Sunday, 6 July 2025
NEWS FEED

ผู้ว่าฯ ชลบุรี เป็นประธานเปิดโครงการ 'สุขภาพดีใต้ร่มพระบารมี'

(17 มิ.ย. 68) ที่โรงเรียนสัตหีบ เขตฐานทัพเรือสัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี นายธวัชชัย ศรีทอง ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เป็นประธานเปิดโครงการ 'สุขภาพดีใต้ร่มพระบารมี' โดยมี หม่อมราชวงศ์จิยากร อาภากร เสสะเวช กรรมการอำเนวยการมูลนิธิสงเคราะห์เด็กของสภากาชาดไทย คุณกฤตยา อุ่นสากล กรรมการและเลขนุการมูลนิธิ แมค แฮปปี้ แฟมิลี่ พลเรือโท วัชระ พัฒนรัฐ ผู้บัญชาการฐานทัพเรือสัตหีบ คุณนริสา พัฒนรัฐ ประธานชมรมภริยาฐานทัพเรือสัตหีบ นายกเหล่ากาชาดจังหวัดชลบุรี คณะกรรมการเหล่ากาชาดจังหวัดชลบุรี หัวหน้าส่วนราชการ หัวหน้าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ผู้บริการสถานศึกษา ผู้บริการองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำชุมชน คณะครูและนักเรียน เข้าร่วมโครงการ ณ โรงพลศึกษา 

มูลนิธิสงเคราะห์เด็กของสภากาชาดไทย ดำเนินงานตามพระราชดำริของ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี องค์อุปนายิกาผู้อำนวยการสภากาชาดไทย และองค์ประธานกรรมการอำนวยการ มูลนิธิสงเคราะห์เด็กของสภากาชาดไทย ที่ทรงห่วยใยด้านสุขภาพอนามัยของประชาชนที่อยู่ห่างไกลในถิ่นทุรกันดาร โดยเฉพาะเด็กควรได้รับบริการด้านการแพทย์และสุขภาพอนามัย การให้ความรู้ การเผ้าระวัง และการดูแลสุขภาพในชีวิตประจำวัน โครงการ 'สุขภาพดีใต้ร่มพระบารมี' ในครั้งนี้เป็นการผนึกกำลังกันระหว่างสภากาชาดไทย โดยมูลนิธิสงเคราะห์เด็กของสภากาชาดไทย มูลนิธิ แมค แฮปปี้ แฟมิลลี่ กองทัพเรือ โดยฐานทัพเรือสัตหีบ โรงพยาบาลทันตกรรมกาจักรีสิรินธร มูลนิธิทันตแทพย์เอกชน (ประเทศไทย) และส่วนราชการในจังหวัดชลบุรี ซึ่งกำหนดให้บริการระหว่างวันที่ 17 - 20 มิ.ย.68 โดยวันที่ 17 - 18 มิ.ย.68 ให้บริการ ณ โรงเรียนสัตหีบ เขตฐานทัพเรือสัตหีบ อ.สัตหีบ วันที่ 19 - 20 มิ.ย.68 ให้บริการ ณ โรงเรียนบ้านบ่อวิน (ลิขิตราษฎร์บำรุง) อ.ศรีราชา จึงนับได้ว่ากิจกรรมในครั้งนี้เป็นกิจกรรมสาธารณกุศลที่มีการผนึกกำลัง ร่วมแรงร่วมใจอย่างแท้จริงในการบริการด้านสุขภาพอนามัยแก่เด็กและเยาวชนในพื้นที่จังหวัดชลบุรี

สำนักงานตำรวจแห่งชาติย้ำแข่งรถในทางโทษหนัก หากปล่อยให้ผู้ที่ไม่มีใบขับขี่นำรถไปใช้ เจ้าของรถมีความผิดด้วย รวมทั้งผู้ปกครองปล่อยปละละเลยมีความผิดเช่นกัน

(17 มิ.ย. 68) พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการศึกษา ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ปัญหาการแข่งรถในทางของกลุ่มวัยรุ่นหรือเยาวชน เป็นปัญหาที่สร้างความเดือดร้อนและความไม่ปลอดภัยแก่ประชาชนทั่วไปอย่างมาก การกระทำดังกล่าวไม่เพียงแต่ผิดกฎหมาย แต่ยังสร้างความเดือดร้อนรำคาญจากเสียงดังและความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุอีกด้วย ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้มีการกำชับเน้นย้ำให้ตำรวจจราจรทุกพื้นที่ร่วมดูแลป้องกันและปราบปรามไม่ให้เกิดการกระทำความผิดดังกล่าวอย่างเข้มงวด หากพบจะมีการดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด ทั้งกลุ่มวัยรุ่นที่รวมกลุ่มแข่งรถในทาง ร้านรับแต่งรถ และผู้ปกครองยังต้องรับผิดด้วย

กรณีตัวอย่างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรพื้นที่ต่างๆ บูรณาการกำลังร่วมกับฝ่ายป้องกันปราบปรามในการกวดขันจับกุมมีอยู่อย่างต่อเนื่อง เช่น กรณีเมื่อช่วงค่ำของวันที่ 13 มิถุนายน 2568 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ป่าโมก ได้รับแจ้งเหตุวัยรุ่นรวมกลุ่มส่งเสียงดังและก่อความเดือดร้อนรำคาญบริเวณบ้านหลังหนึ่งในพื้นที่ หมู่ 1 ต.สายทอง อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง ซึ่งทั้งสองกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินคดี โดยเชิญผู้กระทำผิดทั้งหมด และผู้ปกครองมาดำเนินการตามกฎหมายพร้อมทำทัณฑ์บน หากกระทำผิดซ้ำอีกผู้ปกครองจะมีความผิดตาม พ.ร.บ คุ้มครองเด็กและเยาวชนฯ โดยมีเจ้าหน้าที่พัฒนาสังคมจังหวัด เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองร่วมเป็นสักขีพยานในครั้งนี้

ทั้งนี้ พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 64 กำหนดไว้ชัดเจนว่า เจ้าของรถมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ หากปล่อยให้ผู้ที่ไม่มีใบขับขี่นำรถไปใช้ โดยระบุว่า “เจ้าของรถห้ามให้หรือยินยอมให้บุคคลที่ไม่มีใบอนุญาตขับขี่ใช้รถของตน” หากฝ่าฝืนมีโทษทั้งจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ผู้ปกครองควรตระหนักให้มาก 

ส่วนผู้ที่จัด สนับสนุน หรือส่งเสริมให้มีการแข่งรถในทาง โดยไม่ได้รับอนุญาตเป็นหนังสือจากพนักงานจราจรฯ มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับ 10,000 - 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

สำหรับผู้ปกครองของผู้เยาวชนที่อายุต่ำกว่า 18 ปี หากปล่อยปละละเลยให้กระทำผิด มีโทษเช่นเดียวกันกันกับผู้กระทำความผิดมาตรา 43 ทวิ พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2542 มาตรา 26(3) และมาตรา 75 จำคุกไม่เกิน 3 เดือนหรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ 

พล.ต.ท.นิธิธรฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า การเฝ้าระวังพฤติกรรมกลุ่มวัยรุ่นและการบูรณาการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน โดยเฉพาะในพื้นที่ต่างจังหวัดที่เป็นชุมชนแน่นแฟ้น เป็นสิ่งสำคัญในการลดปัญหาอาชญากรรมและสร้างความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน พร้อมขอชื่นชมเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจรทุกพื้นที่ที่ทำงานเชิงรุกในการป้องกันปราบปรามการกระทำความผิดดังกล่าวอย่างเข้มงวด 

หากประชาชนพบพฤติกรรมต้องสงสัย หรือเหตุร้ายในพื้นที่ สามารถแจ้งเหตุผ่านสายด่วน 191 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง หรือขอความช่วยเหลือด้านจราจรและความปลอดภัยได้ที่ สายด่วนกองบังคับการตำรวจจราจร 1197 และสายด่วนตำรวจทางหลวง 1193 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

‘ฮุนเซน’ เดือด! ประกาศ ‘สนธิ’ คือศัตรูกัมพูชา ลั่นอย่ามาเย่อหยิ่ง ตนยังมีอำนาจ พร้อมเตือน ‘จตุพร’ เจียมตัวหน่อย เพราะเคยหนีมาหลบภัย

เมื่อวานนี้ (16 มิ.ย.68) สำนักข่าว Fresh News ของกัมพูชา รายงานว่า สมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ได้ส่งสารทางการเมืองถึงชาวกัมพูชา ไม่ให้หัวรุนแรงเหมือนกลุ่มคนไทยในกรุงเทพฯ ที่ถูกยุยงโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำกลุ่มเสื้อเหลือง และได้แนะนำให้นายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตสมาชิกกลุ่มเสื้อแดงที่เข้าร่วมกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล ให้ใจเย็นกว่านี้หน่อย เพราะเคยไปขอหลบภัยกับสมเด็จฮุนเซนมาก่อน

สมเด็จฮุนเซนแถลงในสารพิเศษเมื่อเช้าวันที่ 16 มิถุนายน 2568 ในการประชุมวุฒิสภาว่า นายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นศัตรูกับชาติกัมพูชา โดยมองว่าเขมรเป็นศัตรูตั้งแต่แรกจนถึงปัจจุบัน

สมเด็จฮุนเซนเตือนว่า “สนธิ ลิ้มทองกุล ไม่รู้เลยหรือ ตอนนี้แม้ฮุนเซนพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว แต่ฮุนเซนยังคงกุมอำนาจในกัมพูชาอย่างมั่นคง โปรดอย่าเข้าใจผิด ฮุนเซนยังไม่สูญเสียอำนาจ คุณต้องรู้จักตำแหน่งเดโชที่กษัตริย์มอบให้ อย่าเย่อหยิ่งกับกัมพูชาและดูถูกกัมพูชา”

สมเด็จฮุนเซน กล่าวว่าเขาปกครองและมีส่วนสนับสนุนการปกครองกัมพูชามาเป็นเวลา 47 ปี นายสนธิ ลิ้มทองกุล ควรจะรู้ว่าเขาเป็นใครจริง ๆ

ฮุนเซนกล่าวอีกว่า “และนายจตุพร พรหมพันธุ์ ซึ่งเคยลี้ภัยในกัมพูชาและตอนนี้ร่วมมือกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล โปรดนอบน้อมกว่านี้หน่อยน้อง ตอนแรกคุณซึ่งเป็นคนเสื้อแดงวิ่งมาลี้ภัยที่นี่ ตอนนี้คุณเริ่มโจมตีกัมพูชา โปรดนอบน้อมกว่านี้หน่อย คุณรู้ถึงความสามารถของฮุนเซน คุณเคยลี้ภัยกับผม ผมให้คุณกิน ผมเคยเลี้ยงดูคุณ”

สมเด็จฮุนเซนยังตอบโต้ข้อเรียกร้องของนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่ว่าประเทศไทยควรโจมตีกัมพูชาและยึดนครวัดและแลกเปลี่ยนกับปราสาทพระวิหาร โดยบอกว่า “กัมพูชาไม่ใช่ของบริโภคง่าย ๆ คุณกำลังมองกัมพูชาผิด”

รองแม่ทัพภาค 2 โพสต์เดือด!!..กัมพูชาละเมิดซ้ำซาก เปรียบเป็น ‘เด็กแตกเนื้อหนุ่ม ดื้อด้าน ไม่ฟังใคร’

(16 มิ.ย. 68) พล.ต.ณัฏฐ์ ศรีอินทร์ รองแม่ทัพภาคที่ 2 โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก แสดงความเห็นต่อข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา พร้อมแนบหมายเหตุ 5 ข้อ เกี่ยวกับบันทึกความเข้าใจ MOU43 ซึ่งเป็นกรอบการเจรจาผ่านคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC)

รองแม่ทัพภาคที่ 2 เน้นว่าแม้ MOU43 จะมีเจตนาดีในการปักปันเขตแดนเพื่อเสริมสร้างสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา กัมพูชากลับละเมิดข้อตกลงอย่างต่อเนื่อง ทั้งการสร้างอาคาร กาสิโน ตัดถนน และปลูกพืชในพื้นที่พิพาท จนล่าสุดเกิดกรณีการเผาศาลาและขุดคูเลทล้ำแดน ซึ่งนำไปสู่การปะทะ

พร้อมกับตั้งข้อสังเกตว่า แม้ MOU43 จะกำหนดให้เจรจาโดยสันติ แต่กัมพูชากลับยื่นฟ้องศาลโลกแทนที่จะปรึกษาหารือ จึงตั้งคำถามว่า “เพื่อนบ้านที่ดีควรทำแบบนี้หรือไม่” และชี้ว่าหากไม่มีความจริงใจต่อกัน อาจต้องพิจารณายกเลิกข้อตกลงทั้งหมด

ตอนท้ายของโพสต์ พล.ต.ณัฏฐ์ ใช้คำเปรียบเปรยแรงว่า “เขมรเป็นเด็กเพิ่งแตกเนื้อหนุ่ม บอกกล่าวก็ดื้อด้าน” พร้อมเสนอแนะเชิงประชดว่า “ไม่ต้องมีข้อตกลงอะไรเลยดีหรือไม่ เอาให้เละก่อนโต” สะท้อนความไม่พอใจต่อท่าทีแข็งกร้าวของกัมพูชาในประเด็นชายแดนขณะนี้

ตำรวจภูธรภาค 2 พร้อมดูแลพื้นที่ชายแดน ผบช.ภ.2 ชื่นชม ตำรวจ สภ.โคกสูง บริการด้วยใจ สร้างความมั่นใจนักท่องเที่ยว “สด๊กก๊อกธม”

(16 มิ.ย. 68) พล.ต.ท.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (ผบช.ภ.2)  เปิดเผยว่า ได้รับแจ้งจากนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าชมอุทยานประวัติศาสตร์สด๊กก๊อกธม อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว ประทับใจ และชื่นชม ร.ต.ท.ทศพล อันศรีเมือง รองสารวัตรป้องกันปราบปราม สภ.โคกสูง/เวรตู้สายตรวจดอนหลุม และ ร.ต.ต.สุนันท์ กรสี รอง สว.(ป.) สภ.โคกสูง/พนักงานวิทยุ ที่ดูแลบริการประชาชนอย่างเป็นมิตร สร้างความอุ่นใจในการเข้าพื้นที่ใกล้เคียงพื้นที่ข้อพิพาทระหว่างประเทศ

พล.ต.ท.ยิ่งยศ เผยว่า นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ ตั้งใจจะเดินทางเข้าชม อุทยานประวัติศาสตร์สด๊กก๊อกธม โดยก่อนออกเดินทาง ได้โทรศัพท์สอบถามข้อมูลเรื่องความปลอดภัยจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.โคกสูง โดยมี ร.ต.ต.สุนันท์ รับสาย และแจ้งให้ ร.ต.ท.ทศพล ซึ่งเป็นเวรตู้สายตรวจฯ และได้ให้คำตอบว่า “เข้ามาเที่ยวได้เลยครับ ปลอดภัยครับ ก่อนมาถึงโทรหาผมได้นะครับ ผมจะรอต้อนรับ” ทำให้นักท่องเที่ยวได้รับข้อมูลเพื่อการตัดสินใจ จนรู้สึกมั่นใจ และเมื่อเดินทางมาท่องเที่ยว ก็พบ ร.ต.ท.ทศพล มารอประสานงานอำนวยความสะดวกและสร้างความอุ่นใจเรื่องความปลอดภัย

“ชื่นชมและให้กำลังใจ ร.ต.ท.ทศพล และ ร.ต.ต.สุนันท์ นี่คือต้นแบบของข้าราชการตำรวจไทยที่มีจิตบริการและความจริงใจในการดูแลประชาชน การที่ประชาชนคนหนึ่งกล้าติดต่อมาชื่นชมเจ้าหน้าที่โดยตรง แสดงให้เห็นว่าตำรวจสามารถสร้างความไว้วางใจและความอุ่นใจให้กับประชาชนได้จริง ขอขอบคุณ ร.ต.ท.ทศพล ที่ทำหน้าที่ด้วยหัวใจ และขอให้รักษามาตรฐานนี้ไว้ให้เป็นแบบอย่างที่ดี” ผบช.ภ.2 กล่าว

ผบช.ภ.2 กล่าวถึงสถานการณ์ด้านความปลอดภัยในพื้นที่ว่า ยืนยันความพร้อมในการปฏิบัติตามแผน “พิทักษ์พื้นที่ส่วนหลัง” ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในการดูแลความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่ชายแดน โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวสำคัญเชิงประวัติศาสตร์ในจังหวัดสระแก้ว อย่างอุทยานประวัติศาสตร์สด๊กก๊อกธม ที่ถือเป็นสมบัติล้ำค่าทั้งด้านวัฒนธรรมและการท่องเที่ยว การมีตำรวจในพื้นที่ที่พร้อมบริการประชาชนด้วยหัวใจ เช่นกรณีของ ร.ต.ท.ทศพล และ ร.ต.ต.สุนันท์ ไม่เพียงช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แต่ยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ “น้ำใจตำรวจไทย ไม่แพ้ที่ใดในโลก” คือคำกล่าวที่นักท่องเที่ยวรายนี้ฝากไว้ พร้อมขอบคุณเจ้าหน้าที่ สภ.โคกสูง ที่ทำให้การเดินทางครั้งนี้เต็มไปด้วยความประทับใจ และรู้สึกว่า “ตำรวจไทยยังเป็นที่พึ่งได้เสมอ”

ศกพ. ร่วมโครงการอบรมเชิงปฏิบัติการแนวทางการจัดการเรียนการสอนสหกรณ์นักเรียนของ ศศช. “แม่ฟ้าหลวง” พื้นที่นำร่อง สกร.จ.ตาก และ สกร.จ. เชียงใหม่

(11 มิ.ย. 68)  ดร.ยุพิน บัวคอม รองอธิบดีกรมส่งเสริมการเรียนรู้ (สกร.) เป็นประธานเปิดโครงอบรมเชิงปฏิบัติการแนวทางการจัดการเรียนการสอนสหกรณ์นักเรียนของศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง” พื้นที่นำร่องของสถานศึกษาสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดตาก และสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมมอบนโยบายการขับเคลื่อนกิจกรรมสหกรณ์นักเรียนศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา "แม่ฟ้าหลวง" ทั้งนี้ นายรัชชสิทธิ์ มนตรี รองผู้อํานวยการสํานักงานศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ประจํากรุงเทพมหานคร ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการ ศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้กลุ่มเป้าหมายพิเศษ (ศกพ.) ได้มอบหมายให้ ดร.ดรุณี เวียงชัย นักวิชาการศึกษาชำนาญการพิเศษ  เข้าร่วมโครงการฯ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 11-13 มิถุนายน 2568 ณ ห้องประชุมวัฒนาวิลเลจ รีสอร์ท อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก 

โดยมีนางสาวสุนทรี เตินขุนทด ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดตาก กล่าวรายงาน ผู้อำนวยการกองประสานงานโครงการพระราชดำริ กรมส่งเสริมสหกรณ์ ผู้แทนศึกษาธิการจังหวัดตาก ผู้แทนผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาตาก เขต 2 ผู้แทนเกษตรและสหกรณ์จังหวัดตาก ผู้แทนผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการเรียนรู้ภาคเหนือ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดเชียงใหม่ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการเรียนรู้ประจำจังหวัดแม่ฮ่องสอน ผู้อำนวยการศูนย์ส่งเสริมการเรียนรู้ระดับอำเภอ ข้าราชการครู ผู้เข้ารับการอบรม จำนวน 80 คนเขาร่วมพิธีเปิดโครงการฯ และรับนโยบายการขับเคลื่อนกิจกรรมสหกรณ์นักเรียน

เจนกิจ นัดไธสง รายงาน

สื่อกัมพูชาโชว์ภาพกำลังพลในพื้นที่จังหวัดพระวิหาร "โอ่ พร้อมรบ 24 ชั่วโมง"  

(15 มิ.ย. 68) สื่อทางการของกัมพูชาได้เผยแพร่ภาพและข้อความ แสดงถึงความพร้อมของกองกำลังทหารประจำจังหวัดพระวิหาร โดยระบุว่าได้เตรียมกำลังพลและยุทโธปกรณ์อย่างเต็มที่ ภายใต้คำสั่งอันเคร่งครัดจากผู้นำรัฐบาล พร้อมปฏิบัติหน้าที่ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อปกป้องประเทศจาก "ศัตรูผู้รุกราน"

ในแถลงการณ์ ระบุว่า
“หนึ่งชีวิตเพื่อชาติ ไม่ใช่แค่คำพูด แต่คือการตัดสินใจอันแน่วแน่ของพวกเราทุกคนในกองกำลัง ที่จะปกป้องประเทศชาติ ขอให้ประชาชนไว้วางใจและไม่ต้องเป็นห่วง ขอให้ครอบครัวของข้าพเจ้าไม่ต้องกังวล เพราะหน้าที่ในการปกป้องชาตินั้น เป็นความภาคภูมิใจอันยิ่งใหญ่สำหรับครอบครัวของเรา”

การเผยแพร่ดังกล่าวมีขึ้นท่ามกลางบรรยากาศความตึงเครียดในพื้นที่ชายแดนไทยกัมพูชาโดยเฉพาะในพื้นที่ปราสาทตาเมือนธม  ปราสาทตาเมือนโต๊ด  ปราสาทตาควาย และพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต 

เดวิท​ โชคชัย​ มุกดาหาร​ รายงาน​

‘ฮุน เซน’ ขีดเส้นตายไทย ภายใน 24 ชม. ต้องเปิดทุกด่าน ถ้าไม่ทำตามกัมพูชาพร้อมแบนสินค้าไทย

(16 มิ.ย. 68) สมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ออกคำเตือนต่อทางการไทยว่า หากไทยไม่เปิดด่านชายแดนทุกแห่งกับกัมพูชาอย่างเต็มรูปแบบภายใน 24 ชั่วโมง กัมพูชาจะสั่งห้ามนำเข้าผลไม้และผักจากไทยทั้งหมด

โดยคำประกาศดังกล่าวมีขึ้นก่อนการประชุมวุฒิสภา โดยฮุน เซนระบุชัดว่า ไทยต้องเปิดด่านชายแดนตั้งแต่เวลา 06.00-22.00 น.ตามปกติ หากไม่ดำเนินการ กัมพูชาจะตอบโต้ด้วยมาตรการทางการค้าทันที

ฮุน เซนยังกล่าวอย่างแข็งกร้าวอีกว่า กัมพูชาจะไม่เจรจากับไทยในเรื่องนี้ เนื่องจากเป็นฝ่ายไทยที่เริ่มจำกัดการผ่านแดนก่อน “เมื่อไทยห้าม กัมพูชาก็ห้ามบ้าง แล้วพอเดือดร้อนจึงจะมาเจรจาเพื่อรักษาหน้าอย่างนั้นหรือ?” เขากล่าว

“เราไม่มีทางยอมให้ชื่อเสียงของเราเสียหาย เพราะความผิดพลาดของผู้อื่น” ฮุน เซน ย้ำพร้อมส่งสัญญาณว่ากัมพูชาจะดำเนินการอย่างเด็ดขาดหากไทยไม่ยอมถอยภายในเวลาที่กำหนด

‘แยม-ฐปณีย์’ ซัด ไทยแพ้ทางข่าวสารแก่กัมพูชาเละ ชี้ ก.ต่างประเทศไทยไม่เปิดเผยอะไรเลยปล่อยกัมพูชาชิงแถลง

เมื่อวันที่ (15 มิ.ย. 68) แยม - ฐปณีย์ เอียดศรีไชย ผู้ก่อตั้งสำนักข่าวเดอะรีพอร์ตเตอร์ โพสต์เฟซบุ๊กว่า ผลการประชุม JBC ไทยพ่ายแพ้ทางข่าวสารฝ่ายกัมพูชาไปเรียบร้อยแล้ว !!

ในฐานะนักข่าวไทยที่ไปทำข่าวการประชุม JBC ไทย-กัมพูชา ที่กรุงพนมเปญ ซึ่งมีนักข่าวไทยไปกันเพียง 4 สำนัก คือ แยม-ฐปณีย์ ที่ทำทั้งข่าว 3 มิติ และ The Reporters , น้องเก้า พงศธัช สุขพงษ์ ThaiPBS World , สันติวิธี พรหมบุตร ไทยรัฐทีวี และนักข่าวกัมพูชา จำนวนมาก

ก่อนเดินทางต้องขอบคุณกระทรวงการต่างประเทศ ที่ให้นักข่าวไทยที่จะไปทำข่าวลงทะเบียนเพื่อทำบัตรไปทำข่าวการประชุมได้ ส่วนรายละเอียดสถานที่จัดการประชุม เวลา และอะไรต่างๆ ก่อนประชุมทางกัมพูชาก็ปิดลับ เรารู้กันว่าโรงแรมอะไร และเวลาไหน ที่เหลือต้องเชคกันเอง

โชคดีที่เราพอมีเพื่อนนักข่าวกับพูชา และแหล่งข่าวเก่าๆ ที่เคยทำข่าวประเด็นพิพาทต่างๆ มาตั้งแต่ปี 2551 ซึ่ง 16-17 ปีผ่านไป ยังมีคนที่พอให้เชคข่าวสัมภาษณ์ได้บ้าง อย่างเช่น นายไพ สีพาน อดีตโฆษกรัฐบาลสมัยสมเด็จ ฮุนเซน และปัจจุบันเป็นรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรีฮุน มาเนต

วันที้ 13 มิ.ย.ที่ไปถึง แยมให้เพื่อนช่วยนัดไพ สีพาน และ ศ.รอส จันทะบอต นักประวัติศาสตร์ มาสัมภาษณ์ เพราะอยากรู้ท่าทีของกัมพูชาที่จะนำ 4 ข้อพิพาทไปศาลโลก และเป็นข้อมูลก่อนการประชุม JBC

ส่วนฝ่ายไทย ก็แจ้งมาว่าคณะที่มา จะไม่ให้สัมภาษณ์ใดๆ จะให้โฆษกกระทรวงการต่างประเทศแถลงที่กรุงเทพ ซึ่งนักข่าวไทยก็ช่วยกันต่อรองมาบอกอะไรเราบ้าง เราจะได้รายงานข่าวที่เป็นประโยชน์กับประเทศไทย เพราะเรามาทำข่าวถึงที่นี่ ถ้าฝ่ายกัมพูชา ให้สัมภาษณ์แถลงอะไร เราก็ต้องรายงานข่าวตามนั้นนะ

สุดท้ายทาง กต.ไทย ก็ย้ำว่า จะไม่มีการให้สัมภาษณ์ของคณะ JBC ไทย แต่ความเป็นนักข่าวเราก็ต้องทำหน้าที่ คืนวันที่ 13 มิ.ย.แยมก็รอเจอท่านทูตประศาสน์ ประธาน JBC ไทย ที่โรงแรมที่พัก ซึ่งกว่าจะมาถึงก็ 21.00 น. ซึ่งเชื่อว่าการรู้จักกันมาก่อน ตั้งแต่เป็นท่านทูตพนมเปญ ในช่วงปี 51-54 แต่ท่านทูต ก็ไม่ตอบเรื่องการประชุม เพราะมีนโยบายมา ซึ่งเข้าใจได้ เราแค่อยากทักทายตามประสาแหล่งข่าว ซึ่งตลอด 2 วันในการประชุมเราก็ไม่ได้อะไรเลยจริงๆ 555

มาถึงวันประชุมจริง 14 มิ.ย.นักข่าวไทยก็ไปรอประชุมคณะใหญ่ พร้อมนักข่าวกัมพูชา นัด 10.00 น.กว่าคณะจะมาห้องใหญ่ก็ 11.40 น.เพราะมีประชุมคณะเล็ก แล้วก็พักเที่ยง 2 ชม.แล้วมาประชุมอีกที 14.40 น. ซึ่งไม่นานพอ 15.30 ฝ่ายไทยนำโดยท่านทูตประศาสน์ ออกจากห้องประชุม โดยเราไปถามอะไรก็ไม่มีใครตอบ นักข่าวคิดว่าการประชุมจบแล้ว

แต่ในห้องประชุมเราเห็น นายฬำ เจีย ยังถกเครียดกับเจ้าหน้าที่กัมพูชา ซึ่งไม่นาน มีเจ้าหน้าที่กัมพูชา มาขอคุยกับนักข่าวไทยว่า การประชุมยังไม่เสร็จ แค่พักการประชุม และไทยไปแถลงข่าวที่ไม่ตรงกัน และต่อมา นายฬำ เจีย ก็มาให้สัมภาษณ์ที่ไทยแถลงนั้นเป็นเพียงฝ่ายเดียว !!

นักข่าวไทยก็พยายามประสานบอกว่า ฝ่ายกัมพูชา อาจเอาเรื่องนี้มาชิงความได้เปรียบทางการสื่อสาร ขอให้ข้อมูลกับเราบ้าง

และก็จริงพอการประชุมวันนี้ ตั้งแต่เช้า นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ชิงแถลงส่งหนังสือไปฟ้องศาลโลก ก่อนการประชุม JBC วันที่ 2 จะเริ่มขึ้น และยังไม่ตกลงกันเรื่องบันทึกการประชุม Agreement Minutes ซึ่งเรื่อง 4 ข้อพิพาท ก็กลายเป็นประเด็นที่โต้แย้งกัน จนใช้เวลาตกลงกันเกือบ 6 ชั่วโมง และกว่าจะมาแถลงลงนามกันก็บ่ายสองแล้ว !!

การลงนาม จับมือ ถ่ายภาพกันชื่นมื่นจริง แต่ไม่มีแถลงการณ์ร่วม ไม่มีการเปิดเผยอะไร ก่อนที่ 2 ฝ่ายแยกย้าย นักข่าวไปรุมสัมภาษณ์ นายฬำ เจีย ตอบสั้นๆว่าบรรยากาศดี ให้รอ press แถลงข่าว ส่วนท่านทูตประศาสน์ ไม่ตอบอะไร

ซึ่งจากนั้นไม่ถึง 10 นาที ในเวลา 14.45 น.กัมพูชาก็ออก press ข่าวผลการประชุม อย่างที่ปรากฏว่า แจ้งฝ่ายไทยว่าจะส่ง 4 ข้อพิพาทไปศาลโลก แต่ฝ่ายไทยไม่ยอมรับ และไม่นำ 4 เรื่องนี้หารือใน JBC อีกต่อไป รวมถึงยึดตามแผนที่ 1:200,000 ไม่ยึดแผนที่ที่ไทยทำขึ้นเอง

https://www.facebook.com/share/p/16kp61dy4k/?mibextid=wwXIfr

ส่วนของไทย กระทรวงการต่างประเทศออกข่าวแจงสั้นๆว่า บรรยากาศประชุมดี สองฝ่ายจะใช้กลไก JBC คุยเรื่องปักปันเขตแดนต่อไป ฯ และต้องมาออกเอกสารชี้แจงภายหลัง โดยล่าสุดออกแถลงการณ์ชี้แจงเมื่อ 22.30 น.ที่ผ่านมา แสดงความผิดหวังที่กัมพูชาขาดความจริงใจที่จะนำ 4 ข้อพิพาทหารือตามกลไกทวิภาคี

https://www.facebook.com/share/p/1BZ7Bc2MtH/?mibextid=wwXIfr

แค่เรื่องการให้ข่าวไทยก็พ่ายแพ้กัมพูชาไปแล้วจากการประชุม JBC ซึ่งที่สะท้อนมานี้ หวังแค่ว่าฝ่ายไทยจะปรับปรุง เพราะปัญหาพิพาทไทย-กัมพูชา กำลังจะเดินทางไปถึงศาลโลกและ UN ในขณะที่พื้นที่ชายแดนก็เปราะบาง กำลังลุกลามเป็นสงครามเศรษฐกิจ

นักข่าวไทยก็รักชาติ อยากรายงานข่าวที่เป็นประโยชน์กับประเทศชาติค่ะ ด้วยความเคารพค่ะ

ชัยวัฒน์เดือด!!...โต้คำสั่งไล่ออกพ้นข้าราชการ ลั่นปลัด ทส. เจอกันในศาล หลังเอกสารหลุดว่อนเน็ต

(16 มิ.ย. 68) นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร อดีตผู้อำนวยการสำนักอุทยานแห่งชาติ โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัวเมื่อวันที่ 15 มิ.ย. แสดงความไม่พอใจต่อกรณีเอกสารคำสั่งไล่ออกจากราชการของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) หลุดว่อนโซเชียล ทั้งที่ตนยังไม่เคยเห็นหนังสือลับฉบับดังกล่าว และเตือนปลัดกระทรวงฯ ให้เตรียมชี้แจงต่อศาล

กรณีนี้สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 6 มิ.ย. ที่ผ่านมา นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัด ทส. ลงนามในคำสั่งไล่นายชัยวัฒน์ออกจากราชการ ตามมติ อ.ก.พ. กระทรวงฯ และความเห็นชี้มูลของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ระบุว่า นายชัยวัฒน์กระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงจากโครงการก่อสร้างในอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน โดยมีพฤติกรรมจัดฉากประกวดราคาลวง และเบิกจ่ายผิดระเบียบจนเกิดความเสียหาย

คำสั่งระบุชัดว่านายชัยวัฒน์มีพฤติกรรมทุจริตและฝ่าฝืนระเบียบราชการหลายประการ เช่น การใช้นิติบุคคลเข้าประมูลแบบไม่แข่งขันจริง รวมถึงปลอมแปลงการควบคุมงานก่อสร้างและรับรองผลงานที่ไม่เป็นไปตามแบบ เพื่อเบิกจ่ายงบประมาณกว่า 3.5 ล้านบาท โดยส่วนหนึ่งมีการหักลบกลบหนี้ให้กับตนเอง

ในโพสต์เฟซบุ๊ก นายชัยวัฒน์ยืนยันว่าเป็น “ผู้ถูกกระทำ” และตั้งคำถามว่าเหตุใดเอกสารภายในของ อ.ก.พ. จึงรั่วไหลออกมาสู่สื่อได้ โดยชี้ว่าเป็นการละเมิดกฎหมายอาญา พร้อมประกาศเตรียมดำเนินการทางกฎหมายกับปลัดกระทรวงฯ ในฐานะผู้มีอำนาจลงนามคำสั่ง และอาจมีส่วนในการปล่อยเอกสารสู่สาธารณะ

ทั้งนี้ คำสั่งไล่ออกมีผลตั้งแต่วันที่ 30 ก.ย. 2567 เป็นต้นไป โดยนายชัยวัฒน์ยังสามารถยื่นอุทธรณ์ต่อ ก.พ.ค. หรือฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้ตามสิทธิ์ทางกฎหมายภายในกำหนดเวลา โดยต้องเลือกใช้สิทธิ์เพียงช่องทางเดียว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top