Friday, 25 April 2025
NEWS FEED

‘จ่าคลั่ง’ สงกรานต์ พวงน้อย กลับมาปฏิบัติหน้าที่ตำรวจอีกครั้ง พร้อมขอโอกาสใหม่ หลังก่อเหตุต่อยกรรมการและย่ำคู่แข่งในศึกฟุตบอล T3

(27 มี.ค. 68) หลังจากเหตุการณ์ที่ สงกรานต์ พวงน้อย หรือ “จ่าคลั่ง” นักเตะหัวหิน ซิตี้ ก่อเหตุทำร้ายกรรมการและย่ำคู่แข่งจนโดนใบแดงในสนาม ส่งผลให้ทีม หัวหิน ซิตี้ ยกเลิกสัญญา ล่าสุดเจ้าตัวได้ออกมาโพสต์ขอโทษผ่านสื่อสังคมออนไลน์ พร้อมขอให้สังคมให้อภัยและยอมรับโอกาสที่เขาจะกลับมาทำความดีตอบแทนสังคม

โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นในเกมระหว่าง หัวหิน ซิตี้ ที่เปิดบ้านพ่ายให้กับ ราชประชา 2-5 เมื่อช่วงต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งนายสงกรานต์ผู้เล่นของหัวหิน ซิตี้ ไม่พอใจผู้เล่นทีมราชประชา ที่ไม่ยอมออกไปปฐมพยาบาลนอกสนาม จนเกิดการมีปากเสียงกัน ก่อนที่จ่าคลั่งจะเข้าไปย่ำเท้าใส่คู่แข่ง ต่อยกรรมการ จนผู้ตัดสินไม่รอช้าแจกใบแดงไล่ออกจากสนามทันที

ต่อมา สงกรานต์ พวงน้อย โพสต์ข้อความหลังจบเกม ความว่า กระผมต้องกราบขอโทษสโมสรราชประชาและน้องเบอร์ 10 และผมต้องกราบกราบขอโทษผู้ตัดสินจากใจจริง กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสิ่งที่ผมกระทำไปเป็นอารมณ์ชั่ววูบและเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีกับเยาวชน และผมก็ขอโทษน้องส่วนตัวแล้วก็เข้าไปขอโทษโค้ช ขอโทษเพื่อนร่วมทีมที่ร่วมเล่นทุกๆคน 

พร้อมทั้งขอโทษแฟนบอลทุกๆท่านสิ่งที่ผมทำไป ผมได้ทำผิดพลาดไปแล้วผมหวังว่าจะไม่เกิดขึ้นกับตัวผมอีกเป็นบทเรียนให้ผมได้เรียนรู้ ต้องกราบขอโทษจากใจจริงครับผม และผมหวังว่าทุกคนจะให้อภัยในสิ่งที่ผมทำต้องกราบขอโทษจากใจจริงมาณที่นี้ครับ

ปัจจุบัน สงกรานต์ พวงน้อย ได้กลับมาปฏิบัติหน้าที่ตำรวจในตำแหน่ง ตำรวจจราจร ซึ่งเขาได้ทำหน้าที่นี้มาตลอดตั้งแต่ยังค้าแข้งกับทีม หัวหิน ซิตี้ โดยเจ้าตัวได้โพสต์ขอโทษอีกครั้งว่า “ผมขอใช้พื้นที่ตรงนี้อีกทีนึง ผมจะทำความดีทดแทนสังคม ขอให้สังคมและแฟนบอลให้อภัยผมสิ่งที่ผมทำไป เป็นสิ่งที่ไม่ดีแล้วเป็นตัวอย่างไม่ดีให้กับเยาวชนรุ่นหลัง และเยาวชนรุ่นหลังห้ามเอาเป็นตัวอย่าง”

ทั้งนี้ บทลงโทษของ สงกรานต์ พวงน้อย คือห้ามเข้าร่วมการแข่งขันที่สมาคมจัดขึ้นเป็นเวลา 5 ปี นับตั้งแต่มีคำสั่งนี้เป็นต้นไป และถูกพักการแข่งขันและห้ามเข้าสนาม 20 นัด ถูกปรับเงิน 310,000 บาท แต่เป็นการแข่งขันกีฬาฟุตบอลรายการไทยลีก 3 จึงลงโทษปรับหนึ่งในสี่ ปรับเงิน 77,500 บาท

นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุม ก.ตร. ครั้งที่ 3/2568 

(27 มี.ค.68) เวลา 14.00 น. ที่ห้องประชุมศรียานนท์  ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ หรือ ก.ตร.ครั้งที่ 3/2568 โดยมีวาระการประชุม 5 วาระ ประกอบด้วย วาระที่ 1 เรื่องที่ประธานแจ้งที่ประชุมทราบ วาระที่ 2 รับรองรายงานการประชุมครั้งที่ผ่านมา สำหรับวาระที่ 3 เรื่องที่เสนอเพื่อทราบ ที่ประชุมพิจารณารายงานการดำเนินการของ อ.ก.ตร. ในด้านต่างๆ อาทิ งานด้านกฎหมาย การบริหารทรัพยากรบุคคล รวมถึงผลการดำเนินการตามมติ ก.ตร. ในเรื่องสำคัญ เช่น การประเมินความพึงพอใจของประชาชนต่อการให้บริการของตำรวจ ตาม พ.ร.บ.ตำรวจฯ ประจำปี 2567 และรายงานสถานการณ์เกี่ยวกับการขอรับสิทธิ การนับเวลาราชการเป็นทวีคูณและ พ.ส.ร. ของเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยที่ไปปฏิบัติหน้าที่ขององค์การสหประชาชาติในติมอร์ตะวันออก ในวาระที่ 4 เรื่องเสนอเพื่อพิจารณา มีประเด็นสำคัญ ได้แก่ ร่างระเบียบ ก.ตร. ว่าด้วยเงินเพิ่ม สำหรับตำแหน่งที่มีเหตุพิเศษตำแหน่งผู้ปฏิบัติงานด้านการสาธารณสุข พ.ศ.... และการคัดเลือกแต่งตั้งข้าราชการตำรวจ ตำแหน่งที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้ทรงคุณวุฒิ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และการพิจารณาคัดเลือกแต่งตั้งข้าราชการตำรวจตามคำวินิจฉัยของ ก.พ.ค.ตร. และวาระที่ 5 เรื่องอื่นๆ (ถ้ามี)

โดยบรรยากาศก่อนประชุม นายกรัฐมนตรีได้ยิ้มทักทายสื่อมวลชนที่มารอทำข่าว จากนั้นได้เข้าห้องประชุมศรียานนท์ ก่อนจะเปิดการประชุมโดยเน้นย้ำให้ กรรมการ ก.ตร. และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่านที่เข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ ช่วยกันพิจารณาตามวาระการประชุมให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย

หลังเสร็จสิ้นการประชุม พล.ต.ท.อนุชา รมยะนันทน์ ผบช.สง.ก.ตร. ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน เกี่ยวกับรายละเอียดที่ได้ประชุมในวันนี้

กำลังพลหน่วยเฉพาะกิจ ของหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง พร้อมปฏิบัติหน้าที่

(27 มี.ค.68) พลเรือตรี เอตม์ ยุวนางกูร ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง เป็นประธานในพิธีส่งกำลังพลชุดผลัดเปลี่ยนหน่วยเฉพาะกิจของหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง วงรอบการผลัดเปลี่ยน เมษายน 2568 โดยมีหน่วยเฉพาะกิจที่จะผลัดเปลี่ยนกำลังพล จำนวน 10 หน่วย มีกำลังพล รวมทั้งสิ้น 177 นาย เพื่อไปผลัดเปลี่ยนกำลัง ตามวงรอบการปฏิบัติราชการ ของหน่วยเฉพาะกิจที่หน่วยบัญชาการ ต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ณ กองบัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี

ทั้งนี้ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง ได้ให้โอวาทและแนวทางในการไปปฏิบัติราชการ โดยขอให้กำลังพลร่วมแรง ร่วมใจกันปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้มแข็ง อดทน และมีระเบียบวินัย ในการไปปฏิบัติราชการในพื้นที่ต่างๆ นั้นมีความเสี่ยงในการปฏิบัติงาน ขอให้กำลังพลทุกนายปฏิบัติหน้าที่ด้วยความระมัดระวัง อย่าอยู่ในความประมาท ขอให้มีสติอยู่ตลอดเวลา พร้อมทั้งปฏิบัติหน้าที่ ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต หลีกเลี่ยงการกระทำในสิ่งใดๆ ที่ไม่ถูกต้องตามระเบียบกฎเกณฑ์ หรือผิดกฎหมายบ้านเมือง และให้เชื่อฟังผู้บังคับบัญชาโดยเคร่งครัด และที่สำคัญพึงระลึกอยู่เสมอว่า ท่านคือทหารหน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง หากประสบปัญหาระหว่างการปฏิบัติงาน ให้รายงานผู้บังคับบัญชาทราบโดยทันที เพื่อสนับสนุนและแก้ไขปัญหาต่อไป พร้อมทั้งขอให้กำลังพลและครอบครัว จงประสบแต่ความสุข ความเจริญ  มีสุขภาพ พลานามัยที่สมบูรณ์ กำลังใจเข้มแข็ง พร้อมที่จะไปปฏิบัติราชการเพื่อนำความเจริญมาสู่ หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง กองทัพเรือ และประเทศชาติต่อไป 

'อลงกรณ์' ผนึกเครือข่าย 'Green Alliance' ร่วมมือธนาคารเอสเอ็มอี.เดินหน้าโครงการซอฟท์โลน1หมื่นล้านยกระดับท่องเที่ยวสีเขียว(Green Tourism) สู่มิติใหม่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย สอดรับนโยบาย 'รัฐมนตรี ทส. ดร.เฉลิมชัย'

นายอลงกรณ์ พลบุตร ประธานที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและประธานสถาบันเอฟเคไอไอ ไทยแลนด์(FKII Thailand)กล่าวสุนทรพจน์เรื่อง การขับเคลื่อนการท่องเที่ยวสีเขียว( Green Tourism ) : มิติใหม่อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศไทย
ในงานโครงการ “GO SMART GO GREEN FOR SUSTAINABLE TOURISM”จัดโดย SME D Bank เมื่อเร็วๆนี้ ซึ่งเป็นประเด็นเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมที่น่าสนใจจึงเห็นควรนำมาถ่ายทอดผ่านสื่อเพื่อประโยชน์ในการรับรู้ของสาธารณชน โดยอดีตรัฐมนตรีอลงกรณ์ พลบุตร อดีตรองประธานสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ปัจจุบันเป็นประธานที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมและรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า

“…ในวันนี้ ผมขอใช้โอกาสนี้กล่าวถึงความจำเป็นในการขับเคลื่อนGreen Tourism หรือการท่องเที่ยวสีเขียว ซึ่งเป็นแนวทางที่ประเทศไทยไม่อาจละเลยได้อีกต่อไป ตามที่ท่านพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank กล่าวในพิธีเปิดโครงการ “GO SMART GO GREEN FOR SUSTAINABLE TOURISM”เกี่ยวกับธุรกิจท่องเที่ยวและเกี่ยวเนื่องมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อระบบเศรษฐกิจไทย ด้วยมูลค่าอุตสาหกรรมรวมมากกว่า 2 ล้านล้านบาทต่อปีในปี 2567 ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาไทยจำนวนสูงกว่า 35 ล้านบาท

ทั้งนี้ในปัจจุบันภาวะโลกร้อนก่อให้เกิดภัยธรรมชาติทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ ทั่วโลกจึงหันมาให้ความสำคัญต่อการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึง มีกฎกติกาสากลและมาตรฐานทั้งภายในและภายนอกประเทศมาควบคุมการท่องเที่ยว โดยข้อมูลจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ระบุว่า นักท่องเที่ยวกว่า 60% ให้ความสำคัญและต้องการสร้างความยั่งยืนให้แก่การท่องเที่ยว ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวของไทยมากกว่า 60% สนใจและต้องการยกระดับสู่มาตรฐาน Green Tourism แต่มีผู้ประกอบการที่พร้อมจะปรับตัวเพียงแค่ประมาณ 10% เนื่องจากยังขาดความรู้ ขาดเงินทุนเพื่อปรับตัว และขาดเครื่องมือในการยกระดับ  ขณะที่โรงแรมที่ผ่านเกณฑ์ Green Tourism ในประเทศไทยมีเพียง 2% เท่านั้น หากผู้ประกอบการไทยไม่สามารถปรับตัวสู่มาตรฐานท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มีความเสี่ยงที่ชาวต่างชาติจะย้ายฐานการท่องเที่ยวไปยังประเทศที่มีความพร้อมแทน 

ผมคิดว่า เราต้องมองหาทุกโอกาสในวิกฤติโลกเดือดโลกรวนน้ำท่วมภัยแล้งสุดขั้ว ก่อนหน้านี้ธนาคารโลกเรียกร้องให้ประเทศไทยเร่งการเปลี่ยนแปลงสู่เศรษฐกิจที่มีคาร์บอนต่ำ โดยชี้ให้เห็นว่า “มีโอกาสในการลงทุนที่ยั่งยืนถึงประมาณ 632 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (23 ล้านล้านบาท) ”ในขณะเดียวกัน ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้เร่งรัดผลักดันให้กระทรวงฯ.นำเสนอ ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ หรือ พ.ร.บ. Climate Change ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอรัฐสภาภายในปีนี้เพื่อให้มีผลบังคับโดยเร็ว กฎหมายฉบับนี้เป็นเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) เป็นกลางในปี ค.ศ.2050และสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. 2065 และกฎหมายดังกล่าวยังสร้างโอกาสในการเกิดเศรษฐกิจใหม่คือเศรษฐกิจคาร์บอน (Carbon Economy) จะเกิดการสร้างงานสร้างอาชีพสร้างธุรกิจใหม่ๆ ตั้งแต่ต้นน้ำ การปลูกป่าไม้ป่าโกงกาง การกักเก็บคาร์บอนด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ การซื้อขายคาร์บอนเครดิต การวิจัยและพัฒนาใหม่ๆ การมีกองทุนคาร์บอน พันธบัตรคาร์บอน สินเชื่อคาร์บอน ภาษีคาร์บอน หรือการเกิดนวัตกรรมใหม่ๆ เช่นข้าวรักษ์โลก ซีเมนต์ไฮดรอลิก(ซีเมนต์คาร์บอนต่ำ)รวมทั้งอุตสาหกรรมท่องเที่ยวคาร์บอนต่ำ สอดคล้องต่อมุมมองของธนาคารโลก จึงเป็นโอกาสในวิกฤติโลกเดือดโลกรวนน้ำท่วมภัยแล้งสุดขั้วที่จะเร่งขับเคลื่อน เศรษฐกิจคาร์บอน (Carbon Economy) หมายถึงระบบเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและการบริโภคสินค้าหรือบริการที่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือก๊าซเรือนกระจกอื่นๆ ซึ่งมีผลกระทบต่อสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อม ระบบเศรษฐกิจนี้มักรวมถึงภาคอุตสาหกรรม การขนส่ง การค้า การท่องเที่ยว พลังงาน และเกษตรกรรมที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ

ประเทศไทยมีเป้าหมาย สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนระดับโลก โดยจะบรรลุ Carbon Neutrality ภายในปี 2050 และ Net Zero Emissions ภายในปี 2065 ซึ่งหมายความว่าทุกภาคส่วน รวมถึงภาคการท่องเที่ยว ต้องมีบทบาทในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้มากที่สุด และชดเชยการปล่อยที่เหลือด้วยมาตรการต่าง ๆ เช่น การเพิ่มพื้นที่สีเขียว การใช้พลังงานหมุนเวียน และการพัฒนาเทคโนโลยีลดคาร์บอน การใช้พลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ลม และชีวมวล
การปรับปรุงระบบการจัดการพลังงานเพื่อลดการใช้ไฟฟ้าและน้ำ และลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว ตลอดจนเปลี่ยนไปใช้วัสดุที่ย่อยสลายได้และสนับสนุนโครงการปลูกป่าและการกักเก็บคาร์บอนเพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

 อดีตรัฐมนตรีอลงกรณ์ยังได้กล่าวถึงหัวข้อสำคัญๆดังนี้
1. แนวโน้มและความสำคัญของการท่องเที่ยวสีเขียว( Green Tourism)

เมื่อปี2019ใน COP 25 มีGlasgow Declaration กำหนดเป้าหมายลดก๊าซเรือนกระจก50%ในปี2030 และNet Zeroในปี 2050

ทั้งนี้เพราะภาคการขนส่งของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว(Tourism transport)มีสัดส่วนถึง5%ของGHG
และมีอัตราเพิ่ม25%ต่อปี 

ดังนั้นในเดือนมีนาคมปี2023 จึงได้กำหนดGuidance Tourism ของ UNFCCC และCOP28

2. โอกาสทางธุรกิจสำหรับโรงแรมและผู้ประกอบการ

อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของไทยเป็นหนึ่งในเสาหลักของเศรษฐกิจ คิดเป็นสัดส่วน ประมาณ 12-18% ของ GDP แต่ในขณะเดียวกัน การเติบโตของการท่องเที่ยวกลับนำมาซึ่งปัญหาสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่ขยะพลาสติก มลพิษทางอากาศ ไปจนถึงการทำลายระบบนิเวศ ซึ่งกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นจุดขายสำคัญของการท่องเที่ยวไทย

ข้อมูลจากองค์การการท่องเที่ยวโลก (UNWTO) ระบุว่า นักท่องเที่ยว 73% ทั่วโลกให้ความสนใจการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และนักเดินทางกลุ่มนี้มักมีกำลังซื้อสูงกว่าปกติ ซึ่งหมายความว่าการปรับตัวสู่ Green Tourism ไม่เพียงช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ยังช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับอุตสาหกรรมอีกด้วย


นอกจากนี้จากข้อมูลของ Sustainable Hospitality Alliance พบว่า โรงแรมที่ดำเนินนโยบายสีเขียวสามารถลดต้นทุนพลังงานได้ 20-30% และลดต้นทุนการใช้น้ำได้กว่า 15% ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแนวทางนี้ไม่ใช่ภาระ แต่เป็นโอกาสในการเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนระยะยาว

ตัวอย่างโรงแรมในประเทศไทยที่ใช้แนวทาง Green Tourism แล้วประสบความสำเร็จ เช่น โรงแรมศรีพันวา ภูเก็ต และ เกาะกูดรีสอร์ท ที่นำพลังงานสะอาด ระบบรีไซเคิลน้ำ และแนวคิด Zero-Waste มาใช้ ซึ่งช่วยให้ได้รับนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง และได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ

3. บทบาทของภาครัฐและนโยบายสนับสนุน
การผลักดัน Green Tourism ไม่ใช่หน้าที่ของภาคเอกชนเพียงอย่างเดียว ภาครัฐต้องมีบทบาทสำคัญในการสนับสนุน ผ่านมาตรการจูงใจ เช่น มาตรฐานโรงแรมสีเขียว และการส่งเสริมการตลาดเชิงรุกสำหรับแหล่งท่องเที่ยวที่มีความยั่งยืน

4. บทบาทของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมภายใต้วิสัยทัศน์และนโยบายของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีภารกิจสำคัญในการส่งเสริมและกำกับดูแล Green Tourism ผ่านการออกนโยบายและมาตรการต่าง ๆ เช่น โครงการโรงแรมสีเขียว (Green Hotel) การส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทน และการอนุรักษ์แหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ กระทรวงยังสนับสนุนการใช้มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมสำหรับภาคธุรกิจ เช่น การกำหนดเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อมในการออกใบอนุญาตให้สถานประกอบการท่องเที่ยว รวมถึงการร่วมมือกับภาคเอกชนในการลดขยะพลาสติกและควบคุมการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืน

นอกจากนี้ การพัฒนาการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมยังได้รับการสนับสนุนผ่านนโยบาย Thailand Greenhouse Gas Management Organization (TGO) ซึ่งช่วยให้สถานประกอบการสามารถลดปริมาณคาร์บอนฟุตพริ้นท์ได้ และได้รับการรับรองเป็นองค์กรสีเขียวในระดับสากล
5.มาตรฐาน GSTC: กรอบแนวทางสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน

หนึ่งในมาตรฐานสากลที่โรงแรมและผู้ประกอบการท่องเที่ยวสามารถนำมาใช้เพื่อพัฒนาให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมคือมาตรฐาน GSTC (Global Sustainable Tourism Council) ซึ่งเป็นเกณฑ์ระดับโลกที่ช่วยกำหนดแนวทางปฏิบัติสำหรับธุรกิจท่องเที่ยวให้มีความยั่งยืนมากขึ้นโดยมีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นหน่วยสนับสนุนที่สำคัญ ยิ่งกว่านั้นการขับเคลื่อนGreen Tourism อย่างจริงจัง โดยกลุ่ม Green Alliance ที่ประกอบไปด้วยภาครัฐ ภาคเอกชน สถาบันการศึกษา และ แหล่งเงินทุน เช่น SMEd Bank จึงเกิดขึ้นเพื่อร่วมมือกันยกระดับ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศไทยให้เป็น การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนที่แท้จริง
การขับเคลื่อน Green Tourism ไม่ใช่เพียงแค่กระแส แต่เป็นความจำเป็นเชิงกลยุทธ์สำหรับประเทศไทย โรงแรมที่ปรับตัวเร็วจะได้รับโอกาสทางธุรกิจใหม่ ภาครัฐที่สนับสนุนจะช่วยให้เกิดการเติบโตที่ยั่งยืน และสุดท้าย ประเทศไทยจะสามารถอนุรักษ์และพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมไว้ให้กับคนรุ่นต่อไป

หวังว่าเราจะร่วมมือกันในการพัฒนาการท่องเที่ยวไทยให้เป็นต้นแบบแห่งความยั่งยืน และขอบคุณSME D Bank ที่มีบทบาทสำคัญในโครงการGreen Loan

โดยการสนับสนุนผู้ประกอบการที่ต้องการยกระดับปรับเปลี่ยนสู่ธุรกิจสีเขียวซึ่ง SME D Bank พร้อมสนับสนุนสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษ ได้แก่ สินเชื่อ “SME Green Productivity” วงเงินรวมกว่า 10,000 ล้านบาท สำหรับนำไปลงทุนติดตั้งระบบ เครื่องจักร อุปกรณ์ ปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิต หรือเทคโนโลยี เพื่อใช้พลังงานสะอาด เช่น ติดตั้งแผงโซล่าเซลล์ เปลี่ยนเครื่องจักร ใช้เทคโนโลยี รวมถึง เชื่อมโยงไปสู่อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า (EV) เป็นต้น วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยพิเศษเพียง 3%ต่อปี  คงที่ตลอด 3 ปีแรก ผ่อนชำระนานสูงสุด 10 ปี ปลอดชำระหนี้เงินต้นสูงสุด 12 เดือน นอกจากนั้น ยังมีสินเชื่ออื่นๆ ไว้รองรับครบทุกความต้องการ เช่น สินเชื่อ “BCG Loan” สนับสนุนยกระดับพัฒนาสู่ “BCG Model” (Bio-Circular-Green Economy) ผลักดันธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน วงเงินกู้ต่อรายสูงสุด 50 ล้านบาท  อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้นประมาณ 4.55%ต่อปี  ผ่อนนานสูงสุด 15 ปี  และปลอดชำระเงินต้นสูงสุด 24 เดือน เป็นต้น

นับเป็นก้าวใหม่ที่สำคัญในการเดินหน้าสู่Green Tourismอย่างจริงจังเพื่อการพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนตลอดไป ขอบคุณครับ..”

เชียงใหม่-คณะแพทยศาสตร์ มช. เปิด Innovation for a new life ห้องคลอดสวนดอกโฉมใหม่ มาตรฐานสากล พร้อมศูนย์วินิจฉัยทารกในครรภ์ระดับสูง ครบวงจร

(27 มี.ค. 68) คณะแพทยศาสตร์ มช. เปิดตัวห้องคลอดแห่งใหม่ ยกระดับมาตรฐานการดูแลแม่และทารกที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความปลอดภัย ความสะดวกสบายให้กับคุณแม่และทารกแรกเกิด โดยเน้นเทคโนโลยีที่ทันสมัยและมาตรฐานการดูแลระดับสูง เพื่อให้ประสบการณ์การคลอดเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัยที่สุด ณ ชั้น 3 อาคารผ่าตัด สูติกรรม คณะแพทยศาสตร์ มช. ในวันอังคารที่ 25 มีนาคม 2568 ระหว่างเวลา 09.30-11.00 น. ณ ชั้น 15 อาคารเฉลิมพระบารมีคณะแพทยศาสตร์ มช.

รศ.นพ.นเรนทร์ โชติรสนิรมิต คณบดีคณะแพทยศาสตร์ มช. เปิดเผยว่า “ เนื่องมาจากห้องคลอดของหน่วยคลอดและหน่วยผ่าตัดสูตินรีเวชโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ได้เปิดให้บริการแก่สตรีตั้งครรภ์และผู้ป่วยทางนรีเวชมาเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 60 ปี จึงถึงเวลาต้องปรับปรุงทางกายภาย เพื่อให้รับบริการได้ประโยชน์สูงสุด 

โดยห้องคลอดปรับปรุงใหม่นี้ ถูกออกแบบตามแนวคิด “ระบบทางเดียว” โดยแยกของสะอาดและของสกปรกออกจากกัน ลดความเสี่ยงต่อการปนเปื้อน พร้อมทั้งใช้วัสดุตกแต่ง เช่น ผนังและฝ้าเพดานที่มีพื้นผิวเรียบ รอยต่อน้อย เพื่อลดการสะสมของเชื้อแบคทีเรีย นอกจากนี้ยังติดตั้งระบบควบคุมอุณหภูมิ ความชื้น และแรงดันอากาศ รวมถึงระบบไหลเวียนและกรองอากาศ เพื่อให้บริเวณเตียงคลอดมีอากาศสะอาดปราศจากเชื้อโรค
 
นอกจากนี้ ห้องคลอดใหม่ยังมีอุปกรณ์ทางการแพทย์ทันสมัย รองรับการคลอดทุกรูปแบบ รวมถึงภาวะฉุกเฉิน ห้องพักสำหรับคลอดที่เป็นส่วนตัว ออกแบบให้เหมาะกับการผ่อนคลายของคุณแม่ โดยมีทีมแพทย์ และพยาบาลผู้เชี่ยวชาญ ดูแลตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมระบบดูแลทารกแรกเกิดแบบครบวงจร ป้องกันภาวะแทรกซ้อนและส่งเสริมพัฒนาการตั้งแต่แรกเกิด ภายในห้องคลอดยังติดตั้งอุปกรณ์ที่ทันสมัย ทั้งระบบไฟฟ้า หัวจ่ายแก๊ส และเครื่องมือทางการแพทย์ที่ได้มาตรฐานระดับสากล ซึ่งไม่เพียงช่วยเสริมความปลอดภัยในการรักษาของผู้เข้ารับบริการเท่านั้น แต่ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเรียนการสอนทางการแพทย์ ให้ผู้เรียนและผู้ปฏิบัติงานสามารถฝึกปฏิบัติในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและทันสมัย การเปิดตัวห้องคลอดนี้ถือเป็นก้าวสำคัญของคณะแพทยศาสตร์ มช. ในการยกระดับมาตรฐานการให้บริการทางการแพทย์และการศึกษาด้านสูติศาสตร์ เพื่อความปลอดภัยและคุณภาพสูงสุดแก่ทั้งบุคลากรและผู้รับบริการ”

 รศ.นพ.กิตติภัต เจริญขวัญ หัวหน้าภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มช. เปิดเผยว่า “หน่วยคลอดของโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ มีความพร้อมในการให้บริการสตรีตั้งครรภ์ทุกรายที่มาคลอด ทั้งรายที่มีความเสี่ยงต่ำและความเสี่ยงสูง ทั้งการคลอดแบบธรรมชาติ การคลอดโดยใช้อุปกรณ์พิเศษช่วย และการผ่าตัดคลอด ทั้งนี้ภาวะตั้งครรภ์เสี่ยงสูงหรือภาวะแทรกซ้อนที่พบได้บ่อย 10 อันดับแรกในสตรีตั้งครรภ์ที่มาคลอดในปี พ.ศ. 2567 ได้แก่โรคเบาหวาน ภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก ความดันโลหิตสูง (ครรภ์เป็นพิษ) ทารกโตช้าในครรภ์ ทารกท่าก้น น้ำเดินก่อนกำหนด ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ เนื้องอกมดลูก คอพอกเป็นพิษ และรกเกาะต่ำ  

บ่อยครั้งที่ภาวะเหล่านี้ ส่งผลให้เกิดการคลอดก่อนกำหนด ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 18  ของการคลอดทั้งหมดในปี พ.ศ.2567 รวมถึงเพิ่มความจำเป็นในการผ่าตัดคลอดอีกด้วย  ภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พร้อมส่งมอบการดูแลที่ปลอดภัยให้กับมารดาและทารก รวมถึงผู้ป่วยทางนรีเวช ด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า โดยทีมแพทย์และบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญสูง”

ด้านรศ.พญ.เฟื่องลดา ทองประเสริฐ อาจารย์ประจำหน่วยเวชศาสตร์มารดาและทารก ภาควิชาสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยาณะแพทยศาสตร์ มช. เปิดเผยว่า “ศูนย์วินิจฉัยทารกในครรภ์ (Fetal Diagnostic Center หรือ Fetal Center) เป็นศูนย์ที่ให้บริการตรวจคัดกรอง วินิจฉัย และดูแลรักษาทารกตั้งแต่อยู่ในครรภ์จนถึงช่วงแรกหลังคลอดครอบคลุมทั้งขั้นพื้นฐานและขั้นสูง พร้อมทั้งเป็นศูนย์กลางด้านวิชาการและการฝึกอบรม เพื่อพัฒนาผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ทารกในครรภ์ และส่งเสริมการวิจัยอย่างต่อเนื่อง 

จุดเด่นของศูนย์ คือสามารถตรวจคัดกรองความผิดปกติของทารกตั้งแต่ไตรมาสแรก ตรวจโรคทางพันธุกรรม เช่น ธาลัสซีเมีย กลุ่มอาการดาวน์ และโรคหายากอื่น ๆ โดยการเจาะชิ้นเนื้อรก ทั้งนี้ศูนย์วินิจฉัยทารกในครรภ์ คณะแพทยศาสตร์ มช. เป็นศูนย์ที่ให้บริการตรวจชิ้นเนื้อรกมากที่สุดในประเทศ 

ศูนย์ฯ ยังมีความเชี่ยวชาญด้านหัตถการเฉพาะทาง  เช่นการเจาะเลือดสายสะดือของทารกในครรภ์ เพื่อตรวจวินิจฉัยโรคที่ซับซ้อน โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยระดับนานาชาติ นอกจากนี้ยังเป็นศูนย์เดียวในภาคเหนือที่สามารถรักษาทารกในครรภ์โดยการเติมเลือด หรือ การส่องกล้องรักษาครรภ์แฝดที่มีภาวะแทรกซ้อน ทั้งนี้เพื่อให้มารดาที่ตั้งครรภ์ ได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด และดำเนินการคลอดอย่างปลอดภัยที่สุด

เซ็นทรัลพัฒนา เดินหน้าลงทุนตามแผน 5 ปีกว่า 120,000 ล้านบาท พัฒนาเมกะโปรเจกต์

(27 มี.ค. 68) เซ็นทรัลพัฒนา ประกาศวิสัยทัศน์ ‘Pioneering Growth & Beyond’ และแผนพัฒนาเมกะโปรเจกต์ ปั้น New CBD ในกรุงเทพฯ และมิกซ์ยูสยิ่งใหญ่พัฒนาความเจริญทั่วประเทศ เดินหน้าลงทุนตามแผน 5 ปีกว่า 120,000 ล้านบาท

ภายในปี 68 พัฒนามิกซ์ยูสครบ 30 แห่งทั่วประเทศ พร้อมเผยโครงการใหม่ ได้แก่ ‘Central Northville’ พลิกโฉมย่านรัตนาธิเบศร์ด้วยมิกซ์ยูสที่ใหญ่ที่สุดใจกลางนนทบุรี, บุกอีสาน ‘Central Khonkaen Campus’ โครงการแห่งที่ 2 รองรับการเติบโตขอนแก่น และยกระดับ Master Planning ใหม่ของ ‘Central Chiangmai Airport’ ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ และขยายพื้นที่ลักชูรี่ ‘Central Phuket’ รับดีมานด์ Quality Tourists และเตรียมเปิด ‘Central Krabi’ ต.ค. นี้

โดย ‘Central Chiangmai Airport’ (เซ็นทรัล เชียงใหม่ แอร์พอร์ต) พลิกโฉม Retail Landscape ยกระดับ Master Planning ใหม่ บนที่ดิน 130 ไร่ พื้นที่ศูนย์การค้า (GBA) 173,000 ตร.ม. โดยมี Muji’s First Flagship Store ในภาคเหนือ พร้อมแบรนด์ดังใหม่ๆ รวมถึงขยายโซนกาดหลวง Indoor Local Market มากขึ้นถึง 3 เท่ารวมเป็น 10,000 ตร.ม. และยังมีโซน Hug Craft & Northern Village เป็น Tourist Magnet  โดยเตรียมเปิดช่วง Q2 ปี 2569 โครงการยังประกอบด้วย Convention Hall, Tourist Hub และ Multi-Generation Space รวมถึง Go Wholesale แห่งแรกในภาคเหนือ และมีแผนพัฒนาโรงแรม และคอนโดมิเนียมในอนาคต

นอกจากนี้ ทีมผู้บริหารระดับสูงของเซ็นทรัลพัฒนาโดย ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา Chief Marketing Officer และ คุณอิศเรศ จิราธิวัฒน์ Head of Leasing – Fashion & Luxury ร่วมเผยข้อมูล Insights และกลยุทธ์ผลักดันยอดขายและสร้างความสำเร็จเป็น Trusted Partner ที่พร้อมผลักดันให้พันธมิตรเติบโตไปพร้อมกัน โดยศูนย์การค้าเซ็นทรัลประสบความสำเร็จเป็น Thailand’s Largest Retail Destination for Global Brands ซึ่งปัจจุบันกว่า 80% ของแบรนด์ระดับโลกเลือกมาเปิด First Time in Thailand ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล และมี Flagship Stores มากถึง 50 ร้าน 

หลายแบรนด์มีสาขาที่ประสบความสำเร็จในด้านยอดขายในระดับ Top Rank สำหรับอีกหนึ่งความสำเร็จในการดูแลพาร์ทเนอร์คู่ค้า คือการสร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจด้วย The 1 Biz เครื่องมือ CRM ที่ช่วยขับเคลื่อนยอดขาย ล่าสุดแบรนด์ที่เข้าร่วมมีอัตราการเติบโตสูงสุดถึง 3 เท่า ปีที่ผ่านมาสมาชิก The 1 แลกพอยท์ในโซนร้านค้ากว่า 300 ล้านพอยท์ และบิลที่สะสมพอยท์สูงสุดแตะ 3.4 ล้านบาท นอกจากนี้ เรายังได้สร้าง Experience Application ‘Central X’ เพื่อเชื่อมโยงประสบการณ์แบบ O2O 

บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ขับเคลื่อนสู่อนาคตภายใต้เจตจำนงค์ของแบรนด์ Imagining better futures for all โดยตลอด 45 ปี ได้สนับสนุนสังคมและชุมชนกว่า 5,000 ล้านบาท ทั้งโครงสร้างพื้นฐาน, พื้นที่สาธารณประโยชน์ และโอกาสทางการศึกษา ด้านสิ่งแวดล้อม เราเดินหน้าสู่ Net Zero 2050 ได้รับการจัดอันดับ DJSI Best-in-Class 7 ปีซ้อน และเป็นอสังหาฯ รายแรกที่ออก ‘Green Bond’ อีกทั้งทุกศูนย์การค้าติดตั้ง Solar Rooftop, EV Charging Station พร้อมขับเคลื่อนโครงการ Green Partnership เพื่อลดก๊าซเรือนกระจกร่วมกับพันธมิตรร้านค้า

โครงการบริจาคหนังสือการ์ตูน ‘๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ’ ร่วมเรียนรู้ประวัติศาสตร์การเปลี่ยนแปลงการปกครองอย่างถูกต้อง

(27 มี.ค. 68) โครงการบริจาคหนังสือการ์ตูน ๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ ที่ทางทีมงานและผู้ร่วมสนับสนุนได้สมทบทุนบริจาค เพื่อให้น้อง ๆได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์การเปลี่ยนแปลงการปกครองปี ๒๔๗๕ ตั้งแต่เริ่มมีการสั่งจองหนังสือ จนถึงปัจจุบัน มีการบริจาคหนังสือไปแล้วมากกว่า 1,500 เล่มทั่วประเทศ 

โดยในหนังสือการ์ตูนของเรา ได้แนบ QR Code สำหรับรับชมแอนิเมชัน เพื่อให้น้อง ๆ สามารถรับชมการ์ตูนได้ทั้งในรูปแบบหนังสือการ์ตูน และ แอนิเมชัน 

หากสถานศึกษาใด สนใจรับบริจาคหนังสือ 
สามารถแจ้งความจำนงได้ที่ 
https://forms.gle/EoKwNCPKnuo7mrN16 

----------------------
รายชื่อสถานศึกษา พิพิธภัณฑ์ และสถานที่ต่างๆ 
ที่เราได้ทำการส่งมอบหนังสือไปแล้ว 

โรงเรียน
----------------------
โรงเรียนกาฬสินธุ์พิทยาสรรพ์ อ.เมืองกาฬสินธุ์
โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย จ.นครปฐม
โรงเรียนแก้งคร้อวิทยา
โรงเรียนกัลยาณวัตร
โรงเรียนขอนแก่นพัฒนศึกษา
โรงเรียนควนเนียงวิทยา
โรงเรียนโคราชพิทยาคม
โรงเรียนคำชะอีวิทยาคาร
โรงเรียนจิตรลดา
โรงเรียนจิตรลดาวิชาชีพ
โรงเรียนจุนวิทยาคม
โรงเรียนจังหารฐิตวิริยาประชาสรรค์
โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติฯ จ.สกลนคร
โรงเรียนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระศรีนครินทร์ หนองบัวลำภู
โรงเรียนช่องพรานวิทยา
โรงเรียนชัยภูมิภักดีชุมพล
โรงเรียนชุมแสงชนูทิศ (ช.ท.)
โรงเรียนซับม่วงวิทยา
โรงเรียนดรุณาราชบุรี
โรงเรียนด่านขุนทด
โรงเรียนตะพานหิน 
โรงเรียนตาพระยา
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ภาคเหนือ จ.พิษณุโลก
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาน้อมเกล้า จ.อุตรดิตถ์
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการปราณบุรี
โรงเรียนเถินวิทยา
โรงเรียนท่าเกษมพิทยา
โรงเรียนท่าเรือ "นิตยานุกูล"
โรงเรียนท่าบ่อ จ.หนองคาย
โรงเรียนเทพาลัย
โรงเรียนไทรโยคมณีกาญจน์วิทยา
โรงเรียนเทิงวิทยาคม
โรงเรียนทัพพระยาพิทยา
โรงเรียนทัพราชวิทยา
โรงเรียนนครนายกวิทยาคม
โรงเรียนนครพนมวิทยาคม
โรงเรียนนวมราชานุสรณ์
โรงเรียนนาน้อย จังหวัดน่าน 
โรงเรียนน่านนคร
โรงเรียนนานาชาติแคลิฟอร์เนียเพรพ
โรงเรียนนานาชาติแอ็ดเวนติส จ.สระบุรี
โรงเรียนนาหมื่นพิทยาคม
โรงเรียนน้ำยืนวิทยา
โรงเรียนบ้านกลาง อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
โรงเรียนบ้านกุดเวียน สพป.สระแก้ว 2
โรงเรียนบ้านเขาตาง้อก อำเภอคลองหาด จ.สระแก้ว 
โรงเรียนบ้านคลองไก่เถื่อน
โรงเรียนบ้านคาวิทยา 
โรงเรียนบ้านโคกเพร๊ก จ.สระแก้ว
โรงเรียนบ้านโคกสูง จ.สระแก้ว 
โรงเรียนบ้านดวน
โรงเรียนบ้านดุงวิทยา อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี
โรงเรียนบ้านบางสะพานน้อย
โรงเรียนบ้านผึ้งวิทยาคม
โรงเรียนบ้านพรหมนิมิต
โรงเรียนบ้านแม่เต๋อ อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
โรงเรียนบ้านหนองผักแว่น 
โรงเรียนบ้านแฮดศึกษา
โรงเรียนเบญจมราชูทิศ จ.จันทบุรี
โรงเรียนเบ็ญจะมะมหาราช
โรงเรียนบุรีรัมย์พิทยาคม
โรงเรียนประภัสสรรังสิต อ.เมือง จ.พัทลุง
โรงเรียนป่าเด็งวิทยา
โรงเรียนปากพลีวิทยาคาร
โรงเรียนปิยชาติพัฒนา
โรงเรียนปัญญาวุธ อ.ควนขนุน จ.พัทลุง
โรงเรียนผดุงปัญญา
โรงเรียนพัทลุง
โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ
โรงเรียนพระมารดานิจจานุเคราะห์ กรุงเทพฯ
โรงเรียนพระหฤทัยคอนแวนต์
โรงเรียนพานทองสภาชนูปถัมภ์ 
โรงเรียนพิมายวิทยา
โรงเรียน ภ.ป.ร. ราชวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์
โรงเรียนมหาธิคุณวิทยา
โรงเรียนมหิธรวิทยา
โรงเรียนแม่พริกวิทยา จ.ลำปาง
โรงเรียนยุพราช เชียงใหม่
โรงเรียนโยธินบำรุง
โรงเรียนร้อยเอ็ดวิทยาลัย
โรงเรียนราชประชานุเคราะห์
โรงเรียนราชสีมาวิทยาลัย
โรงเรียนราชวินิต
โรงเรียนราชวินิตมัธยม
โรงเรียนราชวินิตบางแก้ว
โรงเรียนวังไกลกังวล ประถม
โรงเรียนวังไกลกังวล มัธยม
โรงเรียนวังเจ้าวิทยาคม
โรงเรียนวัดป่าคาเจริญวิทยา 
โรงเรียนวัดพเนินพลู
โรงเรียนศรีราชา จ.ชลบุรี
โรงเรียนศรีสวัสดิ์วิทยาคาร จ.น่าน
โรงเรียนศรีสะเกษวิทยาลัย
โรงเรียนศรีวิไลวิทยา
โรงเรียนสกลราชวิทยานุกูล
โรงเรียนสตรีชัยภูมิ
โรงเรียนสตรีวิทยา
โรงเรียนสตรีวัดระฆัง 
โรงเรียนสันติสุข จ.เชียงใหม่
โรงเรียนสันติสุขพิทยาคม
โรงเรียนสว่างเเดนดิน 
โรงเรียนสากเหล็กวิทยา จ.พิจิตร
โรงเรียนสามง่ามชนูปถัมภ์
โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม
โรงเรียนสาธิตเทศบาลเมืองราชบุรี
โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา
โรงเรียนสัมมาสิกขาปฐมอโศก
โรงเรียนสระแก้ว
โรงเรียนสระหลวงพิทยาคม
โรงเรียนแสนสุข จ.ชลบุรี
โรงเรียนหนองบัวละครวิทยา
โรงเรียนหนองบัวแดงวิทยา
โรงเรียนหนองบัวระเหววิทยาคาร
โรงเรียนหนองหานวิทยา
โรงเรียนห้วยคตพิทยาคม
โรงเรียนห้างฉัตรวิทยา จ.ลำปาง
โรงเรียนอนุราชประสิทธิ
โรงเรียนอินทร์บุรี
โรงเรียนอุดมสิทธิศึกษา
โรงเรียนอุตรดิตถ์
โรงเรียนอุทัย
โรงเรียนอำมาตย์พานิชนุกูล จ.กระบี่ 
โรงเรียนอำนาจเจริญ
โรงเรียนอัสสัมชัญอุบลราชธานี

วิทยาลัย / สถาบัน
----------------------
โรงเรียนนายร้อยตำรวจ 
วชิราวุธวิทยาลัย
สถาบันเทคโนโลยีจิตรลดา
วิทยาลัยการอาชีพนครนายก
วิทยาลัยเทคโนโลยีชลบุรี
วิทยาลัยเทคโนโลยีไทยอโยธยาบริหารธุรกิจ
วิทยาลัยเทคโนโลยีพณิชยการอยุธยา
วิทยาลัยเทคนิคตราด
วิทยาลัยเทคนิคบางแสน
วิทยาลัยการอาชีพนครนายก

มหาวิทยาลัย
----------------------
มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ 
มหาวิทยาลัยบูรพา
มหาวิทยาลัยรามคำแหง (สำนักหอสมุดกลาง)
มหาวิทยาลัยรามคำแหง วิทยาเขตบางนา
มหาวิทยาลัยรังสิต

ห้องสมุด / พิพิธภัณฑ์ / องค์กร
----------------------
หอสมุดแห่งชาติ
ห้องสมุดประวัติศาสตร์ทหาร อนุสรณ์สถานแห่งชาติ
พิพิธภัณฑ์พระปกเกล้า
พิพิธภัณฑ์รัฐสภา
เครือข่ายนวัตกรเพื่อเยาวชนไทย (CITY)

วัด
----------------------
วัดสวนสันติธรรม ศรีราชา

เรือนจำ
----------------------
เรือนจำกลางกรุงเทพ 

และยังมีสถานศึกษาอื่นๆที่กำลังอยู่ระหว่างรวบรวบรายชื่อครับ  
=====================
ท่านสามารถชำระค่าหนังสือ 
หรือร่วมสมทบทุนบริจาคหนังสือให้สถานศึกษาได้ที่ 
----------------------------
ธนาคารกสิกรไทย
ชื่อบัญชี บจก.นาคราพิวัฒน์
เลขที่บัญชี 1518061840

ราคาจำหน่าย
=====================
หนังสือการ์ตูน ๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ 
ราคาจำหน่ายเล่มละ 555 บาท ค่าส่ง 45 บาท 
รวมเป็นจำนวน 600 บาท 
สั่งซื้อ 2 เล่มขึ้นไป จัดส่งให้ฟรี
(เฉพาะสั่งจองผ่าน https://forms.gle/JVnvKHXWpUgXXoXaA หรือ Inbox เพจ เท่านั้น) 
=====================
ช่องทางจำหน่าย หนังสือการ์ตูน ๒๔๗๕ รุ่งอรุณแห่งการปฏิวัติ
1. กรอกแบบฟอร์มสั่งซื้อได้ที่  
https://forms.gle/JVnvKHXWpUgXXoXaA

2. สั่งซื้อผ่าน inbox เพจ 2475 Dawn of Revolution   

3. จำหน่ายผ่าน แพลตฟอร์ม Shopee 
https://shopee.co.th/product/93749556/28466020586/

4. จำหน่ายผ่าน แพลตฟอร์ม TikTok 
https://vt.tiktok.com/ZSjGB13XG/ 

สั่งจองได้ที่ https://forms.gle/JVnvKHXWpUgXXoXaA 
หรือ ทางกล่องข้อความเพจ มีแอดมินดูแลตลอดครับ 

หน่วยงานหรือองค์กรที่สั่งจำนวนมาก โปรดติดต่อ 
Inbox Facebook https://www.facebook.com/2475animation 
หรือ Email - [email protected] 

”พลโท ชนินทร์“ ติวเข้มเครือข่ายเฝ้าระวังภัยก่อการร้ายที่ภูเก็ต มุ่งสร้างตาสับปะรดของชุมชน

(27 มี.ค. 68) ที่จังหวัดภูเก็ต -พลโท ชนินทร์ สิงหนาทนิติรักษ์ ผู้อำนวยการ ศปป.3 กอ.รมน. เป็นประธานเปิดการอบรม “การพัฒนาเครือข่ายเฝ้าระวังและแจ้งเตือนการก่อการร้าย” โดยมีเจ้าหน้าที่สนามบิน ภาคประชาชน และหน่วยงานความมั่นคง เข้าร่วมอบรม

การอบรมครั้งนี้เพื่อมุ่งเน้นการสร้าง “ตาสับปะรดของชุมชน” เพื่อให้ประชาชนรู้เท่าทันภัยคุกคามสมัยใหม่ ทั้งการก่อการร้าย อาชญากรรมข้ามชาติ และภัยไซเบอร์ พร้อมฝึกทักษะสำคัญ ประกอบด้วย การจดจำใบหน้าบุคคลต้องสงสัย การเอาตัวรอดจากสถานการณ์ก่อการร้าย

กิจกรรมครั้งนี้ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ ศปป.3 กอ.รมน. เดินหน้าเสริมพลังเครือข่ายประชาชน โดยจัดกิจกรรมอบรมเครือข่ายเฝ้าระวังและแจ้งเตือนภัยการก่อการร้ายที่ จ.ภูเก็ต มุ่งสร้าง “ตาสับปะรดของชุมชน” ให้รู้เท่าทันภัยก่อการร้าย อาชญากรรมข้ามชาติ และภัยไซเบอร์ พร้อมฝึกทักษะจำใบหน้าผู้ต้องสงสัย และเอาตัวรอดจากเหตุร้าย ในการเสริมสร้าง เครือข่ายภาคประชาชน เพื่อเฝ้าระวังภัยความมั่นคงรูปแบบใหม่ โดยเฉพาะในพื้นที่ยุทธศาสตร์อย่างจังหวัดภูเก็ต ซึ่งมีทั้งสนามบินนานาชาติ ท่าเรือ แหล่งท่องเที่ยวสำคัญ และชุมชนที่มีความหลากหลาย

ทั้งนี้ ศปป.3 มีแผนจะขยายกิจกรรมลักษณะนี้ไปยังพื้นที่อื่นทั่วประเทศ โดยจะเน้นพื้นที่เป้าหมายที่มีความเสี่ยงสูง หรือมีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ เช่น จังหวัดชายแดน พื้นที่เศรษฐกิจพิเศษ และแหล่งท่องเที่ยวหลัก เพื่อให้ประชาชนทั่วประเทศมีบทบาทร่วมในการดูแลความมั่นคงร่วมกับภาครัฐอย่างเป็นรูปธรรม เพราะเราเชื่อว่า พลังของประชาชน คือแนวป้องกันประเทศที่เข้มแข็งที่สุด

'ผู้ดำเนินรายการ THE STATES TIMES ยามเช้า' รับรางวัลเทพทอง ครั้งที่ 23 ประเภทบุคคลดีเด่นด้านวิทยุกระจายเสียง ใช้และพูดภาษาไทยได้อย่างถูกต้อง

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ นายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา องคมนตรี เป็นผู้แทนพระองค์ มอบรางวัลเทพทอง ครั้งที่ 23 ซึ่งจัดโดยสมาคมนักวิทยุและโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (สวทท.) โดยมี นางสาวชุติพันธุ์ ลิมปะพันธุ์ นายกสมาคมฯ พร้อมคณะกรรมการบริหาร ร่วมในพิธี

โดยรางวัลเทพทอง จัดขึ้นเพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้กับองค์กรและบุคคลต่าง ๆ ที่ทำคุณประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม และบุคลากรด้านสื่อวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และสื่อออนไลน์ ซึ่งได้สร้างสรรค์ผลงานที่เกิดประโยชน์ เป็นแบบอย่างที่ดี

ซึ่งในปีนี้มีผู้เข้ารับรางวัลทั้งสิ้น 72 รางวัล ประกอบด้วย 
-องค์กรดีเด่น 26 รางวัล อาทิ โรงเรียนชอย เทควันโด้ อะคาเดมี่ โดยนายชัชชัย เช หรือโค้ชเช ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ เป็นผู้รับ และสถานีวิทยุกระจายเสียงมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 

-บุคคลดีเด่นด้านโทรทัศน์ และสื่อออนไลน์ 16 รางวัล อาทิ นายสุวิกรม อัมระนันทน์ รายการเปอร์-สเปกทิฟ (Perspective) / นายวารินทร์ สัจเดว ผู้ประกาศข่าว TNN World Today / และนางรัสรินทร์ ปริยไชยพงศ์ หรือชื่อในวงการ 'ปิยมาศ โมนยะกุล' ศิลปิน นักแสดง ฉายานางเอกตลกร้อยล้าน

-บุคคลดีเด่นด้านวิทยุกระจายเสียง 11 รางวัล ซึ่งมอบให้กับนักจัดรายการวิทยุ ที่มีผลงานเป็นที่ยอมรับ ใช้และพูดภาษาไทยได้อย่างถูกต้อง อาทิ นายไอยรา อัลราวีย์ บรัศว์ตฤณ บรรณาธิการบริหาร สำนักข่าวออนไลน์เดอะสเต็ทส์ไทม์ (THE STATES TIMES) ผู้ดำเนินรายการ TST ยามเช้า ทาง FM 103.5 และรายงานข่าวต้นชั่วโมง TST News Flash สถานีวิทยุกองบัญชาการกองทัพไทย FM 101
-และผู้ให้การสนับสนุนการจัดงานเทพทองครั้งนี้รับโล่เกียรติยศ จำนวน 19 รางวัล 

บรรณาธิการ และผู้ดำเนินรายการ TST ยามเช้า รับรางวัลเทพทอง ครั้งที่ 23 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ นายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา องคมนตรี เป็นผู้แทนพระองค์ มอบรางวัลเทพทอง ครั้งที่ 23 ซึ่งจัดโดยสมาคมนักวิทยุและโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (สวทท.) เพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้กับองค์กรและบุคคลต่าง ๆ ที่ทำคุณประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม และบุคลากรด้านสื่อวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และสื่อออนไลน์ ซึ่งได้สร้างสรรค์ผลงานที่เกิดประโยชน์ เป็นแบบอย่างที่ดี

ซึ่งในปีนี้มีผู้เข้ารับรางวัลทั้งสิ้น 72 รางวัล ประกอบด้วย องค์กรดีเด่น 26 รางวัล บุคคลดีเด่นด้านโทรทัศน์ และสื่อออนไลน์ 16 รางวัล บุคคลดีเด่นด้านวิทยุกระจายเสียง 11 รางวัล และผู้ให้การสนับสนุนการจัดงานเทพทองครั้งนี้รับโล่เกียรติยศ จำนวน 19 รางวัล

ทั้งนี้ในประเภทบุคคลดีเด่นด้านวิทยุกระจายเสียง ซึ่งมอบให้กับนักจัดรายการวิทยุ ที่มีผลงานเป็นที่ยอมรับ ใช้และพูดภาษาไทยได้อย่างถูกต้อง ในปีนี้ นายไอยรา อัลราวีย์ บรัศว์ตฤณ บรรณาธิการบริหาร สำนักข่าวออนไลน์เดอะสเต็ทส์ไทม์ (THE STATES TIMES) ผู้ดำเนินรายการ TST ยามเช้า ทาง FM 103.5 และรายงานข่าวต้นชั่วโมง TST News Flash สถานีวิทยุกองบัญชาการกองทัพไทย FM 101 เป็น 1 ในผู้ได้รับรางวัลเทพทอง ครั้งที่ 23 ด้วย

‘น้องพั้นรักแมว’ สอบคณิตฯ O-NET คว้าคะแนนเกือบเต็ม 100 พร้อมทั้งสอบติดแพทย์ มข. สร้างแรงบันดาลใจให้กับนักเรียนยุคใหม่

(26 มี.ค. 68) ถือเป็นความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจ เมื่อ ‘น้องพั้น’ พันธิตา บุญชวน หรือ “น้องพั้นรักแมว” นักเรียนชั้น ม.6 จากโรงเรียนบุรีรัมย์พิทยาคม ทำให้หลายคนตะลึงเมื่อเธอสามารถสอบ O-NET วิชาคณิตศาสตร์ได้ถึง 96.25 คะแนน (เต็ม 100)

นอกจากนี้ น้องพั้นยังสอบติดคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งเป็นการพิสูจน์ความสามารถทั้งในด้านการเรียนและงานอินฟลูเอนเซอร์ที่ทำอย่างเต็มที่

แม้จะมีการทำงานหนักในโลกออนไลน์เป็นอินฟลูเอนเซอร์ที่ได้รับความนิยม แต่ “น้องพั้นรักแมว” ก็ยังสามารถบริหารเวลาได้ดี จนประสบความสำเร็จทั้งด้านการศึกษาและการงาน ซึ่งล่าสุด โรงเรียนบุรีรัมย์พิทยาคมก็ได้โพสต์แสดงความยินดีต่อความสำเร็จของเธอ

โดยแฟนคลับจำนวนมากต่างแห่ชื่นชมในความสวยและความสามารถ พร้อมยกย่องให้เป็นแบบอย่างที่ดีในการมีวินัยในการเรียนและการทำงาน ทั้งในด้านการศึกษาที่มุ่งมั่นและการสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณค่าในโลกออนไลน์ ซึ่งทุกคนต่างเห็นตรงกันว่า น้องพั้นรักแมวเป็นหนึ่งในดาวรุ่งที่เต็มไปด้วยอนาคตที่สดใสและน่าจับตามองในทุกๆ ด้าน

“ยินดีด้วยนะคะน้องพั้น! สุดยอดจริงๆ” เป็นเสียงส่วนหนึ่งจากแฟนคลับที่แสดงความยินดีในโพสต์ล่าสุดของเธอ พร้อมกับให้กำลังใจในทุกการเดินทางของเธอที่จะยังคงเติบโตและประสบความสำเร็จในอนาคต


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top