🎉 HAPPY NEW YEAR 2025 🎉
เริ่มต้นปีมะเส็ง 2568 ด้วยความสุข ความหวัง และโอกาสใหม่ ๆ ที่รออยู่ข้างหน้า 🐍✨
ขอให้ทุกก้าวเดินเต็มไปด้วยความสำเร็จ สุขภาพแข็งแรง และเปี่ยมไปด้วยพลังใจ!
เริ่มต้นปีมะเส็ง 2568 ด้วยความสุข ความหวัง และโอกาสใหม่ ๆ ที่รออยู่ข้างหน้า 🐍✨
ขอให้ทุกก้าวเดินเต็มไปด้วยความสำเร็จ สุขภาพแข็งแรง และเปี่ยมไปด้วยพลังใจ!
เมื่อต้นปี 2567 ที่ผ่านมา บอร์ด ปตท. ได้อนุมัติแต่งตั้ง ‘คงกระพัน อินทรแจ้ง’ ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC และประธานกรรมการ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) ขึ้นรับตำแหน่งซีอีโอ บมจ.ปตท. นับเป็นซีอีโอ คนที่ 11 ของปตท. ต่อจาก อรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ที่ครบวาระดำรงตำแหน่ง 4 ปี ไปเมื่อเดือน พฤษภาคม 2567 ที่ผ่านมา
สำหรับ ปตท. คือกลุ่มบริษัทด้านพลังงานที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย และเป็นอันดับต้น ๆ ในภูมิภาคอาเซียน แน่นอนว่า โจทย์ใหญ่ที่ท้าทาย ‘คงกระพัน’ คือการสร้างการเติบโตให้กับองค์กรอย่างยั่งยืน ภายใต้บริบทของอุตสาหกรรมพลังงานที่ผันผวน จากสถานการณ์เศรษฐกิจและความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ของโลก
แต่ถึงกระนั้น ปตท. ภายใต้การนำของ ‘คงกระพัน’ ก็ยังสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างโดดเด่น อีกทั้งยังได้รับคะแนนการประเมินด้านความยั่งยืน (Corporate Sustainability Assessment : CSA) ณ วันที่ 23 ธันวาคม 2567 เป็นอันดับที่ 1 ของโลก ในกลุ่มอุตสาหกรรม Oil & Gas Upstream & Integrated (OGX) และได้รับคัดเลือกเป็นสมาชิกในกลุ่มดัชนีโลก (World Index) และดัชนีตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market Index) ต่อเนื่องเป็นปีที่ 13
สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินงานตามวิสัยทัศน์ “ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน” ดำเนินธุรกิจบนหลักการ “ยั่งยืนอย่างสมดุล” ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยมีพันธกิจในการสร้างความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศไทย สร้างการเติบโตควบคู่กับการบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
นอกจากนี้ บริษัทในกลุ่ม ได้แก่ บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ปตท. นํ้ามัน และการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) ยังได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิก DJSI อีกด้วย
Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) เป็นดัชนีหลักทรัพย์ของบริษัทชั้นนำระดับสากลกว่า 3,500 บริษัททั่วโลก ที่ผ่านการประเมินความยั่งยืนขององค์กร (Corporate Sustainability Assessment: CSA) และคัดกรองโดย S&P Global ถือเป็นดัชนีที่ใช้ประเมินการดำเนินธุรกิจตามแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนของบริษัทที่ได้รับการยอมรับในระดับสากลจาก ผู้ลงทุนสถาบันและกองทุนต่าง ๆ ทั่วโลก
สำหรับ คงกระพัน อินทรแจ้ง จบการศึกษาวิศวกรรมศาสตรบัณฑิต (วิศวกรรมเคมี) (เกียรตินิยมอันดับสอง) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และศึกษาต่อจนจบ Doctor of Philosophy (Ph.D.) in Chemical Engineering, University of Houston, U.S.A. และมีประสบการณ์มากกว่า 25 ปี ในการบริหารบริษัทในกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี และการกลั่นปิโตรเลียมแบบครบวงจร รวมถึงมีความเชี่ยวชาญในด้านการกำหนดกลยุทธ์องค์กร การพัฒนาธุรกิจ การเงินและนักลงทุนสัมพันธ์ การวิจัยและพัฒนา (R&D) การพัฒนาโครงการลงทุนที่สำคัญ การควบรวมกิจการระหว่างประเทศ และการบริหารจัดการกิจการร่วมค้า อีกด้วย
THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”
การแข่งขันโอลิมปิกครั้งที่ 33 หรือ 'ปารีสเกมส์ 2024' ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม 2567 ทัพนักกีฬาไทยสร้างผลงานโดดเด่นด้วยการคว้า 1 เหรียญทอง 3 เหรียญเงิน และ 2 เหรียญทองแดง รวม 6 เหรียญรางวัล โดย 1 หรียญทอง มาจาก 'เทนนิส' พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ ที่คว้าเหรียญทองได้ จากเทควันโด รุ่น 49 กก.หญิง หลังเอาชนะ ฉิง กั๋ว จากจีน
อีก 3 เหรียญเงิน จาก 'วิว' กุลวุฒิ วิทิตศานต์ ในกีฬาแบดมินตันชายเดี่ยว ซึ่งก็นับเป็นเหรียญรางวัลเหรียญแรกในประวัติศาสตร์ของทีมแบดมินตันไทย ตั้งแต่ส่งเข้าร่วมการแข่งขันในปี 1992 ตามด้วย 'ฟ่าง' ธีรพงศ์ ศิลาชัย ยังคว้าเหรียญเงิน ยกน้ำหนักรุ่น 61 กก.ชาย และ 'เวฟ' วีรพล วิชุมา จะคว้าเหรียญเงิน ในรุ่น 73 กก.ชาย ได้สำเร็จด้วย
ส่วน 2 เหรียญทองแดง ได้จาก 'ออย' สุรจนา คำเบ้าจาก ยกน้ำหนัก ที่ทำได้ในรุ่น 49 กก.หญิง ส่วนอีกเหรียญทองแดงมาจาก 'บี' จันทร์แจ่ม สุวรรณเพ็ง ในมวยสากลหญิง รุ่น 66 กก.
ภายหลังจากพ้นโทษอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม 2567 ‘ทักษิณ ชินวัตร’ อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 23 บิดาของนายกฯ คนปัจจุบัน ก็กลับมาโลดแล่นในฐานะผู้นำทางจิตวิญญาณของคนพรรคเพื่อไทยอย่างเต็มตัวอีกครั้ง ด้วยบทบาทที่แตกต่างออกไปจากเดิม นั่นคือการเป็นผู้ช่วยหาเสียงให้กับตัวแทนพรรคเพื่อไทย ที่ลงชิงตำแหน่งเก้าอี้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.)
ทั้งนี้ นับตั้งแต่วันที่ 13 พ.ย. 2567 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ ทักษิณ ชินวัตร หวนคืนสู่สนามการเมืองอย่างเต็มตัว ในการไปช่วยหาเสียงให้ตัวแทนของพรรคเพื่อไทย ที่ลงสมัครชิงเก้าอี้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) อุดรธานี ถัดจากนั้น ในวันที่ 11 ธ.ค. 2567 ก็ได้ขึ้นปราศรัยช่วยผู้สมัคร นายก อบจ. ตัวแทนจากพรรคเพื่อไทยอีกครั้งที่ จ.อุบลราชธานี
และแน่นอนว่า ทั้ง 2 สนามเลือกตั้งระดับท้องถิ่น ตัวแทนของพรรคเพื่อไทย สามารถคว้าเก้าอี้ไว้ได้ทั้ง 2 จังหวัด
จากนั้น เมื่อวันที่ วันที่ 23-24 ธ.ค. 2567 ได้เดินสายช่วยผู้สมัคร นายก อบจ. เชียงใหม่ หาเสียงอีกครั้ง และต้องมาลุ้นกันต่อไปว่า ทักษิณ จะไปช่วยหาเสียงที่จังหวัดใดต่อไป และผลการเลือกตั้งจะชนะเหมือนกับ 2 จังหวัดที่ผ่านมาหรือไม่
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่า การได้รับเชิญให้ไปบรรยาย รวมถึงในการปราศรัยทุกเวทีของ ทักษิณ นั้น เริ่มเป็นที่ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ ว่า ตัวเขานั้นยังคงเป็นผู้นำทางความคิดของพรรคเพื่อไทยและกลุ่มแฟนคลับของพรรคอย่างคนเสื้อแดงอย่างปฏิเสธไม่ได้
THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”
แม้จะถูกสื่อมวลชนสายการเมืองตั้งฉายาว่า “รวม(เพื่อ)ไทยอ้างชาติ” แต่หากสแกนดูผลงานโดยรวมของรัฐมนตรีภายใต้รัฐบาลผสมหลายพรรคที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ และพิจารณาด้วยความเป็นธรรมจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ‘เลขาขิง’ เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) คือหนึ่งในรัฐมนตรีที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจทำงานตั้งแต่วันแรกที่รับตำแหน่ง
สำหรับ เลขาขิง นับเป็นรัฐมนตรีหน้าใหม่ในรัฐบาลชุดนี้ และอยู่ในกลุ่มรัฐมนตรีที่อายุน้อย ซึ่งมีอายุเพียง 38 ปีเท่านั้น
เพียงวันแรกของการเดินทางเข้ากระทรวงอุตสาหกรรมเป็นวันแรก เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2567 เลขาขิง ก็ได้ประกาศทันที่ว่า "ผมจะทำทันที ทำทุกวินาที ไม่ยอมจนกว่าจะทำให้สำเร็จ"
คำพูดที่กล่าวออกมานั้น ไม่ใช่เพียงแค่คำพูดเอาเท่เท่านั้น แต่เลขาขิง ได้ดำเนินการทำตามคำพูดอย่างจริงจังตลอดระยะเวลากว่า 4 เดือน บนเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม
โดยมีผลงานเด่น ๆ ที่ฝากไว้ในรอบปี 2567 ที่ผ่านมา อาทิ 1) ปลดล็อก "โซลารูฟท็อป" ไม่ต้องขออนุญาตใบอนุญาตโรงงาน 4 ทำให้สามารถติดตั้งได้ง่ายสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น 2) ตรวจสุดซอยโรงงานสีเทา แจ้งมาจับจริง ไม่กลัวอิทธิพล ปราบโรงงานไร้ความรับผิดชอบ กากของเสีย สินค้าไม่ได้มาตรฐาน ได้ดำเนินการไปแล้วถึง 13 จังหวัด
3) เซฟยานยนต์ไทย เนื่องจากจากสถานการณ์อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยที่กำลังเผชิญกับความท้าทาย โดยเฉพาะกลุ่มรถยนต์ญี่ปุ่น ทางเลขาขิงจึงได้เดินทางโรดโชว์คุยระดับทวิภาคีกับ 6 บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชั้นนำในญี่ปุ่น เพื่อสร้างความเชื่อมั่น และได้รับสัญญานบวกในการรักษาฐานการผลิตยานยนต์ในไทยและการลงทุนเพิ่ม ต่อยอด ด้วยเม็ดเงินกว่า 1.2 แสนล้าน
4) จัดสรรเงินผลประโยชน์พิเศษแก่รัฐ 525 ล้านบาท ดูแลชุมชนรอบเหมือง 5) เติมเงินทุน SME ฮาลาล เติมแรงกระตุ้นภาคอุตสาหกรรมอย่างเต็มที่
ที่ยกตัวอย่างมานั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการทำงานตลอด 4 เดือนเท่านั้น แน่นอนว่า ด้วยความเป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรง เชื่อว่า ในปี 2568 คงจะได้เห็นการทำงานของ ‘เลขาขิง’ ที่รวดเร็วฉับไว สไตล์เชิงรุกแบบ ‘สุดซอย’ อีกอย่างแน่นอน
THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”
ประเทศไทยก้าวสู่ความเท่าเทียมทางเพศอย่างเป็นทางการ ด้วยการประกาศใช้พระราชบัญญัติสมรสเท่าเทียม พ.ศ. 2567 ซึ่งจะเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 22 มกราคม 2568 ถือเป็นชาติแรกในอาเซียนที่ออกกฎหมายรองรับสิทธิการสมรสสำหรับบุคคลทุกเพศ
กฎหมายฉบับนี้แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยเน้นการปรับถ้อยคำให้เป็นกลางและครอบคลุม เช่น การเปลี่ยนคำจาก 'สามี' และ 'ภริยา' เป็น 'คู่สมรส' และคำว่า 'ชาย' และ 'หญิง' เป็น 'บุคคล' เพื่อให้ทุกเพศสามารถจดทะเบียนสมรสได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย 6 ประเด็นสำคัญของกฎหมายสมรสเท่าเทียม
อายุขั้นต่ำ: ปรับอายุขั้นต่ำสำหรับการหมั้นและสมรสจาก 17 ปี เป็น 18 ปี ความเท่าเทียมทางเพศ: รองรับการสมรสระหว่างบุคคลทุกเพศด้วยการปรับถ้อยคำในกฎหมายให้เป็นกลาง คำเรียกคู่สมรส: เปลี่ยนจาก 'สามี' และ 'ภริยา' เป็น 'คู่สมรส' เพื่อความเป็นธรรมทางเพศ การสมรสกับชาวต่างชาติ: เปิดโอกาสให้คนไทยสมรสกับชาวต่างชาติภายใต้กฎหมายไทย สิทธิในการรับบุตรบุญธรรม: คู่สมรสเพศเดียวกันสามารถรับบุตรบุญธรรมร่วมกันได้เช่นเดียวกับคู่สมรสชายหญิง สิทธิและหน้าที่คู่สมรส: มอบสิทธิเท่าเทียมในด้านมรดก การตัดสินใจทางการแพทย์แทนคู่สมรส และสิทธิในสวัสดิการจากรัฐ เหตุการณ์สำคัญสู่กฎหมายสมรสเท่าเทียม การออกกฎหมายนี้สะท้อนถึงความพยายามยาวนานของกลุ่มผู้สนับสนุนสิทธิความหลากหลายทางเพศในไทย กฎหมายความยาว 21 หน้า 69 มาตรา ถือเป็นหมุดหมายสำคัญในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมไทยเพื่อความเท่าเทียม
เมื่อกฎหมายนี้มีผลบังคับใช้ในปีหน้า ทุกคนในสังคมจะสามารถก้าวสู่ชีวิตสมรสได้อย่างเท่าเทียม ไร้การแบ่งแยกด้วยเพศ พร้อมรับสิทธิและความคุ้มครองทางกฎหมายอย่างเต็มที่
หากจะเอ่ยถึงนักการเมืองที่มีผลงานโดดเด่นและเป็นรูปธรรมจับต้องได้มากที่สุด หนึ่งในนั้นต้องมีชื่อของ ‘พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน อย่างแน่นอน
โดยวัดจากผลสำรวจในแต่ละรอบไม่ว่าจะสำนักโพลใดก็ตาม พีระพันธุ์ จะมีคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงประชาชนให้การยอมรับและเห็นถึงความมุ่งมั่นตั้งใจในการทำงานของนายพีระพันธุ์ ที่ได้เดินหน้าปฏิรูปพลังงานของประเทศไทยทั้งระบบอย่างเป็นรูปธรรม ตามแนว ตามแนวทาง “รื้อ ลด ปลด สร้าง”
โดยตลอดระยะเวลากว่า 1 ปีในการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน รองนายกฯ พีระพันธุ์ ได้เสนอให้มีการตรึงราคาพลังงานก๊าซหุงต้ม ค่าไฟฟ้า เพื่อลดค่าครองชีพช่วยเหลือพี่น้องประชาชนมาอย่างต่อเนื่อง
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการร่างกฎหมายเพื่อวางกรอบในการปฏิรูปโครงสร้างพลังงานทั้งระบบ เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาและวางกรอบป้องกันสถานการณ์วิกฤตพลังงานในอนาคต โดยก่อนหน้านี้ ได้ออกประกาศให้ผู้ค้าน้ำมัน ต้องแจ้งต้นทุนนำเข้าส่งออกราคาน้ำมันให้ภาครัฐ ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 50 ปี เพื่อนำไปกำหนดราคาที่เป็นธรรมกับทุกฝ่าย
นอกจานี้ ยังมีร่างกฎหมายเตรียมเข้าสู่สภาฯ อีกหลายฉบับ อาทิ กฎหมายด้านพลังงานฉบับใหม่ ซึ่งจะสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ไม่ใช่การอ้างอิงราคาในต่างประเทศ จะทำให้ราคาพลังงานถูกลง ทั้งน้ำมันและก๊าซหุงต้ม โดยกำหนดให้ผู้ค้าน้ำมันสามารถปรับเปลี่ยนราคาได้เพียงเดือนละครั้งเท่านั้น ซึ่งขณะนี้ อยู่ระหว่างการตรวจรายละเอียดจากผู้เชี่ยวชาญทั้งด้านกฎหมายและพลังงาน พร้อม ๆ กับกฎหมายปลดล้อกการติดตั้งระบบไฟฟ้าโซลาร์ (Solar Rooftop) เพื่อผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ใช้งานภายในบ้าน ซึ่งจะช่วยลดขั้นตอนการขออนุญาตติดตั้ง และจะช่วยให้ประชาชนไม่ต้องกังวลกับค่าไฟแพงอีกต่อไป
รวมถึง ร่างกฎหมายจัดตั้งระบบสำรองน้ำมันแห่งชาติ หรือ Strategic Petroleum Reserve (SPR) ที่จะมาดูแลปัญหาราคาน้ำมันแทนกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง พร้อมทั้งสร้างเสถียรภาพด้านราคาน้ำมัน รวมไปถึงก๊าซธรรมชาติด้วย โดยต่อไปการกำหนดราคาน้ำมันในประเทศจะเป็นเรื่องของภาครัฐกับผู้ประกอบกิจการค้าน้ำมัน ไม่ต้องผันผวนรายวันตามราคาขึ้นลงของตลาดโลก ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการตรวจพิจารณาและคาดว่าจะแล้วเสร็จได้ภายในปี 2567 นี้เช่นกัน
แน่นอนว่า ความนิยมในตัวนายพีระพันธุ์ ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น เป็นบทพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนถึงการยอมรับในผลงานและความมุ่งมั่นทุ่มเททำงานอย่างหนัก และที่สำคัญไม่มีความหวั่นเกรงต่อกลุ่มทุนพลังงาน ซึ่งถือเป็นกลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ในประเทศไทยแต่อย่างใด ขอเพียงนโยบายและโครงการที่จะทำนั้นเป็นการทำเพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชนและประเทศชาติ รวมถึงการวางโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน เพื่อความเป็นธรรมและมั่นคงอย่างยั่งยืนเท่านั้น
และถึงแม้ว่า การทำงานที่ตรงไปตรงมา เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศชาต ชนิดไม่เกรงใจนายทุน ได้สร้างความไม่พอใจกับกลุ่มทุนพลังงานบางกลุ่ม ถึงขั้นมีกระแสข่าวจะเขี่ยรองนายกฯ พีระพันธุ์ ออกจากตำแหน่ง แต่เจ้าตัวก็ไม่หวั่นเกรง แต่ยังคงยึดมั่นในปนิธานทำเพื่อสิ่งที่ถูกต้องต่อไป แม้จะถูกตั้งฉายาจากสื่อมวลชนว่า “พีระพัง” แต่สิ่งที่รองนายกฯ พีระพันธุ์ ทำมาตลอดนั้น คือ พังทุกอุปสรรคและปัญหาด้านพลังงานของประเทศไทยที่หมักหมมมาอย่างยาวนานนั่นเอง
THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”
'กากแคดเมียม' โลหะอันตรายที่เสี่ยงก่ออันตรายแก่สุขภาพประชาชนให้กับประชาชน โดยโลหะอันตราย 1.3 หมื่นตัน ถูกย้ายจากต้นทางจังหวัดตาก ก่อนพบการกระจายซุกซ่อนในโกดัง 6 แห่งใน 3 จังหวัด ด้านกระทรวงอุตสาหกรรมสั่งขนย้ายกลับหลุมฝังกลบต้นทาง โดยดำเนินการเสร็จสิ้นช่วงกรกฎาคม 2567 พร้อมทั้งลงโทษผู้กระทำผิดบางรายแล้ว
ปฏิบัติการนี้เริ่มต้นจากการร้องเรียนต่อคณะกรรมาธิการการอุตสาหกรรม (กมธ.) สภาผู้แทนราษฎร เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2567 ระบุว่ามีบริษัทในจังหวัดตากขายกากแร่สังกะสีและแคดเมียมที่ควรฝังกลบไปยังบริษัทอื่นในจังหวัดสมุทรสาคร การสืบสวนพบว่าโลหะอันตรายเหล่านี้ถูกนำไปเก็บในสถานที่ต่าง ๆ เช่น โรงงานหล่อหลอมทองแดง และโกดังเก็บสินค้า
จุดที่พบกากแคดเมียม 1. สมุทรสาคร: 6,151 ตัน ในตำบลบางน้ำจืด 1,005 ตัน ในโรงงานหล่อหลอมทองแดง 717 ตัน ในพื้นที่เพิ่มเติม 2. ชลบุรี 4,391 ตัน ในอำเภอบ้านบึง 3. กรุงเทพมหานคร: 150 ตัน บรรจุในถุงบิ๊กแบ๊ก ย่านบางซื่อ 4. โกดังอื่น ๆ 534 ตัน ในย่านคลองมะเดื่อ อ.กระทุ่มแบน
แคดเมียม (Cadmium - Cd) เป็นโลหะหนักที่สะสมในร่างกายและส่งผลต่อปอด ตับ และไต อาจก่อให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ระคายเคืองทางเดินหายใจ และอันตรายถึงขั้นกระดูกผุ พรุน หรือเป็นโรคอิไต-อิไต
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมในขณะนั้น น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล ลงพื้นที่ตรวจสอบและสั่งการขนย้ายกากแคดเมียมกลับสู่หลุมฝังกลบในจังหวัดตากให้แล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม 2567 พร้อมทั้งโยกย้ายเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในจังหวัดตากมาปฏิบัติราชการชั่วคราว
ผู้กระทำผิดบางรายถูกดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด โดยศาลมีคำพิพากษาลงโทษจำคุกและปรับเป็นเงิน สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของภาครัฐในการจัดการกับอุตสาหกรรมที่ละเมิดกฎหมาย
เหตุการณ์นี้เป็นเครื่องเตือนใจถึงความจำเป็นในการควบคุมกากอุตสาหกรรมอย่างเข้มงวด และเฝ้าระวังการลักลอบขนย้ายวัตถุอันตราย เพื่อปกป้องสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนในอนาคต
ผลพวงการพ้นจากอำนาจอย่างกะทันหันของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ส่งผลให้ต้องเปลี่ยนตัวผู้นำรัฐบาลคนใหม่ ซึ่งนางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย บุตรสาวคนสุดท้องของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 23 และหลานอา ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี คนที่ 28 ได้ก้าวขึ้นมาเป็นนายกฯ จากตระกูลชินวัตรคนที่ 3 และนายกฯ หญิงคนที่ 2 ของไทย
อีกทั้งยังครองตำแหน่งเป็นนายกฯ ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทยด้วยวัยเพียง 37 ปี ในวันที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหนงนายกรัฐมนตรี คนที่ 31 เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2567
สำหรับ นางสาวแพทองธาร เริ่มก้าวเท้าเข้ามาแตะวงการการเมืองอย่างเป็นทางการ ครั้งแรกเมื่อปลายเดือนตุลาคม 2564 ในฐานะประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย
ภายหลังรับตำแหน่งที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม ก็ได้เดินหน้าลุยงานทันที โดยไปร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนความรู้ และไอเดียใหม่ ๆ กับกลุ่ม UNISEC และกลุ่ม SpaceZap ซึ่งเป็นกลุ่มเยาวชนและผู้ที่มีความสนใจในด้านอวกาศ นอกจากนี้ยังคิดค้นนโยบาย ‘1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์’ ปลดปล่อยศักยภาพคนไทย สร้างงาน 20 ล้านตำแหน่ง ฯลฯ
และเมื่อประเทศไทยใกล้เข้าสู่ช่วงเลือกตั้ง พรรคเพื่อไทยก็จัดเคมเปญ ‘ครอบครัวเพื่อไทย’ ให้ว่าที่ผู้สมัคร สส. ของพรรค ได้มีส่วนร่วมในการ ‘หาสมาชิก’ เป็นฐานในการ ‘คัดคน’ ลงสมัครเลือกตั้ง ‘อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร’ จึงได้สวมหมวก ‘หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย’ อีกหนึ่งใบ โดยเปิดตัวที่จังหวัดอุดรธานี ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของคนเสื้อแดง
จากนั้น ในเวลาต่อมา พรรคเพื่อไทยได้เปิดรายชื่อ 3 แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ซึ่งก็มีชื่อนางสาวแพทองธาร ปรากฏเคียงคู่กับอีก 2 รายชื่อแคนดิเดตนายกฯ คือ เศรษฐา ทวีสิน และ ชัยเกษม นิติสิริ
และเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2566 พรรคเพื่อไทย ได้จัดประชุมใหญ่วิสามัญ ประจำปี ครั้งที่ 1/2566 มีวาระสำคัญคือการเลือกกรรมการบริหาร (กก.บห.) ชุดใหม่ โดยในที่ประชุมมีมติโหวตให้นางสาวแพทองธาร เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย อีกหนึ่งตำแหน่ง ก่อนที่จะได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในเวลาต่อมา
กว่า 4 เดือนของการทำหน้าที่ ผู้นำรัฐบาล แม้จะถูกตั้งคำถามเรื่องภาวะผู้นำ และการปฏิบัติหน้าที่อยู่เนือง ๆ แต่นางสาวแพทองธาร ยังคงได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากผลการสำรวจของโพลต่าง ๆ รวมถึงนักการเมืองในฟากฝั่งรัฐบาลที่พร้อมให้การสนับสนุนและเชื่อมั่นว่า จะแสดงความสามารถในบทบาทผู้นำได้ดียิ่งขึ้นอย่างแน่นอน
THE STATES TIMES ไม่อาจกล้าหยิบยกคำใดมาเชิดชู แค่อยากให้รู้ว่า “เราภูมิใจในตัวคุณ”
'ศรีสุวรรณ จรรยา' ถูกจับพร้อมผู้ร่วมขบวนการ 6 คน ฐานข่มขู่เรียกเงินเจ้าหน้าที่รัฐ 3 ล้านบาท หลังจากมีการรวบรวมหลักฐานกว่า 4 เดือน ปัจจุบันคดีอยู่ระหว่างพิจารณาของอัยการ
ช่วงปลายเดือนมกราคม 2567 เจ้าหน้าที่ตำรวจสนธิกำลังเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 3 แห่ง และจับกุมตัว ศรีสุวรรณ จรรยา นักร้องเรียนชื่อดัง หลังถูกกล่าวหาว่าร่วมขบวนการข่มขู่เรียกรับเงินจากเจ้าหน้าที่รัฐ
เหตุเริ่มต้นจาก นายณัฏฐกิตติ์ ของทิพย์ อธิบดีกรมการข้าว เข้าร้องเรียนกับตำรวจว่าถูกข่มขู่ให้จ่ายเงิน 3 ล้านบาทเพื่อแลกกับการไม่ร้องเรียนเรื่องทุจริต ก่อนที่จะมีการต่อรองเหลือ 1.5 ล้านบาท การตรวจสอบของเจ้าหน้าที่พบว่า มีผู้เกี่ยวข้อง 3 คนที่มีพฤติกรรมเรียกรับเงิน
ในการจับกุมครั้งนี้ เจ้าหน้าที่วางแผนให้ผู้เสียหายนำเงิน 500,000 บาทไปแขวนไว้หน้าบ้าน เมื่อตรวจพบว่ามีการนำเงินเข้าไปในบ้านของนายศรีสุวรรณ เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวจับกุม นักร้องเรียนชื่อดังพยายามวิ่งนำเงินไปโยนทิ้ง แต่เจ้าหน้าที่สามารถไล่จับตัวได้ทันและควบคุมตัวไว้
คดีนี้เป็นการเปิดโปงเครือข่ายการเรียกรับผลประโยชน์ในวงการนักร้องเรียน และกลายเป็นประเด็นร้อนแรงที่ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิด
ทั้งนี้รายงานข้างต้นเป็นไปตามข้อมูลข่าว ยังต้องรอผลการพิจารณาคดีในชั้นศาลเพื่อยืนยันความถูกต้องของข้อกล่าวหา ผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ยังเป็นผู้บริสุทธิ์ และยังสามารถชี้แจง รวมถึงใช้สิทธิ์ต่อสู้ในชั้นศาลได้