Monday, 19 May 2025
NEWS FEED

‘น้องโฟล์ค’ นศ.ราชภัฏจันทรเกษม เปิดใจเล่าทั้งน้ำตา หลังได้รับพระมหากรุณาธิคุณ พระราชทานทุนการศึกษา

(7 เม.ย.67) นายรัชพล เจริญผล โฟล์ค นักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ สาขาสังคมศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม ได้เปิดใจ เล่าทั้งน้ำตาว่า 

ตนเองได้เขียนฎีกา ถวายในหลวงรัชกาลที่ 10 ขอทุนการศึกษาเพราะตนเองมีปัญหาเรื่องของค่าใช้จ่ายในการศึกษาเล่าเรียนจึงตัดสินใจเขียนถวายฎีกา ก่อนที่ราชเลขาฯในหลวงรัชกาลที่ 10 จะติดต่อกลับมาและได้ประสานทางมหาวิทยาลัยให้โอกาสตนได้เรียนหนังสือ

โดยทางด้าน “น้องโฟล์ค” ได้เล่าว่า ทางบ้านมีปัญหาเรื่องค่าศึกษาเล่าเรียน ตอนนั้นผมก็เขียนไปหาพระองค์ท่านด้วยใจจริง แล้วก็ได้รับโทรศัพท์ติดต่อกลับมา จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็สอบถามความเป็นอยู่ทางบ้าน รู้สึกตื้นตัน ปลาบปลื้มมาก รู้สึกซาบซึ้ง เพราะเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยมาก แต่พระองค์ท่านมองเห็น มีพระเมตตาที่เห็นจดหมายเล็กใบหนึ่ง แล้วตอบกลับมา พระองค์ท่านช่วยผม

ซึ่งเจ้าตัวกล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า จะตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด ตอบแทนที่พระองค์ท่านเมตตาให้ทุนการศึกษามา

กองบัญชาการตำรวจนครบาลเดินหน้าตามนโยบายรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เปิดตลาดแก้หนี้นอกระบบ

กองบัญชาการตำรวจนครบาลเดินหน้าตามนโยบายรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ บูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เปิดตลาดแก้หนี้นอกระบบ แก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชน นำร่องพื้นที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 5 มั่นใจประชาชนจะได้รับประโยชน์อย่างยั่งยืน

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร.) สั่งการกองบัญชาการตำรวจนครบาลเร่งดำเนินการตามนโยบายของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ได้กำชับเรื่องการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ให้เร่งดำเนินการภายในระยะเวลา 2 สัปดาห์ โดยให้ สน.ลุมพินี เป็นพื้นที่นำร่องจัดตลาดนัดแก้หนี้ โดยได้กำชับให้หน่วยงานในสังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาลในทุกพื้นที่ดำเนินการตามข้อสั่งการดังกล่าวอย่างเคร่งครัดทันที ซึ่งทางกองบัญชาการตำรวจนครบาลขานรับนโยบายดังกล่าว ดำเนินการจัดกิจกรรม “ตลาดนัดแก้หนี้” นำร่องในพื้นที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 5

วันนี้ (7 เม.ย.67) กองบังคับการตำรวจนครบาล 5 บูรณาการร่วมกับหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดกิจกรรม “ตลาดนัดแก้หนี้” ในพื้นที่เขตคลองเตย วัฒนา และปทุมวัน ที่ศูนย์นันทนาการบ่อนไก่ กรุงเทพมหานคร โดยมี พล.ต.ต.พงศ์อานันต์ คล้ายคลึง รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) เป็นประธานเปิดงาน มี พล.ต.ต.วิทวัฒน์  ชินคำ ผบก.น.5, รอง ผบก. น.1-9 ที่รับผิดชอบเรื่องหนี้นอกระบบ , ผกก.และรอง ผกก.ในสังกัด บก.น.5, ผู้แทนคณะทำงานกำกับการแก้หนี้สินประชาชนรายย่อย , รอง ผอ.สำนักพัฒนาสังคมกรุงเทพมหานคร, ผู้อำนวยการสำนักงานเขตปทุมวัน คลองเตย วัฒนา, ผู้แทนจากสำนักงานอัยการสูงสุด , กรมการจัดหางาน , ธนาคารออมสิน , ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และพี่น้องประชาชนที่พักอาศัยอยู่ในเขตปทุมวัน คลองเตย และวัฒนา ร่วมกิจกรรม

พล.ต.ต.พงศ์อานันต์ ฯ กล่าวว่า จากนโยบายของรัฐบาลและข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรีและสำนักงานตำรวจแห่งชาตินั้น กองบัญชาการตำรวจนครบาลได้เห็นความสำคัญ จึงสั่งการให้กองบังคับการตำรวจนครบาล 5 และสถานีตำรวจนครบาลลุมพินี จัดกิจกรรมตลาดนัดแก้หนี้ขึ้น โดยบูรณาการความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้คำปรึกษาให้ข้อมูล และให้ความปลอดภัยแก่ลูกหนี้ พร้อมช่วยดำเนินการไกล่เกลี่ยหนี้ให้แก่ลูกหนี้และเจ้าหนี้ได้พูดคุยและทำข้อตกลงกัน เพื่อแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบให้เข้าสู่กระบวนการการแก้ไขปัญหาที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง ซึ่งหวังว่างานครั้งนี้จะเป็นจุดเริ่มต้นเพื่อทำให้หน่วยงานต่างๆ รวมถึงทุกกองบังคับการในสังกัดกองบัญชาการตำรวจนครบาล นำไปเป็นรูปแบบในการแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบของแต่ละพื้นที่ เพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนที่ยั่งยืน 

สำหรับภายในงานมีกิจกรรมประกอบด้วย การไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาทของลูกหนี้และเจ้าหนี้ จากสำนักงานเขตปทุมวันคลองเตย และเขตวัฒนา , การจัดตลาดแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน , การรับคำขอเพื่อพิจารณารับสินเชื่อต่ำ และให้คำปรึกษาทางการเงินโดยธนาคารออมสิน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ และสถานธนานุบาลกรุงเทพมหานคร รวมถึงการให้ความรู้ทางกฎหมาย โดย สน. ลุมพินี

พัทลุง-นักวิจัยฯ ในพื้นที่ นำสื่อมวลชนและนักท่องเที่ยวนั่งเรือถ่ายถ่ายภาพวิถีชีวิตการใส่บาตรและถ่ายภาพพระบิณฑบาตรทางน้ำ ลุ่มคลองลำปำ

(7 เม.ย.67) นายนนท์ปวิธ แก้วนุ่ม นักวิจัยในพื้นที่ ภายใต้โครงการวิจัย เรื่อง “การบริหารจัดการภูมิทัศน์วัฒนธรรมชุมชน และการพัฒนาย่านวัฒนธรรมชุมชน เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่อย่างยั่งยืน” มหาวิทยาลัยศิลปากร นำคณะสื่อมวลชนและนักท่องเที่ยวนั่งเรือถ่ายภาพวิถีชีวิตการใส่บาตรและถ่ายภาพพระบิณฑบาตรทางน้ำ ลุ่มคลองลำปำ ซึ่งเป็นคลองสายหลักที่หล่อเลี้ยงชาวลำปำ ตำบลลำปำ  อำเภอเมือง  จังหวัดพัทลุง โดยลงเรือจากท่าน้ำตลาดท้ายวังตั้งแต่เวลา 06.30 น. 

ทั้งนี้เรือของคณะสื่อมวลชนและนักท่องเที่ยวพายไปตามลำคลองขนาบข้างคู่กันไปกับเรือของพระอธิการยงยศ เจ้าอาวาสวัดยางงาม และเรือของสามเณร โดยมีชาวบ้านออกมารอตักบาตรอยู่ริมชานเรือนทั้ง 2 ฝั่งคลอง ซึ่งเป็นวิถีชีวิตของคนริมฝั่งที่มีมาอย่างยาวนานแต่ไม่ได้รู้จักกันอย่างแพร่หลาย จนกระทั่งมีงานวิจัยเรื่องโครงการ “การพัฒนาทุนทางวัฒนธรรมชุมชนผ่านกลไกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและประชาสังคมเพื่อเพิ่มศักยภาพและพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนในพื้นที่และโครงการวิจัย เรื่อง “การบริหารจัดการภูมิทัศน์วัฒนธรรมชุมชน และการพัฒนาย่านวัฒนธรรมชุมชน เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจและสังคมในพื้นที่อย่างยั่งยืน” มหาวิทยาลัยศิลปากร ทำให้นักท่องเที่ยวรู้จักพื้นที่และกิจกรรมการท่องเที่ยวริม 2 ฝั่งคลองลำปำมากขึ้น
 
สำหรับการนำสื่อมวลชนและนักท่องเที่ยวนั่งเรือถ่ายภาพวิถีชีวิตการใส่บาตรและพระบิณฑบาตรทางน้ำลุ่มคลองลำปำในครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อประชาสัมพันธ์ทุนวัฒนธรรมที่มีอยู่ให้รู้จักกันอย่างแพร่หลาย และเพื่อเชิญชวนให้นักท่องเที่ยวอื่นๆเข้ามาเที่ยวในพื้นที่โดยนั่งเรือถ่ายถ่ายภาพวิถีชีวิตการใส่บาตรและถ่ายภาพพระบิณฑบาตรทางน้ำลุ่มคลองลำปำในตอนเช้า ตั้งแต่เวลา 06.30 น. ของวันเสาร์และอาทิตย์ ซึ่งเดินทางมาขึ้นเรือของชาวบ้านที่ท่าน้ำตลอดท้ายวัง ซอย 34 ถนนอภัยบริรักษ์ ตำบลลำปำ อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุงได้ ค่าเรือเหมาจ่ายเพียงลำละ 500 บาทเท่านั้น ผู้สนใจสามารถสำรองจองเรือได้ล่วงหน้าที่คุณธนภร รัตนขวัญ ประธานชมรมกลุ่มขับเรือเพื่อการท่องเที่ยวลุ่มคลองลำปำ เบอร์โทรศัพท์ 098-7863223

หลังจากเพลิดเพลินกับการถ่ายภาพวิถีชีวิตการใส่บาตรและพระบิณฑบาตรทางน้ำลุ่มคลองลำปำแล้วก็สามารถขึ้นเรือที่ท่าเรือโรงน้ำชาบ้านริมคลองเพื่อเดินเที่ยวตลาดริมคลองลำปำ ซึงมีของกิน ของฝากพื้นบ้านจากคนในชุมชนที่นำออกมาขายให้นักท่องเที่ยวได้ซื้อกลับบ้าน โดยตลาดริมคลองลำปำนั้นตั้งอยู่ 1 ใน 5 ย่านวัฒนธรรมชุมชนลำปำที่สามารถท่องเที่ยวเชื่อมโยงกันได้.

(สุรินทร์) มทบ.25 จัดโครงการ “Army youth Summer Camp ประจำปี 2567” สานต่อ นโยบาย กองทัพบก

วันที่ 7 เมษายน 2567 เวลา 09.30 น. ที่ สโมสรค่ายวีรวัฒน์โยธิน พลตรี ชินวิช  เจริญพิบูลย์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 เป็นประธานในพิธีเปิด โครงการ “Army youth Summer Camp ประจำปี 2567” โดย มณฑลทหารบกที่ 25 ได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้ของเยาวชน ในช่วงปิดภาคเรียน ประจำปี 2567 "Army youth summer Camp ภายใต้โครงการ "ขึ้นเขาสวายไหว้พระ ร่วมอนุรักษ์ผืนป่า และธรรมชาติ" โดยบูรณาการร่วมงาน "ประเพณีขึ้นเขาสวาย ประจำปี 2567 " ที่จังหวัดสุรินทร์จัดขึ้น ในระหว่างวันที่ 7 ถึง 9 เมษายน 2567 โดยนำเยาวชนนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสุรินทร์ และมหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ จำนวน 50 คน เข้าไปมีส่วนร่วม และสนับสนุนการดำเนินกิจกรรมของจังหวัด ด้วยจิตอาสา ซึ่ง กองทัพบก มีนโยบายส่งเสริมและพัฒนาเยาวชนและบุตรหลานของกำลังพลในพื้นที่รับผิดชอบของหน่วย

โดยเปิดโอกาสการเข้าร่วมกิจกรรมที่จัดขึ้นในช่วงปิดภาคเรียน เพื่อเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ปลูกฝังและเสริมสร้างจิตสำนึกรักบ้านเกิด ชุมชน และครอบครัว มองเห็นความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติ รักและเทิดทูนสถาบันหลักของชาติร่วมสืบสานประเพณีวัฒนธรรมไทย ได้ร่วมกันบำเพ็ญประโยชน์แก่ชุมชนและบ้านเมือง พร้อมทั้งได้ฝึกประสบการณ์ในช่วงเวลาปิดภาคเรียน พลตรี ชินวิช  เจริญพิบูลย์ ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 25 กล่าวว่า ท่านผู้บัญชาการทหารบก มีเจตนารมณ์เพื่อส่งเสริมและพัฒนาเยาวชน ให้มีโอกาสเข้าร่วมกิจกรรม ที่จัดขึ้นในช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อน และเป็นการใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์พร้อมทั้งได้ฝึกประสบการณ์ในช่วงเวลาปิดเทอม เสริมสร้างอุดมการณ์ความรักชาติ และส่งเสริมความเป็นผู้นำในกลุ่มเยาวชนให้เติบโตเป็นกำลังสำคัญของประเทศชาติ และขอให้เยาวชนทุกคนได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ในการร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ ให้เกิดประโยชน์แก่ตนเอง ครอบครัว และประเทศชาติ ต่อไป 

ปุรุศักดิ์  แสนกล้า  ข่าว/ภาพ

‘เชียงใหม่’ ประกาศเขตภัยพิบัติฉุกเฉิน 5 อำเภอ หลังไฟป่าลุกลามต่อเนื่อง และจนท.ดับไฟชุดแรก เริ่มเหนื่อยล้า

เมื่อวานนี้ 6 เม.ย.67 นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ได้เปิดเผยหลังจากมีการประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัย เขตการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน อัคคีภัย ไฟป่า ในพื้นที่ อ.เชียงดาว, อ.แม่แตง, อ.ไชยปราการ, อ.ฝาง และ อ.พร้าว เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีไฟไหม้ป่าเกิดขึ้นจำนวนมาก ติดต่อกันหลายวัน ทำให้การปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ โดยใช้กำลังหน่วยปฏิบัติปกติ ร่วมกับกำลังทหารที่มีอยู่ในชุดแรกเริ่มอ่อนล้า และต้องการกำลังสนับสนุนมากกว่าที่เป็นอยู่

จ.เชียงใหม่ จึงจำเป็นต้องบริหารสถานการณ์ให้เหมาะสมมากที่สุด ด้วยการประกาศเขตพื้นที่ประสบสาธารณภัย เขตการให้ความช่วยเหลือ ผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินอัคคีภัย ไฟป่า ในพื้นที่ดังกล่าว เพื่อเพิ่มการใช้กำลังทหารให้เหมาะสมกับสภาพความรุนแรงของสถานการณ์ และเปิดโอกาสให้ส่วนราชการที่เกี่ยวข้องสามารถใช้เงินทดรองราชการในส่วนของตัวเองได้ โดยมีระเบียบกระทรวงการคลัง รองรับหลังการประกาศ เพื่อการใช้จ่ายงบประมาณที่ถูกต้องเหมาะสมและเกิดประโยชน์ในทางการบริหารสถานการณ์มากที่สุด

ขณะเดียวกัน จังหวัดเชียงใหม่ได้ประสานไปยังแม่ทัพภาคที่ 3 แล้ว เพื่อขอกำลังทหารเข้าไปช่วยเขตป่าอุทยานแห่งชาติและป่าสงวนแห่งชาติมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม จังหวัดเชียงใหม่ยังไม่สามารถประกาศเขตการให้ความช่วยเหลือ ผู้ประสบภัยกรณีฉุกเฉิน กรณีฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM 2.5 ได้ เพราะเป็นภัยที่ไม่มีระเบียบกระทรวงการคลังรองรับการใช้จ่ายงบประมาณ จึงไม่เกิดประโยชน์ในทางการบริหารสถานการณ์ พร้อมกันนี้ เพื่อให้อำเภอและจังหวัดสามารถดูแลประชาชน กลุ่มเปราะบางในพื้นที่ประสบภัยได้อย่างเต็มที่ จังหวัดจึงได้เชิญส่วนราชการที่เกี่ยวข้องมาร่วมกันหารือถึงวิธีการปฏิบัติแล้ว

‘รมว.ปุ้ย’ สั่งปลัดอุตฯ-อธิบดีกรมโรงงาน เร่งฝังกลบ ‘กากแคดเมียม’  กำชับ!! ต้องตรวจสอบให้ละเอียด เพื่อความปลอดภัย ของประชาชน

(7 เม.ย.67) ตามที่ปรากฏเป็นข่าวในช่วงที่ผ่านมาว่ากากแคดเมียมจากโรงงานในจังหวัดตากจำนวน 13,000 ตันเศษ ถูกขนออกจากพื้นที่ และพบกากแคดเมียมที่โรงงานในจังหวัดสมุทรสาครจำนวนประมาณ 2,500 ตัน ที่เหลืออีกกว่า 10,000 ตัน ไม่พบในบริเวณโรงงาน 

ซึ่งเรื่องดังกล่าว นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้สั่งการให้กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ร่วมกับ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.) ตรวจสอบข้อมูลการขนย้ายตลอดจนแหล่งปลายทางการขนย้ายทั้งหมด เพื่อให้สามารถติดตามและนำกากแคดเมียมกลับไปฝังกลบที่ต้นทางจังหวัดตาก นั้น

ช่วงบ่ายเมื่อวานนี้ (6 เม.ย.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ และ บก.ปทส. ว่าตรวจพบถุงบิ๊กแบ็กจำนวนมาก กระจายอยู่ในพื้นที่โรงเรือน ซึ่งตั้งอยู่ที่ ตำบลคลองกิ่ว อ.บ้านบึง จ.ชลบุรี คาดว่าจะเป็นกองกากแคดเมียมที่มาจากโรงงานที่สมุทรสาคร โดยขณะนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปทส. กรมโรงงาน อุตสาหกรรมและอุตสาหกรรมจังหวัดชลบุรี กำลังตรวจสอบกองกากดังกล่าว เบื้องต้น นับได้ประมาณ 4,200 ถุง คาดว่าน่าจะมีน้ำหนักรวม ประมาณ 6,720 ตัน และได้ทำการยึดอายัดไว้เป็นที่เรียบร้อย

“ดิฉันจะได้มอบหมายให้ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม และอธิบดีกรมโรงงาน อุตสาหกรรมเร่งจัดการนำกากแคดเมียมทั้งหมด กลับไปฝังกลบยังแหล่งต้นทางให้เร็วและปลอดภัยที่สุด พร้อมทั้งต้องตรวจสอบว่ายังคงมีกากแคดเมียม หลงเหลือในพื้นที่อื่นอีกหรือไม่ เพื่อคลายความกังวลให้กับประชาชน ซึ่งในวันนี้ สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดสมุทรสาคร ก็ได้เข้าแจ้งความร้องทุกข์โรงงานที่สมุทรสาครไว้กับ บก.ปทส.เรียบร้อยแล้ว” รมว.อุตสาหกรรม กล่าว

‘นร.ร้อยเอ็ดวิทยาลัย’ สอบติดคณะแพทย์ 42 คน สร้างความภาคภูมิใจ ให้ ‘พ่อ-แม่-ครูอาจารย์’ 

(7 เม.ย.67) โรงเรียนร้อยเอ็ดวิทยาลัยแจ้งข่าวดี ปรากฏว่านักเรียนม.6 ของโรงเรียนสามารถสอบผ่านการคัดเลือกเข้าศึกษาต่อมหาวิทยาลัยในคณะแพทยศาสตร์ในปีนี้ถึง 42 คน

โดยจำแนกเป็น คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล  1 คน และคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น 41 คน

ขอแสดงความยินดีกับน้อง ๆ ทุกคน

‘ทบ.’ ชี้แจงกรณีมีคลิป ‘พลทหาร’ ถูกทำร้ายร่างกายในหน่วย ย้ำ กำลังสอบสวนอย่างเป็นธรรม เพื่อลงโทษผู้กระทำผิดวินัยทหาร

(7 เม.ย.67) ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์เป็น รองโฆษกกองทัพบก เปิดเผยถึงกรณีที่มีการเผยแพร่คลิปที่มีพลทหารโพสคลิปวิดีโอเหตุการณ์ในหน่วยทหารและกล่าวว่ามีพลทหารถูกทำร้ายร่างกาย กองทัพบกได้ตรวจสอบแล้วพบว่าตามคลิปวิดีโอเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนวันที่ 4 เม.ย.67 ในหน่วยทหารแห่งหนึ่งของกองทัพบก

เป็นเหตุการณ์ที่สิบเวรทำการลงโทษพลทหารที่กลับมาจากการหลบหนีออกนอกหน่วย และมีอาการเมาสุรา ในระหว่างการลงโทษ พลทหารนายหนึ่ง ได้แสดงอาการก้าวร้าวขัดขืนขึ้นสิบเวรจึงเกิดความโมโห และได้ถีบไปที่เอวของพลทหารนายนั้น หลังจากนั้นพลทหารที่เห็นเหตุการณ์จึงได้ไปรายงานให้ผู้บังคับกองร้อยทราบเรื่องในทันทีที่เกิดเหตุ และถ่ายวิดีโอไว้ดังที่ปรากฏในข่าว

ผู้บังคับกองร้อยได้แจ้งให้นายทหารเวรเข้าระงับเหตุในขั้นต้น พร้อมทั้งกักบริเวณสิบเวรดังกล่าว รวมถึงนำตัวพลทหารที่หลบหนีออกนอกหน่วยและมีอาการเมาสุรา ไปขัง ณ กองรักษาการณ์ เพื่อป้องกันการวิวาทและรอให้หายจากอาการมึนเมาจึงจะดำเนินการสอบสวน ปัจจุบันหน่วยอยู่ในระหว่างสอบสวนให้ได้ข้อเท็จจริง และจะดำเนินการลงโทษผู้กระทำผิดเมื่อได้ข้อสรุป ทั้งนี้กองทัพบกจะให้ความเป็นธรรมต่อทั้งสองฝ่าย โดยพิจารณาจากข้อเท็จจริง วินัยทหาร และระเบียบของทางราชการ โดยเมื่อการสอบสวนแล้วเสร็จจะแจ้งให้สังคมทราบต่อไป

'สุทธิพงษ์' ชี้!! นำสิ่งเทียมพระเกี้ยว มาสร้างสื่อส่อเสียด แล้วบอกไม่พาดพิงผู้ใด ก็เหมือนการยกนิ้วกลางให้ใครสักคน แล้วบอกว่านี่ไม่ใช่การให้กล้วย

(7 เม.ย.67) จากกรณี 'เช็ค สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ' พิธีกร และผู้ผลิตสื่อชื่อดัง แห่งทีวีบูรพา ได้โพสต์ข้อความและภาพผ่านเฟซบุ๊กเกี่ยวกับการที่ 'จุฬาฯ' ปล่อยพระเกี้ยวถูกดึงต่ำ จากความต่ำของใจคน ที่กล้านำเอาของสูงมาลบหลู่นั้น (อ่านเนื้อหาก่อนหน้า: https://thestatestimes.com/post/2024040420)

ล่าสุดเจ้าตัวได้โพสต์ข้อความพร้อมภาพภาคต่อ โดยมีเนื้อหา ดังนี้ว่า...

เสือก 2

แต่ผมคิดว่า การเอาภาพเหล่านี้มาเผยแพร่ซ้ำ ในช่วงที่มีกระแสแห่พระเกี้ยว ไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริง ที่งานศิลปะชิ้นนี้ต้องการสื่อสะท้อน 

เป้าหมายที่แท้จริง ไม่ใช่แค่ตีกระทบงานประเพณีของสถาบัน 

ถ้ายังไม่ลืมวาทะกรรม ส่อเสียด กระทบกระเทียบเปรียบเปรย ของกลุ่มล้มเจ้า ต่อรัฐบาลชุดก่อนว่า เหมือนหมามีเจ้าของ

ผมคิดว่างานชิ้นนี้ มีความเชื่อมโยงกับความหมายนั้น 

เจ้าของหมาที่พูดถึงกันอย่างคึกคะนอง หมายถึงใคร ผมคงไม่ต้องบอก

ฉะนั้น ถ้าผมจะตีความแบบเขลาๆ ว่า สัญลักษณ์ (เทียม) พระเกี้ยว คือสัญญลักษณ์ที่ตั้งใจใช้แทนความหมาย ถึงผู้ซึ่งถูกเปรียบเปรยว่าเป็นเจ้าของหมา 

และอาหารหมา ก็คือผลประโยชน์ ลาภ ยศ ที่หว่านไว้ ทำให้บรรดาหมา ยอมเชื่องเชื่อ หมอบ กราบ เทิดทูน 

และบรรดาหมา กับกฎหมายที่เป็นเหมือนหมอนรองพระเกี้ยวเหล่านั้นแหละ 

ที่เป็นมือไม้หรือข้ารับใช้ คอยเห่า ขู่ กัด กดทับ หรือจำกัดอิสระ เสรี ทางความคิด ความเห็น การแสดงออก(ซึ่งก็คือเนื้อหาในกระดาษเหล่านั้น)ไว้ 

ถ้าผมงี่เง่า เพ้อเจ้อ เลื่อนเปื้อนไป ก็ขออภัยด้วย

ความคิด ความเข้าใจ ต่อประชาธิปไตยแบบมาม่าปลากระป๋อง ของคนหนุ่มสาว (ที่คิดว่าตัวเอง) หัวก้าวหน้า 

คือปลงใจเชื่อว่า ประชาธิปไตยเป็นที่สุดของความก้าวหน้าหรือความเจริญ ส่วนสมบูรณาญาสิทธิราชหรือเผด็จการ คือความล้าหลังหรือความเสื่อม

ชุดความคิดขาวดำ ของฝ่ายที่สถาปนาตนเป็นผู้อภิวัฒน์ ฝังใจว่าประเทศชาติล้าหลัง เพราะการก่อกบฏ รัฐประหาร 

ทั้งๆ ที่ว่าไปแล้ว 2475 ก็น่าจะมีส่วนเป็นต้นเหตุของความวุ่นวายของประเทศที่สำคัญ

เจ้า ซึ่งเป็นตัวแทนของสมบูรณาญาสิทธิราช ถูกทำให้คนรุ่นใหม่เข้าใจว่า คือผู้อยู่เบื้องหลังการรัฐประหารมาโดยตลอด

เพราะฉะนั้น เจ้าก็คือสาเหตุที่ทำให้ประเทศชาติไม่เจริญ

ความแย่ของสังคม ความยากลำบากและไร้อนาคตของพวกคนรุ่นใหม่ จึงโทษเจ้ากันเป็นหลัก มองไม่เห็นปัญหาจากตัวเองและสิ่งอื่นใดในวงวัฏ

ความเชื่อเหล่านี้มาจากการสร้างความเท็จ ที่ไม่มีหลักฐาน ใส่ร้ายเจ้า เล่าสู่กันมาอย่างต่อเนื่อง เป็นขบวนการ

ซึ่งหัวจิตหัวใจที่มีเลือดเนื้อของเจ้า คงขมขื่นน่าดู

โดยเฉพาะการบิดเบือน ล้างสมอง จากหนังสือสองเล่ม คือ 'ขุนศึก ศักดินา พญาอินทรี' และ 'ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ' ที่เอามาจากงานวิทยานิพนธ์ของอาจารย์จุฬาคนหนึ่ง

ซึ่งถูกตีแผ่ แฉโพยแล้วว่า หลักฐานที่อ้างอิงในวิทยานิพนธ์นั้น ล้วนเป็นเท็จ 

จนได้ชื่อว่าเป็นวิทยานิพนธ์ลวงโลก ถูกผู้เสียหายฟ้องเป็นคดี บัณฑิตวิทยาลัยจุฬาให้ระงับการเผยแพร่ แต่ไม่ให้แก้ไข

เหตุผลที่อ้าง คือไม่มีอำนาจ กฎเกณฑ์ไม่ได้เขียนไว้ให้ 

หมายถึงความฉิบหาย ปั่นป่วน แตกแยกของบ้านเมือง ความมั่นคงของสถาบันกษัตริย์ ชีวิต อนาคตของคนหนุ่มสาวกี่คนที่ต้องสังเวย

ไม่มีความหมายเท่าความปกติสุขของมุสาจารย์คนนั้น

ความรับผิดชอบอย่างกล้าหาญของจุฬา แค่เก็บเชื้อไวรัสร้าย ที่ตัวเองเป็นต้นตอเผยแพร่ใส่หลอดแช่ตู้ 

ขณะที่เชื้อโรคร้ายนี้ระบาดลาม สร้างซอมบี้ไปทั่วแล้ว 

โคตรสง่างาม สมเกียรติภูมิมหาวิทยาลัย ที่เจ้าพระราชทานให้ทุกอย่าง แม้กระทั่งชื่อและหัวใจ

การเอาสิ่งเทียมพระเกี้ยว ที่อธิบายว่าเป็นของที่ซื้อจากสำเพ็ง มาสร้างสื่อส่อเสียด แล้วบอกว่าไม่ได้เจตนาสื่อถึงสถาบัน 

ก็เหมือนกับการที่ผมยกนิ้วกลางให้ใครสักคน แล้วบอกว่านี่ไม่ใช่การให้กล้วยนะ แต่ผมกำลังชมว่าคุณเป็นคนดีจังเลย 

คำอ้างของผม เปลี่ยนสามัญสำนึก ความรู้สึก ความเข้าใจของสังคมได้มั้ย

เพราะสัญญา หรือความจำได้หมายรู้ ที่คนทั้งโลกเข้าใจต่อการชูนิ้วกลางนั้น แปลว่าอะไร มันถูกฝังชิปไว้แล้ว

เหมือนพอเห็นสัญลักษณ์พระเกี้ยว ไม่ว่าของแท้ ของเทียม ของแทน ก็ระลึกได้ว่า สื่อหรือเชื่อมโยงถึงอะไร

ของอื่นมีตั้งเยอะ ที่จะเอามาสร้างสรรค์งาน และแสดงความปรารถนาดีต่อสังคมได้ ไม่เลือก

ถ้าแบบนี้ ผมก็มีสิทธิ์ที่จะคิดได้มั้ยวะ ว่า ที่อ้างนั้นฟังไม่ขึ้น ที่แท้ก็ตั้งใจแซะสถาบัน

แต่นั่นแหละ ถึงคิดผมก็ยังไม่เชื่อ ให้น้ำหนักว่า เป็นเพราะความอ่อนด้อยต่อโลก ไม่ใช่ความเลวร้ายของจิตใจมากกว่า

ไม่ว่าใครก็ตาม จะยกหางว่าตัวเองก้าวหน้าได้อย่างไร ถ้าสมาทานการบิดเบือน ใส่ร้าย และยังจมปลักกับอุปาทานว่าปัญหาทุกอย่าง มาจากสถาบัน

ลองใช้ปัญญา คิด-วิเคราะห์-แยกแยะ ดูหน่อยดีมั้ย

ปักเป้ากลางนาอย่างผม จึงอยากถาม (บาง) จุฬากลางเมืองว่า...

เชื่อกันจริงๆ เหรอครับ ว่าเจ้าคือต้นตอของความขัดหูขัดตาทั้งปวง ถ้าล้มเจ้าได้ ประเทศนี้จะอภิวัฒน์ทันตา เจริญก้าวหน้าทันที

สำนักงานตำรวจแห่งชาติเตือน 5 สิ่งที่จะต้องเจอ เมื่อรับจ้างเปิดบัญชีม้า

วันนี้ (7 เมษายน 2567) พล.ต.ต.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนที่อาจได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งจากสถิติที่ผ่านมาพบว่ากลุ่มมิจฉาชีพมักใช้บัญชีม้าเป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด เพื่อถ่วงเวลาเจ้าหน้าที่ตำรวจในการสืบสวนและอายัดเงินที่ได้จากการกระทำความผิด

วิธีการได้มาซึ่งบัญชีม้าเหล่านี้ เกิดจากการที่มีผู้ที่หวังแต่ประโยชน์ส่วนตน เห็นว่าการขายบัญชีธนาคารเป็นวิธีการที่ได้เงินมาง่าย และไม่ต้องลงทุนอะไรมากมาย โดยไม่ได้คำนึงถึงความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นหากบัญชีธนาคารดังกล่าวถูกนำไปใช้โดยกลุ่มมิจฉาชีพ ทำให้ปัจจุบันได้มีการออก พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 มีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองประชาชนผู้สุจริตซึ่งถูกหลอกลวงจนสูญเสียไปซึ่งทรัพย์สิน และกำหนดมาตรการเพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยได้กำหนดโทษของการยินยอมให้ผู้อื่นใช้บัญชีเงินฝากฯ และหมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่ของตน โดยรู้หรือควรจะรู้ได้ว่าจะนำไปใช้ในการกระทำความผิด หรือซิมผี บัญชีม้า

สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงขอเตือนที่น้องประชาชน ถึง 5 สิ่งที่จะเกิดขึ้น หากท่านรับจ้างเปิดบัญชีม้า ดังต่อไปนี้
1. ถูกดำเนินคดี ตาม พ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 มาตรา 9 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 300,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

2. ถูกดำเนินคดีตามฐานความผิดที่มิจฉาชีพนำบัญชีท่านไปใช้ ในฐานะเป็นตัวการร่วม หรือผู้สนับสนุนในการกระทำความผิด

3. มีประวัติอาชญากรรรมติดตัว

4. ถูกดำเนินคดีหลายท้องที่ ตามที่มิจฉาชีพได้นำไปใช้หลอกลวงผู้เสียหาย

5. ถูกฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งจากผู้เสียหาย

ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนเคยหลงเชื่อขายบัญชีธนาคาร หรือซิมโทรศัพท์มือถือให้กับบุคคลอื่นไปแล้ว ให้รีบไปติดต่อกับธนาคารเพื่อขอปิดบัญชีธนาคารดังกล่าวโดยเร็ว เพื่อหยุดวงจรฉ้อโกงออนไลน์ ที่สร้างความเสียหายให้กับพี่น้องประชาชน 

สุดท้ายนี้ หากพี่น้องประชาชนได้รับความเสียหายจากอาชญากรรมทางเทคโนโลยี สามารถแจ้งความร้องทุกข์ได้ที่ศูนย์รับแจ้งความออนไลน์ บนเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.go.th หรือสายด่วน 1441 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top