วันนี้เมื่อปี 2540 “พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ” ตัดสินใจประกาศลาออกจากการเป็น “นายกรัฐมนตรี” ของประเทศไทย จากแรงกดดันสืบเนื่องจาก ‘วิกฤติต้มยำกุ้ง’
วันนี้เมื่อ 20 ปีก่อน คือวันที่ ‘พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ’ ตัดสินใจประกาศลาออกจากการเป็น “นายกรัฐมนตรี” ของประเทศไทย ด้วยสาเหตุจากแรงกดดันจากผลสืบเนื่องของวิกฤติต้มยำกุ้ง ที่สะท้อนการบริหารงานที่หลายคนใช้คำว่า “ล้มเหลว!”
ทั้งนี้ ก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน ได้เกิดเหตุประชาชนชาวไทย กว่า 5,000 คน ชุมนุมบริเวณถนนสีลมเพื่อเรียกร้องให้ พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยระบุ ว่าเป็นเพราะการบริหารผิดพลาด ประกาศลอยตัวเงินบาท ส่งผลกระทบต่ออัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ตลาดหลักทรัพย์ สถาบันการเงิน ราคาสินทรัพย์อื่น ๆ และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จนบานปลายกลายเป็นวิกฤติเศรษฐกิจกินวงกว้าง ส่งผลให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจในประเทศต่าง ๆ ในเอเชีย จนหลายคนเรียกวิกฤติครั้งนี้ว่า “ฟองสบู่แตก” หรือ “ต้มยำกุ้งดีซีส” (Tomyamkung disease)
ย้อนรอยไปต้นเรื่อง หลังจากที่ “บิ๊กจิ๋ว” ที่เบนเส้นทางจากทหารมาสู่ถนนการเมือง และได้ชื่อว่า “รุ่งสุด ๆ” เพราะยังเคยได้รับการแต่งตั้งให้เป็น สมาชิกวุฒิสภา ตั้งแต่ขณะดำรงตำแหน่งทางทหาร กระทั่งตัดสินใจก่อตั้ง และนั่งเป็นหัวหน้าพรรคความหวังใหม่คนแรก และยังมีคะแนนเสียงหนาแน่นใน จ.นครพนม พอมาปลายปี 2539 พล.อ.ชวลิต นำพาพรรคความหวังใหม่ชนะเลือกตั้ง และขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีได้สมใจ โดยมีพรรคชาติไทย กับพรรคประชาธิปัตย์ รวมตัวกันในซีกฝ่ายค้าน
วันนั้นบิ๊กจิ๋วบอกว่าจะมาแก้วิกฤติ กับคำขวัญ “ถึงเวลาอยู่ดีกินดี” โดยมี อำนวย วีรวรรณ เป็นหัวหน้าดรีมทีมเศรษฐกิจ และ ดร.ทนง พิทยะ แต่แล้วใครจะคาดคิด เมื่อ ดร.ทนง พิทนะ รัฐมนตรีคลังขณะนั้น ยื่นเอกสารลอยตัวค่าเงินบาทให้บิ๊กจิ๋วเซ็นแกร๊ก! ในวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2540 จนสร้างความเสียหายกลายเป็นวิกฤติการณ์ทางการเงินตามที่เกริ่นไว้ข้างต้น จริงอยู่ที่หลายคน หลายฝ่าย พยายามหาต้นเหตุที่แท้จริงของเรื่องนี้ เพราะว่ากันว่า วิกฤติครั้งนี้ ใครนั่งนายกฯ เวลานั้นก็ต้องเซ็นแบบนั้น
โดยหากย้อนไปก่อนหน้านั้น ราวปี พ.ศ. 2536 รัฐบาลไทยประกาศนโยบาย BIBF (Bangkok International Banking Facilities) มีเป้าหมายเพื่อให้กรุงเทพฯ เป็นศูนย์กลางการเงินในภูมิภาค สิ่งที่เกิดขึ้น พูดง่าย ๆ คือ จากที่เคยควบคุมเงินที่ไหลเข้าออกประเทศอย่างเข้มงวด กลายเป็นเสรี ที่ใครจะย้ายจะโอนเงินเข้าหรือออกจากประเทศไทยได้เต็มที่ ซึ่ง ณ ขณะนั้น ดอกเบี้ยเงินกู้ในสถาบันการเงิน หรือธนาคารพาณิชย์ในไทย อยู่ในอัตราที่สูง ประมาณ 14-17% ต่อปี แต่อีกฟากหนึ่ง ดอกเบี้ยเงินกู้ของสถาบันการเงินของต่างชาติ เวลานั้นถูกมากแค่ 5%