Thursday, 12 June 2025
NEWS FEED

เชียงใหม่-ผบช.ภ. 5 แถลงผลการจับกุม ผู้ต้องหา 3 รายยาไอซ์ 350 กิโลกรัม ที่ด่านตรวจดงยาง สภ.นาพูน อ.วังชิ้น จว.แพร่ พร้อมขยายผล

(13 พ.ค. 68) เวลา 14.00 น. ตามนโยบายรัฐบาล สั่งการให้หน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด บูรณาการแก้ไขปัญหายาเสพติดในทุกมิติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย
ตำรวจภูธรภาค 5 โดย พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร  ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.พิเชษฐ จีระนันตสิน, พล.ต.ต.นพดล กรึงไกร, พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยง, พล.ต.ต.ธนะรัชต์ ชุ่มสวัสดิ์, พล.ต.ต.พิชญา บุญขจร, พล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย  รอง ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.วรพงศ์ คำลือ  ผบก.สส.ภ.5 และ พล.ต.ต.พงษ์เดช คำใจสู้  ผบก.ภ.จว.แพร่
 ฝ่ายทหาร นบ.ยส.35 โดย พล.ท.กิตติพงศ์ ชื่นใจชน มทน.3/ผบ.นบ.ยส.35 ฝ่ายปกครอง โดย นายสมชัย เลิศประสิทธิพันธ์ผวจ.แพร่ สำนักงาน ปปส.ภาค 5 โดย นายธันวา ผุดผ่อง ผอ.ปปส.ภาค 5

แถลงผลการจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายสำคัญ ของ สภ.นาพูน จว.แพร่ บูรณาการร่วมหน่วยเกี่ยวข้อง จับกุมผู้ต้องหา 3 คน รถยนต์กระบะตู้ทึบ 3 คัน ไอซ์ จำนวน 350 กิโลกรัม สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2568 เวลาประมาณ 04.00 – 10.00 น. ที่ด่านตรวจดงยาง สภ.นาพูน อ.วังชิ้น จว.แพร่ ต่อเนื่อง ต.บ้านนา อ.วชิรบารมี จว.พิจิตร
ผู้ต้องหา จำนวน 3 คน  นายพลวัตรฯ  อายุ 33 ปี ภูมิลำเนา อ.ท่าตะเกียบ จ.ฉะเชิงเทรา นายจักรกฤษฯ อายุ 25 ปี ภูมิลำเนา อ.สิรินร จว.อุบลราชธานี นายสุวรรณรัตน์ฯ อายุ 24 ปี ภูมิลำเนา อ.เมืองนครราชสีมา จว.นครราชสีมา
ของกลาง ไอซ์ จำนวน 14 กระสอบ บรรจุกระสอบละ 25 ห่อ รวมประมาณ 350 กิโลกรัม รถยนต์กระบะ ยี่ห้อโตโยต้า ตู้ทึบ สีขาว ทะเบียน บร 695 สระแก้ว มีนายพลวัตรฯ ผู้ต้องหาที่ 1 เป็นคนขับ ใช้บรรทุกยาเสพติด รถยนต์กระบะ ยี่ห้ออีซูซุ ตู้ทึบ สีขาว ทะเบียน บห 7088 ร้อยเอ็ด มีนายจักรกฤษฯ ผู้ต้องหาที่ 2 เป็นคนขับ ใช้นำ/สำรวจเส้นทาง รถยนต์กระบะ ยี่ห้อโตโยต้า ตู้ทึบ สีเทา ทะเบียน 3ฒย 2701 กรุงเทพฯ มีนายสุวรรณรัตน์ฯ ผู้ต้องหาที่ 3 เป็นคนขับ ใช้นำ/สำรวจเส้นทาง

พฤติการณ์แห่งคดี เมื่อวันที่ 11 พ.ค.2568 เวลาประมาณ 04.00 น. ขณะเจ้าหน้าที่ตำรวจด่านตรวจดงยาง สภ.นาพูน  อ.วังชิ้น จว.แพร่ ตั้งด่านตรวจพบรถยนต์กระบะ ยี่ห้อโตโยต้า ตู้ทึบ สีขาว ทะเบียน บร 695 สระแก้ว มีนายพลวัตรฯ เป็นผู้ขับขี่  ขับมาจากเส้นทาง จว.แพร่ มุ่งหน้าไป จว.สุโขทัย จึงเรียกทำการตรวจค้น พบกระสอบลายพราง จำนวน 14 กระสอบ มีไอซ์ บรรจุอยู่กระสอบละ 25 ห่อ รวมประมาณ 350 กิโลกรัม บรรทุกอยู่ในกระบะตู้ทึบจึงจับกุมตัวพร้อมของกลาง

ส่งดำเนินคดีตามกฎหมาย จากการขยายผลพบว่ามีรถยนต์กระบะ ตู้ทึบ อีก 2 คัน นำ/สำรวจเส้นทาง
ต่อมาเมื่อวันที่ 11 พ.ค.2568 เวลาประมาณ 10.00 น. ได้สืบสวนขยายผลไปจับกุมนายจักรกฤษฯ พร้อมรถยนต์กระบะ ยี่ห้ออีซูซุ ตู้ทึบ สีขาว ทะเบียน บห 7088 ร้อยเอ็ด และนายสุวรรณรัตน์ฯ พร้อมรถยนต์กระบะ ยี่ห้อโตโยต้า ตู้ทึบ สีขาว ทะเบียน 3ฒย 2701 กรุงเทพฯ ที่ใช้นำ/สำรวจเส้นทาง ได้ที่บริเวณ ต.บ้านนา อ.วชิรบารมี จว.พิจิตร นำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยผู้ต้องหารับว่าเคยลำเลียงยาเสพติดมาแล้ว 2 ครั้ง ไปรับยาเสพติดในพื้นที่ อ.เชียงแสน จว.เชียงราย จะเอาไปส่งในพื้นที่ อ.ธัญบุรี จว.ปทุมธานี จึงจับกุมตัวพร้อมของกลางส่งดำเนินคดีตามกฎหมาย

ตำรวจภูธรภาค 5 บูรณาการร่วมกับหน่วยงานทุกภาคส่วน ทั้งฝ่ายทหาร ฝ่ายปกครองสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และนำบัญชาข้อสั่งการของรัฐบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดไม่ให้เข้าไปสู่พื้นที่ตอนในอย่างเข้มข้นและจริงจัง และนำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม

สรุปผลการจับกุมยาเสพติด ของ ตำรวจภูธรภาค 5 ห้วงตั้งแต่ 1 ต.ค.67 – 12 พ.ค.68 จับกุมคดียาเสพติด จำนวน 13,752 คดี คดียาเสพติดรายสำคัญ 142 คดี ตรวจยึดของกลางยาเสพติด ยาบ้า 131 ล้านเม็ดเศษ ไอซ์ 8,786 กิโลกรัมเศษ เฮโรอีน 148 กิโลกรัมเศษ เคตามีน 1,100 กิโลกรัมเศษ ฝิ่น 64 กิโลกรัมเศษ ตรวจยึดทรัพย์สิน ที่เกี่ยวกับยาเสพติด มูลค่าทรัพย์สินประมาณ 395 ล้านบาทเศษ

อยุธยา-ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการอุดมศึกษาฯ ลงพื้นที่ติดตาม การขับเคลื่อนงานด้าน อววน. ในพื้นที่มทร.สุวรรณภูมิ ร่วมปั้น “อยุธยาโมเดล” สู่ต้นแบบสังคมนวัตกรรม อววน. พลิกทุนวัฒนธรรมสู่พลังพัฒนายั่งยืน

(13 พ.ค. 68) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมืองมรดกโลกที่เป็นที่รู้จักในฐานะศูนย์กลางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของประเทศไทย กำลังถูกปลุกให้ตื่นขึ้นอีกครั้งในบทบาทใหม่ ในฐานะ “ต้นแบบของการพัฒนาประเทศด้วยวัฒนธรรม เทคโนโลยี และนวัตกรรม” ภายใต้แนวคิด “Innovative Society” โดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)

เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 คณะผู้บริหารกระทรวง อว. นำโดยผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พร้อมด้วยที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม  ผู้แทนมหาวิทยาลัย ผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้นำท้องถิ่น ได้ร่วมลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าของโครงการ “อววน.” หรือ การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเพื่อพื้นที่ ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ต้นแบบที่รัฐบาลตั้งใจใช้เป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาสังคมนวัตกรรมในระดับชุมชนอย่างแท้จริง
จากทุนวัฒนธรรม สู่พลังเศรษฐกิจชุมชน

นายศุภชัย  ใจสมุทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวถึงวิสัยทัศน์ของโครงการว่า กระทรวงมุ่งหวังจะเห็น องค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ถูกนำมาใช้เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในระดับพื้นที่อย่างแท้จริง โดยเฉพาะในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่มีทุนทางวัฒนธรรม วิถีชุมชน เกษตรกรรม และความหลากหลายทางศาสนา ที่สามารถต่อยอดเป็นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ได้อย่างชัดเจน  หนึ่งในโครงการที่เป็นรูปธรรมคือ “แพะกรุงศรี Heart of Halal” ที่นำองค์ความรู้ด้านการผลิตและมาตรฐานฮาลาลมาผสานกับวิถีชีวิตของชาวบ้าน ตั้งแต่การเลี้ยงแพะ การแปรรูป การสร้างแบรนด์ ไปจนถึงการจัดการเรียนรู้ภายในชุมชน ซึ่งไม่เพียงช่วยเพิ่มรายได้ แต่ยังสร้างความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ของท้องถิ่น
มทร.สุวรรณภูมิ พี่เลี้ยงแห่งการเปลี่ยนแปลง

รองศาสตราจารย์ ดร.ประมุข  อุณหเลขกะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ กล่าวว่า เบื้องหลังความสำเร็จนี้ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ ทำหน้าที่เป็น “อว.ส่วนหน้า” ที่ประจำการในพื้นที่ ทำงานอย่างใกล้ชิดกับชุมชนในฐานะ “พี่เลี้ยงระยะยาว” ไม่ใช่แค่ผู้ถ่ายทอดความรู้ แต่ร่วมคิด ร่วมออกแบบ และร่วมทำงานในทุกขั้นตอน โดยใช้การวิจัย เทคโนโลยี และการเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นเครื่องมือในการพัฒนาทุนมนุษย์ของพื้นที่อย่างต่อเนื่องและในมุมมองของ ศาสตราจารย์พิเศษชัยสิทธิ์  ตราชูธรรม นายกสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ กล่าวเพิ่มเติมว่า ความร่วมมือนี้ไม่เพียงส่งผลต่อชุมชนเท่านั้น แต่ยังทำให้มหาวิทยาลัยเองก้าวไปอีกขั้น จากสถาบันการศึกษาสู่กลไกสำคัญในการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน เกิดการเรียนรู้แบบสองทางที่ทั้งนักวิชาการและประชาชนในพื้นที่ต่างได้รับประโยชน์ร่วมกัน เชื่อมภาครัฐ-ชุมชน สร้างเจ้าของร่วม

ด้าน ที่ปรึกษากระทรวง อว. กล่าวเพิ่มเติมว่า หัวใจสำคัญของความยั่งยืนคือการสร้าง “เจ้าของร่วม (Co-Ownership)” ผ่านโครงสร้างความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัย หน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาชน โดยเฉพาะการเสริมพลังให้กับ “ผู้นำชุมชน” และ “กลุ่มอาชีพ” ให้สามารถเป็นผู้นำการพัฒนาได้ด้วยตนเอง

ในระยะยาว กระทรวง อว. ยังเตรียมเชื่อมโยงแผนกับหน่วยงานอื่น เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรฯ และหน่วยงานด้านแรงงาน เพื่อจัดตั้ง “Platform กลาง” ที่ทุกฝ่ายสามารถเข้ามาร่วมลงทุน ออกแบบ และวัดผลร่วมกัน ทำให้โครงการไม่ขึ้นกับงบประมาณรัฐเท่านั้น แต่มีความต่อเนื่องด้วยพลังในพื้นที่
จังหวัดคือพื้นที่ร่วมคิด ไม่ใช่แค่ผู้รับนโยบาย

นายวัชระ  กระแสร์ฉัตร์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เน้นย้ำว่า โครงการนี้เป็นตัวอย่างของการพัฒนาแบบมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ภาคประชาชนไม่ได้มีบทบาทเพียงผู้รับผลประโยชน์ แต่เป็น “ผู้ร่วมสร้าง” ตั้งแต่การตั้งโจทย์ไปจนถึงการขับเคลื่อนกิจกรรม เช่น กลุ่มเลี้ยงแพะฮาลาล กลุ่มผลิตสมุนไพร หรือกลุ่มครูชุมชนที่พัฒนาหลักสูตรร่วมกับมหาวิทยาลัย ความร่วมมือนี้สะท้อนถึงโมเดลใหม่ของการพัฒนาจังหวัด ที่ไม่ใช่เพียงการรับนโยบายจากส่วนกลางเท่านั้น แต่เป็นการ ร่วมออกแบบอนาคตร่วมกันกับภาควิชาการและประชาชน จากอยุธยา สู่โมเดลระดับชาติ กระทรวง อว. เตรียมนำผลลัพธ์จากการดำเนินงานในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาไปขยายผลในระดับประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนานโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การพัฒนาหลักสูตรอุดมศึกษาเพื่อท้องถิ่น หรือโมเดลเศรษฐกิจฮาลาลที่สามารถนำไปใช้ในพื้นที่มุสลิมอื่น ๆ ทั่วประเทศ โดยตั้งเป้าผลักดันให้กลายเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ชาติที่เกิดจากฐานราก ไม่ใช่เพียงนโยบายจากส่วนบน

บทสรุป: “อววน.” กลไกเปลี่ยนอนาคตท้องถิ่น ผู้ช่วยรัฐมนตรี อว. สรุปว่า งานด้าน อววน. เป็น “กลไกกลางของการเปลี่ยนแปลง” ที่ทำให้เกิดการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน โดยเชื่อมโยงองค์ความรู้ นวัตกรรม และเทคโนโลยีเข้ากับโจทย์ของพื้นที่จริง เสริมพลังให้ชุมชนพึ่งพาตนเองได้ สร้างเศรษฐกิจฐานราก และสร้างระบบการเรียนรู้ตลอดชีวิตที่เชื่อมโยงกับมหาวิทยาลัย “พระนครศรีอยุธยาในวันนี้ ไม่ได้เป็นแค่เมืองมรดกโลกในอดีต แต่กำลังกลายเป็นต้นแบบของเมืองนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยทุนวัฒนธรรม เทคโนโลยี และพลังของคนในพื้นที่อย่างแท้จริง” 

‘เจ้าสัวธนินท์’ เตือน ‘ทรัมป์’ นโยบายภาษีอาจทำสหรัฐฯ ชนะระยะสั้น แต่เสียศูนย์ระยะยาว ชี้หากประเทศต่าง ๆ ถอนทุนจากพันธบัตร จะกระทบสถานะมะกัน จากผู้นำเศรษฐกิจโลก

(13 พ.ค. 68) นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ให้สัมภาษณ์กับนิกเกอิญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 9 พ.ค. ที่ผ่านมา เตือนว่า มาตรการภาษีศุลกากรสูงของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจส่งผลให้สหรัฐฯ สูญเสียบทบาทผู้นำโลก หากประเทศต่าง ๆ ร่วมมือกันถอนการลงทุนในพันธบัตรสหรัฐเพื่อตอบโต้

เขาระบุว่าสงครามการค้าส่งผลกระทบต่อกลุ่มซีพีเพียงเล็กน้อย พร้อมเตือนว่านโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” ของทรัมป์ทำลายความร่วมมือระหว่างประเทศ และเป็นชัยชนะระยะสั้นที่อาจส่งผลเสียในระยะยาวต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ

แม้หนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ จะสูงกว่า 36 ล้านล้านดอลลาร์ เจ้าสัวธนินท์ยังเห็นว่าพันธบัตรสหรัฐฯ ยังคงเป็นการลงทุนที่น่าเชื่อถือ แต่เตือนว่าหากสหรัฐฯ ทำลายความเชื่อมั่น ประเทศอื่นอาจจับมือกันเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตน และลดการถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ

สำหรับประเทศไทย แม้จะเผชิญภาษีตอบโต้สูงถึง 36% ซีพีได้รับผลกระทบน้อย เนื่องจากรายได้ส่วนใหญ่ของ CPF มาจากการดำเนินงานในต่างประเทศ โดยเฉพาะเวียดนามและจีน ขณะที่สินค้าเน้นการผลิตและจำหน่ายในแต่ละประเทศเป็นหลัก

ในช่วงท้าย เจ้าสัวธนินท์แนะนำให้ญี่ปุ่นมองอาเซียนเป็น “ตลาด” และสนับสนุนธุรกิจท้องถิ่นในภูมิภาค พร้อมระบุว่า แม้ญี่ปุ่นมีเทคโนโลยีสูง แต่ยังขาดความกล้าในการขยายธุรกิจระหว่างประเทศ เพราะเป็นประเทศที่ “ลังเลที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง”

‘ปราสาทสัจธรรม’ สถาปัตยกรรมไม้ทั้งหลัง ถูกยกให้เป็นพิพิธภัณฑ์ไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

World Book of Records London UK รับรอง ปราสาทสัจธรรม เป็นพิพิธภัณฑ์ไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

เมื่อวันที่ (12 พ.ค. 68) ดร.อภินิตา ไชยชนะ ผู้แทนประธาน World Book of Records London UK พร้อมคณะได้เดินทางมามอบใบประกาศเกียรติคุณให้แก่ นางวรากร วิริยะพันธุ์ รองประธานบริหารพิพิธภัณฑ์ปราสาทสัจธรรม เพื่อรับรองให้ 'ปราสาทสัจธรรม' เป็นพิพิธภัณฑ์ไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างเป็นทางการ

พิธีดังกล่าวจัดขึ้น ณ พิพิธภัณฑ์ปราสาทสัจธรรม อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โดยมีผู้บริหาร แขกผู้มีเกียรติ และสื่อมวลชนร่วมเป็นสักขีพยาน

สำหรับ พิพิธภัณฑ์ปราสาทสัจธรรม สร้างขึ้นด้วยไม้ทั้งหลัง ถือเป็นสถาปัตยกรรมที่งดงามและยิ่งใหญ่ สะท้อนถึงภูมิปัญญาและศิลปวัฒนธรรมไทยอย่างลึกซึ้ง

การได้รับการรับรองจากองค์กรบันทึกสถิติโลกในครั้งนี้ นับเป็นความภาคภูมิใจของคนไทย และทีมงานที่ได้ร่วมกันสร้างสรรค์พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับโลก มุ่งเน้นการเผยแพร่ความรู้ด้านศิลปวัฒนธรรม เพื่อให้นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้ซึมซับและเข้าใจคุณค่าทางจิตวิญญาณที่แท้จริงของงานศิลป์ไทย

สำหรับ 'ปราสาทสัจธรรม' ตั้งอยู่บริเวณแหลมราชเวช อ่าววงพระจันทร์ ต.นาเกลือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ปราสาทแห่งนี้เริ่มดำเนินการก่อสร้างตั้งแต่ปี 2524 ภายใต้แรงบันดาลใจของ 'เล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์' นักธุรกิจผู้ชื่นชอบสถาปัตยกรรมไทยและศาสนาพุทธ ที่ต้องการใช้งานศิลป์เป็นสื่อให้มนุษย์เห็นแนวทางในการแก้ปัญหาด้วยการปลุกจิตสำนึกด้านคุณธรรม จริยธรรม เพื่อให้สามารถอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข

คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ นอกจากจะเป็นเจ้าของโครงการดังกล่าวแล้ว เขายังเป็นผู้ออกแบบ พิพิธภัณฑ์ที่เริ่มก่อตั้งเมื่อวันที่ 13 ส.ค.2524 ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่จะเชิดชูความสำคัญของศาสนาปรัชญาว่าเป็นสิ่งสำคัญค้ำจุนโลกในมิติด้านจิตวิญญาณและความศรัทธาอันแรงกล้าในงานศิลปะ ที่สื่อถึงจริยธรรม วัฒนธรรมอันดีงามของการสอนมนุษย์สร้างความดี

ปราสาทสัจธรรม หรือ พิพิธภัณฑ์ปราสาทสัจธรรม เป็นอาคารที่สร้างด้วยไม้แกะสลักทั้งหลังเป็นทรงไทยจัตุรมุข ด้านล่างของฐานเป็นลักษณะฐานสิงห์ ห้องโถงและหน้าต่างเปิดให้ลมและแสงสว่างเข้าออกทั้ง 4 ด้าน ศิลปะตกแต่งปราสาทเป็นศิลปะแนวความคิดสมัยใหม่ที่ผสมผสานกันตั้งแต่อยุธยาตอนต้น จนถึงศิลปะรัตนโกสินทร์ หลังคาซ้อนลดหลั่นกันสี่ด้าน ยอดเป็นสัญลักษณ์พระปรางค์ ยอดสูงทั้งสี่ด้านมีรูปแกะสลักลอยตัวสัญลักษณ์ของเทพยืนบนยอดทั้ง 4 ทิศ

ภายในปราสาทมีประติมากรรมไม้แกะสลักที่วิจิตรพิสดารอยู่แทบทุกจุด และใจกลางพิพิธภัณฑ์ปราสาทสัจธรรม เป็นห้องโถงใหญ่มีบุษบกทรงสถูปไม้แกะสลักสง่างาม สื่อถึงสัญลักษณ์แห่งการหลุดพ้น

สำหรับไม้ที่นำมาใช้ในการสร้าง ได้แก่ ไม้แดง ไม้ตะเคียน ไม้พันชาด ไม้เคียมคะนอง และไม้สักทอง ซึ่งล้วนเป็นไม้เนื้อแข็งที่สามารถรองรับน้ำหนักได้เป็นพันตัน เป็นไม้ที่ได้มาจากสัมปทานประเทศเพื่อนบ้าน เสาเอกเป็นไม้ตะเคียนทองอายุ 600 ปี การเข้าไม้ของพิพิธภัณฑ์ปราสาทสัจธรรมใช้การยึดต่อไม้แบบโบราณในการเข้าเดือยตอกสลัก เข้าลิ่ม เข้าหางเหยี่ยวโดยไม่มีการใช้ตะปู

‘ภูมิธรรม’ เยือนเยอรมนี เยี่ยม นร.เตรียมทหารไทย เน้นย้ำภารกิจ…เรียนรู้เทคโนโลยีเพื่อนำกลับพัฒนาชาติ

เมื่อวันที่ (12 พ.ค.68) ที่ผ่านมา นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมคณะ เดินทางเยี่ยมนักเรียนเตรียมทหารไทยในประเทศเยอรมนี โดยมีนักเรียนจากทั้งเหล่าทหารบกและทหารอากาศเข้าร่วม พร้อมหารือถึงชีวิตความเป็นอยู่และปัญหาที่พบระหว่างการศึกษา

สำหรับนักเรียนเตรียมทหารที่เข้าร่วม ประกอบด้วยผู้ศึกษาในสาขาวิศวกรรมอากาศยาน วิทยาการคอมพิวเตอร์ และวิศวกรรมไฟฟ้า โดยหนึ่งในประเด็นสำคัญที่หยิบยกขึ้นมาคืออุปสรรคด้านภาษาเยอรมัน และเงื่อนไขการประดับยศของเหล่าทหารบกซึ่งต้องจบปริญญาโทก่อน

นายภูมิธรรมได้กล่าวให้โอวาทแก่ผู้เข้าร่วม พร้อมเน้นย้ำให้นักเรียนตั้งใจศึกษา นำความรู้ เทคโนโลยี และประสบการณ์กลับมารับใช้บ้านเกิด เพื่อขับเคลื่อนประเทศไปข้างหน้าในยุคที่การทหารต้องพึ่งพานวัตกรรม

สิ้น ‘จอน อึ๊งภากรณ์’ นักเคลื่อนไหว ผู้ก่อตั้ง iLaw-ประชาไท ถึงแก่กรรมอย่างสงบ ในวัย 77 ปี

(13 พ.ค. 68) สำนักข่าวประชาไท และ นายนิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ และเลขาธิการชมรมพิทักษ์ผู้ประกันตน รายงานตรงกันว่า ประชาไทได้รับแจ้งว่า นายจอน อึ๊งภากรณ์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.)​ ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการโครงการอินเทอร์เน็ตเพื่อกฎหมายประชาชน หรือ iLaw และผู้ร่วมก่อตั้งสำนักข่าวประชาไท เสียชีวิตอย่างสงบที่บ้านพัก ในวัย 77 ปี 

ขณะที่ นายนิมิตร์ ระบุผ่านเฟซบุ๊กว่า หนึ่งชีวิต ตายจาก ทิ้งไว้เพียงเรื่องราวที่ได้ทำร่วมกัน ร่วมคิดงาน ถกเถียงกัน และช่วยกันดันจนงานนั้นสำเร็จบ้าง ล้มเหลวบ้าง เป็นธรรมดา แต่สิ่งที่แสนจะวิเศษและทำให้ผมเติบโตและกล้าที่จะผลักดันการงานต่างๆ ได้เพราะผม มี อาจารย์จอน อึ๊งภากรณ์ เป็นเพื่อนร่วมทางตลอดมา…พวกเราจะช่วยกันจัดงานศพให้ นะครับ

ด้วยรักและเคารพครับ
13 พ.ค.2568

‘ปลากะพง 3 น้ำ’ เนื้อขาว แน่นนุ่ม กลิ่นละมุน เลี้ยงธรรมชาติ ปราศจากสารเคมี ได้รับการรับรองคุณภาพ สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ จากกรมทรัพย์สินทางปัญญา

(12 พ.ค. 68) ‘Mahasmutfoods’ เชิญชวนมาร่วมกดติดตามเพจ ‘Mahasmutfoods’

เพื่อไม่พลาดกับความอร่อยในการสั่งซื้อปลากะพง 3 น้ำ จากทะเลสาบสงขลา มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ เนื้อขาว แน่นนุ่ม กลิ่นละมุน ปลากะพง 3 น้ำ จากทะเลสาบสงขลา เป็นกลุ่มแรกของประเทศไทยที่ได้รับการรับรองคุณภาพ (GI) สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ จากกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพานิชย์

สามารถกดติดตามเพจได้ที่ลิงค์ : https://www.facebook.com/share/JpBX3VBVHZwJoE1w/?mibextid=LQQJ4d

รวมสุดยอดอาหารสดจากทะเลสาบสงขลา ไว้ที่นี่แล้ว!!

‘ปลากะพง 3 น้ำ’จากทะเลสาบสงขลา เป็นกลุ่มแรกของประเทศไทยที่ได้รับการรับรองคุณภาพ (GI) สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ จากกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพานิชย์ 

เลี้ยงธรรมชาติ ปราศจากสารเคมี
ไม่มีกลิ่นคาว ใช้เทคนิคญี่ปุ่นแบบอิเคะจิเมะ
เนื้อแน่นฟู สีชมพู รสชาติหวานอร่อย

พร้อมเสริ์ฟที่ร้านมหาสมุทรฟู้ดทุกสาขาส่งตรงจากทะเลสาบสงขลา สดๆใหม่ๆ พร้อมเสิร์ฟความอร่อยให้ทุกคนลิ้มลองแล้วที่ 

Gourmet Market Siam Paragon ชั้น G(โซนซีฟู้ด) ตั้งเเต่เวลา 10.00-23.00น

Gourmet Market The Mall ท่าพระ ชั้น B1 (หน้าร้าน You Hunt We Cook) ตั้งเเต่เวลา 10.00-22.00.

Gourmet Market สาขา The Emquartier, ชั้น G (โซนซีฟู้ด) ตั้งแต่เวลา 10.00-23.00น.

Tops สาขาเซ็นทรัล บางนาที่ Tops ชั้น B1 โซนซีฟู้ด ตั้งแต่เวลา 09.00-22.00น.

หรือสั่งตรงได้ที่ เพจ Mahasmutfoods
https://www.facebook.com/share/192moAR946/

พิเศษสุด ... Ready to Eat by มหาสมุทรซีฟู้ด มีอาหารปรุงสุก ให้ทุกท่านได้ลิ้มลองแล้ว วันนี้

เปิดตัวเลขค่าไฟฟ้า หลัง ‘พีระพันธุ์’ เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรี บริหารจัดการอย่างจริงจัง ช่วยคนไทย ประหยัดค่าไฟ เซฟไปถึง 2.7 แสนล้าน คืนเข้าสู่กระเป๋า ผู้ใช้ไฟฟ้าทุกคน

(12 พ.ค. 68) เพจ ‘พีระพันธุ์ FC’ ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ...

เซฟค่าไฟให้คนไทย 2.7 แสนล้าน!!... ทราบหรือไม่?! 

เราคนไทยทั้งประเทศประหยัดค่าไฟรวมกันแล้วกว่า 2.7 แสนล้านบาท นับตั้งแต่ที่ พี่ตุ๋ย-พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เข้ามารับตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน โดยก่อนหน้าที่ ‘พี่ตุ๋ย’ จะเข้ามารับตำแหน่ง (ก่อนเดือน ก.ย. 66) อัตราค่าไฟอยู่ที่ 4.77 บาท/หน่วย ซึ่งหากไม่มีการบริหารจัดการอย่างจริงจัง เราจะต้องจ่ายค่าไฟระหว่างช่วงเดือน ก.ย. 66 - ส.ค. 68 เป็นเงินรวมทั้งสิ้นประมาณ 1,985,025 ล้านบาท โดยคำนวณจากปริมาณการใช้ไฟฟ้าเฉลี่ยของคนไทยทั้งประเทศ (อ้างอิงจากระบบของ กฟผ.)

แต่ผลจากการบริหารจัดการตามแนวทางของ ‘พี่ตุ๋ย’ ประชาชนคนไทยจ่ายค่าไฟในช่วงดังกล่าวเป็นเงินรวมทั้งสิ้นประมาณ 1,710,368 ล้านบาท โดยส่วนต่างที่ประหยัดได้ถึง 274,657 ล้านบาทนี้ ถือเป็นดอกผลแห่งความทุ่มเทและการทำงานหนักของ ‘พี่ตุ๋ย-พีระพันธุ์’ ที่คืนเข้าสู่กระเป๋าคนไทยผู้ใช้ไฟฟ้าทุกคน และ ‘พี่ตุ๋ย’ ยังคงเดินหน้าลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้พี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่องแม้จะมีแรงต้านอย่างหนักจากผู้เสียผลประโยชน์ ช่วยกันเป็นกำลังใจให้ ‘พี่ตุ๋ย’ ครับ!!

'อ.ไชยันต์' ยกธรรมะ!! นิยามความเมตตา สรุปใช้ไม่ได้กับ 'ทักษิณ' ชี้!! เมตตาเท่าเทียมกัน แต่ไม่ใช่ปฏิบัติต่อทุกคนเหมือนกัน

(12 พ.ค. 68)  ศ.ดร.ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ “ความเมตตา กับคุณทักษิณ” โดยระบุว่า …

ช่วงนี้ มีคนมากกว่าหนึ่งคนออกมาขอให้สังคมมีความเมตตาต่อคุณทักษิณ ผมเลยไปหาความรู้เกี่ยวกับความเมตตา เพราะก่อนจะเมตตา น่าจะต้องมีปัญญากำกับ เลยได้ความมาดังนี้ครับ “เมตตาเท่าเทียมกัน แต่ไม่ใช่ปฏิบัติต่อทุกคนเหมือนกัน”

“ท่านเคยเปรียบเทียบเหมือนคนเลี้ยงม้า ท่านไปสอนคนเลี้ยงม้า บอกม้าบางตัวนิสัยมันดี ว่าง่ายสอนง่าย เขาก็ให้มันกินอาหารพอดีๆ พามันออกกำลังกาย พามันฝึก บางตัวมันดื้อเขาก็ทรมานมันต่างๆ นานาเพื่อปราบพยศมัน บางตัวสอนไม่ได้ฝึกไม่ได้ พระพุทธเจ้าถามว่า ถ้าเจอม้าเกเรฝึกไม่ได้จะทำอย่างไร เขาบอกเขาก็ฆ่าทิ้ง

พระพุทธเจ้าท่านก็บอกว่าท่านก็ทำแบบเดียวกัน ตัวไหนดีท่านก็อบรมอย่างเรียบร้อย ไม่ดุเดือดอะไร พวกที่หยาบหน่อยก็สั่งสอนแบบดุเดือดหน่อย พวกสั่งสอนไม่ได้ท่านฆ่าทิ้ง ฆ่าทิ้งคือไม่สอน

ถ้าจิตใจเรากระด้างจนครูบาอาจารย์ไม่สอน รู้เลยเราเป็นม้าระดับถูกฆ่าทิ้ง ฉะนั้นถ้าครูบาอาจารย์ยังดุด่าว่ากล่าวอยู่ แสดงว่ายังเป็นม้าชนิดฝึกได้อยู่

ความเมตตา ไม่ใช่ว่าเมตตาแล้วปฏิบัติต่อทุกคนเหมือนกัน อย่าเข้าใจผิดว่าถ้ามีความเมตตาแล้ว เราปฏิบัติกับคนดีคนชั่วเสมอกัน คนหยาบคนละเอียดเสมอกันอะไรอย่างนี้ ไม่ใช่ๆ

ถึงเราเมตตาเท่าเทียมกันกับคนทุกคน แต่การปฏิบัติ ปฏิบัติให้สมควรแก่คนๆ นั้นที่เขาจะได้ประโยชน์สูงสุด เราอยู่ในบริษัท ลูกน้องเราเยอะ เราเมตตาทุกคน เรารู้ว่าแต่ละคนมีความทุกข์ทั้งนั้น เราเมตตาทุกคน คนไหนมีฝีมือนิสัยดีก็โปรโมต ให้เขาเติบโตไป ให้โอกาสเขาทำงาน

คนซึ่งแย่ลงมาคุณสมบัติบกพร่องตรงนั้นตรงนี้ ก็สั่งสอน สั่งสอนแล้ว ให้โอกาสปรับตัว ให้โอกาสทำงาน ถ้าไม่ไหวจริงๆ ก็ให้ออก ให้ออกก็คือเหมือนเราฆ่าทิ้ง ถามว่าฆ่าทิ้งด้วยความโหดร้ายทารุณไหม ไม่ใช่ เมตตามาก่อนแล้ว สุดท้ายก็ลงที่อุเบกขา

สัตว์โลกแต่ละตัวๆ มันมีอัธยาศัยใจคอแตกต่างกัน บางตัวยังหยาบเกินไป ก็ต้องปฏิบัติกับเขาอย่างหนึ่ง

นอกจากนี้ ศ.ดร.ไชยันต์ ได้เขียนในคอมเมนต์ถึงนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ด้วยว่า 

ท่านได้รับความเมตตา อภัยลดโทษเหลือจำคุก 1 ปีมาแล้วครั้งหนึ่ง ซึ่งตอนนั้น เชื่อว่าคนไทยเราก็เตรียมใจให้อภัยและมีเมตตาให้ท่าน หากท่านสำนึกน้อมรับการจำคุก ที่จริงคนระดับท่านถูกจำคุกจริงๆ ไม่ต้องถึงปี ดีไม่ดี คนไทยขี้สงสารใจอ่อน ท่านจะออกมาใส่กำไลอีเอ็มกลับไปอยู่บ้านเลี้ยงหลาน ก็คงไม่มีใครว่า รังแต่จะมีความเมตตาเห็นใจท่าน แต่ท่านไม่เข้าใจความเมตตาของคนไทยที่พร้อมจะให้ท่าน ท่านกลับคิดถึงแต่ตัวท่านเอง และยังมีทิฐิอยู่มาก

ประธานมูลนิธิสืบฯ โพสต์ข้อความ!! สร้างกระเช้าภูกระดึง ไม่กระทบสิ่งแวดล้อม หนุน!! พัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน สร้างภูมินิเวศ รอบภูเขา ให้สวยงาม

(12 พ.ค. 68) นายศศิน เฉลิมลาภ ประธานมูลนิธิสืบนาคะเสถียร ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ...

อ่านโพสต์ของ ดร.นณณ์ ผาณิตวงศ์ แล้วก็ชัดเจนว่า ด้วยเทคโนโลยีการสร้างในปัจจุบัน ตัวกระเช้าเอง ไม่ได้สร้างผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมเท่าไหร่ ลำพังสร้างกระเช้าไม่ใช่ปัญหา 

แต่ในแง่เศรษฐศาสตร์ ระบุว่า ตัวงบประมาณที่จะใช้สร้างและการดูแลรักษา ลำพังนักท่องเที่ยวที่จะมาเที่ยวทั่วๆไปมันไม่เพียงพอที่จะให้คุ้มทุนได้เพราะ ตัวภูกระดึงเองเป็นสภานที่ท่องเที่ยวโดดเดี่ยวใครจะมาตรงนั้นคือจะมาภูกระดึงเท่านั้น ซึ่งพอขึ้นไปข้างบนมันไม่ได้มีอะไรที่จะรับการท่องเที่ยวให้คนมาเยอะแยะได้ และไม่มีอะไรดึงดูดให้คนขึ้นไปชมวิวแล้วกลับ เหมือนสถานที่ท่องเที่ยวหลายๆแห่งในต่างประเทศที่ให้ขึ้นไปดูวิว หรือไหว้พระ แบบเป็นนักท่องเที่ยวด่วนๆ อยู่ไม่กี่นาทีหรือไม่กี่ชั่วโมงก็กลับ มันไม่มีอะไรรับนักท่องเที่ยวกลุ่มนั้นเลย ดังนั้น... 

แต่มีการเพิ่มโครงการศูนย์ศึกษาธรรมชาติอะไรไม่รู้ไว้ข้างบนหลังแปด้วย แล้วก็คาดการณ์ให้มันคุ้มทุนว่าจะมีนักเรียนหรือใครก็ไม่รู้ขึ้นไปเพื่อเที่ยวศูนย์ที่ว่านี่แล้วก็กลับลงมา โดยที่พีคกว่านั้นคือศูนย์ที่ว่านี่ ค่าก่อสร้างก็ไม่ได้รวมอยู่ในงบโครงการกระเช้า เพราะถ้ารวมก็เจ๊งอีกอยู่ดี 

คืออันนี้ชัดเจนว่าพยายามแต่งตัวเลขให้โครงการคุ้มทุน 

เพราะลำพังตัวโครงการเองมันไม่คุ้มทุน ประเทศไทยไม่ได้ร่ำรวยขนาดจะสร้างโครงการที่ไม่จำเป็น ดูแลตัวเองไม่ได้ ต้องคอยเอางบมาเติม หรือต้องปล่อยพังเสียหาย ใช้การไม่ได้ เพราะไม่มีงบมาเติม

รอบนี้ได้ข่าวว่าจะศึกษาใหม่อีก ตามที่ได้ยินมาคือเสียเงินอีก 25 ล้าน มันมีอะไรเปลี่ยนไปหรือถึงจะต้องศึกษาใหม่? บางทีก็ไม่เข้าใจว่าประเทศนี้นึกอยากจะเสียเงินค่าศึกษาอะไรก็ศึกษา คิดโครงการบ้าบออะไรขึ้นมาก็ได้ ขุดโครงการอะไรขึ้นมาจากหลุมมาศึกษาใหม่เมื่อไหร่ก็ได้ คือแค่ค่าศึกษานี่ ถ้าเอาไปทำอย่างอื่น ก็ได้ตั้งเยอะแยะแล้ว...

อันนี้ ดร.นณณ์ โพสต์ไว้เมื่อวาน
https://www.facebook.com/share/p/1E8metZdp9/?mibextid=qi2Omg

ผมมาคิดต่อว่าถ้าเป็นแบบนั้น เราควรทำอะไรกับภูมินิเวศรอบภูเขาภูกระดึง 
เอาเงินที่จะศึกษาเรื่องกระเช้า มาทำแผนพื้นที่วงแหวนรอบภูกระดึงว่า ควรพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนอย่างไร 

ปัจจุบันพื้นที่เกษตรโดยรอบ ยังเป็นพืชเชิงเดี่ยว แห้งแล้ง แต่ยังมีพื้นที่ป่าอนุรักษ์ที่เป็นต้นน้ำที่ค่อนข้างมีสภาพดี ถ้ามีการปรับการปลูกพืชให้เหมาะสม น่าจะทำให้พื้นที่รอบๆกลับมาสวยงาม และเพิ่มศักยภาพการท่องเที่ยวแบบที่พักระยะยาว หรือรูปแบบที่เหมาะสมอื่นๆได้ หากมีการศึกษาทางวิชาการจริงๆ

นอกจากภูกระดึงแล้ว มีแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆมากมายโดยรอบ หากจะพัฒนาความเชื่อมโยงถึงกัน 

แล้วมามองว่า เที่ยวภูกระดึง กันหนักๆ ช่วงปลายฝนต้นหนาว ถึงก่อนแล้ง แต่ช่วงอื่นๆ ยังมีนักท่องเที่ยวมากระจายรายได้ในพื้นที่วงแหวนนี้ตลอดปี โดยไม่ต้องขึ้นภูกระดึงจะทำอย่างไร ??

ศึกษาเรื่องแบบนี้กันไว้ตรงไหนหรือเปล่าครับ 

เผื่อชวน Nonn Panitvong มาช่วยอ่าน น่าจะสนุกดี


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top