ปรินเซสรอยัล พระเจ้าลูกเธอในล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ผู้ทรงสิริโฉมงดงามราวกับเทวดา

‘ปรินเซสรอยัล’ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าสุทธาทิพยรัตน์ กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร 
พระเจ้าลูกเธอในรัชกาลที่ 5 ผู้ทรงสิริโฉมงดงามราวกับเทวดา ผู้เป็นดัง ‘ศรีแห่งกรุงรัตนโกสินทร์’

หลังจากเล่าเรื่องหนักๆ มาหลายตอนแล้ว ในตอนนี้ผมจะขอย้ายฝั่งมาเล่าเรื่องของพระเจ้าลูกเธอในล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยพระราชธิดาพระองค์นี้ของพระองค์ได้รับการยกย่องเรื่องของความงาม พระกริยาอันเรียบร้อย ทรงเป็นราชเลขานุการิณีในพระองค์พระพุทธเจ้าหลวงและได้มีโอกาสตามเสด็จประพาสต้นหลายครั้ง ผมกำลังจะเล่าเรื่องของ ‘สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าสุทธาทิพยรัตน์ กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร’ นั่นเอง 

สมเด็จฯ เจ้าฟ้า กรมหลวงศรีรัตนโกสินทรเป็นพระราชธิดาพระองค์ที่ 19 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประสูติแต่สมเด็จพระปิตุจฉาเจ้า สุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี เมื่อเวลา 09.21 น. ของวันที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2420 ถือเป็นทูลกระหม่อมหญิงพระองค์แรกในเศวตฉัตร (เมื่อทรงครองราชย์แล้ว) ชาววังจึงเรียกว่า ‘ทูลกระหม่อมหญิง’ โดยไม่ต้องเอ่ยพระนามเนื่องจากทรงอาวุโสสูงสุดพระองค์แรก

เล่ากันว่าก่อนที่พระองค์จะประสูตินั้น มีเจ้านายสตรีคือพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภาพรรณี พระธิดาในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร ยังเป็นทาริกาอยู่ เล่าขานนิยมชมชื่นกันในหมู่ชาววังและเจ้านายว่ามีพระรูปโฉมสวยงามนัก ครั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชธิดาพระองค์นี้ ความที่ทูลกระหม่อมหญิงมีพระรูปโฉมงดงาม ถึงกับพระบิดารับสั่งกับพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงพิชิตปรีชากร ว่า “ฉันไม่แพ้เธอแล้ว กรมพิชิตฯ” หมายความว่าทรงมี ‘ลูกสาว’ สวยไม่แพ้พระธิดากรมหลวงพิชิตฯ แต่ที่สำคัญคือพระองค์มีพระพักตร์และพระรูปโฉมคล้ายคลึงกับสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี พระบรมราชชนนีในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (อันนี้ผมจะเล่ายืนยันตอนท้าย) 

แต่ความ ‘งามเหมือนเทวดา' ที่แม้จะยังความปีติโสมนัสให้สมเด็จพระบรมชนกนาถและพระชนนีเป็นอย่างยิ่งนั้น ในอีกด้านหนึ่ง ก็ทำให้ทรงวิตกกังวลอย่างยิ่งเช่นกัน เพราะความงามบริสุทธิ์ พระฉวีผุดผ่องไม่มีไฝฝ้าราคี ในสมัยโบราณมีความเชื่อกันว่า ผู้ที่เกิดมางดงามมากยากจะเลี้ยงให้รอดชีวิต จนเวลาผ่านมาจนพระชนมายุขวบเศษ ก็มีเหตุการณ์ที่ทำทั้ง 2 พระองค์คลายพระปริวิตก กล่าวคือ ในขณะที่สมเด็จพระบรมชนกนาถกำลังอุ้มส่งให้พระชนนีนั้น ได้ทรงดิ้นไปมาจนพระขนง (คิ้ว) ถูกชามแก้วบนโต๊ะเสวยถึงกับเป็นแผลพระโลหิตตก กันแสงลั่นพระตำหนัก พระบรมวงศ์ฝ่ายในจึงปลอบว่า “ความวิตกกังวลว่าจะมีพระชนมายุสั้นนั้น เป็นอันผ่านไปแล้วเพราะทรงมีบาดแผลแล้ว” (อันนี้เป็นความเชื่อโบราณนะครับ)  

เมื่อพระชนม์ได้ 11 พรรษา ได้รับพระราชพิธีโสกันต์เต็มยศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท มีสวด 3 วัน สมโภช 3 คืน เสร็จพระราชพิธีแล้วตอนฟังสวดทรงเครื่องขาวพระเกี้ยวยอด สมเด็จพระบรมชนกนาถทรงรับและส่งพระกรทุกคราว ระหว่างสมโภชทรงแต่งพระองค์สีต่างกันทั้ง 3 วัน เมื่อทรงเครื่องสวมชฏา รัชกาลที่ 5 ถึงกับออกพระโอษฐ์ว่า “ลูกพ่องามเหมือนเทวดา” 

ตามโบราณราชประเพณี พระขัตติยราชนารีต้อง ‘งด’ เสด็จฯ ออกข้างนอกเมื่อทรงโสกันต์แล้ว ต้องเก็บตัวอยู่ฝ่ายในและต้องทรงสะพัก (ห่มผ้า) แต่ทูลกระหม่อมหญิงทรงกันแสง เพราะปรารถนาจะรับใช้สมเด็จพระบรมชนกนาถทางฝ่ายหน้าอีก ถึงกับไปกราบบังคมทูลพระกรุณา ‘รับสั่งให้เป็นเด็กต่อ’ พระองค์โปรดไปตามนั้น แต่ยอมเพียง ‘เมื่ออายุครบ 18 เมื่อใดพ่อจะไม่ยอมลูกหญิงอีก’ ทูลกระหม่อมหญิงจึงได้รับใช้เบื้องพระยุคลบาทอย่างใกล้ชิดมาจนครบเวลา

หลังจากนั้นเป็นต้นมา สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าสุทธาทิพยรัตน์ กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร ทรงศึกษาและปฏิบัติตนเป็นเจ้านายฝ่ายในตามอย่างโบราณราชประเพณีอย่างเคร่งครัด นอกจากนั้นยังทรงศึกษาภาษาอังกฤษจาก ‘ครูมีทินและครูทิม’ จนแตกฉาน พระองค์มีพระปรีชาสามารถด้านการถักนิตติง (Knitting) และแท็ตติง (Tatting) ระดับรางวัลงานประกวดเลยทีเดียว พระองค์เป็นผู้ประดิษฐ์พวงมาลัยที่ผูกห้อยจากริบบิ้นเป็นพระองค์แรก พระองค์โปรดการถ่ายภาพ สามารถล้างและอัดภาพได้ด้วยพระองค์เอง โดยภาพถ่ายของพระองค์ก็ได้รับรางวัลจากการประกวดเช่นเดียวกัน (เอาสิ !!!! ) งานพระนิพนธ์ พระองค์มีพระนิพนธ์จำนวนหนึ่ง หนึ่งในนั้นคือ "ฉันท์เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงวิสุทธิกระษัตริย์" ในรูปแบบอินทรวิเชียรฉันท์ 11 คือเรียกได้ว่า ทรงมีความสามารถครบจบในพระองค์

กลับมาที่ความงามและพระจริยาวัตรของพระองค์ที่ชาววังเล่าต่อๆ กันมานั้น ผมจะยกมาให้ได้อ่านกันสักหลายๆ ตัวอย่างดังนี้…

หม่อมเจ้าจงจิตรถนอม ดิศกุล บันทึกไว้เมื่อครั้งเกษากันต์ว่า “ข้าพเจ้าพอใจจะอยู่กับ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงศรีรัตนโกสินทร เมื่ออยู่ในวังเคยทรงเล่าประทานว่า ข้าพเจ้าไปเดินตามทูลกระหม่อมหญิงติดอกต้องใจที่จะอยู่กับท่าน ไปงานในวังครั้งใดก็มุ่งที่จะไปเฝ้าทูลกระหม่อมนี้อยู่เสมอ”

หม่อมเจ้ามารยาตรกัญญา ดิศกุล บันทึกไว้ว่า “ในชั่วชีวิต 5 ขวบของข้าพเจ้า ยังไม่เคยเห็นใครที่งามและน่ารักเหมือนพระองค์ท่านเลย”

พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ บันทึกไว้ใน ‘เกิดวังปารุสก์’ ว่า “ข้าพเจ้าจำได้ว่าท่านงามมาก แต่ค่อนข้างจะน่ากลัว ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าไปเรียกท่านผิดว่าทูลหม่อมป้าหญิง เลยถูกท่านเอ็ดเอาว่า อะไรทูลหม่อมป้าชายมีที่ไหน”

หม่อมราชวงศ์สุดใจ บรรยงกะเสนา ผู้ที่ได้มาพึ่งพระบารมีทูลกระหม่อมหญิงมาตั้งแต่อายุ 11 ปี จนถึงสิ้นพระชนม์ ได้เขียนเล่าถึงทูลกระหม่อมหญิงว่า “พระรูปพระโฉมงดงามยิ่ง พระมรรยาท พระอิริยาบถ ก็ได้ยินแต่คนสรรเสริญ และยอพระเกียรติ ว่าด้วยพระกุศลที่ได้ทรงทำไว้แต่หนหลังบันดาลให้งามพร้อมทั้งพระรูปโฉม พระนิสัย และน้ำพระทัย เป็นยอดขัตติยนารี”

สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ยังทรงชมว่า “พี่หญิงช่างงามจริง แม้ท่าบ้วนน้ำหมากก็ไม่เหมือนใคร”

งามขนาดที่ “สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร” ซึ่งพระชันษาเยาว์กว่าเพียงไม่กี่เดือนทรงมีพระหฤทัยผูกพัน เหตุที่มีพระทัยสนิทเสน่หา สืบเนื่องมาจากความใกล้ชิดเมื่อครั้งทรงรับใช้เบื้องพระยุคลบาทพระราชชนกด้วยกัน เมื่อเกิดวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 โดยทรงแสดงความในพระทัยออกมาเป็นสักวา ที่หน้าพระที่นั่งคราวหนึ่ง เชื่อว่าเป็น พ.ศ. 2437 ซึ่งเจ้านายและชาววังแอบจำต่อกันมา ความว่า…

ได้ยลพักตร์ลักขณาสุดาพี่        จะหาไหนไม่มีเสมอสอง
เสงี่ยมงามทรามสงวนนวลละออง        ไฉนน้องไร้คู่อยู่เอกา
ถ้าอยู่ได้ก็จะอยู่เป็นคู่ชื่น            สำราญรื่นร่วมจิตขนิษฐา
จะบนบวงสรวงเทพเทวา            ขอให้สมปรารถนาครานี้เอย

เอาล่ะ มาเรื่องความงามกันซะเยอะ แต่ในส่วนพระกรณียกิจของพระองค์ก็ทรงมีอยู่ไม่ใช่น้อย ที่ผมพอจะพาทุกท่านไปนึกถึงกันได้ก็น่าจะมีดังนี้…

เป็นเลขานุการิณีส่วนพระองค์ในล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ตามเสด็จ ประพาสต้น ประพาสชวา ซึ่งได้โดยเสด็จออกแขกเมืองร่วมกับพระบิดา เมื่อพระบิดากำลังเสวยเครื่องและทรงงานไปด้วย จะมีรับสั่งให้พระองค์ทรงอักษรตามพระราชดำรัสสั่งงาน

ทรงบริจาคทรัพย์ส่วนพระองค์เพื่อร่วมก่อตั้งสภาอุณาโลมแดงแห่งชาติสยาม (สภากาชาดไทย)

ทรงดำรงตำแหน่งอุปนายิกาสภาอุณาโลมแดง / ทรงดำรงตำแหน่งสมาชิกพิเศษของสภากาชาดไทย

ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นเงิน 200,000 บาทสร้างตึกสุทธาทิพย์ ภายในโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย

ในราชสำนักยุโรปมักเรียกพระองค์ซึ่งเป็นพระราชธิดาพระองค์ใหญ่ว่า ‘ปรินเซสรอยัล’ ซึ่งเทียบกับพระอิสริยยศ ‘สยามบรมราชกุมารี’ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ สถาปนาสมเด็จฯ เจ้าฟ้าสุทธาทิพยรัตน์ สุขุมขัตติยกัลยาวดี ขึ้นเป็นสมเด็จเจ้าฟ้าต่างกรมฝ่ายใน เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2446 มีพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสุทธาทิพยรัตน์ สุขุมขัตติยกัลยาวดี กรมหลวงศรีรัตนโกสินทร ทรงศักดินา 40,000 ไร่ เป็นสมเด็จพระเจ้าลูกเธอพระองค์เดียวในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ได้รับพระราชทานกรมสูงสุดถึงกรมหลวง และพระนามกรมยังหมายความถึงกรุงรัตนโกสินทร์ซึ่งเป็นนามของเมืองหลวง 

ภายหลังสมเด็จพระบรมชนกนาถสวรรคตแล้ว ทูลกระหม่อมหญิงทรงประทับอยู่พระบรมมหาราชวังเพื่อเป็นศรีแห่งรัตนโกสินทร์ (รัชกาลที่ 6 ทรงประทับอยู่พระราชวังพญาไท) จน พ.ศ. 2458 จึงกราบบังคมทูลพระกรุณา ฯ ไปประทับอยู่วังบางขุนพรหมกับทูลกระหม่อมชายพระอนุชา จนกระทั่งทรงประชวรพระโรคที่พระปัปผาสะและสิ้นพระชนม์ เมื่อวันอังคารที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2466 พระชันษา 46 อย่างสงบ โดยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จฯ มาพระราชทานน้ำหลวงสรงพระศพที่วังบางขุนพรหม

ปิดท้ายเรื่องเล่าที่ชาววังเล่าต่อกันมาว่า เมื่อครั้งเกิดวิกฤตการณ์ ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) กับฝรั่งเศส สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร หรือทูลกระหม่อมใหญ่ กับทูลกระหม่อมหญิง ได้ร่วมทรงงานแก้ไขวิกฤตการณ์ร่วมกันล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ครั้งนั้นสมเด็จพระบรมชนกนาถทรงพระประชวรหนักถึงกับไม่ยอมเสวยพระกระยาหาร พระโอสถใดๆ แต่ชาววังเล่ากันว่า โปรดให้ทูลกระหม่อมหญิงประทับนั่งบนที่สูงแล้วรำพันว่า “หน้าลูกหญิงเหมือนย่า (สมเด็จพระเทพศิรินทราฯ) พ่ออยากจุดธูปเทียนบูชาเหลือเกิน” และพระราชทานพระธำมรงค์เพชรให้ในครานั้น (ทรงเป็นเหมือนพระกำลังพระราชหฤหัยของพระราชบิดาเป็นแน่แท้) 

ครั้งนี้ผมมาเล่าเรื่องของพระราชธิดาที่ล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ทรงโปรดเป็นอย่างยิ่ง ครั้งหน้าผมจะมาเล่าเรื่องของพระราธิดาในล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ที่ทรงโปรดน้อยให้ทุกๆ ได้อ่านกันบ้างนะครับ


เรื่อง : สถาพร บุญนาจเสวี Content Manager