Tuesday, 10 June 2025
NEWS FEED

 "สมาพันธ์ SME ไทย - สมาคมสำนักงานบัญชี ค้านแนวคิดเก็บ VATรายย่อยไม่ถึง 1.8 ล้าน/ปี"

(19 พ.ค. 68) จากกรณีที่ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง เสนอแนวคิดให้กรมสรรพากรจัดเก็บ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) แบบเหมาจ่ายในอัตรา 1% กับผู้ประกอบการรายย่อย เพื่อขยายฐานภาษี คาดเก็บรายได้เพิ่มกว่า 4,000ล้านบาท/ปี ล่าสุด กลุ่มภาคธุรกิจรายเล็กไม่เห็นด้วย

ประธานสมาพันธ์ SME เตือน “ยังไม่ถึงเวลา เศรษฐกิจยังไม่ฟื้น”

ดร.ณพพงศ์ ธีระวร ประธานสมาพันธ์ SME ไทย แสดงจุดยืนคัดค้าน ชี้ว่า เศรษฐกิจยังอยู่ในช่วงเปราะบาง หนี้ครัวเรือน-หนี้ภาคธุรกิจยังสูง SMEรายย่อยยังเข้าไม่ถึงแหล่งทุน การเพิ่มภาระภาษีจะยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง
“การจะลดเกณฑ์ VATลง เท่ากับเปิดแนวรบใหม่ให้คนตัวเล็กต้องสู้โดยไม่มีอาวุธ”  
“รีดเลือดจากปู” สมาคมสำนักงานบัญชีชี้ภาระเกินแบก

คุณอัญชลี มณีท่าโพธิ์ นายกสมาคมสำนักงานบัญชีไทย กล่าวว่า การเก็บ VAT แบบเหมาจ่าย1% โดยไม่คำนึงถึงต้นทุน เป็นภาระหนักสำหรับธุรกิจรายย่อยที่ยังไม่ฟื้นตัว “ผู้ประกอบการรายเล็ก กำลังประสบปัญหาหนัก แต่ถ้าต้องมารับภาระ VAT เหมาจ่าย1%  เพื่อนำไปกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายของรัฐบาล เป็นการรีดเลือดจากปูเพิ่มภาระความทุกข์ให้กับพวกเค้าอีก ...ขอถามว่า ถูกต้องแล้วหรือไม่

ข้อเสนอจากสมาพันธ์ SMEไทย
เพื่อสร้างสมดุลในการจัดเก็บรายได้ภาษี พร้อมเดินหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจ สมาพันธ์ SMEไทย เสนอแนวทางดังนี้ :
    - ทบทวนแนวคิดจัดเก็บ Micro VAT อย่างรอบด้าน
    - เร่งโครงการเมกะโปรเจกต์ กระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ
    - ปิดช่องโหว่ “ทุนแฝง-นอมินีต่างชาติ” ด้วยกฎหมายที่เข้มงวด
    -     ดึงนักลงทุนต่างชาติที่มีเทคโนโลยีขั้นสูง พร้อมสร้างระบบกฎหมายที่เป็นธรรม
    -     จัดตั้งกองทุนสนับสนุนSME วงเงิน 100,000 ล้านบาท เพื่อเสริมธุรกิจรายเล็ก

ต้องการรายได้เพิ่ม รัฐควรเน้นโครงสร้าง ไม่ใช่ภาระคนตัวเล็ก
สมาพันธ์ SMEไทยและสมาคมสำนักงานบัญชีไทยย้ำว่า การขยายฐานภาษีควรพิจารณาในเชิงโครงสร้าง ไม่ใช่ผลักภาระไปยังผู้ประกอบการรายเล็กที่ยังไม่พร้อมเดินหน้า
..........
Cr: สื่อสารองค์กร
สมาพันธ์SMEไทย

ทัพเรือภาคที่ 1 น้อมรำลึกในพระกรุณาคุณ เนื่องในวันคล้ายวันสิ้นพระชนม์ของ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ “วันอาภากร องค์บิดาของทหารเรือไทย” วันที่ 19 พฤษภาคม 2568

🔹 พิธีวางพวงมาลา:
พล.ร.ท.อาภา ชพานนท์ ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1/ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ไทยอาสาป้องกันชาติในทะเล เขตทัพเรือภาคที่ 1 ร่วมพิธีวางพวงมาลา ณ พระอนุสาวรีย์ พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ณ พระอนุสาวรีย์ฯ หน้ากองบัญชาการกองทัพเรือ พื้นที่วังนันทอุทยาน เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร โดยมี พลเรือเอก จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ เป็นประธานในพิธี

🔹 พิธีสักการะ ณ กองบัญชาการทัพเรือภาคที่ 1:
พล.ร.ต.รังสรรค์ บัวเผือก รองผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 และกำลังพลทัพเรือภาคที่ 1 ร่วมประกอบพิธีสักการะ เพื่อน้อมรำลึกในพระกรุณาธิคุณ เนื่องในวันคล้ายวันสิ้นพระชนม์ องค์บิดาของทหารเรือไทย

🔹 พิธีสักการะ ณ ศาลพระตำหนัก:
น.อ.กฤษดา จิระไตรพร รองเสนาธิการทัพเรือภาคที่ 1 เป็นผู้แทนทัพเรือภาคที่ 1 ประกอบพิธีสักการะ รวมถึงยิงสลุตถวาย ณ ศาลพระตำหนักพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ศูนย์รักษาความปลอดภัยทางทะเลกองทัพเรือเกาะช้าง โดยมีคณะฝ่ายอำนวยการในทัพเรือภาคที่ 1 หัวหน้าศูนย์รักษาความปลอดภัยทางทะเลกองทัพเรือเกาะช้าง ผู้บังคับการเรือในหมวดเรือลาดตระเวนชายแดน ภาคเอกชน และประชาชน ร่วมพิธี

✨ สำหรับวันที่ 19 พฤษภาคม “วันอาภากร”
เป็นวันคล้ายวันสิ้นพระชนม์ของพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ “องค์บิดาของทหารเรือไทย” ซึ่งพระองค์เป็นที่เคารพสักการะของปวงชนชาวไทยอย่างกว้างขวาง พระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านที่มีต่อปวงชนชาวไทยนั้น ปรากฏทั้งในด้านกิจการทหารเรือที่พระองค์ท่านทรงวางรากฐานไว้ และการแพทย์แผนโบราณ ซึ่งพระองค์ทรงพระกรุณาช่วยเหลือรักษาผู้ตกทุกข์ได้ยากไม่เลือกชั้นวรรณะ จนเป็นที่เลื่องลือนับถือกันโดยทั่วไปในพระนามว่า “หมอพร” หรือ ที่ทหารเรือเรียกท่านว่า “เสด็จเตี่ย”

สมนึก เชื้อสนุก  รายงาน

‘วิว’ กุลวุฒิ ตั้งเป้าป้องกันแชมป์โลก หลังซิวแชมป์ไทยแลนด์ โอเพน สมัยที่ 2

เมื่อวันที่ (18 พ.ค. 68) ‘วิว’ กุลวุฒิ วิทิตศานต์ มือ 2 ของโลก เอาชนะ แอนเดอร์ส แอนทอนเซน มือ 3 ของโลกจากเดนมาร์ก ไปอย่างสนุก 2-1 เกม 21-16, 17-21, 21-9 ในรอบชิงชนะเลิศแบดมินตันไทยแลนด์ โอเพน 2025 ที่อาคารนิมิบุตร คว้าแชมป์รายการนี้เป็นสมัยที่ 2 หลังเคยทำได้เมื่อปี 2023

แม้ก่อนหน้านี้วิวจะมีสถิติเป็นรอง โดยชนะคู่ปรับรายนี้เพียงครั้งเดียวจาก 7 หน และแพ้มาตลอด 4 เกมหลังสุด แต่ด้วยฟอร์มและเสียงเชียร์จากแฟนๆ เจ้าตัวสามารถพลิกสถานการณ์กลับมาคว้าแชมป์ พร้อมรับเงินรางวัล 1,170,000 บาท และถือเป็นแชมป์รายการที่ 3 ของเจ้าตัวในปีนี้ ต่อจากอินโดนีเซีย มาสเตอร์ และแบดมินตันชิงแชมป์เอเชีย

เจ้าวิวเปิดเผยหลังจบเกมว่า แม้จะเป็นแมตช์ที่กดดัน แต่แรงเชียร์ของแฟนแบดฯ ไทย ช่วยเติมพลังให้สู้จนคว้าชัยได้ พร้อมตั้งเป้าสำคัญคือการป้องกันแชมป์โลกที่จะจัดขึ้นในประเทศฝรั่งเศสช่วงเดือนสิงหาคมนี้ ให้ได้อีกสมัย แม้รู้ดีว่าเป็นงานยากแต่จะพยายามทำให้ดีที่สุด

เชียงใหม่-AWC ขับเคลื่อนตามนโยบายจังหวดเชียงใหม่และ ททท. ร่วมสร้างเมืองท่องเที่ยวยั่งยืน  

พร้อมเปิด Plaii Ballroom ห้องบอลรูมอิมเมอร์ซีฟแห่งแรกของโลก  สร้างศูนย์กลาง Innovative MICE ภาคเหนือ เชื่อมโยงท่องเที่ยวด้วยโครงการ Chiang Mai Tram รถแทรมไฟฟ้าแรกของประเทศ ณ แลนด์มาร์กแห่งใหม่ “Lannatique” 
    
เมื่อวันที่ (19 พ.ค.68) บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่มุ่งเน้นตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร ได้รับเกียรติจากผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร และนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดเชียงใหม่ นายพิชัย เลิศพงศ์อดิศร พร้อมด้วยผู้อำนวยการฝ่ายผลิตภัณฑ์ท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) นางสาวเอิบลาบ ศรีภิรมย์ ร่วมเปิด “Plaii Ballroom” ห้องบอลรูมระบบอิมเมอร์ซีฟแห่งแรกของโลกภายในโรงแรม ที่เชื่อมกับพื้นที่ใหม่เพื่อการประชุมของโรงแรมเชียงใหม่ แมริออท โฮเทล มาพร้อมห้องประชุมหลากหลายขนาด สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เพื่อรองรับกลุ่ม Innovation & Leisure MICE 

โดย AWC ได้ประกาศร่วมสนับสนุนนโยบายการท่องเที่ยวยั่งยืนของจังหวัดเชียงใหม่ และ ททท. สู่การเป็น Innovative and Sustainable Tourism ผ่านการพัฒนาโครงการ“Chiang Mai Tram by Lannatique” รถแทรมไฟฟ้าล้อยางนำเที่ยว เชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมชื่อดังของเชียงใหม่ สนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจท้องถิ่นตามจุดจอดตลอดเส้นทาง ร่วมส่งต่อรายได้สุทธิของบริการรถแทรมไฟฟ้าล้อยางกลับคืนสู่ชุมชนเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน พร้อมเดินหน้าพลิกโฉมย่านช้างคลานสู่ศูนย์กลางศิลปวัฒนธรรมระดับโลกในโครงการ “Lannatique” แลนด์มาร์กศิลปวัฒนธรรมแห่งใหม่ที่ผสานอัตลักษณ์ล้านนาและเครือข่ายนานาชาติเข้ากับศิลปะร่วมสมัยภายใต้แนวคิด “The Heart of Lanna Art Movement” ร่วมส่งเสริมคุณค่าท้องถิ่นไทยสู่เวทีโลก และขับเคลื่อนเชียงใหม่สู่การเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก โดยเตรียมเปิดให้บริการเฟสแรกในปลายปี 2568 นี้ 

นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จํากัด (มหาชน) หรือ AWC กล่าวว่า “AWC มุ่งมั่นเดินหน้าตามนโยบายของจังหวัดเชียงใหม่และ ททท. ร่วมสร้างการท่องเที่ยวยั่งยืนของเมืองเชียงใหม่ ด้วยรูปแบบ Innovative and Sustainable Tourism และ โมเดล ‘AWC’s Lifestyle Destination’ ที่โครงการ ‘Lannatique’ เชื่อมต่อ Innovative MICE Facility ของโรงแรมในกลุ่ม AWC คือโรงแรมเชียงใหม่ แมริออท โฮเทล ด้วยการเปิดห้องอิมเมอร์ซีฟบอลรูมแห่งแรกของโลก ‘Plaii Ballroom’  ต่อเนื่องห้องประชุมรูปแบบหลากหลาย รวมถึงอาคารประชุมขนาดใหญ่ของอินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง โฮเทล และ Lifestyle MICE ของโรงแรมมีเลีย เชียงใหม่ พร้อมรองรับทุกการจัดกิจกรรมระดับเวิร์ดคลาส ต่อเนื่องถึงโครงการ ‘Lannatique’ และโครงการ ‘Chiang Mai Tram by Lannatique’ เพื่อเสริมการท่องเที่ยวผ่านการร่วมรวมพลังกับภาครัฐ ภาคเอกชน และชุมชน และเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนเชียงใหม่สู่จุดหมายปลายทางท่องเที่ยวยั่งยืนเชิงสร้างสรรค์และการอนุรักษ์ระดับโลก”

ยกระดับศักยภาพกลุ่มนักเดินทาง Innovative & Leisure MICE ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน พร้อมรองรับการจัดกิจกรรมระดับโลก AWC ยกระดับศักยภาพการรองรับกลุ่มนักเดินทาง MICE ด้วยการเปิด “Plaii Ballroom” ห้องบอลรูมระบบอิมเมอร์ซีฟแห่งแรกของโลกภายในโรงแรมที่โรงแรมเชียงใหม่ แมริออท โฮเทล โดดเด่นด้วยจอ LED จากพื้นถึงเพดานครอบคลุมผนังทั้ง 4 ด้าน รองรับการจัดงานแบบ Innovative ทุกรูปแบบได้อย่างยืดหยุ่น รวมถึงพื้นที่ใหม่เพื่อการประชุมที่มาพร้อมห้องประชุมหลากหลายขนาด สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ ห้อง “Suthep Hall” ขนาดใหญ่รองรับผู้ร่วมงานกว่า 800 คน รวมถึงห้องคาราโอเกะ และกอล์ฟซิมมูเลเตอร์ เสริมศักยภาพโรงแรมเชียงใหม่ แมริออท โฮเทล ในการดึงดูดกลุ่มนักเดินทาง Innovative & Leisure MICE ระดับโลกเข้าสู่เชียงใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเชื่อมต่อกับโครงการ “Lannatique” แลนด์มาร์กศิลปวัฒนธรรมแห่งใหม่ของ AWC ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความแข็งแกร่งของเชียงใหม่ในฐานะจุดหมายปลายทางการประชุมสัมมนาระดับโลก

“Lannatique” พลิกโฉมย่านช้างคลานสู่แลนด์มาร์กศิลปวัฒนธรรมระดับโลกใจกลางเชียงใหม่ สัมผัสมนต์เสน่ห์แห่งล้านนา สู่จุดหมายปลายทางแห่งคุณค่าและความสุขที่ยั่งยืน

AWC มุ่งมั่นที่จะพัฒนาโครงการ “Lannatique” ให้เป็นไลฟ์สไตล์แลนด์มาร์กระดับโลกด้านการท่องเที่ยวเชิงศิลปะแห่งใหม่บนย่านช้างคลาน ที่หลอมรวมวิถีชีวิตท้องถิ่นล้านนาและวัฒนธรรมร่วมสมัยเอาไว้ในพื้นที่เดียวกันภายใต้แนวคิด “The Heart of Lanna Art Movement” ที่ถ่ายทอดเรื่องราวศิลปะ วัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ของอารยธรรมล้านนาอันทรงคุณค่ายาวนานกว่า 700 ปี ออกมาในรูปแบบ “หมู่บ้านศิลปะร่วมสมัย” เชื่อมโยงมรดกทางวัฒนธรรมเข้ากับการสร้างสรรค์ในโลกปัจจุบันอย่างกลมกลืนผสานกับไลฟ์สไตล์ด้านสุขภาพ และผลิตภัณฑ์ชุมชนคุณภาพระดับโลก ด้วยมูลค่าการลงทุนเพิ่มกว่า 8,500 ล้านบาท นับเป็นมูลค่าโครงการ “Lannatique” ทั้งหมดรวม 11,950 ล้านบาท ประกอบไปด้วย 3 พื้นที่สำคัญ ได้แก่ 

•    Lannatique Kalare ครอบคลุมพื้นที่ศูนย์การค้ากว่า 17,500 ตารางเมตร ถ่ายทอดเสน่ห์แห่งศิลปวัฒนธรรมล้านนาและศิลปะสมัยใหม่ผ่าน 3 หมู่บ้านศิลป์

 ได้แก่ Thai Craftsmanship Village หมู่บ้านศิลปะไทยและหัตถกรรมทรงคุณค่า Cultural Village หมู่บ้านวัฒนธรรมหลากหลายของชาติพันธุ์ และ Creative Art Village หมู่บ้านสร้างสรรค์ศิลปะแบบใหม่ และพื้นที่ Experiential Shop

โดยจะเปิดให้บริการเฟสแรกในปี 2568 พร้อมปูรากฐานสู่การพัฒนาโรงแรมระดับโลกขนาด 55,000 ตารางเมตร ที่จะผสานกับ Attraction ระดับโลกขนาดใหญ่เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก 

•    Lannatique Bazaar ครอบคลุมพื้นที่ศูนย์การค้ากว่า 22,500 ตารางเมตร ภายใต้แนวคิด Contemporary Art กับพื้นที่ศิลปะร่วมสมัย รวมถึงโครงการโรงแรมที่ครอบคลุมพื้นที่กว่า 25,000 ตารางเมตร 

•    Lannatique Market ครอบคลุมพื้นที่ศูนย์การค้ากว่า 87,000 ตารางเมตร ที่อยู่ระหว่างการศึกษาภายใต้คอนเซ็ปต์ในการสนับสนุนผลิตภัณฑ์จากชุมชนเพื่อช่วยเหลือสังคมอย่างยั่งยืน

จับมือพันธมิตรชั้นนำ ร่วมมอบประสบการณ์ศิลปะร่วมสมัยในโครงการ Lannatique Kalare AWC เดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งให้กับโครงการ Lannatique Kalare ด้วยความร่วมมือกับพันธมิตรระดับแนวหน้าของไทยที่มีความเชี่ยวชาญในด้านศิลปะ การแสดง และอาหาร เพื่อเติมเต็มประสบการณ์การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมอย่างครบวงจร โดยเปิดพื้นที่ให้ศิลปิน ผู้ประกอบการ และชุมชนท้องถิ่นที่มีวิสัยทัศน์เข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนและสร้างสรรค์ประสบการณ์พิเศษ เริ่มด้วยพันธมิตรชั้นนำที่จะส่งต่อคุณค่าของไทยสู่นักเดินทางจากทั่วโลก 
•    6ixcret Show โดยกันตภณ เนียมมณี นักออกแบบการแสดง เจ้าของผลงานสร้างสรรค์ในเชียงใหม่ และระดับประเทศ ร่วมกับทีมผู้บริหารและทีมงานผู้มีประสบการณ์จากเวทีการแข่งขันระดับนานาชาติ ซึ่งจะเข้าร่วมพัฒนาภายในโครงการ Lannatique Kalare เพื่อเปิดโรงละครภายใต้แบรนด์ STARGANZA LIVE นำเสนอการแสดง Cabaret Show ร่วมสมัยที่หลอมรวมศิลปะ แฟชั่น วัฒนธรรมล้านนาท้องถิ่น ถ่ายทอดออกมาในมิติที่ใหม่แบบอิมเมอร์ซีล้ำสมัย กล้าท้าทายและทรงพลัง พร้อมยกระดับการแสดงศิลปะในเชียงใหม่สู่มาตรฐานระดับสากล บนพื้นที่รวมมากกว่า 500 ตารางเมตร
•    ร้านเอกฉันท์ โดยเชฟเอก เอกพล พิชวงค์ ผู้สร้างสรรค์อาหารไทยท้องถิ่นชื่อดังจากมิชลินไกด์ในเชียงใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับวัตถุดิบจากแหล่งออร์แกนิกท้องถิ่นและรสชาติที่สะท้อนเอกลักษณ์ของภูมิภาค เตรียมเปิดโมเดลใหม่ในโครงการ Lannatique Kalare ที่จะนำเสนออาหารไทยที่เปี่ยมด้วยอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมผ่านวัตถุดิบพื้นถิ่นคุณภาพดี ถ่ายทอดรสชาติและเรื่องราวจากทุกภูมิภาคของประเทศในมิติใหม่ที่ยังคงความดั้งเดิมไว้อย่างกลมกลืน บนพื้นที่รวมมากกว่า 500 ตารางเมตร

“Chiang Mai Tram by Lannatique” เชื่อมเส้นทางวัฒนธรรมทั่วเมืองเชียงใหม่ผ่านโครงข่ายรถแทรมไฟฟ้าล้อยางนำเที่ยวแห่งแรกของภาคเหนือ“Chiang Mai Tram by Lannatique” รถแทรมไฟฟ้าล้อยางนำเที่ยวแห่งแรกของประเทศที่ได้รับการพัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด Innovative and Sustainable Tourism เชื่อมโยงแหล่งท่องเที่ยวสำคัญทางประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม และชุมชนท้องถิ่น รวมถึงร้านอาหาร คาเฟ่ ชื่อดัง รวมกว่า 40 แห่งตลอดสาย อาทิ ประตูท่าแพ วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร ตลาดวโรรส คลองแม่ข่า โครงการ “Lannatique” พันธุ์ทิพย์ ไลฟ์สไตล์ ฮับ เชียงใหม่ และโรงแรมในเครือ AWC เป็นต้น 

“Chiang Mai Tram by Lannatique” จะช่วยลดการปล่อยมลภาวะก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ จากการใช้พลังงานไฟฟ้า พร้อมมอบความสะดวกสบายให้กับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ โดยผู้ใช้บริการสามารถจอดรถส่วนตัวไว้บริเวณรอบนอก หรือในโครงการเครือ AWC แล้วเดินทางเข้าสู่เมืองด้วยรถแทรมไฟฟ้าล้อยางเพื่อลดการใช้พลังงานและการจราจรที่หนาแน่นในเขตเมือง โดยรายได้สุทธิจากโครงการ “Chiang Mai Tram by Lannatique” จะร่วมสนับสนุนกิจกรรมเพื่อชุมชนยั่งยืนให้จังหวัดเชียงใหม่ต่อไป 

คุณค่าในทุกมิติ ด้วยการรวมพลังเพื่อความยั่งยืน
AWC มุ่งมั่นเป็นส่วนหนึ่งตามนโยบายความยั่งยืนของเมืองเชียงใหม่ เพื่อสร้างคุณค่าองค์รวมในทุกมิติ และสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจ สังคม และชุมชน ผ่านการลงทุนและพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ตอบโจทย์แผนการพัฒนาเมือง และขับเคลื่อนคุณภาพชีวิตของคนเชียงใหม่ให้เติบโตไปด้วยกัน สู่การเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวยั่งยืนแห่งความภาคภูมิใจของทั้งคนเชียงใหม่และประเทศไทยบนเวทีโลก
 

แม่ทัพภาคที่ 2 ย้ำกองทัพไทยคุมเข้มชายแดน – ปกป้องอธิปไตยเต็มที่ กรณีทหารเขมรรุกเนิน 745

(19 พ.ค. 68) จากกรณีที่มีรายงานข่าวว่า ทหารกัมพูชาได้รุกล้ำเข้าพื้นที่เนิน 745 ช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี โดยมีลักษณะการสร้างฐานที่มั่น ขุดคูเลท และเสริมกำลังพร้อมอาวุธครบมือ ทหารพรานกองกำลังสุรนารีได้เข้าตรวจสอบและพูดคุยกับฝ่ายกัมพูชา กระทั่งได้ข้อสรุปว่าทหารกัมพูชาจะยุติการขุดคูเลทและถอนกำลังออกจากพื้นที่ที่ยังไม่มีการปักปันเขตแดน พร้อมตกลงจะนัดพบในห้วงเวลาโดยไม่มีอาวุธ และมีการลาดตระเวนร่วมกัน

อย่างไรก็ตาม ยังมีรายงานว่าทหารกัมพูชาบางส่วนยังคงอยู่ในพื้นที่ล้ำแดนบริเวณอื่นของช่องบกระยะห่างประมาณ 150 เมตร ซึ่งทหารไทยได้เจรจาเรียกร้องให้ถอยหลายครั้งแต่ยังไม่ได้รับความร่วมมือ ขณะที่ฝ่ายไทยยังคงตรึงกำลังอย่างต่อเนื่องเพื่อควบคุมสถานการณ์

พลโท บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวถึงสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาว่า ขณะนี้ยังมีบางจุดที่เกิดความไม่เข้าใจกันซึ่งเป็นผลจากการใช้แผนที่คนละฉบับ แต่โดยรวมถือว่าเป็นสถานการณ์ที่ควบคุมได้ โดยยืนยันว่าฝ่ายไทยยังคงลาดตระเวนตามปกติ และมีความพยายามในการแก้ไขปัญหาด้วยสันติวิธีเป็นหลัก

ทั้งนี้ หลังการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (GBC) ระหว่างรัฐมนตรีกลาโหมของทั้งสองประเทศ ได้มีข้อตกลงร่วมกันในหลักการ “ใครอยู่ตรงไหน ให้อยู่ตรงนั้น” หากจะมีการเคลื่อนไหวต้องแจ้งล่วงหน้าและพูดคุยกันก่อน พร้อมรอผลการดำเนินงานจากคณะอนุกรรมการปักปันเขตแดน

แม่ทัพภาคที่ 2 ย้ำว่า กองทัพภาคที่ 2 ในฐานะผู้รับผิดชอบพื้นที่ชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จะดูแลผลประโยชน์ของชาติ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนอย่างดีที่สุด พร้อมส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกองกำลังทั้งสองประเทศ ไม่ให้เกิดเหตุบานปลาย

ปัจจุบันจุดที่มีความเสี่ยงและยังไม่มีการปักปันอย่างชัดเจน ได้มีการถอนกำลังของทั้งสองฝ่ายเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ ส่วนจุดที่มีการประจำการตามปกติจะยังคงอยู่เช่นเดิม โดยยืนยันว่าการแก้ปัญหาทั้งหมดจะยึดแนวทางสันติและการเจรจาเป็นหลัก

เด​วิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​ 092-5259777​

ผู้ว่าฯ สงขลา พร้อม วปอ.66 สร้างสะพานบุญสู่ท้องถิ่น ร่วมทอดผ้าป่า-มอบทุนช่วยเด็กเปราะบาง พัฒนาวัดสุวรรณคีรี

เมื่อวันที่ (18 พ.ค. 68) นายโชตินรินทร์ เกิดสม ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา นำคณะนักศึกษา วปอ. รุ่นที่ 66 กลุ่มนกเค้าแมว จัดกิจกรรม CSR ณ วัดสุวรรณคีรี ต.หัวเขา อ.สิงหนคร จ.สงขลา โดยมีพิธีทอดผ้าป่าสามัคคี เพื่อนำรายได้ไปพัฒนาวัดและส่งเสริมการอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่น

ภายในงานมีการมอบสิ่งของและเงินช่วยเหลือให้กับนักเรียนกลุ่มเปราะบางในพื้นที่ รวมถึงการแจกเครื่องกรองน้ำ เสื้อกีฬา และเงินสงเคราะห์แก่เด็กในครอบครัวยากจน 30 ราย รวมเป็นเงิน 90,000 บาท โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานราชการ ผู้นำท้องถิ่น และประชาชนในพื้นที่

สำหรับยอดเงินจากการทอดผ้าป่าสามัคคีในครั้งนี้ มียอดเบื้องต้นอยู่ที่ 322,375 บาท ซึ่งจะนำไปใช้ในการบูรณะและพัฒนาสิ่งปลูกสร้างของวัดสุวรรณคีรี ให้เป็นศูนย์รวมจิตใจและสถานที่ประกอบกิจกรรมทางศาสนาในชุมชนต่อไป

ทั้งนี้ วัดสุวรรณคีรีเป็นวัดเก่าแก่ที่มีความสำคัญทางศาสนาและวัฒนธรรมของชาวสงขลา ก่อตั้งในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น และยังคงเป็นศูนย์กลางในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาและรักษาขนบธรรมเนียมประเพณีของท้องถิ่นมาจนถึงปัจจุบัน

จับจริง! ปราบน้ำมันเถื่อน สำนักงานตำรวจแห่งชาติโชว์ผลปฏิบัติ 4 เดือน จับแล้วเกือบ 400 คดี

(19 พ.ค. 68) พล.ต.อ.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง (ศปนม.ตร.) เปิดเผยว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ภายใต้การนำของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ขับเคลื่อนภารกิจตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล โดยในส่วนของการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง ศปนม.ตร. มีผลการดำเนินงานในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา วันที่ 1 มกราคม ถึง 30 เมษายน 2568 ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ 4 มิติหลักอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ดังนี้

1. มิติการตรวจป้องกัน : ดำเนินการตรวจทั้งทางบกและทางน้ำรวม 4,642 ครั้ง มากกว่าเป้าหมายที่วางไว้ (4,400 ครั้ง) คิดเป็น 105.5% โดยตรวจทางบก 4,480 ครั้ง และทางน้ำ 162 ครั้ง

2. มิติการดำเนินคดี : สามารถจับกุมคดีที่เกี่ยวข้องกับน้ำมันเชื้อเพลิงได้ 393 คดี แบ่งเป็นคดีที่อยู่ในชั้นสอบสวน 166 คดี และคดีที่เปรียบเทียบปรับแล้ว 227 คดี รวมมีผู้ต้องหา 335 คน เป็นชาย 249 คน หญิง 106 คน ในจำนวนนี้มีผู้ต้องหาต่างชาติ 4 คน และเป็นนิติบุคคล 22 ราย

3. มิติของกลาง : ของกลางที่ยึดได้จากการดำเนินคดีมีปริมาณน้ำมันกว่า 832,000 ลิตร คิดเป็นมูลค่ากว่า 24.9 ล้านบาท และก๊าซปิโตรเลียมเหลวกว่า 58,000 กิโลกรัม มูลค่าราว 2.1 ล้านบาท

4. มิติเงินค่าปรับ : จากคดีที่เปรียบเทียบปรับแล้ว 226 คดี ได้เงินค่าปรับรวมกว่า 4.3 ล้านบาท และยังมีคดีที่อยู่ระหว่างสอบสวนอีก 166 คดี ซึ่งคาดว่าจะมีค่าปรับเพิ่มขึ้นอีกหลังการดำเนินการเสร็จสิ้น

พล.ต.อ.ธัชชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า การดำเนินงานตลอด 4 เดือนที่ผ่านมา เป็นความสำเร็จที่สะท้อนถึงความจริงจังของสำนักงานตำรวจแห่งชาติในการลดความเสียหายด้านพลังงานและเศรษฐกิจของประเทศ โดยหลังจากนี้จะมีการเร่งสืบสวนขยายผลไปถึงเครือข่ายผู้อยู่เบื้องหลังอย่างเข้มข้น โดยไม่มีการละเว้นผู้กระทำผิดไม่ว่าเป็นใคร

พร้อมกันนี้ ขอความร่วมมือจากประชาชนให้ช่วยกันสอดส่อง และแจ้งเบาะแส หากพบการลักลอบค้าน้ำมันเถื่อน หรือจำหน่ายก๊าซผิดกฎหมาย รวมถึงหากพบเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้อง สามารถแจ้งได้ที่สายด่วน 1599
เพื่อร่วมกันปกป้องความมั่นคงด้านพลังงานของประเทศ

‘กรณ์’ คาใจผู้ว่าฯ กทม. พยายามแก้ กม. เอื้อสร้างตึกสูง ลั่น!! อย่าเอาใจ ‘นายทุนอสังหาฯ’ ให้มากเกินไป

(18 พ.ค. 68) นายกรณ์ จาติกวณิช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า …

การทำงานของ กทม. แถวบ้านผม หลายวันที่ผ่านมา กทม. สร้างความประทับใจในการทำงานอยู่หลายงานครับ

1. ปรับปรุงกระจกจราจรในมุมอันตรายภายใน 2 วันจากที่ชาวบ้านแจ้งไปทาง  traffy fondue

2. มาลอกคลอง 2 วันก่อนฝนตกหนัก (โดยไม่มีใครร้องขอ) คลองนี้เป็นคลองระบายนํ้าสำคัญจากสาทรผ่านไปออกเจ้าพระยา และกลายวันที่ผ่านมาที่ฝนตกหนักมากนํ้าระบายออกอย่างดี

3. ซ่อมใหญ่ท่อระบายนํ้าในซอยเย็นอากาศ 3  ด้วยระบบการทำงานที่ดีมาก คือ ขุด-ปรับปรุงจนเสร็จทีละจุด ไล่ไปตามซอย ขณะนี้มาถึงท่อกลางซอย แต่ช่วงต้นซอยที่ขุดไปก่อนได้มีการปรับปรุงและซ่อมคืนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทำงานเร็ว เท่าที่เห็น มีคนงานทำอยู่ทุกวัน

ผมไม่รู้จริงๆว่างานเหล่านี้สำนักงานเขต (ยานนาวา) เขาทำกันเอง หรือเป็นนโยบายหรือการกำกับของท่านผู้ว่าฯ แต่เมื่องานดี ผมขอชม เพราะพองานไม่ดี ทั้งผู้ว่าฯ (ทุกยุค) และเจ้าหน้าที่ กทม. จะมีคนพร้อมด่าเสมอ

อย่างไรก็ตาม เรื่องสำคัญที่ผมยังคาใจกับท่านผู้ว่าเสมอคือเรื่องความพยายามแก้กฎหมายเพื่อเอื้อการสร้างตึกสูง และเพื่อลบล้างความผิดที่สำเร็จแล้ว

กทม. หลายยยุคที่ผ่านมาปล่อยปละละเลยเรื่องการก่อสร้างที่ผิดกฎหมาย บางครั้งศาลพิพากษาแล้ว แต่ กทม. ก็ไม่มีการดำเนินการตามคำสั่งศาล ประชาชนเสียเปรียบเพราะเมื่อสร้างไปแล้ว ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้

เรื่องงานจิปาถะสำคัญ แต่เรื่องผังเมือง เรื่องกฎหมาย และเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย โดยไม่เอาใจนายทุนอสังหาเกินไปก็สำคัญมากครับ หากผู้ว่ามีความชัดเจนเรื่องนี้จะดีมาก

‘รองเลขานายกฯ’ ชี้เป้า!! เครือข่าย ‘เว็บพนัน’ เตรียมส่งข้อมูล ‘ผบ.ตร.-บช.ก.’ ลุยล้างบาง

(18 พ.ค. 68) นายณณัฏฐ์ หงษ์ชูเวช รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง กล่าวถึงกรณีอดีตพระธรรมวชิรานุวัตร (แย้ม กิตฺตินฺธโร) อดีตเจ้าอาวาสวัดไร่ขิง จ.นครปฐม และอดีตเจ้าคณะภาค 14 ถูกดำเนินคดีฐานยักยอกเงินวัด เพื่อนำไปเล่นพนันออนไลน์ ว่า เรื่องพนันออนไลน์เป็นปัญหาใหญ่ของสังคมไทยที่เข้าไปถึงทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นวงการไหนของสังคม นำไปสู่อาชญากรรมต่างๆตามมาอย่างที่ได้เห็นกัน ปัญหานี้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้ความสำคัญอย่างมาก และได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานเร่งดำเนินการแก้ไขอย่างจริงจัง ให้เห็นผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม

นายณณัฏฐ์ เปิดเผยว่า จากข้อมูลที่ตนได้รับมา พบว่า กลุ่มทุนพนันออนไลน์ในประเทศไทย นอกจากเว็บไซต์ใหญ่ที่มีเครือข่ายทั่วประเทศอย่างเครือข่าย UFA888 แล้ว ก็ยังมีเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์อื่นๆที่แฝงตัวอยู่ตามจังหวัดหัวเมืองต่างๆทั่วประเทศ โดยใช้ชื่อแตกต่างกันไป และเนื่องจากเป็นการกระทำผิดในรูปแบบออนไลน์ จึงทำให้เป็นเรื่องยากสำหรับเจ้าหน้าที่ตำรวจในระดับพื้นที่ที่จะปราบปรามให้เด็ดขาด เพราะเคยสั่งปิดไป ก็กลับมาเปิดได้อีกด้วยชื่อใหม่ ลำพังทรัพยากรของตำรวจในพื้นที่อาจไม่เพียงพอ จำเป็นต้องบูรณาการการทำงานร่วมกับส่วนกลางด้วย

“ตนจะนำข้อมูลที่ได้รับมา ไปประสานกับหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการตรวจสอบเชิงลึกและมีขอบเขตอำนาจการทำงานครอบคลุมทั่วประเทศ ให้เป็นอีกหนึ่งแรงในการปราบปรามอย่างเด็ดขาด และต้องให้ไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปมีส่วนได้เสีย” นายณณัฏฐ์ กล่าว

นายณณัฏฐ์ กล่าวว่า ตนเห็นว่าการจะทำให้การพนันออนไลน์หมดไปจากสังคม หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งไม่สามารถดำเนินการได้เองโดยลำพัง ต้องอาศัยความร่วมมือของทุกหน่วยงานภาครัฐ ถึงจะเห็นผล และที่สำคัญ ต้องทำอย่างเด็ดขาด จริงจังตามที่นายกฯ สั่งการลงมา ไม่เช่นนั้นก็เหมือนการลูบหน้าปะจมูก ผลร้ายจะตกอยู่กับพี่น้องประชาชน 

‘ดร.สุวินัย’ เผย!! วิกฤตเด็ก Gen Z ในยุคดาต้านิยม ชี้!! พ่อแม่เขียนโปรแกรม ทำให้เด็กเปราะบาง

(18 พ.ค. 68) ศ.ดร.สุวินัย ภรณวลัย อดีตอาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า

หากเด็กไทยสมัยนี้โตขึ้นมา โดยไม่เคยได้วิ่งเล่นล้มเข่าถลอก ไม่มีเพื่อนบ้าน ไม่มีต้นไม้ให้ปีน

มีแต่เพียงหน้าจอมือถือหรือแทบเลตที่คอยบอกว่าใครชอบเขา ใครลืมเขา และเขาดีพอหรือยัง

หากเป็นแบบนี้ จงรู้ไว้เถิดว่า เราไม่ได้แค่เปลี่ยนวิธีเลี้ยงลูก เรากำลัง “เขียนโปรแกรมของเด็ก” ใหม่ทั้งระบบ!

และผลลัพธ์ที่ตามมาอย่างเลี่ยงไม่ได้ก็คือ "เด็กไทยสายพันธุ์ใหม่" ที่วิตกกังวล สับสน และเปราะบางกว่าทุกยุคก่อนหน้านี้มาก

เด็กในยุคดาต้านิยม (dataism) ต่อจากนี้ คงต้องเติบโตในโลกที่ไม่เคยทดสอบกับมนุษย์มาก่อน

1. คลื่นแห่งความทุกข์ที่โหมกระหน่ำแต่วัยเยาว์

เด็กยุคก่อนเคยเติบโตท่ามกลางจักรยาน เพื่อนบ้าน และลานดิน

แต่เด็ก Gen Z เติบโตท่ามกลางฟีดที่ไม่มีวันจบ การแจ้งเตือนที่ไม่เคยหลับ และภาพเปรียบเทียบตัวเองตลอด 24 ชั่วโมง นี่คือ “ดาวอังคาร” สำหรับวัยรุ่น เป็นพื้นที่ใหม่ที่พัฒนาการมนุษย์ยังไม่เคยถูกทดสอบ ไม่มีระบบนิเวศทางอารมณ์ที่เข้าใจได้ และไม่มีผู้ใหญ่คนไหนรู้วิธีอยู่รอดจริง ๆ

และผลลัพธ์ก็คือเกิดการ “การเขียนโปรแกรม” วัยเด็กครั้งใหญ่ที่ทำให้ อัตราความเครียด ความซึมเศร้า และการทำร้ายตัวเองของวัยรุ่นพุ่งขึ้นอย่างรุนแรงในช่วงปี 2010–2015

2. โลกออนไลน์เปลี่ยนวัยเด็กไปตลอดกาล

จุดเริ่มต้นของวิกฤตคือช่วงต้นทศวรรษ 2010 ซึ่งมีจุดเปลี่ยนสำคัญ 3 อย่าง:

2.1 การระบาดของสมาร์ตโฟน – เมื่อไอโฟน 4 เปิดตัวในปี 2010 พร้อมกล้องหน้า โลกแห่ง “เซลฟี่” ก็เริ่มต้น

2.2 การครองเมืองของโซเชียลมีเดีย – การมาถึงของ “ปุ่มไลก์” และ “แชร์” ใน Facebook และ Instagram เปลี่ยนพฤติกรรมออนไลน์ให้กลายเป็นสนามประลองการยอมรับ

2.3 การลดลงของการเล่นนอกบ้าน – การเลี้ยงลูกแบบ Overprotective และการหายไปของ “play-based childhood” ทำให้เด็กไม่มีพื้นที่เสี่ยงภัยเพื่อฝึกใจ ฝึกสังคม

เด็กยุคนี้จึงต้องโตในโลกที่มี “หน้าต่างพลังงาน” ส่งสารพลังทำลายสมองเข้าสู่ตลอด 24 ชั่วโมง และไม่มีใครเตือนพวกเขาว่ามันอันตรายแค่ไหน

3. โรคทางใจที่พุ่งไม่หยุด

ตั้งแต่ปี 2010 เป็นต้นมา อัตราโรคซึมเศร้าในวัยรุ่นอเมริกันเพิ่มขึ้นถึง 150% โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กผู้หญิงวัย 10–14 ปี ที่อัตราทำร้ายตัวเองเพิ่มขึ้นถึง 300% ในหนึ่งทศวรรษ

นี่ไม่ใช่เพียงการรายงานความรู้สึก (self-reporting) เท่านั้น แต่สะท้อนผ่านข้อมูล:

อัตราการเข้าห้องฉุกเฉิน ด้วยการทำร้ายตัวเอง (Emergency Room Visits for Self-Harm)

อัตราการฆ่าตัวตาย ในวัยรุ่นอายุ 10–14 ปี ที่พุ่งขึ้นตั้งแต่ปี 2012

การใช้ยาและการวินิจฉัยภาวะซึมเศร้า ในระดับวิทยาลัยที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

และที่สำคัญ เด็กผู้ชายก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน แม้จะชัดเจนน้อยกว่าก็ตาม

4. ความแตกต่างระหว่าง “ความกลัว” กับ “ความวิตกกังวล”

ความกลัว (fear) คือการตอบสนองต่อภัยอันตรายจริงในปัจจุบัน ส่วนความวิตกกังวล (anxiety) คือ การคาดการณ์ภัยที่ยังมาไม่ถึง... และไม่แน่ว่าจะมาด้วยซ้ำ

แต่เมื่อสมองของวัยรุ่นถูกฝึกให้ “สแกนหาอันตราย” ตลอดเวลา ผ่านโพสต์ ติ๊ดแจ้งเตือน ไลก์ที่หายไป — อะไร ๆ ก็กลายเป็นภัย ทั้งคำพูดของเพื่อน รูปร่างตัวเอง หรือแม้แต่การถูก “อ่านแล้วไม่ตอบ”

ระบบประสาทถูกรีไวร์ให้ตื่นตลอดเวลา — กลายเป็น โหมดเอาตัวรอดทางสังคมถาวร (Chronic Social Survival Mode)

5. เด็ก Gen Z ไม่ได้ซึมเศร้าเพราะโลกร้อน... แต่เพราะ “อยู่คนเดียว”

มีคำอธิบายมากมายที่พยายามจะโยนปัญหาไปที่ "สภาพโลก":

ความขัดแย้งทางการเมือง

ภัยโลกร้อน

โรคระบาด COVID-19

สภาพเศรษฐกิจ

แต่จริง ๆ แล้ว... สาเหตุเหล่านี้ “ไม่ตรงกับไทม์ไลน์” ของวิกฤตสุขภาพจิตเลย

วิกฤตปี 2008 ไม่ทำให้เด็กยุคมิลเลนเนียลเป็นโรคซึมเศร้ามากขึ้น

การเปลี่ยนแปลงที่แรงที่สุดเกิดในปี 2012–2013 — ไม่ใช่ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ

ถ้าโลกแย่ลงจริง ๆ เด็กควรจะ “รวมพลัง” สู้ภัย ไม่ใช่แยกตัวจนซึมเศร้า

สิ่งที่ต่างออกไปในยุคนี้คือ... วัยรุ่นไม่ได้ออกไปประท้วง แต่เลื่อนนิ้วดูชีวิตคนอื่นที่ดูดีกว่าตัวเองตลอดเวลา

6. “พ่อแม่ไม่อยากให้ลูกโตบนโทรศัพท์... แต่เหมือนไม่มีทางเลือก”

เสียงจากพ่อแม่ทั่วอเมริกา:

พ่อแม่ที่เห็นลูกสาวเปลี่ยนไปหลังใช้ Instagram และฟื้นคืนตัวตนเมื่อได้ไปแคมป์ไร้โทรศัพท์

พ่อที่เห็นลูกชายที่เคยร่าเริง กลายเป็นเด็กที่เอาแต่เล่นเกม และหงุดหงิดเมื่อโดนห้าม

ความรู้สึกหลักของพ่อแม่เหล่านี้คือ…

“เราสูญเสียลูกของเราไปให้โลกที่เราเข้าไม่ถึง นี่เป็นโลกที่เราไม่มีสิทธิ์ควบคุม”

ผลลัพธ์คือ ‘ลูกโดดเดี่ยว’

7. The Great Rewiring: จุดเริ่มต้นของวัยรุ่นดาวอังคาร

การรีไวร์ครั้งใหญ่ของวัยเด็กเริ่มต้นขึ้นระหว่างปี 2010–2015

จากวัยเด็กที่เต็มไปด้วย “การเล่นเสี่ยงภัย” และ “การลองผิดลองถูก” สู่วัยเด็กที่ต้องสแกนฟีด สร้างแบรนด์ตัวเอง และเปรียบเทียบไม่รู้จบ

การใช้ชีวิตแบบ “อยู่ตรงนี้ แต่จิตใจอยู่ที่อื่น” กลายเป็นบรรทัดฐาน และมันไม่ได้ฝึกความสามารถสำคัญใด ๆ ที่มนุษย์ควรได้เรียนรู้ในวัยเด็กเลย

8. จุดจบของวัยเด็กแบบเล่นสนุก (The Play-Based Childhood)

ก่อนที่โลกจะกลายเป็นหน้าจอ ทุกชีวิตต่างรู้ดีว่า "การเล่น" คือระบบการเรียนรู้โดยธรรมชาติ เราเรียนรู้ที่จะสู้ เรียนรู้ที่จะสมานฉันท์ เรียนรู้ความกลัวและความกล้าหาญ ผ่านการวิ่งไล่ จับ โดนล้อ และตีกันแล้วก็คืนดีกันได้ใน 5 นาที

แต่โลกหลังยุค 1980s กลับเริ่มลดพื้นที่ของการเล่นแบบนั้นลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งในที่สุด เด็ก Gen Z กลายเป็น มนุษย์ยุคแรกในประวัติศาสตร์ที่โตขึ้นโดยไม่มีสนามให้เล่น ไม่มีความเสี่ยงให้ลอง และไม่มีเสรีภาพที่จะล้ม

และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการทำลายภูมิคุ้มกันทางจิตใจโดยที่ไม่มีใครตั้งใจ

9. พ่อแม่ยุคใหม่: ห่วงมาก... จนบั่นทอน

การเลี้ยงลูกแบบ “Overprotective Parenting” ที่เริ่มมากขึ้นในยุค 1990s คือหนึ่งในเหตุผลหลักที่เด็กไม่ได้รับ “วัคซีนทางประสบการณ์”

ยุคที่ข่าวลักพาตัวกลายเป็นหัวข้อข่าวรายวัน ทำให้สังคมเชื่อว่าโลกภายนอกคืออันตราย สวนสาธารณะคือกับดัก และถ้าปล่อยลูกเดินไปโรงเรียนเอง เท่ากับปล่อยลูกไปหาโจรโรคจิต

แม้ความจริงคือ สถิติอาชญากรรมต่อเด็กไม่ได้เพิ่มขึ้น แต่ความกลัวของพ่อแม่กลับเพิ่มขึ้นแบบไม่มีเพดาน และนั่นทำให้เด็กค่อย ๆ สูญเสีย "พื้นที่เสรีเพื่อเติบโต"

10. เล่นเสี่ยงภัยคือห้องทดลองทางอารมณ์

เด็กไม่ได้เปราะบางเพราะหกล้ม เด็กเปราะบางเพราะไม่เคยได้หกล้มเลยต่างหาก การเล่นที่มีความเสี่ยงพอสมควร เช่น ปีนต้นไม้ วิ่งไล่กัน ล้อกันแรง ๆ หรือทะเลาะกับเพื่อน เป็นสิ่งที่ “ฝึกหัวใจให้รับแรงกระแทก”

เด็กจะเรียนรู้การ “ควบคุมความกลัว” ฝึกทักษะทางสังคมโดยไม่ต้องมีผู้ใหญ่แทรกกลาง เรียนรู้การสร้างกฎ การเจรจา และการยอมแพ้อย่างมีศักดิ์ศรี

แต่วิธีเลี้ยงลูกแบบกลัวลูกเจ็บ กลัวลูกแพ้ กลัวลูกเศร้า กลายเป็นการบ่ม “ความเปราะบาง” อย่างไม่รู้ตัว

11. เด็กยุคใหม่ไม่ได้โต “ด้วยกาย” แต่โต “ด้วยการเลื่อนจอ”

ในอดีต เด็กอายุ 10–12 จะเข้าสู่ “Discover Mode” ซึ่งคือช่วงที่สมองเปิดกว้างที่สุดสำหรับการลองผิดลองถูก การหา “จุดแข็งของตัวเอง” และการเผชิญความเสี่ยงในระดับปลอดภัย

แต่ในยุคใหม่… เด็กวัยเดียวกันนี้ใช้เวลากับหน้าจอแทนการปั่นจักรยาน หัดตัดต่อคลิปก่อนหัดเจรจากับเพื่อน พูดกับ AI เก่งขึ้น แต่พูดกับคนแปลกหน้าไม่กล้า

ระบบรางวัลในสมองได้เปลี่ยนไปจาก “การลงมือทำจริง” → “การได้รับไลก์จากการโพสต์”

ผลคือ เด็กจำนวนมากโตโดยไม่ได้สร้าง self-efficacy (ความเชื่อว่าตนควบคุมชีวิตได้) แต่กลับฝึก self-branding แทน และนั่นคือรากแห่งความไม่มั่นคงในจิตใจของวัยรุ่นยุคนี้

12. วัยรุ่นโตขึ้น... แต่ไม่มีพิธีกรรมแห่งการ “เปลี่ยนผ่าน”

ในสังคมดั้งเดิม แทบทุกวัฒนธรรมมี “Rite of Passage” — พิธีกรรมที่ประกาศว่า เด็กคนหนึ่ง “ผ่านพ้น” สู่ความเป็นผู้ใหญ่เช่น

- พิธีบรรลุนิติภาวะ

- การฝึกทหาร

- การเรียนรู้กับครูหรือช่างฝีมือ

- การได้สิทธิ์ใหม่ เช่น ขับรถ หรือหารายได้เอง

แต่ในยุคปัจจุบัน วัยรุ่นกลับ “ถูกดองไว้” ในสภาวะครึ่งเด็กครึ่งผู้ใหญ่

- ไม่มีภาระอะไรจริงจังให้รับผิดชอบ

- ไม่มีอำนาจในการกำหนดชีวิต

- มีหน้าที่แค่ “เรียนเพื่อคะแนน” ไปเรื่อย ๆ

เป็นช่วงวัยที่เปราะบางที่สุดทางสมอง แต่กลับไม่มีโครงสร้างใดรองรับให้เขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่จริง ๆ

13. วัยเด็กที่หายไป ถูกแทนที่ด้วยชีวิตในโลกผู้ใหญ่ปลอม ๆ

ขณะเดียวกันที่เด็กไม่มีโอกาสเสี่ยงในโลกจริง พวกเขากลับมี อิสระเต็มที่ในโลกออนไลน์ แบบไม่มีใครกรอง

- เข้าถึงเนื้อหาผู้ใหญ่ทุกประเภท

- ได้รับข้อความจากใครก็ได้บนโลก

- เห็นความเกลียดชัง ความแกล้งกัน การคุกคาม ตั้งแต่วัย 9 ขวบ

เด็กยุคใหม่จึงโตมากับความรู้สึกสับสนระหว่าง…

- โลกจริงที่อิสระถูกพรากไป

- โลกเสมือนที่อิสระไร้ขอบเขตจน “จิตใจกลายพันธุ์”

14. สี่พิษร้ายแห่งวัยเด็กบนหน้าจอ

วัยเด็กคือช่วงเวลาที่สมองกำลัง “ตั้งค่า” วิธีมองโลกและใช้ชีวิตในโลกนี้

แต่ในยุคที่วัยเด็กกลายเป็นการ “อยู่หน้าจอ 7 ชั่วโมง/วัน” สิ่งที่สมองของเด็กเรียนรู้กลับกลายเป็น…

- ตอบสนองสิ่งกระตุ้นไวขึ้น แต่จดจ่อกับสิ่งใดลึก ๆ ได้น้อยลง

- มีความสัมพันธ์มากมาย แต่ตื้น และบอบบาง

- รับการให้รางวัลแบบสุ่มถี่ เหมือนทดลองกับหนูในห้องแล็บ

ผลลัพธ์คือ ระบบพัฒนาการของเด็ก “ถูกรีไวร์” จนผิดเพี้ยน และนำไปสู่ 4 ผลร้ายรุนแรงระดับโครงสร้างที่เรียกว่า…

→ Social Deprivation (ความสัมพันธ์ที่บกพร่อง)

→ Sleep Deprivation (นอนหลับน้อยลง)

→ Attention Fragmentation (สมาธิสั้น)

→ Addiction (ติดโซเชียล)

15. Social Deprivation: ความสัมพันธ์ที่พร่องลึกลงไปเรื่อย ๆ

หนึ่งในภัยที่ร้ายแรงที่สุดของวัยเด็กบนหน้าจอคือ “การพรากออกจากโลกแห่งร่างกาย”

เด็กในอดีตเรียนรู้การเข้าสังคมผ่าน…

-การสบตา

-การเล่นสมมติ

-การล้อกัน

-การให้อภัยและสร้างสัมพันธ์ใหม่

แต่เด็กยุคใหม่...

- แชทมากกว่าเล่น

- ตอบเร็วกว่าเข้าใจ

- สื่อสารแบบ asynchronous (คนละเวลา คนละอารมณ์) ซึ่งไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์

ผลคือ แม้จะมีเพื่อนหลายร้อยในออนไลน์ แต่เด็กกลับ “โดดเดี่ยวในใจ” มากกว่าที่เคยมีบันทึกในประวัติศาสตร์

16. Sleep Deprivation: เด็กหลับน้อยลงกว่าทุกยุคที่ผ่านมา

อัตราการนอนหลับของวัยรุ่น “ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ” หลังปี 2010

-วัยรุ่นจำนวนมากนอนน้อยกว่า 7 ชั่วโมงต่อคืน (ต่ำกว่ามาตรฐานที่แนะนำไว้คือ 8–10 ชั่วโมง)

-สาเหตุหลักคือ โทรศัพท์อยู่บนเตียง → ใช้จนดึก → สมองถูกแสงกระตุ้นจนหลับยาก

-การแจ้งเตือนที่ไม่สิ้นสุดจากมือถือ ทำให้ร่างกายไม่เข้าสู่ภาวะ “ปิดตัว”

และเมื่อเด็กอดนอน อารมณ์จะไม่เสถียร และซึมเศร้าง่าย

วงจรนี้จะหมุนวนซ้ำ ๆ จนกลายเป็นกับดักที่ยากจะแก้ไข

17. Attention Fragmentation: สมาธิสั้น จิตใจฟุ้งซ่าน

เด็กที่โตมากับ TikTok, Instagram, Reels และ YouTube Shorts กลายเป็นมนุษย์ที่ “ใช้เวลาในแต่ละคลิปเพียง 6 วินาทีโดยเฉลี่ย” ก่อนจะเลื่อนผ่าน

นี่คือการฝึกสมองให้...

คิดแบบไม่ต่อเนื่อง

เสพข้อมูลแบบส่วนเสี้ยว

ขาดสมาธิในการเรียนหรืออ่านหนังสือที่ลึกขึ้นเรื่อย ๆ

และเมื่อเด็กไม่สามารถจดจ่อกับสิ่งใดได้...

ความสามารถในการ “สร้างตัวตน” ผ่านความต่อเนื่องของความคิดก็ถูกทำลายไปด้วย

ความคิดแบบลึกซึ้ง (deep work) จึงถูกแทนที่ด้วยความวุ่นวายภายในจิตใจที่ไม่มีทางออก

18. Addiction: เสพติดโซเชียล จนระบบรางวัลในสมองถูกรบกวนอย่างถาวร

เด็ก Gen Z ไม่ได้ “เล่นมือถือ”

พวกเขา “โดนมือถือเล่นงาน” ต่างหาก

บริษัทเทคโนโลยีใช้วิธีการ operant conditioning (แบบเดียวกับการฝึกลิงหรือหมา) ด้วยการออกแบบให้...

ทุกครั้งที่เราเปิดแอป → มีอะไรใหม่เสมอ (variable reward)

ทุกครั้งที่คุณได้ไลก์ → สมองหลั่งโดพามีน

ทุกครั้งที่คุณเลื่อน → เหมือนได้รางวัลเล็ก ๆ ทำให้เลิกยาก

ระบบนี้คล้ายการพนัน ที่คุณติดไม่ใช่เพราะมันให้รางวัลใหญ่ แต่เพราะมันให้รางวัล “เล็ก ๆ น้อย ๆ แบบสุ่ม”

เด็กจำนวนมากจึงมีอาการ...

-วิตกกังวลเมื่ออยู่ห่างจากโทรศัพท์ (nomophobia)

-หงุดหงิดเมื่อต้องปิดหน้าจอ

-สูญเสียแรงจูงใจในการทำกิจกรรมที่ไม่ใช่หน้าจอ เช่น กีฬา ดนตรี งานฝีมือ

19. เด็กหญิงโดนหนักกว่าเด็กชายอย่างไร?

เด็กหญิงโตขึ้นมาในระบบที่...

-ยึดโยงคุณค่ากับรูปร่างหน้าตา

-ถูกฝึกให้ “สร้างแบรนด์” ผ่านภาพถ่ายและคำบรรยาย

-ต้องคอยตรวจสอบว่าใครเมนต์อะไร ใครไลก์ใครบ้าง

Instagram, TikTok กลายเป็น เครื่องวัดสถานะทางสังคมแบบเรียลไทม์ ที่ทำให้เด็กหญิงรู้สึก...

-ไม่ดีพอ

-ถูกจับจ้อง

-ถูกเปรียบเทียบอย่างไม่หยุดหย่อน

ผลคือ อัตราโรคซึมเศร้า วิตกกังวล และ self-harm ของเด็กหญิงพุ่งสูงกว่าผู้ชายอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงอายุ 10–14 ปี

20. เด็กชายก็ไม่รอด — แค่เส้นทางต่างกัน

เด็กชายไม่ได้จมอยู่ใน Instagram หรือ TikTok เท่าเด็กหญิงก็จริง

แต่พวกเขาจมอยู่ใน...

-วิดีโอเกมแบบ multiplayer

-YouTube แบบ endless scroll

-สื่อลามกสุดโต่งที่เข้าถึงได้ตั้งแต่ประถม

เด็กชายจำนวนมากจึงไม่ได้เผชิญภาวะวิตกกังวลแบบเด็กหญิง

แต่เจอปัญหาแบบ “หายไปจากโลกจริง” เช่น...

-วัยรุ่นที่ไม่เข้าสังคม (hikikomori)

-ไม่เรียนต่อ ไม่ทำงาน (NEET)

-ขาดความสามารถในการสื่อสารพื้นฐาน

21. Spiritual Degradation: จิตวิญญาณเสื่อมถอย

ปัญหาไม่ได้อยู่แค่สุขภาพจิต แต่อยู่ที่สุขภาวะของ “จิตวิญญาณ” (ในความหมายกว้าง) ด้วย

โลกออนไลน์ทำให้เรา...

เสพสารกระตุ้นอารมณ์รุนแรงตลอดเวลา

สูญเสีย “ความเงียบ” ที่จำเป็นต่อการคิดลึก

ไม่มีพื้นที่ว่างในการใคร่ครวญหรือจดจ่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในชีวิต

22. “แนวปฏิบัติ 6 ด้านเพื่อฟื้นฟูชีวิตภายใน” ได้แก่:

Awe – ความตื่นตะลึงทางจิตวิญญาณ

เช่น การมองท้องฟ้า ป่าเขา ดนตรี หรือศิลปะที่ทำให้ “ตัวตนหดลง โลกขยายออก”

Gratitude – การรู้สึกขอบคุณ

การฝึกมองเห็นความดีเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน ทำให้จิตสงบและพ้นจากวงจรเปรียบเทียบ

Prayer / Meditation – การภาวนา / สมาธิ

ไม่จำเป็นต้องผูกกับศาสนาเสมอไป แต่เป็นการคืนจิตให้จดจ่อกับปัจจุบันขณะ

Self-transcendence – การก้าวข้ามตัวตน

การทำสิ่งที่ไม่ได้เพื่อ “ตัวเอง” เช่น การอาสา การให้ หรือการทำเพื่อชุมชน

Silence and Solitude – ความเงียบและการอยู่กับตัวเอง

การอยู่ลำพังอย่างตั้งใจเพื่อฟัง “เสียงข้างใน” ซึ่งถูกกลบด้วยเสียงแจ้งเตือนทั้งวันจากมือถือ

Embodied Practices – การกลับมาใช้ร่างกาย

เช่น การเดินป่า ทำสวน ฝึกโยคะ หรือแม้แต่งานฝีมือ ที่ช่วยยึดโยงเราไว้กับโลกจริง

23. บริษัทเทคโนโลยี ควรเปลี่ยนจาก “ทำเพื่อ engagement” → “ทำเพื่อ well-being”

บริษัทเทคโนโลยีมิได้เลวร้ายโดยเนื้อแท้ แต่โมเดลธุรกิจที่วัด “ความสำเร็จ = เวลาที่คนอยู่บนแพลตฟอร์ม” คือสิ่งที่ต้องเปลี่ยน

Tech ควรเลิก “ติดตั้งการเสพติด” เป็นค่าเริ่มต้น (default)

แต่ควรสร้างฟีเจอร์ช่วย “เลิกใช้” ง่ายขึ้น เช่น ปิดการแจ้งเตือนอัตโนมัติหลัง 1 ชั่วโมง

ควรยอมเปิดเผยข้อมูลให้หน่วยงานวิจัยอิสระ เพื่อตรวจสอบผลกระทบต่อสุขภาพจิต

และถ้าบริษัทเทคไม่ขยับ — เราควรเรียกร้องให้ นักพัฒนาลาออกจากบริษัทเทคเหล่านั้น และร่วมสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เคารพ “ชีวิตมนุษย์” แทน

24. เราไม่ได้ปกป้องเด็กจากเทคโนโลยี แต่เราทิ้งเขาให้จัดการคนเดียว

เทคโนโลยีให้ประโยชน์กับผู้ใหญ่ในหลายด้านก็จริง

แต่กับเด็ก มันกลายเป็นสนามทดสอบที่ไม่มีคู่มือ ไม่มีรั้ว ไม่มีผู้ปกครอง

ผู้ใหญ่สามารถควบคุมตัวเองเวลาใช้ social media ได้บางส่วน

แต่เด็กวัย 11 ที่สมองยังไม่พัฒนาเต็ม → ถูกปล่อยเข้าสู่โลกแห่งความเปรียบเทียบ รางวัลแบบสุ่ม และแรงกดดันทางสังคมแบบไม่หยุดพัก

25. ความผิดพลาด 2 ประการ

สรุปว่า เราทำ “พลาดอย่างรุนแรง” 2 ข้อพร้อมกัน:

1. Overprotecting in the Real World

– เรา “หวง” เด็กจากโลกจริงจนเขาไม่ได้ออกไปลองผิดลองถูก

– พ่อแม่กลัวลูกเดินไปโรงเรียนเอง แต่ไม่กลัวลูกเล่น หรือสนทนากับคนแปลกหน้าในโลกออนไลน์

2. Underprotecting in the Virtual World

– เรา “ปล่อย” เด็กให้จมหายอยู่ในโลกออนไลน์โดยไม่มีเกราะป้องกัน

– โลกออนไลน์กลายเป็นทั้งเพื่อน ทั้งครู ทั้งศัตรู และทั้งแหล่งเปรียบเทียบตลอด 24 ชั่วโมง

และผลก็คือ เด็ก Gen Z กลายเป็นมนุษย์ที่ “หลุดออกจากโลกแห่งพัฒนาการปกติ” โดยไม่มีใครตั้งใจ

26. ปัญหาทางจิตของเด็กจึงไม่ได้จบแค่โรค แต่มันคือการสั่นคลอนแก่นกลางแห่งความเป็นมนุษย์ของตัวเด็กเอง

วิกฤตสุขภาพจิตของเด็กยุคนี้ มิใช่แค่ “โรคซึมเศร้า” หรือ “ภาวะวิตกกังวล” เท่านั้น แต่คือการเปลี่ยนระดับการรับรู้ของมนุษย์อย่างถึงราก

เราเสพข้อมูลมากกว่าที่เราสามารถตีความได้

เราสร้างตัวตนเพื่อให้ถูกมอง มากกว่ามีตัวตนที่ลึกจริง

เราอยู่ในสถานะ “ระแวดระวังทางสังคม” ตลอดเวลา โดยไม่รู้ตัว

และในความวุ่นวายนี้ เราสูญเสียความสามารถพื้นฐานของมนุษย์ 3 อย่าง:

จดจ่อ (Attention)

เชื่อมโยง (Connection)

ไตร่ตรอง (Reflection)

27. สิ่งที่ Gen Z ทำได้ และเราควรสนับสนุน

Gen Z อาจไม่ใช่เหยื่อผู้พ่ายแพ้ แต่คือ “รุ่นผู้ตื่นรู้” รุ่นแรกของมนุษยชาติ

หากพวกเขา...ได้เห็นกับตาว่าอะไรทำลายจิตใจตนเอง

หากพวกเขา...ได้เริ่มต่อต้าน algorithm ที่ควบคุมพฤติกรรม

หากพวกเขา...ได้เริ่มกลับสู่การอ่านหนังสือกระดาษอย่างจริงจัง

หากพวกเขา...ได้หันไปคบเพื่อนแบบสนิทกันจริง ๆ

หากพวกเขา...ได้หันกลับมาใช้ชีวิตออฟไลน์ด้วย

วัยเด็กไม่ควรเป็นสนามทดลองของบริษัทเทคโนโลยี

การปกป้องที่ดีที่สุด ไม่ใช่การห้ามทุกอย่างที่เสี่ยง

แต่คือการกล้าให้เด็กได้สัมผัสโลกจริง

ก่อนที่โลกเสมือนจะหลอมเขาให้หายไปจากความเป็นมนุษย์

~ เก็บความจาก The Anxious Generation ของ Jonathan Haidt

เครดิต : เพจ Success Strategies กลยุทธ์แห่งความสำเร็จ

จากเพจ นัทแนะ

วันนี้ผมขอนำเรื่องของคุณครูสาวชาวอเมริกันมาเล่าสู่กันฟัง

ครูสาวสวยคนนี้เธอชื่อว่า “แฮนน่า มาเรีย - Hanna Maria" เป็นครูสอนภาษาอังกฤษอยู่ที่โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในอเมริกา ซึ่งเธอเข้ามาสอนได้ 3 ปีแล้ว และก็เพิ่งลาออกมาหมาด ๆ

และเมื่ออาทิตย์ที่แล้วคุณครูเธอได้โพสท์ติ๊กต่อกระบายความในใจเกี่ยวกับบรรดาอดีตลูกศิษย์ของเธอดังนี้

”เด็ก ๆ พวกนี้ไม่รู้จักการอ่านหนังสือ เพราะทุกวันนี้แค่กดคลิกปุ่มบนหน้าจอ เครื่องก็อ่านให้พวกเขาฟังได้เลย

ฉันคิดว่าพวกเขาไม่แคร์ด้วยซ้ำไป เขาไม่สนใจที่จะหัดเขียนใบประวัติเพื่อสมัครงาน (Resume) หรือกระทั่งเขียนจดหมายแนะนำตัว

นั่นเพราะ ChatGPT สามารถเขียนให้เขาได้หมด

ฉันคิดว่าเราควรจะตัดเทคโนโลยีพวกนี้ออกจากเด็ก ๆ จนกว่าจะเข้ามหาวิทยาลัย“

คลิปติ๊กต่อกนี้กลายเป็นไวรัลในอเมริกา มีคนชมเป็นล้าน จนกระทั่งสำนักข่าวฟอกซ์นิวส์ต้องไปขอสัมภาษณ์คุณครูแฮนน่าว่าเธอคิดเห็นอย่างไรถึงได้ทำโพสท์นี้ขึ้นมา คุณครูเล่าว่า

“ฉันอยากจะจุดประเด็นเรื่องของเทคโนโลยีและเอไอที่มีผลกระทบต่อเด็ก ๆ ขึ้นมาค่ะ แม้ว่าจริง ๆ แล้วเด็ก ๆ หลายคนในคลาสของฉันก็มีเด็กที่เก่งและหัวดีก็ตาม

ในคลาสที่ฉันสอนภาษาอังกฤษนั้น บ่อยครั้งที่ฉันขอให้เด็ก ๆ เขียนเรื่องราวเป็นคำตอบสั้น ๆ ความยาวแค่เพียง 5 ประโยคก็ได้

และก็บ่อยครั้งมากเช่นกันที่เด็ก ๆ จะเขียนตอบมาแค่ 2 ประโยคแล้วบอกว่า “คิดอะไรไม่ออกแล้ว” บางคนก็เขียนไม่จบประโยคแล้วก็แย้งกับฉันว่า จะต้องเขียนให้จบประโยคทำไม เขียนแค่นี้ก็สื่อกันเข้าใจแล้วนี่นา

บางครั้งฉันสั่งการบ้านให้เด็ก ๆ เขียนบทความสั้น ๆ หรือ essay และเมื่อนักเรียนเอาการบ้านนี้กลับมาส่งนั้น ฉันต้องบอกก่อนว่า ฉันรู้จักและจำวิธีการเขียนของนักเรียนแต่ละคนได้จากการนั่งเขียนในห้องเรียน

และฉันรู้ดีว่าลักษณะการเขียนของเด็กชั้นมัธยมนั้นเป็นอย่างไร

เมื่อฉันได้อ่านการบ้านของเด็ก ๆ ในคลาสแล้ว มีหลายคนที่ฉันต้องเรียกมาถามว่าได้ให้ ChatGPT เขียนให้หรือเปล่า?

เด็ก ๆ กลับตอบฉันว่า “ถ้าต้องเอาการบ้านกลับไปแก้ใหม่ จะกระทบเกรดสักแค่ไหน? ขอเอาแค่ศูนย์ก็ได้“

ฟังมาถึงตอนนี้ นักข่าวก็ร้องว้าวแล้วถามคุณครูว่า ”นี่มันแค่ว่าเด็กขี้เกียจหรือเปล่าคะคุณครู?“

ครูแฮนน่าตอบว่า ”นักเรียนเขามีความคิดว่า เอไอสามารถทำงานแทนพวกเขาได้น่ะค่ะ คือฉันต้องออกตัวก่อนว่าในชั้นเรียนระดับสูง ๆ นั้น เอไอสามารถเอามาใช้ให้มีประโยชน์ในห้องเรียนได้นะคะ“

”แต่ถ้าเราอนุญาตให้นักเรียนใช้เอไอได้อย่างไม่มีข้อจำกัด พวกเขาก็จะไม่ทำงานทำการบ้านเองค่ะ“

และตอนนี้คุณครูแฮนน่าเธอก็ลาออกจากโรงเรียนแล้ว หลังจากที่สอนมาได้ 3 ปี

สำหรับผมแล้ว ผมเห็นด้วยกับคุณครู 100% ทักษะการฟังพูดอ่านเขียนและกระบวนการคิดที่ดี คือพื้นฐานของผู้มีการศึกษา

เอไอไม่ได้มีประโยชน์อะไรมากมายสำหรับเด็ก ๆ อย่าเอามาใช้ในวัยที่กำลังพัฒนาทักษะเหล่านี้เลย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top