Friday, 25 April 2025
NEWS FEED

‘มูลนิธิสถาบันราชพฤกษ์’ ชวนชาวไทยร่วมใจรักษ์โลก พร้อมใจปิดไฟ ถอดปลั๊ก 1 ชั่วโมง คืนวันเสาร์ที่ 22 มี.ค.นี้

นายสุกฤษฏิ์ชัย ธีระเริงฤทธิ์ รองผู้อำนวยการมูลนิธิสถาบันราชพฤกษ์ (หน่วยงานดีเด่นแห่งชาติสาขาอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม) และ ที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. .... ในสภาผู้แทนราษฎร ได้เผยแพร่ข้อความผ่านเพจเฟซบุ๊ก 'สุกฤษฏิ์ชัย ธีระเริงฤทธิ์ - Sukritchai Teeraroengrit' เพื่อรณรงค์กิจกรรมสิ่งแวดล้อม ปิดไฟ 1 ชม. 60+ Earth Hour 2025 เพื่อขอเชิญชวนพวกเรามาร่วมกันสร้างความเปลี่ยนแปลงในกิจกรรม Earth Hour 2025 ด้วยการปิดไฟ ถอดปลั๊ก งดใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่ไม่จำเป็น ตลอด 1 ชั่วโมง เพื่อลดโลกร้อน ให้โลกได้พัก พร้อมกัน ในวันเสาร์ที่ 22 มีนาคม 2568 เวลา 20:30 - 21:30 น.

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าว จัดโดย องค์กรกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล หรือ World Wildlife Fund (WWF) มีกิจกรรมครั้งแรกในปี พ.ศ. 2550 และขยายไปสู่ทั่วทุกภูมิภาคของโลก เพื่อสร้างความตระหนักเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และส่งเสริมการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

‘เพจเรียนหมอ’ แชร์ประสบการณ์พากเพียรเรียนจบหมอทั้งพี่น้อง ขอเพียงเดินในเส้นทางที่ถูกต้อง ล้มแล้วปัดฝุ่นลุก ต้องถึงเป้าหมายสักวัน

(19 มี.ค. 68) เพจเฟซบุ๊ก เรียนหมอ โพสต์เฟซบุ๊ก แชร์ประสบการณ์และความพากเพียรกว่าจะประสบความสำเร็จด้านการศึกษา ว่า  สำหรับคนไม่มีต้นทุนชีวิต การศึกษาเท่านั้นที่จะเปลี่ยนชีวิต 

ใครที่บอกว่า บ้านจนเรียนหมอไม่ได้ บอกเลยไม่จริง เราสองพี่น้องพิสูจน์ให้แล้ว จนมากๆก็ยังเป็นหมอได้ทั้งคู่ แกวจบเภสัชหาเงินส่งน้องชายเรียนหมอ พอเริ่มอยู่ตัว แกวก็มาเรียนหมออีกใบ 
ในระบบการศึกษาไทย มีทุนการศึกษามากมายรอเราอยู่ ขอแค่เราตั้งใจ แล้วงานพิเศษก็ช่วยให้เรารอดได้ แกวทำทุกอย่างที่ได้เงิน สอนพิเศษ หาเสื้อผ้ามือสองมาขาย ทำงานร้านหมูกระทะ  สู้มาก 

“กล้วยไม้ออกดอกช้าฉันท์ใด การศึกษาเป็นไปฉันท์นั้น”
จริงตามนั้นทุกประการ ระหว่างทางที่เดิน ล้มลุกคลุกคลาน เสียน้ำตาไปมหาศาล 
ต่อให้ร้องไห้แค่ไหน ก็ยังจะเดินต่อไปไม่หยุด  กัดไม่ปล่อย  จะคิดเทียบเสมอ เดินต่อไปได้อะไร หยุดได้อะไร  มองไกลๆ

คำว่าไม่มีคือไม่มีจริงๆ ความจนมันน่ากลัว  ความจนมันมืดบอด น้อง ๆ คนไหนที่รู้สึกน้อยใจในโชคชะตาชีวิต  เข้มแข็งแล้วลุกขึ้นมาเอาชนะความจนไปด้วยกัน 

เทคนิคคือ 
เดินในทางที่ถูกที่ควรไปเรื่อย ๆ ระหว่างทางก็เอื้อเฟื้อแบ่งปัน พัฒนาตัวเอง เป็นของขวัญให้ทุกคนที่พบเจอไป ไปที่ไหนจะมีแต่คนรักคนเมตตา เทวดาคุ้มครอง ทำอะไรก็งอกงามขึ้นเรื่อย ๆ
แกวเป็นคนที่ได้รับความเมตาจากผู้คนที่ผ่านเข้ามาในทุกช่วงเวลาของชีวิตอยู่เสมอ รู้สึกขอบคุณตลอด มีคนใจดีมากมายคอยโอบอุ้ม ไม่เคยลืม  

ดอกไม้ดอกนี้เบ่งบานแล้ว พร้อมจะช่วยเหลือผู้อื่นต่อไป เพราะเรารู้ดีว่าการได้รับตอนลำบาก มันทำให้ใจฟูแค่ไหน 
#bye bye ความจน เราก้าวข้ามคุณได้แล้วนะ ไม่มีอีกแล้วเด็กน้อยในวันนั้นที่หน้าหนาวยังไม่มีเสื้ออุ่นๆใส่  
#ขอบคุณทุกการศึกษา ขอบคุณผู้คนที่ผ่านเข้ามาทุกช่วงเวลาของชีวิตที่เมตตาช่วยเหลือ 
#ขอบคุณพ่อแม่ที่เลี้ยงดูมาอย่างดีด้วยความรัก ความอบอุ่น ยากจนเงินทอง แต่ไม่ได้ยากจนความสุข วันนี้พ่อแม่สุขสบายแล้ว  เราสองคนตอบแทนดูแลพ่อแม่อย่างดี 
ท่านเสียสละเพื่อพวกเรามามาก ในวันที่ลำบาก สิ่งที่ท่านให้คือสิ่งที่ดีที่สุดที่ท่านทำให้แล้ว 

เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังเดิน รู้ว่าเหนื่อย 
อดทนทำต่อไปค่ะ ผลลัพธ์คุ้มมาก  ถ้าล้มแล้วปัดฝุ่นลุก มันต้องถึงเป้าหมายสักวัน

ศาล สั่งห้าม ‘ธนารักษ์’ ขึ้นทะเบียน 'พุทธมณฑล' 2.5 พันไร่เป็นที่ราชพัสดุ เหตุเป็นศาสนสมบัติกลางที่มีกฎหมายเฉพาะ

ศาลปกครองกลางพิพากษา ห้ามกรมธนารักษ์นำที่ดินพุทธมณฑล 2,500 ไร่ ขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุ ชี้เป็นที่ศาสนสมบัติกลางที่กฎหมายเฉพาะบัญญัติยกเว้น

(19 มี.ค.68) ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษาห้ามมิให้กรมธนารักษ์นำที่ดินพุทธมณฑล เนื้อที่ 2,500ไร่ ขึ้นทะเบียนเป็นที่ราชพัสดุ คดีนี้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ผู้ฟ้องคดี ฟ้องว่า ได้รับความเดือดร้อนจากการที่กรมธนารักษ์ ผู้ถูกฟ้องคดี จะนำที่ดินแปลงดังกล่าวขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุและเข้าปกครองดูแลที่ราชพัสดุแปลงนี้ตามมาตรา 8 และมาตรา 17พ.ร.บ.ที่ราชพัสดุ 2562ทั้งที่ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ดูแลและพัฒนาที่ดินพุทธมณฑล เนื้อที่ประมาณ 2,500ไร่ ซึ่งเป็นศาสนสมบัติของพระพุทธศาสนา และเป็นศาสนสมบัติกลางตามมาตรา 40 พ.ร.บ.คณะสงฆ์ 2506จึงขอให้ศาลพิพากษาหรือมีคำสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีระงับการขึ้นทะเบียนที่ดินพุทธมณฑลดังกล่าว ซึ่งศาลปกครองกลางพิจารณาแล้วเห็นว่า คดีนี้ข้อเท็จจริงปรากฏว่า พุทธมณฑลสร้างขึ้นตามเจตนารมณ์ เพื่อเป็นอนุสรณ์ในการเฉลิมฉลองงาน 25 พุทธศตวรรษ โดยพิจารณาได้จากปูชนียสถานที่สร้างขึ้นในพุทธมณฑลล้วนแต่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น ส่วนในการจัดหาที่ดินนั้น พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับซื้อที่ดินของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จำนวน 135 ไร่ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ทั้งได้มีประชาชนผู้เลื่อมใสศรัทธาบริจาคเงินเพื่อซื้อที่ดินถวายเป็นพุทธบูชาและร่วมสมทบในการสร้างพระพุทธรูปและพุทธมณฑลแล้ว เป็นเงินจำนวน 2,764256.82 บาท รวมถึง ฯพณฯ อูนุ นายกรัฐมนตรีพม่า ได้มอบเงินให้จำนวน 50,000 จาด

นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการจำหน่ายพระเครื่อง พระพุทธรูป แสตมป์ ปฏิทินและเสมาที่ระลึก โดยเป็นการร่วมแรงร่วมใจในการจัดสร้างพุทธมณฑลตามนโยบายของรัฐบาลอีกด้วย จนรวบรวมที่ดินได้จำนวน 2,205 ไร่ 96 ตารางวา ที่ดินที่ได้มาดังกล่าวจึงถือได้ว่าเป็นทรัพย์สินที่มีผู้ถวายให้แก่พระศาสนา แต่ปรากฏว่ายังขาดอีกจำนวน 294 ไร่ 3 งาน 4 ตารางวาจึงจะครบ 2,500 ไร่ ตามที่กำหนดไว้ รัฐบาลจึงได้มีการเวนคืนที่ดินจำนวนที่ยังขาดอยู่ แต่ก็เพื่อให้การดำเนินการจัดสร้างพุทธมณฑลสำเร็จลุล่วงตามเจตนารมณ์เท่านั้น หาได้มีวัตถุประสงค์ที่จะนำที่ดินไปใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดินโดยเฉพาะ หรือเพื่อประโยชน์ของทางราชการตามกฎหมายแต่อย่างใด

"กรณีจึงต้องถือว่า เจตนารมณ์ทั้งของสถาบันพระมหากษัตริย์ รัฐบาล และประชาชนชาวไทยในการจัดซื้อและจัดหาที่ดินเนื้อที่รวม 2,500ไร่ จัดสร้างพุทธมณฑลก็เพื่อถวายเป็นพุทธบูชาและอุทิศให้พระพุทธศาสนา ดังนั้น ที่ดินพุทธมณฑลจึงเป็นทรัพย์สินของพระศาสนา เมื่อได้พิจารณาข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้ว จึงรับฟังเป็นยุติว่า พุทธมณฑลเป็นพุทธสถานที่ตั้งขึ้นเพื่อประโยชน์ในทางพระพุทธศาสนา ประกอบกับเมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่าที่ดินพุทธมณฑลเป็นทรัพย์สินของพระศาสนา และเมื่อที่ดินดังกล่าวมิใช่ของวัดใดวัดหนึ่ง ดังนั้น ที่ดินพุทธมณฑลจึงเป็นศาสนสมบัติกลาง ตามมาตรา 46 (1) แห่งพ.ร.บ.คณะสงฆ์ 2484 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่จัดตั้งพุทธมณฑล และตามมาตรา 40 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพ.ร.บ.คณะสงฆ์ 2505ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน ที่มีผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ดูแลรักษาและจัดการ รวมทั้งเป็นเจ้าของ ตามมาตรา 40 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว อันเป็นที่ดินที่มีกฎหมายเฉพาะบัญญัติยกเว้นไว้ไม่ให้ถือเป็นที่ราชพัสดุ ทั้งนี้ ตามมาตรา 7 (7) แห่งพ.ร.บ. ที่ราชพัสดุ 2562

เมื่อได้วินิจฉัยมาแล้วว่า ที่ดินพุทธมณฑลเป็นทรัพย์สินของพระศาสนาอันเป็นศาสนสมบัติกลาง มิใช่ที่ราชพัสดุตามกฎหมายที่ราชพัสดุ ฉะนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีจึงไม่มีอำนาจหน้าที่ตามมาตรา 17 และมาตรา 19 วรรคหนึ่ง (3) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ประกอบข้อ 6 (16) ของระเบียบกระทรวงการคลัง ว่าด้วยการปกครอง ดูแล บำรุงรักษา และการใช้ที่ราชพัสดุ 2546 ให้ผู้ฟ้องคดีทำการสำรวจรังวัดและจัดทำแผนที่รายละเอียดที่ราชพัสดุแปลงพุทธมณฑลพร้อมสิ่งปลูกสร้าง แล้วนำส่งขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุและบริหารจัดการพื้นที่ให้เป็นไปตามกฎหมายที่ราชพัสดุแต่อย่างใด ดังนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดีโดยสำนักงานธนารักษ์พื้นที่นครปฐมได้มีหนังสือให้ผู้ฟ้องคดีสำรวจรังวัด และจัดทำแผนที่รายละเอียดที่ราชพัสดุแปลงพุทธมณฑลพร้อมสิ่งปลูกสร้าง นำส่งขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุและบริหารจัดการพื้นที่ให้เป็นไปตามกฎหมาย และได้มีหนังสือแจ้งให้ผู้ฟ้องคดีสำรวจรายการที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินราชพัสดุแปลงพุทธมณฑลขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุตามแบบรายการส่ง - รับที่ราชพัสดุขึ้นทะเบียนจัดส่งให้สำนักงานธนารักษ์พื้นที่นครปฐม เพื่อดำเนินการรับขึ้นทะเบียนที่ราชพัสดุต่อไป จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงมีคำพิพากษาดังกล่าว

‘ดร.กอบศักดิ์’ โพสต์ข้อความสุดประทับใจหลังจบหลักสูตร วปอ. เผย ได้เรียนรู้มากมายหลากหลายมุมมอง ทั้งประโยชน์และยุทธศาสตร์ชาติ

(19 มี.ค. 68) ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) โพสต์เฟซบุ๊กว่า เรียนจบแล้ว เป็น 1 ปีที่มีความหมายที่ วปอ. เป็นหลักสูตรที่สอง ที่เข้าเรียนในช่วง 30 ปี

ตัดสินใจสมัคร เพื่อเข้าใจมุมมองด้านการทหาร ท่ามกลางความตึงเครียดระหว่างมหาอำนาจ ท่ามกลางสงครามที่ยูเครน ตะวันออกกลาง ตลอดจนความคุกรุ่นจากการเผชิญหน้าที่รอบๆ ไต้หวันและทะเลจีนใต้

ได้พบกับท่านอาจารย์ ท่านวิทยากร พี่ๆ เพื่อนๆ ได้เรียนรู้ เห็นสิ่งต่างๆ มากมาย ประโยชน์ของชาติ ยุทธศาสตร์ชาติ 
Ends Ways Mean Center of Gravity …

ได้รู้จักทุกคน ใช้เวลานับพันชั่วโมง ช่วยกันถกเถียง ช่วยกันคิด ช่วยกันเขียน “เปลี่ยนใหญ่ประเทศไทย : Thailand Next” ข้อเสนอของ วปอ 66

พี่ๆ ทุกคนตั้งใจกันมาก น้อง ๆ ทีมงานก็ทุ่มเทสุดตัว ตั้งใจให้เป็นผลงาน ที่ช่วยให้เราเห็นทางว่า ถ้าเราจะเปลี่ยนแปลง นำไทยไปสู่อนาคตที่สดใส รุ่งเรือง ไม่แพ้ใคร เราต้องทำอะไร

ได้ร่วมกับพี่ๆ หมู่นกเค้าแมว (ฮูก ฮูก ฮูก) จัดทำโครงการ Carbon Credit เพื่อชุมชนที่ยั่งยืน ที่บ้านถ้ำเสือ แก่งกระจาน เพชรบุรี ใช้เวลารวมกันอีกหลายพันชั่วโมง จัดทำโครงการเพื่อเอาพลังของทุกคน

ทุกหน่วยงาน ไปช่วยกันพัฒนาสร้างความเปลี่ยนแปลงในสังคม ลงพื้นที่ทำงานกับพี่น้องชุมชน และหน่วยงานต่าง ๆ ทุกคนตั้งใจมาก เอาจริงเอาจัง นำไปสู่แนวคิดการพัฒนารายได้ชุมชนทั้งระยะสั้น กลาง ยาว เพื่อให้เกิดความยั่งยืนในการพัฒนาพื้นที่ และเป็นต้นแบบสำหรับการทำประโยชน์เพื่อสังคม

ได้เขียนเอกสารการวิจัยส่วนบุคคล “แนวทางการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างโอกาส และความเสมอภาคของไทย” ซึ่งเป็นเรื่องที่สนใจศึกษา วิจัย ทำมาทั้งชีวิตการทำงาน ใช้เวลาอีกมากมาย นับพันชั่วโมงเช่นกัน ในการคิดทบทวน วิเคราะห์ กลั่นกรอง เขียนงานวิจัยว่า ทำไมประเทศไทยถึงพ่ายแพ้สงครามกับความเหลื่อมล้ำ ทั้งที่ได้ใช้เงินงบประมาณในหลายสิบปีที่ผ่านมา หลายสิบล้านล้านบาท เฉพาะเรื่องนี้เรื่องเดียว ทุ่มลงไป เพื่อให้ความเหลื่อมล้ำลดลง แต่ยิ่งทำ ยิ่งพัฒนา ชนบท ชุมชน ต่างอ่อนแอ มีแต่หนี้ สูญเสียที่ดินทำกิน

ปัญหาจริงๆ คืออะไร ถ้าอยากเอาชนะ ต้องทำอะไร เป็นโอกาสได้ทำการวิจัยอย่างจริงจังอีกครั้งในรอบ 10 ปี รวบรวมประสบการณ์ของตนเอง ที่เคยเป็นทั้งนักวิชาการ นักพัฒนาสังคม ผู้ทำโครงการเพื่อสังคมในภาคเอกชน และเคยอยู่ในภาครัฐเป็นผู้กำหนดนโยบายและช่วยเขียนกฎหมายเพื่อชุมชน คนตัวเล็ก จัดทำข้อเสนอที่มั่นใจว่า จะช่วยพลิกจากความพ่ายแพ้เป็นชัยชนะ สร้างสังคม เศรษฐกิจที่ให้โอกาสกับทุกคน ลดความเหลื่อมล้ำให้เหลือเพียงที่จำเป็น นำไปสู่ความสำเร็จในการพัฒนาที่แท้จริง

นอกจากนี้ ยังได้เข้าร่วมการฝึกร่วมยุทธเสนา 67 ต่อสู้กับ ”ประเทศ“ ที่มารุกราน ร่วมปกป้องอธิปไตยของเรา กับทุกคนจากหลักสูตรต่างๆ ของทางกองทัพ จนข้าศึกต้องยอมความ ยุติความตั้งใจที่จะรุกราน ได้รับความรู้อย่างมากมายในเรื่องนี้เช่นกัน วันหลังเมื่อมีเวลา จะนำมาเล่าให้ทุกคนฟัง เป็น 1 ปีที่คุ้มค่าและมีความหมายอย่างยิ่ง

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกับสหราชอาณาจักร เปิดตัว 'สถานีตำรวจนำร่อง' เพื่อยกระดับมาตรฐานการควบคุมตัวผู้ต้องหา สู่ความเป็นเลิศด้านสิทธิมนุษยชน

(19 มี.ค.68) เวลา 11.00 น. พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานการประชุมและเปิดตัวโครงการ “สถานีตำรวจนำร่อง” เพื่อยกระดับมาตรฐานการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจในเรื่องการควบคุมตัวผู้ต้องหาให้มีมาตรฐานเป็นสากล โดยมี นางสาวปิติกาญจน์ สิทธิเดช กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ , ผศ.ดร.สุชาติ เศรษฐมาลินี กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ , นายพิทยา จินาวัฒน์  ที่ปรึกษาประจำสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ , นายบุญแทน ตันสุเทพวีรวงศ์ ที่ปรึกษาประจำสำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ , Mr. David Thomas Deputy อุปทูตสหราชอาณาจักร ประจำประเทศไทย , Mr.David Lawes ที่ปรึกษากระทรวงมหาดไทย สหราชอาณาจักร , Ms.Leanne Moorhouse ผู้เชี่ยวชาญด้านกล้องติดตัว จาก Devon & Cornwall Police สหราชอาณาจักร , Mr.Seamus Weightman เจ้าหน้าที่หัวหน้าส่วนคุมขัง จาก Northumbria Police สหราชอาณาจักร พร้อมด้วย พล.ต.ต.พงษ์สยาม มีขันทอง รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว , พล.ต.ต.ชรินทร์ โกพัฒน์ตา รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล , พล.ต.ต.ธนู พวงมณี ผู้บังคับการกองยุทธศาสตร์ สำนักงานยุทธศาสตร์ตำรวจ , พ.ต.อ.ธรา แปงเครื่อง รองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6 และ พ.ต.อ.ศิริชาติ จันทร์พรมมา ผู้กำกับการ สถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน ร่วมประชุมและเปิดตัวโครงการฯ ณ สถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน

โครงการ “สถานีตำรวจนำร่อง” เพื่อยกระดับมาตรฐานการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจในเรื่องการควบคุมตัวผู้ต้องหาให้มีมาตรฐานเป็นสากล จากการริเริ่มของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มอบหมายให้จเรตำรวจแห่งชาติ ดำเนินโครงการฯ ซึ่งเกิดจากความร่วมมือระหว่างสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และสหราชอาณาจักร โดย Mr. David Thomas อุปทูตสหราชอาณาจักร ประจำประเทศไทย โดยการนำแนวทางการปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best practice) และบทเรียน (Lesson learned) เกี่ยวกับการควบคุมผู้ต้องหาจากสหราชอาณาจักรมาปรับใช้ให้สอดคล้องกับกฎหมายและบริบทของประเทศไทย โดยมุ่งเน้นการคุ้มครองผู้ต้องหาให้ปลอดภัยจากการซ้อมทรมาน และป้องกันมิให้เกิดการเสียชีวิตระหว่างถูกควบคุมตัว เพื่อให้การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน และพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 และส่งเสริมความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ตำรวจในเรื่องชีวิต ร่างกาย และวิธีการปฏิบัติ 

ความร่วมมือในครั้งนี้เป็นความมุ่งมั่นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติและสหราชอาณาจักร ที่จะพัฒนาการควบคุมตัวผู้ต้องหาให้มีความปลอดภัย โดยแนวทางการปฏิบัติที่พัฒนาขึ้นนั้นต้องสามารถนำมาปฏิบัติได้จริง และเป็นผลดีต่อทั้งผู้ต้องหาและเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ปฏิบัติ ดังนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงได้ส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน และสถานีตำรวจภูธรเมืองจันทบุรี ไปรับการฝึกอบรมจากกองบัญชาการตำรวจนอร์ทัมเบรีย ณ สหราชอาณาจักร และยังได้เชิญผู้เชี่ยวชาญซึ่งประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่กระทรวงมหาดไทย จากสหราชอาณาจักร มาให้คำแนะนำอย่างใกล้ชิด เพื่อนำแนวทางปฏิบัติมาประยุกต์ใช้ในประเทศไทยให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยและมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปฏิบัติเกี่ยวกับการควบคุมตัวผู้ต้องหาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้นำหลัก "Change by Design" มาพัฒนาแนวทางการปฏิบัติเกี่ยวกับการควบคุมตัวผู้ต้องหา โดยเน้นการออกแบบเชิงระบบ เริ่มจากการปรับปรุงโครงสร้างห้องควบคุมให้เป็นพื้นที่ปลอดภัย มีกล้องวงจรปิดบันทึกเหตุการณ์ตลอดเวลา และการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจทุกขั้นตอนต้องเกิดขึ้นในพื้นที่ห้องขัง นอกจากนี้ ยังพัฒนากระบวนการควบคุมตัวผู้ต้องหาให้มีความปลอดภัยและโปร่งใส โดยการประเมินความเสี่ยงต่างๆ รวมถึงสภาพความพร้อมด้านสุขภาพร่างกายและจิตใจของผู้ต้องหาในการถูกควบคุมตัว การจัดทำบันทึกควบคุมตัวโดยละเอียด มีการบันทึกทรัพย์สินส่วนบุคคล และการตรวจสอบการควบคุมตัวโดยผู้บังคับบัญชา ซึ่งทุกขั้นตอนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้นจะถูกบันทึกลงในบันทึกการควบคุมตัวผู้ต้องหาเพื่อสร้างกระบวนการที่โปร่งใสสามารถตรวจสอบได้

เป้าหมายสูงสุดของโครงการสถานีตำรวจนำร่อง คือการป้องกันมิให้เกิดการซ้อมทรมานและการเสียชีวิตระหว่างการควบคุมตัว โดยหลักปฏิบัติที่สำคัญของโครงการนี้คือ การประเมินความเสี่ยงและสภาพความพร้อมด้านสุขภาพร่างกายและจิตใจของผู้ต้องหาในการถูกควบคุมตัวในโอกาสแรกที่สามารถทำได้ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะเกิดประโยชน์อย่างมากในกรณีที่ผู้ต้องหานั้นมีโรคประจำตัวที่อาจส่งผลต่อชีวิต มีอาการบาดเจ็บ หรือมีประวัติการเสพยาเสพติดซึ่งอาจนำไปสู่อาการต้องการเสพยาขั้นรุนแรง เนื่องจากการทราบถึงข้อมูลเหล่านี้ก่อนจะดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไปนั้น สามารถทำให้เจ้าหน้าที่ประจำห้องขังสามารถตัดสินใจได้ว่ามีความจำเป็นต้องส่งต่อผู้ต้องหาไปยังโรงพยาบาลหรือไม่ หรือต้องกำหนดระดับการดูแลและตรวจสอบที่ระดับใด การตัดสินใจที่ถูกต้องและรวดเร็วบนพื้นฐานของข้อมูลดังกล่าวจะช่วยให้สามารถรักษาชีวิตของผู้ต้องหาเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินได้ ซึ่งแนวทางปฏิบัตินี้ได้ถูกนำมาปฏิบัติและพิสูจน์ว่าเกิดประสิทธิภาพในการช่วยชีวิตผู้ต้องหาได้จริงในสถานีตำรวจ 2 แห่งแล้ว ได้แก่ สถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน และสถานีตำรวจภูธรเมืองจันทบุรี 

พล.ต.อ.ธัชชัยฯ กล่าวว่า หลังจากนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติจะนำเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพในการปฏิบัติและการวิเคราะห์ข้อมูลการควบคุมตัวผู้ต้องหามากยิ่งขึ้น โดยจะพัฒนาซอฟต์แวร์สำหรับใช้ในการบันทึกการควบคุมตัวผู้ต้องหา และในระยะต่อไปจะขยายแนวทางการปฏิบัติรูปแบบใหม่นี้ไปยังสถานีตำรวจในสังกัดกองบังคับการตำรวจนครบาล 6 ก่อนที่จะนำไปใช้ในทุกสถานีตำรวจทั่วประเทศ โครงการ "สถานีตำรวจนำร่อง" นี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการยกระดับมาตรฐานการปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 รวมถึงกฎหมาย และระเบียบอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนและเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งปฏิบัติหน้าที่ในสถานีตำรวจ

สืบ ตม. ตัดวงจรจีนเทา ขบวนการรถหรูรับลูกค้าส่งไปชายแดน

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.ภาณุมาศ บุญญลักษม์ ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ภานพ วรธนัชชากุล ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.แดนไพร แก้วเวหล รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สุรินทร์แก้ว รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.เฉลิมชนม์ แหลมทอง รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.ธวัชชัย นรินรัตน์ ผกก.1 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.พิสิษฐ์ ศรีอ่อน ผกก.2 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก.(สอบสวน) หน.กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้   
สืบ ตม. ตัดวงจรจีนเทา ขบวนการรถหรูรับลูกค้าส่งไปชายแดน

ตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้กำชับให้ตรวจสอบพฤติกรรมกลุ่มคนต่างด้าวที่มีพฤติกรรมขัดต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม ตลอดจนมีลักษณะที่กระทบภาพลักษณ์และความมั่นคงของประเทศ บก.สส.สตม. จึงได้ทำการสืบสวนเกี่ยวกับกลุ่มรถยนต์หรู ป้ายทะเบียนสวยงาม พบว่ามีกลุ่มรถซึ่งเป็นของคนต่างด้าวเดินทางไปยังพื้นที่ชายแดน อาจเกี่ยวข้องกับกลุ่มจีนเทาที่กระทำผิดกฎหมายในปัจจุบัน จึงได้ทำการสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน จากนั้นได้ขออนุมัติหมายค้นต่อศาลอาญาพระโขนง เพื่อเข้าค้นบ้านหลังหนึ่งย่านสวนหลวง จากการเข้าตรวจค้นพบ Mr.Ma (สงวนนามสกุล) อายุ 30 ปี สัญชาติจีน และภรรยา พักอาศัยอาศัยอยู่ พบพยานหลักฐานเชื่อว่า Mr.Ma ประกอบธุรกิจ นำรถหรูออกให้คนต่างชาติเช่าผ่านระบบออนไลน์ โดยจ้างคนไทยที่สามารถพูดภาษาจีนได้เป็นพนักงานขับรถ จากการตรวจสอบข้อมูลการครอบครองรถยนต์ พบรถยนต์หรู ป้ายทะเบียนสวยงาม จำนวน 4 คัน และจากการตรวจสอบเส้นทางรถที่วิ่งพบว่าวิ่งไปยังจังหวัดต่าง ๆ ที่ติดกับชายแดน อาทิเช่น สระแก้ว เชียงราย จันทบุรี ฯลฯ จึงได้ดำเนินคดีกับ Mr.Ma ในข้อหา 'ประกอบธุรกิจโดยไม่ได้รับอนุญาต' และดำเนินคดีกับคนไทยที่ทำหน้าที่ขับรถรับส่งชาวต่างชาติจากสนามบินสุวรรณภูมิไปยังจังหวัดต่าง ๆ ในข้อหา 'ใช้รถผิดประเภท' โดยจะได้สืบสวนขยายผลเกี่ยวกับกลุ่มลูกค้าที่มาใช้บริการต่อไป

‘ภูมิธรรม-ทวี’ นำคณะเยือนซินเจียง ภารกิจแน่นพบปะอุยกูร์และถกประเด็นสำคัญกับท้องถิ่น

เมื่อเวลา 09.40 น. (19 มี.ค.68) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม พร้อมด้วย พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม เดินทางถึงท่าอากาศยานเมืองคาซือ เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีนายชู ต้าถง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ ให้การต้อนรับ

ภารกิจของคณะเริ่มต้นด้วยการพบปะหารือกับนายฉี หยานจุน รองเลขาธิการคณะกรรมการพรรคและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงความมั่นคงสาธารณะ พร้อมรับฟังบรรยายสรุปเกี่ยวกับการดำเนินการดูแลกลุ่มบุคคลที่ถูกส่งกลับจากจีน โดยเฉพาะชาวอุยกูร์ 40 คน ที่ถูกส่งกลับเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

ช่วงบ่าย คณะผู้แทนไทยได้แบ่งออกเป็น 2 คณะ โดยคณะแรกนำโดยนายภูมิธรรม ส่วนคณะที่สองนำโดยพันตำรวจเอกทวี แยกเดินทางไปเยี่ยมเยียนชาวอุยกูร์ที่บ้านพักส่วนตัว ห่างจากเมืองคาซือประมาณ 100-300 กิโลเมตร โดยมีผู้แทนระดับรัฐมนตรีจากจีนร่วมเดินทางในทั้ง 2 คณะ

ส่วนช่วงเย็น คณะของฝ่ายไทยได้เข้าเยี่ยมชมหมู่บ้านท้องถิ่นและมัสยิดอิดกะฮ์ พร้อมหารือกับผู้นำศาสนาอิสลาม ก่อนจะประชุมกับแพทย์ที่รักษาชาวอุยกูร์และตัวแทนชาวอุยกูร์ผ่านระบบการประชุมทางไกล

ขณะที่เวลาประมาณเวลา 20.00 น. คณะฝ่ายไทยได้หารือกับนายหม่า ซิงรุ่ย สมาชิกคณะกรรมการกรมการเมืองกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน และเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ เขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ ก่อนร่วมงานเลี้ยงรับรองที่โรงแรมคาซือ

สำหรับภารกิจสุดท้ายของวันนี้ ฝ่ายจีนได้พาคณะฝ่ายไทยเยี่ยมชมพื้นที่สำคัญทางวัฒนธรรมเมืองโบราณคัชการ์ ก่อนปิดฉากภารกิจในวันที่แน่นเอี๊ยด

สมุทรปราการ-สุนทร ปานแสงทอง แถลงนโยบาย 5 ด้าน รับฟังทุกปัญหาเดินหน้าพัฒนาสมุทรปราการ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าที่ห้องประชุม ชั้น 4 อาคารสำนักงานองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ อ.เมือง สมุทรปราการ

ได้มีการเปิดประชุมสภาพร้อมกับการแถลงนโยบายการบริหารงานของนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสมุทรปราการ

โดยในวันนี้ วันที่ 18 มีนาคม 2568 นายสมควร ชูไสว ประธานสภา อบจ.สมุทรปราการ ได้มีการประชุมสภา อบจ.สมุทรปราการ เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติ นอกจากนี้ ยังได้มีการแถลงนโยบายต่อที่ประชุมสภา อบจ.สมุทรปราการ

โดยนาย สุนทร ปานแสงทอง นายก อบจ.สมุทรปราการ ได้กล่าวแถลงนโยบายแผนขับเคลื่อนการบริหารงาน ทั้ง 5 ด้าน ต่อที่ประชุมสภา โดยมีคณะผู้บริหาร พร้อมด้วย คณะสมาชิกสภา อบจ.ทั้ง 36 เขต ร่วมเป็นสักขีพยานและร่วมรับฟัง พร้อมทั้งเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหา

โดยทางด้าน นายสุนทร ปานแสงทอง นายก อบจ.สมุทรปราการ กล่าวว่า ในวันนี้สภา อบจ.สมุทรปราการ โดยท่านสมควร ชูไสว ประธานสภา อบจ.สมุทรปราการ ได้เปิดประชุมสภาพร้อมทั้งเชิญคณะสมาชิกสภา อบจ.ทั้ง 36 เขต มาร่วมประชุมรับฟังแนวทาง การเสนอแนวคิด การแก้ไขปัญหาในด้านต่างๆ ร่วมกัน 

พร้อมทั้งการแถลงนโยบาย ทั้ง 5 ด้าน ต่อที่ประชุมสภา คือ 1.ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจในทุกภาคส่วน 2.ด้านระบบสวัสดิการและคุณภาพชีวิตของประชาชน 3.ด้านการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภค สาธารณูปการและการผังเมือง 4.ด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และ 5.ด้านการพัฒนาการเมือง การบริหาร และการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนตามหลักธรรมาภิบาล 

ซึ่งนโยบายทั้ง 5 ด้านนี้ จะเกิดประโยชน์สูงสุดกับพี่น้องชาวสมุทรปราการอย่างแท้จริง โดย อบจ.สมุทรปราการ มีความตั้งใจ มุ่งมั่นในการบริหารงานและหวังว่าจะได้รับความร่วมมือจากทุกท่านเพื่อให้จังหวัดสมุทรปราการบ้านของเราพัฒนาก้าวหน้าต่อไป

'ฐปณีย์' ตั้งคำถามปมปิดปากสื่อ-แทรกแซงสื่อข้ามชาติ เรียกร้องหาผู้รู้ตรวจสอบ

(19 มี.ค. 68) แยม ฐปณีย์ เอียดศรีไชย นักข่าวสายลุยคนดังจากรายการข่าว 3 มิติ โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุข้อความว่า “เจอสถานการณ์หลายสิ่งในช่วงนี้จึงทบทวนดูอย่างรอบคอบ ว่าจะเรียกสิ่งที่เผชิญอยู่นี้ว่าอะไร - ปิดปากสื่อ? - แทรกแซงสื่อข้ามชาติ? จะต้องเรียกแบบไหน คงต้องหาผู้รู้มาตรวจสอบค่ะ”

ทั้งนี้ ข้อความดังกล่าว คาดว่าน่าจะเกิดจากกรณีที่เจ้าตัวไม่ได้รับเชิญให้ร่วมทริปเยือนเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร์ สาธารณรัฐประชาชนจีน ติดตามคณะ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม , พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม รวมถึงสื่อมวลชนของไทย เพื่อติดตามชีวิตความเป็นอยู่ชาวอุยกูร์ 40 คน ซึ่งทางรัฐบาลไทยได้ส่งกลับแผ่นดินเกิดก่อนหน้านี้ 

ไฟไหม้ลานเก็บรถของกลาง เผาวอด 300 คัน ตำรวจเร่งแกะรอยหาสาเหตุเพลิงปริศนา คาดเสียหายหลัก 100 ล้าน

(19 มี.ค. 68) จากกรณีเมื่อเวลา 19.30 น. วันที่ 18 มี.ค. 68 เกิดเหตุเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ที่ลานเก็บรักษารถยนต์ของกลางของด่านศุลกากรแม่สอด จังหวัดตาก บริเวณด้านหลังด่านศุลกากรแห่งใหม่ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ใกล้กับสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมา แห่งที่ 2 อำเภอแม่สอด โดยเพลิงไหม้ดังกล่าวลุกลามอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้รถยนต์ที่จอดอยู่ในพื้นที่ดังกล่าวได้รับความเสียหายจากเพลิงไหม้กว่า 300 คัน สร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง

เจ้าหน้าที่ดับเพลิงจากเทศบาลนครแม่สอด และหน่วยกู้ภัยในพื้นที่ ได้ระดมรถดับเพลิงกว่า 10 คันเข้าควบคุมเพลิงอย่างเร่งด่วน แต่เนื่องจากบริเวณดังกล่าวเป็นลานโล่งกลางแจ้ง ประกอบกับมีเชื้อเพลิงอย่างน้ำมันในรถยนต์ที่ถูกเก็บรักษาอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้ไฟลุกไหม้อย่างรุนแรงและขยายวงกว้างอย่างรวดเร็ว เจ้าหน้าที่ต้องใช้เวลานานกว่า 3 ชั่วโมง กว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้

เบื้องต้นยังไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการตรวจสอบสาเหตุของเพลิงไหม้ โดยมีการตั้งข้อสันนิษฐานเบื้องต้นว่า อาจเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจร หรือมีการลอบวางเพลิง เนื่องจากรถยนต์ของกลางที่ถูกเก็บรักษาในพื้นที่ดังกล่าว ส่วนใหญ่เป็นรถที่ถูกยึดจากขบวนการลักลอบนำเข้ามาจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นของกลางที่อยู่ระหว่างการดำเนินคดี

ด้านนายอำเภอแม่สอด และเจ้าหน้าที่ด่านศุลกากรแม่สอด ได้เดินทางมาตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการสืบสวนหาสาเหตุของเพลิงไหม้ในครั้งนี้ รวมถึงประเมินมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้น ซึ่งคาดว่าจะสูงถึงหลายร้อยล้านบาท

ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการกันพื้นที่โดยรอบ เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาในบริเวณที่เกิดเหตุ รวมถึงตรวจสอบกล้องวงจรปิดบริเวณใกล้เคียง เพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติมประกอบการสอบสวน

ด้านประชาชนในพื้นที่ต่างแสดงความวิตกกังวลเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เนื่องจากเป็นเพลิงไหม้ครั้งใหญ่ และเกิดขึ้นในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานของรัฐ โดยหลายฝ่ายต่างเรียกร้องให้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างละเอียด และหากพบว่าเป็นการลอบวางเพลิง ควรมีการดำเนินคดีกับผู้ที่อยู่เบื้องหลังอย่างถึงที่สุด

ทั้งนี้ เหตุการณ์ไฟไหม้ลานเก็บรถของกลางด่านศุลกากรแม่สอดครั้งนี้ นับเป็นหนึ่งในเหตุการณ์ไฟไหม้ที่สร้างความเสียหายอย่างหนัก และต้องรอผลการสอบสวนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top