Saturday, 10 May 2025
NEWS FEED

'อ.เจษฎา' อธิบายชัด!! ปมเปิดแอร์ 27 พร้อมพัดลม แต่ค่าไฟพุ่งขึ้น ชี้!! เป็นวิธีทดลองที่ไม่น่าเชื่อถือ เผย!! บางส่วนทำแล้ว ได้ผลดีเกินคาด

จากกรณีมีผู้ใช้ติ๊กต็อกรายหนึ่งโพสต์วิดีโอคลิปแสดงบิลค่าไฟของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ระบุว่า ทฤษฎีเปิดแอร์ 27 องศาฯ แล้วเปิดพัดลม อ้างว่าประหยัดไฟได้ครึ่งหนึ่ง เดือนที่แล้วค่าไฟ 5,100 บาท ปกติเปิด 25 องศาฯ แต่พอใช้เทคนิคนี้ปรากฏว่าค่าไฟ 6,100 บาท เพิ่มมา 1,000 บาท เดือนที่แล้ว 1,000 หน่วย เดือนนี้ 1,200 หน่วย ถามกลับว่าสูตรใครวะ โดนติ๊กต็อกหลอกอีกแล้ว ทฤษฎีนี้บอกเลยอย่าหาทำ ไม่เวิร์ก ค่าไฟเพิ่มตั้งพันหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม เมื่อวานนี้ (4 มิ.ย. 67) เฟซบุ๊ก ‘Jessada Denduangboripant’ ของ รศ.ดร.เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ออกมาโพสต์ข้อความอธิบายทฤษฎีดังกล่าว โดยได้ระบุข้อความว่า

“คลิปติ๊กต็อก ‘เปิดแอร์ 27 องศา + เปิดพัดลม แล้วค่าไฟขึ้น’ ... เอามาอ้างอิงได้ จริงหรือ ? ผมว่าไม่นะครับ

มีนักข่าวสองสามช่องโทร.มาถามถึงกรณีที่มีคลิปติ๊กต็อกของหญิงสาวรายหนึ่ง ทำตามวิธีลดค่าไฟด้วยการ ‘เปิดแอร์ 27 องศา และเปิดพัดลม’ หวังลดค่าไฟ แต่ค่าไฟกลับสูงขึ้น โดยบิลค่าไฟเดือนนี้พุ่งไป 6,000 บาท ทำเอาชาวเน็ตสับสน เพราะมีบางส่วนทำแล้วได้ผลดีเกินคาด

โดยสรุป การทดลองในคลิปติ๊กต็อกที่แชร์กันนั้นยังไม่ค่อยน่าเชื่อถือ เพราะไม่มีข้อมูลเรื่องการควบคุมตัวแปรต่าง ๆ และผมยังเชื่อว่าการเปิดแอร์ 27 องศาเซลเซียส พร้อมเปิดพัดลมเป่าตัว ช่วยทำให้ประหยัดค่าไฟฟ้าได้ มากกว่าการเปิดแอร์ 25 องศา (โดยเฉพาะถ้ายิ่งเป็นแอร์ Inverter ยิ่งประหยัดขึ้นไปอีก) ไม่น่าจะทำให้กินไฟขึ้นมากอย่างในคลิปดังกล่าวครับ

ตามรายงานข่าวระบุว่า เมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2567 ผู้ใช้ TikTok รายหนึ่งแชร์คลิปลองทำตามวิธีลดค่าไฟตามที่แชร์กันในโลกโซเชียลโดยเปิดแอร์ที่ 27 องศา แล้วเปิดพัดลมควบคู่ กับห้อง 3 ห้องที่บ้าน

ในคลิปเธอบอกว่า ปกติแล้วเปิดแอร์ 25 องศา เพียงอย่างเดียว ใช้ไฟไปทั้งหมด 1,000 หน่วย ค่าไฟอยู่ 5,100 บาท แต่เมื่อได้รับบิลค่าไฟ กลับพบว่าใช้ไฟไป 1,200 หน่วย และค่าไฟพุ่งสูงขึ้น 6,100 บาท เพิ่มขึ้นจากเดือนที่แล้ว 1,000 บาท เธอได้พูดแนวขบขันว่าน่าจะเป็นค่าพัดลม 3 ตัว พร้อมแนะชาวเน็ตอย่าหาทำ ไม่เวิร์ก โดนหลอก!?

ประเด็นสำคัญที่ต้องคิดคือ คลิปการทดลองดังกล่าวไม่มีรายละเอียดใดๆ เลยว่าที่ทำการทดลองไปหนึ่งเดือนนั้นได้ควบคุมปัจจัยอะไรบ้าง โดยเฉพาะเรื่องการใช้ไฟฟ้า ไม่ว่าจะจากเครื่องแอร์ พัดลม รวมไปถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ ในบ้าน ให้เหมือนกันตลอดทั้งสองเดือนที่นำมาเทียบกัน

พูดง่าย ๆ คือ ถ้าเดือนแรกเปิดแอร์ 25 องศา แต่เปิดไม่เยอะ ไม่บ่อย / แล้วเดือนที่สอง เปิดแอร์ 27 องศาพร้อมเปิดพัดลม แล้วเปิดบ่อย เปิดเยอะ ค่าไฟฟ้า (ซึ่งคิดคำนวณตามจำนวนชั่วโมงที่ใช้ไฟ) ก็จะเพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว

ในขณะที่ถ้าเป็นการทดลองโดยอยู่ในสภาวะควบคุมปัจจัยต่าง ๆ ให้คงที่ และเปิดแอร์เป็นเวลานานเท่ากัน การตั้งค่าอุณหภูมิเครื่องแอร์ที่สูงขึ้นทุก 1 องศาเซลเซียส จะช่วยลดการใช้ไฟฟ้าได้ประมาณ 10% (ข้อมูลจากการไฟฟ้านครหลวง) ทำให้การตั้งค่าอุณหภูมิของเครื่องปรับอากาศที่ 27 องศาเซลเซียส จะประหยัดไฟฟ้ามากกว่าที่ 25 องศา

และการเปิดพัดลมช่วย ให้ลมปะทะร่างกาย ก็จะทำให้ผู้ใช้รู้สึกเย็นสบายมากขึ้นกว่าเดิมได้ถึง 2 องศาเซลเซียส …จึงแนะนำให้เปิดแอร์ที่ 27 องศา+เปิดพัดลมเป่าตัว เพื่อให้ได้ ‘ความรู้สึก’ เย็นสบายเหมือนเปิดแอร์ 25 องศาเซลเซียส ….พูดง่าย ๆ คือ ให้แอร์สร้างอากาศที่เย็น แล้วใช้พัดลมเป่าเข้ามาให้ร่างกายรับอากาศเย็นนั่นเอง

และการเปิดพัดลมนาน ๆ นั้นก็ไม่ได้จะส่งผลต่อค่าไฟฟ้าให้สูงขึ้น เพราะเมื่อเทียบกับแอร์แล้ว พัดลมใช้ไฟฟ้าน้อยกว่ากันมาก ...โดยส่วนใหญ่แล้วพัดลมไฟฟ้าขนาดใบพัด 16 นิ้ว เปิดลมเบอร์ 1 จะกินไฟแค่ประมาณ 40 วัตต์เท่านั้น / หรือคิดง่าย ๆ ว่า ถ้าเปิดแอร์ขนาด 9000 BTU จะใช้ไฟฟ้าไป พอกับพัดลมขนาด 16 นิ้ว มากถึง 16 ตัว / หรือถ้าคิดแบบหยาบ ๆ เครื่องแอร์ 1 เครื่อง จะกินไฟตกชั่วโมงละประมาณ 1 หน่วย ขณะที่พัดลมใช้ไฟฟ้าแค่ 0.05 หน่วยต่อชั่วโมงเท่านั้น

ดังนั้น จริง ๆ แล้วถ้าจะทำการทดลองเพื่อพิสูจน์เรื่องนี้ ก็คงต้องทำกันโดยควบคุมปัจจัยต่าง ๆ ให้คงที่ เช่น จำนวนชั่วโมงที่เปิดแอร์ในแต่ละวันต้องเท่ากัน ช่วงเวลาที่เปิดแอร์ก็ต้องเป็นช่วงเดียวกัน (กี่โมงถึงกี่โมง) เครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ ก็ต้องไม่เปิดเพิ่มให้ปริมาณการใช้ไฟฟ้าแปรปรวนไป

หรืออย่างน้อย ถ้าดูจากคลิปวิดีโอยูทูบที่มีคนเคยทดลองเอาไว้ แบบควบคุมปัจจัย (ช่อง Clear Energy ตอน ‘เปิดแอร์ 25 องศา กับ 27 องศาและเปิดพัดลม ค่าไฟต่างกันแค่ไหน?’ (https://youtu.be/eEtjqLjh7sA?si=kmmGrn3UdXWMDzHt ) ซึ่งทดลองกับเครื่องแอร์แบบ Inverter และเมื่อวัดกระแสไฟฟ้า ระหว่างเปิดแอร์ 25 องศาเซลเซียส พบว่าอยู่ที่ 8.58 แอมป์ ขณะที่วัดกระแสไฟฟ้าระหว่างเปิดแอร์ 27 องศาเซลเซียส พร้อมพัดลม จะอยู่ที่ 4.36 แอมป์ / ถ้าเปิดแอร์วันละ 9 ชั่วโมง คือตั้งแต่ 8 โมงเช้า-5 โมงเย็น ได้ผลว่าค่าไฟจะลดลงถึงประมาณ 50% เลยทีเดียว

ส่วนแอร์แบบรุ่นเก่าทั่วไป ที่ส่วนเครื่องคอมเพรสเซอร์ทำงานแบบ fixed speed ที่ความเร็วรอบคงที่ ไม่ได้ปรับให้เร็วช้าได้แบบแอร์ Inverter และไม่ได้ประหยัดไฟเท่าแบบ Inverter อยู่แล้วนั้น ผลที่ได้จากการเปิดแอร์ 27 องศาเซลเซียสแล้วเปิดพัดลม ก็ไม่น่าจะประหยัดไฟฟ้าไปได้ถึง 50% ดังว่า แต่ก็น่าจะประหยัดไฟขึ้นแน่ ๆ (ถ้าอ้างอิงข้อมูลของการไฟฟ้านครหลวง ก็น่าจะได้ประมาณ 20%)

เมื่อย้อนกลับมาดูที่คลิปติ๊กต็อก ที่บอกว่าการเปิดแอร์แล้วใช้พัดลมช่วยทำให้ใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นถึง 200 หน่วย ซึ่งขึ้นสูงกว่าเดิมมากถึง 20% จากเดิม …ก็น่าสงสัยมาก ว่าจริง ๆ แล้วได้มีการใช้งานแอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่น ๆ หนักขึ้นกว่าเดิมด้วยหรือเปล่า ถึงได้มีหน่วยการใช้ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นขนาดนั้นครับ

#โดยสรุป การทดลองในคลิปติ๊กต็อกที่แชร์กันนั้นยังไม่ค่อยน่าเชื่อถือ เพราะไม่มีข้อมูลเรื่องการควบคุมตัวแปรต่างๆ และผมยังเชื่อว่าการเปิดแอร์ 27 องศาเซลเซียส พร้อมเปิดพัดลมเป่าตัว ช่วยทำให้ประหยัดค่าไฟฟ้าได้มากกว่าการเปิดแอร์ 25 องศา (โดยเฉพาะถ้ายิ่งเป็นแอร์ Inverter ยิ่งประหยัดขึ้นไปอีก) ไม่น่าจะทำให้กินไฟขึ้นมาก อย่างในคลิปดังกล่าวครับ”

'คลัง' กระตุ้นเที่ยวเมืองรองช่วง Low Season สัมมนาเมืองรองหักรายจ่ายได้ 2 เท่า ค่าไกด์-โรงแรม หักได้ 15,000

ดร.เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังออกมาตรการทางภาษีกระตุ้นการสร้างเม็ดเงินจากการท่องเที่ยว ในเมืองรองช่วง Low Season 2 มาตรการ ดังนี้ 

1. มาตรการภาษีกระตุ้นสัมมนาในประเทศ (สำหรับนิติบุคคล)
นิติบุคคลสามารถนำรายจ่ายค่าห้องสัมมนา ค่าห้องพัก ค่าขนส่ง หรือรายจ่ายอื่นที่เกี่ยวข้องในการอบรมสัมมนาภายในประเทศที่จัดขึ้นให้แก่ลูกจ้าง หรือค่าบริการของผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวเพื่อการอบรมสัมมนาดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม - 30 พฤศจิกายน 2567 หักเป็นรายจ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคล ดังนี้

1.1 หักรายจ่ายได้ 2 เท่า สำหรับการอบรมสัมมนาที่จัดใน “จังหวัดท่องเที่ยวรอง” หรือในเขตพื้นที่ท่องเที่ยวอื่นใดที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด
1.2 หักรายจ่ายได้ 1.5 เท่า สำหรับการอบรมสัมมนาที่จัดในท้องที่อื่นนอกจากท้องที่ตามข้อ 1.1 
1.3 ในกรณีที่การสัมมนาเกิดขึ้นในท้องที่ตามข้อ 1.1 และข้อ 1.2 ต่อเนื่องกัน ให้หักรายจ่ายที่สามารถแยกได้ว่าเกิดขึ้นในท้องที่ใดตามข้อ 1.1 หรือข้อ 1.2 และถ้าแยกไม่ได้ให้หัก 1.5 เท่าของรายจ่ายตามที่จ่ายจริง

2. มาตรการภาษีกระตุ้นท่องเที่ยวเมืองรอง (สำหรับบุคคลธรรมดา) 
บุคคลธรรมดาสามารถนำค่าบริการที่จ่ายให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว หรือที่ได้จ่ายเป็นค่าที่พักในโรงแรม ค่าที่พักโฮมสเตย์ไทยหรือค่าที่พักในสถานที่พักที่ไม่เป็นโรงแรม สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวใน “จังหวัดท่องเที่ยวรอง” ได้ตามที่จ่ายจริง ไม่เกิน 15,000 บาท หักเป็นค่าใช้จ่ายในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ตั้งแต่ 1 พฤษภาคม ถึง 30 พฤศจิกายน 2567 ซึ่งเป็นช่วงนอกฤดูท่องเที่ยว (Low Season)

ทั้ง 2 มาตรการ ต้องมีใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปตามมาตรา 86/4 แห่งประมวลรัษฎากร ในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์และใบรับอิเล็กทรอนิกส์ (e-Tax Invoice & e-Receipt) ทั้ง 2 มาตรการนี้จะตอบโจทย์ 2 อย่างพร้อมๆกัน นั่นคือ กระตุ้นการเที่ยวเมืองรอง และกระตุ้นการเที่ยวช่วง Low Season

“ดีอี” เปิดผลงานปราบ “โจรออนไลน์” เฟส 2 ตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ทลายแก๊งคอลเซ็นเตอร์- หลอกลวงข้ามชาติ-เครือข่ายพนันออนไลน์ อื้อ พร้อมเดินหน้าปราบซิมม้า-บัญชีม้า เด็ดขาด  

เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2567 นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ทางเทคโนโลยี ที่มี ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวง ดีอี เป็นรองประธานกรรมการ นายเวทางค์ พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวง ดีอี เป็นเลขานุการคณะกรรมการฯ และผู้แทนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สมาคมธนาคารไทย สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ ร่วมหารือกัน เพื่อดำเนินงานตามข้อสั่งการนายกรัฐมนตรี ใน ระยะที่ 2 

สำหรับมาตรการและผลการดำเนินงาน ระยะที่ 2  ตั้งแต่วันที่ 1-31 พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา มี  8 เรื่องที่สำคัญ ประกอบด้วย 

1.การปราบปรามจับกุมอาชญากรรมออนไลน์ ในเดือนพฤษภาคม (ข้อมูล ตร.)

- การจับกุมคดีออนไลน์รวมทุกประเภท เดือนพฤษภาคม 2567 มีจำนวน 2,295 ราย ลดลง ร้อยละ 8 เทียบกับ การจับกุมเฉลี่ย 2,495 คนต่อเดือน ช่วงมกราคม - มีนาคม 2567 

- การจับกุมคดีเว็บพนันออนไลน์ เดือนพฤษภาคม 2567มีจำนวน 991 ราย ลดลง ร้อยละ 7 เทียบกับ การจับกุมเฉลี่ย 1,064 คนต่อเดือน ช่วงมกราคม - มีนาคม 2567 

- การจับกุมคดีซิมม้า บัญชีม้า มีจำนวน 199 ราย ลดลง ร้อยละ 17 เทียบกับ การจับกุมเฉลี่ย 240 คนต่อเดือน ช่วงมกราคม - มีนาคม 2567 

ทั้งนี้ตำรวจมีการจับกุมครั้งสำคัญ ในเดือนพฤษภาคม 2567 อาทิ 

1) จับกุมคดีพนันออนไลน์ เว็บไซต์ .บ้านหวย.com   โดยจับกุมผู้ต้องหาได้ 9 ราย เงินหมุนเวียนประมาณ 80 ล้านบาทต่อเดือน โดยสามารถยึดทรัพย์เพื่อตรวจสอบมูลค่าประมาณ 70 ล้านบาท 

2) ปฏิบัติการ HANG UP บุกทลายเว็บพนันใหญ่ ‘หวานเจี๊ยบ’ มีเงินหมุนเวียนหนึ่งพันล้านบาทต่อเดือน 

3) ปฏิบัติการ แก๊ง Call Center หลอกลวงข้ามชาติ เมืองโอเสม็ด กัมพูชา โดยได้ดำเนินการจับกุมผู้ต้องหาแล้ว 12 ราย โดยมีการกำหนดเป้าหมายว่าในรอบ 1 สัปดาห์ ต้องหลอกผู้เสียหายให้ได้ขั้นต่ำ 20 ล้านบาท รายได้หมุนเวียนต่อเดือนไม่ต่ำกว่า 80 ล้านบาท 

และ 4) การจับกุมและขยายผลกระบวนการหลอกลงทุนคริปโต 530 ล้านบาท ซึ่งมีการเชื่อมโยงกับการพนันออนไลน์จำนวน 2 เครือข่าย โดยมียอดเงินหมุนเวียนกว่า 13,000 ล้านบาท จับกุม 25 ราย โดยยึดทรัพย์สินกว่า 125 ล้าน

ขณะที่ดีเอสไอ มีการจับกุมที่สำคัญในเดือนพฤษภาคม 2567 ได้แก่ คดีเว็บพนันออนไลน์เครือข่าย (แม่มนต์)  เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2567 โดยมีวงเงินหมุนเวียน ในบัญชีกว่า 150 ล้านบาท

2. การปิดโซเชียลมีเดีย เว็บผิดกฎหมาย และเว็บพนัน

- ปิดโซเชียลมีเดีย และเว็บผิดกฎหมายทุกประเภท เดือนพฤษภาคม 2567 จำนวน 15,758 รายการ เพิ่มขึ้น  9.3 เท่า จากเดือน จากเดือนพฤษภาคม 2566 ที่มีจำนวน 1,687 รายการ

- ปิดเว็บพนันเดือนพฤษภาคม 2567 จำนวน 6,459 รายการ เพิ่มขึ้น 82.8 เท่า จาก เดือนพฤษภาคม 2566 ที่มีจำนวน 78 รายการ

3. การแก้ปัญหาบัญชีม้า เร่งอายัด ตัดตอนการโอนเงิน ผลการดำเนินงานที่สำคัญถึง 31 พฤษภาคม 2567 มีดังนี้
 
- ระงับบัญชีม้าแล้วกว่า 800,000 บัญชี แบ่งเป็น ปปง.ปิด 344,079 บัญชี ธนาคารระงับเอง 300,000 บัญชี และ AOC ระงับ 171,794 บัญชี 

- กำหนดมาตรการและเงื่อนไขการเปิดบัญชีใหม่ เพื่อป้องกันการนำไปกระทำความผิด โดยเพิ่มกระบวนการพิสูจน์ทราบข้อเท็จจริง Customer Due Diligence หรือ CDD โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความเสี่ยง ธนาคารต้องตรวจสอบให้เคร่งครัดมากขึ้นก่อนอนุมัติเปิดบัญชีใหม่ โดย ธปท. ได้ดำเนินการออกหนังสือเวียนแล้ว เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2567 

- กวาดล้างบัญชีม้าจากการใช้รายชื่อเจ้าของบัญชีม้า และรายชื่อผู้กระทำผิดกฎหมาย โดยใช้อำนาจตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ทำการปิดบัญชีธนาคารทุกธนาคาร จากชื่อบุคคลดังกล่าว โดยตั้งเป้าระงับ/ปิด บัญชีม้ามากกว่า 12,000 คนต่อเดือน หรือ 100,000 บัญชีต่อเดือน

4.การแก้ไขปัญหาซิมม้าและ ซิมที่ผูกกับ Mobile Banking มีผลการดำเนินงานที่สำคัญถึง 26 พฤษภาคม 2567 มีดังนี้
 
- การระงับหมายเลขโทรออกเกิน 100 ครั้ง/วัน แล้ว 42,298 หมายเลข มีผู้มายืนยันตัวตน 372 เลขหมาย ไม่มายืนยันตัวตน 41,926 เลขหมาย  

- การกวาดล้างซิมม้าและซิมต้องสงสัย โดย สำนักงาน กสทช. ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการลงทะเบียนเพื่อยืนยันตัวตน และผลการดำเนินงาน มีดังนี้

 1)กลุ่มผู้ถือครองซิมการ์ดมากกว่า 100 ซิม โดยมีเลขหมายที่เข้าข่าย 5.0 ล้านเลขหมาย ซึ่งครบกำหนดการยืนยันตัวตนเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 มีผู้มายืนยันตัวตนแล้ว จำนวน 2.6 ล้านเลขหมาย และยังไม่มายืนยันตัวตน จำนวน 2.4 ล้านเลขหมาย โดยในกลุ่มที่ยังไม่มายืนยันตัวตน ถูกระงับซิมชั่วคราวไปแล้วทั้งสิ้น 2.3 ล้านเลขหมาย

 2)กลุ่มผู้ถือครองซิมการ์ดตั้งแต่ 6-100 เลขหมายต่อค่ายมือถือ จะต้องยืนยันตัวตนภายในวันที่ 13 กรกฎาคม 2567 ซึ่งมีเลขหมายที่เข้าข่าย 4.0 ล้านเลขหมาย มีผู้มายืนยันตัวตนแล้ว 1 ล้านเลขหมาย และยังไม่มายืนยันตัวตน จำนวน 3 ล้านเลขหมาย 
 
- การตรวจสอบซิมที่ใช้กับโมบายแบงกิ้ง โดยกระบวนการตรวจสอบดังกล่าว คาดว่าจะแล้วเสร็จในระยะเวลา 120 วัน หรือประมาณเดือนตุลาคม 2567 ทั้งนี้ ในระหว่างดำเนินการ ประชาชนยังสามารถใช้งานโมบายแบงก์กิ้งได้ตามปกติ ในส่วนของข้อยกเว้นต่างๆ ที่ปรากฏตามสื่อยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อลดผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นกับประชาชน และจะมีการแจ้งรายละเอียดให้ประชาชนทราบโดยเร็ว เมื่อมีการตรวจสอบข้อมูลเรียบร้อย ภายใน 120 วัน

- การเข้มงวดในการเปิดใช้ ซิมใหม่ ให้เป็นไปตาม หลักเกณฑ์ การลงทะเบียนและยืนยันตัวตนของ กสทช. เพื่อป้องกัน การนำซิมไปใช้กระทำผิดกฎหมาย

5. การดำเนินการเรื่องเสาโทรคมนาคม สายสัญญาณอินเทอร์เน็ต และสายโทรศัพท์ที่ผิดกฎหมายตามแนวชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน 

- สำนักงาน กสทช. ได้มีหนังสือให้ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือ และผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตตรวจสอบการให้บริการโทรคมนาคมบริเวณชายแดนที่มีความเสี่ยง และทำการรื้อถอน ปรับทิศทาง หรือลดกำลังส่งสายอากาศ เพื่อให้มีพื้นที่การให้บริการครอบคลุมเฉพาะภายในประเทศ ในพื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก อ.แม่สาย อ.เชียงของ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี อ.เมือง จ.ระนอง โดยให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 19 มิถุนายน 2567

6. การแก้กฎหมายเร่งด่วน

6.1 การแก้ไขกฎหมายพิเศษแบบเร่งด่วน ใน 3 ประเด็น คือ (1) เร่งรัดการคืนเงินให้ผู้เสียหาย (2) การเพิ่มโทษการซื้อขายข้อมูลส่วนบุคคล และ (3) การป้องกันการโอนเงินแบบผิดกฎหมายของคนร้ายโดยการใช้สินทรัพย์ดิจิทัล

6.2 มาตรการปรับปรุงกฎระเบียบ/แนวปฏิบัติเพื่อการป้องกันการโอนเงินแบบผิดกฎหมายของคนร้าย โดยการใช้สินทรัพย์ดิจิทัล โดยเฉพาะที่เป็นแพลตฟอร์มซื้อขาย แลกเปลี่ยนสินทรัพย์ดิจิทัลในต่างประเทศที่ผิดกฎหมาย ดังนี้ 
(1) ก.ล.ต. ร่วมกับ ปปง. ผลักดันให้มีการยกระดับหลักเกณฑ์ด้านการฟอกเงินของผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลด้านการฟอกเงินของ Financial Action Task Force (FATF) 

(2) สมาคมการค้าผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลไทย (TDO) ได้จัดทำแนวทางปฏิบัติงาน เรื่องการพิจารณาบัญชีต้องสงสัยว่าถูกใช้ในการกระทำผิด เพื่อเป็นแนวปฏิบัติ (guideline) สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลในการพิจารณาคัดกรองการเปิดบัญชีและการทำธุรกรรมที่ต้องสงสัยว่าถูกใช้ในการกระทำความผิด

6.3 การแก้ไขปัญหาการซื้อขายสินค้าหรือบริการออนไลน์แบบใช้บริการเก็บเงินปลายทาง (COD)  โดยเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2567 สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ได้จัดรับฟังความคิดเห็น (ร่าง) ประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญาฯ ให้ธุรกิจการให้บริการขนส่งสินค้าโดยเรียกเก็บเงินปลายทางเป็นธุรกิจที่ควบคุมรายการในหลักฐานการรับเงิน พ.ศ. .... 

7. การเพิ่มบทบาท ความรับผิดชอบให้ ผู้ให้บริการเครือข่ายสังคมออนไลน์ ผู้ให้บริการโทรคมนาคม และธนาคาร โดย กระทรวงดีอี ได้หารือแนวทางร่วมกันกับ บริษัท ไลน์ประเทศไทย แพลตฟอร์ม Meta และ X เพื่อหารือแนวทางแก้ไขปัญหาภัยออนไลน์เชิงรุก ผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ และการปิดกั้น URL ที่ผิดกฎหมาย แบบเชิงรุก 

8. การบูรณาการข้อมูล โดยศูนย์ AOC 1441 โดยเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2567 กระทรวงดีอี โดยศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดีอี ได้ลงนามบันทึกข้อตกลง MOU ว่าด้วยการให้ความเห็นชอบระบบหรือกระบวนการเปิดเผยหรือแลกเปลี่ยนข้อมูล โดยศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (Anti Online Scam Operation Center: AOC) ร่วมกับ  กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)

นายประเสริฐ กล่าวว่า ในภาพรวมของการดำเนินงานอย่างบูรณาการ เร่งรัดจับกุมคนร้าย กวาดล้างบัญชีม้าและซิมม้า เร่งการอายัดบัญชีธนาคาร ตัดเส้นทางการเงิน การปิดกั้นโซเชียลมีเดียหลอกลวงผิดกฎหมาย และเว็บพนันออนไลน์ มีผลงานชัดเจน เป็นตัวเลขที่สูงขึ้นต่อเนื่องจากในเดือนเมษายน 2567 อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี ขอให้เร่งการปราบปรามจับกุมคนร้าย กวาดล้างบัญชีม้า ซิมม้า ปิดกั้นโซเชียลมีเดียหลอกลวงต่อเนื่อง แก้ปัญหาหลอกลวงซื้อขายออนไลน์ เพื่อให้จำนวนผู้เสียหายและมูลค่าความเสียหายจากคดีออนไลน์ลดลงโดยเร็ว ช่วยลดความเดือนร้อนของประชาชน

'นักวิชาการส้ม' ชี้!! ไทยสอนประวัติศาสตร์ให้ท่องจำ เน้นปลูกฝังคนให้เชื่องและภักดีภายใต้ความกลัว

(5 มิ.ย. 67) ผศ.สุรพศ ทวีศักดิ์ นักวิชาการด้านปรัชญาและศาสนา เจ้าของนามปากกานักปรัชญาชายขอบ โพสต์เฟซบุ๊กสั้นๆ ว่า สอนประวัติศาสตร์ท่องจำที่เน้นปลูกฝังความจงรักภักดีอย่างปราศจากการวิพากษ์ ก็คือการปลูกฝังความจงรักภักดีภายใต้ความกลัว ที่สร้างพลเมืองเชื่องเชื่อฟังอำนาจผูกขาด และพลเมืองกระตือรือร้นเป็นคนดีล่าแม่มดคนคิดต่าง

ที่มา : Thaipost

กระจ่าง!! 'คลิปตร.นั่งเชื่อมจิต' ว่อนเน็ต ถูกวิจารณ์ยับ ที่แท้แค่อยากทดลองเชื่อมจิต สุดท้ายก็ไม่เกิดอะไรขึ้น

เมื่อวานนี้ วันที่ 4 มิถุนายน 2567 จากกรณีที่โลกออนไลน์ได้มีการแชร์คลิปจากเพจ อีซ้อขยี้ข่าว 3 โพสต์กลุ่มชายหัวเกรียนแต่งกายคล้ายตำรวจนั่งสมาธิ โดยมีเด็กชายหน้าตาคล้ายน้องไนซ์ เจ้าลัทธิเชื่อมจิต อายุ 8 ขวบใช้นิ้วสัมผัสไปที่หน้าผากคล้ายกำลังเชื่อมจิต พร้อมระบุข้อความว่า ‘อะไรว่ะเนี๊ยะ คุณตำรวจ!!’

คลิปทำเอาชาวเน็ตวิจารณ์จำนวนมาก และสงสัยว่าข้าราชการตำรวจเหล่านี้อยู่โรงพักไหน เพราะก่อนหน้านี้เพิ่งเกิดเรื่องที่ สน.ทองหล่อ เมื่อกลุ่มลัทธิเชื่อมจิต นำโดยนายพิชญะ น.ส.นัฐพร พ่อแม่น้องไนซ์ และนายธรรมราช สาระปัญญา ทนายความ รับทราบข้อกล่าวหาคดีที่ หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย พิธีกรรายการโหนกระแส ฟ้องข้อหาร่วมกันดูหมิ่นด้วยการโฆษณา หมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ที่ สน.ทองหล่อ แล้วเกิดการกระทบกระทั่งกับคู่กรณีบนโรงพัก

ล่าสุดทางด้านเพจบิ๊กเกรียน365 ได้ออกมาให้ข้อมูลว่า ตามคลิปภาพที่ปรากฏเป็น ผกก.สภ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษฎร์ธานี พาลูกน้องที่เลื่อมใสศรัทธา มานั่งสมาธิเชื่อมจิต
ต่อมามีรายงานด้วยว่า ผู้สื่อข่าวได้ติดต่อไปยัง พ.ต.อ.อรุณพงษ์ ภารพบ ผกก.สภ.กาญจนดิษฐ์​ จ.สุ​ราษฎร์​ธานี ซึ่งเจ้าตัวได้ชี้แจงเบื้องต้นว่า เป็นภาพเก่า ตั้งแต่กันยายนปีที่แล้ว ได้เชิญเด็ก 8 ขวบมาที่ห้องทำงานจริง อ้างให้ลูกน้องไปทดลองว่าเชื่อมจิตได้จริงหรือไม่ สุดท้ายก็เชื่อมจิตไม่ได้ ไม่เกิดอะไรขึ้น

ขณะที่ทางด้านนางสาวชลดา ชนะศรีรัตนกุล ผู้อำนวยการ พมจ.สุราษฎร์ธานี กล่าวว่าจากที่มีข่าวว่าทางแม่เด็กเชื่อมจิตจะแจ้งความเจ้าหน้าที่บางคนนั้น ก็ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นอะไร หากเขาอยากจะแจ้งอะไรก็แจ้งได้ เพราะทางเจ้าหน้าที่มั่นใจว่าไม่ได้ทำอะไรผิด มีแต่จะหาวิธีป้องกันคุ้มครองเด็ก เพราะเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ และจำเป็นอย่างยิ่ง

'กทม.' ซื้อเครื่องออกกำลังกายป้อน 2 ศูนย์ แตะ 10 ล้าน โซเชียลข้องใจ!! เทียบราคาตลาดแล้ว ต่างกันสูงมาก

เมื่อวานนี้ (4 มิ.ย.67) เพจเฟซบุ๊ก ‘ชมรม STRONG ต้านทุจริตประเทศไทย’ โพสต์บทความหัวข้อ ‘กทม.จัดซื้อเครื่องออกกำลังกายเครื่องละ 4 แสน’ โดยระบุว่า…

"เครือข่าย STRONG ต้านทุจริตประเทศไทยพบเห็นความผิดปกติในการจัดซื้อเครื่องออกกำลังกาย ส่อแพงจริงภายในศูนย์กีฬาวารีภิรมย์ และศูนย์กีฬาวชิรเบญจทัศ รวมกัน 2 ที่ เกือบ 10 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นที่ศูนย์วารีภิรมย์ 4,999,990 บาท จัดซื้อเครื่องออกกำลังกาย 11 รายการ ดังนี้

1. อุปกรณ์ลู่วิ่งไฟฟ้า 1 เครื่อง 759,000 บาท
2. จักรยานนั่งเอนปั่นแบบมีพนักพิง 1 เครื่อง 483,000 บาท
3. จักรยานนั่งปั่นแบบนั่งตรง 2 เครื่อง เครื่องละ 451,000 บาท
4. อุปกรณ์บริหารกล้ามเนื้อต้นแขนด้านหน้า 1 เครื่อง 466,000 บาท
5. อุปกรณ์บริหารกล้ามเนื้อขาด้านหน้าและขาด้านหลัง 1 เครื่อง 477,500 บาท
6. อุปกรณ์บริหารกล้ามเนื้อห้วงไหล่ อก และหลังแขน 1 เครื่อง 483,000 บาท
7. อุปกรณ์บริหารกล้ามเนื้ออเนกประสงค์ 1 เครื่อง 652,000 บาท
8. ชุดดัมบ์เบลพร้อมชั้นวาง 1 เครื่อง 276,000 บาท
9. อุปกรณ์บาร์โหนฝึกกล้ามเนื้ออเนกประสงค์ 1 เครื่อง 302,490 บาท
10. เก้าอี้ฝึกกล้ามเนื้อหน้าท้อง 1 เครื่อง 103,000 บาท
11. เก้าอี้ฝึกดัมบ์เบลแบบปรับระดับได้ 1 เครื่อง 96,000 บาท

และอีกที่คือ ศูนย์วชิรเบญจทัศ 4,998,800 บาท 11 รายการ ราคาสูงผิดปกติเช่นกัน

รายการเครื่องออกกำลังกายต่าง ๆ ที่ กทม.จัดซื้อ เมื่อเทียบกับราคาตลาดแล้ว ราคาช่างแตกต่างกันสูงมาก เช่น เก้าอี้ฝึกดัมบ์เบลแบบปรับระดับได้ ราคาตลาดเกรดดี ไม่เกิน 3 หมื่นบาท แต่ กทม.จัดซื้อ 96,000 บาท งานนี้ส่วนต่างเพียบ..

เมื่อลองขุดลึก ๆ ลงไปอีกพบว่าเฉพาะปี 2567 กทม.จัดซื้อครุภัณฑ์เครื่องออกกำลังกายกว่า 9 โครงการ ด้วยงบประมาณกว่า 77.73 ล้านบาท ซึ่งการจัดซื้อจัดจ้างที่ส่อแพงเกินจริงเหล่านี้ทำให้รัฐสูญเสียเงินไปอย่างสิ้นเปลือง ต้องตรวจแบบเข้ม ๆ อย่างเร่งด่วน

นอกจากนี้ เพจดังกล่าวยังตั้งข้อสังเกตว่า แข่งกัน 2 เจ้า เวลาบิด (ประมูล) ห่างกัน 700 บาท ต่ำกว่าราคากลางแค่ 1,190 บาท ส่วนศูนย์นันทนาการฯ โครงการนี้เกือบ 18 ล้าน แต่ละรายการวิ่งไปบนฟ้าได้เลย ราคาน่าสงสัยมาก ๆ สตง.จะว่าอย่างไรบ้าง

ชลบุรี-DSI ตรวจตู้ 17 คอนเทนเนอร์ ตกค้างพบเนื้อสุกรนำเข้าผิดกฎหมาย

DSI ลงพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง ตรวจตู้คอนเทนเนอร์ตกค้าง พบเนื้อสุกร ชิ้นส่วนสุกร ผิดกฎหมาย 10 บริษัท นำเข้า โดยมี 4 บริษัท เคยถูกดำเนินคดีไปแล้ว ด้านสมาคมผู้เลี้ยงสุกรฯ อยากให้ DSI ขยายผลกลุ่มปลอดอากร ที่เป็นกลุ่มใหญ่รวมทั้งห้องเย็นที่จะนำหมูออกมาทุบราคา ตอนหมูมีราคาดีขึ้น

เมื่อวานนี้ 4 มิ.ย.67 ที่ท่าเทียบเรือ D ภายในท่าเรือแหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม ในฐานะหัวหน้าคดีจับกุมขบวนการนำเข้าหมูเถื่อน กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พร้อมด้วย นายดิเรก คชารักษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานศุลกากรท่าเรือแหลมฉบัง เจ้าหน้าที่จากกรมปศุสัตว์ เจ้าหน้าที่จากกรมประมง นายสัตวแพทย์ จิรภัทร อินทร์สุข หัวหน้าด่านกักกันสัตว์ชลบุรี และผู้แทนจากสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ พร้อมเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง เพื่อเปิดสำรวจตู้คอนเทนเนอร์ และดำเนินการกับตู้ของตกค้างประเภทซากสุกรแช่แข็งและตู้สินค้าควบคุมอุณหภูมิ (reefer container) อื่น ๆ จำนวน 17 ตู้คอนเทนเนอร์ ที่คงค้างภายในเขตท่าเรือแหลมฉบัง ที่ลักลอบนำเนื้อสัตว์จำพวกเนื้อหมู หมูสามชั้น เครื่องในหมู และปลา เข้าสู่ประเทศไทยโดยผิดกฎหมาย โดยพบว่ามีทั้งหมด 10 บริษัท ที่นำเข้ามา โดยมี 4 บริษัท ที่เคยถูกดำเนินคดีไปแล้ว ส่วนอีก 6 บริษัท เป็นบริษัท ที่ยังไม่ดำเนินคดี ทางด้านตัวแทนสมาคมผู้เลี้ยงสุกรฯ อยากให้ DSI มีการสอบสวนขยายผล เกี่ยวกับการนำเข้าในรูปแบบของการปลอดภาษีอากร ซึ่งเป็นกลุ่มที่ใหญ่มาก รวมถึงห้องเย็นในเขตปลอดอาการที่ทำเหมือนส่งออก แต่กลับนำชิ้นส่วนสุกรส่งกลับมากระจายตามห้องเย็นต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อนำหมูกลุ่มดังกล่าวออกมาทุบราคาตอนหมูเริ่มมีราคาดีขึ้น

นาย อานัน ไตรเดชาพงศ์ ที่ปรึกษาด้านวิชาการสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ เปิดเผยว่า อยากให้ DSI ตรวจสอบขยายผลการที่มีเนื้อสุกรเถี่อนลักลอบเข้ามาในประเทศ ในเส้นทางเขตปลอดอากร เนื่องจากเข้ามาทางนี้ได้สิทธิพิเศษโดยการไม่เสียภาษี แล้วปล่อยออกมาสู่ท้องตลาด ซึ่งถือว่าเป็นภัยอย่างมาก เนื่องจากการลักลอบนำเนื้อสุกรเข้ามา มี 2 กลุ่ม คือกลุ่มสำแดงเท็จ และกลุ่มปลอดภาษีอากร ซึ่งเป็นกลุ่มที่ใหญ่กว่ากลุ่มแรก เชื่อว่ากลุ่มนี้ยังคงมีอยู่ทำให้ราคาหมูยังไม่ดีขึ้น จากการรายงานของบริษัท หมูหลายๆ แห่ง เปิดเผยว่ามีหมูเหล่านี้ออกมาก่อกวนตลาด ทำให้ราคาหมูไม่ขึ้น ซึ่งต้องมีการตรวจสอบขยายผลและในขณะนี้ทางสมาคมได้ยื่น 6 ข้อเรียกร้องไปแล้ว โดยมีอยู่ข้อหนึ่งกล่าวถึง ว่ามีการนำเข้าย้อนหลังถึง 1 หมื่นล้าน และมีลูกค้าถึง 100 รายมีอยู่ 1 รายมีการนำเข้าถึง 6 พันล้าน ซึ่งรายงานตัวนี้ จากสื่อสาธารณะส่วนใหญ่ไม่ได้มีการขยายผล ซึ่ง DSI เปิดเผยว่ากำลังติดตามอยู่ แต่ยังไม่ได้เปิดเผยให้สื่อรู้ ในส่วนของห้องเย็นในกลุ่มของเขตปลอดอากร ทำเหมือนส่งออกแล้วส่งกลับมาตามห้องเย็นต่างๆ ทั่วประเทศ เรื่องนี้ DSI ก็ได้ตามว่าห้องเย็นเหล่านี้มีที่ไหนบ้าง เพราะว่าพวกนี้อยู่ในเครือข่ายของการกระทำความผิด แล้วไปกระจายตัว พอเวลาหมูเริ่มจะมีราคาดีขึ้น ก็เอาหมูออกมาทุบราคา ซึ่งเป็นความเสี่ยงของหมู ตามกระบวนการต่างๆ ที่จะยกระดับราคาหมู จะทำได้ยาก ถ้ามีหมูในกลุ่มนี้อยู่

พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม เปิดเผยว่า วันนี้ได้มาตรวจตู้คอนเทนเนอร์ที่ลักลอบนำเข้าเนื้อสุกรและชิ้นส่วนของเนื้อสุกรพวกตับหมู เซ่งจี้ หมูสามชั้น แต่มีตู้ที่ 17 ที่ตรวจพบว่าเป็นปลาและมีเนื้อหมูอยู่ด้านใน จำนวน 17 ตู้ มีทั้งหมด 4 บริษัท ที่ดำเนินคดีไปแล้ว ยังมีที่เหลืออีก 6 บริษัท ที่ยังไม่เคยถูกดำเนินคดี และมีการตรวจยึดในครั้งนี้ด้วย ก่อนหน้านี้มีตู้ตกค้างทั้งหมด 90 ตู้ ซึ่งมี 74 ตู้ ที่ทางปศุสัตว์แจ้งความดำเนินคดีกับสภ.แหลมฉบัง ซึ่งมีการทำลายไปแล้ว ในส่วนนี้จะมีการประสานกันว่าจะดำเนินการอย่างไร ส่วน 16 ตู้ + 1 ตู้ในวันนี้ กรมศุลกากรฯ ได้ส่งให้ทาง DSI ดำเนินการโดยตรง จึงมาทำการเปิดตู้ดูว่าเป็นสินค้าอะไร เพื่อดำเนินคดี เบื้องต้นพบว่ามี 4 บริษัท ที่เราดำเนินคดีไปแล้ว และอีก 6 บริษัท ที่เราต้องทำการตรวจสอบดำเนินคดีสอบสวนขยายผล ต่อไป

อัปเดต '2 นศ.' ถูกไฟชอร์ตบนเครื่องเล่น 'ทากาด้า' ปลอดภัย 1 สาหัส 1 ด้านสวนสนุกรับผิดชอบเต็มที่

เมื่อวันที่ (2 มิ.ย.67) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้หญิง 2 ราย คือ น.ส.เอ และ น.ส.บี (นามสมมุติ) ได้ไปเล่นเครื่องเล่น TAGADA (ทากาด้า) ในสวนสนุกเคลื่อนที่ งานมหกรรมสวนสนุกนานาชาติ ที่มาตั้งให้บริการเช่าพื้นที่ที่ลานห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในจังหวัดสิงห์บุรี ซึ่งมีขึ้นระหว่างวันที่ 1-9 มิถุนายน 2567 ขณะที่เครื่องเล่นหยุดแล้ว น.ส.เอกำลังจะลง แต่ทางลงมีช่องว่างระหว่างเครื่องเล่นกับบันไดทางลง

น.ส.เอจึงจับราวบันไดแล้วกำลังจะก้าวลง แต่เกิดไฟชอร์ตขึ้น จึงพยายามสะบัดมือออก แต่ไม่หลุด จึงหมดสติแล้วร่วงลงมาจากเครื่องเล่น หน้ากระแทกกับเหล็กด้านล่าง ทำให้ตอนนี้มีกระดูกหน้าผากแตก เลือดกำเดาไหล ปวดคอ มีแผลถลอกที่หน้าตรงปลายคาง ความสูงประมาณ 2 เมตร ตรวจแล้วพบว่ากะโหลกร้าว ส่วน น.ส.บีโดนไฟชอร์ตตอนจับราวสลบ ไม่ได้ร่วงลงมา

ทั้งนี้ น.ส.เอเรียนครูอยู่ราชภัฏแห่งหนึ่ง จ.ลพบุรี ปี 2 เป็นความหวังของครอบครัว แต่ตอนนี้มาเกิดอุบัติเหตุ คนในครอบครัวเสียใจกันมาก คืบหน้าล่าสุดวันนี้ 4 มิถุนายน 2567 น.ส.บีที่ถูกไฟชอร์ตปลอดภัยแล้ว ส่วน น.ส.เอที่ร่วงหล่นลงมานั้นหน้ากระแทกกับเหล็กข้างล่าง

น.ส.ณัฐณิชา ชูวงษ์ อายุ 23 ปี พี่สาวของ น.ส.เอ บอกกับผู้สื่อข่าวว่า แพทย์แจ้งอาการของ น.ส.เอ มีกะโหลกร้าวที่บริเวณหัวคิ้วด้านขวา และปวดบริเวณใบหน้า คอขยับไม่ได้ กระดูกซี่โครงหัก 2 ซี่ ต้องทำการผ่าตัด และดวงตาอาจเกิดผลกระทบทำให้สายตาเอียง ตอนนี้ทำการรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลสิงห์บุรี ได้สอบถามพนักงานสอบสวนแล้วทราบว่า “คืนเกิดเหตุ ได้ไปตรวจบริเวณที่เกิดเหตุเรียบร้อย ได้สอบปากคำผู้จัดการสวนสนุกแล้ว และจะนัดทั้งสองฝ่ายมาเจรจาค่าเยียวยากันต่อไป”

ด้านผู้จัดการสวนสนุกเล่าว่า ไม่คาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์นี้เลย ไฟที่ชอร์ตนั้น เกิดจากไฟรั่วจากไฟประดับ ที่มาพาดผ่านเครื่องเล่น เมื่อเพื่อน น.ส.บีที่กำลังจะก้าวลง เกิดจับราวของเครื่องเล่นที่เป็นสื่อนำไฟฟ้าก็เกิดอาการชอร์ต ยืนนิ่งไป ส่วน น.ส.เอกับพนักงานที่มาช่วยได้ไปดึงมือช่วยลงมาได้ เหลือ น.ส.เอที่ถูกไฟชอร์ตร่วงลงไปข้างล่าง ในส่วนของเครื่องเล่นทุกชนิด จะมีผู้ช่วยเหลือและผู้ควบคุมเครื่องจุดละ 3 คน อีกคนก็รีบไปสับเบรกเกอร์ ส่วนอีกคนก็ลงไปช่วย น.ส.เอที่ร่วงลงไปข้างล่าง และโทรแจ้งเหตุ

จนอาสาสมัครสมาคมร่วมกตัญญูได้มาช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บ ปฐมพยาบาลเบื้องต้นและนำส่งโรงพยาบาลทันที ในส่วนของทางสวนสนุกนั้นได้ยืนยันกับพนักงานสอบสวนแล้วว่าจะรับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และจะเยียวยาผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเป็นอย่างดี ส่วนเครื่องเล่น ทากาด้า มีการแก้ไขระยะทางเดินขึ้นไปหาเครื่องเล่นให้มีระยะชิดขึ้น และได้จัดเจ้าหน้าที่คอยรับผู้ที่มาใช้บริการ ลงจากเครื่องเล่นบริเวณทางลง อีกทั้งได้มีการตรวจเช็กจุดที่รั่วของกระแสไฟที่รั่วไหล และได้ดำเนินการแก้ไขไม่ให้มีการรั่วไหลของกระแสไฟฟ้าอีก และได้เพิ่มเสาดินเพื่อป้องกันกระแสไฟฟ้าที่รั่วไหล รวมถึงการตรวจเช็กความปลอดภัยของเครื่องเล่น และกระแสไฟฟ้าของทุกเครื่องเล่น ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ พร้อมใช้งานทุกเครื่องเล่น

‘พม.’ สั่งพ่อแม่เด็กเชื่อมจิต ห้ามนำลูกไปแสวงหากำไร พร้อมย้ำให้คำนึงถึงสิทธิ - เสรีภาพของเด็กเป็นหลัก

(4 มิ.ย.67) ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เด็กชายวัย 8 ขวบ ที่อ้างว่าตัวเองสอนธรรมะด้วยวิธีการเชื่อมจิตได้ พร้อมพ่อ-แม่ และทนายความ ได้เดินทางมายื่นหนังสือถึงนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ขอให้ พม.มีคำสั่งคุ้มครองสวัสดิภาพเด็กชายวัย 8 ขวบคนดังกล่าวจากการถูกใส่ร้าย

ต่อมา เวลา 09.40 น. ครอบครัวของเด็กพร้อมด้วยนายธรรมราช สาระปัญญา ทนายความ ได้นำเอกสาร 1 ชุด เข้าพบเจ้าหน้าที่ พม.โดยใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง จึงเดินทางกลับ โดยไม่ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนแต่อย่างใด

ต่อมา นางอภิญญา ชมภูมาศ อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน พม. เปิดเผยภายหลังร่วมพูดคุยกับพ่อแม่และเด็กรวมทั้งทนายความ ว่า วันนี้พ่อและแม่ของเด็กได้นำหนังสือมายื่นต่อเจ้าหน้าที่เพื่อให้ตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ พม.จ.สุราษฎร์ธานี สืบเนื่องจากที่มีเจ้าหน้าที่เข้าไปที่บ้านของเด็ก 8 ขวบ และเข้าสู่กระบวนการคัดกรอง ส่วนรายละเอียดอยู่ในเอกสาร จากการพูดคุยกับพ่อแม่เด็ก ได้มีคำสั่งให้พ่อแม่ยุติการนำลูกไปแสวงหากำไร ให้คำนึงถึงสิทธิและเสรีภาพของเด็กเป็นหลัก ซึ่งทางพ่อแม่รับปากว่าจะดูแลเด็กเป็นอย่างดี

นางอภิญญา กล่าวว่า จากการพูดคุยกับพ่อแม่และเด็ก 8 ขวบดูปกติดี ไม่มีปัญหาอะไร บรรยากาศเป็นไปด้วยความผ่อนคลาย หลังจากนี้จะตั้งคณะกรรมการสอบสวนในการตรวจสอบข้อเท็จจริงต่อไป

ส่วนกรณีที่พ่อแม่เด็กยื่นขอให้ไต่สวนการทำงานของเจ้าหน้าที่ พม.จ.สุราษฎร์ธานี เป็นกรณีฉุกเฉินนั้น ปรากฏว่าศาลได้ตอบกลับมาว่าจะไต่สวนเป็นกรณีปกติ ขณะนี้ทาง พม.อยู่ระหว่างรวบรวมเอกสาร เพื่อไปยื่นต่อศาลในวันไต่สวนวันที่ 17 มิ.ย.นี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่นางอภิญญาให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนอยู่นั้น พ่อแม่พร้อม 8 ขวบและทนายความได้ขึ้นรถตู้ออกไปจาก พม.ทันที ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยบอกกับผู้สื่อข่าวว่าจะออกมาแถลงชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นก่อน โดยอ้างว่าเด็ก 8 ขวบและครอบครัวถูกใส่ร้ายจากสื่อและกลุ่มผู้ไม่หวังดี ใส่ร้ายว่าเป็นลัทธิทำให้ได้รับความเสียหาย อับอาย ลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์

ขณะที่เฟซบุ๊กเพจ ทนายธรรมราช The Lawyer of legality มีการโพสต์ข้อความว่า “กำลังเดินทางไปกองปราบปราม เพื่อมอบหลักฐานข้อเท็จจริง ให้กับ บก.ปอท.”

พิษณุโลก แม่ทัพภาคที่ 3 มอบทุนการศึกษาบุตรกำลังพลที่สอบเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 67 เหล่ากองทัพบก

วันที่ 4 มิถุนายน 2567 เวลา 13.30 นาฬิกา ที่ ห้องรับรอง 1 กองบัญชาการกองทัพภาคที่ 3 ค่ายสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อำเภอเมือง จังหวัดพิษณุโลก พลโท ประสาน แสงศิริรักษ์ แม่ทัพภาคที่ 3 เป็นประธานพิธีมอบทุนการศึกษาสำหรับบุตรกำลังพลที่สอบเข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 67 เหล่ากองทัพบก จำนวน 8 ทุน ทุนละ 10,000 บาท รวมเป็นเงิน 80,000 บาท โดยแบ่งเป็นโควตาบุตรกำลังพล จำนวน 7 ทุน และโควตาจังหวัดอุตรดิตถ์ 1 ทุน เพื่อเป็นการให้กำลังใจและสนับสนุนครอบครัวกำลังพล ที่สร้างแรงจูงใจและส่งเสริมบุตรเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนทหาร ซึ่งถือเป็นครอบครัวตัวอย่าง ในการผลิตกำลังพลให้กับกองทัพ โดยได้มอบเงินให้กับบุตรกำลังพลดังกล่าว เพื่อเป็นการเสริมสร้างขวัญ และกำลังใจให้กับกำลังพล ตลอดจนเป็นการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการศึกษา ให้กับครอบครัวของกำลังพล ให้บุตรของกำลังพลได้มีกำลังใจ มีความมุมานะในการที่ศึกษาเล่าเรียน มีความรู้ ความสามารถ เป็นกำลังสำคัญ และอนาคตที่ดีของประเทศชาติต่อไป

ปรีชา นุตจรัส รายงานข่าวพิษณุโลก 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top