Tuesday, 30 April 2024
LITE

ปัญหา 'ช่องว่างระหว่างวัยในที่ทำงาน' แก้ได้

หลายคนเคยวาดฝัน ว่าเมื่อฉันเรียนจบไปแล้ว ฉันจะเดินเข้าสู่ที่ทำงานทันสมัย ใหม่ ๆ ดี ๆ เท่ ๆ คูล ๆ บลา ๆๆๆ ทว่าตัดกลับมาในฉากชีวิตจริง วันแรกของการทำงาน คือบริษัทเก่าซูเปอร์โบราณ แถมยังมีหัวหน้างานที่แทบจะยกมือไหว้เรียก...คุณพ่อ!!

เป็นธรรมดา ภาพฝันกับภาพความจริง มักไม่ค่อยแนบสนิทชิดเป็นภาพเดียวกันสักเท่าไร แถมหนำซ้ำ การมีหัวหน้าเป็นคุณพ่อ เอ้ย! การมีหัวหน้าอายุคราวคุณพ่อ ยังทำให้หลายคนต้องพกแผงยาพาราเซตตามอลไว้บนโต๊ะตลอดเวลา เพราะต้องกินแก้ปวดหัว จากปัญหาการสื่อสารด้วยภาษาที่ยากจะเข้าใจ หรือไม่ก็เป็นการสั่งงานที่เชื่องช้า ทุก ๆ งาน ทุก ๆ อย่าง มักต้องเริ่มจากนับหนึ่งเสมอ พอจะแนะนำอะไรไป ก็ทำหน้างงใส่ แถมพูดเสียงแข็ง 'นี่ผมเป็นหัวหน้าคุณนะ!'

เจอ 'ปัญหา' ที่เรียกว่า หัวหน้าแก่แบบนี้ หลายคนตั้งธงในใจ ได้งานใหม่เมื่อไร 'กรูไปแน่!!'

ใจเย็น ๆ ก่อนครับ ชะลออารมณ์เบื่อหน่าย แล้วมาตรึกตรองกันดูดี ๆ เสียก่อน 

เริ่มต้นที่คำว่า 'ปัญหา' มองกันให้ชัด ๆ ว่าปัญหาจริง ๆ คือ หัวหน้างานที่แก่ หรือว่าที่จริงแล้ว เป็นเราเองที่แก่? 

'แก่' ในที่นี้ หมายความว่า ใจเราเองหรือเปล่า ที่เหมือนคนแก่ ที่ไม่ยอมเปิดรับ ภาษาอังกฤษเรียก ไม่ 'Open Mind' คอยตั้งกำแพงกับสิ่งที่หัวหน้าบอกหรือพูดอยู่หรือไม่ ลองทุบกำแพง หรือแม้แต่แง้มประตูออกสักนิด ไม่ต้องเปิดมากก็ได้ เปิดพอให้ 'มุมมองที่แตกต่าง' ได้เข้ามาในสมองและความคิดของเราดูบ้าง 

บางทีอะไรที่มันเคยไม่ใช่ พอมองดี ๆ มันกลับกลายเป็นความลงตัวขึ้นมาก็เป็นได้ รถยนต์มีคันเร่งให้เหยียบไปได้เร็วปรู้ดปร้าด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องเหยียบคันเร่งเร็วแบบนั้นเสมอไป ผ่อนลงมาบ้าง จะได้เห็นอะไร ๆ ที่แตกต่างตั้งมากมาย 

ยิ่งเมื่อเราผ่อนคลาย ช่องว่าง (Gab) ระหว่างเรากับหัวหน้า ที่เคยห่างไกลลิบ ๆ ก็จะค่อย ๆ ขยับเข้ามาใกล้กันมากขึ้น ไม่ต้องห่วงนะว่าจะดูเหมือนว่าเรายอมเขา เพราะหากว่าเขาเป็น 'หัวหน้างานที่ดี' เขาจะปรับท่าที และขยับเข้าหา เพื่อเรียนรู้กันและกันมากขึ้น

ปัญหาเรื่องอายุที่ห่างกัน หากมองในแง่ดี ยิ่งเราอายุห่างจากหัวหน้างานมากเท่าไร เราก็จะได้ 'ประสบการณ์' มากขึ้นเท่านั้น และจงเชื่อเถอะว่า ไม่มีประสบการณ์ไหนที่เก่า หรือเป็นประสบการณ์หมดอายุ ใช้งานไม่ได้ เพราะประสบการณ์คือตัวแปรของความรอบคอบ รอบคอบในการทำงาน รอบคอบในความคิด ในการตัดสินใจ แล้วที่สำคัญ ประสบการณ์ไปหาซื้อตามห้างสะดวกซื้อที่ไหนไม่ได้ ซึ่งบางที มันอยู่ที่ 'หัวหน้างาน' ของเรานี่ล่ะ

ไม่มีใครเริ่มต้นงานแล้วสามารถเป็นหัวหน้างานได้ทันที เมื่อก่อนคนที่เคยเป็นหัวหน้า ก็ต้องเคยเป็นลูกน้องมาก่อนทั้งนั้น เหมือนกับเราในตอนนี้ที่กำลังเป็นลูกน้อง แต่วันหนึ่ง เราก็จะขึ้นไปเป็นหัวหน้าแทนบ้าง แล้ววันนั้น เราก็จะมีลูกน้องมองเราว่า 'แก่' เพียงแต่ถ้าเราเข้าใจในการหมุนเวียนเปลี่ยนผ่านนี้ สุดท้าย..เราจะสามารถยิ้มให้กับเจ้าลูกน้องคนนั้นได้อย่างสบายใจ

เอาเป็นว่า พรุ่งนี้ตื่นเช้าก่อนเข้าออฟฟิศ ซื้อขนมปัง ปาท่องโก๋ ไปฝากคนแก่ เอ้ย! ไปฝากหัวหน้าสักหน่อยแล้วกัน แล้วอะไร ๆ จะดีขึ้นแน่นวล...   

ชำแหละ VAR ส่งผลดีหรือผลเสียต่อโลกฟุตบอล?

เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา ผลฟุตบอลพรีเมียร์ลีกคู่ระหว่าง ไบรท์ตัน กับ ลิเวอร์พูล ที่จบลงไปด้วยการเสมอกัน 0-0 ดูจะทำให้เหล่าบรรดาสาวกหงส์แดงคันตามง่ามนิ้วมือนิ้วเท้า หลายคนมีอาการอยากกระโดดโอเวอร์เฮดคิกเข้าใส่ที่หน้าจอทีวีตอนถ่ายทอดสด เนื่องด้วยลิเวอร์พูลถูกริบประตูไป 2 ประตู ด้วยฝีมือของ ‘พี่ VAR’ แถมที่เดือดขั้นสุดยิ่งไปกว่านั้น คือช่วงท้ายของเกม ลิเวอร์พูลมาโดนจับเช็ก VAR จนเสียลูกจุดโทษ ส่งผลให้ไบรท์ตันมาตามตีเสมอได้สำเร็จ

 

เจออิทธิฤทธิ์ ‘พี่ VAR’ เข้าไปแบบนี้ ด้านผู้จัดการทีมหงส์แดง เจอร์เก้น คล็อปป์ ถึงกับออกอาการหงุดหงิด ทำไม VAR ถึงได้ส่งผลต่อเกมฟุตบอลมากมายขนาดนี้ แล้วตกลง VAR มันส่งผลดีหรือผลเสียต่อฟุตบอลกันแน่ มาหาคำตอบกัน!


VAR หรือ Video Assistant Referees หรือในความหมายภาษาไทยให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ ‘กรรมการที่ตัดสินจากภาพ’ เกิดขึ้นจากความตั้งใจที่จะนำเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อปรับปรุงแก้ไขให้การตัดสินของ ‘จารย์’ หรือ ‘ผู้ตัดสิน’ ให้มีความแม่นยำยิ่งขึ้น

ถึงตอนนี้ เริ่มนำมาใช้กันได้สัก 2-3 ปี ถ้าเอาผลลัพธ์ในมุมบวก แน่นอน การตัดสินในกรณีลูกน่ากังขา ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแบบรวดเร็วก็ดี หรือเหตุการณ์ที่กรรมการ คนดู หรือแม้แต่นักฟุตบอลด้วยกันเอง ดูไม่ทันก็ดี เหล่านี้ ช่วยได้ด้วย VAR

อีกอย่างหนึ่งคือ ทำให้นักฟุตบอลต้องยอมรับในคำตัดสิน เพราะภาพหลายมุมที่ถูกจับด้วยกล้องนับสิบๆ ตัว ยังไงก็ละเอียดมากพอที่จะทำให้นักฟุตบอลไม่กล้าเถียง แต่เมื่อพูดถึงมุมบวก มันก็มีมุมคู่ขนานกัน จะเรียกว่ามุมลบก็พูดไม่ได้เต็มปากนัก เรียกว่าเป็นมุมอับของ VAR ก็แล้วกัน

ที่เห็นกันชัดๆ คือ เกมฟุตบอลในวันนี้ มีสกอร์ที่ได้จากลูกจุดโทษมากขึ้น เพราะค่าเฉลี่ยส่วนใหญ่ของผลที่ออกมาจาก VAR มักจะลงท้ายด้วยการให้จุดโทษ

ปฏิเสธไม่ได้ว่า หลายๆ เกมในวันนี้ คนดูมุ่งเป้าโฟกัสไปที่ ‘จุดโทษจาก VAR’ มากกว่าเกมในสนามเสียอีก แถมที่เป็นตลกร้ายกว่านั้น บางนัดที่เกมตื้อๆ ทำอะไรกันไม่ได้ แฟนบอล(บางราย) ร้องหา ‘เมื่อไรจะมีลูกโทษจาก VAR วะ!’

ตลกร้ายเข้าไปอีก หากมีช็อตที่ผู้เล่นกระทบกระทั่งกันเพียงเล็กน้อย หรือเอาเท้าแหย่กันให้หกล้มในเขตโทษ ประโยคที่ดังก้องสนามก็คือ VAR!!

อันนี้เป็นมิติของคนดูนะครับ ส่วนมิติของผู้เล่นในสนาม เอามุมที่แย่ที่สุดก่อน จากเมื่อก่อนที่จะมีผู้เล่นที่เป็นสายพุ่ง สายดีดตัว ที่เป็นจอมเรียกจุดโทษ โชคดีฟาวล์จริงก็แล้วไป แต่โชคร้ายตั้งใจเป็นนักแสดง พอแสดงไม่เข้าตากรรมการ ก็อาจะถูกใบเหลืองจากจารย์ไปได้ ทว่าเมื่อวันนี้มีพี่ VAR เข้ามาเป็นตาวิเศษเห็นนะ กลับกลายเป็นว่า เราจะได้เห็นสายดีด สายพุ่ง สายล้ม มากขึ้นอย่างเสียไม่ได้

ลองสังเกตช่วงท้ายของเกมที่เสมอกันกันดูสิครับ เกิดกรณีดราม่ากันมาแล้วกี่คู่?

เล่ามาถึงตรงนี้ ไม่ได้บอกว่า เทคโนโลยี VAR ไม่ใช่ของดี หรือกลายเป็นตัวทำให้เกมฟุตบอลผิดเพี้ยนไป แต่ชื่อของมันก็บอกอยู่แล้วว่า มาเป็นผู้ช่วย (assistant) ไม่ใช่คนตัดสินใจ ชี้ถูก ชี้ผิด เป็นตัวช่วยให้เห็นว่า ผลลัพธ์ควรเป็นอย่างไรต่างหาก

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวใดๆ บนโลกนี้ ที่เหนือกว่าเทคโนโลยี ก็คือ ‘คน’ นี่ล่ะ เทคโนโลยีมันออกมาเพื่อรองรับคน ดังนั้น คนอย่างเราๆ นี่แหละ ที่จะต้องนำพาเทคโนโลยีไปเกิดผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์มากที่สุด

ปิดท้ายด้วยการย้อนเวลาไปยังยุคฟุตบอลโบราณ สมัยนั้นไม่มีหรอกรองเท้าสตั๊ด หรือปุ่มสตั๊ดที่เป็นเหล็ก หรือสนับแข้ง หรือแม้แต่ถุงมือโกล์ แต่เมื่อเวลาผ่านไป อะไรๆ เหล่านี้ก็ได้เข้ามาเพื่อ ‘ช่วย’ ให้นักเตะและเกมฟุตบอลมีความสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น หันกลับมาที่เทคโนโลยี VAR ในวันนี้ ก็เชื่อว่ามันเกิดขึ้นมาด้วยความประสงค์ที่จะทำให้เกมฟุตบอลสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ทีนี้ก็อยู่ที่เราแล้วล่ะว่า จะใช้มันให้ตอบโจทย์กับคำว่า ‘สมบูรณ์แบบ’ ได้มากน้อยเพียงใด

30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556...สตาร์ดัง พอล วอล์คเกอร์ เสียชีวิต

นึกถึงหนังสายความเร็วระดับตำนาน หนึ่งในนั้นต้องมีชื่อ The Fast and The Furious และหากให้นึกต่อไป ภาพที่หลายคนจดจำได้ดี คือ 2 นักแสดงนำของเรื่อง วิน ดีเซล และ พอล วอล์คเกอร์

 

ย้อนกลับไปวันนี้เมื่อ 7 ปีก่อน มีเหตุการณ์ช็อกแฟนหนัง เมื่อมีข่าวว่า พอล วอล์คเกอร์ เกิดประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ตามรายงานข่าวแจ้งว่า เขากับเพื่อนได้ขึ้นไปทดลองรถ Porsche Carrera GT เพื่อทดสอบหมุนรถ แต่รถเกิดเสียหลักพุ่งชนกับต้นไม้ข้างทาง เพลิงลุกไหม้ทำให้พอลและเพื่อนเสียชีวิตลงทั้งคู่

 

จากข่าวช็อกๆ นี้ ทำเอาแฟนหนังของเขาพากันเศร้าสลด เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่า ตัวละคร ‘ไบรอัน โอคอนเนอร์’ ในหนังฟาสต์ฯ นั้น เป็นตัวละครที่คนดูรักและติดตามกันมาตลอด การจากไปของเขาอย่างกระทันหัน จึงทำให้หนังที่ถูกสร้างภาคต่ออีกหลายภาคนั้น ต้องถูกนำมาพิจารณากันใหม่อีกครั้ง

 

พอลเริ่มต้นชีวิตการแสดงภาพยนตร์มาตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 1987 กับหนังเรื่อง Monster in the Closet ก่อนจะเริ่มมีผลงานมากขึ้นตลอดช่วงทศวรรษที่ 90 อาทิ Meet the Deedles Phil Deedle, Pleasantville, Skip Martin และใน ค.ศ. 2001 เขาก็ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของหนัง The Fast and the Furious หลังจากนั้นชื่อเสียงของเขาก็โด่งดังเหมือนพลุที่ถูกจุดขึ้นไปบนฟ้า มีหนังต่อแถวให้เขาไปร่วมงานด้วยอีกมากมาย รวมไปถึงหนังฟาสต์ฯ ที่ถูกสร้างภาคต่อมาอีกหลายภาค

 

พอลเสียชีวิตขณะถ่ายทำหนังฟาสต์ฯ ภาคที่ 7 แต่ในที่สุด ภาคดังกล่าวนั้นก็ถ่ายทำจนเสร็จสิ้น โดยต้องใช้นักแสดงสแตนอิน เล่นแทนตัวเขาถึง 4 คน ปัจจุบันแม้หนังจะดำเนินต่อมาถึงภาคที่ 9 แล้ว แต่แฟนๆ หนังสายความเร็วเรื่องนี้ ก็ยังจดจำและนึกถึง ‘ไบรอัน โอคอนเนอร์’ อยู่เสมอ

 

วันนี้ครบ 7 ปีของจากไป แฟนหนังอย่างเราก็ขอแสดงความไว้อาลัย และเขาจะอยู่ในใจแฟนหนังตลอดไป...

 

 

 

 

รวมซูเปอร์สตาร์ที่จากไปในปี 2020

กำลังจะเข้าสู่เดือนธันวาคมแล้ว มีใครนึกคล้ายๆ เราไหม อยากให้ปี 2020 นี้ผ่านไปไวๆ เพราปีนี้ดุม้าก! ลำพังแค่โควิด-19 ก็ทำให้ผู้คนทั้งโลกต้องนะจังงัง (หมายถึง ต้องหยุดนิ่งน่ะ) กันไปหมด แถมปี 2020 ยังเป็นปีแห่งการสูญเสีย ‘เหล่าซูเปอร์สตาร์ของโลก’ บอกตรงๆ ว่า ใจหายเอามากๆ

 

เริ่มตั้งแต่ต้นปี เมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม เกิดข่าวช็อกโลก เมื่อ โคบี ไบรอันท์ อดีตนักบาสเก็ตบอลเอ็นบีเอ และได้ชื่อว่าเป็นนักบาสเก็ตบอลที่ดีที่สุดคนหนึ่งของโลก ต้องจบชีวิตลงด้วยอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตก เหตุการณ์เกิดขึ้นขณะที่นักบาสเก็ตบอลคนดัง กำลังจะเดินทางไปที่สถาบันแมมบา พร้อมกับลูกสาวของตัวเอง แต่สภาพอากาศและทัศนวิสัยไม่ดี นักบินพยายามบินวนเพื่อหาทางลงอยู่ราว 15 นาที แต่ผลสุดท้ายก็ไม่สามารถควบคุมการบินได้ เป็นเหตุให้ ฮ. ตกลงบริเวณภูเขาในเขตเมืองคาราบาซาส รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา โคบี และลูกสาว รวมถึงคนบนเครื่องรวม 9 ชีวิต เสียชีวิตลงทันที

 

นับว่าเป็นการสูญเสียบุคลากรในโลกกีฬาที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะโคบีเพิ่งจะเลิกเล่นบาสเก็ตบอลอาชีพไปไม่นาน แถมเจ้าตัวยังเพิ่งอายุเพียง 41 ปี ยังสามารถรันวงการบาสเก็ตบอล รวมถึงส่งต่อแรงบันดาลใจให้กับน้องๆ คนรุ่นใหม่ได้อีกนาน

 

ต่อมาในปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โลกก็ต้องสูญเสียบุคลากรทางการแสดงไปอีกคน เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม มีข่าวแจ้งว่า ฌอน คอนเนอรี่ นักแสดงมากความสามารถแห่งโลกฮอลลีวู้ด ได้เสียชีวิตลงที่เมืองบาฮามาส ฌอนคือหนึ่งในตำนานการแสดง โดยเฉพาะกับภาพยนตร์สุดยิ่งใหญ่ ‘เจมส์ บอนด์ 007’ ซึ่งเขาคือนักแสดงที่สวมบทบาทสายลับ เจมส์ บอนด์ เป็นคนแรก

 

นักแสดงมากความสามารถคนนี้เป็นดาวที่เวียนว่ายอยู่ในแวดวงภาพยนตร์มาอย่างยาวนานกว่า 50 ปี มีหนังที่เรียกว่าขึ้นหิ้งมากมาย อาทิ The Hunt for Red October, Highlander, Indiana Jones and the Last Crusade และ The Rock รวมทั้งยังเคยได้รับรางวัลออสการ์ จากบทบาทในภาพยนตร์เรื่อง Untouchables  

 

ฌอนในวัย 90 ปี ล้มป่วยมาได้ระยะหนึ่ง ก่อนที่จะจากไปอย่างสงบท่ามกลางสมาชิกในครอบครัว ปิดตำนานเจมส์ บอนด์ คนแรกของโลก และนักแสดงมากความสามารถที่โลกเคยมีมา

และล่าสุด กับการสูญเสียอดีตสตาร์แห่งโลกฟุตบอล ดีเอโก มาราโดนา เจ้าของตำนานแชมป์ฟุตบอลโลก ปี 1986 ร่วมกับทีมชาติอาร์เจนตินา และเป็นไอดอลในโลกฟุตบอลให้กับเด็กๆ หลายยุคสมัย โดยเจ้าตัวเกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน ขณะนอนหลับอยู่ที่บ้านพัก ก่อนจะเสียชีวิตลงเมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา

 

มาราโดนา เป็นเหมือนสัญลักษณ์แห่งโลกฟุตบอล ด้วยความเป็นอัจฉริยะเชิงลูกหนัง ตลอดจนบุคลิกเฉพาะตัวที่มักจะตกเป็นข่าวคราวอยู่เสมอ เขาได้รับการยอมรับ ทั้งจากแฟนบอล และบรรดานักฟุตบอลด้วยกันเอง ภายหลังข่าวการเสียชีวิตของตำนานหมายเลข 10 มีผู้คนและนักฟุตบอลระดับโลกออกมาไว้อาลัยมากเป็นประวัติกาล งานศพของเขามีผู้คนไปร่วมไว้อาลัยมากมาย จนหวิดจะกลายเป็นจราจลขนาดย่อมๆ ทั้งหมดสะท้อนได้ดีถึงความผูกพันและความยิ่งใหญ่ของเขา ที่ยากจะหาใครเทียบเคียงได้จริงๆ

 

นี่เป็น 3 สตาร์ดังที่จากไปในปี 2020 แต่ไม่ว่าเวลาจะเดินทางไปอีกยาวนานแค่ไหน เราก็จะจดจำความยิ่งใหญ่ของพวกเขาตลอดไป...

28 พฤศจิกายน...วันแห่งการประดิษฐ์หัวตัวเอง

อ่านชื่อวันกันไม่ผิดหรอก วันนี้เป็นวันแห่งการประดิษฐ์หัวตัวเอง หรือ Make Your Own Head Day วันชื่อแปลกนี้ถูกคิดขึ้นมา เพื่อให้เราได้ย้อนกลับมามองตัวเอง ได้มองเห็นข้อดีและข้อเสียของตัวเรา

 

ถามว่ามองย้อนยังไง? วันนี้ในประเทศสหรัฐอเมริกา มีกิจกรรมให้เด็กๆ ได้ประดิษฐ์ศรีษะหรือ ‘หัวตัวเอง’ ในรูปแบบใดก็ได้ ตามแต่ความถนัด เช่น วาด ปั้น หรือแกะสลัก สุดแล้วแต่จะสร้างสรรค์กันออกมา

 

แม้จะเป็นกิจกรรมที่มีความสนุก เพราะจู่ๆ ได้ลุกขึ้นมาประดิษฐ์หัวตัวเอง ก็เป็นความรู้สึกแปลกใหม่ดี แต่อย่างที่บอกไป มันแฝงให้เห็นถึงการได้มองตัวเอง สังเกตตัวเอง เรียกว่าเป็นการเรียนรู้ตัวเองไปในทางอ้อม พอพูดถึงการประดิษฐ์หัวตัวเอง เราเลยขอใช้ภาพประกอบการ์ตูนในตำนาน ‘ดร.สลัมป์กับหนูน้อยอาราเล่’ เพราะถ้าขึ้นชื่อเรื่องการเอาหัวตัวเองออกมาถอดดูแล้ว คงต้องยกให้แม่หนูน้อยอาราเล่คนนี้นี่เองงงง!

แปลงโฉม 'คลองโอ่งอ่าง' ยุค 2020

ใคร ๆ ก็พุ่งตัวไป 'คลองโอ่งอ่าง' กันช่วงนี้ เพราะเป็นแหล่งเดินเที่ยวใหม่ล่าสุดกลางกรุงเทพฯ เหมาะแก่การมาเดินเที่ยวเล่นชมทิวทัศน์คลอง ถ่ายภาพอาคารเก่า สตรีทอาร์ต สะท้อนภาพเก่าในยุคใหม่ และแวะชิมของอร่อยเจ้าเก่าแก่ ตั้งแต่กุ้ยช่ายสะพานหัน ยำโดเรม่อน ข้าวแกงแม่อ้อน ฯลฯ 

คลองโอ่งอ่าง เป็นส่วนหนึ่งของคลองรอบกรุง ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานซึ่งถือเป็นสมบัติของชาติ และเป็นพื้นที่ที่ใครต่อใครจะได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน กทม.ได้พื้นที่นี้คืนมาจากผู้ค้าสะพานเหล็กเมื่อปี พ.ศ.2558 และนำมาปรับภูมิทัศน์และเปิดเป็นจุดท่องเที่ยวแห่งใหม่กลางกรุง เสร็จสิ้นเมื่อช่วงเทศกาลลอยกระทง พ.ศ.2563 ที่ผ่านมา ถ้าใครทันยุคเดินเล่นตลาดสะพานเหล็กและคลองถมใกล้ ๆ กันนี้ เปรียบเทียบกับภาพพื้นที่ของคลองปัจจุบันสวยงาม เป็นระเบียบกว่าเก่ามากนัก

คลองโอ่งอ่าง กินพื้นที่ยาวต่อเนื่องตั้งแต่สะพานดำรงสถิตถึงสะพานโอสถานนท์ ในวันนี้ การปรับให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว ยังไม่ลืมส่งเสริมเอกลักษณ์ของย่าน เหมาะกับการเดินเล่น หรือมาถ่ายรูปกับเพื่อน ๆ ช่วงอากาศเย็นปลายปีแบบนี้ ว่าแต่คลองโอ่งอ่างยุคใหม่ไฉไลกว่าเดิมมีมุมไหนน่าสนใจบ้าง ตาม The States Times มาได้เลย...

.

งานศิลปะบนกำแพงสองฟากช่วงต้นของคลองโอ่งอ่าง (ช่วงสะพานภานุพันธ์ถึงสะพานดำรงสถิต) ดึงดูดด้านการท่องเที่ยวให้ย่านนี้งดงาม น่าสนใจ ส่วนหนึ่งของปรับภูมิทัศน์ในชุมชนย่านคลองโอ่งอ่างให้สวยงามขึ้นด้วยผลงานศิลปะโดยสะท้อนอัตลักษณ์และวัฒนธรรมของชุมชน โดยมีศิลปินร่วมสมัย ศิลปินกราฟิตี้ และศิลปินสตรีทอาร์ตระดับแนวหน้าของเมืองไทย ทั้ง ALEX FACE/ BIGDEL/ PAKORN & ASIN/BONUS TMC/ MAUY & MSV/ อะไหล่/JOKER EB และศิลปินกลุ่ม Happening

.

.

ภาพสตรีทอาร์ทบริเวณกำแพงทางเดินริมคลอง ที่บอกเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ย่านนี้จากอดีตสู่ปัจจุบัน

.

.

กราฟิตี้ สตรีทอาร์ต หนึ่งในการสื่อสารสะท้อนความจริงของศิลปะสมัยใหม่ เมื่อได้อวดฝีมือเป็นส่วนหนึ่งของการนำเสนอโลกอดีตและปัจจุบัน ภาพจึงสมบูรณ์ในตัวมันเอง ไม่แปลกแยก และไม่ต้องคอยหลบเลี่ยงเพื่อสร้างสรรค์อีกต่อไป

.

.

สายกราฟิตี้และสตรีทอาร์ท ย่อมรู้ดีว่าภาพนี้เป็นผลงานของ ALEX FACE ใครที่ผ่านมาเดินเล่น ไม่ว่าจะพกกล้องเอสแอลอาร์ตัวโต หรือกล้องจากมือถือ ก็จะต้องถ่ายรูปผลงานชิ้นนี้แทบทุกคน

.

.

ความไร้ระเบียบ หรือ ไม่สมบูรณ์ในศาสตร์อื่น กลายเป็นความลงตัวของการสร้างผลงาน คู่กับถิ่นอาศัย บ้านเล็ก ๆ หลังนี้จึงดูงามแปลกตา ไปกว่าแค่ต้องมีของหรู ราคาสูง ไม่เชื่อต้องแวะไปชมด้วยตา

.

.

เมื่อชมคลองโอ่งอ่างจากบนสะพานหันยามค่ำ จะเห็นฉากของความสุขสงบ สวยงาม ของวิถีริมน้ำ ที่ปรับภูมิทัศน์ให้กลายเป็นร่วมสมัย ในทุก ๆ ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ มีตลาดนัดถนนคนเดิน ที่นี่จะคึกคึกเป็นพิเศษ ถ้าหนาวแล้วจะดีมาก

.

.

ตรอก ตึก ในย่านคลองโอ่งอ่าง กลางวันก็สวย กลางคืนก็งาม จะถ่ายภาพกับคน หรือถ่ายภาพโครงสร้างและสถานที่ ก็สุดแต่คุณจะสร้างสรรค์

.

.

ไม่ได้มีดีแค่ทิวทัศน์ เพราะย่านนี้มีร้านขายหมูแผ่น หมูหยอง กุนเชียง ที่ ปึง ฮั่ว เฮียง และอีกสองสามร้านในตลาดย่านนี้ ยังคงตั้งหน้าตั้งเตาปิ้งและทำกันสด ๆ ทุกวัน

.

.

อีกหนึ่งไฮไลท์ในตรอกของตลาดสะพานหัน มี 'ร้านยำโดเรม่อน' อายุกว่า 30 ปี เป็นยำรวมมิตรที่ใส่เครื่องสารพัดอย่างทั้งวุ้นเส้น ผัดกระเฉด ยอดมะพร้าว กุ้ง หมูสับ ปลาหมึก มากมายคล้ายกระเป๋าวิเศษของ 'โดราเอม่อน' การ์ตูนชื่อดัง ลูกค้าที่มากินจำง่ายขึ้นใจจนถึงทุกวันนี้ ยังไม่หมดแค่แมวอ้วนสีฟ้า แต่ยังมียำชื่อ 'ฮาโตริ' 'อิคคิวซัง' อีกด้วย อยากรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ต้องไปชิมให้ได้ทุกเมนูปรุงเตาถ่าน จานต่อจาน นี่แหละเสน่ห์ และอย่ามาให้เย็นนัก เพราะเขาปิด 16.00 น. กินแล้วค่อยไปเดินเที่ยวยังทัน

.

.

อีกร้านที่ไม่ลองกิน เหมือนมาไม่ถึงคลองโอ่งอ่าง กุ้ยช่ายสะพานหัน ความอร่อย 50 ปี รุ่นต่อรุ่น การันตี ทุกไส้ เผือก มันแกว ผักกุ้ยช่าย ฯลฯ หรือจะแบบตอกไข่ ก็เด็ดหมด สั่งมาก ๆ มาลองชิมหลายคน สนุก อร่อย ไม่พูดเยอะนะ เดี๋ยวกินไม่ทันเพื่อน

.

.

'เมก้า พลาซ่า' ศูนย์รวมของเล่น โมเดล และโลกแห่งความสนุกของหนุ่ม ๆ ห่างจากคลองโอ่งอ่างมา 200 - 300 เมตร ต้องทำใจแข็งมาก ๆ ไม่งั้นกระเป๋าฉีก เพราะอยากได้ไปหมดทุกชิ้น ทุกร้าน

.

.

.

'ศาลนาจา' ไม่ต้องไปไกลถึง จีน ฮ่องกง หรือ อ่างศิลา จ.ชลบุรี ที่หน้าห้างเมก้าพลาซ่า ก็มีศาลเทพ 'หน่าจาซาไท้จื้อ' เทพจีนที่บูชาขอพรเรื่องโชคลาภ ความก้าวหน้า ความแข็งแรง 

.

.

วันจันทร์ - วันพฤหัสบดี ภาพคลองโอ่งอ่างจะสวยสงบ แต่ก็มีสีสันช่วงตกกลางคืน ที่มีการประดับประดาแสงไฟสวยงาม ส่วนวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ช่วงนี้ เปิดเป็นถนนคนเดิน มีผู้คนมาเดินคึกคัก มีร้านค้า การแสดง และการแต่งคอสเพลย์ อยากได้อารมร์ชิลๆ ก็มาวันธรรมดา แหรืออยากคึกตักก้มาสุดสัปดาห์กันได้ จะเป็นคลองสวยเหงา ๆ แต่ภาพตลาดคลองโอ่งอ่างอีกซีนในช่วงค่ำ ของ วันศุกร์ เสาร์ และอาทิตย์

.

การเดินทาง ไม่ยาก โดยสารรถไฟฟ้าใต้ดิน สถานีสามยอด ทางออก 1 เพียงเดินข้ามถนนมายังคลองโอ่งอ่างราว 200 เมตร ก็ถึงแล้ว


เรื่อง พล / ภาพ ณัฐวริทธิ์

 

27 พฤศิจกายน พ.ศ. 2535...เบิร์ธเดย์ ปาร์ค ชานยอล แห่งวง EXO

ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา หากจะหาวงบอยด์แบนด์ในเอเชียที่ประสบความสำเร็จ และขึ้นไปยืนอยู่แถวหน้าของวงการเพลงระดับโลก ชื่อวง EXO ต้องเป็นหนึ่งในนั้น และหนึ่งในสมาชิกที่เปรียบเสมือนแม่เหล็กให้กับวง เขาคนนั้นคือ ปาร์ค ชานยอล

 

ชานยอลเข้าสู่แวดวงดนตรีเมื่อปี พ.ศ. 2551 โดยได้รับคัดเลือกจากการประกวดของค่ายเอสเอ็ม ในเกาหลีใต้ ก่อนที่จะใช้เวลาฝึกฝนการเป็นศิลปินอีกกว่า 4 ปี ในที่สุดเขาก็ได้มาเป็นศิลปินในนาม EXO ซึ่งตำแหน่งในวงของเขา คือการเป็นแร็พเปอร์ รับผิดชอบท่อนแร็พให้กับวง

 

เส้นทางดนตรีก็ว่าโด่งดังจัดๆ แล้ว แต่ชานยอลยังมุ่งหน้าสู่แวดวงการแสดง ที่ผ่านมา เขามีผลงานซีรี่ส์และภาพยนตร์ อาทิ So I Married Anti-fan, Secret Queen Makers และเมื่อ 2 ปีก่อนก็เพิ่งได้รับบทโปรแกรมเมอร์ผู้พัฒนาเกมอันสุดพิสดาร ในซีรี่ส์เรื่อง Memories of the Alhambra

 

ชานยอลถือเป็นนักแสดงและศิลปินที่มีผลงานต่อเนื่อง แถมกระแสความแรงของเขาก็ไม่มีตกเลยจริงๆ จนเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เขากลายเป็นคนดังชายชาวเกาหลีใต้คนแรกที่มียอดฟอลโลเวอร์ใน IG ทะลุ 20 ล้านคน วันนี้เจ้าตัวมีอายุครบ 28 ปี เราขอแฮปปี้เบิร์ธเดย์ อวยพรให้สุขภาพแข็งแรง สร้างสรรค์ผลงานมาให้พวกเราได้กรี้ดกันต่อไปนานๆๆๆๆ

26 พฤศจิกายน...วันขนมเค้ก (แผลบๆ)

ถ้าพูดถึง ‘วันเกิด’ หรือวันพิเศษๆ ขึ้นมา มีขนมชนิดหนึ่งที่มักจะกลายเป็นพระเอกของงานอยู่เสมอ นั่นคือ ‘ขนมเค้ก’

 

ขนมเค้ก เป็นเมนูขนมหวานที่ผู้คนทั่วโลกต่างรู้จักและโปรดปราน หากย้อนเวลากลับไป มันถือกำเนิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยกรีกและอียิปต์โบราณโน่นแล้วล่ะ ขนมเค้กถูกปรุงขึ้นเพื่อใช้ในพิธีกรรมทางศาสนา รวมถึงงานวัฒนธรรมในท้องถิ่นของผู้คนยุคก่อน

 

แรกเริ่มเดิมที ขนมเค้กหน้าตาคล้ายขนมปัง และมีรสหวานของน้ำผึ้งนำ ส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นวงกลม เพราะขึ้นรูปด้วยมือ แถมยังค่อนข้างจะมีน้ำหนัก มันมักถูกนำมาเสิร์ฟหลังจากจบมื้ออาหารหลักไปแล้ว

 

แม้จะเป็นสัญลักษณ์ของการเฉลิมฉลอง รวมไปถึงการมีวาระพิเศษต่างๆ แต่ในช่วงศตวรรษที่ 13 ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจทั้งโลกตกต่ำ ชาวอเมริกันหลายล้านคน ก็ได้อาศัยขนมเค้กเป็นหนึ่งในเมนูสำคัญ เนื่องจากเป็นอาหารที่หาได้ไม่ยาก และมีราคาถูก เมื่อเวลาผ่านไป ขนมชนิดนี้ก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตผู้คนทั้งโลก

 

วันนี้ถูกยกให้เป็น ’วันขนมเค้กโลก’ หลายสถานที่มีการเชิญชวนให้แต่ละครอบครัวทำขนมเค้กเพื่อเฉลิมฉลอง ถือเป็นวันพิเศษแบบเบาๆ แต่ก็อย่ากินเยอะเกินไปล่ะ เพราะน้ำหนักตัวจะไม่เบาตามเค้กเอานะ

 

25 พฤศจิกายน...วันประถมศึกษาแห่งชาติ

ตามข้อมูลทางประวัติศาสตร์ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติประถมศึกษา พ.ศ. 2464 ขึ้น โดยกำหนดให้เด็กที่มีอายุ 7 ปีบริบูรณ์ทุกคน ต้องเรียนหนังสืออยู่ในโรงเรียนจนอายุครบ 14 ปีบริบูรณ์ โดยไม่ต้องเสียค่าเล่าเรียน พระราชบัญญัติประถมศึกษานี้มีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2464

 

กระทรวงศึกษาธิการจึงได้กำหนดให้วันที่ 1 ตุลาคมของทุกปี เป็นวันประถมศึกษาแห่งชาติ ต่อมาในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2523 ได้มีการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการประถมศึกษาขึ้น โดยกำหนดให้เปลี่ยนจากวันที่ 1 ตุลาคม มาเป็นวันที่ 25 พฤศจิกายน ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัวแทน

 

เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นผู้ให้การสนับสนุนการประถมศึกษาและพระราชทานตราพระราชบัญญัติ อีกทั้งเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระองค์ในคราเดียวกันกับวันวชิราวุธที่ตรงกับวันที่ 25 พฤศจิกายนของทุกปีอีกด้วย

 

ถึงตรงนี้ ถามว่า วันประถมศึกษาแห่งชาติ มีความสำคัญอย่างไร ตอบได้โดยง่ายว่า เป็นวันที่ให้คนไทยได้ตระหนักถึงเรื่อง ‘การศึกษากับเยาวชน’ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างบุคลากรของชาติ การมีการศึกษาที่ดีย่อมส่งผลโดยตรงต่อการพัฒนาสังคมและประเทศชาติ แต่ ‘การศึกษา’ ไม่ได้ทำหน้าที่เพียงแค่ทำให้คนฉลาด หลักแหลม แต่ต้องทำให้คนมีคุณภาพ และคิดเป็นอีกด้วย

ไม่มีไม่ใช่หว่อง...5 เอกลักษณ์หนังแบบฉบับหว่องกาไว

จะบอกว่าช่วงนี้เป็นช่วงเทศกาล ‘หนังหว่อง’ ก็ไม่ผิดนัก เรากำลังพูดถึง หว่อง กาไว ผู้กำกับชาวเอเชียที่ประสบความสำเร็จระดับโลก ซึ่งถ้าเป็นนักดูหนังสายแข็ง หรือนักศึกษาที่เรียนด้านภาพยนตร์ ชื่อผู้กำกับคนนี้ถือว่าขึ้นหิ้งในระดับยอดเซียน 

 

ด้วยสไตล์หนังที่มีแนวของตัวเองชัดเจน จึงเป็นที่มาของวลีคลาสสิก นั่นคือ “กระทำความหว่อง” วลีนี้ไม่ใช่ได้มาง่ายๆ แต่เกิดจากสิ่งที่ผู้กำกับฯ ชาวฮ่องกงคนนี้ ถ่ายทอดเทคนิคและมุมมองการเล่าเรื่องออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าจนกลายเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของภาพยนตร์สไตล์หว่อง ซึ่งแฟนๆ มักให้คำนิยามว่า “รู้สึกเหงาเงียบงันราวกับปลูกป่าช้าไว้ในใจ”

 

ศิลปะแห่งความเดียวดายและบรรยากาศชวนหลงใหลที่ปรากฏอยู่ในภาพยนตร์ของหว่อง กาไว ยังคงเต็มไปด้วยเสน่ห์ที่ดึงดูดให้นักดูหนังรุ่นใหม่ๆ ให้เข้าไปสัมผัสโลกของหว่องอยู่เสมอ ล่าสุดโรงภาพยนตร์เมืองไทยได้มีการนำภาพยนตร์ระดับขึ้นหิ้งของผู้กำกับคนนี้มาจัดฉายไปจนปลายปี The States Times Lite จึงขอยกเอา 5 เอกลักษณ์ในภาพยนตร์ของหว่องกาไวที่ครองใจแฟนๆ มานานกว่า 2 ทศวรรษ มาบอกเล่า ถือว่าเป็นออเดิร์ฟก่อนไปดูหนังของเขากัน...

 

1) มีความวุ่นวายของฮ่องกงเป็นฉากหลัง

หว่องมักเลือกใช้ฮ่องกงในยุค ‘60s เป็นฉากหลัง เนื่องจากเป็นช่วงวัยเด็กที่เขาใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางห้วงเวลาสำคัญทางประวัติศาสตร์ เพราะนับตั้งแต่เหมาเจ๋อตงได้เปลี่ยนการปกครองของจีนเข้าสู่ระบอบสังคมนิยม ส่งผลให้ชาวจีนแผ่นดินใหญ่ที่มาอาศัยอยู่ในฮ่องกงยังคงผูกพันกับบ้านเกิดเมืองนอน พวกเขาสร้างชุมชนของตนเองที่พูดภาษาถิ่น มีวัฒนธรรม พิธีกรรม มีการดูหนังฟังเพลงที่แตกต่างจากชาวฮ่องกง ซึ่งหว่องเติบโตมาในสภาพแวดล้อมแบบนั้น ซึ่งความทรงจำมีผลให้เขาอยากทำหนังที่เต็มไปด้วยบรรยากาศและห่วงอารมณ์แห่งการระลึกถึงบางสิ่งบางอย่าง  

 

2) ว่าด้วยเรื่องความเหงาและสัมพันธภาพที่ไม่มั่นคง

“แม้เวลาจะเยียวยาหลายสิ่งหลายอย่างได้ แต่หัวใจที่แตกสลายก็เป็นข้อยกเว้น” ประโยคเด็ดของหว่องที่แฟนหนังรู้จักกันดี เชื่อมโยงกับลักษณะการเล่าเรื่องราวของความรักความสัมพันธ์ที่ไม่สมหวัง การเก็บซ่อนความรู้สึก นำไปสู่อารมณ์เหงาเดียวดายที่แฟนๆ เรียกกันว่า “กระทำความหว่อง” แน่นอนว่าเป็นความรู้สึกสากลที่มนุษย์เชื่อมโยงเข้ากับความรู้สึกของตนเองได้ แต่เรื่องธรรมดาเช่นนี้เมื่อไปปรากฏอยู่ในภาพยนตร์ของหว่อง เขากลับถ่ายทอดออกมาได้อย่างมีเสน่ห์ น่าค้นหา เป็นเรื่องเล่าที่มีทั้งความบันเทิงและความงดงามทางศิลปะ โดยเฉพาะฉากควันบุหรี่และแสงสลัวที่สื่อถึงความไม่ชัดเจนและความสัมพันธ์ที่ไม่มั่นคงของแต่ละตัวละคร

 

3) ตัวละครมีความทรงจำที่เชื่อมเข้าหากัน

ปกติภาพยนตร์ทั่วไปจะมีการแนะนำตัวละครเมื่อเริ่มเรื่อง แต่สำหรับผลงานสไตล์หว่อง ตัวละครส่วนใหญ่มักไม่มีที่มาที่ไป ดำเนินเรื่องด้วยการกระทำและบทสนทนาเลย ไม่ตัดสินว่าตัวละครใดคือตัวดี-ตัวร้าย มีความเป็นสีเทา มีความเป็นมนุษย์สูงมาก ผู้ชมจะได้รู้จักพื้นเพตัวละครจากการฟังบทสนทนาและติดตามดูการกระทำ ซึ่งแต่ละตัวละครมักจะมีปมบางอย่างซ่อนอยู่ มักเป็นเรื่องราวทางครอบครัว โดยมีค่านิยมบางอย่างของสังคมเป็นกรอบกำกับตัวละครไว้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเพศ จารีต อาชีพ วัฒนธรรม ฯลฯ แต่เมื่อเรื่องดำเนินมาถึงจุดหนึ่งผู้ชมจะพาว่าเรื่องราวของตัวละครมักเชื่อมเข้าหากันอย่างกลมกลืน

 

4) เหลียง เฉาเหว่ย นักแสดงขาประจำ

นักแสดงนำชายชาวฮ่องกงที่แจ้งเกิดจากภาพยนตร์เรื่อง Days of Being Wild ของหว่องในปี 1991 นับตั้งแต่นั้นเขากลายเป็นชื่อนักแสดงขาประจำที่ต้องคู่กับภาพยนตร์ของผู้กำกับฯ คนนี้ สำหรับเรื่องที่สร้างชื่อเสียงที่สุดคือ In The Mood For Love ที่ทำให้เขาเป็นชาวฮ่องกงคนแรกที่ได้รับรางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากเทศกาลหนังเมืองคานส์ สำหรับภาพยนตร์ของหว่องที่เหลียง เฉาเหว่ย ร่วมแสดงและโด่งดังเป็นที่รู้จักมีดังนี้ Days Of Being Wild, Chungking Express, Happy Together, In The Mood For Love และ 2046

 

5) คริสโตเฟอร์ ดอยล์ ช่างภาพคู่บุญ

ผู้ที่อยู่เบื้องหลังภาพสวยๆ บรรยากาศเหงาๆ ก็คือ ‘คริสโตเฟอร์ ดอยล์’ เรียกได้ว่าเป็นผู้กำกับฯ ภาพคู่บุญที่หว่องไว้วางใจ ให้อิสระเต็มที่ในการควบคุมโทนภาพของภาพยนตร์แทบทุกเรื่อง จนหว่องเคยให้สัมภาษณ์ว่าเอกลักษณ์นี้ได้กลายเป็นเครื่องหมายการค้าไปแล้ว แต่อาจจะมีบางครั้งที่คิวของคริสโตเฟอร์ ดอยล์ ไม่ว่าง หว่องก็ได้หันไปใช้บริการตากล้องคนใหม่อย่าง หลี่ผิงปิง ซึ่งทำให้ภาพที่ออกมามีเนื้อหาอารมณ์ของภาพยนตร์ที่นำเสนอให้เห็นมุมมองใหม่ๆ แต่ยังไม่ทิ้งลายเซ็นเดิมไปเสียทีเดียว

 

หมายเหตุ: มงคลซีนีม่าจัดเทศกาล The World of Wong kar-Wai’s Retrospective นำภาพยนตร์เรื่องดังมาจัดฉายใหม่ในฉบับรีมาสเตอร์ 4K เริ่มมาตั้งแต่ 29 ตุลาคม จนถึงธันวาคมเดือนหน้า โดยเลือกเฟ้น 5 ภาพยนตร์ของผู้กำกับระดับตำนานมาฉายในโรงภาพยนตร์ House Samyan รวมถึงเครือ SF Cinema และ Major Cineplex มีกำหนดฉายดังนี้

 

IN THE MOOD FOR LOVE

กำหนดฉาย 29 ตุลาคม 2563

HAPPY TOGETHER

กำหนดฉาย 12 พฤศจิกายน 2563

FALLEN ANGELS

กำหนดฉาย 26 พฤศจิกายน 2563

2046

กำหนดฉาย 10 ธันวาคม 2563

CHUNGKING EXPRESS

กำหนดฉาย 24 ธันวาคม 2563

 

เรื่องไอ...ไอ

ช่วงนี้ ‘เรื่องไอ’ มาแรงค่ะ ใครบอก? คุณครูบอกเองฮ่ะ

 

ไล่ไปตั้งแต่เด็กนักเรียนในห้องที่ไอค้อกแค้ก เพราะอากาศเปลี่ยน เป็นหวัดกันเป็นแถ้ว หรือเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จบสิ้นไปเรียบร้อย แต่ก็มีคนออกมาบอกว่า ‘ไอไม่รับผลการตัดสินเฟร้ย!’ แหม่ เรื่องนี้ก็คาราคาซังกันอยู่ 

 

กลับมาที่สภาบ้านเรา เมื่ออาทิตย์ก่อนก็เพิ่งมีการประชุมสภาวาระสำคัญ เรื่องการโหวตรับหลักการร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ    ปรากฎว่า รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน หรือที่เรียกว่า ฉบับร่าง iLaw ก็ถูกตีตกไป

 

เห็นม้ะคะ เชื่อครูยัง ว่าเรื่อง ‘ไอ’ มาจริงไรจริง งั้นคุณครูขอสอนเรื่องไอ...ไอ มีไออะไรน่ารู้บ้าง เปิดคลาสค่ะ!

24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553...ครบ 10 ปี ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จเปิดประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์

วันนี้เมื่อ 10 ปีก่อน ถือเป็นวันสำคัญของเมืองไทย เมื่อพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินทางชลมารคไปทรงเปิดประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์ รวมถึง สะพานภูมิพล 1 และสะพานภูมิพล 2 ทั้งหมดเป็นโครงการในพระราชดำริที่ทรงตั้งใจแก้ปัญหาให้กับประชาชน

 

โดยที่มาของการสร้างประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์ เกิดขึ้นจากการทรงเห็นว่า สภาพของแม่น้ำเจ้าพระยาเดิมมีลักษณะไหลวนคดเคี้ยว โดยเฉพาะบริเวณรอบพื้นที่บางกระเจ้า ที่มีความยาวถึง 18 กิโลเมตร ส่งผลให้การระบายน้ำที่ท่วมพื้นที่ชั้นในของกรุงเทพมหานครเป็นไปได้ช้า ไม่ทันเวลาน้ำทะเลหนุน

 

จึงมีพระราชดำริให้พัฒนาใช้คลองลัดโพธิ์ ซึ่งเดิมมีความตื้นเขินและมีความยาวราว 600 เมตร ให้เป็นประตูระบายน้ำที่หลากและน้ำที่ท่วมสองฝั่งของแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อให้ลงสู่ทะเลทันที และจะปิดคลองลัดโพธิ์เมื่อน้ำทะเลหนุน เพื่อหน่วงน้ำทะเลไม่ให้ขึ้นลัดเลาะไปตามแนวแม่น้ำเจ้าพระยาที่คดโค้งถึง 18 กิโลเมตรด้วยกัน

 

ในส่วนของสะพานภูมิพล 1 และ 2 ทรงมีพระราชดำริให้จัดสร้างเพื่อรองรับการขนถ่ายและลำเลียงสินค้าจากท่าเรือกรุงเทพ ไปยังพื้นที่อุตสาหกรรมใน จ.สมุทรปราการ และพื้นที่อื่นๆ ทั้งนี้เพื่อแก้ปัญหาการจราจร โดยเฉพาะรถบรรทุกขนาดใหญ่จากแหล่งอุตสาหกรรม เพื่อให้มีช่องทางเลี่ยงออกจากใจกลาง กทม. สู่ต่างจังหวัดได้ทันที

 

ทั้งหมดคือพระราชประสงค์เพื่อแก้ปัญหาและยกระดับคุณภาพชีวิตคนไทยให้ดียิ่งขึ้น จากวันนี้และในอนาคตสืบไป...

 

อย่าเสีย ‘เพื่อน’ เพียงเพราะ ‘การเมือง’

ไม่มีสถานการณ์ไหนจะร้อนแรงเฟร่อเท่าเรื่องมุมมองทางการเมือง โดยเฉพาะมุมมอง ‘ที่เห็นต่าง’

 

พฤติกรรมหนึ่งที่หลายคนเคยเจอ คือการได้อ่านสเตตัสในมุมมองตรงกันข้ามกับสิ่งที่ตัวเองคิด (หรือชื่นชอบ) อ่านมากๆ แล้วก็คันหัวใจ คันปาก และคันนิ้ว ต้องพิมพ์ใส่ในคอมเม้นเพื่อเถียง พอเถียงไป เขาก็เถียงกลับ งั้นเถียงต่อ มันก็เถียงกลับมาอีก เริ่มซัดกันนัว ระอุ ดุเดือด รู้ตัวอีกที ‘อ้าว! นี่เพื่อนกรูเอง!’

 

บรรยากาศตอนนี้ เราทะเลาะกับเพื่อน หรืออิหยังวะกับเพื่อน เพราะเรื่องการเมืองกันมากมาย ไม่รู้มีโพลสำนักไหนเคยไปทำแล้วหรือยัง แต่เชื่อว่า พฤติกรรมยอดฮิตกับเรื่องเห็นต่างทางการเมืองที่มาเป็นอันดับ 1 คือ การกด Unfriend (เพื่อนซะเล้ย!)

 

กด Unfriend ทำไม?

 

กดเพื่อให้รู้ว่า โกรธ ไม่พอใจ ไม่ชอบที่แกคิดไม่เหมือนกับฉัน เป็นชั่วอารมณ์แวบเดียวที่อยากจะแสดงความไม่พอใจใส่เพื่อน แต่พอรู้ตัวอีกที อ้าว! ยุ่งล่ะ พรุ่งนี้เดี๋ยวก็ต้องไปเจอมันที่โรงเรียน ที่มหา’ลัย หรือที่ทำงาน แล้วฉันจะทำตัวยังไง ฉันจะมองหน้าแกยังไง เคยมีเคสหนักๆ กำลังจีบหญิงที่หมายปอง แต่ฝ่ายหญิงดันอยู่คนละขั้วการเมือง ไปเผลอกด Unfriend งานนี้จบ!

 

จะบอกว่า เรื่อง Unfriend ไม่ใช่เรื่องผิดบาปอันใดหรอก ด้วยยุคสมัยนี้ มันมีพื้นที่ที่ทำให้เราไม่ต้องไปเจอกันต่อหน้า เราถึงแสดงออกผ่านทางโลกเสมือนจริง ใช้สัญลักษณ์บางอย่างเพื่อแสดงให้ฝ่ายตรงข้ามรับรู้ มันก็ดีที่ไม่ต้องมาทะเลาะกันแบบตรงๆ แต่ในมุมกลับกัน มันก็ทำให้เราใจร้อน ใจเร็ว ตัดสินใจด้วยอารมณ์แค่แวบเดียว

 

เพื่อนบางคนคบกันมา 10-20 ปี เคยทะเลาะกับมันมาไม่รู้กี่ครั้ง แต่ทุกครั้งเมื่อได้พูดคุย ขอโทษขอโพยกัน (ด้วยเสียงและการเจอตัวเป็นๆ) ความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนก็ยังอยู่คงเดิม แต่พอมีสื่อโซเชี่ยลมีเดียที่ไม่ต้องทำให้เราเจอกันตรงๆ แบบเห็นหน้า เราก็หาได้แคร์เพื่อนไม่ เขียนอะไรไม่เข้าหูเข้าตา กด Unfriend แม่มซะเลย!

 

ถามว่าแล้วจะให้ทำยังไงถ้าไม่กด Unfriend?

 

ก็ปุ่มในโซเชี่ยลมีตั้งเยอะ ลองกด Hide ไหม? หรือกด Unfollow ไปสักพักก็ได้ วิธีนี้ช่วยได้ทั้งเราและเพื่อน คือเราจะไม่เห็นสเตตัสการเมืองของเพื่อนให้รำคาญใจ และเพื่อนก็ไม่ต้องมารู้ว่าเราหงุดหงิด ความน่าแปลกใจต่อจากนั้นก็คือ เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน เราจะลืมไปเลยว่าเคยทำอะไรไว้ แล้ววันหนึ่งจู่ๆ ก็นึกถึงสเตตัสของเพื่อนขึ้นมา ‘เออ ช่วงนี้ไม่ค่อยได้เห็นมันโพสต์บ้าๆ บอๆ อะไรเลยเน๊อะ’ ก็แหงสิ! เราไป Unfollow เขาอยู่พักใหญ่จนลืม เมื่อนึกขึ้นมาได้อย่างนั้น เราก็จะกลับไปติดตามเพื่อนดังเดิม (ด้วยความคิดถึง)

 

ปัญหาบางอย่าง อยู่ที่เราจัดการกับมันอย่างไร และที่สำคัญ มันยังฝึกให้เราเติบโตขึ้น โตด้วยวิธีคิด โตด้วยสติ และโตด้วยปัญญา  โลกโซเชี่ยลเหมือนการบ้านโจทย์ใหญ่ ที่ให้เราได้เรียนรู้ ได้แก้ปัญหา และได้เห็นการหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงของมัน มองอย่างเข้าใจ และมองให้เป็นประโยชน์ เราก็จะได้ประโยชน์จากมัน

 

ส่วนเรื่องการเมืองกับเพื่อนนั้น บางทีไม่ต้องคิดซับซ้อนเหมือนโลกโซเชี่ยล ถามง่ายๆ ว่า การเมืองอยู่กับเรามากี่ปี? แล้วเพื่อนอยู่กับเรามากี่ปี? เพื่อนยืมเงินได้ พาไปเลี้ยงข้าว เลี้ยงเหล้าได้ แต่การเมืองพาเราไปแบบนั้นได้ไหม ยืมเงินการเมืองได้ไหม แล้วที่สำคัญ การเมือง (ที่เราชื่นชอบ) ก็ไม่ได้อยู่กับเราไปตลอด เพราะสักวันหนึ่ง ตัวละครใหม่ๆ ก็จะเกิดขึ้น

 

แต่สำหรับเพื่อน เป็นตัวละครในชีวิตที่จะอยู่กับเราไปจนวันตาย...

 

 

   

23 พฤศจิกายน...วันแห่งการฉลองความสามารถพิเศษของตัวเอง

เพราะคนทุกคนล้วนมีความสามารถ และมีศักยภาพเป็นของตัวเอง เพียงแต่ความสามารถนั้นจะถูกได้รับการชื่นชม หรือถูกนำไปให้ผู้อื่นรับรู้ในวงกว้างหรือไม่

 

แต่สาระสำคัญของความสามารถจริงๆ นั้น อาจไม่ใช่แค่ต้องเป็นที่ยอมรับของคนอื่น แต่ความสามารถที่เรามี ควรที่จะต้องนำไปพัฒนาตัวเอง แม้เป็นเรื่องเพียงน้อยนิด แต่อย่างน้อย...มันก็ทำให้เราได้ ‘ภูมิใจ’ ในความสามารถของตนเอง

 

เกริ่นมาเยิ่นยาว เพราะกำลังจะบอกคุณว่า วันนี้ 23 พฤศจิกายน (ของทุกปี) ถูกกำหนดให้เป็น ‘วันแห่งการฉลองความสามารถพิเศษของตัวเอง’ ฟังชื่อวันคงรู้สึกแปลกหู วันอะไรแบบนี้ก็มีด้วยเหรอ? ก็มีดิคร้าบ! วันนี้ถูกตั้งขึ้นมาในปี ค.ศ. 2005 ด้วยจุดประสงค์ของการให้ความสำคัญกับทักษะความสามารถของมนุษย์นั่นเอง

 

ไม่ว่าคุณจะกลั้นหายใจดำน้ำได้นานสุดๆ หรือคิดเลขได้เร็วปานรถไฟความเร็วสูง หรือถักนิตติ้งได้เร็วและนานเป็นวันๆ แม้แต่แค่เป่านกหวีดทางจมูกได้ ทุกอย่างล้วนเป็นความสามารถเฉพาะตัว ที่ในวันนี้ เราสามารถบอกกับคนทั้งโลกได้ว่า เฮ้ย! ข้าก็มีของดีนะเฟ้ยยย!

 

กิจกรรมในวันนี้ยังเชิญชวนให้ทุกๆ คนได้ถ่ายภาพความสามารถของตัวเอง แล้วอัพโหลดลงยูทูบเพื่อให้คนอื่นๆ ได้เห็นถึงความสามารถของเราอีกด้วย เอาล่ะ เขียนมาขนาดนี้แล้ว ถ้าวันนี้มีเวลาว่าง ลองมองหาความสามารถของตัวเอง แล้วโชว์ให้คนอื่นดูสักหน่อย บอกโลกให้รู้ว่า เราเองก็มีดี จัดไป!

 

อ้างอิง: https://www.daysoftheyear.com/days/celebrate-your-unique-talent-day/

สเปอร์ vs แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ศึกแห่งศักดิ์ศรีผู้จัดการทีม

สำหรับแฟนบอลตัวยงแล้ว หนึ่งในสีสันจัดจ้าน ที่ผู้คนทั่วโลกให้ความสนใจ นั่นก็คือ การโคจรมาปะทะกันข้างสนามของ 2 โคตรกุนซือ ‘โชเซ่ มูรินโญ่ vs เป๊ป กวาร์ดิโอล่า’

 

อดีตที่ผ่านมา คู่นี้เคยคุมทีมมาเจอกันหลายครั้งหลายหน ส่วนใหญ่จะเป็น ‘จ่ามู’ ที่มักจะเสียท่าพ่ายแพ้ให้กับทีมของเป๊ปประจำ และคืนนี้ ทั้งคู่มีอันต้องโคจรมาดวลกันอีกครั้ง

 

ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ vs แมนเชสเตอร์ ซิตี้

 

วัดกันตามสถานภาพตำแหน่งในลีกตอนนี้ สเปอร์จากที่ลุ่มๆ ดอนๆ ช่วงเปิดลีกใหม่ๆ แต่ ณ ขณะนี้ทรงดี ขนาดขึ้นไปรั้งตำแหน่งรองจ่าฝูง เป็นทีมหนึ่งที่เริ่มลงตัว มูรินโญ่มีผู้เล่น 11 ตัวจริงในแต่ละเกมเป็นที่เรียบร้อย ต่างจากแมนฯ ซิตี้ของเป๊ป ที่เล่นไป ปรับจูนไป ฤดูกาลนี้ยังไม่เจอทีมที่เสถียรสักที เป็นผลให้ตอนนี้ยังอยู่ที่ 10 ของตาราง

 

มหากาพย์ของเป๊ปและมูจะออกผลยังไงไม่รู้ แต่ล่าสุด เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เพิ่งประกาศต่อสัญญาอยู่กับทีมยาวๆ ไปถึงปี 2023 ก็เชื่อแน่ว่า บรรยากาศภายในทีมคงดูคึกคักขึ้น ดังนั้น จะประมาทลูกทีมของเป๊ปไม่ได้ ส่วนคีย์แมนของซิตี้ คงหนีไม่พ้น เควิน เดอ บรอยน์ รวมไปถึง ไอ้หนูฟิล โฟเด้น ที่เพิ่งโชว์ฟอร์มแจ่มในทีมชาติอังกฤษมาหมาดๆ ด้านสเปอร์ก็คงพึ่งพากัปตันทีม แฮร์รี่ เคน และ SHM7 ซงฮึงมิน

 

น่าสนใจว่า ในความเป็นเจ้าบ้าน มูรินโญ่จะพาลูกทีมเปิดหน้าซัดกับแมนฯ ซิตี้ แบบแลกหมัดเลยหรือไม่ แต่เราเชื่อว่าไม่! (อ้าว?) เพราะขึ้นชื่อว่าเป็น ‘ตัวพ่อทฤษฎีรถบัส’ งานนี้เฮียเครียดมาเล่นเกมล่อตะเข้ลงบ่อ แล้วจัดการทุบๆๆๆๆ ตะเข้แน่นอน แต่กลับกัน, ถ้าทุบตะเข้ไม่ได้ ก็อาจโดนตะเข้งาบได้ อันนี้ก็ต้องติดตาม

 

พบกับมหากาพย์ภาคล่าสุดของ มูและเป๊ป ได้คืนนี้ 00.30 น. หรือเที่ยงคืนครึ่ง (ดึกจุง) แต่บอลมันส์อย่างนี้ ดึกยังไงก็ต้องดู! ปู๊นๆ!

 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top