Monday, 29 April 2024
LITE

ผลสลากกินแบ่งรัฐบาล ประจำวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2567

📌รางวัลที่ 1: 607063

 📌รางวัลเลขหน้า 3 ตัว: 943, 454

 📌รางวัลเลขท้าย 3 ตัว: 591, 544

 📌รางวัลเลขท้าย 2 ตัว: 09

 📌รางวัลข้างเคียงรางวัลที่ 1: 607062, 607064

 📌รางวัลที่ 2 : 779424, 166521, 808878, 376456, 851911

 📌รางวัลที่ 3 : 545456, 053669, 087418, 831569, 516593, 697943, 678876, 113069, 535443, 772652

 📌รางวัลที่ 4: 471627, 783463, 609558, 587566, 737293, 206816, 156102, 058236, 198247, 166931, 634141, 030830, 826063, 037206, 331311, 880249, 421727, 914433, 185741, 491440, 685863, 703523, 226331, 520713, 538407, 255118, 676743, 477468, 068121, 656613, 093784, 117545, 693752, 090487, 901593, 804429, 873398, 572213, 426517, 974231, 254032, 644810, 377270, 011437, 569388, 430848, 547540, 515514, 275169, 854418

 📌รางวัลที่ 5: 806005, 077800, 183946, 228155, 876294, 330957, 105442, 821585, 524558, 788018, 827213, 121357, 742620, 816255, 237210, 850809, 146086, 400000, 610485, 428347, 707558, 371062, 753839, 803654, 612248, 428102, 757312, 227701, 134084, 138365, 133415, 573490, 712435, 226283, 273458, 415333, 787397, 018319, 746170, 253246, 674744, 135643, 645769, 286895, 792696, 962169, 277134, 628966, 697599, 960133, 253134, 736618, 157589, 762505, 709475, 896872, 235734, 949607, 337451, 903203, 102554, 976303, 347262, 102461, 831270, 901032, 740915, 782185, 645693, 791261, 883034, 675167, 374634, 292246, 175489, 295214, 300996, 179712, 638807, 227677, 068966, 628800, 689244, 615358, 550513, 806863, 953743, 318668, 486337, 835260, 990230, 860217, 763491, 112169, 260793, 743328, 506213, 673741, 323652, 534711

‘สว.วีระศักดิ์’ ชี้ ‘Soft Power’ ไม่ได้แปลว่า ‘ขายดี’ แต่ต้องมี ‘เสน่ห์’ ที่ทำให้คนปลื้มตาม

(1 ก.พ.67) วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘วีระศักดิ์ โควสุรัตน์ Weerasak Kowsurat’ ในหัวข้อ ‘Soft Power’ โดยระบุว่า…

"Soft Power ไม่ได้แปลว่า ขายดี
แต่แปลว่า มีพลังดึงดูด
หรือเสน่ห์ที่ผู้อื่นปลื้มตาม โดยไม่รู้ตัว...
เพราะถ้ารู้ตัว ก็ได้ผลเป็นเพียงการโฆษณาชวนเชื่อเท่านั้นเอง..."

1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 เกิดเหตุระเบิดป่วนเมือง 2 จุดกลางกรุง ส่งผลทรัพย์สินเสียหาย ไร้ผู้เสียชีวิต

ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 เวลา 20.10 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับแจ้งเหตุเสียงดังคล้ายระเบิด 2 ครั้งที่บริเวณทางเชื่อมรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีสยาม และลานน้ำพุศูนย์การค้าสยามพารากอน ถนนพระราม 1 แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กทม. จึงรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ

เบื้องต้นพบจุดเกิดเหตุมี 2 จุด จุดแรก ระเบิดเวลา 20.05 น. บริเวณหม้อแปลงไฟฟ้าป้ายหน้าห้างสยามพารากอน แรงระเบิดทำให้ฝากล่องเหล็กเปิดออก แผ่นกระจกที่ติดตั้งบนทางเชื่อมแตก 3 บาน 

จุดที่ 2 ระเบิดเวลา 20.06 น. ที่อยู่ใกล้กันหน้าบริษัทบีเอ็มเอ เอ็กซ์เพรส เซอร์วิส เปิดเป็นบริษัทรับส่งเอกสาร ได้รับความเสียหายประตูด้านหน้าที่เป็นแผงเหล็กฉีกขาด ผนังกำแพงด้านข้างเปิด ฝ้าเพดานร่วง 3 แผ่น เจ้าหน้าที่สามารถเก็บเศษตะปูยาว 1.5 นิ้ว ได้จำนวนมาก ทั้ง 2 จุดไม่พบผู้เสียชีวิต 

จากเหตุระเบิด 2 จุด เจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารต้องทำการกั้นพื้นที่ไม่ให้ผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปในจุดเกิดเหตุ ทำให้ประชาชนที่จับจ่ายซื้อของและสัญจรรถไฟฟ้าพากันแตกตื่น ส่วนรถไฟฟ้าบีทีเอสงดหยุดรับ-ส่งผู้โดยสารสถานีสยามชั่วคราว 

31 มกราคม พ.ศ. 2408 อัญเชิญ ‘พระบาง’ จากวัดจักรวรรดิราชาวาส กลับคืนสู่ ‘หลวงพระบาง’ ประเทศลาว

พระบางเป็นพระพุทธรูปสำคัญของอาณาจักรล้านช้าง แต่ชาวอีสานมีความเลื่อมใสมากและมักจะจำลองพระบางมาไว้ที่วัดสำคัญๆ ของท้องถิ่น โดยพระบางเป็นพระพุทธรูปที่เคยอัญเชิญมาประดิษฐานที่กรุงเทพมหานคร ถึง 2 ครั้ง และมีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับสังคมอีสานอยู่เนืองๆ

เดิมนั้น พระบาง ประดิษฐานอยู่ที่นครหลวงของอาณาจักรขอม จนเมื่อ พ.ศ. 1902 พระเจ้าฟ้างุ้มกษัตริย์แห่งล้านช้างซึ่งมีความเกี่ยวพันทางเครือญาติกับพระเจ้ากรุงเขมร มีพระราชประสงค์ที่จะเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้ประดิษฐานมั่นคงในพระราชอาณาจักร จึงได้ทูลขอพระบางเพื่อมาประดิษฐาน ณ เมืองเชียงทอง อันเป็นนครหลวงของอาณาจักรล้านช้างในขณะนั้น

แต่เมื่ออัญเชิญพระบางมาได้ถึงเมืองเวียงคำ (บริเวณแถบเมืองเวียงจันทน์ในปัจจุบัน) ก็มีเหตุอัศจรรย์ขึ้นจนไม่สามารถเดินทางต่อไปได้ พระบางจึงได้ประดิษฐานอยู่ที่เมืองนี้จนถึง พ.ศ. 2055 อันเป็นสมัยของพระเจ้าวิชุลราช ผู้ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเจ้าเมืองเวียงคำมาก่อน จึงสามารถนำเอาพระบางขึ้นไปประดิษฐานไว้ที่วัดวิชุลราชในนครเชียงทอง ทำให้เมืองเชียงทองถูกเรียกว่า หลวงพระบาง นับแต่นั้นเป็นต้นมา

ในระหว่างปี พ.ศ. 2321-2322 เกิดสงครามระหว่างกรุงธนบุรีกับกรุงศรีสัตนาคนหุต เมื่อสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกและเจ้าพระยาสุรสีห์ได้ชัยชนะแก่พระเจ้าสิริบุญสาร (องค์บุญ) จึงได้อัญเชิญเอาพระแก้วมรกตและพระบางเจ้าลงไปถวายสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช โดยโปรดให้ประดิษฐานไว้ที่วัดจักรวรรดิราชาวาส หรือ วัดสามปลื้ม

เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ปราบดาภิเษกครองราชย์สมบัติเมื่อ พ.ศ. 2325 ก็โปรดเกล้าฯ ให้เจ้านันทเสน อัญเชิญพระบางไปประดิษฐานไว้ ณ เมืองหลวงพระบาง ซึ่งพระบางสถิตอยู่กรุงเทพฯ เป็นเวลา 3 ปีเศษ

และความเชื่อเรื่องผีอารักษ์ประจำพระพุทธรูปสำคัญของอาณาจักรล้านช้าง ก็ได้ปรากฏขึ้นในกรุงเทพฯ ครั้งแรก เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงสร้างวัดพระศรีรัตนศาสดาราม โปรดให้อัญเชิญพระแก้วมรกตมาประดิษฐานเมื่อ พ.ศ. 2327 ครั้งนั้นโปรดให้อัญเชิญพระบางอันเป็นพระพุทธรูปสำคัญคู่เมืองหลวงพระบาง แล้วตกไปเป็นของพระเจ้ากรุงศรีสัตนาคนหุตอยู่ ณ เมืองเวียงจันทน์ พระองค์ได้ทรงอัญเชิญลงมาพร้อมกับพระแก้วมรกต เข้ามาประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม

เจ้านันทเสนบุตร พระเจ้าล้านช้างกราบบังคมทูลว่าผีซึ่งรักษาพระแก้วมรกตกับพระบางเป็นอริกัน พระพุทธรูป 2 พระองค์นั้นอยู่ด้วยกันในที่ใด มักมีเหตุภัยอันตราย อ้างอุทาหรณ์แต่เมื่อครั้งพระแก้วมรกตอยู่เมืองเชียงใหม่ กรุงศรีสัตนาคนหุตก็อยู่เย็นเป็นสุข

ครั้งพระเจ้าไชยเชษฐาเชิญพระแก้วมรกตจากเมืองเชียงใหม่ไปไว้ด้วยกับพระบางที่เมืองหลวงพระบาง เมืองเชียงใหม่ก็เป็นกบฏต่อกรุงศรีสัตนาคนหุต แล้วพม่ามาเบียดเบียน จนต้องย้ายราชธานีลงมาตั้งอยู่ ณ นครเวียงจันทน์

ครั้นอัญเชิญพระบางลงมาไว้นครเวียงจันทน์กับพระแก้วมรกตด้วยกันอีก ก็เกิดเหตุจลาจลต่างๆ บ้านเมืองไม่ปกติ จนเสียนครเวียงจันทน์ให้กับกรุงธนบุรี

ครั้งอัญเชิญพระแก้วมรกตกับพระบางลงมาไว้ด้วยกันในกรุงธนบุรี ไม่ช้าก็เกิดเหตุจลาจล ขออย่าให้ทรงประดิษฐานพระบางกับพระแก้วมรกตไว้ด้วยกัน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงพระราชดำริว่า พระบางก็ไม่ใช่พระพุทธรูปซึ่งมีลักษณะงาม เป็นแต่พวกชาวศรีสัตนาคนหุตนับถือกัน จึงโปรดให้ส่งพระบางคืนขึ้นไปไว้ ณ นครเวียงจันทน์ โดยให้เชิญพระบางออกจากวัดจักรวรรดิราชาวาสคืนไปหลวงพระบางเมื่อวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2408

30 มกราคม พ.ศ. 2491 ‘มหาตมะ คานธี’ ผู้นำทางจิตวิญญาณแห่งอินเดีย ถูก ‘ปลิดชีพ’ ด้วยปลายกระบอกปืนจากผู้คลั่งศาสนา

ย้อนกลับไปในช่วงเย็นของวันที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2491 ‘มหาตมะ คานธี’ ผู้นำทางจิตวิญญาณแห่งอินเดียกำลังยืนอยู่กลางสนามหญ้า และสวดมนต์ตามกิจวัตร เหมือนอย่างเคย หากแต่วันนี้ทุกอย่างดำเนินไปจน ‘เกือบ’ จะปกติ แต่มีบางสิ่งที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล เมื่อ ‘นายนาถูราม โคทเส’ ชาวฮินดูผู้คลั่งศาสนาและไม่ต้องการฮินดู (อินเดีย) สมานฉันท์กับมุสลิม (ปากีสถาน) ได้ใช้อาวุธปืนปลิดชีพผู้นำทางจิตวิญญาณแห่งอินเดีย ด้วยลูกกระสุน 3 นัด จนเขาล้มลงขณะพนมมือ 

ขณะที่เขาล้มลง คานธีได้เปล่งเสียงแผ่วเบาว่า “ราม” (บ้างก็ว่า “เห ราม” ซึ่งมีความหมายว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า) และนั่นจึงกลายเป็นคำพูดสุดท้าย ในบั้นปลายชีวิตของมหาบุรุษผู้ต่อสู้กับมหาอำนาจด้วยสันติวิธีในวัย 78 ปี หลังจากที่อินเดียได้รับเอกราชโดยสมบูรณ์ได้เพียง 6 เดือน

สิ่งที่ทำให้ชื่อของ ‘มหาตมะ คานธี’ เป็นที่รู้จักนั่นเพราะการเรียกร้องเอกราชและความเสมอภาค ด้วยวิธี ‘สัตยาเคราะห์’ ที่เน้นความเป็นสันติวิธี อันมีจุดเริ่มต้นมาจากเหตุการณ์หนึ่งซึ่งเกิดขึ้นในช่วงที่คานธีเป็นทนายความในวัย 24 ปี โดยเกิดขึ้นบนสถานีรถไฟในประเทศแอฟริกาใต้ครั้งยังอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษ

ในขณะนั้นเขาเพิ่งเรียนจบกฎหมายจากลอนดอนกลับมาอยู่ที่อินเดียได้ไม่นาน และได้เดินทางไปแอฟริกาใต้เพื่อไปเป็นนักกฎหมายประจำบริษัท Dada Abdulla ที่ทำการค้าอยู่ที่นั่น ในเดือนเมษายน ปี 1893 คานธีซื้อตั๋วรถไฟชั้นหนึ่ง ซึ่งเป็นตู้รถไฟที่หรูหราสะดวกสบายตามอัตราค่าบริการที่สูง แต่เขากลับถูกไล่ลงจากสถานีแรก ให้ไปอยู่ที่ตู้รถไฟชั้นสาม (ชั้นทั่วไปที่ไม่มีความสะดวกสบายและราคาถูก) โดยพนักงานตรวจตั๋วและผู้โดยสารชาวอังกฤษที่อ้างว่าตู้รถไฟชั้นหนึ่งสร้างขึ้นสำหรับผู้โดยสารผิวขาวเท่านั้น

นั่นทำให้คานธีตระหนักได้ว่า ไม่เฉพาะชาวอินเดียที่ถูกข่มเหงจากคนอังกฤษ ยังรวมไปถึงชาวแอฟริกาที่ถูกกระทำไม่ต่างกับสัตว์ ในที่สุดคานธีคิดว่าเขาจะอยู่ต่อและต่อสู้กับความไม่ยุติธรรม ช่วงแรกของการต่อสู้ที่แอฟริกา คานธีจัดประชุมอพยพชาวอินเดีย นี่คือจุดเริ่มต้นของการต่อสู้เพื่อสิทธิชาวอินเดียในแอฟริกา (ท้ายที่สุดกลายเป็นการต่อสู้เพื่อสิทธิของชาวผิวสีทุกคน) เพื่อต่อต้านกฎหมายที่อังกฤษร่างขึ้นเพื่อใช้กดขี่ทั้งชาวอินเดียและชาวแอฟริกา ทั้งเขียนบทความ ออกไปพูดชักชวนคนอินเดียให้ประท้วง ในช่วง 7 ปีในแอฟริกาคานธีถูกจับ ถูกเฆี่ยนตี แต่ในทุกครั้ง เขากลับเดินเข้าคุกด้วยความสงบ และยิ้มรับด้วยความเต็มใจ

คานธี จึงตั้งชื่อขบวนการต่อสู้นี้ว่า สัตยาเคราะห์ (สัตยาคฤห Satyagraha) ซึ่งเป็นคำสมาสจากคำในภาษาสันสกฤตคำว่า สัตยา ที่แปลว่า ความจริง (ที่นำมาสู่ความรัก) และคำว่า อะเคราะห์ ที่แปลว่า ความเด็ดเดี่ยว (ที่นำมาสู่พลัง) รวมกันเป็น “ความจริงและความรักที่ผนึกเข้าเป็นพลังอันแข็งเกรง” นำมาอธิบายแนวคิดของการต่อสู้เพื่อความถูกต้องและนำมาประยุกต์ให้เข้ากับสถานการณ์ที่ปฏิบัติได้จริง

นั่นจึงเป็นที่มาของแนวคิดของคานธีที่นำมาใช้เรียกร้องเอกราชของอินเดียในเวลาต่อมา และเป็นแบบอย่างของการเรียกร้องแนวอหิงสา (ความไม่เบียดเบียน การเว้นจากการทำร้าย) ภายใต้คำว่า “สัตยาเคราะห์” ของชายชื่อ มหาตมะ คานธี

‘ผู้แทนการค้าฯ’ ชวน ‘อาเลีย บาตต์’ ถ่ายหนังในไทยเพิ่ม หวังโชว์ ‘วัฒนธรรม-อาหาร-สถานที่เที่ยว’ สู่สายตาชาวโลก

(29 ม.ค. 67) นางนลินี ทวีสิน ผู้แทนการค้าไทย กล่าวถึงการได้พบกับ Alia Bhatt (อาเลีย บาตต์) นักแสดงชาวอินเดีย ผู้รับบท ‘คังคุไบ’ จากภาพยนตร์ฮิตเรื่อง Gangubai Kathaiwadi (หญิงแกร่งแห่งมุมไบ) โดยตนได้เชิญชวนให้คุณอาเลีย บาตต์ มาถ่ายภาพยนตร์ในไทยเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากการมีนางเอกดังระดับโลกมาถ่ายทำภาพยนตร์ในไทยนั้นจะเป็นการเสริมสร้าง Soft Power ให้แก่ประเทศไทย โดยทุกอย่างที่คุณอาเลียทำ อาหารที่รับประทาน สถานที่ที่ไปจะเป็นกระแสและจะได้รับความนิยมจากฐานผู้สนับสนุนจากทั้งในอินเดียและประเทศอื่น ๆ ในชั่วข้ามคืน 

ซึ่งคุณอาเลีย บาตต์ นิยมเดินทางมาไทย โดยก่อนการหารือนั้นก็เพิ่งเดินทางกลับจากจังหวัดภูเก็ต นอกจากนี้ ยังชื่นชอบอาหารไทยเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นส้มตำ ผัดไทย และที่สำคัญคือน้ำมะพร้าวซึ่งเป็นสิ่งแรกที่ต้องทานเมื่อเดินทางถึงไทย

นางนลินี เปิดเผยเพิ่มเติมว่าตนเองยังได้มีโอกาสหารือและชักชวนให้คุณ Sajid Nadiadwala เจ้าของบริษัทภาพยนตร์ชั้นนำของอินเดีย Nadiadwala Grandson Entertainment ซึ่งผลิตภาพยนตร์ไปแล้วกว่า 200 เรื่อง และมีภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง เช่น Kick หรือ Highway และยังเป็นประธานสภาผู้ผลิตภาพยนตร์และโทรทัศน์อินเดีย 11 สมัย โดยมีบริษัทผู้ผลิตในเครือราว 400 บริษัท สนับสนุนการถ่ายทำภาพยนตร์ Bollywood ในไทยเพิ่มเติม โดยชูจุดเด่นด้าน Soft Power ของไทยทั้งในแง่ของผู้คน วัฒนธรรม อาหาร และสถานที่ท่องเที่ยว

นางนลินี  ระบุว่า คุณ Sajid ยืนยันว่าผู้ผลิตภาพยนตร์อินเดียนิยมที่จะใช้ไทยเป็นสถานที่ถ่ายทำ รวมถึงชื่นชมความสามารถด้านการแสดงของนักแสดงไทย โดยเฉพาะบทการต่อสู้และศิลปะแม่ไม้มวยไทย นอกจากนี้ ตนเองยังได้หารือถึงแนวการสนับสนุนการถ่ายทำภาพยนตร์ของทางประเทศอื่น ๆ เช่น สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย หรือสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ทั้งในรูปแบบการคืนเงินและการสนับสนุนด้านโลจิสติกส์ต่าง ๆ เพื่อนำไปปรับปรุงแนวทางการสนับสนุนและดึงดูดการถ่ายทำภาพยนตร์ของต่างชาติในไทยต่อไป

“การถ่ายทำภาพยนตร์ในประเทศไทยจะเป็นโอกาสสำคัญในการส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของไทยไปสู่สังคมโลก รวมทั้งยังจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ ดึงเงินเข้าประเทศ รวมถึงก่อให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่อีกด้วย” นางนลินีฯ กล่าวทิ้งท้าย

‘ลิซ่า’ เปิดช็อตประวัติศาสตร์ กระทบไหล่ ‘รีฮันนา’ ศิลปินในดวงใจ

(29 ม.ค. 67) เรียกได้ว่าเป็นซีนที่แฟนคลับรอคอยมานานระหว่าง ‘ลิซ่า ลลิษา มโนบาล’ หรือ ‘ลิซ่า BlackPink’ กับนักร้องตัวแม่อย่าง ‘รีฮันนา’ ที่ล่าสุดทางฝั่งของไอดอลสาวชาวไทย ได้ขอโพสต์ภาพลงในอินสตาแกรม เมื่อได้ประกบศิลปินในดวงใจที่เคยยกให้เป็นแรงบันดาลใจด้านดนตรีของตนเอง

โดยในงาน 2024 Gala Des Pièces Jaunes ที่ได้จัดขึ้นที่ Accor Arena ในกรุงปารีส เมื่อวันที่ 27 ม.ค. ที่ผ่านมา โดยมีศิลปินเกาหลีทั้ง ลิซ่า และ Stray Kids ขึ้นแสดงด้วย รวมถึงศิลปินชื่อดังอีกมากมายทั้ง Maroon5, ฟาร์เรลล์ วิลเลียมส์, เจ บัลวิน, A$AP Rocky ฯลฯ

แต่หนึ่งในผู้ชมการแสดงที่เรียกเสียงกรี๊ดได้ดังสนั่นฮอลล์ตกยกให้ รีฮันนา นักร้องสาวที่ตอนนี้ผันตัวไปเป็นแม่ค้า ขายเครื่องสำอางจนขึ้นแท่นเศรษฐินี เพราะแฟนคลับรู้ดีว่า รีฮันนา คือศิลปินที่ ลิซ่า ชื่นชมและให้ความเคารพเป็นอย่างมาก

งานนี้หลังจากเฝ้ารอภาพถ่ายซีนประกบคู่กันของทั้ง รีฮันนา และ ลิซ่า ก็ยังไม่มีทีท่าจะปล่อยออกมาแต่อย่างใด จนกระทั่งไอดอลสาวขอจัดเอง โพสต์ภาพคู่ยืนใกล้ชิด ลงในอินสตาแกรม ซึ่งภาพดังกล่าวก็กลายเป็นไวรัลในโลกโซเชียลทันที พร้อมกับแซวว่า “2 แม่ค้าผู้ยิ่งใหญ่ได้ประกบกันแล้ว“

โดย ลิซ่า เองนับเป็นอินฟลูเอนเซอร์ที่ไม่ว่าจะหยิบจับหรือใส่เสื้อผ้าเครื่องประดับชิ้นไหน ของเหล่านั้นจะขายหมดเกลี้ยงทันที ส่วนทางด้าน รีฮันนา ที่เปิดแบรนด์เครื่องสำอาง Fenty Beauty ก็ขายดีและเป็นที่พูดถึงไปทั่วโลก

อย่างไรก็ตามคาดว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทั้งคู่โคจรมาเจอกัน เพราะก่อนหน้านี้มีรายงานว่า ลิซ่า เคยได้รับเชิญให้ไปร่วมงานวันเกิดของอเมริกันแร๊ปเปอร์ผู้ยิ่งใหญ่อย่าง เจย์-ซี เมื่อเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งในงานดังกล่าว รีฮันนา ก็ไปร่วมงานด้วยเช่นกัน

29 มกราคม พ.ศ. 2546 เกิดจลาจลเผา ‘สถานทูตไทย’ ในกรุงพนมเปญ ผลพวงจากการยุยงปลุกปั่นให้เกลียดชังไทย

วันนี้เมื่อ 21 ปีก่อน เกิดเหตุจลาจลเผาสถานทูตไทย ในกรุงพนมเปญของกัมพูชา หลังหนังสือพิมพ์ ‘รัศมี อังกอร์’ (Rasmei Angkor) ตีพิมพ์บทความปลุกปั่นให้คนคลั่งเกลียดชังไทย

เมื่อวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2546 เกิดเหตุจลาจลในกรุงพนมเปญ ของกัมพูชา ที่ชาวไทยยังจำได้ไม่ลืม โดยจุดเริ่มต้นของเรื่องมาจากข่าวแปลกๆ ออกมาว่า เขมรจะทวงคืนปราสาทตาเมือนธมและสต๊กก๊กธม ในจังหวัดสระแก้ว ซึ่งกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานของไทยมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2478 และบูรณะมาตลอด

กล่าวกันว่าเป็นการปล่อยข่าวจากพรรคฝ่ายค้านของนายสม รังสี ซึ่งต้องการสร้างกระแสชาตินิยมเป็นคะแนนให้พรรคสำหรับการเลือกตั้งใหญ่ในเดือนกรกฎาคมนั้น ข่าวนี้ทำคะแนนให้พรรคที่เป็นเจ้าของความคิดพอสมควร พรรคการเมืองคู่แข่งจึงต้องหาทางสร้างกระแสทำคะแนนบ้าง

ต่อมาในวันที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2456 ก็มีข่าวในหนังสือพิมพ์ ‘รัศมีอังกอร์’ ลงข่าวว่าดาราสาวไทย ‘กบ สุวนันท์ คงยิ่ง’ ให้สัมภาษณ์ในทีวีช่องหนึ่ง ตอบผู้สัมภาษณ์ที่ถามว่าเธอเกลียดอะไรมากที่สุดในโลก กบ สุวนันท์ บอกว่า เกลียดคนเขมรเหมือนเกลียดหมา เพราะชาวเขมรขโมยนครวัดไปจากไทย เมื่อถามว่าเธอจะเดินทางไปกัมพูชาหรือเล่นละครที่กัมพูชาเป็นผู้สร้างหรือไม่ ดาราสาวไทยก็บอกว่าจะเล่นก็ต่อเมื่อเขมรยอมคืนนครวัดให้แก่ไทย

ทั้งนี้ หนังสือพิมพ์รัศมีอังกอร์ เป็นหนังสือพิมพ์เล็กๆ มีคนอ่านไม่เท่าไหร่ ข่าวนี้เลยจุดไม่ติด ต่อมาในวันที่ 26 มกราคม หนังสือพิมพ์ ‘เกาะสันติภาพ เดลี่’ ซึ่งเป็นหนังสือขายดีของเขมร ก็เลยต้องถ่ายทอดจากรัศมีอังกอร์ ไปกระพือต่อ ทีนี้เลยได้ผล อีกทั้ง ยังมีหนังสือพิมพ์กัมพูชารับลูกเสนอเป็นข่าวใหญ่ต่อมาว่า นักศึกษา 3 มหาวิทยาลัยในกรุงพนมเปญ รวมทั้งมหาวิทยาลัยแห่งชาติ ได้ออกแถลงการณ์ประณามดาราสาวไทย รับกับการเสนอข่าวกุของหนังสือพิมพ์ โดยไม่ได้วินิจฉัยความเป็นไปได้ของข่าว

เป็นที่รู้กันว่า กบ สุวนันท์ เป็นดาราสาวไทยที่ได้รับความนิยมจากคนเขมรอย่างคลั่งไคล้ และระดับการศึกษาของเธอก็ขั้นปริญญา คงไม่ปัญญาอ่อนไปด่าคนเขมรที่นิยมในตัวเธออย่างท่วมท้นแบบนั้น ตรงกันข้ามเธอจะต้องรักคนเขมรอย่างมากด้วยที่นิยมในตัวเธอ สนับสนุนความเป็นดาราของเธอ ซึ่ง กบ สุวนันท์ ได้แถลงทั้งน้ำตาว่า เธอไม่เคยพูดอะไรเกี่ยวกับคนเขมรแบบนั้นเลย ทั้งยังอยากไปชมนครวัดสักครั้งด้วย ถ้าหากเธอพูดก็น่าจะบอกให้ชัดเจนว่าเธอพูดที่ไหน เมื่อไหร่ จะได้เอาเทปมาพิสูจน์กัน

เลวร้ายไปกว่านั้นก็คือ ในวันที่ 27 มกราคม สมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ได้ไปปราศรัยหาเสียงที่จังหวัดกัมปงจาม บ้านเกิดของนายสม รังสี กล่าวแสดงความไม่พอใจในคำให้สัมภาษณ์ของดาราสาวไทย และว่าเธอไม่มีค่าอะไรมากไปกว่าต้นหญ้าที่ขึ้นรอบนครวัด พร้อมทั้งเรียกร้องให้คนกัมพูชามีความพอใจในวัฒนธรรมของตน โดยระบุว่าชาวบ้านหลายคนไม่ยอมประดับพระบรมฉายาลักษณ์ของพระมหากษัตริย์และพระราชินีกัมพูชา หรือแม้แต่ภาพพ่อแม่ของตน แต่กลับนำรูปของสุวนันท์ คงยิ่งมาติดแทน ทั้งยังประกาศว่าได้ออกคำสั่งให้งดฉายละครโทรทัศน์ของไทยเรื่อง ‘ลูกไม้หล่นไกลต้น’ ที่มี กบ สุวนันท์แสดงไปแล้ว

และในวันที่ 29 มกราคม นายเหมา อาวุธ ประธานสมาคมโทรทัศน์กัมพูชา ได้แถลงกับผู้สื่อข่าวว่า ในวันที่ผ่านมาคณะของผู้บริหารสถานีโทรทัศน์กัมพูชามีมติเป็นเอกฉันท์ ให้ทุกสถานีหยุดแพร่ภาพออกอากาศรายการโทรทัศน์ของไทยทั้งหมดไว้ก่อน จากนั้นในเช้าวันที่ 29 มกราคม นั้น มีนักศึกษาประชาชนกว่า 500 คน ไปชุมนุมกันที่หน้าสถานทูตไทยในกรุงพนมเปญ ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับวุฒิสภา และห่างจากกระทรวงมหาดไทยไม่ถึง 100 เมตร โดยมีผู้ชุมนุมซึ่งเชื่อกันว่าเป็นม็อบจัดตั้ง ได้ชูป้ายด่ากบ สุวนันท์ด้วยถ้อยคำหยาบคาย ต่อมาก็ได้มีการนำธงชาติไทยมาเหยียบย่ำและจุดไฟเผา

นายชัชเวทย์ ชาติสุวรรณ เอกอัครราชทูตไทย เห็นว่าเหตุการณ์ไม่น่าไว้วางใจ มีตำรวจยืนดูอยู่ไม่กี่คน จึงโทรศัพท์ไปหาพลเอก เตีย บันห์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ขอกำลังสารวัตรทหารมาคุ้มครอง แต่ก็ได้รับคำปฏิเสธ

และช่วงบ่ายสถานการณ์รุนแรงยิ่งขึ้น มีการงัดป้ายสถานทูตไทยไปเผา ซึ่งสร้างความหวาดกลัวให้เจ้าหน้าที่ไทยที่ถูกกักตัวอยู่ในสถานทูต จึงได้โทรศัพท์ไปถึงพลเอก เตีย บันห์อีกถึง 3 ครั้ง และนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ยังได้โทรศัพท์สายตรงถึงสมเด็จฮุนเซนขอให้ช่วยดูแลคนไทย ซึ่งก็ได้รับคำรับรอง แต่ประมาณ 17.00 น. ผู้ประท้วงหลายร้อยคนลุกฮือเข้าไปในสถานทูตและทำลายข้าวของ ท่านทูตได้เรียกเจ้าหน้าที่สถานทูตให้หลบไปอยู่ในบ้านพักด้านหลัง ผู้ชุมนุมก็ตามไปอีก เจ้าหน้าที่สถานทูต 14 คนต่างปีนรั้วหนีตายลงในแม่น้ำ บางคนก็ได้รับบาดเจ็บ โชคดีที่มีคนไทยเอาเรือมารับไปพักที่โรงแรมรอยัลพนมเปญ ขณะหนีก็เห็นไฟลุกขึ้นในสถานทูตแล้ว ต่อมาผู้ช่วยทูตทหารได้มารับท่านทูตไปพักที่บ้านพัก เจ้าหน้าที่บางส่วนยังพักที่โรงแรมต่อไป แต่ต่อมาทั้งโรงแรมรอยัลพนมเปญและบ้านพักผู้ช่วยทูตทหารก็ไม่รอด ถูกเผาวอดทั้ง 2 แห่ง ต้องหนีตายกันต่อไป

หลังจากเผาสถานทูตไทยแล้ว ม็อบมอเตอร์ไซค์ก็ตะเวนเผาโรงแรมและบริษัทห้างร้านของคนไทย บรรดาคนไทยต้องหนีตายกันหัวซุกหัวซุน หลายคนถูกปล้นรูดทรัพย์เช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวที่ถูกอาศัยโอกาสไปด้วย พวกโจรได้สมทบเข้าปล้นและงัดแงะทรัพย์สินของคนไทย โดยไม่มีเจ้าหน้าที่บ้านเมืองมาดูแล

จนในเช้าตรู่ของวันที่ 30 มกราคมทันทีที่ฟ้าสาง เครื่องบิน ซี 130 ของกองทัพอากาศไทย 5 เครื่องก็ออกจากสนามบินดอนเมือง มุ่งสู่สนามบินโปเซนตง ที่กรุงพนมเปญ พร้อมด้วยหน่วยรบพิเศษของกรมอากาศโยธิน 30 นาย ยานยนต์หุ้มเกราะ 2 คัน รถสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก 4 คัน เพื่อไปคุ้มกันความปลอดภัยของคนไทยหลายร้อยคนที่หนีตายมารออยู่ที่สนามบิน และรับพวกเขากลับบ้าน ทั้งยังมีเฮลิคอปเตอร์ติดปืนกล 2 ลำ เฮลิคอปเตอร์แบบซีนุค 2 ลำ เครื่องบินไอพ่น เอฟ 16 อีก 8 เครื่อง บินลาดตระเวนอยู่ชายแดน พร้อมที่จะเข้าไปช่วยได้ภายใน 5 นาที

ส่วนทางทะเล ร.ล.จักรีนฤเบศร ซึ่งเป็นเรือบรรทุกเครื่องบิน ร.ล.พระพุทธเลิศหล้านภาลัย ร.ล.สุโขทัย ร.ล.ศรีราชา ไปลอยลำในน่านน้ำสากลใกล้เกาะกง เมื่อประสานไปทางกัมพูชาก็ได้รับอนุญาตให้เข้าไปรับคนไทยที่ต้องการกลับประเทศได้ แต่ก็ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงทางด้านนี้

หลังจากเหตุการณ์นี้ รัฐบาลกัมพูชาได้ออกมาแถลงขอโทษต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และประกาศจ่ายเงินชดเชยความเสียหายต่อสถานทูตไทยจำนวน 6 ล้านเหรียญสหรัฐ และจะชดเชยความเสียหายให้กับธุรกิจของไทย และมีการจับกุมผู้ต้องหาที่เป็นผู้ก่อจลาจลราว 150 คน รวมถึงบรรณาธิการวิทยุข่าวและบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์รัศมี อังกอร์ก็ถูกจับกุมเช่นกัน แม้ต่อมาจะถูกให้ประกันตัวและไม่ได้ถูกดำเนินคดีใดๆ ก็ตาม และผู้ก่อจลาจลหลายคนถูกสั่งจำคุกราว 6 เดือน ก็ได้รับการปล่อยตัวด้วยเช่นกัน

28 มกราคม พ.ศ. 2551 ‘สมัคร สุนทรเวช’ ได้คะแนนเสียงจาก สส. ให้ดำรงตำแหน่ง ‘นายกฯ คนที่ 25’ ของไทย

‘สมัคร สุนทรเวช’ ผู้คร่ำหวอดในแวดวงการเมืองไทยมาอย่างยาวนาน เข้ามาเป็นหัวหน้าพรรคพลังประชาชน พรรคที่พัฒนามาจากพรรคไทยรักไทยในอดีตที่ถูกยุบพรรคไปเมื่อ พ.ศ. 2549 โดยพรรคพลังประชาชนชนะการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 และทำให้นายสมัครได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดคือนายกรัฐมนตรีคนแรกหลังจากเหตุการณ์การรัฐประหาร พ.ศ. 2549 ทั้งนี้ การประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรีมีขึ้นในวันที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2551 ครั้งนั้นมีเรื่องสำคัญที่ฝ่ายพรรคพลังประชาชนกับฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์หยิบขึ้นมาพูดคุยกัน 2 ประเด็น คือ 1.) การเสนอให้ผู้ที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีต้องอภิปรายแสดงวิสัยทัศน์ และ 2.) การเสนอชื่อคนที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี

สืบเนื่องจากผลจากการเลือกตั้ง แม้ว่าพรรคพลังประชาชนจะได้คะแนนเสียงเกือบเกินกึ่งหนึ่งของจำนวน สส. ในสภาผู้แทนราษฎร แต่ฝ่ายพรรคพลังประชาชนกับฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์มีคะแนนเสียงไม่ห่างกันมาก ที่สำคัญคือภายใต้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 สส.ของแต่ละพรรคไม่จำเป็นต้องทำตามญัตติพรรค สส.สามารถเลือกนายกรัฐมนตรีได้อิสระตามความคิดของแต่ละคน ฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์จึงเสนอชื่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มาแข่งกับ นายสมัคร สุนทรเวช จากพรรคพลังประชาชน

ซึ่งในการเลือกนายกรัฐมนตรี ฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ต้องการให้มีการอภิปรายแสดงวิสัยทัศน์ มีการลุกขึ้นชี้แจงของบุคคลกลุ่มต่าง ๆ ส่วนฝ่ายพรรคพลังประชาชนไม่ต้องการให้มีการอภิปรายแสดงวิสัยทัศน์ จึงเสียเวลาประชุมหาข้อสรุปกันในเรื่องนี้

ทั้ง 2 ฝ่ายต่างชิงไหวพริบกันในที่ประชุม โดยหลังจากนายสุรพงษ์ สืบวงศ์ลี สส.พรรคพลังประชาชน (แบบสัดส่วน) เสนอชื่อนายสมัครเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วจึงมีการประชุมเรื่องการแสดงวิสัยทัศน์ โดยนายนิพนธ์ วิสิษฐยุทธศาสตร์ สส.พรรคประชาธิปัตย์ (แบบสัดส่วน) มีความเห็นว่า “เพราะนายกเป็นผู้นำในการบริหารประเทศ วิสัยทัศน์การบริหารประเทศจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะการจัดสรรบุคคลให้มาดำรงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรี ผมคิดว่าจะต้องเลือกคนที่มีความรู้ความสามารถและที่สำคัญคือความซื่อสัตย์”

ขณะที่นายสุขุมพงศ์ โง่นคํา สส.พรรคพลังประชาชน (แบบสัดส่วน) จากกาฬสินธุ์ เห็นแย้งว่า “ในการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ผลก็ออกมาแล้วว่าพรรคพลังประชาชนชนะได้เสียงข้างมาก 233 เสียง นั้นก็แสดงถึงเจตนาของประชาชนแล้วที่เปล่งเสียงออกมาว่าจะเลือกใครเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นเจตนารมณ์ของประชาชน เพราะระหว่างที่มีการรณรงค์หาเสียงนั้นมีการแสดงวิสัยทัศน์กัน 45 วัน ทั้งกลางวันและทั้งกลางคืน ผมเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้รับทราบรู้ดีกันมาโดยตลอดถึงคุณสมบัติถึงวิสัยทัศน์ถึงนโยบายในการที่จะบริหารราชการแผ่นดิน”

เมื่ออภิปรายกันเป็นเวลาหลายชั่วโมงแล้วจึงมีมติให้เลิกประชุมเรื่องอภิปรายการแสดงวิสัยทัศน์ของนายกรัฐมนตรีไว้ก่อน แล้วให้มาเลือกนายกรัฐมนตรีก่อน เพราะเป้าหมายการประชุมในวันนี้คือการเลือกนายกรัฐมนตรี มิใช่การแสดงวิสัยทัศน์ของผู้ที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรี และผลปรากฏว่านายสมัครชนะนายอภิสิทธิ์ ด้วยคะแนนเสียง 310 ต่อ 163, งดออกเสียง 3, ไม่อยู่ในที่ประชุม 1 ดังนั้นนายสมัครจึงได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 25 ของประเทศไทย

‘ลิซ่า’ คว้าอันดับ 2 ‘100 Global Fashion Icons of 2023’ ผู้ทรงอิทธิพลทางแฟชั่นระดับโลก ทีมดาราไทยติดลิสต์เพียบ!!

เปิดรายชื่อซูเปอร์สตาร์ไทยติดในลิสต์ ‘100 Global Fashion Icons of 2023’ โดย ‘ลิซ่า’ คว้าอันดับที่ 2 ส่วนทางด้านหนุ่ม ‘ไบร์ท’ คว้าอันดับที่ 11 โดยเป็นการเสนอชื่อเข้าชิง และมีการโหวตจากทั่วโลก ให้กับเหล่าไอคอนคนดังที่โดดเด่นมีสไตล์ อิทธิพลต่อวงการแฟชั่น

ซูเปอร์สตาร์เมืองไทยไม่ธรรมดาจริงๆ ทำเอาวงการแฟชั่นทั่วโลกต่างให้ความสนใจกันมากมาย เพราะว่าล่าสุด ‘The Global Choice’ ได้มีการจัดอันดับของไอดอล และซูเปอร์สตาร์ที่มีผลต่อวงการแฟชั่นระดับโลกทั้งชายและหญิง รวมกัน 100 คน หรือ ‘100 Global Fashion Icons of 2023’ ที่มีสไตล์โดดเด่น มีอิทธิพลทางแฟชั่นระดับสากล โดยในรายชื่อดังกล่าว มีซูเปอร์สตาร์ ดารา นักแสดง และไอดอลเมืองไทยติดลิสต์ ‘100 Global Fashion Icons of 2023’ หลายคน มาดูกันว่าในลิสต์รายชื่อนี้จะมีเหล่าคนดังบ้านเราคนไหนบ้าง?

เริ่มความปังกับอันดับที่ 2 ‘ลิซ่า Blackpink’ ครองตำแหน่ง ‘Global Brand Ambassador’ ถึง 2 แบรนด์ดังสุดลักซ์ชัวรี่อย่าง ‘BVLGARI’ และ ‘CELINE’

อันดับที่ 11 ‘ไบร์ท วชิรวิชญ์’ ด้วยความฮอตและการันตีด้วยคุณภาพจากหลายๆ ด้าน ทำให้ ‘ไบร์ท’ ถูกเลือกเป็น Brand Ambassador คนแรกแห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกตอนใต้ ของ Burberry รวมทั้งปี 2023 ที่ผ่านมา ‘ไบร์ท’ ได้เดินสายร่วมงานและรับรางวัล ทั้งในไทยและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง

อันดับที่ 15 ‘วิน เมธวิน’ ได้รับการแต่งตั้งเป็น ‘Brand Ambassador’ ของแบรนด์ ‘PRADA’ แถมยังเป็นพรีเซนเตอร์ดังๆ จากหลายสินค้า จนนับไม่หวาดไม่ไหวเลยทีเดียว

อันดับที่ 25 ‘อาโป ณัฐวิญญ์’ มีตำแหน่ง ‘House Ambassadors’ ของแบรนด์ ‘Dior’ และ ‘Friend of Piaget’ จากแบรนด์นาฬิกาและเครื่องประดับสัญชาติสวิส

อันดับที่ 31 ‘ใหม่ ดาวิกา’ รับตำแหน่งแบรนด์แอมบาสเดอร์ของ ‘Gucci’ ฝั่งแฟชั่น และ ‘Gucci Beauty’ คนแรกของประเทศไทย พ่วงตำแหน่ง ‘FRIEND of BVLGARI’ อีกด้วย

อันดับที่ 38 ‘กลัฟ คณาวุฒิ’ นักแสดงชาวไทย มีตำแหน่ง ‘Friend of Brand Onitsuka Tiger’ และ ‘Friend of Gucci’

27 มกราคม ของทุกปี วันรำลึกเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์สากล ‘กองทัพแดง’ ปลดปล่อยเชลยศึกจากค่ายนาซี

เหตุการณ์ฮอโลคอสต์ ถือเป็นความทรงจำที่เลวร้ายที่สุดของชาวยุโรป นับเป็นโศกนาฏกรรมครั้งประวัติศาสตร์ที่เกิดจากความเกลียดชังในใจมนุษย์จนนำไปสู่การทำลายล้าง และเป็นบทเรียนครั้งสำคัญที่กระตุ้นให้เรารู้จักยอมรับในความแตกต่างของผู้อื่น

คำว่า ‘ฮอโลคอสต์’ ในความหมายของนักประวัติศาสตร์มักใช้อ้างถึงเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวในยุโรปราว 6 ล้านคน โดยพรรคนาซีเยอรมันช่วงปี 1941-1945 ซึ่งเหตุการณ์นี้นับเป็นหนึ่งในเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่สุดของโลก เป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่โหดร้ายที่สุด มีการวางแผนสังหารหมู่อย่างเป็นระบบโดยการสนับสนุนของรัฐบาล และมีจำนวนผู้เสียชีวิตมากที่สุดในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

ทั้งนี้ วันที่ 27 มกราคมของทุกปี จึงถูกกำหนดให้เป็นวันรำลึกเหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์สากล หรือ International Holocaust Remembrance Day เป็นวันที่องค์การสหประชาชาติกำหนดให้มีขึ้นเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ที่กองทัพแดงของสหภาพโซเวียตปลดปล่อยเชลยศึกนาซีในค่าย Auschwitz-Birkenau ค่ายกักกันและค่ายมรณะของนาซีที่ใหญ่ที่สุดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อปี ค.ศ. 1945

‘แพรรี่’ เตือนสติ!! ไม่มีพระปางไหนช่วย ‘ปลดหนี้’ ได้ ขนาดพระยังบิณฑบาตหาเลี้ยงชีพ ชี้!! ควรไปทำงาน

(26 ม.ค.67) กลายเป็นไวรัลในข้ามคืน เมื่ออินฟลูเอนเซอร์ชื่อดังอย่าง ‘แพรรี่ ไพรวัลย์’ หรือ ‘ไพรวัลย์ วรรณบุตร’ ได้ออกมาโพสต์คลิป ฟาดกระแส ‘พระพุทธรูปปางปลดหนี้’ ในวัดแห่งหนึ่งที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ที่ทำให้มีประชาชน กำลังศรัทธาแห่ไปกราบไหว้เพื่อความเป็นสิริมงคล และหวังให้ช่วยปลดหนี้ในยุคเศรษฐกิจไม่ดีกันเป็นจำนวนมาก

โดยระบุว่า “ล่าสุดเห็นพระพุทธรูปปางปลดหนี้ของอาจารย์ท่านหนึ่ง คนแห่ไปไหว้เยอะมาก ไม่ได้ไหว้เพราะเชื่อว่าเป็นพระพุทธเจ้านะ แต่ไหว้เพราะชื่อรุ่นที่เรียก

อยากหมดหนี้ก็ไปทำงานค่ะ ทำงานเสร็จเก็บเงินใช้หนี้เขาก็หมด ไม่ใช่ไหว้พระ ไม่มีพระรูปไหนช่วยได้ พระไม่มีเงิน พระพุทธเจ้าตอนพระองค์บวชได้ทิ้งสมบัติไปหมด เหมือนท่านบ้วนน้ำลายทิ้ง

ขนาดพระราหุลไปขอยังไม่ได้โภคสมบัติเลย แต่พระองค์จับบวชเณรให้อริยทรัพย์ที่มั่นคง ติดตัวเป็นพระอรหันต์ ให้หมดกิเลส ถ้าให้โภคทรัพย์ ปีบเดียวหมด ใช้ไม่ดีเดี๋ยวก็หมด ขนาดลูกในไส้ท่านยังไม่ให้เลย แล้วเราเป็นใครจะไปขอ

หลวงพ่อรุ่นปลดหนี้ คิดว่าท่านจะให้เหรอ ถ้าท่านพูดได้ท่านคงบอกให้ไปทำงาน ตั้งใจทำงาน เก็บเงิน แบ่งส่วนหนึ่งไว้กินไว้ใช้

ส่วนหนึ่งทยอยจ่ายหนี้ ใช้หนี้เก่าไม่สร้างหนี้ใหม่ ยังไงก็หมด ไม่ใช่หนี้เก่ายังไม่ใช้ หนี้ใหม่ก่อเรื่อยๆ ทุกวัน 10 พระพุทธเจ้าก็ช่วยคุณไม่ได้ค่ะ

จะมาปางปลดหนี้ปลดสินอะไรล่ะ คนเราถ้าเป็นแบบนี้ทุกคนก็ไม่ต้องสนใจแล้ว วันๆ เอาแต่ก่อหนี้สร้างหนี้ จะแก้หนี้ก็ไปไหว้พระ มันก็ขัดกับหลักเหตุปัจจัย ไม่ถูกตามหลักอริยสัจ ทุกข์ใดใครก่อคนนั้นก็ต้องแก้ ใครจะไปช่วยได้ หนี้คุณเป็นคนยืมก็ต้องใช้ ใครจะไปใช้แทน

พระพุทธเจ้าไม่มีสมบัติแล้ว จะเอาสมบัติไหนมาใช้หนี้ให้ ไม่มีคำสอนในศาสนาไหนที่พระมาใช้หนี้ให้ฆราวาส อย่าไปไหว้กัน ไม่มีพระพุทธรูปปางไหนปลดหนี้ให้ได้ ไม่อยากเป็นทุกข์ก็ก่อหนี้ให้น้อย ก่อหนี้เฉพาะเรื่องที่จำเป็นที่สุด ก่อหนี้อันไหนใช้อันนั้นก่อน อย่าก่อหนี้ไปเรื่อย

บางคนก่อหนี้เหมือนมี 10 มือ คนเดียวมีแค่ 2 มือ เดือนหนึ่งทำงานได้หลักหมื่น ก่อหนี้หลักแสนหลักล้าน เมื่อไหร่จะใช้หนี้หมด ก่อเดียวที่ควรจะก่อ คือ ก่อร่างสร้างตัว ไม่ใช่ก่อหนี้ก่อสิน

ก่อให้มันน้อยๆ จะได้ไม่ต้องลำบากพระ จะได้ไม่ต้องมีพระรุ่นปลดหนี้ แถมทำเหมือนรู้ยุคนี้คนเป็นหนี้เยอะ ก็เลยสร้างให้กราบไหว้กัน

ถ้าขอกำลังใจ ขอความเข้มแข็ง ขอสติปัญญาจากพระได้ค่ะ แต่กลับบ้านก็ต้องจัดการตัวเองทั้งนั้น ไม่มีพระองค์ไหนตามเรากลับบ้านมา พระประธานท่านก็อยู่ในโบสถ์ วิหาร วัด ท่านให้ได้อย่างมากธรรมะ แง่คิด ปฏิบัติตามธรรมะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ที่ยึดเหนี่ยว กลับมาบ้านก็ตัวเราแก้ไขจัดการเอง”

พร้อมกันนี้ แพรรี่ ยังได้ออกมาโพสต์ข้อความเพิ่มเติมในเฟซบุ๊กด้วยว่า…

“พระพุทธรูปมีอยู่แค่ปางเดียวเท่านั้นค่ะ นั่นก็คือปางปลดทุกข์ ไม่มีหรอกค่ะ ปางปลดหนี้ มีทุกข์อ่ะ พระท่านช่วยได้ เพราะท่านมีธรรมะให้เราเอาไว้สำหรับปลอบประโลมใจ
มีธรรมะแล้วจิตใจมันก็เข้มแข็งเด็ดเดี่ยว มันก็อยากจะสู้ อยากจะหันกลับมาอยู่ในทางที่เป็นสัมมาชีพ อยากจะทำงานเก็บเงิน ใช้หนี้ใช้สิน แล้วสุดท้ายมันก็จะหมดหนี้ค่ะ แล้วสุดท้ายมันก็จะปลดหนี้ได้ค่ะ

มีหนี้ต้องทำงานใช้หนี้เท่านั้นค่ะ จัดการหนี้เก่า ไม่ขยันสร้างหนี้ใหม่ มีวินัยในการอดออม ชีวิตดีขึ้นแน่นอนนะคะ

มีหนี้ แต่ไม่มีความรับผิดชอบ ต่อให้มีพระพุทธเจ้า 10 พระองค์ ท่านก็ช่วยใครไม่ได้หรอกค่ะ

ปล. ขนาดพระท่านยังต้องบิณฑบาตเลี้ยงชีพเลย”

งานนี้เมื่อแชร์ออกไปชาวเน็ตเข้ามาคอมเมนต์แสดงความคิดเห็นสนั่น ทั้งในมุมมองชื่นชมแพรรี่ ที่ออกมาพูดเตือนสติผู้คนแบบตรงไปตรงมา พร้อมสนับสนุนให้ยึดหลักไม่สร้างหนี้ ก็จะหมดหนี้ไปเอง ขณะที่บางส่วนก็ไม่เห็นด้วยกับประเด็นดังกล่าว

26 มกราคม พ.ศ. 2366 ครบรอบ 201 ปี การจากไปของ ‘เอดเวิร์ด เจนเนอร์’ ผู้คิดค้น ‘วัคซีนโรคฝีดาษ’ ชนิดแรกของโลก

ย้อนกลับไป 201 ปี ‘เอดเวิร์ด เจนเนอร์’ เผชิญกับการตกเลือดในสมอง ในวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2366 ทำให้ส่วนขวาของร่างกายเป็นอัมพาต ส่งผลให้เขาไม่ได้ฟื้นตัวและเสียชีวิตในวันถัดมาด้วยอาการสโตรกที่ชัดเจนครั้งที่สองในวันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2366 โดยมีอายุ 73 ปี ซึ่งศพของเขาได้รับการฝังที่ห้องสุสานครอบครัวที่โบสถ์นักบุญแมรี บาร์กลีย์

โดย เอดเวิร์ด เจนเนอร์ เป็นแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษที่เป็นผู้บุกเบิกแนวคิดวัคซีนและผลิตวัคซีนโรคฝีดาษ วัคซีนชนิดแรกของโลก ทั้งนี้ คำว่า ‘วัคซีน’ และ ‘การให้วัคซีน’ มาจากคำว่า Variolae vaccinae (ตุ่มหนองของวัว) ซึ่งเป็นคำที่เจนเนอร์ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อเรียก ’ฝีดาษวัว‘ ใน พ.ศ. 2341 โดยเขาใช้ศัพท์นี้ในหัวข้อ Inquiry into the Variolae vaccinae known as the Cow Pox เพื่อกล่าวถึงผลการป้องกันโรคฝีดาษจากฝีดาษวัว

ทั้งนี้ ในโลกตะวันตก เจนเนอร์ มักได้รับการกล่าวถึงเป็น ‘บิดาแห่งวิทยาภูมิคุ้มกัน’ และกล่าวกันว่าผลงานของเขาได้ช่วยเหลือ ’หลายชีวิตมากกว่าผู้ใด‘ ซึ่งในสมัยของเจนเนอร์ ประชากรโลกประมาณ 10% เสียชีวิตจากโรคนี้ โดยในเมืองและนครที่โรคแพร่กระจายได้ง่าย ตัวเลขพุ่งสูงถึง 20% ใน พ.ศ. 2364 เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นแพทย์ประจำสมเด็จพระเจ้าจอร์จที่ 4 และได้รับเลือกเป็นนายกเทศมนตรีบาร์กลีย์ เป็นสมาชิกราชสมาคม ในด้านสัตววิทยา และเป็นหนึ่งในนักวิชาการสมัยใหม่กลุ่มแรกที่กล่าวถึงภาวะกาฝากของนกคัคคูอีกด้วย

เปิดประวัติ ‘มายด์ ณภศศิ’ อดีตเน็ตไอดอลชื่อดัง สาวสวยสุดเก่ง คนที่ ‘สงกรานต์’ ยอมรับว่า “ใช่”

ชั่วโมงนี้คงไม่มีใครฮอตไปกว่า ‘มายด์ อุทัยทิพย์’ หรือ ‘มายด์ ณภศศิ สุรวรรณ’ อดีตเน็ตไอดอลชื่อดัง เจ้าของตำแหน่ง Miss Uthaitip Freshy Idol 2008

เพราะเมื่อช่วงต้นปี 2566 ที่ผ่านมา ชื่อของ ‘มายด์ ณภศศิ’ กลับมาได้รับความสนใจในวงการบันเทิงอีกครั้ง หลังมีข่าวถูกโยงเป็นหวานใจคนใหม่ของ ‘สงกรานต์ เตชะณรงค์’ ไฮโซหนุ่ม เจ้าของโบนันซ่า เขาใหญ่ โดยนักสืบโซเชียลจับสังเกตได้ว่าทั้ง 2 ลงรูปและวิดีโอในสถานที่คล้าย ๆ กัน แถบลงในช่วงเวลาใกล้ ๆ กัน โดย ‘มายด์ ณภศศิ’ ได้โพสต์วิดีโอเล่นกับลูกสิงโตลงในติ๊กต็อก ส่วนทาง ‘สงกรานต์’ ก็ได้โพสต์รูปลงเช่นกัน

นอกจากนี้แล้ว ‘มายด์ ณภศศิ’ ก็ยังเคยโพสต์วิดีโอในติ๊กต็อกระบุว่าตนไม่โสดแล้ว ส่วน ‘สงกรานต์’ ก็เคยตอบคำถามในรายการซุปตาร์พาตะลุย ที่ถามถึงสถานะหัวใจว่าโสดหรือไม่โสด ซึ่งหนุ่มสงกรานต์ก็ตอบมาว่า “ไม่โสดมาสักพักแล้ว” พร้อมยิ้มกว้าง 

และล่าสุด ‘สงกรานต์ เตชะณรงค์’ ได้มาร่วมงาน Soft Power Thailand's Next Weapon เวทีเสวนา Soft Power แบบไม่ซอฟต์ โดยไทยรัฐกรุ๊ป และได้ตอบคำถามนักข่าวที่ถามถึงเรื่องสถานะหัวใจด้วย

นักข่าว : กระแสข่าวที่ออกมาเรื่องความรักครั้งใหม่ ที่บอกว่าไม่โสดแล้ว หลายคนอยากรู้ว่าเป็นใคร?
สงกรานต์ : (หัวเราะ) เดี๋ยวไว้วันหลังชวนมาด้วยนะ (ยิ้ม)

นักข่าว : ใช่คนในข่าวมั้ย?
สงกรานต์ : ใช่ๆ (ยิ้ม)

นักข่าว : ไปเจอกันได้ยังไง?
สงกรานต์ : เพื่อน ๆ กัน เล่นกีฬาเหมือนกัน (เลยไปเป็นโปรกอล์ฟด้วยกัน?) ไม่ขนาดนั้น ไม่ได้เก่งขนาดนั้น เล่นได้พอ ๆ กันครับ (ยิ้ม)

นักข่าว : คุยกันมานานแค่ไหน?
สงกรานด์ : สักพักแล้วครับ (ยิ้ม) เขานิสัยดี อยู่ด้วยแล้วสบายใจ (ยิ้ม)

ก็ถือว่า คำตอบของ ‘หนุ่มสงกรานต์’ นั้นชัดเจน ตรงไปตรงมา และทำให้กองเชียร์ของทั้งคู่หัวใจฟูไปตาม ๆ กัน ก็ต้องมาตามดูกันต่อไปว่า ‘สาวมายด์’ จะมีรีแอ็กชันอย่างไร แต่เชื่อว่าในอนาคตจะได้เห็นโมเมนต์น่ารัก ๆ ของทั้งคู่มากกว่าเดิมแน่นอน

ไหน ๆ ก็มีข่าวให้ใจฟูแล้ว วันนี้ขอพาไปรู้จักประวัติ ‘มายด์ ณภศศิ’ อย่างลึกซึ้งกันอีกครั้ง รับรองเลยว่า สาวสวยคนที่ ‘ใช่’ คนนี้ ทั้งสวยและมากความสามารถสุด ๆ 

‘มายด์ ณภศศิ’ เกิดเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2534 ครอบครัวทำธุรกิจค้าขายไม้แปรรูป ภายใต้ชื่อ ‘บายพาสค้าไม้’ ที่จังหวัดชลบุรี

ภายหลังสอบได้ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา สายศิลป์คำนวณ (ต.อ.70) จึงย้ายมาอยู่ที่กรุงเทพมหานคร

‘มายด์’ เป็นเด็กที่ขยันทั้งเรียนและการทำกิจกรรมให้กับโรงเรียนมาอย่างเนื่อง ช่วงที่เรียนมัธยมปลาย โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ได้ทำกิจกรรมต่าง ๆ มากมาย เช่น เป็นนางนพมาศ ปี 2550 ถือป้ายโรงเรียนในกิจกรรมกีฬาสี เชียร์ลีดเดอร์ในกีฬาประเพณีโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาและโรงเรียนเตรียมทหาร ครั้งที่ 25 และ 26 นอกจากนี้ ยังอยู่ในโครงการความสามารถพิเศษทางภาษาไทย (Gifted ไทย) 

หลังจากจบมัธยมศึกษาจากโรงเรียนเตรียมอุดมฯ ‘มายด์’ ได้เข้าศึกษาระดับปริญญาตรี คณะนิเทศศาสตร์ เอกวารสารสนเทศ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และยังได้เป็นผู้นำเชียร์ คณะนิเทศศาสตร์ ในงานกีฬาเฟรชชี่ และจุฬาฯ คฑากร อีกด้วย

จบระดับปริญญาโท จากวิทยาลัยการแพทย์บูรณาการ (ANTI-AGING) มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ สาขาวิทยาการชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพ

และ ระดับปริญญาเอกจาก Lyceum of the Philippines University ประเทศฟิลิปปินส์ หลักสูตร : Doctorof Philosophy in Management (PhD in Management)

ส่วนผลงานในวงการบันเทิง ‘มายด์’ เป็นที่รู้จักจากการแสดงโฆษณาต่าง ๆ โดยเริ่มเข้าวงการจากการได้รับตำแหน่ง Miss Uthaitip Freshy Idol 2008 นอกจากนี้ ยังมีงานบันเทิงทั้งถ่ายแบบ เดินแบบ งานแสดง พิธีกร ดีเจ ฯลฯ เรียกว่ามายด์ เคยทำมาหมดแล้ว

ปัจจุบัน มายด์ เป็นนักธุรกิจเต็มตัว โดยเป็นเจ้าของธุรกิจ คลินิกกายภาพบำบัดชื่อ ‘Restart 24 Rehabilitation Center’ และยังเป็นเจ้าของแบรนด์ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร LYFEWELLNESS อีกด้วย

เรียกได้ว่า ทั้งเก่งทั้งขยัน และ ‘ดีกรี’ ไม่ธรรมดาเลย สำหรับสาวสวยหน้าหวาน ‘ดร.มายด์’ คนนี้ 

ห้ามพลาด!! ‘ไอศกรีมทศกัณฐ์-หนุมาน’ ของดี ณ สัทธา อุทยานไทย เชื่อมโยงลายกระเบื้องพระปรางค์วัดอรุณฯ ปลุกกระแสความเป็นไทย

(25 ม.ค. 67) กลายเป็นกระแสฮือฮาอีกครั้งของไอศกรีม 3D ที่เพิ่งกลายเป็นกระแสไวรัลอย่างรวดเร็ว ‘ไอติมปลาทู’ ซอฟต์พาวเวอร์ของ จ.สมุทรสงคราม ที่มีนักท่องเที่ยวแห่ชิมเพียบ ทำเอายอดผลิตไม่ทัน หรือจะเป็นต้นตำหรับที่มาแรง ไอศกรีมลายกระเบื้องพระปรางค์วัดอรุณฯ 2 รสชาติแห่งความเป็นไทย ที่ลงใส่ตู้ไอศกรีมครั้งใดต้องหมดเกลี้ยงตู้ในแต่ละวัน

ล่าสุดที่ ณ สัทธา อุทยานไทย อ.บางแพ จ.ราชบุรี ได้ผลิต ‘ไอศกรีมรามเกียรติ์ ทศกัณฐ์ และหนุมาน’ หน้าตาสุดน่ารัก 4 รสชาติ คือ รสน้ำมะพร้าวน้ำหอมอัญชัน รสน้ำมะพร้าวน้ำหอมใบเตย รสนมชมพู และรสชาไทย ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากไอศกรีมลายกระเบื้องพระปรางค์วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร ที่สื่อถึงความเป็นไทย ทำให้นักท่องเที่ยว โดยเฉพาะชาวเน็ต ต่างพากันไปอุดหนุน เรียกได้ว่าลงกี่รอบก็หมดทุกรอบ นอกจากจะได้ชิมรสชาติของไอศกรีมแล้ว ยังสนุกกับการได้ถ่ายภาพไอศกรีมกับมุมต่างๆ ของพระปรางค์วัดอรุณฯ ด้วย

ซึ่งภายใน ณ สัทธา อุทยานไทย เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อของ จ.ราชบุรี ที่นักรีวิวต่างพากันไปรีวิว จนมีนักท่องเที่ยวจากทั่วประเทศไทยเดินทางไปเที่ยวชมความงามของเทศกาลงานไฟร้อยล้านดวง และชมบรรยากาศความเป็นไทยๆ ที่มีการจำลองแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอย่าง ลานพระพุทธรูป 4 สมัย หรือจะเป็นบ้านทรงไทย หุ่นขี้ผึ้งของบุคคลสำคัญต่างๆ และพระเกจิอาจารย์ชื่อดังของเมืองไทย

คุณพลอยพรรณ ขัตติยากรจรูญ เจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด ณ สัทธา อุทยานไทย หนึ่งในเจ้าของไอเดียร์ไอศกรีมรามเกียรติ์ กล่าวว่า ไอเทมของไอศกรีม 3D กลายเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยว ทาง ณ สัทธา อุทยานไทย ได้ออก ‘ไอศกรีมรามเกียรติ์ ทศกัณฐ์ และหนุมาน’ ชวนนักท่องเที่ยว พาทศกัณฐ์ กับหนุมาณ ไปเดินเที่ยวเซลฟี่กับุมมต่างๆ ภายใน ณ สัทธา อุทยานไทย 

โดยภายหลังจากเพจสื่อท้องถิ่นราชบุรี ได้นำ ‘ไอศกรีมรามเกียรติ์ ทศกัณฐ์ และหนุมาน’ ไปเผยแพร่ ปรากฏว่ามีผู้สนใจเข้ามาชม กดไลก์ กดแชร์เป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่บอกว่าไอศกรีมรามเกียรติ์มาถึงราชบุรีแล้ว ต้องมาลองชิมให้ได้

ซึ่ง คุณพลอยพรรณ กล่าวเพิ่มเติมว่า ‘ไอศกรีมรามเกียรติ์ ทศกัณฐ์ และหนุมาน’ ตอนนี้เราได้ออกมา 4 รสชาติ คือ รสน้ำมะพร้าวน้ำหอมอัญชัน รสน้ำมะพร้าวน้ำหอมใบเตย รสนมชมพู และรสชาไทย โดยเราผลิตเพียงวันละ 100 แท่งเท่านั้น จำหน่ายแท่งละ 99 บาท โดยเราใช้สูตรของทาง ณ สัทธา อุทยานไทย ใช้วัตถุดิบท้องถิ่น มะพร้าวน้ำหอมจากสวน อ.ดำเนินสะดวก มาเป็นรสชาติหลักที่จะให้ความหอมเป็นไทยๆ จากนั้นก็เข้าสู่กระบวนการผลิตไอศกรีม ก่อนจะเทลงในแม่พิมพ์ จากนั้นนำไปฟรีซให้ไอศกรีมแข็งตัว เป็นเวลา 1 วัน จากนั้นนำมาบรรจุถุงจำหน่าย ตอนนี้กระแสดีมาก ได้รับการตอบรับดีจริงๆ มีนักท่องเที่ยวมาถามหากันตลอด จนผลิตกันไม่ทัน

ทั้งนี้ ตนจึงอยากจะเชิญชวนนักท่องเที่ยวได้พา ‘ทศกัณฐ์ กับ หนุมาน’ ไปเดินเที่ยวเซลฟี่กับุมมต่างๆ ภายใน ณ สัทธา อุทยานไทย ทั้งกลางวันและกลางคืน รับรองสวยทุกมุม สำหรับท่านที่สนใจจะมาซื้อไอศกรีม ‘ทศกัณฐ์ กับ หนุมาน’ ทางเราจัดสถานที่จำหน่ายไว้ 3 จุด ซึ่งได้แก่
จุดแรก ที่ร้านอาหารรสสัทธา จุดที่สอง เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ และจุดที่สาม ร้านกาแฟหน้าน้ำตก ภายใน ณ สัทธา อุทยานไทย หรือโทรสอบถามได้ที่ 032-383-333 และ 081-5272782


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top