Sunday, 6 July 2025
NEWS FEED

สคบ. เตรียมออกกฎหมายคุม ‘กล่องสุ่ม’ ชี้!! อาจเข้าข่ายการพนัน

‘สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค’ เอาจริง เตรียมออกกฎหมายควบคุมการขายสินค้าประเภท ‘กล่องสุ่มปริศนา’ เผย อาจมีความผิดตามกฎหมายการพนัน นอกจากนี้ หากสินค้าในกล่องไม่มีฉลาก และไม่ระบุราคา ผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภคอีก

จากกรณี แม่ค้าออนไลน์สุดฮอต ‘พิมรี่พาย’ ได้ไลฟ์ขายสินค้าออนไลน์ในเพจพิมรี่พายขายทุกอย่าง ได้สร้างมิติใหม่แห่งการขาย หลังบิวตี้บล็อกเกอร์มาขอเปิดกล่องสุ่มเครื่องสำอาง ราคา 1 แสนบาท ได้เงิน 100 ล้านในเวลา 10 นาที

ต่อมา ได้ทำการขายกล่องสุ่มราคา 1 หมื่นบาทอีกครั้ง และขายได้เงิน 100 ล้านบาท ในเวลา 5 นาที สำหรับก่อนหน้านี้ กล่องสุ่มราคา 1 แสนบาทนั้น ลูกค้าได้นำออกมาเปิดเผยกันเป็นจำนวนมาก พบมีทั้งเครื่องสำอางเคาน์เตอร์แบรนด์จำนวนมาก และยังมีทอง, ไอโฟน ยันรถยนต์! Suzuki Celerio ราคาต่ำ ๆ ก็ 3 แสนกว่าบาทไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. มีรายงานว่า รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) นายสุวิทย์ วิจิตรโสภา ได้ออกมากล่าวถึงเหตุการณ์ดังกล่าวว่า...

“ขณะนี้คณะกรรมการว่าด้วยการโฆษณาของ สคบ. เตรียมพิจารณาการออกกฎกระทรวง เพื่อมาควบคุมการโฆษณาขายกล่องสุ่มปริศนา ซึ่งปัจจุบัน กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในช่องทางออนไลน์ และมักมีการใช้บุคคลที่มีชื่อเสียง ทั้งเน็ตไอดอล, ยูทูบเบอร์ หรือดารานักร้องมารีวิว และโฆษณาชักชวนให้ผู้บริโภคมีความสนใจ จนหลงเชื่อและซื้อสินค้า ซึ่งการออกกฎหมายฉบับนี้จะกำหนดหลักเกณฑ์, วิธีการ และเงื่อนไขต่าง ๆ ให้ชัดเจน เพื่อช่วยคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับความเป็นธรรม”

ทั้งนี้ สคบ. มองว่า ปัญหาสำคัญสำหรับการโฆษณาหรือจำหน่ายกล่องสุ่มมี 2 ประเด็นหลัก โดยประเด็นแรก อาจเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการพนัน ที่ดูแลโดยกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย หากไม่ได้ทำการขออนุญาตอย่างถูกต้อง หรือไม่ผ่านการตรวจสอบ ส่วนประเด็นที่สองเกี่ยวข้องกับผู้บริโภค เพราะการระบุข้อมูลในกล่องว่ามีเพียงประเภทสินค้า เช่น เครื่องสำอาง หรือของใช้ โดยไม่ได้ระบุรายละเอียดสำคัญของสินค้า ทั้งฉลากและราคา มีความผิดตาม พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภคเกี่ยวกับสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้บริโภคต้องได้รับข้อมูลข่าวสาร รวมทั้งคำพรรณนาของสินค้าที่ถูกต้องครบถ้วน เพื่อให้ผู้บริโภคเห็นสินค้าได้อย่างชัดเจนว่ามีความจำเป็นก่อนตัดสินใจซื้อ

"สกลธี" รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เร่งผลักดัน ส่งเสริมและสนับสนุนการจ้างงาน "คนพิการ" อย่างบูรณาการ

ณ ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร "นายสกลธี ภัททิยกุล" รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เปิดใจกับรายการเปิดฟ้า ช่วง "คนละไม้คนละมือ" ทาง ททบ.5 พูดคุยกับ นายชัยพร ภูผารัตน์ ผู้อำนวยการสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย / นายชีวานนท์ พรรัตน์ธนิกกุล นายกสมาคมสหพันธ์แรงงานคนพิการไทย และผู้ดำเนินรายการ เกี่ยวกับนโยบายและวิสัยทัศน์การสนับสนุนส่งเสริมให้ "คนพิการ" มีงานทำ มีอาชีพ มีรายได้ เพื่อเลี้ยงดูแลตนเองและครอบครัว ด้วยความภาคภูมิใจ ซึ่ง"นายสกลธี ภัททิยกุล" รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร

ได้กล่าวถึงแรงบันดาลใจในการผลักดันให้คนพิการมีงานทำ สืบเนื่องจากได้มีการ พูดคุยหารือ กับ "อาจารย์ชูศักดิ์ จันทยานนท์ " ประธานมูลนิธิออทิสติกไทย และตำแหน่ง นายกสมาคมสภาคนพิการทุกประเภทแห่งประเทศไทย เพื่อร่วมกันพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ ให้เข้าถึงโอกาสการจ้างงาน ตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2550 ในส่วนเกี่ยวข้อง การจ้างงานคนพิการมาตรา 33 / 34 และ 35 อีกครั้ง ยังเล็งเห็นศักยภาพของคนพิการทุกประเภท มีความสามารถทำงานหรือปฏิบัติหน้าที่ ได้ดีเช่นเดียวกับบุคคลอื่นๆ และเพื่อเป็นแบบอย่างให้กับหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคสังคม ในการให้โอกาส การมีงานทำ สำหรับคนพิการบนความเสมอภาคและเท่าเทียมกัน

อีกทั้ง ยังมีนโยบายในการเตรียมความพร้อมสำหรับคนพิการ เพื่อการพัฒนาและฝึกฝนทักษะสายงานอาชีพต่างๆ ให้เป็นไปในความต้องการของหน่วยงานของภาครัฐ และภาคเอกชน ที่อยากจะได้บุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในสายงานนั้นๆ 

ทั้งนี้ นอกเหนือจากการเตรียมความพร้อมในด้านอื่นๆแล้ว "กรุงเทพมหานคร" ยังมอบหมาย ให้หน่วยงานต่างๆอาทิเช่น สำนักงานเขต ของกรุงเทพฯ เริ่มต้นจากการจ้างงานคนพิการ 1 คน เพิ่มเป็น 2 คน ก็จะทำให้มีคนพิการ มีงานทำมากกว่า 100 อัตรา และอนาคตอันใกล้นี้ยังจะให้โรงเรียนในสังกัดกรุงเทพฯที่มีมากกว่า 300 แห่ง เปิดรับสมัครคนพิการเข้าทำงานด้วยเช่นกัน ก็จะเป็นการเพิ่มอัตราแรงงานคนพิการ มีอาชีพ มีรายอีก และเป็นการลดภาระแบ่งเบาค่าใช้จ่ายภายในครอบครัวได้เป็นอย่างดี

ท้ายนี้ ได้ลงพื้นที่เยี่ยมชมการเตรียมความพร้อม ในด้านสภาพแวดล้อม สิ่งอำนวยความสะดวก "Universal Design" เพื่อคนทั้งมวล ที่ "สำนักงานเขตราชเทวี" กรุงเทพมหานคร โดยได้รับเกียรติจาก  "ดร.นราทิพย์ ผินประดับ" ผู้อำนวยการสำนักงานเขตราชเทวี และผู้บริหารฝ่ายต่างๆ พาสำรวจอาคารสำหรับต้อนรับคนพิการมาทำงานได้อย่างสะดวก

 

ศาลสั่งจำคุก 'ซูจี' 4 ปี คดีปลุกปั่น-ฝ่าฝืนข้อกำหนดโควิด ด้าน พล.อ.มิน อ่องหล่าย อภัยโทษให้เหลือ 2 ปี

เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 64 นางซูจีถูกศาลเมียนมาตัดสินในคดียุยงปลุกปั่น-ฝ่าฝืนข้อกำหนดการควบคุมโควิด-19 โดยศาลสั่งจำคุก 4 ปี ต่อมาผู้นำรัฐบาลทหารได้อภัยโทษ ลดเหลือจำคุกสองปี

นางอองซาน ซูจี อดีตผู้นำเมียนมาที่ถูกกองทัพโค่นล้มอำนาจ ได้รับการลดโทษจำคุกครึ่งหนึ่ง เหลือ 2 ปี โดยเป็นการอภัยโทษจากหัวหน้าคณะรัฐประหารในคดีที่เธอถูกตัดสินให้จำคุกเป็นเวลา 4 ปี ข้อหายุยงปลุกปั่นและฝ่าฝืนข้อกำหนดเกี่ยวกับการป้องกันการระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั้งหมดรวม 11 กระทง ซึ่งเธอให้การปฏิเสธทั้งหมด 

รายงานระบุว่า นางซูจีถูกศาลสั่งตัดสินจำคุก 4 ปีในช่วงเช้าวานนี้ แต่ในเวลาต่อมา พลเอกมิน อ่องหล่าย ผู้นำรัฐบาลทหารได้อภัยโทษให้เธอเหลือ 2 ปี

อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทราบแน่ชัดว่านางซูจีจะถูกนำตัวเข้าเรือนจำหรือไม่ เพราะในเวลานี้เธอถูกควบคุมตัวไว้ยังสถานที่ที่ไม่มีการเปิดเผย โดยตัวเธอเองก็ถูกควบคุมตัวอยู่แต่ภายในบ้านพัก มาตั้งแต่กองทัพก่อรัฐประหารเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ขณะที่นายวิน มินต์ อดีตประธานาธิบดีก็ถูกลงโทษจำคุกสี่ปีเช่นกันเมื่อวานนี้ ในข้อหาเดียวกันกับนางซูจี 

“อลงกรณ์”แนะ”ชลน่าน”อย่าทำผิดซ้ำสอง หลังประกาศรื้อฟื้นโครงการจำนำข้าว  ชี้สมาคมชาวนาหนุนโครงการประกันรายได้เพราะตอบโจทย์ปฏิรูปข้าวมากกว่า

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รองหัวหน้าพรรคและประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พรรคประชาธิปัตย์กล่าวถึงการให้สัมภาษณ์ของ นพ.ชลน่าน ศรีแก้วที่กล่าวว่า”…โครงการประกันรายได้ ไม่ส่งเสริมการลดต้นทุน ไม่ส่งเสริมการผลิต และไม่ส่งเสริมการตลาด เป็นเพียงการชดเชยส่วนต่าง ซึ่งแตกต่างกับโครงการรับจำนำข้าว ที่เป็นการเข้าจัดการกลไกราคาตลาด ทำให้ราคาข้าวสูงขึ้น ชาวนาขายข้าวได้มากขึ้น…”

โดยนายอลงกรณ์กล่าววันนี้(7ธ.ค)ว่า นพ.ชลน่านควรศึกษากรณีอดีตรัฐมนตรีพาณิชย์ แกนนำพรรค ข้าราชการและพ่อค้านักธุรกิจที่ติดคุกเพราะทุจริตโครงการจำนำข้าวรวมทั้งรายงานการศึกษาของทีดีอาร์ไอ(TDRI)ประเด็นความเสียหายที่ก่อหนี้ให้กับประเทศหลายแสนล้าน หากคิดจะฟื้นคืนชีพโครงการนี้ 

โครงการรับจำนำข้าวเป็นโครงการที่รัฐซื้อข้าวทุกเมล็ดจากชาวนาแล้วจ้างโรงสีสีข้าวและเก็บข้าว เป็นการซื้อแพงสูงกว่าราคาตลาดโดยหวังว่าเมื่อซื้อข้าวมาเก็บไว้มากๆและซื้อราคาสูงจะทำให้ราคาข้าวสูงขึ้นตามซึ่งเป็นแนวคิดทางทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่เป็นเช่นนั้น

ดังนั้นเมื่อไม่สามารถทำให้ราคาข้าวสูงขึ้น และไม่สามารถระบายขายออกเพราะซื้อมาแพง ทำให้ข้าวค้างสต็อกหลายล้านตัน ในที่สุดโครงการขาดสภาพคล่องไม่มีเงินจ่ายค่าข้าวติดหนี้ค้างจ่ายชาวนา หลายคนถึงกับฆ่าตัวตายจนเป็นข่าวใหญ่ในช่วงปี2556-57

ประการสำคัญคือการซื้อข้าวทุกเม็ดเน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพได้ทำลายมาตรฐานการผลิตและคุณภาพข้าวไทยและยังสร้างความเสียหายให้กับภาพลักษณ์หรือแบรนด์ข้าวของเราในตลาดโลก รวมทั้งการมีข้าวค้างสต็อกในประเทศไทยหลายล้านตันมีผลต่อการกดทับราคาข้าวในตลาดโลก

ยิ่งกว่านั้นยังมีการทุจริตตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำมีคนของรัฐบาลร่วมกับเครือข่ายพรรคพวกนักธุรกิจพ่อค้าโกงกันแบบมโหฬารเป็นขบวนการใหญ่จนต้องโทษติดคุกจำนวนมาก

นับเป็นโครงการที่ล้มเหลวมีการคอรัปชั่นอื้อฉาวมากที่สุดและเสียหายมากที่สุดเป็นเงินหลายแสนล้านบาท จนถึงวันนี้ประเทศยังต้องใช้หนี้ที่โครงการจำนำข้าวก่อไว้ อีกหลายปีกว่าจะหมดอย่าทำผิดซ้ำสองเลยครับ ลองอ่านผลการศึกษาของทีดีอาร์ไอ.(TDRI)เกี่ยวกับโครงการจำนำข้าวตามไฟล์ที่ผมแนบมาจะเข้าใจในเรื่องที่ผมกล่าวมาทั้งหมด คิดทบทวนให้ดี ไปสร้างนโยบายดีๆมีคุณภาพมานำเสนอใหม่น่าจะดีกว่านะครับ

สำหรับโครงการประกันรายได้ที่ท่านวิจารณ์โดยไม่มีการศึกษาวิเคราะห์ด้วยข้อมูลและเหตุผลอย่างรอบด้านทำให้ผมต้องขอโอกาสในการทำความเข้าใจ

โครงการประกันรายได้เกษตรกรชาวนาเป็นการประกันรายได้ไม่ใช่ประกันราคาเมื่อราคาข้าวต่ำกว่าเกณฑ์ประกันรายได้ ชาวนาจะได้เงินส่วนต่างชดเชย เช่นถ้าชาวนาขายโรงสีได้7พันก็จะได้ชดเชยส่วนต่าง3พันสำหรับข้าวเปลือกเจ้าที่ความชื้น15เปอร์เซ็นต์ เป็นต้นโดยระหว่างนั้นก็มีมาตรการเสริมอื่นๆเพื่อยกระดับราคาข้าวและสนับสนุนการผลิตของชาวนา

การจ่ายเงินส่วนต่างจะโอนตรงจากธกส.ไปยังบัญชีชาวนาโดยตรงเพื่อไม่ให้เกิดการรั่วไหลและเป็นโครงการที่เกษตรกรพึงพอใจมากที่สุดโครงการหนึ่งของรัฐบาลเพราะสามารถสร้างหลักประกันรายได้(Universal basic income)จากการประกอบอาชีพเกษตรกรรมในช่วงที่เกิดความผันผวนของราคาผลผลิตทางการเกษตรจากผลกระทบของการแพร่ระบาดโควิด19ที่ทำให้เศรษฐกิจวิกฤตไปทั่วโลก ถือเป็นนโยบายเรือธง(Flagship policy)ของพรรคประชาธิปัตย์และรัฐบาล

โครงการนี้ได้ช่วยพัฒนาฐานะและชีวิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรและครอบครัวเกือบ30ล้านคนเป็นภาคเศรษฐกิจที่มีแรงงานและการจ้างงานมากที่สุดซึ่งเป็นฐานรากสำคัญที่สุดของประเทศ ทำให้สามารถรักษาการผลิตสินค้าเกษตรสร้างรายได้ในการส่งออกให้กับประเทศของเราจนเป็นอันดับต้นของสินค้าที่ส่งออกเพิ่มขึ้นทำให้เกิดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า1ล้านล้านบาทต่อปีในช่วง2ปีที่ผ่านมา

โครงการประกันรายได้ไม่ใช่โครงการโดดๆแต่เป็นส่วนหนึ่งของช่วงเปลี่ยนผ่าน(Transition period)ของการปฏิรูปภาคเกษตรเพื่อสร้างศักยภาพใหม่ของข้าวและชาวนาภายใต้ยุทธศาสตร์ข้าว5ปี(2563-2567)ขับเคลื่อนด้วย4ยุทธศาสตร์ตั้งแต่ต้นน้ำการผลิตมุ่งเพิ่มประสิทธิภาพลดต้นทุนพัฒนาพันธ์ุสร้างมาตรฐานเชื่อมโยง”กลางน้ำ”การแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มและ”ปลายน้ำคือการตลาดแบบออนไลน์และออฟไลน์ทั้งตลาดในและต่างประเทศตามโมเดลเกษตรผลิตพาณิชย์ตลาดภายใต้ยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิต
ซึ่งสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทยก็ประกาศเห็นด้วยและสนับสนุนโครงการประกันรายได้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวภายใต้ยุทธศาสตร์ปฏิรูปข้าว5ปี

การปฏิรูประบบข้าวในพื้นที่60ล้านไร่ไม่ใช่เรื่องง่ายและต้องใช้เวลารวมทั้งต้องมีนโยบายและแผนปฏิบัติการที่ชัดเจน ทำได้ไวทำได้จริง

วันนี้การปฏิรูปข้าวทั้งระบบครบวงจรเริ่มคืบหน้าในทิศทางที่ถูกต้องอย่างมีอนาคต ตัวอย่างเช่น โครงการGlobal Food Valley หรือนิคมอุตสาหกรรมเกษตรอาหารที่มีศูนย์แปรรูปข้าวใหญ่ที่สุดในอาเซียนกำลังสร้างในเขตผลิตข้าวลุ่มน้ำเจ้าพระยาเพื่อสร้างมูลค่าและเพิ่มรายได้ให้กับชาวนา ,โครงการข้าวอินทรีย์(Organic Rice)ตั้งเป้า 1,000,000 ไร่ส่วนใหญ่เป็นข้าวหอมมะลิในภาคอีสานผ่านการรับรองกว่า3แสนไร่แล้ว ,การพัฒนาโลจิสติกส์เกษตรอย่างมีเป้าหมายขยายตลาดข้าว,การจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม(ศูนย์AIC-Agritech and Innovation Center)ครบทั้ง77จังหวัด เป็นครั้งแรกเพื่อดูแลภาคเกษตรทุกจังหวัดได้คิกออฟพร้อมกันตั้งแต่1มิถุนายน2563 ทำหน้าที่วิจัยและพัฒนาสร้างเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่และถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคโนโลยีสู่เกษตรกรชาวนาและนาข้าวทั่วประเทศอยู่ในขณะนี้ ตลอดจนการยกระดับนาแปลงใหญ่ที่ใช้เครื่องจักรกลและระบบเกษตรอัจฉริยะกว่า3,000แปลงในทุกภาค

‘อลงกรณ์ พลบุตร’ ฝากถึงคน ปชป.!! ย้ายออกจากพรรค "อย่าถูกกลืน" ไปแล้วก็กลับมาได้ ถ้าอุดมการณ์ไม่เปลี่ยน

‘อลงกรณ์ พลบุตร’ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เขียนบทความอย่างน่าสนใจในเฟซบุ๊กส่วนตัว

“อย่าถูกกลืน”

รักและห่วงเพื่อนที่จากไปทุกคน

วันวานอ่านข่าวเห็นท่านชวนเตือนว่า “ไปแล้วให้รักษาอุดมการณ์ อย่าถูกกลืน”

ผมคิดว่าเป็นการฝากหลักการหลักคิดในการครองตนของคนประชาธิปัตย์ที่ออกจากพรรคไปอยู่ที่อื่น

ผมเป็นคนหนึ่งที่เคยออกจากพรรคไปเป็นสมาชิกสภาปฏิรูป

ตอนนั้นหมกมุ่นคิดฝันแต่เรื่องการปฏิรูปพรรคปฏิรูปประเทศ

ตั้งใจไปทำแผนปฏิรูปประเทศเหมือนสถาปนิกออกแบบพิมพ์เขียวเสร็จก็จบงาน

2 ปีกว่าที่อยู่ท่ามกลางอำนาจและโอกาสแถมมีตำแหน่งเป็นรองประธานสปท.คนที่.1

ลาภยศสรรเสริญกองอยู่ตรงหน้าถ้าเดินต่อบนเส้นทางนั่น

มันน่าถูกกลืนเหลือเกินถ้าคิดเห็นแก่ตัวเพื่อประโยชน์และอนาคตของตัวเอง

คำเชิญคำชวนมาทั้งก่อน และหลังพ้นตำแหน่ง

แต่ผมก็ตัดสินใจตอนนั้นว่าจะวางมือทางการเมืองเพื่อไม่ต้องเดินทางบนถนนการเมืองอีกหรือไม่ก็กลับบ้านหลังเก่าคือประชาธิปัตย์

ก็มีคำถามตามมาว่าทำไมถึงกลับประชาธิปัตย์

ผมบอกว่ามี 4 เหตุผลหลัก

1.ถ้าจะเดินต่อทางการเมืองไปอยู่พรรคใหม่ก็ต้องสู้กับพรรคประชาธิปัตย์

ผมทำไม่ได้ครับ ที่จะต้องรบราทำศึกกับพี่น้องของผม และประชาธิปัตย์เป็นสถาบันทางการเมืองที่ต้องรักษาไว้

2.เมื่อครั้งเดินทางเข้าพรรคสมัครเป็นสมาชิกลงเลือกตั้งที่เพชรบุรีปี 2535/1 บนเวทีปราศรัยที่สนามหน้าเขาวังมีท่านชวนหัวหน้าพรรคในขณะนั้นนั่งอยู่ด้วย ผมประกาศกับประชาชนคนเมืองเพชรว่า

ผมเกิดที่พรรคประชาธิปัตย์และจะตายที่พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเดียว

3.ผมอยากกลับมาปฏิรูปพรรคประชาธิปัตย์ตามฝันที่คิดไว้ตอนเสนอปฏิรูปพรรคเมื่อปี2556

4.บ้านเมืองยังวิกฤติ ประชาธิปัตย์คือความหวังเพราะเป็นสถาบันการเมืองหลัก

แล้วผมก็กลับมาของานทำที่พรรคประชาธิปัตย์เหมือนเดิม

เลือกกลับมาทั้งที่ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรและจะอยู่อย่างไรในปลายปี 2561

เพราะผมคงเป็นคนเดียวที่ทั้งก่อนจากไปและเมื่อกลับมาโดนดุด่าว่ากล่าวหนักหนาสาหัสมากจากพี่ๆน้อง ๆ ในพรรค

ถ้าคิดน้อยใจหรือไม่อดทนก็คงพกความแค้นติดตัวเตลิดไปแล้ว

เป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตบนทางแพร่งที่ต้องตัดสินใจของผม

ต้องเลือกระหว่างอนาคตของตัวเองหรืออนาคตของพรรค

เป็นการเลือกครั้งที่2เหมือนครั้งแรกที่ตัดสินใจมาสมัครเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์เมื่อปี 2534

กว่า 20 ปี ที่ร่วมรบทำศึกในสนามเลือกตั้งแพ้บ้างชนะบ้าง และเมื่อพรรคมอบหน้าที่เป็นประธานตรวจสอบทุจริตก็โดนคดีอาญาร่วม 20 คดีโดนฟ้องทางแพ่งเป็นพันเป็นหมื่นล้าน ต่อสู้คดีมากว่า 10 ปี เรียกว่าบาดแผลเต็มตัวเต็มผืนหลัง

เขียนมาเพื่อถ่ายทอดประสบการณ์และเป็นอีกข้อคิดเตือนใจ

สำหรับชาวประชาธิปัตย์ทุกคนที่เมื่อถึงโมเมนต์ที่ต้องตัดสินใจ หรือถ้าไปแล้วก็กลับมาได้ ถ้าอุดมการณ์ไม่เปลี่ยนแปลงหรือถูกกลืนเสียก่อน ตามข้อตือนใจของท่านชวน

 

สำนักสงฆ์พระพุทธบาทคีรีศรีสุทโธ - ถ้ำบาตร จัดพิธีบวงสรวงหล่อพระพุทธรูป องค์ที่ 99 ถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ ในหลวง ร.9

พระครูปลัดกุศล เขมวีโร เจ้าอาวาสสำนักสงฆ์พระพุทธบาทคีรีศรีสุทโธ ประธานฝ่ายสงฆ์ประกอบพิธีบวงสรวงหล่อพระพุทธรูปปางมารวิชัย องค์ที่ 99 หน้าตัก 2.5 เมตร สูง 4 เมตร เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ และเพื่อเป็นที่กราบไหว้สักการบูชาแด่เทพเทวาและมนุษย์ได้มากราบไหว้ เพื่อเป็นสิริมงคลชัย ประดิษฐานไว้ ณ สำนักสงฆ์พระพุทธบาทคีรีศรีสุทโธ ตำบลสิงห์  อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อวันที่ 5 ธ.ค.64 ที่ผ่านมา

นายชิษณุพงศ์ - นางธัญญารัตน์  ปัญจไชยโรจน์ และครอบครัว เจ้าภาพฯ พร้อมด้วยคณะศิษย์พระครูปลัดกุศลฯ สาธุทุกหมู่เหล่าที่เดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศเพื่อเข้าร่วมพิธีบวงสรวงและรวมพลังศรัทธาหล่อพระพุทธรูปปางมารวิชัย องค์ที่ 99 อย่างล้นหลาม ภายใต้การจัดพิธีบวงสรวงมีการวางมาตรการการป้องกันควบคุมโควิด-19 ซึ่งมีเจ้าหน้าที่สาธารณสุข อสม. ตั้งจุดตรวจคัดกรองวัดอุณหภูมิประชาชนก่อนเข้าร่วมพิธีอย่างทั่วถึงกัน

สำหรับพิธีบวงสรวงหล่อพระพุทธรูปปางมารวิชัย องค์ที่ 100 และ 101 กำหนดจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม 2564 เวลา 09.00 น. จึงขอเชิญชวนสาธุชนทั้งหลายรวมกำลังร่วมพลังศรัทธาสร้างกุศลอันยิ่งใหญ่ ฝากไว้ในแผ่นดินโดยทั่วกัน

และขอเชิญสาธุชนทุกหมู่เหล่ารวมพลังศรัทธาร่วมสร้างพระพุทธรูปปางมารวิชัย จำนวน 500 พระองค์ ประดิษฐานไว้ ณ สำนักสงฆ์พระพุทธบาทคีรีศรีสุทโธ ตำบลสิงห์  อำเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี เพื่อเป็นการสืบทอดอายุพระพุทธศาสนาเป็นพุทธานุสสติ แก่พุทธศาสนิกชน และเพื่อถวายเป็นพุทธบูชา

 

'สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี' ทรงถวายพระเกียรติ 'พ่อหลวง' ปักปิ่นพระเกศา เลขเก้าไทย พร้อมสวมสร้อยพระกร 5 ความทรงจำถึง ร.๙

เฟซบุ๊ก Wittawat Shima Ansusingh ได้โพสต์ภาพ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี พร้อมข้อความว่า ไม่แปลกใจทำไมคนไทยถึงรักพระองค์

".. ทรงใส่พระทัย ทรงระลึกถึง ทรงถวายพระเกียรติ พ่อหลวง พ่อของคนไทยในวันที่รำลึกถึงพระองค์ พระราชินีทรงปักปิ่นพระเกศาเป็นเลขเก้าไทย ๙ และทรงสวมสร้อยพระกรที่แสดงถึง 5 ความทรงจำเกี่ยวกับในหลวง รัชกาลที่ 9 เรือใบ กล้องถ่ายรูป คุณทองแดง รถยนต์พระที่นั่งและแซ็กโซโฟน... "

สพฐ. ตื่น!! เล็งลดเนื้อหาจืด เด็กเรียนออนไลน์ เน้นมุ่งกิจกรรม ช่วยดึงเด็กกลับมาตั้งใจเรียน

สพฐ. เล็งลดเนื้อหาเรียนออนไลน์ มุ่งเน้นกิจกรรม ใน 1 ชั่วโมง เรียนวิชาการแค่ 10-15 นาที ที่เหลือเป็นภาคปฏิบัติ ที่นำไปเชื่อมโยงกับอีกหลายวิชาได้ มีพี่เลี้ยงคอยประกบ ยันไม่ได้ปล่อยให้เด็กโดดเดี่ยว 

นายอัมพร พินะสา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (เลขาฯ กพฐ.) กล่าวว่า ตามที่โรงเรียนในสังกัด สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้เปิดเรียนภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2564 มาระยะหนึ่ง ขณะนี้มีโรงเรียนที่เปิดการเรียนการสอนในรูปแบบ On Site กว่า 1.3 หมื่นโรง ซึ่งการเปิดเรียน สพฐ.ดำเนินการในลักษณะกระจาย บางแห่งเปิดได้หรือไม่ได้ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการควบคุมโรคติดต่อของจังหวัดนั้น ๆ และการเปิดเรียนก็มีหลายรูปแบบทั้งสลับวันเรียนตามเลขที่นักเรียน หรือระดับชั้นเรียน เป็นต้น ตามบริบทความพร้อมของแต่ละพื้นที่

ส่วนในประเด็นเสียงสะท้อนของผู้ปกครองที่มองว่าการเรียนการสอนในรูปแบบ Online ยังคงเป็นการเรียนการสอนแบบเดิมเหมือนเรียนในห้องเรียน เพียงแต่สอนผ่านระบบ Online เท่านั้น ส่งผลให้ไม่สามารถดึงดูดนักเรียนให้สนใจกับการเรียนได้ เช่น นั่งเรียนไปด้วย ดูโทรศัพท์มือถือไปด้วย นั่งเรียนแต่ดูโทรทัศน์ไปด้วย เป็นต้น ซึ่งในเรื่องการเรียนการสอนที่จัดผ่านระบบ Online สพฐ.ได้มีการพัฒนาครู ให้ปรับกระบวนการ หรือ หลักคิดในการสอน เพราะการสอน Online ไม่ใช่การเรียนการสอนเหมือนในห้องเรียนปกติ โดยครูจะต้องปรับวิธีการสอน ไม่เน้นเนื้อหามากไป เน้นการปฏิบัติ เช่น ชั่วโมงเรียน 1 ชั่วโมง อาจจะเรียนเนื้อหาเพียง 10-15 นาที จากนั้นให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติ เป็นต้น

พิมรี่พายงานงอก หลังนักมวยเด็กปั้นพ่าย ทีมงานเบรกนักข่าวสายมวยห้ามถ่าย

กระแสข่าว ‘พิมรี่ พาย’ ในช่วงนี้เรียกว่าร้อนแรงทะลุหนาว หลังจากกรณีกล่องสุ่มยังไม่จาง ล่าสุดมีประเด็นเพิ่มเติมอีกระลอก เมื่อเธอได้ก้าวขยับเข้าไปสู่แวดวงการมวย 

โดยข้อมูลจากเพจ ‘คุยเฟื่องเรื่องมวย by กุมารดำ’ และ ‘มวยเด็ด 789’ ได้เผยถึงภาพคลิปการเชียร์มวยสุดสะใจของเจ๊พิม ในรายการใหญ่ของชลบุรี ‘ยอดไอ้แอ้ด’ ซึ่งถ่ายทอดสดทางเพจมวยไทยล้านนา

ทั้งนี้ พิมรี่พาย ได้สนับสนุนนักมวยเด็กคนหนึ่งของค่ายเพชรฉลูกันฑ์ โดยผลการชกนั้นฝ่ายน้องนักมวยที่พิมรี่เชียร์ได้พ่ายแพ้ไป และก็ดูเหมือนจะไม่มีประเด็นอะไรให้จับต้อง 

พิธีอฐิษฐานจิตปลุกเสก "มหาสังข์ " ครั้งยิ่งใหญ่แห่งปี 2564 

"แม่กำไล" อภิมหาเศรษฐี เจ้าแม่แห่งมหาสังข์ ได้จัดงานอภิมหาสังข์รวมตัวกันมากที่สุดในโลก จำนวน 9,999 องค์ และขอน ครั้งแรกในภาคอีสาน ที่หอจดหมายเหตุ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม ระหว่างวันที่ 5-15 ธันวาคม 2564 ในมหาพิธีเปิดมหาสังข์ หอยสังข์ ได้รับความเมตตาจากพระเกจิอาจารย์ชื่อดังใต้ฟ้าเมืองไทย นั่งปรก อธิษฐานจิตปลุกเสกพระมหาสังข์ หอยสังข์ เช่น หลวงปู่กลม วัดโพธิ์ไทร / หลวงปู่บุญยอ วัดเทพปนัดดา / หลวงปู่มหาสังข์วัดโพธิ์ศรี / หลวงปู่อุดมทรัพย์ วัดเวฬุวันธรรมาราม / หลวงปู่บุญหลาย วัดปุดเนียม / พระอาจารย์แก้ว วัดหัวดอน ฯ / หลวงดอน วัดวังตะวันออก จ.นครศรีธรรมราชและได้รับความเมตตาสูงสุดจาก "พระเทพวรมุนี" เจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนม วรมหาวิหาร เป็นประธานในพิธีฯ

 

ในการนี้ พระครูพนมปรีชากร  ประธานดำเนินงาน และได้รับเกียรติจาก "นายดำรงค์ สิริวิชย อิ่มวิเศษ รองผู้ว่าราชการจังหวัดสกลนคร ประธานเปิดงาน  พร้อมทั้งยังได้รับเกียรติจาก คุณกนกวรรณ ดุงศรีแก้ว ผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย สำนักงาน นครพนม / นายวรวิทย์ พิมพะนิตย์ นายอำเภอพระธาตุพนม / นายพิเชฏฐ์ หลั่งทรัพย์ ประธานชมรมอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรม พุทธศิลปและการท่องเที่ยวจังหวัดนครพนม / ดร.พนธ์พันธ์ เสิศจันทรางกูล ผู้ช่วยเลขานุการในองค์หม่อมเจ้าอุทัยกัญญา ภานุพันธ์ พระราชปนัดดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๔) /อาจารย์ วันชัย สุพรรณ เจ้าของรายการคุยเฟื่องเรื่องพระเครื่อง

 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top