Sunday, 28 April 2024
LITE

สนทนาผ่านมุมมองนางเอกเจเนอเรชั่นใหม่ ‘เฟิร์น - นพจิรา ฤกษ์ขจรนามกุล’

เธอเป็นสาวสาย วิศวกรรมโยธา ทั้งระดับปริญญา ตรีและโท

เธอค้นพบว่า ตัวเองชอบการแสดง และต้องยืนอยู่ตรงนี้ เพื่อทำมันให้ดี

เธอไม่ได้ปล่อยให้คำดูแคลนเรื่องรูปร่างหน้าตา ปิดโอกาสในการพยายามเพื่อพิสูจน์ฝีมือ เธอเป็นคนน่ารัก มีเสน่ห์ น่าจับตา...

ขณะเดียวกันนิสัยใจคอ และการพูดจา ทำให้เรารู้สึกว่า ‘นางเอก’ จับต้องได้

The States Times LITE มีนัดกับเธอ...นางเอกน้องใหม่แห่งช่อง ONE 31 ‘เฟิร์น-นพจิรา ฤกษ์ขจรนามกุล’ ถามหาเหตุผลว่า เหตุใดต้องมาคุยกับเธอผู้นี้ ข้อแรก เป็นเพราะละครเรื่องล่าสุดที่เพิ่งจบลงไป ‘คดีรักข้ามภพ’ สนุกมากกกก! นอกจากสนุก ยังเป็นละครน้ำดี มีคุณภาพ และแน่นอน นางเอกของเรื่องก็คือเธอ

ข้อต่อมา หากจะมองหา ‘นางเอกน้องใหม่มาแรง’ ใน พ.ศ. นี้ ควรต้องมี เฟิร์น - นพจิรา ติดอยู่ในนั้น เหตุผลสนับสนุนนั่นคือ หลายเรื่องที่เธอได้ร่วมเล่น กระแสตอบรับดีแบบไม่ธรรมดา ถ้าจำยังละครเรื่อง ‘หัวใจศิลา’ เมื่อปีก่อนได้ นั่นก็ผลงานของเธอ

ข้อที่สาม หากย้อนประวัติชีวิตของนางเอกคนนี้ เธอร่ำเรียนมาทางด้านวิศวกรรมโยธา เรียกว่าเป็น ‘สาววิดวะ’ เท่ ๆ คูล ๆ มากว่า 6-7 ปี แต่หนทางชีวิตกลับพลิกให้สาววิศวกรโยธากลายมาเป็นนางเอกเสียได้ ไม่ใช่เรื่องอุบัติเหตุ แต่เป็นความตั้งใจ แถมเธอยังหลงรักศาสตร์แห่งการแสดงเอามาก ๆ มากไปกว่านั้น ยังมีแพสชั่นกับงานในวงการบันเทิงอื่น ๆ ทั้งพิธีกร ดีเจ ถ้าสบโอกาสเมื่อไร คงได้เห็นผลงานด้านนี้ของเธอกันอย่างแน่อนอน

ไล่เรียงเหตุผลมาพอสมควร ขอสรุปแบบง่าย ๆ ต่อไปว่า เพราะความน่ารัก ชวนมอง และเป็นคนรุ่นใหม่ที่เต็มไปด้วยพลัง ทั้งหมดเหล่านี้ ที่ทำให้เราต้องตามมา ‘โฟกัส’ ชีวิตของนางเอกสาวคนนี้ ตามไปทำความรู้จักกับเธอให้มากกว่านี้กันดีกว่า..


Q: ทราบว่า เฟิร์นเรียนมาทางด้านวิศวกรรมศาสตร์ มีการประยุกต์หรือใช้ความรู้ด้านวิศวะกับงานการแสดงหรือละครอย่างไรบ้าง 

A: สิ่งที่เฟิร์นรู้สึกว่ามันมีผลที่ชัดมากก็คือ เรื่องของการคิดวิเคราะห์ตัวละครค่ะ คือการที่เราอ่านตัวละคร จะสร้างตัวละครหนึ่งได้ มันต้องผ่านการวิเคราะห์ว่าเขาเป็นคนอย่างไร เกิดอะไรขึ้น ทำไมเขาถึงต้องกลายเป็นคนแบบนี้ นี่คือขั้นตอนพื้นฐานในการสร้างตัวละครตัวนี้ขึ้นมานะคะ สิ่งนี้เฟิร์นคิดว่าสำคัญ เพราะสิ่งที่จะทำให้เรารู้จักว่าคนนี้เป็นแบบไหนได้ มันต้องเกิดจากการสังเกตต่าง ๆ มันอาจจะเป็นทักษะตั้งแต่เราเรียนมา ที่เราต้องคิดเป็นลำดับขั้นตอนว่าอะไร เป็นเพราะอะไรมันถึงเกิดอย่างนี้ การสังเกตสิ่งต่าง ๆ อะไรอย่างนี้ค่ะ อาจจะใช้ไหวพริบตรงนี้มาช่วยในเรื่องของการแสดงได้ แต่สิ่งที่เป็นปฏิปักษ์ซึ่งกันและกันก็คือ การที่คิดมากเกินไปนี่แหละค่ะ จะมีผลต่อการแสดงว่าเอาแต่คิดแล้วไม่รู้สึก มันมีข้อดีข้อเสียของมัน แรก ๆ เฟิร์นก็ไม่เข้าใจว่ามันจะแยกกันได้อย่างไร บางอย่างเราเพิ่งมารู้ว่า บางครั้งถ้าเอาแต่คิดแต่ไม่ได้รู้สึกเลยสักอย่าง มันก็ไม่ได้ช่วยอะไร คือคิดได้  แต่สิ่งที่คิดต้องส่งผลต่อความรู้สึกด้วย มันถึงจะไปด้วยกันได้ 

Q: สมมุติว่าคะแนนเต็ม 100 และมีอยู่ 4 หมวดที่ต้องให้คะแนน คือ ความสวย ทัศนคติ ความสามารถ และความดีงาม เฟิร์นจะให้สัดส่วนคะแนนด้านไหน อย่างไรบ้าง

A: เชื่อไหมคะ คำถามนี้เป็นคำถามที่เฟิร์นต้องส่งไปถามคนอื่นว่า ฉันควรจะให้คะแนนตัวเองเท่าไหร่ (หัวเราะ) แต่ถ้าต้องมองตัวเอง เฟิร์นให้ทัศนคติ 30 ความสามารถ 30 ความดีงาม 25 ความสวย 15 ค่ะ

Q: ทำไมคิดว่าตัวเองสวยน้อย

A: ไม่ได้คิดว่าตัวเองสวยน้อย แต่วิเคราะห์ว่าตัวเองมีอะไรที่เป็นจุดเด่นมากกว่าค่ะ (ยิ้ม)

Q: หลายผลงานที่ผ่านมา อะไรยากง่ายบ้าง และตัวเองพัฒนามาอย่างไร มีอะไรที่ง่ายบ้างสำหรับเรา หมายถึงว่าอาจจะยากน้อยหน่อย แล้วที่ผ่านมาพัฒนามันอย่างไรบ้าง 

A: จริง ๆ มันก็ยากหมดนะคะ ไม่มีอะไรง่ายเลยสำหรับเฟิร์น เพราะสุดท้ายแล้วถึงเราจะวนกลับมาเล่นโรแมนติกดราม่าแบบที่เราคิดว่าย่อยง่าย ถนัด สุดท้ายพอยิ่งเล่นมากขึ้น มันก็จะมีความท้าทาย คือเล่นอย่างไรไม่ให้คนติดภาพจำแบบเดิม ๆ เล่นแล้วไม่ให้คนรู้สึกว่า นี่คือเฟิร์น

ถ้าถามว่าอะไรง่ายคงไม่มี แต่แนวทางที่คิดว่าย่อยง่ายก็คงจะเป็นโรแมนติกดราม่า ที่มันสามารถทำความเข้าใจได้ง่ายค่ะ มันไม่ได้ซับซ้อนมาก แต่ว่าตั้งแต่เล่นมา มีอีกเรื่องหนึ่งที่เฟิร์นกำลังถ่ายอยู่ ยังไม่ได้ออนแอร์ คือเรื่อง ‘ห้องสุดท้ายหมายเลข 6’ เป็นหนังผีที่มีความโรแมนติกดราม่าสูงมาก แล้วก็มี comedy แถมเข้ามา เพื่อไม่ให้บรรยากาศมันตึงเครียดจนเกินไป ซึ่งเรื่องนี้ปีหน้าน่าจะได้ชมกัน

จากละครที่ถ่ายทำในปีนี้ เฟิร์นค้นพบตัวเองมากขึ้นใน ‘ห้องสุดท้ายหมายเลข 6’ เพราะว่าจากซีนธรรมดา แต่สำหรับเฟิร์น เราเล่นมันพิเศษทุกซีน ทำการบ้านกับตัวเองหนักมาก ที่จะเปิดเซ้นส์ในการเอาตัวละครที่ชื่อ ‘เพียงรัก’ เข้ามาให้เราเข้าใจได้มากที่สุด และเปิด range ของอารมณ์ตัวเองออกไปให้ได้มากที่สุด จากตรงนี้ เฟิร์นมาค้นพบตัวเอง และมั่นใจกับการแสดงของตัวเองมากขึ้น ทำให้รู้สึกว่าเราอยากไปอีกขั้นหนึ่งของโลกการเป็นนักแสดง

บางครั้งนักแสดงจะมีอุปสรรค สมมติว่าตอนนี้เราผ่านด่านนี้มาได้ ผ่านไปสักแป๊บหนึ่ง ก็จะเจอด่านใหม่ของตัวเองเสมอ แล้วด่านของเฟิร์นคือ พอเราเล่นโรแมนติกดราม่ามา จนคนคิดว่าเราร้องไห้ได้ง่าย มันกลายเป็นเหมือนคำพูดที่มันกรอกหูเราว่า เราร้องไห้ได้ง่าย ร้องไห้สบายอยู่แล้ว แต่สำหรับเรายากมาก

เฟิร์นเป็นคนร้องไห้ง่ายจริง แต่ว่าพอต้องมาเล่นละคร แล้วเวลามีบทเขียนกำกับว่าซีนนี้พูดเสร็จปุ๊บ ร้องไห้อย่างหนักหน่วงหรือร้องไห้อย่างหมดแรง เราจะรู้สึกว่ากลัวทำไม่ได้ กลัวจะไปไม่ถึง

ปีนี้ก็เหมือนยอมรับตัวเอง แล้วกล้าที่จะเล่น และไม่ต้องคิดมากแล้วว่าจะร้องไห้ได้หรือร้องไห้ไม่ได้ เพราะจากเรื่องนี้นี่แหละที่ทำให้เราอยากทุบตัวเอง มันคือการทุบตัวเองจริง ๆ ในกระบวนการคิดและจัดการ

Q: มีปัจจัยอะไรบ้าง ที่มาช่วยผลักดันเรา ได้มากกว่าแค่ตัวงาน

A: เฟิร์นรู้สึกเหมือนกับว่าช่วงที่ว่างงานมันทำให้รู้ว่า เรารักอาชีพนี้มาก เราขาดไม่ได้แน่ ๆ เฟิร์นชอบโลกของการแสดงมากจริง ๆ แล้วมันทำให้เฟิร์นรู้สึกว่า ทุกงานที่จะออกไปให้คนดูต่อจากนี้ เฟิร์นอยากให้มันพิเศษสุด ๆ เลย เพราะเฟิร์นไม่เคยคิดว่าตัวเองคือดารา เวลาใครถามว่าเป็นดารายากไหม เฟิร์นมักจะตลกเสมอ เฟิร์นจะบอกว่าไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเป็นดารา รู้สึกว่าตัวเองเป็นนักแสดง เฟิร์นรู้สึกว่าสิ่งนี้มันเป็นอาชีพ ที่มันอาจจะพ่วงความเป็นดารามาด้วยนั่นแหละ แล้วช่วงโควิดมันทำให้รู้ว่าเรารักงานนี้มากจริงๆ และเป็นงานที่เราอยากทำต่อไป เพื่อนก็ชอบพูด...ไม่หาอะไรทำเหรอ ไม่มีอะไรทำเหรอ แล้วเวลาคนถามบ่อยๆ เฟิร์นหงุดหงิดนะ เฟิร์นไม่ได้อยากไปทำอย่างอื่น ตลอดเวลาที่ผ่านมาเฟิร์นโฟกัสแต่สิ่งนี้ อยู่อย่างนี้ .

Q: ถ้าโควิด-19 ลากนานไปกว่านี้ คาดว่าสถานการณ์ชีวิตน่าจะลำบากลงไปอีก

A: มีส่วนค่ะ แต่ว่าหลังจากเหตุการณ์มันก็ทำให้เราเริ่มมองหาธุรกิจทำ แล้วก็เริ่มลงมือทำ แต่ไม่ได้ให้อย่างอื่นมาเป็นที่หนึ่ง เรายังให้สิ่งนี้เป็นที่หนึ่ง และรู้สึกว่าอยากให้คนดูเห็นพัฒนาการของการแสดงของเราจริงๆ แล้วก็โชคดีได้จังหวะเจอคุณครูที่ดีด้วย ก็คือครูบิว (อรพรรณ อาจสมรรถ) รู้สึกว่าตรงจริตกับเราค่อนข้างมาก แล้วสิ่งที่ครูเขาสอนเราเข้าใจง่าย สามารถเข้าใจตัวเองได้ และเราเอาไปใช้ได้จริง ๆ 

ครูบิวอยู่ฝั่งนาดาวค่ะ แต่ทุกวันนี้ก็มาสอนให้กับเด็ก ๆ ในสังกัดช่องวัน จริง ๆ ครูเขาเปิดสถาบันการสอนอยู่แล้วชื่อ Act-Things Studio ต้องขอบคุณครูบิวมากจริง ๆ เวลาเราไปเรียนเราไม่ได้เรียนเพื่อจะเล่นอย่างไรให้เก่งขึ้น แต่เรียนเพื่อเข้าใจตัวเองมากขึ้นไปอีก เหมือนหาร่องของตัวเองว่าจะไปทางไหนให้มันสวยงามมากขึ้นในการแสดง

Q: ฟังดูคล้ายเฟิร์นเป็นคนให้ความสำคัญกับทุกอย่างจากตัวเอง แล้วก็นำทางออกไปเพื่อทำงาน อย่างเรื่องล่าสุดได้ร่วมงานกับทุกๆ คน อย่างเต๋า (เศรษฐพงศ์ เพียงพอ) หรือคนอื่น ๆ เป็นอย่างไรบ้างครับสำหรับเรื่องนี้

A: ดีค่ะ รู้สึกแบบ...นี่ละของจริง ของจริงเขาไม่ต้องพูดเยอะ เฟิร์นว่าสิ่งที่นักแสดงรุ่นเฟิร์นเป็น คือเรื่องของพลัง การเอาพลังออกมา เฟิร์นว่ามันเป็นเรื่องของประสบการณ์และความมั่นใจในตัวเอง คงไม่มีใครที่จะมีโอกาสได้เล่นกับนักแสดงชั้นนำมากฝีมือบ่อยๆ อย่างแม่ตุ๊ก (ดวงตา ตุงคะมณี) หรือว่าพี่เอมี่ (กลิ่นประทุม) พี่แอริน (ยุกตะทัต) และพอมาอยู่ในเซ็ต มาอยู่กับทุกคนแล้วมันเป็นโลกนั้นจริงๆ ตัวละครอื่นๆ ก็ทำให้เราเชื่อว่าเราอยู่ในโลกของเขาจริงๆ

เฟิร์นนับถือพี่ ๆ นักแสดงทุกคนเหมือนครู ทั้งพี่เต๋าเองด้วย คือการได้ทำงานร่วมกับคนใหม่ ๆ มันทำให้เราไม่ยึดติดหรือลำพองตัวว่าเราเก่ง แต่เราต้องรู้จักปรับเปลี่ยนเสมอ ไม่ใช่ฉันคิดว่าฉันจะเล่นวิธีนี้ แล้วฉันก็ต้องเล่นวิธีนี้ตลอดไป คนอื่นเป็นอย่างไรไม่รู้ ฉันไม่สนใจ มันไม่ใช่ การแสดงคล้ายการตีปิงปอง ต้องทำงานร่วมกัน เราเล่นไปเวย์นี้ เขาอาจจะรับไม่ได้ เขาอาจจะไม่รู้สึก มันก็ไม่ใช่ว่าจะต้องไปโทษเขา ว่าทำไมคุณไม่รู้สึก เราส่งไปให้แบบนี้ ไม่ใช่ 

Q: เป็นได้หลายคำตอบ

A: ใช่ค่ะ แต่เราต้องมาคิดว่าเราจะทำอย่างไรดี ที่จะเปิดคลื่นความถี่เราให้มันกว้างขึ้น เพื่อจะได้ไปจูนกับเขา การทำงานนี้มันต้องฝึกที่จะไม่โทษคนอื่น แต่ให้เริ่มจากตัวเราเองก่อน เฟิร์นว่าปีนี้เฟิร์นค่อนข้างตกตะกอนเรื่องนี้ได้อย่างดีมาก ๆ จากที่แต่ก่อนเราอาจจะคิดว่าเราตั้งใจมาก แล้วทำไมรอบข้างไม่รับรู้อะไรอย่างนี้ แต่ปีนี้ไม่รู้ว่าอะไรมันทำให้เราเปลี่ยนมุมมองความคิดจริง ๆ ว่า เราต้องเป็นผู้ให้ก่อนที่จะเป็นผู้รับ 

Q: จริง ๆ คือ ต่างคนต่างช่วยกัน

A: อยู่รอบตัวเรา แล้วอยู่ตรงนี้มันเป็นเรื่องของการแข่งขันจริง ๆ เวลานักแสดงได้ผลงานไป รู้ว่าจะเปิดกล้องอะไร บางคนก็มองว่าอันนี้ฟอร์มเล็ก อันนี้ฟอร์มใหญ่ อันนี้น่าสนใจ อันนี้ไม่น่าสนใจ แต่เราไม่รู้สึกอย่างนั้นเลย เรารู้สึกว่าทุกเรื่องที่เราได้มา ไม่ว่าจะเล็กใหญ่ เราให้คุณค่ากับมัน พอเราให้คุณค่ากับมัน เราก็เชื่อว่าจะมีคนที่เห็นคุณค่าในการทำงานของเราตรงนี้จริง ๆ แล้วเราก็รู้สึกแบบนั้นจริง ๆ ว่า มีคนเห็นคุณค่าของงานเราจริง.

Q: เฟิร์นมีอะไรบ้างที่อยากทำ แต่ยังไม่ได้ทำ

A: เฟิร์นชอบทั้งดีเจและพิธีกรนะ แต่ถ้าสิ่งหนึ่งที่อยากทำมากๆ เลยคือ ดีเจ เป็นดีเจวิทยุ เฟิร์นชอบคุยไปเรื่อยๆ อย่างนี้ เฟิร์นคิดว่าตัวเองสามารถทำได้ วันนี้มีเรื่องดีๆ อยากมาเล่าให้คุณผู้ฟัง เฟิร์นนึกภาพตัวเองที่จะเป็นอย่างนั้นอยู่เหมือนกัน อยากทำเพราะว่าพื้นฐานมันเริ่มจากเฟิร์นชอบฟังเพลง แล้วเราก็โตมากับวิทยุ เฟิร์นยังทันโลกเก่า ก่อนที่จะเป็นดิจิตอลอย่างทุกวันนี้ เคยผ่านช่วงที่ต้องรอดีเจเปิดเพลง เราถึงจะได้ฟังเพลงใหม่ๆ แล้วเราก็เลยชอบ หลงเสน่ห์ของมัน 

Q: ตัวอย่างของดีเจคนโปรดล่ะ

A: ตอนนี้เฟิร์นรู้สึกว่าเฟิร์นชอบพี่อั๋น (ภูวนาท คุนผลิน) ค่ะ ชอบที่พี่อั๋นพูด น่าฟัง แล้วเขามักจะมีอะไรดีๆ มาเล่าให้ฟัง

Q: แล้วรูปแบบรายการจะต้องเป็นอย่างไร ถ้าเป็นตัวเองจัด 

A: เฟิร์นอยากเปิดเพลงที่ไม่จำเป็นว่าจะต้องอยู่ในกระแสตลอดเวลา อยากเปิดเพราะเป็นคนฟังเพลงทุกแนวจริงๆ เพื่อชีวิตเฟิร์นก็ฟัง แล้วรู้สึกว่าอยากทำรายการที่ไม่ใช่ให้ผู้หญิงฟังอย่างเดียว อยากให้เป็นรายการที่มีการถกเถียงถึงประเด็นต่างๆ แล้วกล้าที่จะถกเถียงจริงๆ แบบใช้เหตุผลคุยกัน เช่น สมมติว่าวันนี้มี topic ว่า คุณคิดเห็นอย่างไรกับนักเรียนที่ไม่ใส่ชุดไปรเวทไปโรงเรียน เราอยากเอาหัวข้ออย่างนี้มาอัพเดตคน มาส่งต่อให้ผู้ฟัง หรือไปเจอทิปดีๆ เราก็อยากเอามาบอกเขา

.

Q: ใครคือนักแสดงหรือคนดังที่เป็นคนโปรดของเรา และเพราะอะไร

A: ผู้ชายก็คือกงยูค่ะ สุดที่รัก (หัวเราะ) ที่หนึ่งในดวงใจของเฟิร์น พูดกันตามตรง เขาไม่ได้เป็นคนหล่อมาก แต่เฟิร์นชอบการแสดงของเขามาก ตั้งแต่ ‘Coffee Prince’ (เจ้าชายกาแฟกรุ่นรัก) แล้ว พอมาดูอีกรอบที่ตกหลุมรักจริงๆ คือ ‘Goblin’ (คำสาปรักผู้พิทักษ์วิญญาณ) อันนี้คือที่สุด เฟิร์นดูไป 3 รอบแล้วเฟิร์นยังร้องไห้

Q: หมายถึงดูก็อบลิน 3 รอบ 

A: เหมือนทุกปีต้องกลับมาดู อะไรอย่างนี้ ชอบมาก คือเขาเล่นจากหัวใจเลย มันไม่มีการหลุดเลย

Q: หรือว่าแอบอยากเป็นเจ้าสาวของก็อบลิน 

A: เฟิร์นคิดตลอดว่าเราเป็น เฟิร์นไม่ใช่แอบ เฟิร์นคิดตลอดว่าตัวเองคือคนนั้น (หัวเราะ)

Q: ผู้ดึงดาบออกจากอกก็อบลิน

A: ใช่ เฟิร์นจะบ้าตายที่เห็นการแสดงของเขามันทรงพลัง มันไปถึงหัวใจ แล้วมันทำให้เฟิร์นตามดูทุกเรื่องของเขา แม้กระทั่งหนังที่ไม่ได้อยู่ในกระแสมาก อย่างเรื่อง ‘Silenced’ (เสียงจากหัวใจ...ที่ไม่มีใครได้ยิน) ดีมากค่ะ เป็นหนังเก่า ไม่รู้ว่าจะหาดูได้อีกไหม เป็นหนังที่ based on true story ของเกาหลีใต้ เนื้อเรื่องพูดถึงคดีล่วงละเมิดทางเพศของคุณครูกับเด็กพิการ เฟิร์นดูจบแล้วเศร้าไปอาทิตย์หนึ่ง มันดึงไม่ออกเลย มันไม่ใช่ร้องห่มร้องไห้ แต่มันเหมือนหนังจบ แล้วทิ้งคำถามให้กับเราเลยว่า เรารู้สึกอย่างไร

Q: แล้วถ้าเป็นนักแสดงผู้หญิงล่ะ

A: ชื่อเจ๊กงค่ะ กงฮโยจิน เป็นดาราหญิงเกาหลีที่ค่าตัวสูงมาก แต่หน้าตาไม่ได้พิมพ์นิยมเลย เขาเล่นเรื่อง ‘Master's Sun’ กับโซจีซบ และอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้ตกหลุมรักการแสดงของเขาคือ ‘It's Okay, That's Love’ อันนี้เป็นซีรีส์ทั้งคู่ค่ะ พูดกันตามตรงในความรู้สึกเราตอนนั้น เขาไม่ได้เป็นคนหน้าตาสวยแบบในอุดมคติ เขาเป็นคนไม่ทำศัลยกรรมเลย ตอนแรกก็ดูแบบ อยากรู้ว่าทำไมเขาถึงแบบเป็นนางเอกได้ 

Q: ความสามารถทะลุใบหน้า อะไรประมาณนี้หรือเปล่า

A: โอ้โห...สวยลืม กลายเป็นว่าเขาสวยมาก แล้วเฟิร์นไม่แปลกใจเลยที่ค่าตัวเขาจะแพงมาก เขาเก่งมากจริง ๆ เล่นเป็นจิตแพทย์ ไปตกหลุมรักคนที่เป็นจิตเภท แล้วมารู้ในตอนสุดท้ายว่าแฟนตัวเองเป็นจิตเภท โอ้โห...เขาเล่นได้ละเอียดมาก เฟิร์นเห็นลูกละเอียด การแสดงของเขาไหลลื่นเป็นธรรมชาติมาก จนทำให้เราแทบจะยกเขาเป็นไอดอลเลยนะ 

ถามว่าทำไมเฟิร์นถึงมีแรงฮึดที่จะทำงานการแสดง เฟิร์นให้เขาเป็นไอดอล เพราะเฟิร์นรู้สึกว่าคนอื่นอาจจะมองว่าเขาบ้านๆ ใช่หรือเปล่า เพราะว่าเฟิร์นก็เคยโดนมาเหมือนกัน ว่าหน้าตาเฟิร์นงั้นๆ ธรรมดา เป็นนางเอกไม่ได้หรอก โดนมาตลอด ก็เลยรู้สึกว่าหน้าตาอย่างนี้เดี๋ยวจะเป็นนางเอกให้ดู เพราะเราเชื่อมากกว่านั้น คือการแสดงมันกลบหน้าตา ทำให้คนคนหนึ่งมีเสน่ห์ขึ้นได้จริง ๆ เฟิร์นก็เลยรู้สึกว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับหน้าตาแล้ว มันเกี่ยวกับว่าฝีมือ 

Q: เหมือนที่ให้คะแนนตัวเอง 4 ข้อก่อนหน้านี้

A: ใช่ โอเค หน้าตามันอาจจะเป็นด่านแรกแหละ ว่าคนดูจะซื้อหรือไม่ซื้อ อาจเพราะสังคมของเราด้วยที่มักจะมองกันที่หน้าตาก่อนเสมอ ถ้าหน้าตาดีใครก็ให้โอกาส พูดกันตามตรง ยิ่งผู้ชายนะ หล่อ ๆ เล่นแข็งแค่ไหนก็ได้รับการให้อภัยเสมอ แต่นี่...ยิ่งหน้าตาไม่ได้สวยมาก แล้วถ้ายิ่งเล่นแย่ก็พร้อมจะสาปส่ง ไล่ไป ชนิดว่าไล่ไปตาย อย่ามาอยู่วงการตรงนี้ เฟิร์นเคยโดนขนาดนั้น เฮ้ย...ทำไมโลกมันใจร้ายกับเราจังเลย ณ ตอนนั้นนะ แต่ตอนนี้ก็มองว่ามันต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้คนตระหนักว่า ไม่ว่าใครจะทำอาชีพอะไร เราไม่ควรจะไปตัดสินคนนั้นแค่ที่หน้าตา แต่ก็ยอมรับกันตามตรงว่า ถ้าหน้าตาดีมีชัยไปกว่าครึ่งจริงๆ ทำให้เฟิร์นเองก็ต้องพยายามอย่างมากที่จะเอาความสามารถเข้ามาสู้ตรงนี้ เพราะถ้าพูดกันตามตรงคือ คนสวยเยอะแยะ คนสวยเต็มไปหมดเลย 

Q: อยู่ที่ว่ามองที่อะไร

A: ใช่ค่ะ แต่อยู่ที่ว่าเราจะยืนอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร เพราะเฟิร์นเชื่อว่าวันหนึ่งทุกคนจะต้องเหี่ยวลง จะต้องแก่ไปตามกาลเวลา แต่อะไรล่ะที่มันจะอยู่คู่กับเรา แล้วทำให้เขาเลือกใช้เราอยู่

Q: ถ้าเกิดไม่ได้ทำอะไรอยู่ตรงนี้ วันนี้จะทำอะไรอยู่ที่ไหน สร้างสะพาน สร้างตึก สไตล์สาววิศวะ

A: ไม่มีทาง เพราะเฟิร์นค้นพบว่า โอเค เฟิร์นชอบตอนเรียนจริง แต่เฟิร์นค้นพบวัฏจักรชีวิตการทำงานค่ะ เฟิร์นได้ไปลองฝึกงานมาแล้ว เฟิร์นรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสุขแน่นอนกับการทำงานตรงนั้นจริง ๆ ถือว่ารู้ตัวเร็ว

Q: แล้วถ้าต้องสร้าง จะสร้างอะไรครับ

A: ถ้าจะสร้างเหรอคะ... อยากสร้างพื้นที่ที่ให้เด็กได้มาแสดงออก ให้เด็กได้มาค้นหาตัวเอง เพราะว่าเฟิร์นถือว่าเฟิร์นโชคดีมากเลยที่อย่างน้อยมาค้นพบตัวเองว่ารักอะไร ชอบอะไร และได้ทำในสิ่งที่รัก มันไม่ใช่ทุกคนที่จะทำในสิ่งที่รักแล้วหาเลี้ยงตัวเองได้

.

Q: เจอตัวเอง ตอนจบปริญญาตรี 

A: เพราะว่าชีวิตเราอยู่แต่กับการเรียน ไม่เคยได้มีโอกาสค้นหาตัวเองเลยว่าตัวเองชอบอะไร เฟิร์นก็เลยรู้สึกว่าถ้าเฟิร์นอยากทำอะไรสักอย่างที่มันจะมีประโยชน์ หรือทำให้คนนึกถึงเรา คงอยากสร้างพื้นที่ที่ทำให้เด็กคนอื่นได้มีโอกาสมาค้นหาตัวเองอะไรอย่างนี้ 

Q: อาจจะรวมทั้ง ไม่จำกัดว่าความสามารถอะไรก็ตาม

A: ใช่ ๆ อาจจะเป็นอะไรก็ได้ เป็นอาร์ต หรืออะไรก็ได้ แต่ได้มาเจอตัวเอง เพราะว่ามีคนชอบมาถามเฟิร์น บางทีโรงเรียนเชิญให้ไปพูดกับรุ่นน้อง คนอื่นเขาจะพูดวิชาการ แต่เฟิร์นบอกว่าเล่นให้สนุก ให้เล่นไปด้วยเรียนไปด้วย อย่ายึดติดว่าสิ่งที่เรียนจะเป็นสิ่งที่ทำอาชีพได้ คือเฟิร์นจะเป็นแนวนี้มากกว่า

Q: อย่าไปตีกรอบ

A: อย่าไปตีกรอบตัวเองเลยค่ะ เพราะเราไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเราจริง ๆ คืออะไร จนกว่าเราจะหาสิ่งนั้นเจอด้วยตัวเอง เราอาจจะไม่ได้เจอตอนอายุ 20 ก็ได้ บางคนโชคดีอาจเจอตอน 15 ก็จะมีเวลาอยู่กับมัน หรือบางคนอาจจะเจอตอน 40 ก็ได้ คือทุกคนมีช่วงเวลาไม่เหมือนกัน.

Q: วันว่างเฟิร์นทำอะไร พักผ่อนหรือทำ กิจกรรม

A: นอนค่ะ (หัวเราะ) แต่ว่าช่วงนี้พอเฟิร์นโฟกัสเรื่องออกกำลังกาย เฟิร์นก็จะแบ่งเวลามาให้ฟิตเนสอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 - 4 ชั่วโมงให้ได้เป็นอย่างต่ำ ทั้งสัปดาห์ และสิ่งที่ขาดไม่ได้ และก็ยังชอบอยู่เสมอคือ การดูหนังดูซีรีส์ 

Q: ออกไปข้างนอกหรือดูที่บ้าน

A: ดูที่บ้านค่ะ แต่ถ้าเป็นหนังก็จะดูในโรง เฟิร์นชอบดูในโรงตลอด ยิ่งพอมาทำงานตรงนี้ยิ่งเห็นคุณค่าของลิขสิทธิ์

แต่ก่อนช่วงแรก ๆ เคยดูเป็นโหมดฟังก์ชั่นทำงาน แต่หลัง ๆ ต้องบอกตัวเองว่า ไม่ได้ เธอต้องกลับไปเป็นคนดูที่พร้อมเสพไปกับมัน สนุกไปกับมัน ไม่ใช่มานั่งดูแล้วอ๋อ...ดอลลี่เข้า (การเคลื่อนกล้อง) อ๋อ...ไม่คอนฯ นะ (คอนตินิว) มันก็คงติดแบบลึกๆ ไปแล้วค่ะ แต่ก็อยากจะเสพ พยายามจะบอกตัวเองให้ซึมซับแบบคนดู 

Q: แล้วมีกิจกรรมอะไรที่ชอบอีก

A: ชอบอ่านหนังสือค่ะ ถ้ามีเวลาว่างจะหาหนังสือที่น่าสนใจมาอ่าน 

Q: หมวดไหนเป็นพิเศษ

A: หมวดประวัติศาสตร์ หมวดท่องเที่ยว มีอยู่ 2 อย่างที่ชอบ

Q: เพราะอะไรถึงชอบประวัติศาสตร์

A: เฟิร์นว่าประวัติศาสตร์ทำให้เราเห็นความจริงบางอย่างค่ะ แล้วยิ่งเป็นประวัติศาสตร์ที่เฟิร์นรู้สึกว่าน่าสนใจ เฟิร์นก็จะอ่าน ประวัติศาสตร์บ้านเมืองเรา การเมืองไทย เฟิร์นก็อ่านเป็นความรู้รอบตัว มันช่วยให้เราตระหนักถึงปัจจุบัน และสิ่งต่างๆ ที่มันเกิดขึ้น ไม่ใช่โฟกัสแค่ตัวเองไปวัน ๆ 

Q: ส่วนหนังสือท่องเที่ยว

A: อันนี้ก็ชอบ เพราะว่าชอบไปเที่ยว ชอบหาเวลาไปพักผ่อน

.

Q: คนแบบไหนที่เฟิร์นอยู่ด้วยแล้วมีความสุข

A: ข้อนี้ตอบยากมากค่ะ ข้อนี้ก็ตอบยากมาก 

Q: เราต้องอยู่กับคนเยอะมาก เอาที่แบบอาจจะใช้เวลากับเรานานหน่อย ที่ไม่ใช่คนในครอบครัว

A: คนแบบไหนที่เฟิร์นอยู่ด้วยแล้วมีความสุขเหรอคะ คนที่รับฟังเรา 

Q: ขอเหตุผลสนับสนุนหน่อย

A: เฟิร์นคิดว่าคนที่รับฟังเฟิร์น และยอมรับในตัวตนของเฟิร์น ทั้งดีและไม่ดีอย่างนี้ เพราะเฟิร์นคิดว่าตัวเองไม่ใช่คนจิตใจดีงามหรือประเสริฐขนาดนั้น ยังมีรัก โลภ โกรธ หลงอยู่ในใจ 

Q: ชื่นชอบการเป็นดีเจ แล้วมีเพลงโปรดไหม 

A: เพลงโปรดของเฟิร์นเยอะมากเลย

Q: ขอที่โปรดสุด ๆ ที่นึกได้ตอนนี้ 

A: ‘ความหมาย’ ของ Bodyslam เพลงดีมากเลย

Q: ดีเพราะเนื้อหา หรือเพราะอะไร

A: เนื้อหาพูดถึงว่า มันจะมีประโยชน์อะไรถ้าเราไขว่คว้าหาแสงดาว แต่ไม่มีใครสักคนชื่นชมมันไปกับเรา รู้สึกว่ามัน deep มาก ดีมากเลยนะ คล้ายพอเราโตขึ้น เราก็เริ่ม...

Q: ไม่ผิวเผิน 

A: ค่ะ มันไม่ผิวเผิน และเริ่มเห็นอะไรในชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ ในที่นี้มันหมายถึงครอบครัวด้วยนะ เราผ่านความเป็นวัยรุ่น ผ่านการทะเลาะกับที่บ้าน ความไม่เข้าใจกัน ความเชื่อของเรากับความเชื่อของที่บ้านไม่เหมือนกัน การต้องการพิสูจน์ตัวเอง วันนี้เราพิสูจน์ตัวเองได้อย่างที่ใจเราต้องการแล้ว แต่ถ้าเราลืมคนข้าง ๆ ไป ลืมความหมาย มันก็ไม่มีความหมาย มันทำให้เฟิร์นรู้ เพราะในวันที่เฟิร์นเสียอาม่าไป คนที่เลี้ยงดูเฟิร์นมา สิ่งหนึ่งที่มันแล่นเข้ามาในหัวคือ ต่อไปนี้เราจะทำอะไรให้ใครดู เรื่องนี้ขึ้นมาเป็นอย่างแรกเลยนะ แล้วชีวิตฉันใครจะมายินดีกับฉันอีก เวลาที่ฉันประสบความสำเร็จ 

Q: ส่วนตัวเป็นคนที่เชื่อในเรื่องอะไรเป็นพิเศษ

A: เฟิร์นเป็นคนที่เชื่อในความรักมาก ไม่ว่าจะในรูปแบบไหนก็ตาม เฟิร์นรู้สึกว่านอกจากการรักตัวเองแล้ว การที่มีใครสักคนรักเรา มาอยู่ข้าง ๆ เรานั้นดีมากจริง ๆ

.

Q: ขอปรับโหมดหน่อย คุยในมุมสบาย ๆ ถ้าจะเลี้ยงข้าวเฟิร์น ต้องพาไปกินที่ไหน 

A: กินที่ไหนเหรอคะ ? เชื่อไหมว่าสิ่งแรกที่แวบเข้ามาคือ ข้าวมันไก่ ขอข้าวมันไก่ที่อร่อย ๆ ก็พอ

Q: มีที่ไหนบ้างที่ชอบไปกินข้าวมันไก่

A: ข้าวมันไก่ที่ไหนเหรอคะ ? ข้าวมันไก่โคลีเซี่ยม ข้าวมันไก่ตรงปั๊มแจ้งวัฒนะ แล้วก็ข้าวมันไก่โรงแรมมณเฑียรก็ดีค่ะ

Q: มีคำถามแหวว ๆ นิดหนึ่ง ถ้าหัวใจเฟิร์นมี 4 ห้อง ในนั้นจะมีอะไรอยู่บ้าง อะไรก็ได้นะ ไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างเดียวก็ได้

A: อาม่า 1 ห้อง 

Q: หรือจะมีอีกหลายๆ  อย่างอยู่ในห้องเดียวกันก็ได้ 

A: อาม่ากับป๊าให้เป็น 1 ห้อง อีกห้องหนึ่งให้เป็นอาชีพนักแสดง อีกห้องหนึ่งให้เป็นกงยู 

Q: ทำไมคนเดียว

A: กงยูให้เลย 1 ห้อง อาม่ากับป๊าต้องไปเบียดกันใน 1 ห้อง แต่ว่ากงยูให้เลย 1 ห้อง 

Q: ส่วนห้องที่ 4

A: ห้องที่ 4 เหรอคะ ให้เป็นอะไรดีล่ะ น่าจะเป็นธรรมชาติ เพราะเฟิร์นเชื่อว่าธรรมชาติช่วยปลอบประโลมเฟิร์นอยู่เสมอ

Q: ธรรมชาตินั้นคืออะไรบ้างครับ

A: ต้นไม้ ทะเล เป็นธรรมชาติที่จะช่วยได้ค่ะ 

Q: ถ้าเกิดคนที่จะจีบเฟิร์นติดต้องเป็นคนอย่างไร เพื่อพัฒนาไปสู่ความเป็นแฟนหรือว่าคนรัก

A: ต้องเป็นคนที่ไม่ดูถูกคนอื่น และไม่ขี้อวด 2 อย่างนี้ไม่ได้เลย แล้วก็ไม่เพิกเฉยต่อความไม่ยุติธรรม เพราะว่าอารมณ์เฟิร์นจะแรงมากเวลาที่เจอเรื่องไม่ยุติธรรม ไม่แฟร์เมื่อไรปุ๊บจะขึ้นเลย

Q: ถ้าเว้นจาก 3 อย่างนี้ก็น่าจะเข้าคบกันได้

A: แล้วไม่หักหลังเราด้วย มันก็คงเป็นเรื่องนิสัยส่วนตัวแล้วแหละ แต่ว่าหลัก ๆ ง่าย ๆ คือไม่ดูถูกคนอื่น ไม่ขี้อวด 

Q: หน้าตาอย่างไรก็ได้ รูปร่างอย่างไรก็ได้ ชาติไหนก็ได้

A: ชาติไหนก็ได้ เพศอะไรก็ได้ด้วยซ้ำ

Q: สุดยอด ใจกว้างมากเลย

A: เพศอะไรก็ได้จริง ๆ 

Q: เยี่ยมยอด 

A: แต่เรื่องหน้าตา เฟิร์นคงไม่ถึงขั้นเลือกแบบว่า...

Q: กงยู?

A: ก็มาตรฐานสูง แต่ถ้าเป็นอย่างที่ใจหวังได้ก็ดี (หัวเราะ)

ยังไงก็ขอให้นางเอกสาวคนสวยสมหวัง ซ้าธุ! ปีหน้าเฟิร์นยังขอให้แฟนๆ อย่างพวกเราติดตามผลงานของเธอกันต่อไป แว่วๆ ว่า จะมีผลงานทยอยออกมาอีกไม่ใช่น้อย แล้วเราจะรอเชียร์เธอ...นพจิรา ฤกษ์ขจรนามกุล


เรื่อง: ณัฐพล ช่วงประยูร 

ภาพ: S.คิม

 

16 ธันวาคม พ.ศ. 2510 ‘ในหลวงรัชกาลที่ 9’ ทรงได้รับการทูลเกล้า ฯ ถวายเหรียญทอง จากการแข่งขันเรือใบประเภทโอเค ในการแข่งขันกีฬาแหลมทองครั้งที่ 4

สำหรับวันนี้ในแวดวงกีฬาของประเทศไทยแล้ว ถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็น ‘วันกีฬาแห่งชาติ’ แต่ที่มาของวันพิเศษวันนี้ คงต้องย้อนกลับไปสู่เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ. 2510 หรือเมื่อกว่า 53 ปีมาแล้ว

 

วันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2510 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงเป็นตัวแทนของนักกีฬาทีมชาติไทย เข้าร่วมการแข่งขันกีฬาแหลมทอง ครั้งที่ 4 (หรือชื่อในปัจจุบันคือ กีฬาซีเกมส์) ที่จัดขึ้นที่กรุงเทพฯ โดยทรงชนะเลิศได้รับเหรียญทองในการแข่งขันเรือใบประเภท โอ.เค. ร่วมกับทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี ซึ่งนับเป็นหน้าประวัติศาสตร์ทางการกีฬาอันสำคัญยิ่งของประเทศไทย

 

กล่าวถึงเรือใบที่ทรงใช้แข่งขันในครั้งนั้น เป็นเรือใบที่ทรงต่อขึ้นเอง พระราชทานชื่อว่า ‘นวฤกษ์’ โดยส่วนพระองค์ทรงโปรดการเล่นเรือใบ และกีฬาประเภทอื่นๆ อีกหลายชนิด อาทิ สกี แบดมินตัน เทนนิส รวมทั้งยังทรงให้ความสำคัญต่อการซ้อมและการมีวินัยเป็นอย่างมาก

 

เพื่อเป็นการระลึกถึงพระปรีชาสามารถ ที่ทรงเป็นนักกีฬาตัวแทนของชาติไทย ในการแข่งขันกีฬาแหลมทองครั้งที่ 4 และเพื่อเป็นการกระตุ้นเตือนให้ประชาชนชาวไทยเห็นคุณค่าความสำคัญของการกีฬา การกีฬาแห่งประเทศไทย จึงได้มีมตินำเสนอคณะรัฐมนตรีลงความเห็นชอบ เมื่อวันที่ 15 เมษายน พ.ศ.2529 กำหนดให้วันที่ 16 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวัน "วันกีฬาแห่งชาติ" นับแต่นั้นเป็นต้นมา

 

การเล่นกีฬานอกจากให้ทำให้สุขภาพแข็งแรง ยังฝึกให้มีระเบียบ วินัย ตลอดจนมีความวิริยะ อดทน เพราะการหมั่นฝึกซ้อมด้วยความอดทน จะนำชัยชนะมาครองได้ในท้ายที่สุด

 

 

ในวันที่เจอฝุ่นมากๆ การล้างจมูกช่วยคุณได้ มาเรียนรู้วิธีทำความสะอาดแบบง่ายๆ ที่ใครก็ทำได้กันดีกว่า

ผจญฝุ่นกันมา 2 วันเต็ม ๆ ได้ยินคนใกล้ตัวเริ่มบ่นแสบจมูกกันระนาว จุดนี้เป็นอาการเบื้องต้นของการสูดเอาฝุ่นละอองเข้าไปมากเกิน แน่นอนครับว่า มันไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพอย่างที่หลายคนทราบกัน

เอาอย่างนี้ครับ ก่อนกลับบ้านวันนี้ แวะซื้อน้ำเกลือ ราคาขวดละ 40 บาท และไซริงค์-กระบอกฉีดยา ขนาดราว 10 - 15 มิลลิลิตร ราคาอันละราวๆ 10 บาท ไม่เกินนี้ หาซื้อได้ตามร้านขายทั่วไป เมื่อซื้อกลับมาแล้ว ก็ลองทำการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือกันดูนะครับ

แฮ่! หลายคนทำหน้าถอดสี เพราะไม่เคยทำ และกลัวว่ามันจะเป็นเรื่องยาก จริงๆ มันมีความยุ่งยากและรู้สึกแปลกๆ แค่ช่วงแรกเท่านั้นเอง แต่ถ้าได้ลองทำจนเริ่มคุ้นชินแล้วล่ะก็ แป๊บเดียวก็สามารถทำได้คล่องสบาย

.

ขั้นตอนการล้างจมูกด้วยการฉีดไซริงค์น้ำเกลือ ทำได้ดังนี้ครับ

1.) ดูดน้ำเกลือด้วยกระบอกฉีดยา ในผู้ใหญ่ประมาณ 10-15 ซีซี ในเด็กประมาณ 5 ซีซี

2.) นำปลายกระบอกฉีดยา ใส่เข้าไปในจมูกข้างที่จะล้าง อ้าปากไว้ แล้วหายใจเข้าเต็มที่ และกลั้นหายใจไว้

3.) ดันกระบอกสูบของกระบอกฉีดยา เบา ๆ ให้น้ำเกลือไหลเข้าไปในจมูกช้า ๆ จังหวะที่น้ำเข้าไปคั่งในรูจมูกจนสุด น้ำจะไหลข้ามไปออกรูจมูกอีกข้างหนึ่ง ในช่วงจังหวะนี้เองที่หลายคนเป็นกังวล เหมือนจะสำลัก ให้ทำตัวเหมือนกำลังกลั้นหายใจในน้ำอยู่ครับ รอจนกว่าน้ำจะไหลผ่านจมูกออกหมด แล้วค่อยผ่อนลมหายใจออกมา แป๊บเดียว ไม่นาน

4.) ทำซ้ำแบบเดียวกัน กับรูจมูกอีกข้าง

5.) เมื่อแล้วเสร็จ ให้สั่งน้ำมูกออกเบา ๆ สิ่งแปลกปลอมต่าง ๆ ในรูจมูก ก็จะหลุดออกมาด้วย 

ถามว่าการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือมีประโยชน์อย่างไร? แน่นอนว่า มันเป็นการชะล้างเอาน้ำมูก หรือสิ่งสกปรกในจมูก ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นก็ดี หรือสิ่งแปลกปลอมอื่นๆ ให้หลุดออกมา รวมทั้งยังบรรเทาอาการคัดจมูก ลดความเหนียวข้นของน้ำมูก และที่สำคัญ ทำให้เชื้อโรคไม่เจริญเติบโตอีกด้วย

ถ้าเป็นการชำระล้างสิ่งสกปรก ฝุ่นควัน หรือเชื้อโรคต่างๆ ควรล้างวันละ 1 ครั้ง หรือหากกรณีคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ ควรล้างวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น เพื่อทำให้อาการดีขึ้นครับ ข้อควรระวังสำหรับการล้างจมูกมีนิดเดียว ให้ตรวจดูน้ำเกลือก่อนซื้อว่า ไม่มีส่วนผสมของน้ำตาล (Glucose) และควรอ่านฉลาก วันหมดอายุ ให้ละเอียด เท่านี้ก็ปลอดภัยแล้วล่ะครับ

ช่วงนี้ฝุ่นเยอะจริงๆ หลีกเลี่ยงการออกพื้นที่กลางแจ้งนะครับ อยู่ในที่ที่อากาศถ่ายทได้สะดวกเข้าไว้ พยายามสวมหน้ากากอนามัยอยู่เสมอด้วยครับ ขอให้สุขภาพแข็งแรงกันทุกคนนะครับ

 

15 ธันวาคม...วันชาสากล วันที่ชวนทุกคนมาดื่มชา พร้อมกันนี้ยังเป็นวันที่รณรงค์ให้ตั้งราคา สินค้าใบชาอย่างเป็นธรรม

เครื่องดื่มกลิ่นหอมๆ ของคุณในตอนเช้าๆ คืออะไรกันครับ? กาแฟ? หรือว่าชา? ถ้าในถ้วยที่กำลังถืออยู่ เป็นชาร้อนหอมๆ บอกเลยว่า วันนี้ ‘ชาอร่อยเป็นพิเศษ’ อย่างแน่นอน

เพราะวันนี้ ถูกยกให้เป็น ‘วันชาสากล’ (International Tea Day) วันนี้ถูกจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในช่วงปี พ.ศ. 2548 จุดเริ่มต้นมาจากเกษตรกรผู้ปลูกชากลุ่มเล็ก ๆ ในเบงกอลตะวันตก และหลายรัฐทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย ได้รวมตัวกันเพื่อเรียกร้องถึงสิทธิและความชอบธรรมในการค้าชาของตน โดยในช่วงนั้น แม้ว่าชาจะเป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจที่มีการปลูกอย่างแพร่หลายทั่วประเทศ แต่อุตสาหกรรมค้าชาในประเทศอินเดียกลับมีความอ่อนแอและบริหารจัดการได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ เกษตรกรผู้ปลูกชากลุ่มเล็ก ๆ จึงได้นำเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ในการปลูก ทำให้ประสิทธิภาพในการผลิตดีขึ้น และได้ชาที่มีคุณภาพดียิ่งขึ้นเช่นเดียวกัน

ทว่าเมื่อชาดี แต่เกษตรกรกลับไม่ได้รับความเป็นธรรมในการค้าขาย พวกเขาถูกเอารัดเอาเปรียบและถูกกดราคา กระทั่งองค์กรเพื่อการสื่อสารและการศึกษาของประเทศอินเดีย (CEC – Centre for Communication and Education) ซึ่งเป็นองค์กรที่ช่วยเหลือสิทธิของเกษตรกรและผู้ผลิตรายย่อยในประเทศ ได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ โดยได้รับความร่วมมือกับองค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติด้วยอีกทาง ในที่สุดจึงสามารถเข้ามาพัฒนาและช่วยเหลือเกษตรกรผู้ค้าชากลุ่มย่อย ๆ ให้ได้รับความเป็นธรรมในการค้าชาและทำให้พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้น 

ชาจึงได้ถูกพัฒนาให้กลายเป็นสัญลักษณ์ของเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ รวมทั้งได้มีการจัดตั้งให้วันที่ 15 ธันวาคมของทุกปี เป็นวันชาสากล เพื่อระลึกถึงคุณประโยชน์ของชาและตระหนักถึงความสำคัญของเหล่าเกษตรกรตัวเล็ก ๆ ผู้ปลูกพืชซึ่งกลายเป็นเครื่องดื่มที่มีคุณค่าชนิดนี้

อ่านถึงตรงนี้ ใครที่มีถ้วยชาอยู่ในมือ โปรดยกขึ้นจิบให้สมกับคุณค่าของมัน หรือหากใครที่อยากจิบชาเพื่อสร้างบรรยากาศดีๆ บ่ายๆ นี้ลองจัดสักแก้วหนึ่ง ฉลองให้กับวันชาสากลกันนะครับ Cheers!


อ้างอิงข้อมูล : teadayblog

14 ธันวาคม วันเจ้าจ๋อเจี๊ยก ๆ

เช้าวันนี้ ส่งภาพเจ้าจ๋อฉีกยิ้มฟันขาวมาให้ชมกัน ขอให้เริ่มต้นวันทำงาน หรือวันเรียนแบบสบายๆ กันนะครับ แต่จริงๆ แล้ว วันนี้ก็เป็นวันสำคัญของเจ้าจ๋อเช่นกัน เนื่องจากวันนี้ทั่วโลกต่างยกให้เป็น ‘วันแห่งลิง’ (Monkey Day)

วันแห่งลิงถูกริเริ่มขึ้นมาโดยศิลปินคนหนึ่งชื่อว่า เคซี ซอร์โรว์  เขาได้เขียนคำว่า "Monkey Day" ลงบนวันที่ 14 ธันวาคมในปฏิทินของเพื่อนคนหนึ่ง และหลังจากนั้น ในช่วงปี ค.ศ. 2000 ก็ได้ยกให้วันที่ 14 ธันวาคมของทุกปี กลายเป็นวันแห่งลิง หรือ World Monkey Day

เหตุที่ต้องให้ความสำคัญจนมีวันของเจ้าจ๋อ เนื่องจาก ‘ลิง’ ถือเป็นสัตว์ที่มีความฉลาด มีมันสมอง และมีความใกล้เคียงกับมนุษย์อย่างเราเอามากๆ แต่ปัจจุบัน มีข่าวคราวร้ายๆ ที่เกิดกับลิงอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการถูกทรมาน การถูกรุกรานพื้นที่ วันนี้จึงเป็นวันที่ต้องการให้ผู้คนได้ตระหนักถึงลิง หนึ่งในสัตว์โลกที่มีการสืบทอดสายพันธุ์กันมายาวนาน และเป็นเพื่อนร่วมโลกกับเรามายาวนานด้วยเช่นกัน

ไหนๆ วันนี้ก็เป็นวันเจ้าจ๋อแล้ว เห็นรูปนี้แล้วก็ส่งยิ้มกลับให้มันสักหน่อยแล้วกันนะครับ 1…2…3 Smileeee!

 

ย้อนดูความร้อนแรงของ BTS ตลอดทั้งปี 2020

ยิ่งใหญ่ได้อีก สำหรับบอยแบนด์แห่งยุค BTS เรียกว่าปี 2020 เป็นปีของพวกเขาก็ว่าได้ ล่าสุดเมื่อไม่กี่วันก่อน นิตยสารทรงอิทธิพลอย่าง TIME ก็ได้ออกมามอบรางวัล Entertainer of the year ให้กับ BTS ซึ่งไม่มีข้อกังขาใดๆ กับความเจ๋งของพวกเขา วันนี้เราเลยอยากจะมาย้อนดูความแรงของ 7 หนุ่มตลอดทั้งปี 2020 ไปดูกันว่า พวกเขาสร้างความยิ่งใหญ่อะไรไว้บ้าง 

เริ่มตั้งแต่ต้นปี มีการจัดงานประกาศรางวัล “34th Golden Disc Awards” ซึ่งจัดขึ้นที่โกซอก สกายโดม โดยงานนี้จัดขึ้นเพื่อฉลองให้กับความสำเร็จของศิลปินเกาหลีใต้ที่ทำยอดขายและผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในรอบปีที่ผ่านมา ซึ่ง BTS ก็สามารถคว้ารางวัลแดซัง (รางวัลใหญ่) ได้ถึง 2 รางวัล และรางวัลบนซัง (รางวัลยอดจำหน่ายเพลงผ่านเกณฑ์มาตรฐาน) อีกหลายรางวัล

.

เดือนเมษายน พวกเขาก็ปล่อย Studio Album ล่าสุด MAP OF THE SOUL : 7 โดยบีทีเอสได้เล่าว่า เลข 7 หมายถึง เมมเบอร์ 7 คน และเป็นห้วงเวลา 7 ปีตั้งแต่เดบิวต์ผลงานกันมา ซึ่งเนื้อหาของอัลบั้มนี้ ได้สะท้อนเรื่องของเมมเบอร์หรือตัววงออกมาเป็นอย่างมาก 

.

กระทั่งเข้าสู่ช่วงเดือนพฤษภาคม ในการจัดงาน Kids’ Choice Awards ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีการจัดงานมอบรางวัลผ่านหน้าจอออนไลน์ โดย BTS ก็สามารถคว้ารางวัลสำคัญ Favorite Music Group มาครอง

เข้าสู่เดือนมิถุนายน มีการเปิดเผยข้อมูลสถิติและยอดขายของทาง Nielsen Music ซึ่งเป็นระบบที่จัดเก็บข้อมูลของอุตสาหกรรมดนตรีอเมริกา พบว่า  Map of the Soul: 7 อัลบั้มเต็มลำดับที่ 4 ของ BTS สามารถจำหน่ายไปได้มากถึง 1.417 ล้านยูนิตในช่วงครึ่งปีแรก ที่สำคัญ ยังแซงหน้าอัลบั้มยอดขายดีตลอดกาลอย่าง Abbey Road ผลงานมาสเตอร์พีซของ Beatles ที่เคยถูกจำหน่ายในจำนวน 1.094 ล้านยูนิตไปเรียบร้อย

.

ตุลาคมที่ผ่านมา BTS ก็สามารถคว้ารับรางวัล Top Social Artist (ศิลปินยอดนิยมบนโลกโซเชี่ยล) เป็นปีที่ 4 ติดต่อกัน ในเวทีการแจกรางวัล Billboard Music Awards 2020 

และในเดือนพฤศจิกายน BTS ก็ยังคงเก็บเกี่ยวความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง คว้าอีก 2 รางวัล บนเวที American Music Awards 2020 ซึ่งรายการนี้จัดขึ้นเพื่อยกย่องศิลปินและอัลบั้มยอดนิยมของปี 2020 โดยบอยแบนด์จากเกาหลีใต้สามารถคว้ารางวัล Favorite Duo or Group – Pop/Rock (เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน) และรางวัล Favorite Social Artist (เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน)

.

และในงานงานประกาศผลรางวัล “2020 MTV Europe Music Awards” ครั้งที่ 27 BTS ก็ยังสามารถกวาดรางวัลมาครองได้มากถึง 4 รางวัลด้วยกัน ได้แก่ Best Song, Best Group, Biggest Fans และ Best Virtual Live

เข้าสู่ธันวาคม ในงานประกาศรางวัล 2020 Mnet Asian Music Awards หรือ 2020 MAMA ซึ่งศิลปิน BTS ก็กวาดรางวัลไปได้อีกมากมาย โดยแบ่งเป็นรางวัลเเดซัง (รางวัลใหญ่) 4 สาขา ประกอบไปด้วย รางวัล Artist of the Year, Song of the Year, Album Of The Year และ Worldwide Icon of the Year พร้อมด้วยรางวัลอื่น ๆ อีก ได้แก่ รางวัล Best Male GroupBest Dance Performance – Male GroupBest Collaboration, Best Music Video และรางวัล Worldwide Fans’ Choice Top 10 

.

และไม่กี่วันมานี้ Rolling Stone นิตยสารเเละเว็บไซต์ชื่อดังของสหรัฐอเมริกา ก็ได้เผย 50 เพลงจากทั่วโลกที่ดีที่สุดในปี 2020 โดย BTS ติดอยู่ในอันดับที่ 7 จากเพลง Dynamite ซิงเกิลภาษาอังกฤษเพลงแรกของพวกเขา ซึ่งถูกปล่อยออกมาเมื่อเดือนสิงหาคม แถมยังสามารถสร้างประวัติศาสตร์ เป็นศิลปินจากเกาหลีใต้วงแรกที่สามารถขึ้นอันดับ 1 บน Billboard Hot 100 ได้สำเร็จอีกด้วย

ปิดท้ายล่าสุด (แต่คงไม่ใช่ท้ายสุด) BTS ได้รับรางวัล Entertainer of the year หรือรางวัลศิลปินแห่งปี จากนิตยสาร TIME ไปครอง เป็นการจัดอันดับโดยนิตยสาร TIME ที่จะมอบรางวัลประจำปีให้กับบุคคลในแต่ละสาขาอาชีพ ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของนิตยสารผู้ทรงอิทธิพลฉบับนี้มาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1920 เป็นต้นมา

ตามไปชมคลิปการโชว์เพลง Dynamite ซิงเกิ้ลเพลงภาษาอังกฤษของพวกเขา ที่โชว์ให้กับนิตยสาร TIME ได้ในลิ้งค์นี้กันเลย

https://time.com/entertainer-of-the-year-2020-bts/?utm_campaign=person-of-the-year&utm_source=line_app&utm_medium=social

 

วิเคราะห์ศึกผ่าเมือง "แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด vs แมนเชสเตอร์ ซิตี้" ใครจะเป็นผู้ชนะ?

โคจรกลับมาเจอกันอีกครั้ง กับศึกผ่าเมืองแมนเชสเตอร์ ระหว่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พบ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ งานนี้สนุกเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือ ผลสกอร์ออกหน้าไหนก็เป็นไปได้หมด

ภาพรวมของทั้งสองทีมช่วงนี้ นิยามเบา ๆ ได้ว่า "ทรง ๆ" ขยายความต่อมาคือ กำลังหาทรงอยู่นั่นเอง ผ่าม!! ไม่ช่าย ทรง ๆ คือ ฟอร์มไม่ถึงกับดีมากมาย แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายนัก โดยเฉพาะผีแดง - แมนฯ ยูฯ  ทำผลงาน 5 นัดในลีกหลังสุด ชนะ 4 แพ้ 1 อยู่อันดับ 7 ส่วนแมนฯ ซิตี้ หายใจรดต้นคอมาติดๆ อยู่อันดับ 8 ผลงาน 5 นัดหลังสุด ชนะ 3 เสมอ 1 แพ้ 1 

อย่างที่บอกไปว่า ทรง ๆ กันทั้งคู่ ทีมของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า ฤดูกาลนี้ยังไม่ลงตัวสักที ถึงจะขึ้นชื่อว่าเป็นเต็งลุ้นแชมป์ แต่ภาพรวมกว่า 10 เกม ตั้งแต่เปิดฤดูกาลมา ก็ยังไม่แจ่มนัก โดยเฉพาะแผงกลางไปถึงหลัง ไม่ลงตัวเหมือนเที่คยเป็นมา 

ส่วนปีศาจแดง ในการทำทีมของน้าโอเล่ - โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เพิ่งพาแมนฯ ยูฯ ตกรอบแบ่งกลุ่มในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกมาหมาดๆ โดยมิตรรักสหายผีแดงวิจารณ์ซะเละเทะ แต่ภาพรวมในลีกก็ยังพอรับได้ ค่อยๆ เก็บคะแนนไล่ตามจ่าฝูงอย่างสเปอร์ตอนนี้เหลือแค่ 5 แต้ม แถมยังมีนัดตกค้างเหลืออีก 1 นัด

ฉะนั้น นัดนี้ที่ปีศาจแดงได้เล่นในบ้าน ยังไงน้าโอเล่ต้องเน้นกับลูกทีมสุด ๆ เพราะถ้าชนะ นั่นหมายถึง คะแนนจากอันดับ 7 อาจกระโดดข้ามขึ้นไปอีก ซึ่งปีนี้แต่ละทีมคะแนนไล่เบียดคู่คี่กันมาก 

ตามสถิติทั้งสองทีมพบกันมากว่า 159 นัด โดยเป็นแมนฯ ยูฯ ที่เอาชนะไปได้ 64 ครั้ง แมนฯ ซิตี้ ชนะไป 48 ครั้ง และออกผลเสมอกัน 47 ครั้ง ผลงานเจอกัน 6 นัดหลังสุดก็คู่คี่พอ ๆ กัน โดยทั้งสองทีมสามารถเอาชนะกันไป 3 ครั้งเท่า ๆ กัน แต่กับฤดูกาลล่าสุดที่ผ่านมา แมนฯ ยูฯ ดูจะทำผลงานได้ดีกว่าซิตี้นิดๆ สามารถเอาชนะได้ทั้งแมทซ์เหย้าและเยือน

ผลที่น่าจะเป็นของคู่นี้ มีความเป็นไปได้สูงที่จะออกเสมอกัน แบบบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น แต่หากจะมองว่าทีมใดที่มีโอกาสคว้า 3 แต้มมากกว่า ด้วยความสม่ำเสมอในฟอร์มการเล่นของแมนฯ ซิตี้ ยังเหนือกว่าแมนฯ ยูฯ ในเวลานี้ ถ้าจะหาผู้ชนะในเกมนี้ ก็คงต้องเลือกจิ้มไปที่ทีมเรือใบสีฟ้า แมนฯ ซิตี้ นี่เอง 

ส่วนสกอร์ของคู่นี้ ตามสถิติที่เคยเป็นมา ถ้าไม่ยิงกันเยอะ ก็ไม่ยิงกันเลย แต่เชื่อว่านัดนี้น่าจะสกอร์เกิน 2 ลูกแน่นอน และน่าจะเป็นเกมที่สนุก เปิดหน้าเล่นเกมบุกใส่กัน เพราะอย่างที่บอก ผู้ชนะได้ 3 แต้ม มีผลต่ออันดับที่จะกระโดดขึ้นไปอย่างแน่นอน 

เพราะฉะนั้น คืนนี้เวลา 00.30 น. หรือเที่ยงคืนครึ่ง ตามเวลาในประเทศไทย จะรักผี หรือเชียร์เรือใบ หรือจะแช่งทั้งคู่ ก็ไม่ควรพลาดแมทซ์ 5 ดาวนี้ด้วยประการทั้งปวง ง่วงยังไงก็ต้องเจอกันนะ ปู๊น ๆ

 

12 ธันวาคม พ.ศ. 2533 วันเกิดครบรอบ 30 ปี "ซึงรี" อดีตสมาชิก BIGBANG

วันนี้เป็นวันคล้ายวันเกิดของ "ซึงรี" หรือ "อีซึงฮยอน" อดีตสมาชิกวงบอยแบนด์เกาหลีใต้ชื่อดังอย่าง BIGBANG แถมเขายังเป็นสมาชิกที่มีอายุน้อยที่สุดของวงอีกด้วย สำหรับแฟน ๆ ที่ติดตามผลงานของ BIGBANG จะทราบดีว่า ซึงรีมีความโดดเด่นในเรื่องการเต้น ซึ่งก่อนหน้าที่เขาจะเข้าร่วมเป็นสมาชิกของ BIGBANG ซึงรีเคยเป็นหัวหน้าและสมาชิกเต้นในวงที่ชื่อ II Hwa มาก่อน 

ซึงรี และ BIGBANG เปิดตัวผลงานของพวกเขาในช่วงราวปี ค.ศ. 2006 และหลังจากนั้น พวกเขาาก็โด่งดังแบบเปรี้ยงปร้าง ไม่ใช่แค่เฉพาะในเกาหลีใต้ แต่ดังไกลไปทั่วโลก จนได้รับการขนานนามว่าเป็น "Revolutionary Group of Hallyu Wave"

แต่แล้วเมื่อปี ค.ศ. 2019 ซึงรีก็ทำให้แฟน ๆ ของเขาต้องช็อก เมื่อมีออกมาว่า เขามีส่วนพัวพันกับการค้าประเวณี จัดหาหญิงสาวให้นักธุรกิจต่างชาติ และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด โดยมีธุรกิจผับ Buning Sun ซึ่งเจ้าตัวมีหุ้นส่วนอยู่เป็นฉากหน้า รวมไปถึงการมีชื่ออยู่ในกรุ๊ปแชตสุดฉาว ก่อนจะถูกจับกุมในเวลาต่อมา 

ภายหลังที่ตกเป็นข่าวครึกโครม ซึงรีได้ประกาศถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกวง BIGBANG และต้องต่อสู้กับคดีความอีกมากมายที่ดาหน้าเข้ามา กระทั่งเมื่อช่วงต้นปี 2020 หลังจากเคลียร์คดีความต่าง ๆ ให้จบลง ซึงรีก็เข้าสู่กรมทหาร เพื่อเข้ารับการฝึกการเป็นทหาร แม้ความเป็นซูเปอร์สตาร์ของเขาจะจบลงไปแล้ว แต่เจ้าตัวก็ได้ชื่อว่า เป็นศิลปินที่สร้างความเปลี่ยนแปลงและความยิ่งใหญ่ให้กับอุตสาหกรรมบันเทิงเกาหลีใต้ได้ในช่วงเวลาหนึ่งเลยทีเดียว

วันนี้ครบรอบอายุ 30 ปี ไม่ว่าแฟน ๆ จะยังรัก หรือจะชิงชังในข่าวคราวของเขา อย่างไรก็ต้องขอกล่าวคำว่า แฮปปี้เบิรธ์เดย์ ทู ซึงรี!!

 

AirPods Max คุ้มค่าแค่ไหน ถามใจเธอดู

เปิดตัวให้ได้ซี้ดซ้าดกันไปเมื่อหลายวันก่อน สำหรับ AirPods Max หูฟังครอบหูหรือเฮดโฟนแบบไร้สายตัวแรกของแอปเปิ้ล งานนี้เปิดตัวมาในราคา 19,900 บาท มีเสียงลอยมาเบาๆ แต่ได้ยินช้าดชัดว่า "แพงจุง" อ่ะ! ตัวเลขราคาอาจจะสูง แต่หูฟังตัวนี้มาด้วยฟีเจอร์มากมาย 

ไม่ว่าจะเป็น EQ ที่ปรับแต่งเสียงให้พอดีกับหูฟัง โดยวัดสัญญาณเสียงที่ส่งออกมา และปรับความถี่ต่ำและกลางแบบเรียลไทม์ ทำให้ได้เสียงที่เต็มอิ่มครบทุกรายละเอียด แถมยังมีโอกาสที่เสียงจะเพี้ยนน้อยมาก อยู่ที่ 1 เปอร์เซนต์ เนื่องจากมีชิ้นส่วนของมอเตอร์วงแหวนแม็กเน็ตนีโอไดเนียมคู่ที่ออกแบบมาอย่างดีและมีคุณภาพ ต่อให้เปิดเสียงดังสุดแค่ไหน เสียงก็ยังคมชัดเป๊ะ 

ส่วนเรื่องการเชื่อมต่อกับ Device อื่น ๆ อาทิ  iPhone iPad หรือเครื่องคอมพ์ Mac ก็หายห่วง ผู้ใช้สามารถสลับอุปกรณ์ไปมาระหว่าง Device ได้เลย AirPods Max ตัวนี้สามารถสลับการเชื่อมต่อได้โดยอัตโนมัติ หรือหากจะแชร์เสียงระหว่าง AirPods 2 ชุด บน iPhone iPad iPod touch หรือ Apple TV 4K ก็เพียงแค่นำ AirPods Max มาใกล้กับอุปกรณ์และเชื่อมต่อด้วยการแตะเพียงครั้งเดียวก็เป็นอันเรียบร้อย

เอาจริง ๆ ด้วยรูปร่างหน้าตาของ AirPods Max ตัวนี้ก็คูลได้ใจแล้วล่ะ แถมมาในสีให้เลือกถึง 5 สี ได้แก่ สีสเปซเกรย์, สีเงิน, สีสกายบลู, สีเชียว และสีชมพู โทนแต่ละสีไม่ได้เปรี้ยวปรู้ดปร้าด แต่ดูเท่ ๆ เฉี่ยว ๆ ตามสไตล์อุปกรณ์ค่ายแอปเปิ้ลนั่นเอง ถึงตรงนี้ ย้อนกลับไปดูที่ราคา ถ้า...ถ้าจะลงทุนกับหูฟังดี ๆ แล้วใช้งานกันไปยาว ๆ ไม่งอแง ก็ถือว่าคุ้มค่าน่าลงทุน  

 

11 ธันวาคม วันภูเขาสากล

‘ภูเขา’ นับเป็นแหล่งของสิ่งมีชีวิตที่ทำให้เกิดการผลิดอกออกผล รวมถึงเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำหลากหลายสายทั่วโลก เพราะเป็นสิ่งสำคัญที่อยู่คู่กับมนุษยชาติเสมอมา เป็นเหตุให้ในปีพ.ศ. 2548 ณ สมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ ได้มีการตกลงร่วมกัน โดยกำหนดให้ วันที่ 11 ธันวาคมของทุกปี ถือเป็น ‘วันภูเขาสากล’ (International Mountain Day)

 

ในวันนี้จะเป็นวันที่เราได้รำลึกและให้ความสำคัญกับ ‘ภูเขา’ ลักษณะภูมิประเทศที่เป็นแหล่งให้กำเนิดต้นน้ำ ต้นไม้ และธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ นอกจากนี้ยังเป็นการให้ความสำคัญกับประเพณีและวัฒนธรรมของชาวเขาทั่วโลก เนื่องจากเป็นชุมชนดั้งเดิมที่ยังคงรักษารากแห่งวัฒนธรรมอันเก่าแก่ไว้ได้อย่างยาวนาน

 

วันภูเขาสากลในวันนี้ จึงไม่ใช่แค่การรำลึกเพียงแค่ธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ แต่ยังสะท้อนถึงการคงไว้ซึ่ง ‘วิถีอันเก่าแก่’ ของผู้คนกลุ่มหนึ่งของโลก ไม่ว่าโลกจะหมุนไปด้วยความรวดเร็วแค่ไหน แต่วิถีชีวิตบางหนบางแห่ง ก็ยังคงดำเนินต่อไป และยังคงตั้งอยู่ในความงดงามของตัวเอง

เรื่องราวของ ‘ร็อกสตาร์ฆ่าไม่ตาย’ Oasis

“Oasis คือวงดนตรีที่โลกอนุญาตให้ปากหมาได้ตลอดกาล” ประโยคนี้คงไม่เป็นการกล่าวเกินจริงนักเมื่อเทียบกับวีรกรรมสุดห้าวของสองพี่น้องกัลลาเกอร์ที่ปรากฏบนหน้าสื่อตลอด 20 กว่าปีที่ผ่านมา นอกเหนือจากผลงานเพลงที่ได้รับความนิยมอย่างท่วมท้นในยุค ‘90s แล้ว ส่วนผสมที่ลงตัวแต่เข้ากันไม่ค่อยได้ของ ‘โนล กัลลาเกอร์’ มือกีตาร์ และ ‘เลียม กัลลาเกอร์’ ฟรอนต์แมน ดูเหมือนจะยิ่งสร้างสีสันให้แฟนๆ หันมาสนใจพวกเขามากยิ่งขึ้น ทำให้ปฏิเสธไม่ได้ว่า Oasis คือวงดนตรีที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อประวัติศาสตร์บริตป๊อบ (Britpop) ของเกาะอังกฤษ

 

วง Oasis ได้ยุติบทบาทลงในปี 2009 หลังโนลตัดสินใจลาออกจากวงและไม่พูดจากับน้องชายนานร่วม 10 ปี ปัจจุบันนี้พี่น้องกัลลาเกอร์ต่างก็ผันตัวเป็นศิลปินเดี่ยว แต่แฟนเพลงกลับทำเหมือน Oasis แค่พักวงชั่วคราวเท่านั้น พวกเขาเฝ้ารอวันที่วงดนตรีที่พวกเขารักจะกลับมารียูเนียนกันอีกครั้ง ความน่าสนใจคือแม้ Oasis จะเป็นวงดนตรียุค ‘90s ทว่ากระแสความนิยมไม่ได้ลดลง ยังคงมีแฟนเพลงเดนตายติดตามอย่างเหนียวแน่นโดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่บนโลกออนไลน์ เพลง “Wonderwall” ของวง Oasis ก็ยังเป็นเพลงแรกจากยุค ‘90s ที่มียอดสตรีมมิ่งผ่าน Spotify ทะลุ 1,000 ล้านครั้ง!

 

 

เรื่องราวของวง Oasis เต็มไปด้วยสีสันและเรื่องราวเฮฮาที่น่าสนใจ บางเรื่องอาจเกรียนชนิดที่ศิลปินยุคนี้ไม่มีทางทำแน่ๆ เมื่อคนรุ่นใหม่เข้าถึงอินเตอร์เน็ตพวกเขาสามารถสืบค้นข้อมูลและรับรู้ข้อมูลอีกด้าน ซึ่งแตกต่างจากที่หนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ในยุค ‘90s เคยประโคมข่าว ทำให้มุมมองที่มีต่อวง Oasis ในยุคนี้เต็มไปด้วยเรื่องสนุกที่เล่ากันไม่รู้เบื่อ ซึ่งมีหลายปัจจัยด้วยกันที่จุดกระแสความนิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่ตามไทม์ไลน์ดังต่อไปนี้…

 

จากครอบครัวชนชั้นแรงงานสู่ ‘ร็อกสตาร์’

เด็กหนุ่มจากครอบครัวชนชั้นแรงงานในเมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ รวมตัวกันตั้งวงดนตรีชื่อ The Rain ก่อนจะเปลี่ยนชื่อเป็น ‘Oasis’ ในเวลาต่อมา เมื่อ ‘เลียม กัลลาเกอร์’ เข้ามาทำหน้าที่ฟรอนต์แมนของวง เขาชักชวนพี่ชาย ‘โนล กัลลาเกอร์’ ที่ทำงานเป็นเด็กขนเครื่องดนตรีประจำวงดนตรีท้องถิ่น Inspirals Carpets ให้มาร่วมวงในฐานะนักแต่งเพลงและมือกีตาร์ของ Oasis ไม่มีใครคาดคิดว่าบทเพลงที่โนลเคยแต่งไว้เล่นๆ จะได้นำมาใช้จริงๆ โดยเพลงส่วนใหญ่นอกจากจะพูดถึงวัฒนธรรมวัยรุ่นอังกฤษแล้ว ยังมีเนื้อหาที่สะท้อนการมองโลกในแง่ดีและความต้องการมีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิม เช่น “Whatever” เป็นเพลงที่โนลแต่งขึ้นสมัยทำงานเป็นกรรมกรในไซต์ก่อสร้างตามที่พ่อแนะนำ แต่เขาอยากจะมีชีวิตเป็นของตัวเอง จึงแต่งเพลงนี้เพื่อระบายความรู้สึกที่ต้องการเป็นอิสระ หรือเพลง “Live Forever” มีเนื้อหาที่พูดถึงคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ เป็นต้น ในที่สุดพวกเขาก็แจ้งเกิดในฐานะศิลปิน โดยปล่อยอัลบั้มชุดแรก ‘Definitely Maybe’ ในปี 1994 ยกระดับสถานะทางสังคมจากชนชั้นแรงงานสู่ครอบครัวที่มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เริ่มมีชื่อเสียงและเดินสายทัวร์คอนเสิร์ตไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก

 

             

1995-1997 ‘ยุคทอง’ ของ Oasis

อัลบั้มที่สร้างชื่อเสียงให้พวกเขามากที่สุดคือ ‘(What’s The Story) Morning Glory?’ อัลบั้มชุดที่ 2 ที่วางจำหน่ายในปี 1995 เต็มไปด้วยเพลงฮิตมากมาย เช่น “Wonderwall” และ “Don’t Look Back In Anger” ทำให้กระแสความนิยมของ Oasis เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว พวกเขาทะยานสู่การเป็นวงบริตป๊อบอันดับต้นๆ แย่งความนิยมกับวง Blur อย่างดุเดือดจนนำไปสู่เหตุการณ์ ‘สงครามบริตป๊อบ’ ที่ทั้ง 2 วงเลือกปล่อยซิงเกิ้ลใหม่ในวันเดียวกัน ชื่อเสียงของ Oasis ทำให้พวกเขาสามารถจัดคอนเสิร์ตครั้งประวัติศาสตร์ที่ Knebworth ในปี 1996 ซึ่งมีแฟนเพลงกว่า 2.5 แสนคนเดินทางมาชม อีกทั้งยังได้รับรางวัลการันตีความนิยมจากหลายสถาบัน ส่งผลให้การปล่อยอัลบั้มชุดที่ 3 ‘Be Here Now’ ในปี 1997 เกิดปรากฏการณ์แฟนเพลงแห่มายืนรอหน้าร้านขายซีดีทั่วอังกฤษเพื่อรอซื้ออัลบั้ม โดยในวันแรกที่ปล่อยอัลบั้มสามารถขายอัลบั้มได้กว่า 4.2 แสนก๊อปปี้ พิสูจน์ว่าในช่วงเวลาดังกล่าว Oasis คือวงดนตรีที่ขึ้นไปยืน ณ จุดสูงสุดของวงการบริตป๊อบอย่างแท้จริง

 

 

 

จุดแตกหักของพี่น้องกัลลาเกอร์

แม้จะเป็นพี่น้องแท้ๆ แต่ลักษณะนิสัยของโนลและเลียมกลับต่างกันสุดขั้ว โนลเคยเปรียบเทียบว่าเขาคือแมว จริงจังและมีโลกส่วนตัวสูง ส่วนเลียมเป็นหมาที่พร้อมจะเล่นทุกครั้งที่มีคนโยนลูกบอลให้ เมื่อทั้งคู่ต้องมาทำงานใกล้ชิดกันเป็นเวลานานก็ย่อมมีปัญหากระทบกระทั่ง โนลที่มีความรับผิดชอบสูงจึงเอือมระอาพฤติกรรมของน้องชายที่บางครั้งหายไปโดยไม่บอกกล่าว ปล่อยให้เขาต้องทำหน้าที่ฟรอนต์แมนเอง ในขณะที่เลียมเองก็บอกว่าพี่ชายซีเรียสจนเกินไป การตัดสินใจทั้งหมดของวงแทบจะรวมอำนาจไว้ที่โนลแต่เพียงผู้เดียว รวมถึงการเขียนเพลงในแต่ละอัลบั้ม ความสัมพันธ์พี่น้องเริ่มห่างออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งในปี 2009 ระหว่างที่ Oasis เตรียมขึ้นเล่นคอนเสิร์ตที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เลียมอาละวาดหลังเวที และพังกีตาร์ตัวโปรดของพี่ชาย ถือเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่โนลตัดสินใจหันหลังให้วงดนตรีที่เขาอยู่มานานถึง 18 ปี และเหตุการณ์ในครั้งนั้นก็นำไปสู่การยุติบทบาททางดนตรีของวง Oasis

 

 

 

ตัวตนใหม่เมื่อศิลปินมี ‘สื่อเป็นของตัวเอง’

ภายหลังโนลได้ผันตัวเป็นศิลปินเดี่ยว ภายใต้ชื่อ Noel Gallagher’s High Flying Birds ในปี 2011 ส่วนเลียมก็เป็นศิลปินเดี่ยวในปี 2017 เช่นกัน ทั้งคู่ต่างมีเส้นทางดนตรีเป็นของตัวเอง ได้ทดลองทำเพลงใหม่และเดินสายทัวร์คอนเสิร์ตทั่วโลก แน่นอนว่าในเซ็ทลิสต์ก็ยังมีบทเพลงของวง Oasis ให้แฟน ๆ ได้ฟังกันเช่นเดิม แต่สิ่งที่ทำให้ยุคนี้แตกต่างจากยุค ‘90s คือโซเชียลมีเดีย ศิลปินมีช่องทางสื่อเป็นของตัวเองในการประชาสัมพันธ์ผลงาน สื่อสารกับแฟนเพลง และแถลงตอบโต้ต่อประเด็นข่าวต่าง ๆ พร้อมทั้งสามารถสร้างการรับรู้ใหม่ให้แฟนๆ อย่างตรงไปตรงมาด้วยตัวตนและคาแรกเตอร์ของศิลปินที่สื่ออาจไม่เคยนำเสนอมาก่อน เช่น เลียมรับอุปการะแมวไร้บ้าน โนลบริจาคค่าลิขสิทธิ์เพลงให้เหยื่อก่อการร้าย เป็นต้น ทำให้ศิลปินได้สื่อสารกับแฟน ๆ โดยตรง ขณะที่แฟนเพลงเองก็ได้เห็นภาพลักษณ์ใหม่ของศิลปินที่ทำให้รู้สึกใกล้ชิดมากขึ้น อย่างตอนที่เลียมไปทัวร์คอนเสิร์ตที่เกาหลีใต้ เขาทำท่าเลียนแบบ MV เพลง ‘กังนัมสไตล์’ ทำให้ได้เห็นมุมน่ารักสวนทางกับท่าทีขึงขังที่สื่อหลักเคยเสนอมาตลอดหลายปี หรือแม้แต่การสนับสนุน #BlackLiveMatter ก็สะท้อนให้เห็นถึงบทบาทของศิลปินที่สนใจความเป็นไปของสังคม แน่นอนว่าการแสดงออกที่มี Value เหล่านี้ย่อมโดนใจกลุ่มคนรุ่นใหม่

 

 

 

‘Oasis: Supersonic’ กระแสเรียกฐานแฟนเพลงคืนสู่อ้อมอก

ต้องยอมรับว่าหมุดหมายสำคัญที่ทำให้กระแส Oasis กลับมาถูกพูดถึงอีกครั้งในหมู่แฟนเพลงก็คือ ภาพยนตร์สารคดีเรื่อง Oasis: Supersonic กำกับโดย Mat Whitecross ออกฉายเมื่อปี 2016 นับเป็นการเรียกแฟนเพลงกลับสู่อ้อมอกวงดนตรีวงนี้อีกครั้ง อีกทั้งสร้างฐานแฟนเพลงใหม่ ๆ ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ เนื่องจากเป็นสารคดีที่ดำเนินเรื่องได้น่าสนใจ สนุกสนาน มีบทสัมภาษณ์และข้อมูลเอ็กซ์คลูซีฟทั้งจากฝ่ายโนล เลียม อดีตสมาชิกวง และผู้ที่เคยร่วมงานกับวง Oasis เล่าตั้งแต่เรื่องครอบครัวในวัยเด็ก ปัญหาการใช้ความรุนแรงในครอบครัวของพ่อบังเกิดเกล้า จุดเริ่มต้นของการก่อตั้งวง การเดินสายทัวร์คอนเสิร์ต ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างทาง รวมถึงการเปิดเผยหญิงสาวปริศนาที่เป็นแรงบันดาลใจให้เพลง “Talk Tonight” ซึ่งไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อนนานถึง 20 ปี สารคดีนำเสนอมุมมองใหม่ ๆ ให้แฟนเพลงได้รับรู้ สร้างการรับรู้ในแง่มุมที่น่าสนใจ ได้เห็นความตั้งใจในการทำงาน การรับมือกับดราม่าต่าง ๆ พิสูจน์ว่าพวกเขาคือร็อกสตาร์ที่ฆ่าไม่ตาย ที่สำคัญ Oasis: Supersonic ยังเป็นภาพยนตร์สารคดีที่ทำรายได้สูงสุดตลอดกาลในประเทศไทย ถูกพูดถึงอย่างมากในสื่อโซเชียลมีเดีย ดึงความสนใจให้คนรุ่นใหม่หันมาสนใจวงดนตรีจากยุค ‘90s วงนี้!

 

 

คอนเสิร์ตเดี่ยวของ ‘โนล-เลียม’ ในประเทศไทย

หลังจากกระแส Oasis เริ่มจุดติดอีกครั้งในปี 2016 จากภาพยนตร์สารคดีเรื่อง Oasis: Supersonic ตามมาด้วย เลียม กัลลาเกอร์ ออกอัลบั้มเดี่ยวชุดแรกในปี 2017 ก็ยิ่งทำให้ได้รับความสนใจมากขึ้น เลียมกลับมาด้วยภาพลักษณ์เท่และคูลเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือใกล้ชิดแฟน ๆ มากขึ้น เลียมใช้ทวิตเตอร์ส่วนตัวในการอัปเดตความเคลื่อนไหวกับแฟนๆ กว่า 3.3 ล้านคนที่ติดตามเขา แถมยังขยันตอบคอมเม้นท์ด้วยตัวเอง ทุกครั้งที่มีประเด็นสำคัญ ๆ เลียมไม่พลาดที่จะตอบทวีตแฟน ๆ รวมถึงเหตุการณ์หมูป่า 13 คนติดถ้ำหลวง กระแสความนิยมในตัวศิลปินนำสู่คอนเสิร์ตเดี่ยวครั้งแรกในประเทศไทย Liam Gallagher Live in Bangkok 2018 ที่ถูกพูดถึงในทวิตเตอร์จนติดเทรนด์อันดับ 1 ทำให้คนที่ไม่รู้จักเลียมเกิดความสงสัยว่าเขาเป็นใครขึ้นมา จนกระทั่งปลายปี 2019 กัลลาเกอร์คนพี่อย่าง โนล ก็เดินทางมาเล่นคอนเสิร์ตในประเทศไทยเช่นกัน Noel Gallagher’s High Flying Birds Live in Bangkok 2019 จนแฟนเพลงต่างแซวกันว่าเมื่อพี่น้องไม่ถูกกัน แฟน ๆ จะชมคอนเสิร์ตทั้งทีก็ต้องแยกกันชม ซึ่งลึก ๆ ก็ต่างรอวันที่โนลและเลียมคืนดีเพื่อขึ้นเวทีเดียวกันอีกครั้ง

 

 

เลียม: “ผมฟังผลงานเพลงใหม่ของโนลแล้ว เหมือนพวกมังสวิรัติพยายามจะขายเคบับเลยว่ะ”

โนล: “เพลงของไอ้เลียมคือเพลงที่ไม่ซับซ้อน เขียนขึ้นโดยคนที่ไม่ซับซ้อน และทำให้คนที่ไม่ซับซ้อนฟัง”

 

 

อย่างไรก็ตาม อีกเหตุผลที่ทำให้แฟนเพลงต่างติดตามเรื่องราวของวง Oasis และพี่น้องกัลลาเกอร์อย่างเหนียวแน่นก็เพราะความสัมพันธ์ที่ไม่ลงรอยระหว่างโนลและเลียม ซึ่งมักจะตอบโต้กันอย่างเจ็บแสบผ่านสื่อทำให้แฟนๆ ได้อ่านเรื่องราวเฮฮาเป็นประจำ รวมถึงกระแสการรียูเนียนวงดนตรีที่หลายคนเฝ้ารอให้เกิดขึ้นเร็ววัน แต่ดูเหมือนทุกครั้งที่เข้าใกล้ความหวังก็มักจะมีเหตุการณ์ที่ทำให้การรียูเนียนห่างไกลไปเสมอ

 

เรื่อง: Tatiya

ภาพ: Everwhere in Oasis

 

เลื่อนฉาย SEOBOK แฟนคลับ ‘กงยู-พัคโบกอม’ อดใจรอต้นปี 2021 ได้กรี๊ดแน่นอน

แฟนภาพยนตร์เกาหลี โดยเฉพาะ FC ‘กงยู & พัคโบกอม’ ตั้งตาเตรียมรอชมภาพยนตร์ที่ทั้งคู่โคจรมาเจอกันในเรื่อง SEOBOK ซึ่งหมายกำหนดการเข้าโรงภาพยนตร์เดิมคือ ราวปลายเดือนธันวาคมนี้ แต่ล่าสุดมีประกาศการเลื่อนฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ออกไป ทั้งที่ประเทศเกาหลีใต้เอง รวมถึงประเทศไทย

 

ที่มาของการเลื่อนฉายภาพยนตร์ครั้งนี้ เป้นเพราะเหตุการณ์การระบาดโควิด-19 ที่ยังส่อเค้าวุ่นในหลายๆ ประเทศ รวมถึงเกาหลีใต้และประเทศไทย เพื่อความปลอดภัยจึงได้มีการเลื่อนการฉายภาพยนตร์เรื่องนี้ออกไปก่อน

 

สำหรับ SEOBOK ที่นอกจากจะได้ซูเปอร์สตาร์แม่เหล็กอย่าง กงยู และ พัคโบกอม มาประชันกันบนจอภาพยนตร์แล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังเป็นหนังฟอร์มยักษ์ที่ทาง CJ Entertainment ค่ายบันเทิงยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้ ทุ่มทุนสร้างอย่างมหาศาลมาก 

 

โดยเป็นหนังแนวไซไฟที่บอกเล่าเรื่องราวของ มินกีฮอน (รับบทโดย กงยู) อดีตสายลับที่ได้รับภารกิจสุดท้ายในการปกป้อง ซอบก (SEOBOK) รับทโดย พัคโบกอม มนุษย์โคลนร่างแรกของโลก ที่เกิดจากการทดลองลับสุดยอด และประการที่สำคัญ ซอบกเป็นมนุษย์โคลนที่เป็นอมตะ เขาได้กุมปริศนาของการมีชีวิตอมตะเอาไว้ ซึ่งมินกีฮอนต้องปกป้องเขาจากกลุ่มคนที่หวังจะครอบครองซอบก และต้องการความลับอมตะนี้

 

เล่ามาขนาดนี้ หลายคนคงอยากดู ไม่ว่าจะดู กงยู หรือดู พัคโบกอม หรือจะดูภาพยนตร์ทั้งเรื่อง เอาเป็นว่า หนังยังไม่ฉายก็ไปอุ่นเครื่องกับภาพยนตร์ตัวอย่างกันเสียก่อน ส่วนข่าวคราวเรื่องกำหนดวันฉายใหม่ รวมทั้งความคืบหน้าต่างๆ ของภาพยนตร์เรื่องนี้ เราจะนำมารายงานให้ทราบต่อไป หรือสามารถติดตามความเคลื่อนไหวกันได้ผ่านทาง MONGKOL MAJOR และ twitter.com/Sahamongkolfilm

 

 

 

 

 

วิชาเกษตร 101

วิชาเกษตร 101

 

ไม่ใช่วิชาการเมืองนะคะนักเรียน โปรดอย่าเข้าใจอะไรผิดๆ คาบนี้เป็นวิชาการเกษตร 101 เหตุที่ต้องเปิดคอร์สสอนวิชานี้ เพราะช่วงนี้เห็นอุปกรณ์ทางการเกษตรไปอยู่ผิดที่ผิดทาง แห่ะๆ คุณครูก็เลยต้องนำเจ้าอุปกรณ์เหล่านั้นมาแนะนำแก่นักเรียน ตกลงมันใช้อะไรยังไง เน๊อะ!

 

อ๊ะ! ไหนๆ ก็เป็นช่วงปลายปี อากาศมันก็จะดีๆ หน่อย ลองเรียนรู้อุปกรณ์ทางเกษตรเหล่านี้จากคุณครู จากนั้นถ้าคิดจะปลูกผัก ปลูกต้นไม้ ดายหญ้า ลงปุ๋ย พรวนดิน ก็ทำได้ตามสบายเลยนะนักเรียน แต่จุดนี้ขอติงนิดนึง เมื่อรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร ก็จงใช้สิ่งของนั้นๆ ให้ถูกหน้าที่ของมันนะจ้ะ

 

เริ่มเรียนตามแผนภูมิภาพนี้นะจ้ะ...

10 ธันวาคม...วันรัฐธรรมนูญ

วันนี้เมื่อ 88 ปีก่อน เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 แห่งราชวงศ์จักรี ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรสยาม ฉบับถาวร เพื่อเป็นหลักในการปกครองของประเทศ ให้แก่ประชาชนชาวไทย ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิต

 

รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ เป็นเครื่องกำหนดระเบียบแบบแผนของสังคม เพื่อเป็นการระลึกถึงรัฐธรรมนูญฉบับแรก อันเป็นฉบับถาวร และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานให้กับปวงชนชาวไทย ทางราชการจึงกำหนดให้ วันที่ 10 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับที่ใช้อยู่ปัจจุบัน เป็นรัฐธรรมนูญฉบับประจำพุทธศักราช 2560 (6 เมษายน 2560 – ปัจจุบัน)

ส่องคำขวัญวันเด็กและลายมือของ "นายกฯ ลุงตู่"

นายกรัฐมนตรี พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพิ่งมอบคำขวัญ เนื่องในวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี พ.ศ. 2564 ซึ่งตรงกับวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2564 มีประโยคว่า "เด็กไทยวิถีใหม่ รวมไทยสร้างชาติ ด้วยภักดีมีคุณธรรม"

สำหรับคำขวัญปีล่าสุดนี้ ถือเป็นการมอบคำขวัญครั้งที่ 7 ที่ "นายกฯ ลุงตู่" ได้มอบให้กับเด็กไทย โดย 6 ครั้งก่อนหน้านี้ มีประโยคและการสื่อความหมายที่แตกต่างกันออกไป เรามาย้อนให้อ่านกัน พร้อมเทคนิคการตั้งคำขวัญ ดังนี้...

ปี พ.ศ. 2563 "เด็กไทยยุคใหม่ รู้รักสามัคคี รู้หน้าที่พลเมืองไทย"

ปี พ.ศ. 2562 "เด็ก เยาวชน จิตอาสา ร่วมพัฒนาชาติ"

ปี พ.ศ. 2561 "รู้คิด รู้เท่าทัน รู้สร้างสรรค์เทคโนโลยี" 

ปี พ.ศ. 2560 "เด็กไทยใส่ใจศึกษา พาชาติมั่นคง"

ปี พ.ศ. 2559 "เด็กดี หมั่นเพียร เรียนรู้ สู่อนาคต"

ปี พ.ศ. 2558 "ความรู้ คู่คุณธรรม นำสู่อนาคต"

จะสังเกตได้ว่า คำขวัญของ "นายกฯ ลุงตู่" จะมีคำว่า "เด็ก" ขึ้นต้นเสียเป็นส่วนใหญ่ และมีคำว่า "อนาคต" ผสมผสานอยู่ในคำขวัญอีกด้วย และในระยะ 3-4 ปีให้หลัง คำขวัญจะเน้นย้ำในเรื่องเทคโนโลยี ยุคใหม่ แต่ทั้งหมดทั้งมวล คือต้องรู้หน้าที่ และมีความสามัคคี สร้างชาติ

ส่วนลายมือของนายกฯ ลุงตู่ ค่อนข้างอ้วน ตัวใหญ่ แต่อ่านไม่ยาก มีหางยาวฉวัดเฉวียน ดูสวยงาม (จบการรายงาน...นะจ้ะเด็ก ๆ)

 

 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top