Monday, 19 May 2025
NEWS FEED

ตำรวจปราบปรามยาเสพติด สกัดจับ “ทีมนักบินตายแทน” ยึดยาบ้ากว่า 19 ล้านเม็ด, ไอซ์ 500 กก., และ คีตามีน 200 กก. คาดเตรียมกระจายของช่วงสงกรานต์

ตามนโยบายการปราบปรามยาเสพติดของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เน้นใช้มาตรการทางกฎหมายเพื่อทำลายเครือข่ายยาเสพติดอย่างจริงจังทั้งระบบ ประกอบกับนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร. รรท.ผบ.ตร. ในฐานะ ผอ.ศอ.ปส.ตร. และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา, พล.ต.ท.นิรันดร เหลื่อมศรี, พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. มุ่งปราบปรามจับกุมผู้ค้ายาเสพติดในพื้นที่ และขยายผลเครือข่ายที่จับกุมได้ทุกระดับอย่างจริงจังทุกพื้นที่รวมทั้งการขยายผลเพื่อยึดอายัดทรัพย์สินที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด ทั้งของผู้ค้า ผู้ช่วยเหลือและสนับสนุนเครือข่ายทั้งหมดมาตรวจสอบ

วันนี้ 5 เม.ย.67 เวลา 10.00 น.  พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผบช.ปส., พล.ต.ต.สมเกียรติ วัฒนพรมงคล, พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว, พล.ต.ต.ออมสิน ตรารุ่งเรือง, พล.ต.ต.พลัฎฐ์ วิเศษสิงห์ รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยง รอง ผบช.ฯ, พล.ต.ต.นพสิทธิ์ มิตรภักดี ผบก.ปส.1, พล.ต.ต.ธนรัชน์ สอนกล้า ผบก.ปส.2, พล.ต.ต.อดิศ เจริญสวัสดิ์ ผบก.ปส.3, พล.ต.ต.พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผบก.ปส.4, พล.ต.ต.อิทธิพล จันทร์ศรีบุตร ผบก.ขส. และพล.ต.ต.วิทัศน์ บริรักษ์ ผบก.สกส. ร่วมแถลงผลการจับกุมเครือข่ายยาเสพติดรายสำคัญในห้วง 11 – 28 มี.ค. 67 จำนวน 11 เครือข่าย ผู้ต้องหารวม 29 คน ตรวจยึดยาบ้ากว่า 19 ล้านเม็ด, ไอซ์ 500 กก., และ คีตามีน 200 กก. พร้อมของกลางรถที่ใช้ก่อเหตุ 23 คัน 

คดีแรก ตำรวจ กก.1 บก.ปส.1 สืบสวนขยายผลจนทราบว่า “เครือข่ายสองพี่น้อง ลาดกระบัง” จะเดินทาง ขึ้นไปรับของทางภาคเหนือมาจำหน่ายในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยใช้รถกระบะลำเลียง กระทั่งวันที่ 28 มี.ค.67 พบความเคลื่อนไหว รถเป้าหมาย 2 คัน ขับตามกันมา ผ่าน จว.เชียงราย-เชียงใหม่-ลำพูน-ลำปาง-ตาก-กำแพงเพชร -นครสวรรค์ จนมาถึงด่านตรวจพยุหะคีรี จว.นครสวรรค์ ตำรวจได้เรียกรถกระบะบรรทุกส่วนบุคคลแบบตู้ทึบ หมายเลขทะเบียน 1ฒณ 73xx กรุงเทพมหานคร เพื่อตรวจสอบ แต่คนขับได้ขับหลบหนี ตำรวจจึงโยน Stop Stick เพื่อเจาะทำลายยางรถยนต์ และสกัดกั้นการหลบหนีของยานพาหนะ ทำให้ยางหน้ารถทั้งสองข้างและยางหลังขวาแตก แต่ยังขับหลบหนีไปได้กว่า 1 กิโลเมตร ก่อนจะควบคุมรถได้บริเวณริมถนนพหลโยธินขาออก ต.ย่านมัทรี อ.พยุหะคีรี จว.นครสวรรค์ ส่วนคนขับขี่ได้วิ่งไปขึ้นรถกระบะของเครือข่ายที่จอดรออยู่ฝั่งตรงข้าม มุ่งหน้าไปทางจังหวัดชัยนาท เบื้องต้นพบยาบ้า 5 กระสอบ อยู่บริเวณท้ายกระบะรวมทั้งสิ้น 1,000,000 เม็ด ระหว่างนั้นตำรวจได้จัดกำลังกันติดตามจับกุมตัวนายวิษณุ หรือณุ พร้อมรถกระบะบรรทุกส่วนบุคคล หมายเลขทะเบียน บษ 85xx ฉะเชิงเทรา อีกคัน  ซึ่งเป็นรถนำทาง  ได้บริเวณริมถนนสายเอเชีย ต.อู่ตะเภา อ.มโนรมย์ จว.ชัยนาท แต่ไม่พบตัวคนขับรถตู้ทึบ และไม่พบสิ่งของผิดกฎหมาย ซึ่งนายวิษณุ รับสารภาพว่าเป็นคนขับรถนำสำรวจเส้นทางจริง จากนั้นได้ขยายผลไปตรวจสอบยังที่พักห้องเลขที่ 4/5 ชั้นที่ 4 อ่อนนุชเพลส แขวงทับยาว เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร พบนายมานะชัย คนขับรถกระบะตู้ทึบสารภาพว่าเป็นคนขับรถบรรทุกยาเสพติดจริง โดยรับมาจาก อ.แม่สรวย จว.เชียงราย เพื่อนำไปส่งที่ อ.ทุ่งสง จว.นครศรีธรรมราช  
  
คดีที่ 2 ตำรวจ กก.3 บก.ปส.2 สืบสวนพบว่ามีเครือข่าย อัญชนา มีพฤติการณ์ลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ตามแนวชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ไปส่งให้กับลูกค้าในเขตพื้นที่ตอนใน ต่อมา เมื่อวันที่ 20 มี.ค. 67 เวลาประมาณ 15.00 น. พบเครือข่ายลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่แนวชายแดน ด้าน จว.นครพนม โดยใช้รถยนต์ หมายเลขทะเบียน ขย 3213 ขอนแก่น ลำเลียงยาเสพติดในครั้งนี้ กระทั่งเวลาประมาณ 19.30 น. รถเป้าหมายได้ขับมาจอดบริเวณสี่แยกไฟแดงหน้า ธ.กรุงเทพ สาขาสว่างแดนดิน ต.สว่างแดนดิน อ.สว่างแดนดิน จว.สกลนคร ชุดจับกุมจึงแสดงตัวขอตรวจค้นพบ นายพายุ เป็นผู้ขับขี่ และ นางสาวอัญชนา โดยสารข้างคนขับ จากการตรวจค้นรถพบยาบ้าจำนวน 200,000 เม็ด อยู่ภายในห้องโดยสารของรถยนต์ 

คดีที่ 3 ตำรวจ บก.ปส.2 จับกุมผู้ต้องหาเครือข่ายลำเลียงยาเสพติด อ.ศรีสงคราม จว.นครพนม พร้อมยาเสพติดจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง 3 คดี จึงได้สืบสวนขยายผลจนทราบว่านายสุรพงษ์ หรือโต้ พร้อมพวก 2 คน จะลำเลียงยาเสพติดจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ บริเวณชายแดนริมแม่น้ำโขง ด้าน จว.นครพนม เข้ามาพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปริมณฑล กระทั่งวันที่ 21 มี.ค.67 พบรถเป้าหมายจอดอยู่ที่บริเวณสถานีบริการน้ำมัน ปตท.สาขาศรีนคร อ.ธาตุพนม จว.นครพนม และขับออกมาติดตามกันเป็นรูปขบวน มุ่งหน้าไป จว.กาฬสินธุ์ - จว.มหาสารคาม - จว.บุรีรัมย์ - จว.นครราชสีมา กระทั่ง รถยนต์ หมายเลขทะเบียน กต-93xx ระยอง ได้ขับขี่มาถึงบริเวณถนนเจนจบทิศ ต.เทพาลัย อ.คง จว.นครราชสีมา ชุดจับกุมจึงแสดงตัวเพื่อขอตรวจค้น พบนายวีระพงศ์ หรือแม็ก เป็นผู้ขับขี่ และพบนายสุรพงษ์ หรือโต้ นั่งด้านหน้าคู่คนขับและ ยาบ้า 7 กระสอบ จำนวน 3,000,000 เม็ด บรรทุกอยู่ในห้องโดยสารและบริเวณกระโปรงด้านหลังของรถยนต์ ขณะที่เจ้าหน้าที่อีกชุดสามารถสกัดจับรถนำ หมายเลขทะเบียน 4ขฉ-57xx กรุงเทพมหานคร ได้บริเวณลานจอดรถยนต์หน้าร้านสะดวกซื้อ ภายในสถานีบริการน้ำมัน ปตท. สาขาดอนหวาย ต.โตนด อ.โนนสูง จว.นครราชสีมา พบนายสมโภชน์ หรืออู๊ด เป็นผู้ขับขี่ สอบสวนผู้ต้องหาสารภาพ ร่วมกันขนยาบ้าทั้งหมดมาจากจังหวัดนครพนม เพื่อจะนำไปส่งให้ลูกค้าที่บริเวณ จว.สระบุรี จริง โดยแบ่งหน้าที่กันทำคดีที่ 4 ตำรวจ บก.ปส.2 ได้ทำการขยายผลจากการจับกุมผู้ต้องหาพร้อมยาบ้า 12 ล้านเม็ด เมื่อวันที่ 24 ม.ค.67 จนทราบตัวบุคคลและรถยนต์ของเครือข่ายที่ใช้ในการลำเลียงที่ต้องเฝ้าระวัง ต่อมาเมื่อวันที่ 26 มี.ค.67 พบรถต้องสงสัยใช้เส้นทางจาก จว.บึงกาฬ – จว.สุพรรณบุรี จนวันที่ 25 มี.ค.67 พบรถเป้าหมายมีเคลื่อนไหวอีกครั้ง จึงจัดกำลังเฝ้าติดตาม พบรถเป้าหมายออกจาก อ.บุ่งคล้า จว.บึงกาฬ มุ่งหน้ามาทางถนนมิตรภาพ ถึงบริเวณสี่แยกท่าพระ อ.เมือง จว.ขอนแก่น กระทั่งตำรวจชุดจับกุมสามารถเข้าสกัดจับกุม นายศรีพรม ผู้ขับขี่รถยนต์ Toyota Fortuner สีดำ หมายเลขทะเบียน 1 กน  3796 กรุงเทพมหานคร ได้บริเวณสี่แยกสัญญาณไฟจราจร บ้านเกิ้ง ต.บ้านไผ่ อ.บ้านไผ่ จว.ขอนแก่น ตรวจค้นภายในรถพบยาบ้าถูกบรรจุอยู่ในถุงดำขนาดใหญ่ รวมจำนวน 4,000,000 เม็ด คดีที่ 5 เมื่อวันที่ ๑๘ มี.ค.67 เวลาประมาณ ๑๘.00 น. ตำรวจ กก.๒ บก.ปส.๓ สืบสวนพบว่าจะมีเครือข่ายยาเสพติดกลุ่มนายปรัชญา กับพวก ใช้รถยนต์นำยาเสพติดจำนวนมากจากพื้นที่ อ.แม่แตง จว.เชียงใหม่ นำไปส่งต่อให้กับกลุ่มเครือข่าย ในพื้นที่ภาคกลาง กระทั่งเวลาประมาณ ๑๙.๓๐ น. พบรถยนต์เป้าหมายขับเข้าไปพื้นที่ ต.บ้านเป้า อ.แม่แตง จว.เชียงใหม่ และจอดที่หอพักแห่งหนึ่งใน ต.ป่าแดด ต่อมาเวลา ๑๐.๐0 น. ของวันที่ 19 มี.ค.67  เครือข่ายได้ขับรถยนต์ไปรับ หญิงสาว ที่สนามบินเชียงใหม่ ก่อนจะไปเช่ารถยนต์ 1 คัน และขับตามกันเพื่อเข้าพักที่รีสอร์ตใน ต.ป่าแดด ต่อมาช่วงเช้ามืดของวันที่ ๒๒ มี.ค.67 พบว่ารถที่เช่ามาถูกขับออกจากรีสอร์ต และมีรถอีกคันขับตามไป มุ่งหน้า จว.ลำพูน จากนั้นรถเช่าได้เลี้ยวกลับรถ บริเวณหน้าวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี ต.เชียงทอง อ.เมืองตาก จว.ตาก มุ่งหน้ากลับ จว.เชียงใหม่ ชุดจับกุมจึงประสานด่านตรวจแม่พริก (ขาขึ้น) ให้ทำการสกัดจับกุมพบนายสุทธิวัฒน์ ซึ่งเป็นผู้ขับขี่รถเช่า ขณะเดียวกันรถเป้าหมายพบว่าจอดบริเวณร้านค้าริมถนนพหลโยธิน ต.เพชรชมกู อ.โกสัมพีนคร จว.กำแพงเพชร ก่อนที่คนขับจะลงจากรถ ตำรวจชุดจับกุมจึงเข้าควบคุมตัวแต่ปรากฏว่าผู้ต้องหาได้วิ่งหลบหนีเข้าป่าละเมาะข้างทาง ตำรวจจึงระดมกำลังติดตามจนจับกุม นายปรัชญาฯ ได้ที่บริเวณริมแม่น้ำปิง ห่างจากริมถนนพหลโยธิน ประมาณ ๓ กม. ขณะเดียวกันชุดจับกุมอีกชุดได้ควบคุมตัว น.ส.อินธิชาฯ ซึ่งโดยสารมากับ นายปรัชญาฯ พร้อมตรวจค้นรถพบยาบ้ารวม 334,000 เม็ด ถูกซุกซ่อนบริเวณช่องยางอะไหล่ และใต้เบาะหลังผู้โดยสาร ที่ถูกดัดแปลง  เป็นช่องลับ สอบสวน นายปรัชญา สารภาพว่ามีการซุกซ่อนยาเสพติดบริเวณช่องใส่ยางอะไหล่และใต้เบาะหลังผู้โดยสาร  
  
 คดีที่ 6 ตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 ได้ทำการสืบสวนเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติดกลุ่มนายหวือ และนายเปา ชาวเขากลุ่มชาติพันธุ์ม้ง มีพฤติการณ์ลักลอบลำเลียงยาเสพติดจำนวนมาก จากพื้นที่ อ.ภูซางจว.พะเยา ไปส่งให้กลุ่มเครือข่ายในพื้นที่ตอนในของประเทศ ต่อมาสืบทราบว่าช่วงปลายเดือน มี.ค.67 พบว่าเครือข่ายนี้ จะลำเลียงยาเสพติดไปส่งมอบให้กับลูกค้าในพื้นที่ จว.สุพรรณบุรี และพบว่าลูกค้าของเครือข่าย คือนายนัธธี และนางสาวโชติกา จึงได้ทำการสืบสวนและเฝ้าติดตาม กระทั่งพบว่า ในวันที่ 26 มี.ค.67 นางสาวโชติกา ได้ขับรถปิคอัพนำเส้นทาง นายนัธธี ซึ่งขับรถเอนกประสงค์สีดำ ลักษณะบรรทุกส่งของมีน้ำหนัก ก่อนจะเข้าที่พักบริเวณ หมู่บ้านลาดตะโก ต.ดอนมะสังข์ อ.เมืองสุพรรณบุรี จว.สุพรรณบุรี ชุดจับกุมจึงเข้าสกัดจับรถยนต์ทั้งสองคันพร้อมตรวจค้น พบยาบ้า 7,000,000 เม็ด ระหว่างที่ควบคุมตัวผู้ต้องหา ได้มีนายอัครพล  หรือนิว ทราบชื่อภายหลังได้โทรศัพท์เข้ามา แจ้งให้นำยาบ้าไปส่งมอบให้กับกลุ่มเครือข่าย โดยนัดหมายบริเวณลานจอดรถยนต์ถนนทางเข้าสนามกอล์ฟไพน์เอิรส์ท กอล์ฟคลับ ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จว.ปทุมธานี ในวันที่ 27 มี.ค.67 เวลาประมาณ 02.00 น. ตำรวจจึงมขยายผลและสามารถจับกุมผู้ต้องหาในเครือข่ายเพิ่มเติม ได้แก่ นายณัฐรณ, นายอมรเชษฐ์, นายธีรวัฒน์ และ นายพีรพัฒน์ ขณะมารับยาเสพติดจำนวนดังกล่าว  คดีที่ 7 เมื่อวันที่ 11มี.ค.67 ตำรวจ บก.ปส.4 จากการสืบสวนเครือข่ายนักค้ายาเสพติด ทราบว่าจะมีการลำเลียง ยาเสพติดจากพื้นที่ภาคกลางไปส่งพื้นที่ภาคใต้ ชุดจับกุมจึงออกตรวจสอบตามเส้นทางก่อนถึงด่านตรวจยานพาหนะชุมพร กระทั่งมาถึงบริเวณริมถนนเพชรเกษมขาล่องใต้ เยื้องร้านเจ๊แก้ว อาหารอีสาน ต.สลุย อ.ท่าแซะ จว.ชุมพร พบรถบรรทุกพ่วงตัวแม่ และมีลูกพ่วง ที่กำลังเฝ้าระวัง หมายเลขทะเบียน 83-0xxx นครศรีธรรมราช จึงแสดงตัวขอตรวจสอบ พบนายอนุวัฒน์ เป็นผู้ขับขี่ แสดงอาการมีพิรุธ  ตำรวจจึงนำรถยนต์บรรทุกเข้าด่านตรวจยานพาหนะชุมพร เพื่อทำการเอกซเรย์พบวัตถุต้องสงสัยมีลักษณะเป็นแท่ง ๆ อยู่ภายในหัวเก๋งและวางอยู่ด้านบนหัวเก๋ง จึงตรวจค้นโดยละเอียด พบเป็นยาบ้า 200,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่บริเวณหลังเบาะฝั่งผู้โดยสาร และยาบ้า 400,000 เม็ด รวม 600,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่หลังคาหัวเก๋ง สอบปากคำนายอนุวัฒน์ สารภาพว่า ถูกว่าจ้างให้ลำเลียงยาบ้าจาก อ.ลาดหลุมแก้ว จว.ปทุมธานี เพื่อไปส่งให้ลูกค้าที่ อ.ทุ่งสง จว.นครศรีธรรมราช  

คดีที่ 8 เมื่อวันที่ 17 มี.ค.67 ตำรวจ บก.ปส.4 บูรณาการร่วมกับหน่วยที่เกี่ยวข้องสนธิกำลังร่วมกันตั้งด่านตรวจบริเวณริมถนนเพชรเกษม (กรุงเทพฯ-ชุมพร) ขณะปฏิบัติหน้าที่บริเวณหน้าที่ทำการด่านตรวจยานพาหนะชุมพร มีรถยนต์บรรทุก ยี่ห้ออีซูซุ ทะเบียน 71 3xxx เพชรบุรี ซึ่งเป็นรถที่เฝ้าระวังขับผ่านมา ตำรวจจึงเรียกให้หยุดเพื่อขอตรวจสอบมี นายวันชัย เป็นผู้ขับขี่ จึงขอให้นำรถเข้าไปภายในบริเวณที่ทำการด่านตรวจฯ เพื่อทำการเอกซเรย์ พบสิ่งของที่มีลักษณะเป็นก้อน จึงตรวจค้นโดยละเอียด พบยาบ้ารวม 1,000,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่บริเวณหลังกระบะท้ายรถยนต์บรรทุกคัน สอบถาม นายวันชัย สารภาพว่าถูกจ้างให้ขนยาบ้าจากพื้นที่เขตป

เลย -​ผบ.ร.8 พัน.1 เปิดการฝึกสิบตรีกองประจำการ ประจำปี 2567 ตามนโยบายกองทัพบก

เมื่อวันที่ 5 เมษายน 2567 เวลา 08.30 น. ที่บริเวณหน้า ศาลาจรัส – ราศรี  ค่ายศรีสองรัก อำเภอเมือง จังหวัดเลย พันโท จิรพงศ์ จะรอนรัมย์ ผู้บังคับกองพันทหารราบที่ 1 กรมทหารราบที่ 8  เป็นประธานเปิดการฝึกสิบตรีกองประจำการ ประจำปี 2567 ระยะเวลาการฝึก จำนวน 4 สัปดาห์  ตั้งแต่วันที่ 1 - 30 เมษายน 2567 โดยมี นายทหาร, นายสิบ และพลทหาร เข้าร่วมพิธี ซึ่งการฝึกสิบตรีกองประจำการนั้น นับว่าเป็นหลักสูตรที่มีความสำคัญ และจำเป็นอย่างยิ่ง โดยจะต้องคัดเลือกกำลังพลที่มีความรู้ ความสามารถ และมีความเหมาะสมโดยเป็นกำลังพลที่ผ่านการฝึกหลักสูตรครูทหารใหม่มาแล้ว หากมีการฝึกเตรียมการให้กับชุดครูฝึกมาเป็นอย่างดี ก็จะส่งผลต่อเนื่องถึงประสิทธิภาพในการฝึกสิบตรีกองประจำการของหน่วย 

ซึ่งหน่วยได้ให้หน่วยฝึกทหารใหม่ วางแผนดำเนินการฝึกสิบตรีกองประจำการอย่างจริงจังยืดถือปฏิบัติตามนโยบาย และข้อสั่งการของผู้บังคับบัญชาอย่างเคร่งครัด รวมถึงการเตรียมการในด้านต่างๆ เพื่อให้เกิดความพร้อมสำหรับการฝึกทหารใหม่ เพื่อเป็นแนวทางในการจัดการฝึกทหารกองประจำการ ที่ผ่านการฝึกหลักสูตรการฝึกครูทหารใหม่ เพื่อเพิ่มพูนคุณวุฒิให้สูงขึ้น เหมาะสมที่จะเลื่อนฐานะเป็นสิบตรีกองประจำการและบรรจุรับราชการในตำแหน่งอัตราสิบตรีกองประจำการ ตามอัตราการจัดของหน่วย ปลูกฝังอุปนิสัย  ให้เป็นบุคคลที่เคร่งครัดในระเบียบวินัยของทหาร และมีความประพฤติสุภาพเรียบร้อย เพื่อเป็นแบบอย่างแก่พลทหารทั่วไปได้ และเพื่อฝึกอบรมวิซาทหารให้กับพลทหาร ที่ฝึกอบรมครูทหารใหม่จบแล้ว เข้ารับการฝึกอบรมเพื่อเลื่อนเป็นสิบตรีกองประจำการ ให้สามารถปฏิบัติหน้าที่ตามหมายเลข ชกท. ที่ระบุตามอัตราการจัดของหน่วยได้ คุณวุฒิหรับผู้ที่จะเลื่อนเป็นสิบตรีกองประจำการ ต้องสำเร็จการฝึกตามระเบียบและหลักสูตรการฝึกครูทหารใหม่ สำหรับทหารทุกเหล่าของ ทบ. 4 สัปดาห์ พ.ศ.2563 มาแล้ว ซึ่งมีผลการตรวจสอบจากลำดับสูง ลงมาตามลำดับจนกว่าจะได้ตามจำนวนที่ต้องการ เพื่อให้เข้า รับการฝึกในหลักสูตรสิบตรีกองประจำการนี้ ส่วนผู้ที่มีผลการตรวจสอบรองลงไปทีเหลือ ให้คัดเลือกเอาไปทำหน้าที่ครูทหารใหม่ ของหน่วยต่อไป 

สืบนครบาลรวบสาวประเวศพร้อมซิมเถื่อน 200 ชิ้นอ้างทำกำไร

ตามนโยบายของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รรท.ผบ.ตร. , พล.ต.อ.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. สั่งการให้ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. ให้ปราบปรามกลุ่มอาชญากรรมทางเทคโนโลยีที่สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชน โดย ซิมการ์ดเถื่อนที่ไม่ลงทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย

เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2567  พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. , พล.ต.ต.วสันต์ เตชะอัครเกษม รอง ผบช.น. , พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น.  , พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ สระทองออย รอง ผบก.สส. , พ.ต.อ.วิชิต ถิรขจรวงศ์ ผกก.สส.1 บก.สส.บช.น. , พ.ต.ท.พีรบูรณ์ แก้วดู รอง ผกก.สส.1 บก.สส.บชน. , พ.ต.ท.เอกศิษฐ์ วรกิตติ์ฐากรณ์ รอง ผกก.สส.4 บก.สส.บช.น. ปฏิบัติราชการ รอง ผกก.สส.1 บก.สส.ได้สั่งการให้  พ.ต.ท.พัฒน์พงษ์ กื้อมะโน สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ ปฏิบัติราชการ สว.กก.สส.1 พร้อมชุดปฏิบัติการที่ 2   จับกุม 

นางสาวอนุสรา ชวนชม อายุ 23 ปีที่อยู่ 5 ซอยเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ซอย26 แขวงหนองบอน เขตประเวศ กทม.  

ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน"เป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าวโดยประการใดๆ เพื่อให้มีการซื้อ ขาย ให้เช่า หรือให้ยืม บัญชีเงินฝาก บัตอิเล็กทรอนิกส์ บัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนเลขหมายโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งลงทะเบียนผู้ใช้บริการในนามของบุคคลหนึ่งบุคคลใดแล้ว แต่ไม่สามารถระบุตัวผู้ใช้บริการได้ " สถานที่จับกุม บริเวณปากซอยชุมชนสระแก้ว แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ พร้อมของกลาง ดังนี้ ซิมการ์ด จำนวน 200 ชิ้น

พฤติการณ์ในคดี ก่อนจับกุม เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้ติดตามสืบสวนและจับกุม กลุ่มเป้าหมายผู้ที่ทำการลักลอบขายซิมโทรศัพท์มือถือที่มีการลงทะเบียนแล้ว ซึ่งเป็นที่อันจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้ทำการสืบทราบจนพบว่า ได้มีกลุ่มเฟสบุ๊คชื่อ “ซื้อ-ขาย ซิมลงทะเบียนมือ1 มือ2” ปรากฏอยู่ จึงได้ทำการสืบสวนไปภายในกลุ่มเฟสบุ๊คดังกล่าว จนได้เจอโพสต์เฟสบุ๊คของผู้ใช้ชื่อว่า “Valen Tine” ได้โพสต์ขายซิมโทรศัพท์ลงทะเบียนแล้วภายในกลุ่มดังกล่าว จึงได้ทำการติดต่อผู้ใช้เฟสบุ๊คดังกล่าว โดยการติดต่อนั้นได้มีการวีดีโอคอลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน พบว่ามีซิมโทรศัพท์อยู่จริง ต่อมาผู้ใช้เฟสบุ๊ค “Valen Tine” ได้ให้ติดต่อผ่านแอพพลิเคชั่นไลน์ชื่อ “Kwon Kwon” พร้อมกับได้ให้เบอร์โทรศัพท์ไว้ติดต่อเบอร์ 0970819xxxโดยได้เสนอขายซิมโทรศัพท์ให้กับเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนในราคาซิมละ 45 บาท โดยได้แจ้งว่ามีทั้งหมด 200 ซิม และได้ให้เลขบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ หมายเลขบัญชี 4260341xxx ชื่อบัญชี นางสาวอนุสรา ชวนชม ไว้สำหรับการโอนชำระค่าสินค้า พร้อมได้มีการนัดหมายให้นำซิมโทรศัพท์ดังกล่าวมาส่งที่ปากซอยชุมชนสระแก้ว แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ ในวันที่ 4 เมษายน 2567 เวลา 15.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวนจึงได้แจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบ และทำการวางแผนในการล่อซื้อ 

โดยผู้บังคับบัญชาได้มอบหมายให้ ร.ต.อ.พลวัต นาคถมยา รอง สว.กก.สส.1 บก.สส.บช.น. เป็นผู้ทำการติดต่อล่อซื้อ ต่อมาวันที่ 4 เมษายน 2567 เวลาประมาณ 15.00 น. ร.ต.อ.พลวัตฯ ได้รับการติดต่อจากเบอร์โทรศัพท์ 0970819xxx ว่าได้เดินทางมาถึงจุดนัดหมายแล้ว ร.ต.อ.พลวัตฯ จึงได้เดินทางไปยังจุดนัดหมาย พบนางสาวอนุสรา ชวนชม (ทราบชื่อ-สกุล ภายหลัง) ได้ยืนอยู่บริเวณดังกล่าว โดยได้แสดงกล่องที่บรรจุซิมไว้ ซึ่งได้ตรวจสอบพบว่ามีซิมโทรศัพท์แบบลงทะเบียนแล้วจริง จึงได้แจ้งเจ้าหน้าที่ตรวจชุดจับกุม ให้เข้าทำการจับกุมนางสาวอนุสราฯ และได้ทำการตรวจยึด ของกลางตามบัญชีของกลางแนบท้าย เจ้าหน้าที่ตรวจชุดจับกุมจึงได้แจ้งข้อกล่าวหาว่า “เป็นธุระจัดหา โฆษณา หรือไขข่าวโดยประการใดๆ เพื่อให้มีการซื้อ ขาย ให้เช่า หรือให้ยืม บัญชีเงินฝาก บัตอิเล็กทรอนิกส์ บัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนเลขหมายโทรศัพท์สำหรับบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งลงทะเบียนผู้ใช้บริการในนามของบุคคลหนึ่งบุคคลใดแล้ว แต่ไม่สามารถระบุตัวผู้ใช้บริการได้” และได้แจ้งสิทธิให้นางสาวอนุสราฯ ทราบจนเข้าใจแล้ว 

โดยในชั้นจับกุมนางสาวอนุสราฯ ได้ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยได้ให้การว่า ได้ทำการรับซื้อซิมโทรศัพท์จากแอพพลิเคชั่นออนไลน์แพลตฟอร์มต่างๆ ในราคาประมาณ 30-35 บาท เพื่อมาทำการขายต่อเพื่อเอากำไรจริง เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมจึงได้นำผู้ต้องหาไปยังที่ทำการพนักงานสอบสวน สน.พญาไท เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

🔹 นำตัวส่ง พนักงานสอบสวน สน.พญาไท เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

'พล.ต.อ.กิตติ์รัฐฯ' ประชุมมาตรการปฏิบัติในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2567 กำชับความพร้อมดูแลความปลอดภัย อำนวยความสะดวกการจราจร และลดอุบัติเหตุทางถนน ตลอดช่วงเทศกาลสงกรานต์ พร้อมเปิดโครงการฝากบ้าน 4.0 วันที่ 11-21 เมษายนนี้

วันนี้ (5 เม.ย.67) เวลา 11.00 น. พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.รรท.ผบ.ตร.) เป็นประธานการประชุมเตรียมความพร้อมในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม และอำนวยความสะดวกด้านการจราจร ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2567 ณ ห้องประชุม ศปก.ตร. ชั้น 20 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมี พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข , พล.ต.ท.นิรันดร เหลื่อมศรี , พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ,พล.ต.ท.สำราญ นวลมา, พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ , พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผบช.ประจำ สง.ผบ.ตร. และข้าราชการตำรวจที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม

พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ฯ กล่าวว่า รัฐบาลได้จัดงาน “มหาสงกรานต์ World Songkran Festival” ทั่วประเทศ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ระหว่างวันที่ 1-21 เมษายน 2567 นอกจากนี้ ได้กำหนดให้วันที่ 12-16 เมษายน 2567 เป็นวันหยุดราชการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติคาดว่าจะมีประชาชนและนักท่องเที่ยวจำนวนมาก เดินทางกลับภูมิลำเนาหรือเดินทางท่องเที่ยวตามแหล่งท่องเที่ยวหรือสถานที่จัดงานมหาสงกรานต์ทั่วประเทศ เพื่อให้การดูแลรักษาความปลอดภัย และอำนวยความสะดวกด้านการจราจร ป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดความสงบเรียบร้อยในทุกพื้นที่ สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงได้สั่งการให้ทุกหน่วยปฏิบัติตามมาตรการอย่างเคร่งครัด

มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรม ให้กองบัญชาการตำรวจนครบาล , ตำรวจภูธรภาค 1-9 , กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง , กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด , กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว , สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง , กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี และกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน จัดทำแผนปฏิบัติการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมพื้นที่จัดกิจกรรมสงกรานต์ และระดมกวาดล้างอาชญากรรมทุกประเภท ทั้งอาชญากรรมทั่วไปและอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ช่วงก่อนวันหยุดเทศกาลสงกรานต์ วันที่ 1-10 เมษายน 2567 และจัดทำ “โครงการร่วมใจ ยกระดับความปลอดภัยบ้านประชาชนช่วงเทศกาลสำคัญ (ฝากบ้าน 4.0)” ระหว่างวันที่ 11-21 เมษายน 2567 รวมระยะเวลา 11 วัน โดยให้ประชาชนเข้าร่วมโครงการผ่านแอปพลิเคชัน “OBS” หรือที่สถานีตำรวจ และให้หน่วยดำเนินการคืนบ้านที่เข้าร่วมโครงการฯ ให้เรียบร้อยภายในวันที่ 22 เมษายน 2567 

มาตรการป้องกันเหตุการณ์ก่อความไม่สงบในพื้นที่ ให้กองบัญชาการตำรวจนครบาล , ตำรวจภูธรภาค 1-9 , กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง , กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยว และกองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน กำหนดแผนเผชิญเหตุ หรือมาตรการในการป้องกันการฉวยโอกาสของผู้ไม่หวังดีหรือผู้เสียผลประโยชน์ก่อความไม่สงบในพื้นที่ โดยเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจรักษาความปลอดภัยสถานที่เชิงสัญลักษณ์ สถานที่ราชการ สถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยม และสถานที่สำคัญต่างๆ เช่น ท่าอากาศยาน ท่าเรือ สถานีรถไฟ เป็นต้น นอกจากนี้ ให้สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองปราบปรามการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 ทุกมิติ และให้สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ โรงพยาบาลตำรวจ และกองบินตำรวจ จัดเตรียมความพร้อมของเจ้าหน้าที่และเครื่องมืออุปกรณ์ ให้สามารถสนับสนุนการปฏิบัติโดยเร็วที่สุดเมื่อเกิดเหตุ 

มาตรการบังคับใช้กฎหมายและอำนวยความสะดวกด้านการจราจร แบ่งเป็น ช่วงก่อนควบคุมเข้มข้น 7 วัน ระหว่างวันที่ 4-10 เมษายน 2567 , ช่วงควบคุมเข้มข้น 7 วัน ระหว่างวันที่ 11-17 เมษายน 2567 และช่วงหลังควบคุมเข้มข้น 7 วัน ระหว่างวันที่ 18-24 เมษายน 2567 ให้กองบัญชาการตำรวจนครบาล , ตำรวจภูธรภาค 1-9 , กองบังคับการตำรวจจราจร และกองบังคับการตำรวจทางหลวง เตรียมความพร้อมกำลังพล สำรวจ ปรับปรุงเครื่องหมายจราจร ประสานขอคืนพื้นที่จุดซ่อมแซมผิวถนนให้มากที่สุด รวมทั้งสำรวจเส้นทางสำรอง ทางเลี่ยง ทางลัด จัดทำข้อมูลเส้นทางประชาสัมพันธ์ไปยังพี่น้องประชาชน จัดกำลังอำนวยความสะดวกในจุดที่มีการจราจรหนาแน่น พิจารณาเส้นทางที่จะกำหนดเป็นเส้นทางเดินรถพิเศษ (Reversible Lane) โดยเปิดช่องทางพิเศษขาออก 9 สาย 10 จังหวัด รวมระยะทาง 219 กิโลเมตร ส่วนขากลับเปิดช่องทางพิเศษ 9 สาย 14 จังหวัด รวมระยะทาง 238 กิโลเมตร รวมทั้งกำหนดเส้นทางที่ห้ามรถบรรทุก 10 ล้อขึ้นไป เดินรถในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 2567 เพื่อลดปัญหาการจราจรติดขัด และกำชับตำรวจทางหลวงและตำรวจท้องที่จัดชุดเคลื่อนที่เร็ว เพื่อลงไปแก้ปัญหาและอำนวยความสะดวกพี่น้องประชาชนหากเกิดอุบัติเหตุหรือต้องการความช่วยเหลือ อย่างรวดเร็วทันท่วงที

นอกจากนี้ ได้กำชับให้มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด เพื่อมุ่งเน้นการลดอุบัติเหตุทางถนนตามมาตรการ 10 ข้อหาหลัก และพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 กรณีห้ามจำหน่ายสุราในเวลาห้าม ห้ามดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในสถานที่กฎหมายกำหนด ห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้บุคคลอายุต่ำกว่า 20 ปี และบุคคลที่มีอาการมึนเมาจนครองสติไม่ได้ รวมทั้งกรณีเกิดอุบัติเหตุจราจรที่มีคู่กรณี หรือมีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต ให้พนักงานสอบสวนทำการตรวจวัดระดับแอลกอฮอล์ผู้ขับขี่ทุกราย และดำเนินคดีให้ครบทุกข้อหา ส่วนผู้ขับขี่ที่อายุต่ำกว่า 20 ปี ให้ขยายผลถึงผู้จำหน่าย ผู้ส่งเสริม หรือยินยอมให้เด็กประพฤติตนไม่สมควร

มาตรการประชาสัมพันธ์ ให้โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมทั้งโฆษกทุกหน่วย และกองสารนิเทศ ประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลข่าวสาร แจ้งเตือน และขอความร่วมมือประชาชนในการป้องกันอาชญากรรม การประทุษร้ายต่อทรัพย์ หรืออันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ รวมทั้งประชาสัมพันธ์เส้นทางในการเดินทางให้เกิดความสะดวก ปลอดภัย โดยประสานความร่วมมือกับภาคีเครือข่าย เช่น สวพ.91 , จส100 ในการประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารต่างๆ ไปยังพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ

นอกจากนี้ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ ฯ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติวางมาตรการดูแลพี่น้องประชาชนในช่วงเทศการสงกรานต์ทุกมิติอย่างเต็มที่ ร่วมทั้งการดูแลความปลอดภัยทางถนน เพื่อให้มีการเกิดอุบัติเหตุให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนต้องการแจ้งเหตุ ขอความช่วยเหลือ สามารถใช้หมายเลขสายด่วน 191 หรือสายด่วนตำรวจทางหลวง 1193 หรือในพื้นที่กรุงเทพมหานคร สายด่วนกองบังคับการตำรวจจราจร 1197 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

'ต่างชาติ' อึ้ง!! สัญญาณ 5G ของไทยสุดครอบคลุม  ทั่วถึงทุกพื้นที่ 'บนภูเขา-กลางทะเล' ก็ยังมีสัญญาณ

(4 เม.ย.67) เป็นไวรัลที่ถูกพูดถึงไม่น้อย เมื่อผู้ใช้ X รายหนึ่งได้โพสต์รูปแผนที่สัญญาณ 5G ของเอเชีย หากพื้นที่ใดปรากฏจุดสีม่วงมากแสดงว่ามีสัญญาณ 5G ครอบคลุม

ผลลัพธ์คือนอกจาก สิงคโปร์ ฮ่องกง และไต้หวัน ไทยยังเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่มีสัญญาณ 5G ครอบคลุม ขึ้นจุดสีม่วงโดดเด่นออกมาจากประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ลาว กัมพูชา และเมียนมา ทำเอาทางเจ้าของโพสต์ถึงกับเอ่ยชมว่า ‘สัญญาณ 5G ของไทยนั้นบ้าไปแล้ว’

ซึ่งโพสต์ครั้งนี้ถูกแชร์ออกไปอย่างกว้างขวางทั้งชาวไทยและต่างชาติ สำหรับชาวไทยแล้ว บ้างก็รู้สึกว่าอินเทอร์เน็ตไทยยังช้าอยู่ บ้างก็ร่วมแชร์ประสบการณ์การใช้อินเทอร์เน็ตไทยที่สุดแสนจะครอบคลุม แม้แต่ในน้ำ กลางทะเล ก็ยังมีอินเทอร์เน็ตให้เล่น

นอกจากนี้ยังมีชาวเน็ตจากประเทศอาเซียนจำนวนมากที่แห่เข้ามาคอมเมนต์ โดยเฉพาะชาวอินโดนีเซีย เพราะต่างรู้สึกอิจฉาที่ไทยมีสัญญาณ 5G ครอบคลุม แตกต่างจากประเทศพวกเขาที่พบในบางพื้นที่เท่านั้น

“อินโดนีเซียทำไม่ได้หรอก”, “อินโดนีเซียก็ทำได้แค่ฝัน โดยเฉพาะตรงเกาะสุมาตรา ไม่น่าแปลกใจเลยที่ฉันไม่เคยเห็น 5G แบบนี้บนหน้าจอโทรศัพท์ของฉันเลย แม้จะมีอุปกรณ์ที่ทันสมัย สามารถรองรับ 5G ได้มากแค่ไหนก็ตาม”, “อินโดนีเซียล้าหลังไปตลอดกาล 555 ฉันอาศัยอยู่ในกาลิมันตัน 4G ของเรายังรู้สึกเหมือน 3G เลย”, “เห็นความต่างของอินเทอร์เน็ต ตอนที่ฉันเดินทางจากพะเยากลับมาเลเซีย ฉันเลยคิดว่าอยากไปอยู่พะเยาแทน”

'มูลนิธิพระราหู' มอบ 1 แสน ช่วยครอบครัว ‘อดีต ผกก.ลาดยาว’ ที่เสียชีวิต หวังเป็นทุนการศึกษาแก่บุตรและค่าครองชีพของครอบครัวต่อไป

(4 เม.ย 67) พ.ต.อ.นครพัฒน์ พรหมพันธุ์ ที่ปรึกษามูลนิธิพระราหู โดย ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ประธานที่ปรึกษามูลนิธิฯ ได้มอบทุนการศึกษาและค่าครองชีพในการดํารงชีวิตกับทางมูลนิธิ ให้กับ นางอมรรัตน์ กิจโสภณไพศาล และครอบครัว ภรรยา พ.ต.อ.วัฒนกิจ เฉลาประโคน อดีต ผกก.สภ.ลาดยาว จ.นครสวรรค์ ที่เสียชีวิตกะทันหัน เมื่อวันที่ 20 ก.พ. 66 ขณะเข้ามาประชุมที่สโมสรตำรวจ ร่วมกับข้าราชการตำรวจอื่น เพื่อตอบข้อซักถามเกี่ยวกับสถิติการดำเนินคดีกับคนต่างด้าว

ขณะนั้นพ.ต.อ.วัฒนกิจ นั่งอยู่บนเก้าอี้ปกติในห้องประชุม จู่ๆ ก็เกิดอาการวูบหมดสติ เพื่อนๆ พยายามช่วยทำซีพีอาร์แต่ไม่เป็นผล ก่อนนำตัวส่ง รพ.วิภาวดี ช่วยเหลือปั๊มหัวใจนานเกือบ 1 ชั่วโมง และเสียชีวิต ส่วนสาเหตุคาดว่าพักผ่อนไม่เพียงพอก่อนหมดสติและเสียชีวิต

ทางมูลนิธิพระราหู ทราบเรื่อง ว่าทางครอบครัวประสบปัญหาในการดำรงชีวิตประจำวัน เนื่องจากผู้เสียชีวิตเป็นหลักในการดูแลครอบครัว ทางมูลนิธิ พระราหู จึงได้มอบทุนการศึกษาบุตรและค่าครองชีพจำนวน 100,000 บาท ให้กับทางครอบครัวของ พ.ต.อ.วัฒนกิจ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน และจะพิจารณาให้ทุนการศึกษาแบบต่อเนื่องต่อไป

โดยนางอมรรัตน์ ได้กล่าวขอบคุณ มูลนิธิพระราหู เป็นอย่างสูงหลังจาก พ.ต.อ.วัฒนกิจ สามีเสียชีวิต ที่ถือว่าเป็นเสาหลักของครอบครัว เพราะตัวเองเป็นแม่บ้าน ต้องดูแลบุตรอีก 2 คนที่กำลังศึกษาอยู่

‘เด็กหญิงชาวสงขลา’ ก้มกราบพระบาท ‘กรมสมเด็จพระเทพฯ’ พร้อมเล่าขณะเข้าเฝ้า ครั้งหนึ่งได้เป็นคนไข้ในพระราชานุเคราะห์

(4 เม.ย. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘ธรรมศาสตร์พิทักษ์ธรรม’ ได้โพสต์รูปภาพพร้อมข้อความเกี่ยวกับ ‘น้อง นร. สุดยอดเยาวชน’ ควรดูไว้เป็นแบบอย่างที่ควรทำตาม ระบุว่า…

“#ซาบซึ้ง! ‘น้อง นร. สุดยอดเยาวชน’ ควรดูไว้เป็นแบบอย่าง ที่ควรทำตาม

...วันพุธ ที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯ ไปทรงเปิด ‘การประชุมวิชาการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย ครั้งที่ ๔๒’ พร้อมทั้งทรงฟัง ‘ปาฐกถาพิเศษของนักวิทยาศาสตร์รางวัลโนเบล’ ณ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ลาดพร้าว

...หลังจากทรงฟังบรรยายเสร็จแล้ว ก็จะมี ‘นิทรรศการโครงงานวิทยาศาสตร์’ ที่ ‘นักเรียนระดับชั้นมัธยมที่ได้รับรางวัลชนะเลิศ’ มานำเสนอผลงานให้ทรงทอดพระเนตร

...ซึ่ง ‘บูธนิทรรศการของโรงเรียนสทิงพระวิทยา จ.สงขลา’ น้องนักเรียนผู้หญิงชื่อบุปผา ได้ถวายรายงานจนจบ ต่อจากนั้นได้หันไปหยิบ ‘เอกสารฉบับหนึ่ง’ แล้วกราบบังคมทูล ‘สมเด็จพระเทพรัตนฯ’ ว่า ขอพระราชทานทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย ‘เอกสารใบส่งตัวคนไข้’ พร้อมทั้งลงไปกราบพระบาท แล้วเล่าถวายว่า "เธอคือเด็กผู้หญิง ที่ถูกน้ำมันในตะเกียงไฟลวกหน้าและลำตัวตั้งแต่ อายุ ๖ เดือน"

...ตอนอายุได้ ๒ ขวบ ‘สมเด็จพระเทพฯ’ ได้เสด็จฯ ไปจังหวัดสงขลา แล้ว ‘แม่ของน้องบุปผา’ ได้เข้าเฝ้าฯ รับเสด็จ และขอพระราชทานความช่วยเหลือที่หน่วยแพทย์

...ซึ่งท่านได้ ‘ทรงรับเด็กหญิงคนนี้เป็นคนไข้ในพระราชานุเคราะห์’ เมื่อราว ๆ ๑๖ ปีก่อน ทำให้เธอได้รับ ‘การรักษาจนอาการดีขึ้น’ ถึงแม้จะมี ‘แผลเป็นบนใบหน้า’ โดนเพื่อนล้อต่าง ๆ นานา เธอก็ตั้งใจเรียนโดยไม่ย่อท้อ เพื่อวันหนึ่งจะมีโอกาส ‘ได้เข้าเฝ้าฯ กราบพระบาทสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่แม่เธอเคยสอนไว้’

...ซึ่งวันนี้ เธอทำสำเร็จแล้ว! น้องบอกกับพระองค์ท่านว่าตั้งใจเรียน ‘ได้ที่หนึ่ง’ มาตลอด แล้วอยากตอบแทนสังคมด้วยการเป็น ‘คุณครู’ ตอนนี้ ‘สอบตรงมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์’

...ท่านรับสั่งว่า "ขอให้ตั้งใจ! ถ้าสอบได้! จะพระราชทานทุนให้เรียนจนจบ" โห!! น้องน้ำตาท่วมก้มลงไปกราบอีกรอบ ทุกคนรอบข้างนี่! น้ำตาไหลกันหมด…”

Otto Manu

'หมอดื้อ' หวั่น!! สหรัฐฯ กำลังสร้างแล็บค้างคาวติดเชื้อไวรัส วิจัย 'อีโบลา-โควิด-นิปาห์' ตัดแต่งพันธุกรรมให้ก่อโรค

(4 เม.ย. 67) นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กในหัวข้อ 'สหรัฐฯ กำลังสร้างแล็บค้างคาวติดเชื้อไวรัส อีโบลา โควิด และนิปาห์' ระบุว่า...

สหรัฐฯ กำลังสร้างแล็บค้างคาวติดเชื้อไวรัส ทั้ง อีโบลา โควิด และนิปาห์ ด้วยทุน 12 ล้านเหรียญ อนุมัติโดย นาย แอนโทนี เฟาซี ผ่านไปยัง Colorado state university (CSU) ร่วมกับ EcoHealth alliance โดยมีนาย Peter Daszak ดำเนินการสร้างห้องปฏิบัติการขนาดพื้นที่ 14,000 ตารางฟุต (ใช้เงิน 6.7 ล้านเพรียญ) และร่วมกับนักวิทยาศาสตร์จีน นำเข้าค้างคาวจากเอเชียทดลองเชื้อโควิด, อีโบลา, นิปาห์

โครงการได้เริ่มดำเนินการเดือนตุลาคม 2023 และจะปฏิบัติการได้ในปี 2025

นพ.ธีระวัฒน์ เผยอีกว่า ข้อมูลดังกล่าวได้รับการเปิดเผยจากองค์กรการกุศล White coat waste project จากกฎหมาย ความโปร่งใส ที่สามารถขอให้ หน่วยงาน เปิดเผยข้อมูล และเผยแพร่แล้ว ผ่านทาง X และ dailymail วันที่ 10 พฤศจิกายน 2023

ทั้งนี้ ผู้ให้ทุนและผู้ดำเนินการ อ้างว่าจะเป็นห้องปฏิบัติการหนึ่งเดียวในโลกที่สามารถนำค้างคาวจากเอเชีย (และทั้งโลก) มาเลี้ยงและออกลูก และจะทำการปล่อยเชื้อที่สำคัญคือ อีโบล่า โควิด และเชื้อนิป้าห์ โดยจะทำให้สามารถเข้าใจว่าเชื้อไวรัสร้ายแรงเหล่านี้อยู่ในตัวค้างคาวได้อย่างไร และแพร่เชื้อไปมนุษย์ได้อย่างไร

ห้องปฏิบัติการนี้อยู่ใน Campus ของ CSU ใน Fort Collins ทางเหนือของ Denver ซึ่งอยู่ห่างไม่มากจากที่มีประชาชนอาศัยอยู่ราว 168,000 คน

ในเดือนกันยายน 2023 NIH ได้ประกาศยุติการให้ทุนสำหรับการหาไวรัสจากค้างคาวและสัตว์ป่าที่ให้ในและนอกประเทศ

แต่ขณะเดียวกัน ก็ได้วางแผนในแผ่นดิน สหรัฐฯ เอง ในเรื่องดังกล่าว และกำลังได้รับการต่อต้านจากสมาชิกสภาของสหรัฐฯ

ทั้งนี้ มี ดร.เทรซี่ โกลด์สไตน์ เป็นผู้ขับเคลื่อนสำคัญของโครงการ deep VZN ของ USAID ในการหาไวรัสจากค้างคาว หลังจากที่ได้รับทราบว่าจะมีการยุติโครงการจากการที่มีการเปิดเผยข้อมูลของหนังสือพิมพ์วอชิงตัน Post ได้ลาออกและรับตำแหน่งใหม่เป็นผู้อำนวยการของสถาบันone Health ของ CSU ในเดือน มิถุนายน 2023 และรับผิดชอบงานของห้องปฏิบัติการค้างคาวและเชื่อไวรัสต่อ

ย้อนไปในปี 2018 นายเฟาซี ได้นำไวรัสจาก สถาบันวิจัยไวรัส อู่ฮั่น มาติดเชื้อให้ค้างคาว ที่ได้มาจากสวนสัตว์แมรี่แลนด์ ในห้องปฏิบัติการที่รัฐ Montana ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหนึ่งปีก่อนหน้าการเกิดระบาดโควิด และทำรายงานไปว่าไม่เกี่ยวข้องกับการเกิดโควิด แต่นี่เป็นหลักฐานของการเชื่อมโยงการทำงานของสหรัฐฯ กับสถาบันไวรัสอู่ฮั่นของประเทศจีนอีกชิ้นหนึ่ง นอกเหนือจากที่มีการสืบสวนสอบสวนและเปิดเผยในสภาคองเกรส และเอกสารต่อประชาชนทั่วไปในเดือนมกราคม 2023 (มีภาพจาก Dailymail แสดงถึงพื้นที่ของห้องปฏิบัติการและพิมพ์เขียว)

จากการรายงานของหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ในวันที่ 10 เมษายน 2023 สหรัฐฯ ผ่านทางกระทรวงกลาโหม USAID DARPA DTRA NIH และ EcoHealth alliance ส่งเงินทุนให้ประเทศต่าง ๆ ในทุกทวีปของโลกในการเสาะแสวงหาไวรัสใหม่ ๆ ที่ไม่รู้จักชื่อในค้างคาวและสัตว์ป่ารวมทั้งในเอเชียและประเทศไทยเอง ตลอดจนให้มีการส่งไวรัสเหล่านี้เพื่อไปตัดแต่งพันธุกรรมให้เข้ามนุษย์และก่อโรคได้ดียิ่งขึ้น

ข้อมูลใน Dailymail 31 ตุลาคม 2023 อ้างอิงเอกสารจาก องค์กร white coat waste project โดยได้ข้อมูลผ่านกฎหมาย ความโปร่งใส พบว่าในระหว่างปี 2015 ถึง 2023 มีการผันเงินของสหรัฐฯ จากสถาบัน NIH ให้ห้องปฏิบัติการในประเทศจีนเพื่อทดลองในสัตว์ เป็นจำนวน 3,306,061 เหรียญสหรัฐ

1. University of Southern California จากทุนที่ได้รับ 1.9 ล้านเหรียญ ให้ Peking University 576,453 เหรียญในการเจาะสมองหนูและฉีดไวรัสเข้าไปในสมองหลังจากนั้นทำให้ตายและศึกษาสมอง

2. University of South Florida จากทุนที่ได้รับ 28.9 ล้านเหรียญ ให้ China Medical University, Kunming Medical University, and Beijing’s Zhongyu Bioengineering Co. 812,906 เหรียญ ในการสร้างเชื้อมาลาเรียสายพันธุ์ดื้อยาและฉีดเข้าไปในหนูจากนั้นให้ยุงเข้าไปกัดและดื่มเลือด

3. University of California-Irvine ได้ทุน 4.3 ล้านเหรียญ ให้ Wuhan Institute of Virology 216,000 เหรียญ ฉีดเชื้อ ไวรัส เฮอร์ปีส์ เข้าไปในสมองหนู

4. Microsoft co-founder Paul Allen’s Allen Institute ได้ทุน 64.7 ล้านเหรียญ ให้ 993,000 เหรียญ แก่ Huazhong University of Science and Technology ในการตัดชิ้นเนื้อสมองของหนูอายุน้อยน้อยและทำการวิเคราะห์

5. Emory University ได้ทุน 38.6 ล้านเหรียญ ให้ 515,418 เหรียญ แก่ Chinese Academy of Agricultural Sciences Harbin Veterinary Institute ในการ รวบรวมเชื้อไวรัสไข้หวัดนกที่อันตรายจากตลาดสดของประเทศจีนและนำเชื้อเหล่านี้ฉีดเข้าจมูกของหนู mice และ guinea pigs

6. University of Illinois ได้ทุน 1.7 ล้านเหรียญ ให้ 149,832 เหรียญ แก่ Institute Pasteur of Shanghai ในการทำให้หนูติดเชื้อวัณโรคหลังจากนั้นทำให้ตายและทำการศึกษาต่อ

7. Eastern Virginia Medical School ได้ทุน 35.5 ล้านเหรียญ ให้ 42,452 เหรียญ แก่ Zhangliang Digging Machine Business Department ในการศึกษา ใช้ยาตับอักเสบ และยา HIV ในลิง

นพ.ธีระวัฒน์ กล่าวอีกว่า กระบวนการเหล่านี้เกิดขึ้นมานานและในประเทศไทยเองด้วย ผ่านองค์กรต่างประเทศ ที่ฝังตัวในประเทศไทย อย่างน้อย 33 ปี และปัจจุบันอยู่ในสถาบันหลัก มหาวิทยาลัยและโรงเรียนแพทย์ต่าง ๆ ทั้งด้านคนและสัตว์ ทั้งการรวบรวมตัวอย่างเชื้อที่ไม่ใช่เฉพาะ แต่เชื้อไวรัสรวม แบคทีเรียและปรสิต จนกระทั่งมีการตัดต่อตกแต่งพันธุกรรม โดยส่งให้ต่างประเทศในเครือข่าย

นี่เป็นสิ่งที่คนไทย ต้องมีความตระหนักรู้ว่า...ประเทศไทยเข้าไปมีส่วนเกี่ยวพันและเมื่อเกิดความเสียหายในประเทศที่ไม่ใช่แต่ประเทศไทยอย่างเดียว เป็นที่ใดในโลกนี้และสืบค้นความเชื่อมโยง 

ประเทศไทยคงต้องรับผิดชอบ

‘แฟนข่าวโหนกระแส’ ชม ‘ทนายปลาย’ น่ารัก-น้ำเสียงดี-พูดน่าฟัง ฟาก ‘หนุ่ม กรรชัย’ ถึงขั้นเอ่ยปากอยากเชิญมาร่วมรายการตลอด

หลังกลายเป็นดราม่าขึ้นมา เมื่อ ‘แม่ปูนา แม่ค้าปูดอง-อ่องมันปู’ ติดป้ายทวงหนี้ ‘จั๊กกะบุ๋ม เชิญยิ้ม’ ตลกดัง หลังทำของให้ตลกดังไปขาย แต่กลับไม่เคยได้เงิน ติดตามทวงเท่าไหร่ก็ไม่เคยได้ จนต้องไปติดป้ายทวงเงินกลางห้างดัง

ก่อนหน้านี้ ทั้งแม่ปูนา และจั๊กกะบุ๋ม มาออกรายการโหนกระแส ดำเนินรายการโดย หนุ่ม กรรชัย ระหว่างออกรายการจั๊กกะบุ๋มเล่าที่มาที่ไปของหนี้ พร้อมระบุตอนนี้ต้องใช้หนี้รายวัน ถึงวันละ 40,000 บาท แถมยังบอกว่าตอนนี้คำว่าไม่มีไม่หนีไม่จ่าย เหมือนเป็นแบรนด์โลโก้ของตัวเองไปแล้ว

ไม่จบแค่นั้น เมื่อรอบนี้ แม่ปูนา โดนขุดและกล่าวหา อ้างว่าแม่ปูนาก็เป็นหนี้จากการขายมันปูและปูเช่นกัน ทำให้รายการโหนกระแส ดำเนินรายการโดย หนุ่ม กรรชัย เชิญ แม่ปูนา มาชี้แจงปมร้อนนี้แบบเคลียร์ชัด ๆ ในรายการ

โดยการดำเนินรายการ ตอนแรกมีทนายเจมส์ มาร่วมแสดงความคิดเห็นทางข้อกฎหมายในกรณีนี้ แต่เนื่องจากทนายเจมส์ติดธุระ เลยต้องขอตัวจากรายการไปก่อน

ทำให้ทนายไพศาล ส่งทีมงานทนายความมาร่วมรายการ เป็นทนายสาวชื่อ ‘ทนายปลาย เอมมิกา สุดพันธ์’ เมื่อแฟนรายการได้เห็นทนายสวยหน้าใส เสียงหวาน ถึงขนาดหนุ่ม กรรชัย ยังบอกต่อไปจากนี้จะเชิญทนายปลายมาออกรายการตลอด

จากนั้นหนุ่ม กรรชัย ถามเคยออกทีวีหรือไม่ และเขินมั้ย ทนายปลายจึงตอบว่า ไม่เคยออกทีวี และเขินนิดนึง

เช่นเดียวกับแฟนรายการที่เข้ามาคอมเมนต์กันแบบรัว ๆ เพราะเพียงแค่ทนายปลายพูดแค่ว่า “สวัสดีค่ะ” คนก็แห่เข้ามาคอมเมนต์กันสนั่นว่า “พูดดีมากเลย”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ ทนายปลาย เอมมิกา ปัจจุบันเป็นหนึ่งในทีมทนายความของ ทนายไพศาล เรืองฤทธิ์ โดยเพิ่งจบจากสำนักวิชานิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง เพิ่งรับปริญญาไม่นานมานี้

'ท่านอ้น' ปิดคอมเมนต์ Facebook  หลังเปิดแล้วเจอแต่คนมาปั่นประเด็น

(4 เม.ย. 67) ‘ท่านอ้น วัชเรศร วิวัชรวงศ์’ โอรสในพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้โพสต์เฟซบุ๊ก Vacharaesorn Vivacharawongse ระบุว่า

“กราบสวัสดีครับเพื่อน ๆ ผมไม่เคยเปิดคอมเมนต์เลย แต่มีคนเขียนข้อความมาหาว่าขอให้เชื่อใจในคนที่ดู และติดตาม Facebook ของผม เลยเปิดคอมเมนต์ แต่ตอนนี้ต้องปิดใหม่ เพราะว่ามีแต่คนเสียมารยาท สร้างประเด็นหาเรื่อง ผมถวายพระพร ผู้ซึ่งเป็นอาของผมด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่คนก็มาสร้างประเด็นว่าทำเพื่ออะไร ขอให้มองตัวเองด้วยครับว่าเวลาใส่ร้ายคนอื่นหรือว่ามองคนอื่นด้วยความขุ่นมัวตัวเองจริง ๆ เป็นคนยังไง ผมมีความบริสุทธิ์ใจ”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top