห็นของคนกรุงเทพมหานครต่อการทำงานในรอบ 2 ปี ของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ในประเด็นต่าง ๆ ดังนี้

1. การส่งเสริมการท่องเที่ยวใน กทม. ตัวอย่าง ร้อยละ 43.05 ระบุว่า ค่อนข้างดี รองลงมา ร้อยละ 21.30 ระบุว่า ไม่ค่อยดี ร้อยละ 20.15 ระบุว่า ดีมาก ร้อยละ 8.20 ระบุว่า ไม่ดีเลย และร้อยละ 7.30 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

2. การเพิ่มพื้นที่สีเขียว สวนสาธารณะ ตัวอย่าง ร้อยละ 45.75 ระบุว่า ค่อนข้างดี รองลงมา ร้อยละ 21.65 ระบุว่า ไม่ค่อยดี ร้อยละ 19.60 ระบุว่า ดีมาก ร้อยละ 10.30 ระบุว่า ไม่ดีเลย และร้อยละ 2.70 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

3. การปรับปรุงและจัดระเบียบทางเท้า เช่น หาบเร่แผงลอย การจอดยานพาหนะหรือตั้งร้านบนทางเท้า ตัวอย่าง ร้อยละ 46.60 ระบุว่า ค่อนข้างดี รองลงมา ร้อยละ 21.30 ระบุว่า ไม่ค่อยดี ร้อยละ 19.35 ระบุว่า ดีมาก ร้อยละ 11.60 ระบุว่า ไม่ดีเลย และร้อยละ 1.15 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

4. การสนับสนุนการกีฬา ตัวอย่าง ร้อยละ 41.80 ระบุว่า ค่อนข้างดี รองลงมา ร้อยละ 23.25 ระบุว่า ไม่ค่อยดี ร้อยละ 17.45 ระบุว่า ดีมาก ร้อยละ 9.50 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล และร้อยละ 8.00 ระบุว่า ไม่ดีเลย

5. การแก้ไขปัญหาความสะอาด ขยะ ฝุ่นละออง น้ำเสีย ตัวอย่าง ร้อยละ 44.30 ระบุว่า ค่อนข้างดี รองลงมา ร้อยละ 25.40 ระบุว่า ไม่ค่อยดี ร้อยละ 17.15 ระบุว่า ดีมาก ร้อยละ 12.25 ระบุว่า ไม่ดีเลย และร้อยละ 0.90 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

6. การปรับปรุงทัศนียภาพ ถนน ตรอก ซอย ตัวอย่าง ร้อยละ 46.90 ระบุว่า ค่อนข้างดี รองลงมา ร้อยละ 23.60 ระบุว่า ไม่ค่อยดี ร้อยละ 16.85 ระบุว่า ดีมาก ร้อยละ 11.45 ระบุว่า ไม่ดีเลย และร้อยละ 1.20 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

7. การปรับปรุงการให้บริการในหน่วยงานของ กทม. ตัวอย่าง ร้อยละ 43.15 ระบุว่า ค่อนข้างดี รองลงมา ร้อยละ 22.10 ระบุว่า ไม่ค่อยดี ร้อยละ 16.05 ระบุว่า ดีมาก ร้อยละ 12.40 ระบุว่า ไม่ดีเลย และร้อยละ 6.30 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

8. การป้องกันอาชญากรรม และสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เช่น การติดไฟส่องสว่าง กล้องวงจรปิด ระบบรักษาความปลอดภัย ตัวอย่าง ร้อยละ 43.35 ระบุว่า ค่อนข้างดี รองลงมา ร้อยละ 28.15 ระบุว่า ไม่ค่อยดี ร้อยละ 15.10 ระบุว่า ดีมาก ร้อยละ 11.15 ระบุว่า ไม่ดีเลย และร้อยละ 2.25 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

9. การแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ตัวอย่าง ร้อยละ 37.00 ระบุว่า ค่อนข้างดี รองลงมา ร้อยละ 29.05 ระบุว่า ไม่ค่อยดี ร้อยละ 16.00 ระบุว่า ไม่ดีเลย ร้อยละ 13.95 ระบุว่า ดีมาก และร้อยละ 4.00 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

10. การจัดระเบียบการชุมนุม ตัวอย่าง ร้อยละ 41.50 ระบุว่า ค่อนข้างดี รองลงมา ร้อยละ 24.90 ระบุว่า ไม่ค่อยดี ร้อยละ 13.70 ระบุว่า ดีมาก ร้อยละ 10.15 ระบุว่า ไม่ดีเลย และร้อยละ 9.75 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

11. การพัฒนาระบบขนส่งสาธารณะ เช่น รถไฟฟ้า เรือ ตัวอย่าง ร้อยละ 41.10 ระบุว่า ค่อนข้างดี รองลงมา ร้อยละ 29.35 ระบุว่า ไม่ค่อยดี ร้อยละ 13.35 ระบุว่า ดีมาก ร้อยละ 8.80 ระบุว่า ไม่ดีเลย และร้อยละ 7.40 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

12. การแก้ไขปัญหาสุขภาพ/สาธารณสุข ตัวอย่าง ร้อยละ 41.25 ระบุว่า ค่อนข้างดี รองลงมา ร้อยละ 28.65 ระบุว่า ไม่ค่อยดี ร้อยละ 12.65 ระบุว่า ดีมาก ร้อยละ 11.00 ระบุว่า ไม่ดีเลย และร้อยละ 6.45 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

13. การพัฒนาการศึกษา แก้ไขปัญหาเด็กและเยาวชน ตัวอย่าง ร้อยละ 36.00 ระบุว่า ค่อนข้างดี รองลงมา ร้อยละ 28.10 ระบุว่า ไม่ค่อยดี ร้อยละ 12.40 ระบุว่า ไม่ดีเลย ร้อยละ 11.80 ระบุว่า ดีมาก และร้อยละ 11.70 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

14. การแก้ไขปัญหาทุจริต คอร์รัปชัน ในหน่วยงานของ กทม. ตัวอย่าง ร้อยละ 30.95 ระบุว่า ค่อนข้างดี รองลงมา ร้อยละ 27.35 ระบุว่า ไม่ค่อยดี ร้อยละ 18.35 ระบุว่า ไม่ดีเลย ร้อยละ 12.85 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล และร้อยละ 10.50 ระบุว่า ดีมาก

15. การจัดระเบียบคนเร่ร่อน คนจรจัด ขอทาน ตัวอย่าง ร้อยละ 35.70 ระบุว่า ค่อนข้างดี รองลงมา ร้อยละ 33.25 ระบุว่า ไม่ค่อยดี ร้อยละ 15.40 ระบุว่า ไม่ดีเลย ร้อยละ 10.35 ระบุว่า ดีมาก และร้อยละ 5.30 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

16. การแก้ไขปัญหาจราจรและรถติด ตัวอย่าง ร้อยละ 37.30 ระบุว่า ค่อนข้างดี รองลงมา ร้อยละ 34.40 ระบุว่า ไม่ค่อยดี ร้อยละ 17.60 ระบุว่า ไม่ดีเลย ร้อยละ 9.00 ระบุว่า ดีมาก และร้อยละ 1.70 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล

17. การแก้ไขปัญหาค่าครองชีพ/ปากท้อง ตัวอย่าง ร้อยละ 38.70 ระบุว่า ไม่ค่อยดี รองลงมา ร้อยละ 24.70 ระบุว่า ไม่ดีเลย ร้อยละ 24.55 ระบุว่า ค่อนข้างดี ร้อยละ 7.15 ระบุว่า ไม่มีข้อมูล และร้อยละ 4.90 ระบุว่า ดีมาก

ด้านความพึงพอใจของคนกรุงเทพมหานครต่อการทำงานในรอบ 2 ปี ของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 50.25 ระบุว่า ค่อนข้างพอใจ รองลงมา ร้อยละ 20.35 ระบุว่า ไม่ค่อยพอใจ ร้อยละ 18.45 ระบุว่า พอใจมาก ร้อยละ 10.60 ระบุว่า ไม่พอใจเลย และร้อยละ 0.35 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงการเลือก ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หากวันนี้เป็นวันเลือกตั้ง พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 40.75 ระบุว่า เลือก รองลงมา ร้อยละ 34.50 ระบุว่า ไม่แน่ใจ ร้อยละ 21.35 ระบุว่า ไม่เลือก และร้อยละ 0.40 ระบุว่า ไม่ตอบ

‘กฟผ.’ จับมือ ‘กรมพัฒนาพลังงานฯ’ ร่วมสร้างมาตรฐาน ฉลากแสดงประสิทธิภาพ ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการติดฉลาก เพื่อมุ่งสู่เป้าหมาย ‘ความเป็นกลางทางคาร์บอน’

เมื่อไม่นานมานี้ นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท อธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) ร่วมกับ นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือยกระดับประสิทธิภาพพลังงานของโรงงานและอาคารที่มีอยู่เดิม ด้วยการติดฉลากแสดงประสิทธิภาพพลังงาน โดยมีผู้บริหาร พพ. และ กฟผ. ร่วมพิธี ณ อาคาร 50 ปี กฟผ. สำนักงานใหญ่

นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท อธิบดี พพ. กล่าวว่า พพ. ได้ส่งเสริมประสิทธิภาพการใช้พลังงานในโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม ผ่านการกำกับและบังคับใช้กฎกระทรวงกำหนดมาตรฐาน หลักเกณฑ์ และวิธีการจัดการพลังงานในโรงงานควบคุมและอาคารควบคุม พ.ศ.2552 ความร่วมมือในครั้งนี้ พพ. และ กฟผ. จะร่วมกันกำหนดเกณฑ์มาตรฐานประสิทธิภาพพลังงานของโรงงานและอาคาร ส่งเสริมกระบวนการติดฉลากแสดงประสิทธิภาพพลังงานเบอร์ 5 ให้แก่โรงงานและอาคารที่สามารถผ่านเกณฑ์ดังกล่าว ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้เกิดการประหยัดพลังงาน ได้ 500 ktoe (พันตันเทียบเท่าน้ำมันดิบ) ต่อปี ช่วยลดปริมาณการใช้ไฟฟ้าได้ 5,864 ล้านหน่วย ลดการปล่อยคาร์บอนได้ 3.2 ล้านตัน ภายในปี 2580

นายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ ผู้ว่าการ กฟผ. กล่าวเสริมว่า กฟผ. ได้ดำเนินงานบริหารจัดการด้านการใช้พลังงานมาอย่างต่อเนื่อง โดยได้ดำเนินโครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 เป็นระยะเวลากว่า 30 ปี ติดฉลาก ฯ แล้วกว่า 470 ล้านดวง ลดการใช้ไฟฟ้ากว่า 37,000 ล้านหน่วย ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 20 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ นอกจากนี้ กฟผ. ยังได้ดำเนินโครงการที่ปรึกษาพลังงาน มุ่งเน้นการให้คำปรึกษาในการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในภาคอาคารและโรงงาน

การร่วมมือกับ พพ. ในครั้งนี้ เพื่อส่งเสริมการเพิ่มประสิทธิภาพเชิงผลลัพธ์ของการใช้พลังงานในอาคารและโรงงานที่มีอยู่เดิมผ่านการกำหนดค่าประสิทธิภาพพลังงาน เตรียมความพร้อมให้กับผู้ประกอบการภาคอาคารและโรงงานสำหรับการบังคับใช้กฎหมายประหยัดพลังงานของประเทศไทยและการบังคับใช้มาตรการระดับสากลที่มีผลต่อธุรกิจในประเทศไทย รวมทั้งบูรณาการระบบฐานข้อมูลขนาดใหญ่ของการใช้พลังงานในภาคอาคารและโรงงาน เพื่อการตัดสินใจเชิงนโยบายหรือดำเนินมาตรการที่เกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์พลังงานของประเทศไทยในอนาคต 

ความร่วมมือในครั้งนี้นับเป็นการร่วมกันสร้างกลไกที่สำคัญและเป็นแนวทางที่มีศักยภาพในการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานในภาคส่วนที่มีการใช้พลังงานสูง สร้างผลลัพธ์เชิงบวกด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม ตลอดจนเศรษฐกิจระดับมหภาคของประเทศ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนต่อไป

‘เอ็ดดี้ อัษฎางค์’ โพสต์เฟซถึง ‘โม’ ที่ตามเทรนด์สามกีบ ไปอยู่ออสเตรเลีย เพื่อหนีลุงตู่ หลัง ‘ย้ายประเทศ’ ไปไม่สวยงาม โอด ‘ค่าครองชีพสูง-งานหายาก-มีแต่ความเครียด’

(1 มิ.ย.67) นายอัษฎางค์ ยมนาค หรือ ‘เอ็ดดี้’ นักวิชาการอิสระ ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับ ‘โม’ สาวไทยที่ตามเทรนด์ ย้ายประเทศไปอยู่ที่ ‘ออสเตรเลีย’ ตามกระแสคนรุ่นใหม่ที่อยากย้ายถิ่นฐานไปต่างประเทศ โดยเฉพาะในช่วงรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จากการปลุกปั่นยุยงด้วยการบิดเบือนข้อเท็จจริงของ ‘ขบวนการสามกีบ’ ว่าเมืองไทยมีโครงสร้างทางสังคมและการปกครองที่มีปัญหาความเหลื่อมล้ำ การกดขี่ โดยได้ระบุว่า ...

ย้ายภพภูมิกันเถอะ

คนธรรมดามาอยู่ออสเตรเลียได้
แต่สามกีบ ไปอยู่ที่ไหนในโลกก็ไม่ได้
เพราะปัญหาไม่ได้อยู่ที่ประเทศ (ไทย, ออสเตรเลีย หรือประเทศอื่นๆ) แต่อยู่ที่ทัศนคติและความเป็นคนมีปัญหาของตนเอง

โม สาวไทยที่ตามเทรนด์ย้ายประเทศไปอยู่ออสเตรเลีย โอดครวญว่า ชีวิตลำบากด้วยค่าเช่าห้องขนาดเล็กเดือนละ 38,000 บาท และต้องแชร์ห้องพักกับรูมเมทคนอื่น 

ผมขออนุญาตไม่ได้จะโอ้อวดแต่อยากเล่าเป็นข้อมูลว่า สมัยก่อนตอนผมถือวีซ่านักเรียน ผมเคยเช่าบ้านเดือนละประมาณ 8 หมื่นบาท โดยไม่ได้หารค่าเช่าหรือให้ใครมาแชร์บ้านและค่าเช่าด้วย ก็ยังมีชีวิตอยู่ในออสเตรเลียมาได้กว่า 20 ปีจนถึงปัจจุบัน

ดังนั้น ปัญหาที่น้องโมเล่ามา เป็นประสบการณ์ที่ดีที่ช่วยเปิดหูเปิดตา เปิดเผยความจริงบางอย่างว่า กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่โดนหลอกว่าเมืองไทยมีแต่ปัญหาจนต้องคิดย้ายประเทศนั้น เป็นเรื่องที่ถูกปลุกปั่นด้วยการบิดเบือนข้อเท็จจริง 

แต่การที่จะอยู่ที่ไหนไม่ได้ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกเท่านั้น แต่ปัญหาใหญ่นั้นอยู่ที่ทัศนคติและลักษณะนิสัยของแต่ละคนเป็นหลัก คนที่คิดว่าชีวิตมีแต่ปัญหาอยู่ที่ไหนก็มีแต่ปัญหา และอยู่ที่ไหนก็อยู่ไม่ได้

เทรนด์ ‘ย้ายประเทศกันเถอะ’ เคยสร้างกระแสคนรุ่นใหม่อยากย้ายถิ่นฐานไปต่างประเทศ (โดยเฉพาะในช่วงรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) จากการปลุกปั่นยุยงด้วยการบิดเบือนข้อเท็จจริงของขบวนการสามกีบ ว่าเมืองไทยมีโครงสร้างทางสังคมและการปกครองที่มีปัญหาความเหลื่อมล้ำ การกดขี่

Spring News รายงานว่า ‘โม’ พนักงานในองค์กรเอกชนเพื่อสาธารณประโยชน์ (NGO) คือหนึ่งในคนที่ต้องการย้ายประเทศ และได้ย้ายไปออสเตรเลีย ด้วยวีซ่า Work and Holiday ในปี 2566

ออสเตรเลียในจินตนาของเธอนั้นเป็นประเทศแห่งโอกาส ใครๆ ก็สามารถเติบโตในหน้าที่การงานได้ถ้าขวนขวาย ค่าแรงขั้นต่ำของออสเตรเลียสูงที่สุดในโลก

เธอเล่าให้ SPRiNG ฟังถึงประสบการณ์ย้ายประเทศในมุมที่ไม่ได้สวยงามเหมือนที่หลายคนคิด

เมื่อไปอยู่ที่นั่น กลับต้องเจอกับอุปสรรคอื่นๆ ได้แก่ เรื่องวัฒนธรรมและความสัมพันธ์ที่คนที่โน่นจะมีกำแพงในการพัฒนาความสัมพันธ์ ส่วนใหญ่จะเป็นได้แค่คนรู้จัก (Acquaintance) แต่พัฒนาเป็นเพื่อนหรือแฟนได้ยาก

นอกจากนี้ค่าครองชีพก็สูง ราคาอาหารอย่างต่ำมื้อละ 400 บาท ค่าเช่าห้องขนาดเล็กเดือนละ 38,000 บาท และต้องแชร์ห้องพักกับรูมเมทคนอื่น 

ขณะเดียวกันการหางานในออสเตรเลียก็ยาก ประกอบกับค่าครองชีพที่สูงทำให้คนส่วนใหญ่ต้องมีงานมากกว่า 2 งานถึงจะอยู่รอด และสำหรับผู้อพยพ การได้งานประจำเป็นเรื่องยาก 

ยิ่งไปกว่านั้น การต่อวีซ่า ขอสถานะผู้พำนักถาวร และการขอสถานะพลเมืองก็มีเงื่อนไขที่ยากขึ้นกว่าอดีต เพราะพลเมืองในออสเตรเลียที่มากขึ้นจนทำให้ค่าครองชีพขึ้นสูง รัฐบาลจึงเพิ่มเงื่อนไขมากขึ้น

โม กล่าวว่า ออสเตรเลียเป็นประเทศน่าเที่ยว แต่ตอนนี้ถ้าให้ไปอยู่ใช้ชีวิต คงไม่เอา เพราะภาวะความเครียดเคยทำให้หลายคนอยากจบชีวิตตัวเองที่นั่น รวมทั้งตัวเธอด้วย

‘กรังด์ปรีซ์’ จับมือ ‘ฮอนด้า’ สานต่อความเร้าใจ ‘ฮอนด้า วันเมคเรซ’ ปีที่ 4 เพิ่มความสนุก!! ด้วยการแข่ง ‘ฮอนด้า คลับ’ เพื่อเอาใจสาวกเครื่อง ‘วี-เทค’

เมื่อวานนี้ (31 พ.ค.67) ‘กรังด์ปรีซ์ มอเตอร์สปอร์ต’ โปรโมเตอร์ความเร็วยักษ์ใหญ่ของเมืองไทย จัดงานแถลงข่าว ประกาศสานต่อความมัน รถยนต์ทางเรียบ ‘ฮอนด้า วันเมคเรซ 2024’ ถือเป็นการเดินหน้าระเบิดความมันเป็นปีที่ 4 ติดต่อกันอย่างยิ่งใหญ่ ภายใต้ความร่วมมือจากผู้สนับสนุนหลักอย่างล้นหลาม

ในงานแถลงข่าว นายอโณทัย เอี่ยมลำเนา ในฐานะประธานจัดการแข่งขัน ฮอนด้า วันเมคเรซ เปิดเผยถึงความสดใหม่ในฤดูกาลนี้ที่เพิ่มเติมเข้ามา โดยมีผู้บริหารจาก บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท บุญรอด บริวเวอร์รี่ จำกัด, บริษัท บี-ควิก จำกัด, บริษัท ฮอนด้า แอคเซส เอเชีย แอนด์ โอเชียเนีย จำกัด, บริษัท ริชไวส์มาร์เก้ตติ้ง จำกัด, บริษัท โยโกฮาม่า ไทร์ เซลล์ (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท เอส 63 โปรเจค จำกัด และ บริษัท บี.เค.เรซซิ่ง คลัทช์ จำกัด เข้าร่วมเป็นสักขีพยาน

‘ฮอนด้า วันเมคเรซ 2024’ นับเป็นการแข่งขันฤดูกาลที่ 4 ติดต่อกัน โดยในปีนี้ กรังด์ปรีซ์ มอเตอร์สปอร์ต ฝ่ายจัดการแข่งขันฯ ได้เพิ่มความสดใหม่เข้ามา ด้วยการอัปเกรดรถแข่ง 'ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก วันเมคเรซ' ให้เป็นระบบเกียร์ธรรมดา เพื่อเพิ่มความมันและเร้าใจให้กับเกมการแข่งขัน และยังมีรถ 'เกียร์อัตโนมัติ' อยู่ในเรซด้วยเช่นกัน โดยแชมป์ประจำปี จะได้สิทธิ์ไปแข่งขันในประเทศญี่ปุ่น ในรายการ ‘Super Taikyu’ แบบไม่มีค่าใช้จ่าย

ขณะเดียวกัน จากเสียงเรียกร้องของ แฟน ๆ รถยนต์ฮอนด้า ก็ได้มีการเพิ่มการแข่งขันในรุ่น ‘ฮอนด้า คลับ’ เข้ามาด้วย เพื่อให้สาวกได้สมัครเข้าร่วมดวลความเร็ว และสัมผัสประสบการณ์ในสนามแข่งระดับโลกอย่าง สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ ที่ผ่านการแข่งขันทั้ง โมโตจีพี และ เวิลด์ ซูเปอร์ไบค์ แชมเปี้ยนชิพ รวมถึง ซูเปอร์จีที มาแล้ว นอกจากนี้ยังมีสนามสุดพิเศษอย่าง ‘พีที สงขลา สตรีท เซอร์กิต ที่มีความสวยงามเป็นอย่างมาก

นายอโณทัย เอี่ยมลำเนา ประธานจัดการแข่งขันกล่าวว่า "เรามีความยินดีที่ได้ประกาศว่า กรังด์ปรีซ์ มอเตอร์สปอร์ต จะเดินหน้าสานต่อการแข่งขัน ฮอนด้า วันเมคเรซ ในปี 2024 โดยมีการเพิ่มเติมความเร้าใจให้กับแฟนๆ และนักแข่งทุกคนที่เข้าร่วมการแข่งขัน ด้วยรถแข่ง ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก วันเมคเรซ ที่มีการอัพเกรดจากเกียร์อัตโนมัติมาเป็น เกียร์ธรรมดา โดยหลังการทดสอบและพัฒนา เราได้เห็นว่ารถแข่งมีศักยภาพที่สูงขึ้นอย่างชัดเจน"

การเปลี่ยนแปลงนี้สร้างความเร็วต่อรอบที่ยอดเยี่ยมมาก ด้วยปัจจัยนี้จะทำให้การขับเคี่ยวในสนามมีความเข้มข้นอย่างสูง อย่างไรก็ดี ในการแข่งขัน ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก วันเมคเรซ เราจะยังคงมีรถเกียร์อัตโนมัติเช่นเคย และเสริมความมันในรุ่น เกียร์ธรรมดาเข้ามา ซึ่งความพิเศษในปีนี้คือ นักแข่งที่สร้างผลงานยอดเยี่ยมต่อเนื่องจนคว้าแชมป์ประจำปี จะได้สิทธิ์ไปแข่งขันในประเทศญี่ปุ่นแบบฟรีๆ ในรายการ ‘Super Taikyu’

นอกจากนี้ นายอโณทัย ยังกล่าวถึงการเสริมความมันของการแข่งขัน ‘ฮอนด้า คลับ’ เข้ามาในฤดูกาลนี้ว่า มีเสียงเรียกร้องมาหลายปีแล้วเกี่ยวกับการแข่งขันแบบ คลับเรซของ ฮอนด้า ซึ่งเราเล็งเห็นว่าประสบการณ์ในสนามแข่งจะทำให้ผู้ขับขี่ ที่มีความชื่นชอบกีฬามอเตอร์สปอร์ตได้สัมผัสความเร้าใจและเข้าใจในเกมการแข่งขันมากขึ้น โดยอดีตที่ผ่านมา มีนักแข่งแถวหน้าของไทยหลายคนเริ่มต้นจากจุดนี้ ดังนั้นเราจึงเพิ่มเติมการแข่งขัน ฮอนด้า คลับ เข้ามาในปฏิทินฤดูกาล 2024 อยากขอเชิญชวนสาวกฮอนด้า ที่มีใจรักกีฬาความเร็ว เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของความมันส์ครั้งนี้

สำหรับ ศึก ฮอนด้า วันเมคเรซ 2024 จะดวลความเร็วทั้งสิ้น 8 สนาม 4 อีเวนต์
โดยมีตารางแข่งขันดังนี้ :
อีเวนต์ 1 : วันที่ 6-9 มิถุนายนนี้ 2024, สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์
อีเวนต์ 2 : วันที่ 22-23 มิถุนายนนี้ 2024, สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์
อีเวนต์ 3 : วันที่ 29 สิงหาคม -1 กันยายน 2024 , สนามช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์
อีเวนต์ 4 : วันที่ 17-20 ตุลาคม 2024,     สนามพีที สงขลา สตรีท เซอร์กิต จ.สงขลา


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top