Monday, 20 May 2024
NEWS FEED

ดีแทค เข้าพบ กสทช. รายงานการให้บริการลงทะเบียนโครงการคนละครึ่งรอบเก็บตก ระบุ ระบบไอทีทำงานเต็มประสิทธิภาพ 100% ส่งOTP สำเร็จประมาณ 500,000 รายการ จากจำนวน 1.34 ล้านสิทธิ ในช่วงเวลา 9 นาที

นายชารัด เมห์โรทรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กล่าวว่า “ระบบไอทีของดีแทคสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ 100% เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าในช่วงลงทะเบียนโครงการคนละครึ่งเมื่อวันที่ 20 มกราคม โดยมีอัตราเฉลี่ยในการส่ง OTP ให้ลูกค้าสำเร็จด้วยเวลาที่รวดเร็วและถูกต้องตามมาตรฐานของเรา”

ทั้งนี้ ดีแทคได้รายงานข้อมูลต่อ กสทช. ระบุว่าระบบของดีแทคสามารถส่ง OTP ประมาณ 500,000 รายการในการลงทะเบียนโครงการคนละครึ่งก่อนที่จะปิดให้ทำรายการในเวลาประมาณ 06.09 น. ตามที่โครงการแจ้งในเว็บไซต์ระบุสิทธิครบจำนวน โดยผู้ที่ลงทะเบียนจะได้รับการยืนยันสิทธิ์ตามขั้นตอนต่อไป สำหรับในครั้งนี้จะมีผู้ได้รับสิทธิ์จากโครงการคนละครึ่งจำนวน 1.34 ล้านสิทธิ

“ดีแทคได้เตรียมพร้อมล่วงหน้าอย่างเต็มที่ในการให้บริการ ซึ่งเป็นไปตามที่ กสทช ร้องขอ และที่สำคัญเราเตรียมพร้อเพื่อลูกค้าของเรา ดีแทคได้ดำเนินมาตรการต่างๆ ในการทดสอบทั้งระบบไอทีและระบบโครงข่ายเพื่อรองรับโครงการคนละครึ่ง รวมถึงทดสอบความพร้อมเทคโนโลยีทั้งระบบกับพันธมิตรผู้ที่ให้บริการหลักที่เกี่ยวข้อง และจำลองการทดสอบในสถานการณ์จริงล่วงหน้าเพื่อความมั่นใจในการให้บริการอย่างเต็มที่” นายชารัด กล่าว

สถานการณ์ COVID-19 ประเทศไทยและอาเซียน (21 มกราคม พ.ศ. 2564)

ศูนย์ข้อมูล COVID-19 รายงานสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ประจำวัน โดยประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่ม 142 ราย ทำให้ยอดผู้ป่วยยืนยันสะสมอยู่ที่ 12,795 ราย รวมยอดผู้เสียชีวิต 71 ราย รักษาหายเพิ่ม 221 ราย รวมผู้ป่วยที่รักษาหายแล้ว 9,842 ราย ยังคงรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 2,882 ราย

ทั้งนี้ ผู้ป่วยรายใหม่ 142 ราย เป็น ผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศและเข้าสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ จากเมียนมา 2 ราย ,สวิตเซอร์แลนด์ 1 ราย ,สวีเดน 1 ราย ,ตุรกี 3 ราย ,ญี่ปุ่น 1 ราย ,อินเดีย 3 ราย ,สหรัฐอเมริกา 3 ราย ,มาเลเซีย 3 ราย

ผู้ป่วยรายใหม่จากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 88 ราย

ติดเชื้อจากการตรวจคัดกรองเชิงรุก 37 ราย

ขณะเดียวกันสถานการณ์ COVID-19 ของประเทศในกลุ่มอาเซียนมีการอัพเดทดังนี้

ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 174 ราย รักษาหายแล้ว 169 ราย เสียชีวิต 3 ราย

ประเทศกัมพูชา ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 453 ราย รักษาหายแล้ว 396 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศอินโดนีเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 9.4 แสน ราย รักษาหายแล้ว 7.64 แสน เสียชีวิต 26,857 ราย

ประเทศลาว ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 41 ราย รักษาหายแล้ว 41 ราย ไม่มียอดผู้เสียชีวิต

ประเทศมาเลเซีย ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.69 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.28 แสน ราย เสียชีวิต 630 ราย

ประเทศพม่า ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 1.36 แสน ราย รักษาหายแล้ว 1.19 แสน ราย เสียชีวิต 2,997 ราย

ประเทศฟิลิปปินส์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 5.06 แสน ราย รักษาหายแล้ว 4.67 แสน ราย เสียชีวิต 10,042 ราย

ประเทศสิงคโปร์ ยอดรวมผู้ติดเชื้อ 59,197 ราย รักษาหายแล้ว 58,926 ราย เสียชีวิต 29 ราย

ประเทศเวียดนาม ยอดรวมติดเชื้อ 1,544 ราย รักษาหายแล้ว 1,406 ราย เสียชีวิต 35 ราย

‘บิ๊กป้อม’ ห่วงใยประชาชน สั่งเร่งแก้ปัญหาน้ำ ประชุม กนช. ผลักดันโครงการขนาดใหญ่ แก้ภัยแล้ง-น้ำท่วม ซ้ำซาก เห็นชอบโครงการ ป้องกันน้ำท่วม กทม. และพัฒนาเมืองต้นแบบ จ.ปัตตานี ย้ำนโยบายรายได้ท้องถิ่น พัฒนากลับคืนสู่ ประชาชนช่วยแก้ปัญหายั่งยืน

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุม คณะกรรมการทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (กนช.) ครั้งที่1/2564 โดยมี นาย วราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทส. เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุม 301 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล

กนช. ได้รับทราบสถานการณ์น้ำ ในปัจจุบันจากแหล่งน้ำทั่วประเทศ มีปริมาณน้ำ จำนวน 48,558 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 59 ปริมาณน้ำใช้การ 24,456 ล้าน ลบ.ม. คิดเป็นร้อยละ 42 อยู่ในเกณฑ์ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา และได้มีการพิจารณาเห็นชอบ โครงการขนาดใหญ่ งป.ปี65 ของ กทม.จำนวน 4 โครงการ ได้แก่

1) โครงการก่อสร้างเขื่อน คลองบางไผ่จากบริเวณ คลองพระยาราชมนตรี ถึงบริเวณสุดเขต กทม.

2) โครงการ ก่อสร้างเขื่อน พร้อมระบบรวบรวมน้ำเสียคลองแสนแสบบริเวณประตู ระบายน้ำมีนบุรี ถึงประตูระบายน้ำหนองจอก

3) โครงการก่อสร้างเขื่อนคลองบางนา จากคลองเคล็ดถึงบริเวณแม่น้ำเจ้าพระยา

และ 4) โครงการก่อสร้างส่วนต่อขยายอุโมงค์ระบายน้ำใต้คลองบางซื่อ จากถนนรัชดาภิเษก ถึงคลองลาดพร้าว และเนื่องจากเป็นโครงการ ที่เป็นคลองซอยเพื่อการระบายน้ำในพื้นที่กทม. ที่ประชุมจึงเห็นชอบให้กทม.ใช้งบรายได้ ของกทม.เองในการดำเนินโครงการ ต่อไป

นอกจากนั้น กนช. ยังได้เห็นชอบให้ อบจ.ปัตตานี ดำเนินโครงการสถานีสูบน้ำดิบ พร้อมระบบท่อส่งน้ำ โดยให้ใช้รายได้ของตนเองในการเชื่อมต่อระบบ และดูแลบำรุงรักษา เพื่อรองรับการพัฒนาเมืองต้นแบบสามเหลี่ยม มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน จ.ปัตตานี เพื่อส่งเสริมการฟื้นฟู และพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม ของภาคใต้ ต่อไปด้วย

พล.อ.ประวิตร ได้กำชับ กนช.ให้กำกับ ติดตาม การดำเนินโครงการ ที่ผ่านความเห็นชอบแล้วในวันนี้ ให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ และกรอบเวลาที่กำหนด พร้อมมอบให้ สทนช. เร่งประสานงาน กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้มีการบูรณาการทำงานร่วมกัน ในการขับเคลื่อนโครงการ ดังกล่าวให้บังเกิดผล เป็นรูปธรรม ต่อไป

พล.อ.ประวิตร ยังได้กล่าวย้ำว่าโครงการต่าง ๆ ที่ได้มีการเสนอขึ้นมานั้น โดยเฉพาะ หน่วยงานหรือท้องถิ่นที่มีรายได้ควรจะต้องใช้งบประมาณของตนเอง กลับมาพัฒนาท้องถิ่น เพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ให้มากขึ้นด้วย

‘รมว.คมนาคม’ ถก คณะอนุกรรมการบูรณาการนโยบายพัฒนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เคาะ 2.22 ล้านบาท พัฒนาภาคอีสาน สู่ “ศูนย์กลางเศรษฐกิจของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง”

นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการบูรณาการนโยบายพัฒนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือว่า คณะอนุกรรมการบูรณาการนโยบายพัฒนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือพิจารณาให้ความเห็นชอบแผนงานโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประจำปี 2565 จำนวน 155 โครงการ งบประมาณรวมกว่า 22,288 ล้านบาท

อาทิ โครงการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงตามแนวชายแดนและแนวระเบียงเศรษฐกิจ โครงการพัฒนาโครงข่ายทางหลวงรองรับเมืองศูนย์กลางการค้า การบริการสุขภาพ และการศึกษา งานขยายลานจอดเครื่องบินท่าอากาศยานขอนแก่น และงานก่อสร้างอาคารที่พักผู้โดยสารหลังใหม่ท่าอากาศยานเลย เพื่อพัฒนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือสู่มิติใหม่เป็น “ศูนย์กลางเศรษฐกิจของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง”

ทั้งนี้ แผนปฏิบัติการภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 นั้น ได้ให้ความเห็นชอบแผนงานโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 ที่จะดำเนินการภายใต้แผนพัฒนาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 155 โครงการ งบประมาณรวม 22,288.40 ล้านบาท โดยแยกตามยุทธศาสตร์ 6 ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย ยุทธศาสตร์ที่ 1 การบริหารจัดการน้ำให้เพียงพอต่อการพัฒนาเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน จำนวน 2 โครงการ วงเงิน 9,339.40 ล้านบาท, ยุทธศาสตร์ที่ 2 การแก้ปัญหาความยากจนและพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้มีรายได้น้อยเพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม จำนวน 14 โครงการ วงเงิน 876.93 ล้านบาท

ยุทธศาสตร์ที่ 3 การสร้างความเข้มแข็งของฐานเศรษฐกิจภายในควบคู่กับการแก้ปัญหาทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จำนวน 82 โครงการ วงเงิน 4,376.89 ล้านบาท, ยุทธศาสตร์ที่ 4 การพัฒนาการท่องเที่ยวเชิงบูรณาการ จำนวน 29 โครงการ วงเงิน 5,192.43 ล้านบาท, ยุทธศาสตร์ที่ 5 การใช้โอกาสจากการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งที่เชื่อมโยงพื้นที่เศรษฐกิจหลักภาคกลางและพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) เพื่อพัฒนาเมืองและพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ ๆ ของภาค จำนวน 25 โครงการ วงเงิน 2,187.65 ล้านบาท

และยุทธศาสตร์ที่ 6 การพัฒนาความร่วมมือและใช้ประโยชน์จากข้อตกลงกับประเทศเพื่อนบ้านในการสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจตามแนวชายแดนและแนวระเบียงเศรษฐกิจ จำนวน 3 โครงการ วงเงิน 315.11 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังมีแผนพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พ.ศ.61-65 ฉบับทบทวน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.65 โดยให้ความเห็นชอบแผนพัฒนาจังหวัด พ.ศ.61-65 ฉบับทบทวน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.65 ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 20 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดอุดรธานี เลย หนองคาย หนองบัวลำภู บึงกาฬ สกลนคร นครพนม มุกดาหาร ขอนแก่น กาฬสินธุ์ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์ อุบลราชธานี ยโสธร ศรีสะเกษ และอำนาจเจริญ

ขณะเดียวกัน ยังให้ความเห็นชอบแผนพัฒนากลุ่มจังหวัด พ.ศ.61-65 ฉบับทบทวน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.65 ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 5 กลุ่มจังหวัด ประกอบด้วย กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 (จังหวัดอุดรธานี เลย หนองคาย หนองบัวลำภู และบึงกาฬ) กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 2 (จังหวัดสกลนคร นครพนม และมุกดาหาร)

กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนกลาง (จังหวัดขอนแก่น กาฬสินธุ์ มหาสารคาม และร้อยเอ็ด) กลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 (จังหวัดนครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ และสุรินทร์) และกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 2 (จังหวัดอุบลราชธานี ยโสธร ศรีสะเกษ และอำนาจเจริญ)

นายศักดิ์สยาม กล่าวต่ออีกว่า ในส่วนของแผนปฏิบัติราชการประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2565 ของจังหวัดและกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยให้ความเห็นชอบแผนงานโครงการและงบประมาณของจังหวัด 20 จังหวัด ประกอบด้วย โครงการและงบประมาณที่เห็นควรสนับสนุนภายในกรอบวงเงิน จำนวน 269 โครงการ งบประมาณรวม 5,570.6038 ล้านบาท และโครงการและงบประมาณที่เห็นควรสนับสนุนเกินกรอบวงเงิน จำนวน 121 โครงการ งบประมาณรวม 4,509.1937 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังให้ความเห็นชอบแผนงานโครงการและงบประมาณของกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 5 กลุ่มจังหวัด ประกอบด้วย ส่วนที่ 1 เห็นควรสนับสนุนโครงการและงบประมาณที่เห็นควรสนับสนุนในกรอบวงเงิน จำนวน 27 โครงการ งบประมาณรวม 1,202.8908 ล้านบาท และโครงการและงบประมาณที่เห็นควรสนับสนุนเกินกรอบวงเงิน จำนวน 10 โครงการ งบประมาณรวม 1,069.4212 ล้านบาท ส่วนที่ 2 โครงการและงบประมาณที่เห็นควรสนับสนุน จำนวน 24 โครงการ งบประมาณรวม 1,152.8837 ล้านบาท

กระทรวงคมนาคม เร่งรัดการส่งมอบพื้นที่และรื้อย้ายสาธารณูปโภค โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ขอใช้พื้นที่ของกรมทางหลวงและเวนคืนพื้นที่บริเวณทางออกสุวรรณภูมิ

นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานประชุมคณะทำงานเร่งรัดการส่งมอบพื้นที่และรื้อย้ายสาธารณูปโภค โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสามสนามบิน ครั้งที่ 1/2564 เปิดเผยว่า

เป็นการรับทราบและติดตามความคืบหน้าผลการดำเนินงานของคณะทำงานฯ ได้แก่ การขอใช้พื้นที่ของกรมทางหลวงและเวนคืนพื้นที่บริเวณทางออกสุวรรณภูมิ ซึ่งรูปแบบแนวเส้นทางของโครงการรถไฟความเร็วสูงขาออกจากสถานีสุวรรณภูมิไปยังอู่ตะเภาจะก่อสร้างอยู่ระหว่างโครงสร้างของโครงการรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ เดิมกับถนนต่างระดับขาเข้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิของกรมทางหลวง

อย่างไรก็ตาม จะต้องมีการเวนคืนพื้นที่ในช่วงทางโค้งเข้าบรรจบกับทางวิ่งหลัก โดยมีการเวนคืนพื้นที่ 1 ไร่ 89 ตารางวา ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบตามแนวทางดังกล่าว โดยเอกชนคู่สัญญาตกลงปรับรูปแบบโครงสร้างบริเวณจุดตัดทางต่างระดับ เพื่อให้สอดคล้องกับโครงสร้างทางยกระดับศรีนครินทร์ - ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (M7) ตามที่กรมทางหลวงออกแบบ

นอกจากนี้ ที่ประชุมได้รับทราบความคืบหน้า ปัญหาอุปสรรค และแนวทางดำเนินการของฝ่ายรัฐ ได้แก่ การรังวัดโฉนดที่ดินในเขตตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืน การทำสัญญาจ่ายค่าทดแทนการเวนคืน การขอใช้พื้นที่หน่วยงานรัฐในพื้นที่เวนคืน ได้มอบหมายให้การรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.)ประสานงานกับหน่วยงานและประชาชนในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด

ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้ ส่วนการโยกย้ายผู้บุกรุกในช่วงสุวรรณภูมิ - อู่ตะเภา จากทั้งหมด 302 หลัง ได้ดำเนินการไปแล้ว 300 หลัง และฝ่ายเอกชนได้เริ่มดำเนินการล้อมรั้วเพื่อป้องกันผู้บุกรุกแล้ว และให้การรถไฟแห่งประเทศไทยติดตามตรวจสอบไม่ให้มีประชาชนบุกรุกเข้าพื้นที่ พร้อมทั้งให้รายงานต่อที่ประชุมทุก ๆ เดือน

‘บิ๊กป้อม’ ลั่น “ผมยังอยู่” พลังประชารัฐเป็นเอกภาพ ไม่มีแตก เผย สนามผู้ว่าฯ กทม.ไม่ส่งผู้สมัครในนามพรรค หวั่นผิดมาตรา34 พ.ร.บ.เลือกตั้งท้องถิ่นฯ

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)ให้สัมภาษณ์ถึงการเรียกประชุมคณะกรรมการบริหาร(กก.บห.) พรรคพปชร.เพื่อวางแนวทางส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ว่า ยังไม่ได้คิดอะไร และยังไม่ได้คุยกับกก.บห.พรรค ต้องนัดประชุมกันก่อนและเวลานี้ยังไม่ได้กำหนดวันประชุมเนื่องจากมีสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19

เมื่อถามถึงกระแสข่าวมีชื่อนางทยา ทีปสุวรรณ ภรรยานายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ รมว.ศึกษาธิการ และรองหัวหน้าพรรคพปชร.จะลงสมัครชนกับพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีตผบ.ตร. รองนายกฯกล่าวว่า ไม่มี ๆ ตอนนี้ยังไม่มีชื่อใครเลย และตามมาตรา 34 แห่งพ.ร.บ.การการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น กำหนดห้ามไม่ให้ข้าราชการเมือง ส.ส. ส.ว. ผู้บริหารท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ ช่วยหาเสียงเลือกตั้ง ฉะนั้นพรรคจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการส่งผู้สมัครไม่ได้ เพราะผิดกฎหมาย ดังนั้นแนวทางของพรรคควรจะเหมือนเมื่อครั้งเลือกตั้งอบจ.คือไม่ส่งผู้สมัครในนามของพรรค

เมื่อถามย้ำว่าพรรคพปชร.จะไม่ส่งผู้สมัครในนามพรรคใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่รู้ รอคุยกับกก.บห.พรรคก่อน เมื่อถามย้ำว่าคนที่มีชื่อตามกระแสข่าวจะลงในนามอิสระแทนได้หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “ไม่รู้ ยังไม่รู้ แต่เดี๋ยวก็จะมาบอกว่าผมไม่รู้ ๆ อีก”

ผู้สื่อข่าวถามถึงข่าวมีชื่อนางทยาและพล.ต.อ.จักรทิพย์ จะสะท้อนถึงความเป็นเอกภาพของพรรคหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “ไม่มี พรรคเป็นเอกภาพดี รับรองในพรรคไม่มีอะไรแตก อย่าไปคิดว่าแตก ผมยังอยู่ไม่มีแตก”

ธนาคารกสิกรไทย แจ้งผลประกอบการ ปี 2563 กำไร 29,487 ล้านบาท ลดจากปีก่อน 23.86% เหตุตั้งสำรองฯ สูงขึ้นถึง 28% รองรับผลกระทบวิกฤตโควิด-19 ขณะที่ NPL ขึ้นมาอยู่ที่ 3.93% เพิ่มจากปี 2562 ราว 7%

นางสาวขัตติยา อินทรวิชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เปิดเผยว่า ธนาคารและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิสำหรับปี 63 จำนวน 29,487 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนจำนวน 9,240 ล้านบาท หรือ 23.86%

ส่วนใหญ่เกิดจากการที่ธนาคารและบริษัทย่อยใช้หลักความระมัดระวังอย่างต่อเนื่องในการพิจารณาสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected credit loss: ECL) เพิ่มขึ้นจากปีก่อนจำนวน 9,536 ล้านบาท หรือ 28.04% ซึ่งเป็นการตั้งสำรองฯ ตั้งแต่ในครึ่งแรกของปี 63 เป็นจำนวนรวม 32,064 ล้านบาท เนื่องจากความไม่แน่นอนในระดับสูงจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มีผลกระทบที่รุนแรงทั้งในและต่างประเทศ อันเป็นวิกฤตการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในลักษณะนี้มาก่อน รวมทั้งผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากมาตรการของทางการที่ให้สถาบันการเงินให้ความช่วยเหลือลูกค้าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 ธนาคารและบริษัทย่อยถือปฏิบัติตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินที่เกี่ยวกับเครื่องมือทางการเงิน (รวมถึง TFRS 9) ทำให้งบการเงินและอัตราส่วนทางการเงินบางรายการไม่สามารถเปรียบเทียบได้กับปีก่อน

อย่างไรก็ดี แม้ว่าในครึ่งปีหลังที่มาตรการช่วยเหลือลูกค้าทยอยสิ้นสุดลง ลูกค้ายังสามารถผ่อนชำระได้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ รวมทั้งในปลายไตรมาส 4 มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ก็ตาม ธนาคารได้มีการทบทวนประเมินความเพียงพอของสำรองฯ พบว่าการตั้งสำรองฯ ในสามไตรมาสที่ผ่านมาอยู่ในระดับที่เพียงพอแล้ว ธนาคารจึงพิจารณาตั้งสำรองฯ ในไตรมาส 4 ในระดับที่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงสามไตรมาสของปี โดยเมื่อรวมการตั้งสำรองฯ ในปี 2563 มีจำนวนทั้งสิ้น 43,548 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นระดับที่สามารถรองรับความเสียหายต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสม และสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

ในขณะที่รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้นจำนวน 6,334 ล้านบาท หรือ 6.17% ส่วนใหญ่เกิดจากการลดลงของค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย ซึ่งเป็นผลจากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย และการปรับลดอัตราเงินนำส่งกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ทำให้อัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ (Net interest margin: NIM) อยู่ที่ระดับ 3.27% สำหรับรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลงจำนวน 11,934 ล้านบาท หรือ 20.65% ส่วนใหญ่เกิดจากรายได้จากการจำหน่ายหลักทรัพย์ที่ลดลง และค่าธรรมเนียมรับเกี่ยวกับการให้สินเชื่อลดลงจากการเปลี่ยนไปแสดงเป็นรายได้ดอกเบี้ย รวมทั้งค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ ลดลงจำนวน 2,733 ล้านบาท หรือ 3.76% ส่วนใหญ่เกิดจากการลดลงของประมาณการค่าใช้จ่ายพนักงาน และค่าใช้จ่ายทางการตลาด ในขณะที่ค่าใช้จ่ายในการจัดการหนี้เพิ่มขึ้น

แม้ว่าในไตรมาส 4 ปี 2563 ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ เพิ่มขึ้นจำนวน 3,825 ล้านบาท หรือ 23.26% ส่วนใหญ่เกิดจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อให้สามารถรองรับความต้องการของลูกค้า ค่าใช้จ่ายทางการตลาด ซึ่งเป็นปกติตามฤดูกาล และค่าใช้จ่ายในกิจกรรมร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่น ๆ ต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ (Cost to income ratio) ปี 2563 อยู่ที่ระดับ 45.19%

ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 ธนาคารและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวมจำนวน 3,658,798 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2562 จำนวน 364,909 ล้านบาท หรือ 11.08% ส่วนใหญ่เป็นการเติบโตของสินเชื่อ สำหรับเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (%NPL gross) ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 อยู่ที่ระดับ 3.93% โดยธนาคารได้ให้ความช่วยเหลือ รวมทั้งติดตามดูแลคุณภาพสินเชื่อของลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 อย่างใกล้ชิด ขณะที่สิ้นปี 2562 อยู่ที่ระดับ 3.65%

ด้าน อัตราส่วนค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 อยู่ที่ระดับ 149.19% โดยสิ้นปี 2562 อยู่ที่ระดับ 148.60% สำหรับอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์เสี่ยงของกลุ่มธุรกิจทางการเงินธนาคารกสิกรไทยตามหลักเกณฑ์ Basel III ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 อยู่ที่ 18.80% โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 อยู่ที่ 16.13%

โจ ไบเดน ฟิตเต็มร้อย เซ็นคำสั่งประธานาธิบดี ยกเลิกคำสั่งเก่าของอดีตประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แบบยกแผง ตั้งแต่วันแรกที่เข้าทำเนียบ รวมถึงการนำอเมริกากลับเข้าเป็นสมาชิกองค์การอนามัยโลก และข้อตกลงปารีสอีกครั้ง

สื่ออเมริกันรายงานว่า ประธานาธิบดีป้ายแดง โจ ไบเดน เตรียมใช้อำนาจเต็ม เซ็นคำสั่งประธานาธิบดีในนโยบายเร่งด่วนในการแก้ปัญหา COVID -19 ที่จะอุดช่องโหว่ร้ายแรงในสมัยของทรัมป์ นั่นก็คือ การบังคับสวมหน้ากากอนามัยทั่วประเทศ และยกเลิกคำสั่งประธานาธิบดีของทรัมป์หลายรายการ โดยได้มีการแบ่งออกเป็นหมวดหมู่ได้ดังนี้

ด้าน COVID -19

- โจ ไบเดน เตรียมออกแคมเปญ 100 Days Masking Challenge รณรงค์ให้ชาวอเมริกันสวมหน้ากากอนามัยทั่วประเทศให้ได้ 100 วัน และออกกฎบังคับให้ทุกคนต้องสวมหน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างทุกครั้งเมื่อเข้ามาในบริเวณสถานที่ราชการของรัฐบาลกลางสหรัฐ

- ตั้งทีมประสานงานติดตามผลการระบาดของ COVID -19 และนั่นหมายความว่า โจ ไบเดน จะนำทีมเก่าจากหน่วยงานด้านปฏิบัติการป้องกันด้านชีวภาพ ประจำสภาความมั่นคงแห่งชาติ ที่ตั้งขึ้นในสมัยบารัค โอบามา แต่ถูกคำสั่งของทรัมป์ให้ย้ายไปรับผิดชอบงานด้านอื่นก่อนเกิดวิกฤติ COVID -19 กลับมานำทีมกู้วิกฤติโรคระบาดตามเดิม

- เซ็นคำสั่งให้สหรัฐกลับไปเป็นสมาชิกองค์การอนามัยโลก หลังจากที่ทรัมป์ได้เซ็นยกเลิกการบริจาคเงินให้องค์การอนามัยโลก และถอนสหรัฐออกจากการเป็นสมาชิกเมื่อปี 2020

ด้านเงินช่วยเหลือเยียวยา วิกฤติ COVID -19

- ออกคำสั่งขยายระยะเวลาในการบังคับย้ายบ้าน ยึดทรัพย์ และพักชำระหนี้อสังหาริมทรัพย์ของผู้ที่เดือดร้อนจากพิษวิกฤติ COVID -19 ไปจนถึงเดือนมีนาคม 2021

- ออกคำสั่งให้พักชำระหนี้กองทุนกู้ยืมเพื่อการศึกษาให้จนถึงเดือนกันยายน 2021

ด้านสิ่งแวดล้อม

- โจ ไบเดน จะเซ็นคำสั่งพาสหรัฐกลับสู่ข้อตกลงปารีส ว่าด้วยเรื่องความร่วมมือในการลดก๊าซคาร์บอนฯ ที่ทรัมป์ได้แหกกระแสโลก เซ็นถอนตัวออกมาในปี 2017 ด้วยเหตุผลว่าต้องการปกป้องอุตสาหกรรมเหมืองถ่านหินในประเทศ

- สั่งระงับโครงการท่อส่งก๊าซระหว่าง แคนาดา - สหรัฐ ที่ชื่อว่า Keystone XL Pipeline ที่มีประเด็นในเรื่องปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและรุกล้ำแหล่งที่อยู่ตามธรรมชาติของสัตว์ป่า เป็นโครงการที่เริ่มต้นก่อสร้างตั้งแต่ปี 2010 แต่ก็ถูก บารัค โอบามา เซ็นระงับโครงการไปก่อนชั่วคราว เนื่องจากมีข้อท้วงติงด้านสิ่งแวดล้อม แต่โครงการนี้กลับมาเดินหน้าใหม่ในสมัยของทรัมป์ที่ต้องการสานต่อโครงการให้เสร็จ แต่เมื่อมาถึงยุคโจ ไบเดน ก็คงต้องพับแผนยาวอย่างน้อยอีก 1 สมัย เพราะเขาจะเซ็นคำสั่งระงับโครงการเพราะเหตุผลด้านสิ่งแวดล้อมแล้วในวันนี้

ด้านสิทธิมนุษยชน

- โจ ไบเดน จะเซ็นคำสั่งให้นับสำมะโนครัวประชากรสหรัฐฯ ใหม่ โดยจะต้องนับรวมประชากรที่ไม่มีเอกสารระบุตัวตน หรือกลุ่มที่เข้าเมืองแบบผิดกฏหมายด้วย ซึ่งทรัมป์เคยเซ็นคำสั่งให้ยกเลิกการนับรวมประชากรกลุ่มนี้เมื่อกลางปี 2020 ที่ผ่านมา ซึ่งจะมีผลต่องบประมาณช่วยเหลือของรัฐบาลกลางในการบรรเทาสาธารณภัยต่าง ๆ ที่คนกลุ่มนี้จะไม่ได้รับสิทธิ์เพราะตกสำรวจนั่นเอง

- นอกจากนี้ ไบเดน อาจพิจารณางบประมาณเพิ่มเติมในการสนับสนุนให้เกิดสิทธิ และความเสมอภาคภายในองค์กรทั้งภาครัฐ และเอกชน ที่จะครอบคลุมสิทธิ และป้องกันการเลือกปฏิบัติกับ ชนกลุ่มน้อย สตรี และกลุ่มเพศทางเลือก LGBTQ+

ด้านกฏหมายเข้าเมือง

- ชาว Dreamer หรือ กลุ่มเด็ก ๆ ที่ติดตามพ่อ-แม่ ที่ลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย ได้เฮแล้ว หลังจากที่ทรัมป์ได้เพิกถอนสิทธิ์คุ้มครองกับเด็กกลุ่มนี้ และเตรียมผลักดันออกนอกประเทศ แต่โจ ไบเดน จะให้สภาคองเกรสพิจารณาที่จะให้สิทธิคุ้มครองใหม่ ซึ่งจะทำให้กลุ่ม Dreamer สามารถเปลี่ยนสถานะให้เป็นพลเมืองสหรัฐได้ในภายหลังอีกด้วย

- ยกเลิกคำสั่งแบนชาวมุสลิมเข้าเมืองสหรัฐ ซึ่งเป็นนโยบายจากผลพวง “Islamophobia” หรือโรคเกลียดกลัวชาวมุสลิมของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ออกคำสั่งห้ามชาวมุสลิมจากหลายประเทศ อาทิ ซีเรีย อิหร่าน อิรัก ซูดาน ลิเบีย โซมาเลีย ฯลฯ เข้าประเทศ ตั้งแต่ปี 2017 แต่หลังจากนี้ การพิจารณาวีซ่าให้กับประเทศมุสลิมที่เคยต้องห้ามในสมัยทรัมป์ จะกลับมาใหม่อีกครั้ง

- เช่นเดียวกันกับคำสั่งของทรัมป์ ที่ให้เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองยกระดับการใช้กฏหมายอย่างเข้มข้นในการจับกลุ่มคนเข้าเมืองผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นคำสั่งประธานาธิบดีแรก ๆ ของทรัมป์เมื่อเข้ารับตำแหน่ง ทำให้มีคดีจับกุมคนลักลอบเข้าเมืองในสหรัฐเพิ่มขึ้นกว่าเดิมเกือบ 40% ซึ่งไบเดน จะเซ็นคำสั่งให้ผ่อนคลายลง ไม่ต้องทุ่มงบประมาณ และเจ้าหน้าที่รัฐไปไล่จับกันถึงขนาดนั้นก็ได้

- นโยบายกำแพงเม็กซิโกของทรัมป์ก็ไม่รอด โดยไบเดน จะเซ็นคำสั่งยกเลิกประกาศภาวะฉุกเฉินในเขตชายแดนทางตอนใต้ ที่ทรัมปืใช้เป็นกลยุทธในการของบไปสร้างกำแพงเม็กซิโกนั่นเอง

สุดท้ายที่จี๊ดกว่านั้นคือ โจ ไบเดน จะเซ็นคำสั่ง ให้ระงับคำสั่งประธานาธิบดีของทรัมป์ที่ได้เซ็นทิ้งทวนก่อนลาตำแหน่งในนาทีสุดท้าย ที่กำลังจะมาไล่ว่าทรัมป์ได้แอบเซ็นอะไรไว้ก่อนไปบ้าง

ที่ไล่เรียงมานี่ยังมีเพียงแค่ส่วนเดียวในมรดกที่ทรัมป์ทิ้งไว้ให้ ซึ่งยังเหลือปัญหาอีกเยอะแยะ ที่ต้องมาตามแก้กันอีกยาว ไม่ว่าจะเป็น ข้อตกลงอิหร่านว่าด้วยเรื่องการยุติการพัฒนานิวเคลียร์ของเตหะราน สนธิสัญญาเปิดน่านฟ้า หรือ สนธิสัญญาจำกัดขีปนาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลาง หรือ Intermediate-Range Nuclear Forces Treaty ที่เซ็นกันมาเนิ่นนานระหว่าง สหรัฐ-รัสเซีย ตั้งแต่สมัยโรนัลด์ เรแกน ก็มาถูกฉีกทิ้งในสมัยของทรัมป์เช่นเดียวกัน

รับรองว่ามีงานรอให้โจ ไบเดน ต้องตามเซ็นถอนคำสั่งของทรัมพ์จนมือเปื่อย มือหงิก กันทีเดียว


แหล่งข่าว

https://www.cbsnews.com/news/biden-executive-orders-watch-live-stream-today-2021-01-20/

https://www.usatoday.com/story/news/politics/2021/01/20/joe-bidens-day-1-orders-reversing-trumps-most-egregious-moves/6641289002/

อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา โพสต์เฟซบุ๊ก ต่อจิ๊กซอว์ขบวนการดิสเครดิต ปล่อยข่าวให้ร้ายสถาบัน เหมือนขบวนการเปลี่ยนแปลงการปกครองในลาว

นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา โพสต์เฟซบุ๊ก โดยแชร์ข้อความระบุว่า...

วางแผนทำกันเป็นขบวนการ ตีทุกอย่างที่เกี่ยวกับในหลวง ร.9 เพื่อดิสเครดิตพระองค์ท่านให้ด้อยค่าในสายตาเด็กรุ่นใหม่

ลองไล่เรียงดูสิว่ามันวางแผนตีอะไรบ้าง เริ่มด้วยตีเรื่องฝนหลวง ตีเรื่องปลานิล ตีเรื่องโครงการหลวง ตีเรื่องเขื่อน ตีเรื่องโซล่าเซลล์ ตีเรื่องดอยคำ ล่าสุดตีเรื่อง สยามไบโอไซเอนส์

เห็น “จิ๊กซอว์” หรือยัง ? ลองทายกันดูว่าต่อไปพวกมันจะหยิบเอาเรื่องใดมาตีกระทบสถาบันอีก ?

แผนการแบบนี้ทำให้นึกถึงช่วงก่อนที่ลาวจะเปลี่ยนแปลงการปกครองล้มระบอบกษัตริย์ ก็มีการปล่อยข่าวให้ร้ายสถาบันกษัตริย์ของลาวแบบนี้เช่นกัน


ที่มา: เฟซบุ๊ก Fuangrabil Narisroj

‘วราวุธ’ กราบขออภัยชาวกรุงเทพฯ ตื่นมาเจอหมอก PM 2.5 เหตุเกิดจากการเผาพื้นที่การเกษตร บวกกับอากาศที่พัดเข้ากรุง เตือน 4 - 5 วันใส่แมสป้องกันทั้งฝุ่น-โควิด สั่งผู้ว่าฯ ห้ามเกษตรกรให้หยุดเผา แนะนำเศษพืชอัดก้อนขาย สร้างรายได้เสริม

ที่รัฐสภา นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวถึงปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งขณะนี้มีจำนวนมากว่า ต้องกราบขออภัยพี่น้องชาว กทม. ที่ตื่นมาแล้วพบกับสภาพอาการที่ขมุกขมัว เนื่องจากตามสภาพอากาศที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้พยากรณ์เอาไว้ว่าในช่วง 4-5 วันจากนี้ไป เป็นช่วงที่ลมค่อนข้างสงบ ทำให้เกิดปรากฏการณ์ฝาชีครอบในพื้นที่กรุงเทพฯ

และสาเหตุที่มีฝุ่นมากขณะนี้ แม้ปริมาณฝุ่น PM และการใช้รถในกรุงเทพฯ จะลดลง แต่เราได้รับอิทธิพลจากการเผาไหม้ในพื้นที่โล่ง ซึ่งเป็นพื้นที่ทางการเกษตร มาจากทางตอนเหนือ และทิศตะวันออกของกรุงเทพฯ ซึ่งเรื่องทางกระทรวงฯ ได้ร่วมกับกระทรวงมหาดไทย ได้กำชับผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 76 จังหวัด ให้สั่งการไปยังเกษตรจังหวัด และเกษตรอำเภอ พร้อมกำชับผู้นำท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เพื่อขอความร่วมมือเกษตรกรไม่ให้เผาเศษพืช เช่น อ้อย ฟางข้าว หากไม่ได้ผลในอนาคตอาจจะต้องมีมาตรการที่เข้มข้นขึ้น

แต่จากการเผาที่เกิดนอกพื้นที่กรุงเทพฯ บวกกับกระแสลม จึงทำให้เกิดสถานการณ์หมอกควันที่ค่อนข้างจะรุนแรงในวันนี้ แต่หากจะดูปริมาณฝุ่น PM สามารถตรวจสอบได้จากแอปพลิเคชั่นที่กรมควบคุมมลพิษได้จัดทำขึ้นมา ก็จะทราบว่าจุดไหนมีปริมาณฝุ่น PM เท่าไหร่

“กราบขออภัยชาวกรุงเทพฯ และขอฝากว่า ช่วงนี้นอกจากช่วงโควิด-19 แล้ว ต้องใส่หน้ากากเพื่อป้องกันการสูดดมเอาควันเข้าไป และลดทำกิจกรรมกลางแจ้ง ทั้งออกกำลังกาย วิ่ง ปั่นจักรยาน ขอให้ใช้หน้ากากป้องกันในช่วง 3-4 วันนี้ และเมื่อพ้นจากช่วงนี้ไปแล้ว และมีลมพัดมาใหม่ปริมาณควันที่เกิดขึ้นก็จะกระจายตัวออกไป

และต้องขอบคุณกรมอุตุฯ ที่พยากรณ์อากาศได้แม่นยำ ทำให้ประชาชนเตรียมพร้อมรับมือปัญหาฝุ่นที่จะเกิดขึ้นในแต่ละพื้นที่ได้ ดังนั้นขอให้แต่ละคนติดตามพยาการณ์อากาศในแต่ละวัน ว่าสภาพอากาศในพื้นที่ที่ท่านอยู่เป็นอย่างไร และสภาพอากาศที่เคลื่อนไหวเป็นอย่างไร เพราะจากธรรมชาติบวกกับพื้นที่กรุงเทพฯ มีตึกสูงจำนวนมาก และลมที่พัดเข้ามาจากทั่วสารทิศ จะมาหยุดอยู่ที่กรุงเทพฯ จึงทำให้ฝุ่นที่พัดมาจากต่างจังหวัดมาหยุดอยู่ที่กรุงเทพฯ และไม่ได้กระจายตัวไปไหน” รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ กล่าว

นายวราวุธ กล่าวต่อว่า ในเบื้องต้น หากยังมีฝุ่น PM 2.5 กระทบอยู่มากอาจจะต้องมีการปิดโรงเรียน โดยทางกระทรวงศึกษาได้มอบให้ผู้บริหารสถานศึกษาแต่ละพื้นที่ พิจารณาว่าจะเลื่อนเวลาเปิดเรียน หรือหยุดเรียนชั่วคราวในช่วง 2-3 วันนี้หรือไม่ เพราะหากปิดเรียนก็เพื่อป้องกันปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ใช่เกิดปัญหาแล้วจึงมาป้องกัน

ในส่วนแต่ละจังหวัดได้มอบอำนาจให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ตัดสินใจว่าจะสั่งเกษตรกรห้ามเผา หรือจะออกเป็นนโยบายภาพรวมทั้งประเทศ เป็นสิ่งที่อาจจะแก้ปัญหาไม่ตรงจุด เพราะแต่ละจังหวัดมีปัญหาจุดกำเนิด PM 2.5 และหมอกควันที่ต่างกัน บางจังหวัดเกิดจากพื้นที่การเกษตร บางจังหวัดเกิดจากพื้นที่ป่า ซึ่งขณะนี้เป็นช่วงเฝ้าระวัง แต่ยังไม่ใช่ช่วงเผาป่า จึงเป็นหมอกควันจากการเผาพื้นที่การเกษตรส่วนใหญ่

“ในอนาคตอาจจะมีนโยบายในการส่งเสริมเกษตรกรนำเศษพืช ทั้งซังอ้อย ซังข้าวโพด ฟางข้าว มาอัดก้อนขายแทนการเผา เพื่อเป็นการสร้างรายได้เสริมอีกทางหนึ่ง จึงอยากให้เกษตรกรเลือกว่า จะเอาเงิน หรือจะเผาเงินทิ้ง” นายวราวุธ กล่าว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top