Wednesday, 14 May 2025
NEWS FEED

‘หม่อมเจ้าอุทัยกัญญา ภาณุพันธุ์’ ทรงกรุณาประทานยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจร แด่เรือนจำกลางลพบุรี จำนวน 100,000 เม็ด

หม่อมเจ้าอุทัยกัญญา ภาณุพันธุ์ ทรงกรุณาให้ นางสาวชญาณิศา ฐาณิชณาณัณ กรรมการผู้จัดการบริษัท เดอะไบบูรี่ พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ นำเชิญยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจรประทาน ให้ ผู้บัญชาการเรือนจำกลางลพบุรี เพื่อใช้ช่วยเหลือบรรเทาภัยเบื้องต้นในสถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อโคโรน่าไวรัส (โควิด-19) ที่กำลังแพร่ะบาดในเรือนจำ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือแก่เจ้าหน้าที่ในเรือนจำ ผู้ต้องขังในเรือนจำกลาง และเรือนจำในเครือข่าย โดยมี นายชีวานนท์ พรรัตน์ธนิกกุล ผู้ช่วยเลขานุการในองค์หม่อมเจ้าอุทัยกัญญา ภาณุพันธุ์ เป็นผู้อ่านหมายหนังสือประทานยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจร ด้วยสำนึกในพระกรุณาธิคุณ ที่ทรงห่วงใยพสกนิกรทุกหมู่เหล่า

นายยุทธพงษ์ เอี้ยงอ้าย เลขานุการในองค์หม่อมเจ้าอุทัยกัญญา ภาณุพันธุ์ ได้ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวว่า โดยแต่เดิม หม่อมเจ้าอุทัยกัญญา ภาณุพันธุ์ ทรงมีความห่วงใยต่อพสกนิกรทุกหมู่เหล่าเสมอมา ทรงจัดหาสิ่งของต่าง ๆ ที่พอจะช่วยเหลือ บรรเทาภัย และเพื่อเป็นขวัญกำลังใจแก่เจ้าหน้า และผู้ประสบภัยจากโรคระบาด โควิด-19 มาโดยตลอด ซึ่งตลอดช่วงเวลา 2 ปี ของการแพร่เชื้อโรคระบาดนี้ พระองค์ท่านมีรับสั่งให้คณะทำงานในส่วนพระองค์ แบ่งสายงานหาทางให้ความช่วยเหลือประชาชนทั้งในเขตกรุงเทพมหานคร และเขตปริมณฑล รวมทั้งต่างจังหวัดมาโดยตลอด

ต่อมาครั้งนี้ ทรงมีดำริถึงเรือนจำว่าน่าจะให้ความช่วยเหลือในเรื่องยาสมุนไพรไทย ฟ้าทะลายโจร ที่สามารถช่วยเหลือ รักษาอาการป่วยได้พอสมควร ทรงตรัสว่า “ควรหายาไปให้พวกเขานะ คนข้างนอกป่วยยังพอไปคลีนิค โรงพยาบาล ร้านขายยา รักษาอาการป่วยได้ แต่พวกเขาข้างในนั้น ไม่สามารถหายามารับประทานได้ หรือหากยาหมดก็ต้องรองบประมาณจากส่วนกลางส่งมา ซึ่งอาจใช้เวลานานไม่มากก็น้อย พวกเราควรหายาสมุนไพรที่กำลังเป็นที่นิยมแบ่งให้เจ้าหน้าที่เก็บไว้ เผื่อจะได้ใช้รักษาตนเองด้วย เพื่อความปลอดภัยของทุกคน” นับเป็นพระกรุณาธิคุณอย่างยิ่ง ที่พระองค์ท่านทรงมีความห่วงใยต่อพสกนิกรทุกหมู่เหล่า แม้จะทรงมีพระชันษามาก แต่ก็ยังทรงห่วงใยประชาชนชาวไทยตลอด…ทรงพระเจริญ

พันธมิตรจิตอาสา ห่วงใยชุมชนเอื้ออาทร รังสิตคลอง 2 หลังมีผู้ติดโควิดเกือบทั้งชุมชน ลงพื้นที่ตะลุยส่งข้าวปันอิ่ม ช่วยคลายทุกข์

(16 ก.ย.64)​ หมู่บ้านเอื้ออาทรรังสิตคลอง 2 ต.คลองสอง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี นายสมชาย จรรยา อุปนายก สมาคมผผู้สื่อข่าวและช่างภาพอาชญากรรมแห่งประเทศไทย พร้อมตัวแทนมูลนิธิสหชาติ ตัวแทนนักศึกษาสถาบันพระปกเกล้า หลักสูตรประกาศนียบัตรสิทธิมนุษยชนสำหรับนักบริหารระดับสูง รุ่น 1 (ปสม.) หลักสูตรเสริมสร้างสังคมสันติสุข รุ่น 12 (สสสส.) หนังสือพิมพ์ ดีดีโพสต์ นิวส์ เวปไชต์ข่าว canchaonews.com รวมกลุ่มจากองค์กรต่างๆ ในนาม “พันธิมิตรจิตอาสา” เป็นสะพานบุญ ส่งมอบข้าวกล่องอุ่นร้อนพร้อมรับประทานโครงการ “ครัวปันอิ่ม ร้อยเรียงใจสู้ภัยโควิด-19” จากเครือบริษัท ซีพี และโลตัส ส่งต่อความห่วงใยถึงชาวบ้านในชุมชน โดยมี นายจักรกฤช วิเศษชัยวรรณ กลุ่มร่วมด้วยช่วยกัน พร้อมตัวแทนชาวบ้าน รับมอบ เพื่อนำไปส่งต่อให้กับชาวบ้านกักตัว และที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด

นายจักรกฤช วิเศษชัยวรรณ กลุ่มร่วมด้วยช่วยกัน เปิดเผยว่า ชุมชนบ้านเอื้ออาทรรังสิตคลองสอง มีผู้พักอาศัย 1,375 ครัวเรือน มีประชากรเกือบ 4,000 คน ล่าสุดมีผู้ที่ต้องกักตัวอยู่ภายในบ้าน 57 คน เสียชีวิตแล้ว 2 ราย และเมื่อ 2 เดือนที่แล้วพบมีผู้ติดเชื้อโควิด-19 เกือบทั้งชุมชน และได้ทำการรักษาจนดีขึ้นเป็นลำดับ 

ด้านนายสมชาย จรรยา เปิดเผยว่า จากภาวะวิกฤตโควิด-19 ที่แพร่ระบาดได้ส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน ส่งผลกระทบต่อการทำมาหากิน ส่งผลให้คนต้องตกงาน การแบ่งปันมื้ออาหารจากโครงการครัวปันอิ่ม ถือเป็นการส่งความห่วงใยให้กับคนในชุมชน กลุ่มพันธมิตรจิตอาสา มุ่งมั่นทำงานเพื่อสังคม ลงพื้นที่เติมความสุขแบ่งปันความรักในยามที่ทุกคนลำบาก เราจะก้าวไปพร้อมกันและจะไม่ทิ้งใครไว้ข้าวหลัง

‘ดีเอสไอ’ คว้า 4 รางวัลเลิศรัฐ ประจำปี พ.ศ. 2564 จากสำนักงาน ก.พ.ร. ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์

วันพฤหัสบดีที่ 16 กันยายน 2564  สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (สำนักงาน ก.พ.ร.) ได้จัดพิธีมอบรางวัลเลิศรัฐ ประจำปี พ.ศ. 2564 ให้กับหน่วยงานที่มีผลการดำเนินการที่เป็นเลิศทั้งในด้านการเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการภาครัฐ การพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ และเปิดระบบราชการให้ภาคส่วนอื่นเข้ามามีส่วนร่วม ประกอบด้วย รางวัลเลิศรัฐ (4รางวัล) รางวัลบริการภาครัฐ (103 รางวัล) รางวัลการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม (78 รางวัล) และรางวัลคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ (49 รางวัล) และจะจัดให้มีพิธีมอบรางวัลเลิศรัฐ ประจำปี พ.ศ. 2564

โดยมี นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีมอบรางวัล กรมสอบสวนคดีพิเศษ นำโดย พันตำรวจโท กรวัชร์ ปานประภากร อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ พร้อมด้วย พันตำรวจโท ปกรณ์ สุชีวกุล / พันตำรวจโท สุภัทธ์ ธรรมธนารักษ์ / พันตำรวจเอก อัครพล บุณโยปัษฎัมภ์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และพันตำรวจโท วิชัย สุวรรณประเสริฐ ผู้อำนวยการกองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ นายนิคม สุวรรณรุ่งเรือง ผู้อำนวยการกองนโยบายและยุทธศาสตร์ และนางสาวสุรวรรณ  บุญญาศิริรัตน์ ผู้อำนวยการกลุ่มพัฒนาระบบบริหาร เป็นผู้แทนข้าราชการ กรมสอบสวนคดีพิเศษ เข้ารับรางวัล 4 รางวัล ได้แก่

1.รางวัลคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ 4.0 ระดับก้าวหน้า

2.รางวัลคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ หมวด 1 ด้านการนำองค์การและความรับผิดชอบต่อสังคม

3.รางวัลคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ หมวด 2 ด้านการวางแผนยุทธศาสตร์และการสื่อสารเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ  และ

4. รางวัลบริการภาครัฐ ประเภทพัฒนาการบริการ ระดับดี ผลงาน รู้ทัน (ROOTAN) : มาตรการเชิงรุกรองรับอาชญากรรมไซเบอร์ในช่วงสถานการณ์โควิด ของกองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ

อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าวให้คำมั่นว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษจะมุ่งมั่นทำงานเพื่อพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการขององค์กร พัฒนาคุณภาพการให้บริการประชาชน โดยจะขับเคลื่อนองค์กรให้ไปสู่ความเป็นเลิศและยั่งยืน เพื่อเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ในระบบการบริหารราชการไทย ต่อไป

‘สหรัฐ-อังกฤษ-ออสซี่’ ผนึกกำลัง ตั้งพันธมิตรอินโด-แปซิฟิก สู้ ‘จีน’

3 ประเทศนำโดยสหรัฐจัดตั้งกลุ่มพันธมิตรด้านความมั่นคงในอินโด-แปซิฟิก และจะช่วยออสเตรเลียสร้างเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ ด้านจีนแสดงท่าทีคัดค้านความร่วมมือดังกล่าวทันที

ผู้นำสหรัฐ อังกฤษ และออสเตรเลียแถลงร่วมกันหลังหารือทางไกลว่า ทั้ง 3 ประเทศจะจัดตั้งพันธมิตรด้านความมั่นคงในอินโด-แปซิฟิก ซึ่งจะทำให้ออสเตรเลียได้รับความช่วยเหลือในการต่อเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ด้วย ในขณะที่อิทธิพลของจีนในภูมิภาคนี้กำลังแผ่ขยาย

ประธานาธิบดี โจ ไบเดน กล่าวว่า “เรากำลังก้าวไปสู่ประวัติศาสตร์อีกก้าวหนึ่งเพื่อสร้างความร่วมมือที่ลึกซึ้งและเป็นทางการระหว่างทั้งสามประเทศ เนื่องจากเราทุกคนตระหนักดีถึงความจำเป็นในการสร้างสันติภาพและความมั่นคงในอินโดแปซิฟิกในระยะยาว...เพราะอนาคตของทั้ง 3 ประเทศทั้งโลกขึ้นอยู่กับความเสรีและเปิดกว้างของอินโด-แปซิฟิก ยั่งยืนและเฟื่องฟูในทศวรรษหน้า”

นายกรัฐมนตรี สกอตต์ มอร์ริสัน ของออสเตรเลียกล่าวว่า ออสเตรเลีย “จะไม่สะสมอาวุธนิวเคลียร์ และจะเดินหน้าปฏิบัติตามพันธสัญญาไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์”

นายกรัฐมนตรี บอริส จอห์นสันของอังกฤษกล่าวว่า “เป็นการตัดสินใจครั้งสำคัญสำหรับประเทศใด ๆ ก็ตามที่จะได้มาซึ่งความสามารถที่น่าเกรงขามในการครอบครองเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ และสำคัญเท่า ๆ กันสำหรับประเทศอื่น ๆ ที่จะเข้ามาช่วยเหลือ”

ด้านเจ้าหน้าที่รายหนึ่งของรัฐบาลไบเดนเผยว่า กลุ่มพันธมิตรที่มีชื่อว่า "AUKUS" ที่มาจากชื่อของทั้ง 3 ประเทศ ไม่ได้พุ่งเป้าไปที่ประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่เป็นการส่งเสริมผลประโยชน์เชิงกลยุทธ์ของกลุ่ม รักษาระเบียบตามกฎสากล และส่งเสริมสันติภาพและเสถียรภาพในอินโด-แปซิฟิก

โครงการแรกคือ การหารือความเป็นไปได้ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการจัดหาเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ให้ออสเตรเลีย โดยเจ้าหน้าที่สหรัฐเน้นย้ำว่าไม่เกี่ยวข้องกับการจัดหาอาวุธนิวเคลียร์แก่ออสเตรเลีย เรือดำน้ำเหล่านี้จะไม่ติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ แต่เรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์จะช่วยให้กองทัพเรือออสเตรเลียปฏิบัติการใต้น้ำได้ยาวนานขึ้น เงียบขึ้น และมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ดีลสร้างเรือดำน้ำพลังงานนิวเคลียร์ดังกล่าวส่งผลให้สัญญาต่อเรือดำน้ำ 12 ลำ มูลค่าราว 66,000 ล้านเหรียญสหรัฐที่ออสเตรเลียทำไว้กับ Naval Group บริษัทต่อเรือของกองทัพเรือฝรั่งเศสเมื่อปี 2016 สิ้นสุดลง สร้างความไม่พอใจให้ฝั่งฝรั่งเศส

ฌอง อีฟ เดอ ดริยอง รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศสและโฟลฮงซ์ ปาลี รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมออกแถลงการณ์ร่วมว่า “ทางเลือกของสหรัฐที่ผลักดันพันธมิตรยุโรปและหุ้นส่วนอย่างฝรั่งเศสออกจากการเป็นหุ้นส่วนกับออสเตรเลียในเวลาที่เรากำลังเผชิญกับความท้าทายที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก...แสดงให้เห็นถึงการขาดความเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน ซึ่งฝรั่งเศสทำได้เพียงยอมรับและเสียใจ”

ด้านจีนแสดงท่าทีคัดค้านความร่วมมือนี้เช่นกัน หลิวเผิงอวี่ โฆษกสถานเอกอัครราชทูตจีนในกรุงวอชิงตันดีซีเผยว่า สหรัฐ อังกฤษ และออสเตรเลียไม่ควรสร้างกลุ่มเฉพาะที่พุ่งเป้าหรือเป็นอันตรายต่อผลประโยชน์ของประเทศที่สาม ทั้ง 3 ประเทศควรสลัดความคิดและอคติทางอุดมการณ์ทิ้งเสียก่อน

'จุรินทร์” เผย ไทม์ไลน์ 'เจาะตลาด' ขยายการค้า 'ไทย-ไห่หนาน' นำการค้าไทย 'ลุย' ตลาดจีน

(16 ก.ย. 64) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า จากการที่กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศได้ลงนาม MOU ด้านการค้ากับมณฑลไห่หนาน ประเทศจีน เมื่อปลายเดือนสิงหาคม 2564 ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็น MOU ฉบับประวัติศาสตร์ และเป็นฉบับแรกที่ไทยทำกับระดับมณฑลของจีน ตามนโยบายการเร่งรัดการเจรจาการค้าภายใต้กรอบความร่วมมือระหว่างประเทศ

โดยกระทรวงพาณิชย์มีแผนที่จะจัดกิจกรรมจับคู่ธุรกิจระหว่างไทยกับไห่หนานในช่วงปลายปี 2564 ในรูปแบบของการจับคู่เจรจาธุรกิจออนไลน์ หรือ Online Business Matching: OBM และวิธีการส่งเฉพาะสินค้าตัวอย่างไปจัดแสดงในงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ หรือ Mirror & Mirror โดยจะเลือกโมเดลที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน และก้าวข้ามขีดจำกัดในยุค New Normal

“นอกจากนี้ สำหรับในปี 2565 ยังมีแผนกิจกรรมที่จะสร้างโอกาสในการส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนระหว่างกันอีกมาก ทั้งการจัดงาน Top Thai Brand ไห่หนาน ซึ่งจะเป็นการยกทัพสินค้าแบรนด์ดังระดับโลกของไทยไปร่วมจัดแสดงในงาน Hainan Expo อีกครั้งเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน โดยมุ่งเน้นการส่งเสริมธุรกิจบริการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ซึ่งไทยมีโอกาสผลักดันทั้งสินค้าและบริการเชิงสุขภาพเข้าไปให้บริการในไห่หนาน อาทิ การนวดแผนไทย สปา ผลิตภัณฑ์ด้านความงาม ผลิตภัณฑ์สมุนไพรไทย และการให้บริการสุขภาพแบบองค์รวม” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าว

ทั้งนี้ นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ระบุด้วยว่าหลังจากที่รัฐบาลจีนได้มีนโยบายและประกาศให้มณฑลไห่หนานเป็นเมืองท่าการค้าเสรีเชื่อมโยงประเทศที่อยู่ในแนวหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง ยิ่งกระตุ้นให้ภาคธุรกิจให้ความสำคัญกับมณฑลไห่หนานมากยิ่งขึ้น โดยในส่วนของประเทศไทยได้เริ่มมีสินค้าไทยเข้าไปขยายตลาดในมณฑลไห่หนานแล้ว สำหรับมูลค่าการค้าระหว่างไทย - ไห่หนาน ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 มีมูลค่ารวม 3,623 ล้านบาท โดยไทยส่งออกไปไห่หนาน 2,482 ล้านบาท และไทยนำเข้าจากไห่หนาน 1,142 ล้านบาท เป็นเบื้องต้น

และการทำข้อตกลงนี้ เป็นนโยบายการค้ายุคใหม่ของ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และเมื่อ 20 สิงหาคม 2564 นายจุรินทร์ได้เป็นประธานและสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจด้านความร่วมมือทางการค้าไทย-ไห่หนาน ระหว่างนายสมเด็จ สุสมบูรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กับนายเฉิน ซี อธิบดีกรมพาณิชย์ไห่หนาน ผ่านระบบทางไกล

"การลงนาม MOU เมื่อเดือนก่อนจะเป็นกลไกที่สำคัญในการส่งเสริมการค้าและการพัฒนาความร่วมมือระหว่างกันได้อย่างเป็นรูปธรรมในอนาคต และรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์พาณิชย์ให้แนวทางไว้ว่าความร่วมมือที่เกิดขึ้นนี้ ถือเป็น Mini-FTA ฉบับแรกที่ไทยทำกับมณฑลในประเทศจีน ซึ่งเป็นนโยบายที่ให้ไว้กับกระทรวงพาณิชย์ว่าให้ทำความตกลงการค้าฉบับเล็ก หรือจะเรียกว่า Mini-FTA ก็ได้ โดยทำกับรัฐต่าง ๆ ที่บางรัฐมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่กว่าหรือมีจำนวนประชาชนมากกว่าประเทศไทย

"โดยไห่หนานเป็นตัวอย่างแรกที่เกิดขึ้นกับประเทศจีน และยังมีแผนที่จะเดินหน้าทำกับมณฑลอื่น ๆ ของจีนเพิ่มขึ้น เช่น มณฑลกานชู ที่มีชาวมุสลิมอยู่มาก เพื่อเป็นลู่ทางในการส่งเสริมการค้าสินค้าฮาลาลของไทย รวมถึงมณฑลอื่น ๆ ที่เห็นว่าเป็นโอกาส ทั้งนี้เป็นไปตามนโยบายรัฐบาล โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ท่านจุรินทร์ " รองอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าว

ด้าน นางสาวสุภาวดี แย้มกมล ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาตลาดและธุรกิจไทยในต่างประเทศ 1 กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม สำหรับเนื้อหาความร่วมมือนั้น ทางรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายจุรินทร์ ให้ไว้ประกอบด้วย 5 ด้าน ได้แก่... 

1.) ความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลและมาตรการสนับสนุน SMEs เช่น การลงทุน การจัดตั้งตัวแทนการค้าร่วมกัน 
2.) ส่งเสริมเชื่อมโยงธุรกิจ เพื่อยกระดับความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมของ SMEs เช่น การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ พัฒนาสินค้า ขยายโอกาสสู่ตลาดที่สาม 
3.) อำนวยความสะดวกในกิจกรรมทางการค้า เช่น งานสัมมนา งานแสดงสินค้า จับคู่ธุรกิจ คณะผู้แทนการค้า เป็นต้น 
4.) ด้านการมุ่งขยายมูลค่าการค้าใน 3 สินค้าหลัก ประกอบด้วย สินค้าทางด้านการเกษตร สินค้าอาหาร และสินค้าอุตสาหกรรม 
5.) ส่งเสริมความร่วมมือด้านพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ และจับคู่ธุรกิจออนไลน์

“และที่เมืองไห่หนานนั้นมี นางสาวอรนุช วรรณภิญโญ ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมืองกวางโจว พร้อมทีมเซลล์แมนประเทศ หรือทีมทูตพาณิชย์ เจ้าหน้าที่กระทรวงพาณิชย์ประจำสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ดำเนินการประสานงานในพื้นที่ โดยทางฝ่ายไทยมี สำนักพัฒนาตลาดและธุรกิจไทยในต่างประเทศ 1 ประสานดำเนินงานตามพันธกิจนี้” นางสาวสุภาวดี กล่าว

ทบ. โดย พล.ปตอ. และ มทบ.11 แจ้งเคลื่อนย้ายกำลังพล อาวุธยุทโธปกรณ์ และยานพาหนะ ภายใน  17 - 28ก.ย. 64 

กองทัพบก โดยกองพลทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยาน แจ้งเคลื่อนย้ายกำลังพล อาวุธยุทโธปกรณ์ และยานพาหนะ ของกองพันทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 5 กรมทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 1  เพื่อออกทำการฝึกเป็นหน่วยพร้อมรบเคลื่อนที่เร็วของ กองทัพบก ประจำปี 2564 ณ พื้นที่ฝึกศูนย์การทหารปืนใหญ่ จ.ลพบุรี (ภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19) ในวันที่ 17 ก.ย. 64 เวลา 03.00 น. เคลื่อนย้ายทางรถยนต์และทางรถไฟจาก กองพันทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 5  กรมทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 1 – ถ.แจ้งวัฒนะ – ถ.วิภาวดีรังสิต – ถ.พหลโยธิน – ถ.เลี่ยงเมืองสระบุรี ปลายทาง พื้นที่ฝึกศูนย์การทหารปืนใหญ่ จ.ลพบุรี และเคลื่อนย้ายกลับ กองพันทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 5 กรมทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 1  ตามเส้นทางเดิม ในวันที่ 25 ก.ย. 64 เวลา 22.00 น.

กองทัพบก โดยมณฑลทหารบกที่ 11 (มทบ.11) แจ้งเคลื่อนย้ายกำลังพล อาวุธยุทโธปกรณ์ และยานพาหนะ ของ กองพันทหารราบมณฑลทหารบกที่ 11เพื่อออกทำการฝึกเป็น หน่วย หมู่ ตอน หมวด ประจำปี 2564 ณ พื้นที่ฝึกเขาแหลม บ้านพุพรหม ต.ลาดหญ้า อ. เมือง จ.กาญจนบุรี (ภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด 19)  ในวันที่ 17 ก.ย. 64 เวลา 05.30 น. เคลื่อนย้ายจาก กองพันทหารราบ มณฑลทหารบกที่ 11  – ถ.แจ้งวัฒนะ – ถ.ชัยพฤกษ์– สะพานพระราม 4 – แยกนพวงศ์  ถนนหมายเลข 346 - สามแยกกำแพงแสน  - ถนนหมายเลข 346 - สามแยกพนมทวน - ถนนหมายเลข 324 ปลายทาง พื้นที่ฝึกเขาแหลม บ้านพุพรหม ต.ลาดหญ้า อ. เมือง จ.กาญจนบุรี และเคลื่อนย้ายกลับ กองพันทหารราบมณฑลทหารบกที่ 11 ตามเส้นทางเดิม ในวันที่ 28 ก.ย. 64 เวลา 09.00 น.

จึงขอแจ้งให้ประชาชนได้รับทราบ และขออภัยในความไม่สะดวกในวันปละเวลาดังกล่าว

สงขลา-บิ๊กโจ๊กลงพื้นที่หาดใหญ่ ติดตามความคืบหน้าโครงการ “สมาร์ท เชฟตี้ โซน 4.0” (SMART SAFETY ZONE 4.0)

สภ.หาดใหญ่ เป็น 1 ใน 15 แห่งในพื้นที่นำร่องทั่วประเทศ พร้อมเร่งประชาสัมพันธ์ประสานความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชน

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษา (สบ.9) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมคณะ เดินทางมาตรวจเยี่ยม สภ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งเป็น 1 ใน 15 สถานีตำรวจนำร่องในโครงการ “สมาร์ท เชฟตี้ โซน 4.0” (SMART SAFETY ZONE 4.0) โดยมี พล.ต.ต.กฤษฎา แก้วจันดี รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 9 , พ.ต.อ.กิตติชัย สังขถาวร รองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา , พ.ต.อ.อัครวุฒ ธานีรัตน์ ผกก.สภ.หาดใหญ่ , นายชวกิจจ์ สุวรรณคีรี นายอำเภอหาดใหญ่ , พล.ต.ท.สาคร ทองมุณี นายกเทศมนตรีนครหาดใหญ่ , พ.อ.กุดั่น ทองคำ หัวหน้ากองยุทธการมณฑลทหารบกที่ 42 รวมทั้งส่วนราชการ ภาคเอกชนและท่องเที่ยวในเมืองหาดใหญ่ และภาคประชาชน เข้าร่วม

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษา (สบ.9) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยว่า สำหรับโครงการ “สมาร์ท เชฟตี้ โซน 4.0” (SMART SAFETY ZONE 4.0) มีขึ้นตามนโยบายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จากหลักความคิดของ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่ว่า “จะทำอย่างไรให้ประชาชนต้องไม่เกิดความหวาดระแวงภัยอาชญากรรม หากสามารถทำให้ผู้หญิงคนหนึ่ง สามารถเดินคนเดียวได้อย่างสบายใจบนถนนตอนกลางคืน”

กระทั่งนำมาสู่ป้องกันอาชญากรรมในรูปแบบบูรณาการทุกภาคส่วน โดยใช้นวัตกรรม และยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางตามแนวคิดเรื่อง “เมืองอัจฉริยะ” นำไปสู่ความปลอดภัยจากอาชญากรรมอย่างยั่งยืนด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี และนวัตกรรม เข้ามาสร้างความเชื่อมั่น อุ่นใจ ปลอดภัยในชุมชน รวมทั้งพัฒนาการทำงานของตำรวจควบคู่ไปด้วย ซึ่งล่าสุดได้นำร่องไปแล้วในพื้นที่ 15 สถานีตำรวจ ทั่วประเทศ

ทั้งนี้ “สมาร์ท เชฟตี้ โซน 4.0” (SMART SAFETY ZONE 4.0) หรือ “พื้นที่สันติสุข” ของ สภ.หาดใหญ่ มีพื้นที่ในความรับผิดชอบ 0.47 ตร.กม. และทาง สภ.หาดใหญ่ ได้นำนวัตกรรมมาใช้ ในการป้องกันอาชญากรรมทั้งหมด 12 อย่าง คือ 1.Application Police 4.0 , 2.Application Police I lert U , 3.กล้อง Face detection เชื่อมโยงระบบหมายจับ , 4.ศูนย์กล้อง CCTV กอ.รมน. และกล้องวรจรปิดในพื้นที่ 617 ตัว พร้อมกล้อง Plates , 5.กล้องบันทึกวิดีโอขณะปฏิบัติหน้าที่ของสายตรวจ , 6.รถตู้ CCTV เคลื่อนที่พร้อมระบบปฏิบัติการ Face Detection , 7.โดรนตรวจการ , 8.Line Official Account สภ.หาดใหญ่ , 9.กลุ่มไลน์ภาคีเครือข่ายภาคเอกชนในพื้นที่ , 10.ห้อง CCOC Command and Control Operation Center , 11.ระบบ GPS real-time สำหรับติดตามสายตรวจ และ 12.โปรแกรม Crime On mobile

นอกจากนี้ภายหลังการประชุมแล้วเสร็จ ทาง พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ที่ปรึกษา (สบ.9) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และคณะ ยังได้เดินทางเข้าตรวจเยี่ยมศูนย์กล้องซีซีทีวี สภ.หาดใหญ่ รวมทั้งรถตู้ซีซีทีวีเคลื่อนที่พร้อมระบบปฏิบัติการ และพบปะเยี่ยมเยียนกำลังพล ก่อนเดินทางไปยังสถานรถไฟชุมทางหาดใหญ่ และย่านร้านทองในบริเวณดังกล่าว

เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ทุกภาคส่วน รวมทั้งผู้ประกอบการต่างๆ และประชาชนในพื้นที่ ได้รับทราบถึงการดำเนินการตามโครงการดังกล่าวอย่างทั่วถึงกัน และจะติดตามความคืบหน้าในการใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการป้องกันอาชญากรรม เพื่อให้การป้องกันอาชญากรรมในโครงการดังกล่าวมีประสิทธิภาพสูงสุด

7 มาตราการ เปิดเรียนอย่างปลอดภัย

กระทรวงสาธารณสุข กำหนดรูปแบบการเรียนการสอนในโรงเรียนตามมาตรการ Sandbox ในโรงเรียน : Sandbox Safety Zone in School ซึ่งจะเป็นแนวทางให้โรงเรียนที่มีความพร้อมเปิดเรียนได้ตามปกติ โดยเพิ่ม 7 มาตรการเข้มสำหรับสถานศึกษา (โรงเรียนไป - กลับ) เพื่อให้เกิดความปลอดภัยเมื่อเข้า - ออกโรงเรียน

1.) สถานศึกษาประเมินความพร้อมเปิดเรียนผ่าน Thai Stop Service Plus และรายงานการติดตามประเมินผล

2.) ทำกิจกรรมร่วมกันในรูปแบบ Small Bubble (เน้นกลุ่มเล็ก)

3.) จัดระบบให้บริการอาหารตามหลักสุขาภิบาลและหลักโภชนาการ

4.) จัดการด้านอนามัยสิ่งแวดล้อมให้ได้ตามเกณฑ์มาตรฐาน

5.) จัดให้มี School Isolation แผนเผชิญเหตุ และซักซ้อมอย่างเคร่งครัดหากพบผู้ติดเชื้อ

6.) ควบคุมดูแลการเดินทางไปกลับของนักเรียน เช่น รถส่วนบุคคล รถโดยสารสาธารณะ

7.) จัดให้มี School Pass สำหรับนักเรียน ครูและบุคลากรในสถานศึกษา ประกอบด้วย ผลการตรวจ ATK ภายใน 7 วัน หรือประวัติการรับวัคซีน

อย่างไรก็ตาม จะต้องประเมินความเสี่ยงตามสถานการณ์การระบาดในแต่ละพื้นที่ที่โรงเรียนตั้งอยู่ และต้องได้รับการเห็นชอบจากคณะกรรมการโรคติดต่อของจังหวัดหรือกรุงเทพมหานครก่อนที่จะเปิดเรียน

นายกรัฐมนตรี เผย ภาพรวมปริมาณน้ำอยู่ในระดับ ทรงตัว ไม่น่าเป็นห่วง เหมือนปี 2554 พร้อมย้ำรัฐบาลเตรียมแผนเผชิญเหตุ รับมือสถานการณ์น้ำอย่างเป็นระบบ

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านทาง Facebook ว่า หลังได้ลงพื้นที่เขื่อนเจ้าพระยา จังหวัดชัยนาท เพื่อติดตามสถานการณ์น้ำ โดยเฉพาะที่มาจากภาคเหนือ และอาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่ภาคกลางของประเทศ รวมถึง กทม. ซึ่งได้รับข้อมูลว่าปัจจัยสำคัญของปริมาณน้ำในช่วงนี้มาจากพายุ 2 ลูก ที่เพิ่งผ่านพ้นไป ส่งผลกระทบในบางพื้นที่ แต่ในภาพรวมปริมาณน้ำอยู่ในระดับ "ทรงตัว" แล้ว และจากการประเมินของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สถานการณ์น้ำในปีนี้ "ไม่น่าเป็นห่วง" เหมือนปี 2554 แต่อย่างไรก็ตาม ตนได้สั่งการให้มีการเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องจนหมดหน้าฝน โดยให้หน่วยงาน เตรียมพร้อมรับสถานการณ์จุดเสี่ยงต่าง ๆ อย่างเต็มที่ ตามแผนเผชิญเหตุ โดยคำนึงเสมอว่านอกจากระบายน้ำลงทะเลเพื่อป้องกันน้ำท่วมแล้ว ยังต้องคำนวณการเก็บกักน้ำไว้ใช้หน้าแล้งด้วย

พร้อมกันนี้นายกรัฐมนตรี ยืนยันด้วยว่า รัฐบาลมีแผนการรับมือสถานการณ์น้ำอย่างเป็นระบบ ในแต่ละลุ่มน้ำ แต่ละภูมิภาค ในช่วงมรสุมของทุก ๆ ปี ตั้งแต่ระบบติดตามระดับน้ำ พร้อมทั้งพยากรณ์ปริมาณน้ำล่วงหน้า ซึ่งจะกำหนดเกณฑ์ปลอดภัย เกณฑ์ตัดสินใจเพิ่มการระบายน้ำในแต่ละจุด แต่ละพื้นที่ โดยคำนวณผลกระทบล่วงหน้า การเตรียมพื้นที่รองรับน้ำ มีหน่วยงาน/ผู้รับผิดชอบตามระดับผลกระทบ มีอนุกรรมการและคณะกรรมการกำกับดูแล มีขั้นตอนการปฏิบัติที่ชัดเจน รวมทั้งแผนเผชิญเหตุแยกเป็นพื้นที่และเป็นภาพรวม ระบบและช่องทางสื่อสารแจ้งเตือนภัย และการตระเตรียมพื้นที่อพยพและพื้นที่ปลอดภัย เป็นต้น

ที่ผ่านมา หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตรวจสอบความแข็งแรงโครงสร้างเขื่อน-ประตูน้ำ ขุดลอกคูคลองสาขา จัดระเบียบที่อยู่อาศัยชุมชนที่รุกล้ำลำคลองสาธารณะ และกำจัดผักตบชวาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ 19 จังหวัด ภาคกลางและตะวันออก รวมกำจัดผักตบชวากว่า 5 ล้านตัน

หลักการสำคัญที่รัฐบาลเน้นย้ำมาตลอดคือ การแก้ปัญหาสถานการณ์น้ำอย่างยั่งยืน โดยมีการจัดทำแผนบรรเทาอุทกภัยในลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่าง ประกอบด้วย การเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำท่าจีน การปรับปรุงระบบชลประทานเจ้าพระยาทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออก การบริหารจัดการพื้นที่รับน้ำนองและพื้นที่นอกคันกั้นน้ำ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการผลักดันโครงการก่อสร้างคลองระบายน้ำหลากสายใหม่ ทั้งคลองระบายน้ำหลากบางบาล-บางไทร ที่จะแล้วเสร็จในปี 2566 คลองระบายน้ำหลากชัยนาท-ป่าสัก-อ่าวไทย (เพื่อรองรับน้ำท่วมที่รอบปี 50 ปี) และคลองระบายน้ำควบคู่กับถนวงแหวนรอบที่ 3 (เพื่อรองรับน้ำท่วมที่รอบปี 100 ปี) ทั้งนี้เป้าหมายหลัก นอกจากเพื่อลดปัญหาน้ำท่วมแล้ว ยังเป็นการสนับสนุนพื้นที่เกษตรกรรมและอุตสาหกรรมของประเทศด้วย

ตนจึงขอให้พี่น้องประชาชนมีความมั่นใจการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำแบบบูรณาการที่รัฐบาลได้วางแผนไว้แล้ว และขอความร่วมมือในการอุปโภคบริโภคอย่างสมดุล พื้นที่เพาะปลูกก็จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้สอดคล้องกับทรัพยากรน้ำ และสอดคล้องกับความต้องการของตลาด ตามนโยบาย “ตลาดนำการผลิต” ด้วย ซึ่งรัฐบาลพร้อมจะเข้าไปส่งเสริมและสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง ปลายทาง เพื่อความยั่งยืนของทรัพยากรน้ำของประเทศ

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดพิธีมอบประกาศเกียรติคุณให้แก่ข้าราชการตำรวจผู้เกษียณอายุราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กำหนดจัดพิธีมอบประกาศเกียรติคุณให้แก่ข้าราชการตำรวจผู้ที่เกษียณ อายุราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 ในวันพฤหัสบดี ที่ 16 ก.ย. 2564 ตั้งแต่เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป ณ ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมี พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นประธาน พร้อมด้วยผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เข้าร่วมเป็นเกียรติในพิธีฯ

สำหรับพิธีดังกล่าวฯ จัดขึ้นเพื่อเป็นการเชิดชูเกียรติแก่ข้าราชการตำรวจผู้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความทุ่มเท เสียสละทั้งแรงกายและแรงใจ มีผลงานเป็นที่ประจักษ์แก่พี่น้องประชาชนและสำนักงานตำรวจแห่งชาติเรื่อยมาจนครบเกษียณอายุราชการ ทั้งนี้ มีข้าราชการตำรวจที่จะเข้ารับประกาศเกียรติคุณ ทั้งสิ้นจำนวน 32 นาย

โดยเป็นผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้แก่

1. พล.ต.อ. มนู  เมฆหมอก รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

2. พล.ต.อ. ชนสิษฎ์  วัฒนวรางกูร รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ

3. พล.ต.อ.ณัฐธร  เพราะสุนทร ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

4. พล.ต.อ. วิรุฬ  เอี่ยมไพจิตร์ ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

5. พล.ต.อ. เพิ่มพูน  ชิดชอบ  ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

6. พล.ต.อ. อดิศร์  งามจิตสุขศรี ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

7. พล.ต.อ. จารุวัฒน์  ไวศยะ  ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

8. พล.ต.อ. พงษ์วุฒิ  พงษ์ศรี  ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

9. พล.ต.อ. กิตติพงษ์  เงามุข  ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

10. พล.ต.อ. สุรพล  อยู่นุช  ที่ปรึกษาพิเศษ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

ทั้งนี้ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ยึดหลักการปฏิบัติตามมาตรการด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด  จึงสั่งการให้หน่วยต่างๆ ในสังกัด กำหนดให้มีการจัดพิธีฯแก่ข้าราชการตำรวจผู้ที่เกษียณอายุราชการ ณ ที่ตั้งของแต่ละหน่วยงาน  พร้อมทั้งได้เน้นย้ำถึงการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค และกำชับการปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อกำหนดของทางราชการ และมาตรการด้านสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดด้วย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขอขอบคุณที่กรุณาเผยแพร่ข่าวสาร


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top