Wednesday, 11 June 2025
NEWS FEED

มูลนิธิพระราหู – จีจีไอ. กรุ๊ป เปิดรับผู้เข้าร่วมโครงการ อุปสมบทหมู่มุ่งสู่ดินแดนพุทธภูมิ - ลงทะเบียนได้ด้านล่าง

ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้อำนวยการ พรรครวมไทยสร้างชาติ และประธานที่ปรึกษามูลนิธิพระราหู เปิดเผยว่า มูลนิธิพระราหู ร่วมกับ บริษัท รักษาความปลอดภัย จีจีไอ กรุ๊ป จำกัด ได้จัดโครงการอุปสมบทหมู่ตามรอยพระบรมศาสดาสู่ดินแดนพุทธภูมิ แสวงบุญ 4 สังเวชนียสถาน 4 ตำบล ณ วัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของพระพุทธศาสนาเพื่อไปศึกษาพระธรรม และที่ผ่านมามีผู้เข้าร่วม โครงการบรรพชามาแล้วถึง 6 รุ่น ด้วยกัน โดยมูลนิธิพระราหูและบริษัท รักษาความปลอดภัย จีจีไอ. กรุ๊ป จำกัด เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด

จึงขอเรียนเชิญท่านผู้มีจิตศรัทธาอันแรงกล้าเข้าร่วมโครงการอุปสมบทหมู่ตามรอยพระบรมศาสดาสู่ดินแดนพุทธภูมิ แสวงบุญ 4 สังเวชนียสถาน 4 ตำบล ณ วัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดีย รุ่นที่ 7 ปี 2568 ในห้วงเวลา ตั้งแต่ วันที่ 28 พฤศจิกายน – 15 ธันวาคม 2568 (จำนวน 18 วัน) 

ทั้งนี้ หากประสงค์จะเข้าร่วมโครงการฯ สามารถดาวน์โหลดใบสมัครได้ที่ไลน์กลุ่มบวชพระอินเดีย โดยทีมงานจะบันทึกลงโน้ตไว้ให้ เปิดรับสมัครตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2568  - 1 กรกฎาคม 2568 และจะประกาศรายชื่อผู้ผ่านการสัมภาษณ์ภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2568

สำหรับเงื่อนไขของการรับสมัครเข้าร่วมโครงการฯ จะต้องมีคุณสมบัติเบื้องต้น ดังนี้
1. ต้องมีความมุ่งมั่น และมีความตั้งใจที่จะปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง
2. สามารถปฏิบัติตนตามกฎ และเงื่อนไขของโครงการที่กำหนดไว้ในโปรแกรมได้อย่างครบถ้วน
3. มีอายุระหว่าง 20 - 65 ปี และมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัวอันตรายที่มีผลเสียงในการเดินทาง และปฏิบัติธรรมในห้วงกิจกรรม
4. หากโครงการฯ ดำเนินการออกตั๋วเครื่องบิน และขอวีซ่าแล้วท่านไม่สามารถเดินทางได้ ท่านจะต้องเป็นผู้ชดใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริงในส่วนของท่านให้แก่ทางโครงการฯ โดยไม่มีการเรียกร้องใด ๆ ทั้งสิ้น

สบส. เผยเกณฑ์รับรองแหล่งฝึกงานภาคสนามให้สถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ร่วมผลิตบุคลากรคุณภาพป้อนตลาดสุขภาพไทย 

(14 พ.ค. 68) กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรม สบส.) กระทรวงสาธารณสุข เผยเกณฑ์การร่วมเป็นแหล่งฝึกภาคสนามให้กิจการสปา นวดเพื่อสุขภาพ หรือสถานดูแลผู้สูงอายุ ได้เป็นสถานที่ฝึกปฏิบัติงานจริงแก่ผู้ให้บริการรายใหม่ สร้างบุคลากรคุณภาพ ที่มีความรู้ ความสามารถ ป้อนตลาดอุตสาหกรรมสุขภาพไทย
 
ทันตแพทย์อาคม ประดิษฐสุวรรณ รองอธิบดีกรม สบส. เผยว่า ธุรกิจสถานประกอบการเพื่อสุขภาพไทยถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะสปา และการนวดไทย ซึ่งได้กลายเป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่ดึงดูดความสนใจจากทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึง  นักลงทุนที่ต้องการขยายธุรกิจในตลาดสุขภาพ ดังนั้น เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจสุขภาพให้เติบโตอย่างมั่นคง ผ่านการยกระดับคุณภาพการเรียนรู้ภาคปฏิบัติให้แก่ผู้ให้บริการรายใหม่ได้ทักษะตรงตามความต้องการของตลาดอุตสาหกรรมบริการสุขภาพ จึงถือเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และขยายตลาดของไทยไปสู่ระดับโลก กรม สบส. จึงได้กำหนดหลักเกณฑ์มาตรฐานของสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ สำหรับสถาบันการศึกษา สถานประกอบการที่ต้องการเป็นแหล่งฝึกปฏิบัติ สำหรับหลักสูตรด้านการบริการเพื่อสุขภาพ อาทิ หลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิง หลักสูตรสปา และหลักสูตรนวดเพื่อสุขภาพ โดยหลักเกณฑ์ดังกล่าวแบ่งเป็น 6 ด้าน ดังนี้ 1.ด้านสถานที่ ต้องมีความเหมาะสมและเอื้อต่อการฝึกปฏิบัติ และต้องได้รับการอนุญาตจากกรม สบส.  2.ด้านอุปกรณ์ ต้องมีเครื่องมือที่ทันสมัย และอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน รองรับกิจกรรมฝึกฝนในทุกขั้นตอนตามมาตรฐานของหลักสูตร 3.ด้านกิจกรรมบริการ ต้องมีการให้บริการจริงที่นักเรียนสามารถมีส่วนร่วมในการปฏิบัติงานที่สอดคล้องกับหลักสูตร แบ่งออกเป็น 2 ด้าน อาทิด้านสปา และด้านนวดเพื่อสุขภาพ ประกอบด้วย การตรวจร่างกายเบื้องต้น การฝึกปฏิบัตินวดไทย การใช้สมุนไพรประกอบการนวด เป็นต้น ส่วนด้านการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิง ประกอบด้วย การดูแลอาหารและโภชนาการสำหรับผู้สูงอายุ การจัดกิจกรรมนันทนาการ การจัดสภาพแวดล้อม และการใช้ภูมิปัญญาไทยและการแพทย์ทางเลือกในการดูแลผู้สูงอายุ การคัดกรองเบื้องต้น การฟื้นฟูสมรรถภาพและกิจกรรมกายภาพบำบัด เป็นต้น 4.ด้านอาจารย์ผู้ควบคุม วิทยากร ต้องผ่านการรับรองและมีประสบการณ์ตรงในวิชาชีพที่กำหนด ได้แก่ แพทย์ แพทย์แผนไทย พยาบาล วิทยาศาสตร์บัณฑิต(สาขาที่เกี่ยวข้อง) ผู้ประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย เป็นต้น เพื่อถ่ายทอดความรู้ทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติได้อย่างมืออาชีพ 5.ด้านขอบเขตและข้อกำหนดในการฝึกปฏิบัติ สำหรับผู้เรียนจะต้องฝึกปฏิบัติตามจำนวนที่โครงสร้างแต่ละหลักสูตรกำหนด โดยมีอาจารย์ผู้ควบคุมหรือวิทยากรจะทำการประเมินทุกครั้ง มีการกำหนดช่วงเวลาที่ชัดเจน และมีนโยบายสนับสนุนด้านความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินในการฝึกปฏิบัติของผู้เรียน เพื่อป้องกันความเสี่ยงและรักษาความปลอดภัยของผู้รับบริการ และ6. ด้านการประเมินผล ต้องมีระบบประเมินผลที่มีมาตรฐาน ตรวจสอบได้ ครอบคลุมทั้งทักษะวิชาชีพ ทัศนคติ และจริยธรรมในการให้บริการ 

ทั้งนี้ กรม สบส. เชื่อว่ามาตรฐานดังกล่าวเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยก้าวสู่ศูนย์กลางสุขภาพของโลก จึงขอเชิญชวนสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ ทั้งกิจการสปา นวดเพื่อสุขภาพ และการดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิง ร่วมเป็นแหล่งฝึกภาคสนามเพื่อผลิตบุคลากรคุณภาพป้อนเข้าสู่ตลาดสุขภาพไทย โดยสามารถตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ กองสถานประกอบการเพื่อสุขภาพ (https://hemd.hss.moph.go.th) หรือหมายเลขโทรศัพท์ 0 2193 7000 ต่อ 18411 ในวันและเวลาราชการ ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

เจนกิจ นัดไธสง รายงาน

นักเรียนนายร้อย จปร. และทหารหญิงไทย สร้างชื่อในเวทีโลก หลังร่วมเวที แข่งขันทักษะทหารระดับนานาชาติ ‘Sandhurst Military Skills’ ที่สหรัฐฯ

(14 พ.ค. 68) นักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า พร้อมทหารหญิงจากกองทัพบกไทย จำนวนรวม 11 นาย เข้าร่วมการแข่งขันทักษะทางทหาร “Sandhurst Military Skills Competition 2025” ณ โรงเรียนนายร้อยเวสต์พอยต์ สหรัฐอเมริกา โดยจบการแข่งขันในอันดับที่ 44 จากทั้งหมด 48 ทีมจาก 16 ประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา อังกฤษ แคนาดา ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ นับเป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้กำลังพลไทยได้แสดงความสามารถในระดับสากล

การแข่งขันครั้งนี้ประกอบด้วยการทดสอบสมรรถภาพ ความชำนาญ และการทำงานร่วมกันของหน่วยทหารขนาดเล็ก ภายใต้สถานการณ์สมมติที่ท้าทาย ซึ่งนักเรียนนายร้อยชั้นปีที่ 2-4 และทหารหญิงจากกรมทหารพรานและกรมพลาธิการทหารบก สามารถผ่านภารกิจได้อย่างภาคภูมิ ท่ามกลางความกดดันและสภาพแวดล้อมที่เข้มข้นตามมาตรฐานสากล

สำหรับกิจกรรมดังกล่าวสอดคล้องกับนโยบายของ พลเอก พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ที่มุ่งพัฒนาบุคลากรให้พร้อมรบในทุกมิติ โดยเน้นการเปิดโอกาสให้กำลังพลได้เรียนรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับกองทัพพันธมิตร ซึ่งถือเป็นการยกระดับความสามารถของกองทัพบกไทยให้ก้าวทันการเปลี่ยนแปลงและภารกิจในอนาคต

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดเสวนารับฟังความเห็น วิเคราะห์ผลกระทบร่างกฎหมาย แก้ไข ป.วิ.อาญา พร้อมระดมความเห็นแนวทางการพัฒนางานสอบสวน

(14 พ.ค.68) เวลา 09.00 น. ณ ห้องเตมียเวส โรงเรียนนายร้อยตำรวจ (รร.นรต.) 
พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) เป็นประธานเปิดการเสวนาทางวิชาการ ในหัวข้อ “การคุ้มครองสิทธิของประชาชน บนเส้นทางการสืบสวนสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิ.อาญา)” โดยมีคณะผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมคณะ ประกอบด้วย พล.ต.อ.นิรันดร เหลื่อมศรี รอง ผบ.ตร. (รับผิดชอบงานกฎหมายและคดี), พล.ต.อ.อัคราเดช พิมลศรี ที่ปรึกษาพิเศษ ตร., พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย และ พล.ต.ท.สมประสงค์ เย็นท้วม ผู้ช่วย ผบ.ตร.

การจัดเวทีเสวนาในครั้งนี้ สืบเนื่องจากกรณีที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจากพรรคประชาชน เสนอยกร่าง พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ.อาญา ไปยังสภาผู้แทนราษฎร โดยร่างฉบับนี้ ได้เสนอแก้ไขกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงานสอบสวน โดยปรับเปลี่ยนกระบวนงานในการสอบสวนของตำรวจหลายประเด็น  ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญ ตร. ในฐานะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยตรง จึงจัดให้มีการรับฟังความเห็นในเชิงวิชาการและความเห็นจากผู้ปฏิบัติ รวมทั้งภาคประชาชนให้ครบถ้วนรอบด้าน เพื่อประกอบการพิจารณาร่างกฎหมาย โดยให้ คณะนิติศาสตร์ และคณะตำรวจศาสตร์ รร.นรต. เป็นผู้รับผิดชอบ และมี พล.ต.อ.นิรันดร เหลื่อมศรี รอง ผบ.ตร. (รับผิดชอบงานกฎหมายและคดี) 
ควบคุมกำกับดูแล  

โดยการเสวนาในครั้งนี้ จัดขึ้นเพื่อรับฟังความเห็นและวิเคราะห์ผลกระทบของร่างกฎหมายดังกล่าว รวมถึงการแลกเปลี่ยนความเห็นและข้อเสนอในการพัฒนางานสอบสวนของตำรวจ โดยได้เชิญวิทยากรในกระบวนการยุติธรรมและผู้ทรงคุณวุฒิในงานสืบสวนสอบสวน ประกอบด้วย พล.ต.ท.อำนวย นิ่มมะโน ก.ร.ตร. , พล.ต.ต.นพศิลป์  พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. , นายสันติ  ผิวทองคำ ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะชั้นต้นในศาลจังหวัดวิเชียรบุรี , รศ.ดร.สุณีย์ กัลยะจิตร อาจารย์ประจำคณะสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล , พ.ต.อ.มานะ เผาะช่วย เลขานุการชมรมพนักงานสอบสวน , พ.ต.อ.เอนก  เตาสุภาพ รอง ผบก.ป. , พ.ต.อ.อุเทน  นุ้ยพิน  รอง ผบก.อก.ภ.6 และ พ.ต.อ.ภูมิรพี  ผลาภูมิ ผกก.สภ.ทัพทัน ร่วมขึ้นเวทีให้แลกเปลี่ยนความเห็นในการเสวนา โดยมี ผู้บังคับบัญชาระดับ รอง ผบช., ผบก.ภ.จว., รอง ผบก.ภ.จว. พร้อมด้วย พนักงานสอบสวน และข้าราชการตำรวจในสายงานสืบสวนทุกระดับตั้งแต่ ผกก.-รอง สว. ในสังกัด บช.น. ภ.1 และ ภ.7 และนิติกรในสังกัด กมค. พร้อมด้วยภาคประชาชนเข้าร่วมการเสวนา รวมจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 400 คน  โดยหลังจบการเสวนาในภาคเช้าแล้ว ยังมีกิจกรรมสัมมนากลุ่มย่อย (Focus Group) เพื่อระดมความเห็นต่อร่างกฎหมายและแลกเปลี่ยนความเห็นในการพัฒนางานสอบสวนจากผู้ปฏิบัติด้วย

อนึ่ง สำหรับร่างกฎหมายแก้ไข ป.วิ.อาญาของพรรคประชาชนนั้น มีการเสนอแก้ไขหลักการสอบสวนในหลายประเด็น ได้แก่ การให้พนักงานอัยการลงมากำกับดูแลงานสอบสวน ตั้งแต่อำนาจการให้ความเห็นชอบแก่หัวหน้าพนักงานสอบสวนในการออกหมายเรียก หรือให้ความเห็นชอบก่อนขอศาลออกหมายจับ อำนาจตรวจสอบกำกับการสอบสวนและการรวมพยานหลักฐานในคดีสำคัญ รวมทั้งเรื่องการทำความเห็นแย้งที่เสนอย้อนกลับไปให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้ทำความเห็นแย้งแทนตำรวจ ซึ่งร่างกฎหมายฉบับนี้ บางฝ่ายเห็นว่าเป็นการช่วยตรวจสอบถ่วงดุลตั้งแต่ในชั้นสอบสวนแต่บางฝ่ายก็มองว่าเป็นการเพิ่มขั้นตอนกระบวนการอาจทำให้กระบวนการสอบสวนล่าช้าโดยไม่จำเป็น เพราะสำนวนการสอบสวนต้องถูกตรวจพยานหลักฐานโดยพนักงานอัยการตามกฎหมายอยู่แล้ว รวมถึงอาจไม่สอดคล้องกับหลักกฎหมายอาญาในระบบกล่าวหาซึ่งเป็นระบบที่ใช้ในการดำเนินคดีอาญาของประเทศไทย
 
ปัจจุบัน ร่างกฎหมายดังกล่าวยังอยู่ระหว่างขั้นตอนการรับฟังความคิดเห็นและวิเคราะห์ผลกระทบตามรัฐธรรมนูญ โดยสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะจัดทำข้อเสนอความเห็น พร้อมสรุปผลจากการเสวนาครั้งนี้เพื่อเสนอไปยังสภาผู้แทนราษฎร ตลอดจนใช้เป็นแนวทางในการพัฒนางานสอบสวนในภาพรวมขององค์กร

‘แยม ฐปณีย์’ โพสต์รำลึกวันครบรอบ 14 พ.ค. ถึง ‘บุ้ง เนติพร’ เสียชีวิตหลังอดอาหารประท้วง

(14 พ.ค. 68) ‘แยม’ ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ผู้สื่อข่าวจาก ‘The Reporters’ โพสต์เฟซบุ๊กครบรอบ 1 ปี ‘บุ้ง เนติพร’ วันที่เธอหายไป พบกันพรุ่งนี้ค่ะ

‘บุ้ง’ เนติพร เสน่ห์สังคม นักกิจกรรมวัย 28 ปี เสียชีวิตหลังอดอาหารและน้ำเป็นเวลาหลายเดือน เพื่อประท้วงในระหว่างถูกคุมขังตามมาตรา 112 จากกรณีทำโพลเกี่ยวกับขบวนเสด็จ โดยเธอถูกถอนประกันและถูกคุมขังตั้งแต่ 26 ม.ค. 2567 จนกระทั่งเสียชีวิตในวันที่ 14 พ.ค. 2567

โดยระหว่างการคุมขัง บุ้งเริ่มอดอาหารและน้ำตั้งแต่วันที่ 27 ม.ค. เพื่อเรียกร้องให้มีการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม และยุติการคุมขังผู้เห็นต่างทางการเมือง เธออดอาหารร่วมกับ ‘ตะวัน’ ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ และถูกส่งไปรักษาตัวที่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ ก่อนถูกส่งต่อไปยังโรงพยาบาลธรรมศาสตร์ฯ ซึ่งพบว่าไม่มีสัญญาณชีพแล้ว

ทั้งนี้ การเสียชีวิตของบุ้งยังมีข้อสงสัยในหลายประเด็น โดยเฉพาะเรื่องมาตรการช่วยเหลือทางการแพทย์ ครอบครัวยังคงเดินหน้าหาความยุติธรรม โดยศาลจังหวัดธัญบุรีจะไต่สวนการตายในวันที่ 20–21 ส.ค. 2568

ศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ ร่วมจัดพิธีเปิดโครงการนำร่องในการจัดการขยะมูลฝอยที่แหล่งกำเนิดอย่างยั่งยืน และการจัดการอินทรีย์ด้วยเทคโนโลยีชีวภาพในสภาพควบคุมสิ่งแวดล้อมด้วยแมลงทหารดำ  

เมื่อวันที่ (13 พ.ค. 68) พล.ร.อ.สุชาติ  ธรรมพิทักษ์เวช ที่ปรึกษาพิเศษ ทร./ประธานกรรมการบริหารเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกของ ทร. (ปษ.พิเศษ/ประธาน กพอ.ทร.) เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการการจัดการขยะมูลฝอยที่แหล่งกำเนิดอย่างยั่งยืน และการจัดการอินทรีย์ด้วยเทคโนโลยี  ชีวภาพในสภาพควบคุมสิ่งแวดล้อมด้วยแมลงทหารดำ โดยมี น.อ.ทิวา อ่อนละออ ผู้บังคับการศูนย์ฝึกทหารใหม่ กรมยุทธศึกษาทหารเรือ (ผบ.ศฝท.ยศ.ทร.) และผู้บังคับบัญชาหน่วยขึ้นตรงกองทัพเรือในพื้นที่สัตหีบให้การต้อนรับ ณ ศูนย์การเรียนรู้ทฤษฎีใหม่ ศฝท.ยศ.ทร. ต.บางเสร่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี 

ทั้งนี้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี ได้ขออนุญาตดำเนินโครงการฯ จากกองทัพเรือร่วมกับบุคลากรของ ศฝท.ฯ และ โรงเรียนชุมพลทหารเรือ ตั้งแต่ 1 ก.พ.68 โดยใช้พื้นที่ในศูนย์การเรียนรู้ทฤษฎีใหม่ ศฝท.ยศ.ทร. ซึ่งถือได้ว่าเป็นโครงการนำร่องในหน่วยของกองทัพเรือ

แมลงทหารดำ มีวงจรชีวิตที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ คือ ตัวหนอน โดยมีลักษณะคล้ายกับหนอนทั่วๆไป อาหารของหนอน ประกอบด้วย เศษพืชผัก ผลไม้ และเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการกินและย่อยขยะอินทรีย์ได้จำนวนมากและรวดเร็ว ซึ่งหนอนมีโปรตีนสูง สามารถนำไปเลี้ยงสัตว์ได้หลากหลายประเภท อาทิเช่น เป็ด ไก่ ปลา สุกร และอื่นๆ สามารถประหยัดต้นทุนและเป็นการทดแทนอาหารสัตว์ที่คุณค่าทางอาหารครบถ้วน อีกทั้งสัตว์ที่บริโภคหนอนได้ให้ผลผลิตที่มีคุณภาพสูง

ทั้งนี้โครงการดังกล่าวมีแผนงานในการสร้างการรับรู้ และประชาสัมพันธ์ แก่หน่วยงานในกองทัพเรือ , หน่วยงานภาครัฐและเอกชน ตลอดจนประชาชนที่สนใจ เข้ามาศึกษาแนวทางในการดำเนินการดังกล่าวเพื่อการจัดการขยะมูลฝอยอย่างยั่งยืน อีกทั้งสามารถนำไปต่อยอดในการสร้างรายได้อีกด้วย

โครงการดังกล่าวเป็นการส่งเสริมด้านองค์ความรู้ในด้านอาชีพและการกำจัดขยะในครัวเรือน เป็นไปตามนโยบายเร่งด่วนของผู้บัญชาการทหารเรือประจำปีงบประมาณ 2568 ด้านสวัสดิการและบริการกำลังพลในการส่งเสริมอาชีพให้แก่กำลังพลของกองทัพเรือ และครอบครัวอย่างต่อเนื่อง เช่นการจัดตั้งกลุ่มแม่บ้าน เพื่อรวมตัวกันประกอบอาชีพ การอบรมหลักสูตรเกษตรเฉพาะอย่าง และการขายสินค้า เป็นต้น

สมนึก เชื้อสนุก  รายงาน

ร้อยเอ็ด...สภาเกษตรกรร้อยเอ็ดนำทัพ บุก ศาลากลาง ยื่นข้อเสนอ  แก้ปัญหาโคเนื้อทั้งระบบ หวังเกษตรกรลืมตาอ้าปากได้

เมื่อวานนี้ (13 พ.ค.68) เวลา 10.00 น. ที่ ศาลากลางจังหวัดร้อยเอ็ด ดร.ประจักษ์ บุญกาพิมพ์ ประธานสภาเกษตรกรจังหวัดร้อยเอ็ด พร้อมด้วย นายสมภพ ลุนาบุตร ผู้ประสานงานเครือข่ายโคเนื้อทุ่งกุลา ได้นำสมาชิกเกษตรกรจากเครือข่ายกว่า 50 คน เข้ายื่นหนังสือข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย “THAI BEEF MODEL” ต่อนายชัชวาลย์ เบญจสิริวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด เพื่อขอให้จังหวัดเป็นพื้นที่นำร่องในการยกระดับอาชีพเลี้ยงโคเนื้ออย่างเป็นระบบ

อนึ่งการยื่นข้อเสนอในครั้งนี้เกิดขึ้นพร้อมกันในอีก 25 จังหวัดทั่วประเทศ โดยประสานงานร่วมกับ “เครือข่ายปศุสัตว์ไทย” ถือเป็นการเคลื่อนไหวระดับชาติครั้งสำคัญของกลุ่มเกษตรกร“จากคนขายวัว เป็นเจ้าของระบบเศรษฐกิจโคเนื้อ”ข้อเสนอ THAI BEEF MODEL ไม่ใช่แค่โครงการส่งเสริมการเลี้ยงวัวธรรมดา แต่คือแผนยุทธศาสตร์ระดับจังหวัด ที่มุ่งพลิกโฉมเกษตรกรจากผู้ผลิตรายย่อยที่ไม่มีอำนาจต่อรอง ไปสู่เจ้าของระบบเศรษฐกิจ ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำอย่างแท้จริง โดยมี 5 เสาหลักดังนี้ 1.คอกแม่พันธุ์คุณภาพ – ส่งเสริมฟาร์มร่วมของเกษตรกร ใช้พันธุ์เนื้อแท้ เช่น Beefmaster, Wagyu พร้อมระบบประกันราคา 2.คอกกลางระดับจังหวัด – รวมลูกโคเข้าสู่ระบบขุนที่ควบคุมต้นทุนและคุณภาพได้ 3.โรงงานแปรรูป Boxed Beef – จัดตั้งโรงงานร่วมทุน ที่เกษตรกรถือหุ้น ไม่น้อยกว่า 51% เพื่อแปรรูปเนื้อคุณภาพส่งออก 4.ตลาดกลางเนื้อโค – สร้างตลาดที่โปร่งใส มีการประกันราคารับซื้อ และระบบ Traceability ตรวจสอบย้อนกลับได้ 5.ศูนย์บริหารโคเนื้อร้อยเอ็ด – หน่วยยุทธศาสตร์กลาง ทำหน้าที่วางแผน พัฒนามาตรฐาน และขับเคลื่อนข้อมูลตลาด 

โดยมีเป้าหมายให้จังหวัดร้อยเอ็ดเป็นเมืองหลวงโคเนื้อแห่งภาคอีสาน
ข้อเสนอฉบับนี้มีเป้าหมายชัดเจนดังต่อไปนี้ 1.ยกระดับรายได้ของเกษตรกรในพื้นที่มากกว่า 5,000 ครัวเรือน 2.เพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้จังหวัดร้อยเอ็ดอย่างยั่งยืน 3.ลดการนำเข้าเนื้อจากต่างประเทศ และสร้างศักยภาพในการส่งออก 4.ผลักดันให้ร้อยเอ็ดเป็นต้นแบบการผลิตเนื้อโคคุณภาพระดับโลกจากท้องทุ่งกุลา

ด้านดร.ประจักษ์ บุญกาพิมพ์ ประธานสภาเกษตรกรจังหวัดร้อยเอ็ด กล่าวไว้ว่า “นี่ไม่ใช่แค่การเลี้ยงวัวแบบใหม่ แต่คือการสร้างระบบเศรษฐกิจใหม่ ที่เกษตรกรร้อยเอ็ดเป็นเจ้าของตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำอย่างแท้จริง”
ข้อเสนอถึงผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด ในหนังสือข้อเสนอ ได้ขอให้ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดดำเนินการเร่งด่วน ดังนี้ 1.แต่งตั้งคณะทำงานระดับจังหวัดเพื่อศึกษาและขับเคลื่อนโครงการ 2.สนับสนุนงบประมาณสำหรับคอกกลางต้นแบบและโรงงานแปรรูป 3.ประสานความร่วมมือกับมหาวิทยาลัย ภาคเอกชน และสหกรณ์ 4.บรรจุ THAI BEEF MODEL ไว้ในแผนพัฒนาจังหวัด ปีงบประมาณ 2567–2570

ดร.ประจักษ์ กล่าวต่ออีกว่า หากจังหวัดร้อยเอ็ดเดินหน้าตามข้อเสนอฉบับนี้ได้สำเร็จ จะไม่เพียงเปลี่ยนชีวิตของเกษตรกร แต่ยังอาจจะกลายเป็นจังหวัดต้นแบบระดับประเทศ ที่สร้าง "อุตสาหกรรมโคเนื้อไทย" ที่เกษตรกรเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง“ทางรอดของเกษตรกรไม่ได้อยู่ที่การรอรัฐช่วย แต่หากคือการลุกขึ้นมากำหนดอนาคตด้วยมือของตัวเอง  และเราพร้อมแล้ว” ดร.ประจักษ์กล่าวไว้ในที่สุด

ขอบคถณภาพ/ข่าวจากเครือข่ายโคเนื้อทุ่งกุลา

เชียงใหม่-ผบช.ภ. 5 แถลงผลการจับกุม ผู้ต้องหา 3 รายยาไอซ์ 350 กิโลกรัม ที่ด่านตรวจดงยาง สภ.นาพูน อ.วังชิ้น จว.แพร่ พร้อมขยายผล

(13 พ.ค. 68) เวลา 14.00 น. ตามนโยบายรัฐบาล สั่งการให้หน่วยงานของรัฐที่ทำหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด บูรณาการแก้ไขปัญหายาเสพติดในทุกมิติ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย
ตำรวจภูธรภาค 5 โดย พล.ต.ท.กฤตธาพล ยี่สาคร  ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.พิเชษฐ จีระนันตสิน, พล.ต.ต.นพดล กรึงไกร, พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยง, พล.ต.ต.ธนะรัชต์ ชุ่มสวัสดิ์, พล.ต.ต.พิชญา บุญขจร, พล.ต.ต.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย  รอง ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.วรพงศ์ คำลือ  ผบก.สส.ภ.5 และ พล.ต.ต.พงษ์เดช คำใจสู้  ผบก.ภ.จว.แพร่
 ฝ่ายทหาร นบ.ยส.35 โดย พล.ท.กิตติพงศ์ ชื่นใจชน มทน.3/ผบ.นบ.ยส.35 ฝ่ายปกครอง โดย นายสมชัย เลิศประสิทธิพันธ์ผวจ.แพร่ สำนักงาน ปปส.ภาค 5 โดย นายธันวา ผุดผ่อง ผอ.ปปส.ภาค 5

แถลงผลการจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายสำคัญ ของ สภ.นาพูน จว.แพร่ บูรณาการร่วมหน่วยเกี่ยวข้อง จับกุมผู้ต้องหา 3 คน รถยนต์กระบะตู้ทึบ 3 คัน ไอซ์ จำนวน 350 กิโลกรัม สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2568 เวลาประมาณ 04.00 – 10.00 น. ที่ด่านตรวจดงยาง สภ.นาพูน อ.วังชิ้น จว.แพร่ ต่อเนื่อง ต.บ้านนา อ.วชิรบารมี จว.พิจิตร
ผู้ต้องหา จำนวน 3 คน  นายพลวัตรฯ  อายุ 33 ปี ภูมิลำเนา อ.ท่าตะเกียบ จ.ฉะเชิงเทรา นายจักรกฤษฯ อายุ 25 ปี ภูมิลำเนา อ.สิรินร จว.อุบลราชธานี นายสุวรรณรัตน์ฯ อายุ 24 ปี ภูมิลำเนา อ.เมืองนครราชสีมา จว.นครราชสีมา
ของกลาง ไอซ์ จำนวน 14 กระสอบ บรรจุกระสอบละ 25 ห่อ รวมประมาณ 350 กิโลกรัม รถยนต์กระบะ ยี่ห้อโตโยต้า ตู้ทึบ สีขาว ทะเบียน บร 695 สระแก้ว มีนายพลวัตรฯ ผู้ต้องหาที่ 1 เป็นคนขับ ใช้บรรทุกยาเสพติด รถยนต์กระบะ ยี่ห้ออีซูซุ ตู้ทึบ สีขาว ทะเบียน บห 7088 ร้อยเอ็ด มีนายจักรกฤษฯ ผู้ต้องหาที่ 2 เป็นคนขับ ใช้นำ/สำรวจเส้นทาง รถยนต์กระบะ ยี่ห้อโตโยต้า ตู้ทึบ สีเทา ทะเบียน 3ฒย 2701 กรุงเทพฯ มีนายสุวรรณรัตน์ฯ ผู้ต้องหาที่ 3 เป็นคนขับ ใช้นำ/สำรวจเส้นทาง

พฤติการณ์แห่งคดี เมื่อวันที่ 11 พ.ค.2568 เวลาประมาณ 04.00 น. ขณะเจ้าหน้าที่ตำรวจด่านตรวจดงยาง สภ.นาพูน  อ.วังชิ้น จว.แพร่ ตั้งด่านตรวจพบรถยนต์กระบะ ยี่ห้อโตโยต้า ตู้ทึบ สีขาว ทะเบียน บร 695 สระแก้ว มีนายพลวัตรฯ เป็นผู้ขับขี่  ขับมาจากเส้นทาง จว.แพร่ มุ่งหน้าไป จว.สุโขทัย จึงเรียกทำการตรวจค้น พบกระสอบลายพราง จำนวน 14 กระสอบ มีไอซ์ บรรจุอยู่กระสอบละ 25 ห่อ รวมประมาณ 350 กิโลกรัม บรรทุกอยู่ในกระบะตู้ทึบจึงจับกุมตัวพร้อมของกลาง

ส่งดำเนินคดีตามกฎหมาย จากการขยายผลพบว่ามีรถยนต์กระบะ ตู้ทึบ อีก 2 คัน นำ/สำรวจเส้นทาง
ต่อมาเมื่อวันที่ 11 พ.ค.2568 เวลาประมาณ 10.00 น. ได้สืบสวนขยายผลไปจับกุมนายจักรกฤษฯ พร้อมรถยนต์กระบะ ยี่ห้ออีซูซุ ตู้ทึบ สีขาว ทะเบียน บห 7088 ร้อยเอ็ด และนายสุวรรณรัตน์ฯ พร้อมรถยนต์กระบะ ยี่ห้อโตโยต้า ตู้ทึบ สีขาว ทะเบียน 3ฒย 2701 กรุงเทพฯ ที่ใช้นำ/สำรวจเส้นทาง ได้ที่บริเวณ ต.บ้านนา อ.วชิรบารมี จว.พิจิตร นำตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยผู้ต้องหารับว่าเคยลำเลียงยาเสพติดมาแล้ว 2 ครั้ง ไปรับยาเสพติดในพื้นที่ อ.เชียงแสน จว.เชียงราย จะเอาไปส่งในพื้นที่ อ.ธัญบุรี จว.ปทุมธานี จึงจับกุมตัวพร้อมของกลางส่งดำเนินคดีตามกฎหมาย

ตำรวจภูธรภาค 5 บูรณาการร่วมกับหน่วยงานทุกภาคส่วน ทั้งฝ่ายทหาร ฝ่ายปกครองสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด และนำบัญชาข้อสั่งการของรัฐบาล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติดไม่ให้เข้าไปสู่พื้นที่ตอนในอย่างเข้มข้นและจริงจัง และนำไปสู่การปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม

สรุปผลการจับกุมยาเสพติด ของ ตำรวจภูธรภาค 5 ห้วงตั้งแต่ 1 ต.ค.67 – 12 พ.ค.68 จับกุมคดียาเสพติด จำนวน 13,752 คดี คดียาเสพติดรายสำคัญ 142 คดี ตรวจยึดของกลางยาเสพติด ยาบ้า 131 ล้านเม็ดเศษ ไอซ์ 8,786 กิโลกรัมเศษ เฮโรอีน 148 กิโลกรัมเศษ เคตามีน 1,100 กิโลกรัมเศษ ฝิ่น 64 กิโลกรัมเศษ ตรวจยึดทรัพย์สิน ที่เกี่ยวกับยาเสพติด มูลค่าทรัพย์สินประมาณ 395 ล้านบาทเศษ

อยุธยา-ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการอุดมศึกษาฯ ลงพื้นที่ติดตาม การขับเคลื่อนงานด้าน อววน. ในพื้นที่มทร.สุวรรณภูมิ ร่วมปั้น “อยุธยาโมเดล” สู่ต้นแบบสังคมนวัตกรรม อววน. พลิกทุนวัฒนธรรมสู่พลังพัฒนายั่งยืน

(13 พ.ค. 68) จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมืองมรดกโลกที่เป็นที่รู้จักในฐานะศูนย์กลางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของประเทศไทย กำลังถูกปลุกให้ตื่นขึ้นอีกครั้งในบทบาทใหม่ ในฐานะ “ต้นแบบของการพัฒนาประเทศด้วยวัฒนธรรม เทคโนโลยี และนวัตกรรม” ภายใต้แนวคิด “Innovative Society” โดยกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)

เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2568 คณะผู้บริหารกระทรวง อว. นำโดยผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พร้อมด้วยที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม  ผู้แทนมหาวิทยาลัย ผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้นำท้องถิ่น ได้ร่วมลงพื้นที่ติดตามความก้าวหน้าของโครงการ “อววน.” หรือ การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมเพื่อพื้นที่ ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นหนึ่งในพื้นที่ต้นแบบที่รัฐบาลตั้งใจใช้เป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาสังคมนวัตกรรมในระดับชุมชนอย่างแท้จริง
จากทุนวัฒนธรรม สู่พลังเศรษฐกิจชุมชน

นายศุภชัย  ใจสมุทร ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวถึงวิสัยทัศน์ของโครงการว่า กระทรวงมุ่งหวังจะเห็น องค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรม ถูกนำมาใช้เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในระดับพื้นที่อย่างแท้จริง โดยเฉพาะในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่มีทุนทางวัฒนธรรม วิถีชุมชน เกษตรกรรม และความหลากหลายทางศาสนา ที่สามารถต่อยอดเป็นเศรษฐกิจสร้างสรรค์ได้อย่างชัดเจน  หนึ่งในโครงการที่เป็นรูปธรรมคือ “แพะกรุงศรี Heart of Halal” ที่นำองค์ความรู้ด้านการผลิตและมาตรฐานฮาลาลมาผสานกับวิถีชีวิตของชาวบ้าน ตั้งแต่การเลี้ยงแพะ การแปรรูป การสร้างแบรนด์ ไปจนถึงการจัดการเรียนรู้ภายในชุมชน ซึ่งไม่เพียงช่วยเพิ่มรายได้ แต่ยังสร้างความภาคภูมิใจในอัตลักษณ์ของท้องถิ่น
มทร.สุวรรณภูมิ พี่เลี้ยงแห่งการเปลี่ยนแปลง

รองศาสตราจารย์ ดร.ประมุข  อุณหเลขกะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ กล่าวว่า เบื้องหลังความสำเร็จนี้ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ ทำหน้าที่เป็น “อว.ส่วนหน้า” ที่ประจำการในพื้นที่ ทำงานอย่างใกล้ชิดกับชุมชนในฐานะ “พี่เลี้ยงระยะยาว” ไม่ใช่แค่ผู้ถ่ายทอดความรู้ แต่ร่วมคิด ร่วมออกแบบ และร่วมทำงานในทุกขั้นตอน โดยใช้การวิจัย เทคโนโลยี และการเรียนรู้ตลอดชีวิตเป็นเครื่องมือในการพัฒนาทุนมนุษย์ของพื้นที่อย่างต่อเนื่องและในมุมมองของ ศาสตราจารย์พิเศษชัยสิทธิ์  ตราชูธรรม นายกสภามหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ กล่าวเพิ่มเติมว่า ความร่วมมือนี้ไม่เพียงส่งผลต่อชุมชนเท่านั้น แต่ยังทำให้มหาวิทยาลัยเองก้าวไปอีกขั้น จากสถาบันการศึกษาสู่กลไกสำคัญในการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน เกิดการเรียนรู้แบบสองทางที่ทั้งนักวิชาการและประชาชนในพื้นที่ต่างได้รับประโยชน์ร่วมกัน เชื่อมภาครัฐ-ชุมชน สร้างเจ้าของร่วม

ด้าน ที่ปรึกษากระทรวง อว. กล่าวเพิ่มเติมว่า หัวใจสำคัญของความยั่งยืนคือการสร้าง “เจ้าของร่วม (Co-Ownership)” ผ่านโครงสร้างความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัย หน่วยงานภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และภาคประชาชน โดยเฉพาะการเสริมพลังให้กับ “ผู้นำชุมชน” และ “กลุ่มอาชีพ” ให้สามารถเป็นผู้นำการพัฒนาได้ด้วยตนเอง

ในระยะยาว กระทรวง อว. ยังเตรียมเชื่อมโยงแผนกับหน่วยงานอื่น เช่น กระทรวงมหาดไทย กระทรวงเกษตรฯ และหน่วยงานด้านแรงงาน เพื่อจัดตั้ง “Platform กลาง” ที่ทุกฝ่ายสามารถเข้ามาร่วมลงทุน ออกแบบ และวัดผลร่วมกัน ทำให้โครงการไม่ขึ้นกับงบประมาณรัฐเท่านั้น แต่มีความต่อเนื่องด้วยพลังในพื้นที่
จังหวัดคือพื้นที่ร่วมคิด ไม่ใช่แค่ผู้รับนโยบาย

นายวัชระ  กระแสร์ฉัตร์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เน้นย้ำว่า โครงการนี้เป็นตัวอย่างของการพัฒนาแบบมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ภาคประชาชนไม่ได้มีบทบาทเพียงผู้รับผลประโยชน์ แต่เป็น “ผู้ร่วมสร้าง” ตั้งแต่การตั้งโจทย์ไปจนถึงการขับเคลื่อนกิจกรรม เช่น กลุ่มเลี้ยงแพะฮาลาล กลุ่มผลิตสมุนไพร หรือกลุ่มครูชุมชนที่พัฒนาหลักสูตรร่วมกับมหาวิทยาลัย ความร่วมมือนี้สะท้อนถึงโมเดลใหม่ของการพัฒนาจังหวัด ที่ไม่ใช่เพียงการรับนโยบายจากส่วนกลางเท่านั้น แต่เป็นการ ร่วมออกแบบอนาคตร่วมกันกับภาควิชาการและประชาชน จากอยุธยา สู่โมเดลระดับชาติ กระทรวง อว. เตรียมนำผลลัพธ์จากการดำเนินงานในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาไปขยายผลในระดับประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนานโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ การพัฒนาหลักสูตรอุดมศึกษาเพื่อท้องถิ่น หรือโมเดลเศรษฐกิจฮาลาลที่สามารถนำไปใช้ในพื้นที่มุสลิมอื่น ๆ ทั่วประเทศ โดยตั้งเป้าผลักดันให้กลายเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์ชาติที่เกิดจากฐานราก ไม่ใช่เพียงนโยบายจากส่วนบน

บทสรุป: “อววน.” กลไกเปลี่ยนอนาคตท้องถิ่น ผู้ช่วยรัฐมนตรี อว. สรุปว่า งานด้าน อววน. เป็น “กลไกกลางของการเปลี่ยนแปลง” ที่ทำให้เกิดการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน โดยเชื่อมโยงองค์ความรู้ นวัตกรรม และเทคโนโลยีเข้ากับโจทย์ของพื้นที่จริง เสริมพลังให้ชุมชนพึ่งพาตนเองได้ สร้างเศรษฐกิจฐานราก และสร้างระบบการเรียนรู้ตลอดชีวิตที่เชื่อมโยงกับมหาวิทยาลัย “พระนครศรีอยุธยาในวันนี้ ไม่ได้เป็นแค่เมืองมรดกโลกในอดีต แต่กำลังกลายเป็นต้นแบบของเมืองนวัตกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยทุนวัฒนธรรม เทคโนโลยี และพลังของคนในพื้นที่อย่างแท้จริง” 

‘เจ้าสัวธนินท์’ เตือน ‘ทรัมป์’ นโยบายภาษีอาจทำสหรัฐฯ ชนะระยะสั้น แต่เสียศูนย์ระยะยาว ชี้หากประเทศต่าง ๆ ถอนทุนจากพันธบัตร จะกระทบสถานะมะกัน จากผู้นำเศรษฐกิจโลก

(13 พ.ค. 68) นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) ให้สัมภาษณ์กับนิกเกอิญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 9 พ.ค. ที่ผ่านมา เตือนว่า มาตรการภาษีศุลกากรสูงของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อาจส่งผลให้สหรัฐฯ สูญเสียบทบาทผู้นำโลก หากประเทศต่าง ๆ ร่วมมือกันถอนการลงทุนในพันธบัตรสหรัฐเพื่อตอบโต้

เขาระบุว่าสงครามการค้าส่งผลกระทบต่อกลุ่มซีพีเพียงเล็กน้อย พร้อมเตือนว่านโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” ของทรัมป์ทำลายความร่วมมือระหว่างประเทศ และเป็นชัยชนะระยะสั้นที่อาจส่งผลเสียในระยะยาวต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ

แม้หนี้ของรัฐบาลสหรัฐฯ จะสูงกว่า 36 ล้านล้านดอลลาร์ เจ้าสัวธนินท์ยังเห็นว่าพันธบัตรสหรัฐฯ ยังคงเป็นการลงทุนที่น่าเชื่อถือ แต่เตือนว่าหากสหรัฐฯ ทำลายความเชื่อมั่น ประเทศอื่นอาจจับมือกันเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตน และลดการถือครองพันธบัตรสหรัฐฯ

สำหรับประเทศไทย แม้จะเผชิญภาษีตอบโต้สูงถึง 36% ซีพีได้รับผลกระทบน้อย เนื่องจากรายได้ส่วนใหญ่ของ CPF มาจากการดำเนินงานในต่างประเทศ โดยเฉพาะเวียดนามและจีน ขณะที่สินค้าเน้นการผลิตและจำหน่ายในแต่ละประเทศเป็นหลัก

ในช่วงท้าย เจ้าสัวธนินท์แนะนำให้ญี่ปุ่นมองอาเซียนเป็น “ตลาด” และสนับสนุนธุรกิจท้องถิ่นในภูมิภาค พร้อมระบุว่า แม้ญี่ปุ่นมีเทคโนโลยีสูง แต่ยังขาดความกล้าในการขยายธุรกิจระหว่างประเทศ เพราะเป็นประเทศที่ “ลังเลที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top