Sunday, 2 June 2024
ECONBIZ

‘ประธานไมเนอร์’ มั่นใจ ท่องเที่ยวไทยมีแนวโน้มดี อานิสงส์ ‘ไทย-ซาอุฯ’ ฟื้น และ นทท.จีนเริ่มกลับมา

(13 ก.ย. 66) นายวิลเลียม ไฮเน็ค ผู้ก่อตั้งบริษัทไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ระบุว่า การท่องเที่ยวไทยมีแนวโน้มฟื้นตัว โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตกับซาอุดีอาระเบียและนักท่องเที่ยวจีนเริ่มกลับมา

“เราเห็นการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวซาอุดีอาระเบียในไทย โดยปัจจุบันมีเที่ยวบินจากไทยมาไทยวันละ 2 เที่ยว” นายไฮเน็คกล่าวนอกรอบงานสัมมนา Forbes Global CEO Conference ณ ประเทศสิงคโปร์

“นักท่องเที่ยวจะมาเพิ่มอีกและจะมีอุปสงค์มหาศาล… ไทยกลายเป็นบ้านหลังที่สองสำหรับคนจำนวนมากทั่วโลก ดังนั้นเราจึงมีมุมมองเชิงบวกอย่างมาก” นายไฮเน็คกล่าว พร้อมระบุเสริมว่ามีคนจากยุโรปตะวันออก รัสเซีย และยูเครนเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทยเพิ่มมากขึ้น

สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรีไทยและเจ้าชายมูฮัมหมัด บิน ซัลมาน มกุฎราชกุมารซาอุดีอาระเบียได้ลงนามฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบียในเดือน ม.ค.ปีที่แล้ว หลังมีปัญหากันนานถึง 30 ปี

กระทรวงการท่องเที่ยวไทยระบุว่า ยอดนักท่องเที่ยวจากรัสเซียทะลุ 800,000 รายในเดือน ม.ค. – ก.ค.ปีนี้ ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 10 เท่าจาก 77,935 รายในช่วงเดียวกันของปี 2565

เช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวจากยูเครนที่เพิ่มขึ้นแตะ 20,507 รายในเดือนม.ค. – ก.ค.ปีนี้ เทียบกับ 7,967 รายในช่วงเดียวกันของปี 2565

'ปลาเค็มกางมุ้งก๊ะบ๊ะ' การันตีปลอดจากสารพิษ ทำขายเองกว่า 16 ปี สร้างรายได้กว่า 2 แสน/เดือน

ที่บ้านควนไสน หมู่ที่ 9 ตำบลควนสตอ อำเภอควนโดน จังหวัดสตูล ที่นี่เป็นบ้านของ ‘ก๊ะบ๊ะ’ หรือ นางสุไวบ๊ะ ดาแลหมัน อายุ 44 ปี เจ้าของปลาเค็มกางมุ้งก๊ะบ๊ะ มีปลาเค็มแดดเดียวจำนวนมากมายหลากหลายชนิดนับ 1,000 กิโลกรัมตากเพื่อรอเวลาในการเก็บไปขายยังตลาดนัดในหมู่บ้าน เหมือนกับปลาเค็มทั่วไป

แต่! ปลาเค็มที่นี่มีความพิเศษคือเป็นปลาเค็มในมุ้ง หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ‘ปลาเค็มกางมุ้งก๊ะบ๊ะ’ แม่ค้าปลาเค็มที่นี่จะทำปลาเค็มเอง ขายเองมานานกว่า 16 ปี งานนี้การันตีเต็มร้อยว่าเป็นปลาเค็มที่นี่ปลอดจากสารพิษ และเป็นปลาที่ไม่เค็มเกินไป

ที่นี่มีปลาหลากหลายชนิดที่นำมาทำปลา ไม่ว่าจะเป็นปลาจวด ปลาหลังเขียว ปลาหลังแข็ง นอกจากนี้ยังมีปลาสละ หรือปลาสีเสียดขาว ตัวโตแบบผ่าหลังจำหน่ายด้วย ปลาเนื้อแดดเดียว ปลาเนื้อนิ่ม โดยเฉพาะปลาเนื้อส้ม กล้าพูดเต็มปากเลยว่ามีที่ตนทำเพียงรายเดียวในจังหวัดสตูล ส่วนราคาก็จะแตกต่างกันไป

โดยปลาหลังเขียวขายดีสุดกิโลกรัมละ 70 บาท ปลาหลังแข็งกิโลกรัมละ 80 บาท อันนี้ก็ขายดี นอกจากนี้ปลาจวดกิโลกรัมละ 100-120 บาท ส่วนปลาสีเสียดกิโลกรัมละ 100 บาท และปลาสละ หรือปลาสีเสียดขาว ตัวโตกิโลกรัมละ 200 บาท

ทางร้านจะทำปลาสองอาทิตย์ประมาณ 2,000 กิโลกรัม โดยเป็นปลาของชาวประมงในพื้นที่จังหวัดสตูลที่นำมาส่งให้ถึงที่ ปลาก็จะทำกันเองสองคนสามีเพราะเป็นธุรกิจในครัวเรือน และออกไปขายกันเองที่ตลาดนัดดุสน ตลาดนัดควนโดน และตลาดนัดฉลุง ซึ่งเป็นตลาดในชุมชนหมู่บ้าน นอกจากนี้ ยังมีลูกค้าสั่งมาจากต่างจังหวัด รวมทั้งประเทศมาเลเซียเพื่อนบ้านก็จะหิ้วกลับไปคนละ 50 - 100 กิโลกรัมก็มี

อนาคตวางแผนว่าจะให้บุตรสาวที่กำลังเรียนใกล้จะจบการศึกษามาต่อยอด ทำการค้าผ่านธุรกิจออนไลน์ด้วย เพราะรุ่นตนยอมรับว่าไม่ค่อยถนัด

นางสุไวบ๊ะ ดาแลหมัน อายุ 44 ปี เจ้าของปลาเค็มกางมุ้งก๊ะบ๊ะ บอกว่า จุดเริ่มต้นของอาชีพนี้ด้วยพ่อแม่ยากจนมาก เลี้ยงลูก 6 คน ด้วยปลาเค็ม ทานไปทานมาแพ้ปลาเค็มจนปากเจ่อ จึงเกิดแนวคิดที่จะทำปลาเค็มเอง จึงทดลองทำจาก 20-30 กิโลกรัมแรกๆ ให้เพื่อนบ้านทดลองทานบ้าง หลายคนว่าอร่อยจนมั่นใจจึงยึดเป็นอาชีพ ทำสองคนสามี มาวันนี้สามารถเลี้ยงบุตร 3 คนได้อย่างสบาย และมีที่ดิน 2 ไร่ที่ขยายกิจการ ทำกางมุ้งเพื่อหวังให้คนบริโภคได้ทานอย่างมั่นใจ รายได้ต่อเดือนไม่หักค่าใช้จ่าย 200,000 บาท

มาวันนี้บวกกับได้คู่ชีวิตที่ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง ช่วยกันทำปลาเค็มกางเค็มกางมุ้งบนพื้นที่ 2 ไร่เพื่อป้องกันแมลงวันและแมลงหลากหลายชนิดโดยไม่ต้องพึ่งยา บนพื้นที่นี้ยังมีน้องสามีมาทำด้วยอีกแรง นอกจากนี้ยังทำแบบครบวงจร คือมีบ่อบำบัดน้ำเสีย ไหลสู่แปลงผักบุ้งเป็นปุ๋ย ที่โตเก็บไปให้อาหารปลาดุก และแพะ เป็นรายได้อีกช่องทางหนึ่งด้วย

สำหรับท่านใดที่สนใจปลาเค็มกางมุ้งสูตรต่าง ๆ สามารถโทรติดต่อได้ที่ 065-057-4781 หรือที่เบอร์ 062-359-9674 หรือที่เฟส สุไวบ๊ะ ดาแลหมัน

‘เอ็กโก กรุ๊ป’ จัดกิจกรรม ‘EGCO Company Visit 2566’ ต้อนรับนักลงทุนเยี่ยมชมกิจการ พร้อมเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส 

เมื่อไม่นานมานี้ บริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป เปิดบ้านต้อนรับนักลงทุนเข้าเยี่ยมชมกิจการ ในกิจกรรม EGCO Company Visit ประจำปี 2566 ณ อาคารเอ็กโก สำนักงานใหญ่ กรุงเทพฯ โดยมีคณะผู้บริหาร นำโดยนายเทพรัตน์ เทพพิทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอ็กโก กรุ๊ป พร้อมทั้งรองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานบัญชีและการเงิน และสายงานปฏิบัติการ ร่วมให้การต้อนรับ รวมทั้งให้ข้อมูลเกี่ยวกับภาพรวมบริษัท ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา และทิศทางในการดำเนินธุรกิจ โดยกิจกรรม EGCO Company Visit ยังเปิดโอกาสให้นักลงทุนได้พูดคุยและซักถามข้อมูลกับคณะผู้บริหารของเอ็กโก กรุ๊ป โดยตรง เพื่อส่งเสริมการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส ทั่วถึง และเท่าเทียม ตามหลักการกำกับกิจการที่ดีของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ นอกจากนี้ ยังช่วยเสริมสร้างความเชื่อมั่นและความสัมพันธ์อันดีระหว่างนักลงทุนและเอ็กโก กรุ๊ป อีกด้วย

ตลอดระยะเวลาการดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าและพลังงานครบวงจรมากกว่า 31 ปี เอ็กโก กรุ๊ป ตระหนักถึงความสำคัญของการกำกับดูแลกิจการที่ดี ซึ่งเป็นหนึ่งในรากฐานการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน จึงให้ความสำคัญกับการเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใส ทั่วถึง และเท่าเทียม ผ่านฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์และในเว็บไซต์ของเอ็กโก กรุ๊ป (www.egco.com) รวมถึงการจัดและเข้าร่วมกิจกรรมอย่างหลากหลายและต่อเนื่อง เพื่อให้ข้อมูลแก่นักลงทุนและผู้ถือหุ้นอย่างสม่ำเสมอ เช่น โครงการผู้ถือหุ้นเยี่ยมชมโรงไฟฟ้า (EGCO Site Visit) กิจกรรมนักลงทุนเยี่ยมชมกิจการ (EGCO Company Visit) การเข้าร่วมกิจกรรมบริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน (Opportunity Day) ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นต้น

‘ท็อป-จิรายุส’ กร้าว!! 5 ปีข้างหน้า ทักษะเดิมๆ อาจเสื่อมถอย หลัง AI พร้อมสะเทือน ‘ทุกอาชีพ-ทุกวงการ’ แม้แต่เก้าอี้ ‘นายกฯ’

เมื่อไม่นานนี้ ท็อป-จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บจ.บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้ง ได้กล่าวในงานสัมมนา ‘Revolution AI : เปลี่ยนโลกธุรกิจ’ จัดโดย กรุงเทพธุรกิจ ซึ่งเขาได้กล่าวถึงการที่เทคโนโลยี AI (Artificial Intelligence) จะเข้ามาเปลี่ยนโลกให้หมุนเร็วขึ้น และผู้คนก็จำเป็นต้องเตรียมปรับตัวตามให้ทัน

ท็อป กล่าวอีกว่า ในอีก 5 ปีข้างหน้า ความสามารถของมนุษย์ราว 44% จะใช้ไม่ได้อีกแล้วในโลกอนาคต และที่สำคัญได้พยากรณ์ไปในอีก 4 ปีข้างหน้าด้วยว่า ผู้ที่จะมานั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนถัดไปของไทย ต้องเป็นผู้ที่มีพลังในการกุม AI ไว้ได้

“ในอีก 5 ปีข้างหน้า ความสามารถประมาณ 44% ของพวกเราทุกคน จะใช้การไม่ได้แล้ว ซึ่ง 44% นี้ เทียบได้เกือบครึ่งนึงของความสามารถที่เราทุกคนมีอยู่ ณ ขณะนี้ เพราะ AI กำลังจะเข้ามาแทนที่มนุษย์ด้วยโซลูชันและเทคโนโลยี ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางกระบวนการทำงาน รวมถึงเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมและลักษณะของคน”

“อีกทั้ง 1 ใน 3 ของประชากรโลก ในอีกระยะเวลาไม่ถึง 10 ปีข้างหน้า หรือภายในปี 2030 อาจจะต้องกลับไปเรียนหนังสือใหม่ เพื่อพัฒนาทักษะความรู้ ให้เท่าทันโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง เพราะในอีก 5-10 ปีข้างหน้าโลกจำเป็นต้องมีสิ่งที่เรียกว่า ‘ทักษะในการแบ่งหมวดหมู่ประเภท’ (Skill Taxonomy)”

ท็อป มองว่า ในอนาคต โลกจะไม่มีสิ่งที่เป็น ‘ทักษะหรือความสามารถในแต่ละสายอาชีพ’ (Hard Skills) หรือ ‘ทักษะด้านเทคนิค’ (Technical Skills) จะเหลือเพียงแค่ ‘ทักษะทางสังคมที่ใช้เพื่อปฏิสัมพันธ์กับผู้คน’ (Soft Skill) เท่านั้น ดังนั้นมนุษย์ควรจะพัฒนาให้ ‘ทรัพยากรมนุษย์’ (Human Capital) มีทักษะในการสื่อสารที่ดีขึ้น เพิ่มทักษะภาวะผู้นำ หรือทักษะในการทำงานเป็นทีมที่ดีขึ้น ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้นั้น ล้วนเป็น Soft Skill ทั้งสิ้น

เมื่อถามว่า ทักษะด้านเทคนิคยังจำเป็นอยู่หรือไม่? ท็อป กล่าวว่า ต้องกลับไปในยุคสมัยที่มีการแท่นพิมพ์ขึ้น ทำให้การผลิตหนังสือพิมพ์ หรือสื่อสิ่งพิมพ์ ทำได้ง่าย รวดเร็ว และประหยัดต้นทุนไปได้มาก ส่งผลทำให้คนมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาและความรู้ต่างๆ ได้ง่ายขึ้น

ต่อมา เมื่อเข้าสู่ยุคของอินเทอร์เน็ต อินเทอร์เน็ตได้มีการทำให้ข้อมูลมีความเป็นประชาธิปไตย (Democratization of information) มากขึ้น รวมถึงการติดต่อสื่อสารที่ในยุคสมัยใหม่ สามารถเข้าถึงได้อย่างสะดวกสบาย และง่ายดายมากยิ่งขึ้น แถมยังฟรี ไม่เสียเงินมากเท่าสมัยก่อนอีกด้วย ขณะเดียวกัน ตอนนี้

หลังจากนั้น ก็มี ‘ระบบจัดการฐานข้อมูลชนิดพิเศษ’ อย่าง Blockchain ซึ่งองค์กรน้อยใหญ่ บริษัท อสังหาริมทรัพย์ โครงการสกุลเงินดิจิทัล (CBDC) คาร์บอนเครดิต ต่างก็หลั่งไหลเข้ามา ช่วยเปลี่ยนมูลค่าทุกอย่างให้กลายเป็นดิจิทัล

เมื่อถามถึงวาระสำคัญอย่าง AI ที่เริ่มโดดเด่นขึ้นมาในโลกยุคนี้และกำลังเข้ามามีบทบาทต่อเศรษฐกิจ สังคม และผู้คนมากขึ้น จะมอบประโยชน์อะไรให้กับโลก? ท็อป กล่าวว่า “AI จะเข้ามาเพิ่มความสามารถด้านเทคนิคในการทำให้ข้อมูลเป็นกลางมากยิ่งขึ้น เราจะคัดกรองข้อมูลได้เร็ว และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทุกอย่างที่เป็นความสามารถเฉพาะทางเทคนิก AI สามารถที่จะทําได้แล้ว แปลว่าในอนาคต เราทุกคนจะต้องพัฒนาทักษะความสามารถ เพื่อให้สามารถเข้าถึง AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า”

เมื่อถามถึง AI ต่อการศึกษาในอนาคต? ท็อป มองว่า "การศึกษาในอนาคตก็จะเปลี่ยนไปเช่นกัน เราสามารถพัฒนาการศึกษาให้ดีขึ้นได้ด้วย AI ลดปัญหาของการศึกษา โดยการใช้วิธี ‘2 Sigma Problem’ คือ การสอนเด็กแบบตัวต่อตัว เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าการสอนแบบกลุ่ม ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถผลิตเด็กที่มีความรู้ความสามารถแบบพิเศษได้มากขึ้น เช่น การที่จะทำให้เกิดการสอนแบบตัวต่อตัวนั้น หากเป็นอาจารย์ที่เป็นมนุษย์จริงๆ อาจจะไม่สามารถทำได้ เนื่องจากคนไม่เพียงพอ แต่หากใช้ระบบ AI เข้ามาช่วย จะสามารถช่วยให้การศึกษาแบบตัวต่อตัวนี้เป็นจริงขึ้นมาได้

“แต่ในขณะเดียวกัน ก็ไม่ได้หมายความว่าอาจารย์ หรือครูผู้สอนจะตกงาน เพราะการที่มี AI เข้ามาช่วยนั้น จะทำให้อาจารย์ผู้สอนกลายเป็นอาจารย์ที่ดีขึ้นด้วยซ้ำไป เพราะนอกจากเด็กนักเรียนที่จะมีอาจารย์ผู้สอนแบบตัวต่อตัวที่คอยสร้างสมดุลของไอเดีย เป็นติวเตอร์ส่วนตัวแล้วนั้น อาจารย์ก็จะมี AI เป็น ‘ผู้ช่วยสอนส่วนตัว’ (Teacher Assistant) ที่จะคอยเตรียมเอกสารประกอบการเรียนการสอน หรือแม้แต่สอนเทคนิคต่างๆ ที่มีประโยชน์ให้แก่อาจารย์ ทำให้ประสิทธิภาพในการสอนของอาจารย์ดีมากขึ้นอีกด้วย”

เมื่อถามถึงความเป็นไปได้ที่ AI จะเข้ามาทำให้ระบบการศึกษากลายเป็นแพลตฟอร์มแบบเปิดที่เปิดกว้างต่อคนทุกวัยมากขึ้นใช่หรือไม่? ท็อป กล่าวว่า “เป็นไปได้มาก เพราะในอนาคต ลูกค้าของมหาวิทยาลัยต่างๆ ไม่ได้มีเพียงแค่เด็กมัธยมอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นพวกเราทุกคน เพราะอย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า ในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ทักษะปัจจุบันครึ่งนึงของพวกเราจะใช้การไม่ได้แล้ว พวกเราทุกคนจึงต้องพัฒนาทักษะความรู้ในเท่าทันโลกแล้ว ซึ่งตรงนี้ถือเป็นแพลตฟอร์มการศึกษาแห่งอนาคตที่เหมาะสมอย่างยิ่งในการช่วยส่งเสริม เพิ่มพูนทักษะความรู้ของมนุษย์แต่ละคน”

ไม่ใช่แค่การศึกษาที่จะเปลี่ยนไป เพราะแม้แต่โลกของอุตสาหกรรมการผลิต ก็จะเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน โดย ท็อป ชี้ว่า “ขีดความสามารถของเครื่องจักรในอนาคตนั้นเริ่มมีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อยๆ ความสามารถในการผลิตสินค้า สามารถผลิตได้มากขึ้น ด้วยต้นทุนที่ถูกลงเรื่อยๆ ทุกปี อีกทั้งราคาสินค้ายังถูกลงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงงานบริการในอนาคตอีกเช่นกันที่ AI จะเข้ามามีความสามารถทางเทคนิคโดยอัตโนมัติ แทนที่มนุษย์ทั้งหมด” ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลที่ท็อปพยายามย้ำว่า ทำไม Soft Skill ถึงสำคัญมากในอนาคต

เมื่อถามถึง AI จะมีความเกี่ยวข้องอย่างไรกับการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีของไทยในอนาคต? ท็อป เผยว่า “ในอนาคตอีก 4 ปีข้างหน้า นายกรัฐมนตรีคนถัดไป อาจจะเป็นผู้ที่มี AI Power มากที่สุด เพราะเทคโนโลยี มีผลต่อการเลือกตั้งทุกยุคทุกสมัย ยุคแรกใครมีป้ายหาเสียงที่อยู่ตามท้องถนน สถานที่ดีๆ คนเห็นเยอะๆ ได้เป็นนายกฯ แต่ในยุคสมัยปัจจุบัน ใครที่เก่งเรื่องโซเชียลมีเดียมากๆ ก็มีโอกาสสูงที่จะได้เป็นนายกฯ เป็นต้น”

'สุกี้ตี๋น้อย' เตรียมเปิดร้าน 'ข้าวแกงตี๋น้อยปันสุข' ราคาเริ่มต้น 39 บาท เปิดให้บริการ 13 ก.ย.นี้

(12 ก.ย.66) เพจเฟซบุ๊ก 'สุกี้ตี๋น้อย' ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า...

สุกี้ตี๋น้อย ขอแนะนำ ‘ข้าวแกง ตี๋น้อยปันสุข’ โปรเจกต์เล็กๆ ที่ตั้งใจทำ โดยนำวัตถุดิบตัดแต่งจากสุกี้ตี๋น้อย มาปรุงเป็นกับข้าวอร่อยๆ #เนื้อเน้นๆ และไม่หวังกำไร แค่อยากปันสุขให้กับทุกๆ คนครับ 🙏🏻🤍

❤️เปิดบริการวันที่ 13 ก.ย. 66 นี้
#เปิดวันแรก #ทานฟรี! 😍 ตั้งแต่เวลา 09.00 น. จนกว่าสินค้าจะหมด 

❤️วันที่ 14 ก.ย. 66 เป็นต้นไป เปิดบริการ 07.00 - 18.00 น.   
เมนูให้เลือกกว่า 14 เมนู ราคาประหยัด เริ่มต้นเพียง 39 บาทเลือกได้ทุกเมนู🤩
ไม่ว่าจะเป็น ต้ม ผัด แกง ทอด ก็มีให้เลือก🥘

ราคาประหยัดปันสุข ❤️
ราดข้าว 1 เมนู 39.- 
ราดข้าว 2 เมนู 45.-
ราดข้าว 3 เมนู 50.-

เมนูกับข้าวราคา 39 บาท (ไม่ราดข้าว)

เปิดให้บริการวันจันทร์ - เสาร์ 
เวลา 07.00 น. - 18.00 น. (หยุดทุกวันอาทิตย์)

สถานที่บริเวณด้านข้างสาขาเลียบทางด่วน 1 
แผนที่ : https://goo.gl/maps/CBAvrUYv64ZQkkzbA

🚩อร่อยคุ้มค่าราคาประหยัด แบ่งสุขปันสุขที่ ข้าวแกงตี๋น้อยปันสุข
#ข้าวแกงปันสุข
#สุกี้ตี๋น้อย
#อาหาร

‘พ่อค้าแม่ค้า’ โอด!! ไข่ไก่ราคาพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ปชช.เดือดร้อนกันถ้วนหน้า วอนรัฐบาลใหม่ช่วยดูแลด่วน

(12 ก.ย.66) ที่ร้านขายไข่ไก่ตลาดเช้าเทศบาลเมืองเลย ร้านศูนย์ไข่เมืองเลย พบว่า ราคาไข่ไก่ปรับขึ้นราคาต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของประชาชน พ่อค้าแม่ค้าขายข้าวแกง ร้านเบเกอรี่ ต่างได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากราคาไข่ปรับราคาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดราคาไข่เบอร์ 0 จำหน่ายยกแผง 145 บาท ครึ่งแผง 75 บาท ราคาขายปลีกพุ่งฟองละ 6 บาท ราคาแพงสุดในรอบ 30 ปี ราคาไข่ไม่เคยแพงถึงแผงละ 145 บาท

นายไพโรจน์ แดงพูลผล เจ้าของร้านศูนย์ไข่เมืองเลย เผยว่า ราคาในช่วงนี้ราคาไข่ไก่ทั้งไข่เป็ดราคาขึ้นสูงอย่างต่อเนื่อง และไม่มีท่าทีว่าจะลงอีก ซึ่งมีหลายปัจจัย อย่างในช่วงนี้ เป็นช่วงเปิดเทอม และสภาวะไข่ที่อยู่ในตลาดปริมาณไม่เพียงพอกับการบริโภค รวมทั้งวัตถุดิบต่างๆ ราคาก็สูงขึ้น เกษตรกรในช่วงพักที่ผ่านมา ทั้งอาหารสัตว์ อุปกรณ์การเลี้ยงชักธงเรียงแถวขึ้นราคา จนเกษตรกรของขึ้นปรับราคา และปศุสัตว์เองวางมาตรการเรื่องการปลดไก่ หรือการปลดอายุไขของไก่ซึ่งได้ปลดไวกว่าเดิม รวมทั้งเข้ามาควบคุมราคารวมกับการค้าภายใน

นางสุพัฒตรา แม่ค้าขายข้าวแกงและทำร้านเบเกอรี่ เผยว่า ต้องยอมรับว่าปีนี้ไข่ไก่ถือว่าแพงที่สุด เป็นประวัติการณ์เท่าที่เคยเป็นแม่ค้าขายข้าวแกง และเปิดร้านเบเกอรีมากว่า 30 ปี จากที่เคยซื้อไข่ไก่อย่างสบายกระเป๋า วันนี้กลายเป็นอาหารที่แสนแพงไปแล้วกับคนที่หาเช้ากินค่ำ อาหารประเภทไข่กลายเป็นอาหารที่แพงไปแล้ว อย่างดูราคาไข่วันนี้ เบอร์ 0 ราคา 145 บาท ครึ่งแผง 75 บาท ขายปลีกราคาใบละ 6 บาท เบอร์ 1 ราคา 135 บาท เบอร์ 2 ราคา 130 บาท และอย่างเราต้องค้าขายใช้ไข่จำนวนมากในแต่ละวัน ทั้งทำไข่พะโล้ ทำขนมปัง ทำเค้ก กระทบต่อต้นทุนอย่างมาก โดยทางร้านยังขายไข่ดาว ไข่ต้ม ไข่พะโล้ ใบละ 10 บาท แม้ราคาต้นทุนใบละ 6 บาท ขายพร้อมข้าวแกงจานละ 45 บาท ลูกค้าบางคนยังบ่นว่าแพงเลย ทุกวันนี้ข้าวของทุกอย่างขึ้นราคาหมด ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาล และไข่ไก่ จึงอยากจะฝากถึงรัฐบาลใหม่ช่วยมาลงมาดูเรื่องในเรื่องนี้ด้วย ประชาชนเดือดร้อนกันถ้วนหน้ากันแล้ว

จับตา 5 เทรนด์ธุรกิจร้านอาหารยุคหลังโควิด ฝ่ามรสุม 'แข่งดุ-ต้นทุนพุ่ง-พฤติกรรมคนเปลี่ยน'

ไม่นานมานี้ Krungthai COMPASS ได้ประเมินว่า ตลาดร้านอาหารในประเทศไทยปี 66-67 จะเติบโตราว 7.8% (YoY) และ 5.8% (YoY) โดยมีมูลค่าอยู่ที่ 6.2 และ 6.5 แสนล้านบาท ได้แรงหนุนจากการบริโภคภายในประเทศที่จะทยอยฟื้นตัวดีขึ้น จากการที่ผู้คนเริ่มกลับมาใช้บริการร้านอาหารเป็นปกติมากขึ้น รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปี 66-67 ที่คาดว่าจะฟื้นตัวต่อเนื่องเป็น 29.0 และ 35.5 ล้านคน ตามลำดับ

ทั้งนี้ Krungthai COMPASS ยังได้ประเมิน 5 เทรนด์ของธุรกิจร้านอาหารในยุคหลังโควิดที่น่าจับตาไว้ด้วย ดังนี้...

1. Dining Experience ร้านอาหารที่สามารถมอบประสบการณ์แปลกใหม่ น่าจดจำ แต่เข้าถึงง่ายนั้นมีแนวโน้มฟื้นตัวจากช่วงโควิด-19 ได้เร็วกว่า โดยเฉพาะกลุ่มร้านอาหารที่ได้รับ Michelin Guide ที่ถูกค้นหามากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

2. Health & Wellness Cuisine เมื่อผู้คนต่างดูแลสุขภาพกันมากขึ้น อาหารที่ดีต้องส่งเสริมสุขภาพ โดย ผลสำรวจผู้บริโภคอเมริกันกว่า 1,000 คน ได้ให้นิยามของ ‘Healthy Food’ ว่าจะต้องเป็นอาหารที่ ‘สดใหม่-มาจากธรรมชาติ-น้ำตาลน้อย-ใช้แหล่งโปรตีนคุณภาพดี’

3. Elderly Food ร้านอาหารเพื่อดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุมีโอกาสกลายเป็น Segment ดาวรุ่งในระยะถัดไป จากการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของไทย

4. Robotics in Restaurant ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน และต้นทุนแรงงานที่สูงขึ้นต่อเนื่อง คือ 2 แรงผลักดันสำคัญให้ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์เข้ามามีบทบาทมากยิ่งขึ้นในธุรกิจร้านอาหาร

5. Sustainable Food 70% ของผู้บริโภค Gen ใหม่ตระหนักถึงความสำคัญของความยั่งยืนทางอาหารมากขึ้น โดยเฉพาะปัญหาจากขยะอาหารเหลือทิ้ง (Food Waste) ทำให้เทรนด์พฤติกรรมการบริโภคอาหารแบบรักษ์โลกมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง

‘กรมทางหลวง’ เผย โครงการขยายสายทางรอบเกาะสมุย ใกล้เสร็จแล้ว หวังยกระดับคุณภาพชีวิต-ส่งเสริมการท่องเที่ยว จ.สุราษฎร์ธานี

(12 ก.ย.66) นายสราวุธ ทรงศิวิไล อธิบดีกรมทางหลวง เปิดเผยถึงความคืบหน้าการดำเนินการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง และโครงข่ายทางหลวงในพื้นที่ภาคใต้ พร้อมเร่งดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 4169 สายทางรอบเกาะสมุยให้แล้วเสร็จตลอดสายระยะทาง 50 กิโลเมตร เพื่อรองรับการขยายตัวของเศรษฐกิจ ยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน และส่งเสริมการท่องเที่ยว อำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวให้สามารถเดินทางได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ตามนโยบายของรัฐบาล

กรมทางหลวง โดยสำนักก่อสร้างทางที่ 1 เร่งดำเนินโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 4169 สายทางรอบเกาะสมุย ซึ่งมีระยะทางทั้งหมด 50 กิโลเมตร โดยที่ผ่านมากรมทางหลวงได้ขยายเส้นทางแล้วเสร็จรวมระยะทาง 34.53 กิโลเมตร และเปิดให้บริการแก่ประชาชนไปแล้ว ยังคงเหลือ ตอน บ.หัวถนน - บ.เฉวง ซึ่งเป็นช่วงสุดท้าย โดยตอนนี้มีจุดเริ่มต้นที่ กม.14+000 ท้องที่บ้านหัวถนน ตำบลหน้าเมือง อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี และจุดสิ้นสุดที่ กม.29+531 ท้องที่บ้านเฉวง ตำบลบ่อผุด อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ระยะทางยาวประมาณ 15.531 กิโลเมตร ลักษณ

โครงการเดิมเป็นทางหลวงขนาด 2 ช่องจราจร กรมทางหลวงเล็งเห็นถึงความสำคัญและศักยภาพของสายทาง จึงบูรณะก่อสร้างเป็นมาตรฐานทางชั้น 1 ขนาด 2 ช่องจราจร และบางช่วงเป็นขนาด 4 ช่องจราจร ไป - กลับ ผิวทางแอสฟัลต์คอนกรีต กว้างช่องจราจรละ 3.50 เมตร มีทางเท้ากว้างข้างละ 2.50 เมตร สำหรับรูปแบบการก่อสร้างแบ่งตามลักษณะภูมิประเทศและความกว้างของเขตทางหลวงโดยคำนึงถึงการใช้ประโยชน์ของพื้นที่ให้เหมาะสมกับเขตทางหลวง เนื่องจากสภาพพื้นที่โดยทั่วไปเป็นภูมิประเทศสลับเนินเขา ย่านชุมชนที่อยู่อาศัยหนาแน่น พร้อมกับให้มีระบบระบายน้ำที่มีประสิทธิภาพ เพื่อช่วยแก้ปัญหาน้ำท่วมขัง รวมงานติดตั้งไฟฟ้าแสงสว่างและไฟสัญญาณจราจรบนทางหลวง งบประมาณรวม 700 ล้านบาท ปัจจุบันการก่อสร้างคืบหน้าประมาณร้อยละ 89.35 คาดว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จประมาณเดือนมีนาคม 2567 ซึ่งกระทรวงคมนาคมได้เร่งผลักดันการดำเนินงานของโครงการ เพื่อเติมเต็มโครงข่ายทางหลวงให้สมบูรณ์ตลอดสายทาง

POP MART แบรนด์ Art Toys หมื่นล้าน บุกประเทศไทย เปิด Flagship Store ครั้งแรกที่ Central World 20 ก.ย.นี้

หลายคนเข้าใจว่า การทำธุรกิจยุคนี้ ต้องเริ่มจากการตามเทรนด์ให้ทัน แต่รู้หรือไม่ว่า สำหรับ POP MART แบรนด์ร้าน Art Toys ชื่อดังที่มีรายได้กว่า 22,000 ล้านบาท สร้างการเติบโตให้ธุรกิจ ด้วยการสร้างเทรนด์นิยม หรือที่เรียกว่า POP Culture ขึ้นมาเอง

สำหรับ POP Culture ซึ่งย่อมาจาก Popular Culture หมายถึง วัฒนธรรม ที่เป็นที่นิยมของผู้คนในขณะนั้นในด้านต่าง ๆ เช่น อาหาร, แฟชัน, กีฬา, วรรณกรรม รวมทั้ง Art Toys โดยในส่วนของ Art Toys ถ้าอธิบายง่าย ๆ ก็คือ ฟิกเกอร์ตัวการ์ตูนต่าง ๆ ที่เป็นของเล่นและของสะสม ซึ่งต่างจากของเล่นทั่วไป ตรงที่มักจะออกมาเป็นซีรีส์ หรือคอลเลกชัน ท้าทายนักสะสมที่ต้องรวบรวมให้ครบ

ทั้งนี้ จุดกำเนิดกว่าจะเป็น Art Toys แต่ละตัว ล้วนมาจากความสร้างสรรค์ และแรงบันดาลใจของ Designer ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ประกอบกับ Art Toys มักจะมาพร้อมกับ Blind Boxes การซื้อของเล่นเพื่อลุ้นการเปิดสินค้าว่าจะได้อะไร ทำให้ยิ่งลุ้น และตื่นเต้นเสียทุกครั้ง ว่าในมือของเราจะเป็น Art Toys ตัวใด

ทั้งหมดนี้ คือเสน่ห์ของ Art Toys ที่กลายมาเป็น POP Culture ในปัจจุบัน ซึ่งผู้ที่เป็นธุรกิจ Leader ของวงการนี้ ก็คือ POP MART แบรนด์ร้าน Art Toys ชื่อดัง ที่สร้างรายได้กว่า 22,000 ล้านบาท

สิ่งที่น่าสนใจสำหรับ POP MART นั้น คือ การวางตนเองว่าเป็น Art Gallery เพราะได้ทำงานร่วมกับ Designer รังสรรค์ผลงานคุณภาพ โดยผลงานแต่ละชิ้นต้องมาจากแรงบันดาลใจ ผ่านการตีความออกมาอย่างดีที่สุด ซึ่งต้องใช้เวลาและความละเมียดละไม ไม่ต่างจากงานศิลปะ ทำให้ POP MART Store เสมือนเป็นห้องจัดแสดงผลงาน Art Gallery

***แล้วกระบวนการสร้างงานศิลปะแต่ละชิ้น ที่เรียกว่า Art Toys ของ POP MART เป็นอย่างไร?

>> ค้นหา Designer Toys Phenomenon
เริ่มต้นจาก POP MART เฟ้นหา Artist และ Designer ที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น ผ่านงาน Largest Art Toys Show in ASIA หลายครั้งจาก เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง หรือสิงคโปร์ เร็วๆ นี้ และยังเคยบรรยายในมหาวิทยาลัยศิลปะชั้นนำต่าง ๆ รวมทั้งงานแข่งขันการออกแบบกับแบรนด์ชั้นนำ

จากจุดนี้ทำให้ POP MART ดึงดูดแบรนด์ระดับโลก และ Designer หน้าใหม่ได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น Kenny Wong ผู้สร้างสรรค์ Molly, มอลลี่ นิสา ศรีคำดี ผู้สร้างสรรค์ CryBaby และ SKULLPANDA ผู้สร้างสรรค์ SKULLPANDA

>> Collaborate กับแบรนด์ดังต่าง ๆ
เมื่อผลงานของ POP MART เป็นสิ่งที่สนุก ไม่มีขีดจำกัด และสร้างความตื่นเต้นให้กับตลาดได้ แบรนด์ต่าง ๆ จึงอยากมาร่วมงานด้วย ไม่ว่าจะเป็น DC, Disney, Warner, Harry Potter ฯลฯ

>> สร้าง Iconic Crossovers
เสน่ห์ของสะสมจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น เมื่อเรารู้ว่าคอลเลกชันนั้นเป็น Limited มีจำนวนจำกัด ยิ่งไปกว่านั้น คือ Surprise ที่เกิดขึ้นได้แบบไร้ขีดจำกัด เช่น Molly x Snoopy, Labubu x Spongebob ฯลฯ

นอกจากนี้ POP MART ยังมีโอกาสร่วมงานกับสตูดิโอ และแบรนด์ระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น Inner Flow, Silent Trick, Gone ฯลฯ เพื่อออกแบบสิ่งใหม่ ๆ ให้ผู้คนได้สนุก และตื่นเต้นไปกับผลงานทุกคอลเลกชัน สะท้อนความเป็น Leader ในวงการนี้ไปแบบเต็ม ๆ

การตีแตกในธุรกิจ Art Toys ของ POP MART ยังไม่จบแต่เพียงเท่านั้น หลังจากสร้างคอลเลกชัน Art Toys ต่าง ๆ ที่น่าสนใจแล้ว POP MART ยังเข้าใจความต้องการของลูกค้า โดยพัฒนา Art Toys ให้มี 3 ขนาดแตกต่างกัน คือ ไซซ์ปกติ, ไซซ์ Big, ไซซ์ MEGA และหากสังเกตให้ดี Art Toys ไซซ์ MEGA ตอนนี้ ก็เชื่อว่าน่าจะเข้าไปอยู่ในบ้านของใครหลายคน เรียบร้อยแล้ว

***สำหรับคนไทย Art Toys ไซซ์ MEGA ถือว่ามาแรง และสุดฮิตจริง ๆ แม้จะเป็นไซซ์ที่มีราคาสูง แต่ก็มีกลุ่มลูกค้าสะสมเฉพาะกลุ่ม โดยเฉพาะรุ่น MEGA SPACE MOLLY ที่ตอนนี้กลายเป็น Phenomenon ในไทย ช่วยขยายฐานลูกค้าได้มากทีเดียว

และในอนาคต เราอาจจะได้พบ POP MART ในรูปแบบที่ไปไกลกว่า Art Toys เพราะบนพื้นฐานของความสนุก ซึ่งเป็นพื้นฐานของ Art Toys อยู่แล้วสามารถขยายธุรกิจ POP MART เข้าสู่วงการความบันเทิง หรือ Entertainment ได้ไม่ยาก ไม่ว่าจะเป็น Animation, Game หรือแม้แต่ Theme Park

พูดง่าย ๆ ว่าโอกาสทางธุรกิจของ POP MART ที่วันนี้สร้างรายได้ 22,000 ล้านบาทจาก Art Toys ยังมีโอกาสที่รออยู่อีกมหาศาล จากอุตสาหกรรม Entertainment ในอนาคต

สิ่งที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้คือ POP MART กำลังจะเปิดตัว Flagship Store ในประเทศไทยครั้งแรกที่ Central World ชั้น 1 ในวันที่ 20 กันยายนนี้

จัดเต็มความตื่นเต้น เช่น...
- Blind Box Collection สุด Rare ที่ทุกคนกำลังตามหา
- พิเศษสุดคือ SKULLPANDA Hoar Frost Thailand Limited Edition วางขายที่ Flagship Store Central World ประเทศไทยเพียง 140 ชิ้น เท่านั้น

จากนี้ไป POP MART Thailand จะเขย่าวงการ Art Toys ประเทศไทยแค่ไหน ก็น่าติดตามไม่น้อย..

‘BOI’ กางยอด 8 เดือน ไต้หวันแห่ลงทุนในไทย 3 หมื่นล้านบาท พร้อมยกเป็นฐานการผลิตด้านอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อส่งออกทั่วโลก

เมื่อไม่นานมานี้ นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ นับเป็นอุตสาหกรรมยุทธศาสตร์ของโลก และเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายที่บีโอไอให้ความสำคัญมาก เนื่องจากมีความเชื่อมโยงและเป็นฐานการพัฒนาที่สำคัญของอุตสาหกรรมอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นยานยนต์ ดิจิทัล อุปกรณ์การแพทย์ ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ เป็นต้น 

ในช่วง 2 - 3 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์โลกขยายตัวอย่างมาก โดยประเทศไทยเป็นหนึ่งในแหล่งรองรับการลงทุนที่มีความโดดเด่น ทั้งในด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ดี ระบบไฟฟ้ามีความเสถียร พื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมีความพร้อมรองรับการลงทุนได้อีกมาก บุคลากรมีทักษะและความเชี่ยวชาญในด้านอิเล็กทรอนิกส์ ซัปพลายเชนครบวงจร และภาครัฐมีมาตรการสนับสนุนที่แข่งขันได้ ทำให้ผู้ผลิตอิเล็กทรอนิกส์จำนวนมาก โดยเฉพาะจากไต้หวัน ตัดสินใจเลือกประเทศไทยเป็นฐานการผลิตหลักเพื่อส่งออกไปยังตลาดโลก

โครงการลงทุนจากไต้หวันส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้ผลิตแผ่นวงจรพิมพ์ (Printed Circuit Board: PCB) คอมพิวเตอร์พกพา (Notebook) และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะที่นำระบบเซ็นเซอร์ Internet of Things (IoT) หรือระบบสมองกลฝังตัว (Embedded System) มาใช้ เช่น ลำโพงอัจฉริยะ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบสวมใส่ (Wearable Device) เป็นต้น 

ซึ่งบีโอไอได้มองเห็นถึงโอกาสและศักยภาพของไทยในการเป็นฐานผลิตของอุตสาหกรรมดังกล่าว จึงได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการลงทุนจากไต้หวันอย่างต่อเนื่อง รวมถึงประสานงานนำสมาชิกสมาคมผู้ผลิต PCB รายใหญ่จากไต้หวัน เดินทางสำรวจพื้นที่เพื่อวางแผนการลงทุนในประเทศไทยอย่างเร่งด่วนในช่วงไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมา ทำให้มีบริษัท PCB จากไต้หวัน ทยอยเข้ามาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

“ไทยเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในภูมิภาคมานานกว่า 40 ปี และได้พัฒนาอุตสาหกรรมสนับสนุนในกลุ่มชิ้นส่วนและวัตถุดิบต่าง ๆ จนแข็งแกร่งและครบวงจร ทั้งยังผ่านประสบการณ์ทำงานร่วมกับบริษัทระดับโลกมาแล้ว จึงมีศักยภาพที่จะต่อยอดไปสู่อุตสาหกรรมต้นน้ำ เช่น การผลิตเวเฟอร์ และการออกแบบทางอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งการผลิตผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เช่น กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง และผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ โดยไต้หวันเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่ไทยจะดึงการลงทุน เนื่องจากเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ระดับโลก” นายนฤตม์ กล่าว

ปัจจุบันไต้หวันเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของโลก ครองส่วนแบ่งตลาดถึงกว่าร้อยละ 65 ของการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ของโลก โดยมีบริษัท Taiwan Semiconductor Manufacturing Corporation (TSMC) เป็นผู้ผลิตรายใหญ่ สำหรับการผลิตแผ่นวงจรพิมพ์ (PCB) ซึ่งเป็นหัวใจของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ บริษัทไต้หวันก็เป็นผู้ผลิตอันดับหนึ่งของโลก มีส่วนแบ่งในตลาดโลกร้อยละ 35 โดยปัจจุบันผู้ผลิต PCB ไต้หวัน 20 อันดับแรก ได้ตัดสินใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยแล้ว 10 ราย เช่น WUS PCB, APEX, Dynamic Electronics, Gold Circuit, APCB เป็นต้น 

เมื่อรวมกับผู้ผลิต PCB จากประเทศอื่น เช่น จีน และญี่ปุ่น ที่เข้ามาลงทุนด้วย ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นคลัสเตอร์ PCB ที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ตามมาด้วยประเทศเวียดนามและมาเลเซีย สำหรับผู้ผลิต PCB รายใหญ่ที่เหลือ เป็นเป้าหมายสำคัญที่บีโอไอจะเร่งเชิญชวนให้เข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มเติม โดยบางรายได้ตอบรับและอยู่ระหว่างเตรียมการลงทุนในเร็ว ๆ นี้

“การเข้ามาลงทุนของกลุ่มผู้ผลิต PCB จากไต้หวันในรอบนี้ ถือเป็นคลื่นการลงทุนสำคัญ ที่ไม่เพียงแต่จะสร้างเม็ดเงินจำนวนมากให้ประเทศเท่านั้น แต่จะช่วยยกระดับซัปพลายเชนในประเทศ เกิดการจ้างงานและการพัฒนาบุคลากรด้านอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องจักรสมัยใหม่ รวมทั้งสร้างโอกาสทางธุรกิจให้กับผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยที่มีศักยภาพได้เข้าไปอยู่ในซัพพลายเชนอิเล็กทรอนิกส์ของโลก ผ่านกิจกรรมเชื่อมโยงอุตสาหกรรมของบีโอไออีกด้วย” นายนฤตม์ กล่าว

ทั้งนี้ ในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา (มกราคม - สิงหาคม 2566) มียอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากบริษัทไต้หวันในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ รวม 20 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนกว่า 30,000 ล้านบาท โดยเป็นการผลิต PCB 7 โครงการ เช่น บริษัท Gold Circuit Electronics, ITEQ Corporation, Taiwan Union Technology และเป็นการผลิตโน้ตบุ๊กให้กับ HP บริษัทคอมพิวเตอร์อันดับ 2 ของโลก จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ บริษัท QMB และ Inventec นอกจากนี้ ยังมีบริษัทรายใหญ่จากไต้หวันในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้เข้ามาลงทุนก่อนหน้านี้แล้ว เช่น บริษัท Delta Electronics, Tatung, Cal-Comp, Techman, Chicony, Primax เป็นต้น

‘สนค.’ ชี้เป้าผู้ประกอบการไทย เล็งขายสินค้าออนไลน์เจาะ ‘ตลาดจีน’ หลังพบมีการเติบโตต่อเนื่อง จากการที่คนจีนใช้อินเทอร์เน็ตเพิ่มขึ้น

(12 ก.ย.66) นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า สนค. ได้ทำการศึกษาการเติบโตของการค้าออนไลน์ข้ามพรมแดน หรือ Cross-border e-Commerce (CBEC) พบว่า มีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะตลาดจีน ซึ่งเป็นตลาดหลักที่สำคัญของไทย โดยมีปัจจัยจากการเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากของจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ต โดยปี 2565 มีจำนวน 1.067 พันล้านคน เพิ่มขึ้น 35.49 ล้านคน เมื่อเทียบกับปี 2564 และการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป หันมาใช้ e-Commerce มากขึ้น

ทั้งนี้ ยังพบว่า รัฐบาลจีนมีมาตรการและนโยบายสนับสนุน เช่น การจัดตั้งเขตนำร่องบูรณาการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ข้ามพรมแดน จำนวน 165 แห่ง ครอบคลุม 33 เมือง อาทิ หางโจว ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ คุนหมิง และเฉิงตู เชื่อมโยงระหว่างทางบก ทางทะเล ทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ เพื่อส่งเสริมการส่งออกโดยเฉพาะสินค้าของ SMEs จีน ไปยังแพลตฟอร์มออนไลน์ในต่างประเทศและส่งเสริมการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ เพื่อมาจำหน่ายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ในจีน โดยผู้ประกอบการจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีและมีขั้นตอนพิธีการศุลกากรที่ง่ายกว่าการค้าระหว่างประเทศแบบปกติ และมีการส่งเสริมความเชื่อมโยงระหว่างจีนกับต่างประเทศผ่านการลงนามในสัญญาความร่วมมือระยะยาวระหว่างรัฐบาลจีนกับบริษัทด้านการค้าระหว่างประเทศและบริษัทด้านการขนส่งทางทะเล รวมทั้งการส่งเสริมบริษัทคลังสินค้าในต่างประเทศให้เชื่อมโยงกับแพลตฟอร์ม E-Commerce ทั้งของจีนและต่างประเทศ

สำหรับการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศสู่ตลาดจีนผ่านทางแพลตฟอร์ม CBEC แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่ 1.) การนำเข้าสินค้าผ่านคลังสินค้าทัณฑ์บน (Bonded Warehouse Import) ผู้ประกอบการจากทั่วโลกสามารถนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศมาเก็บไว้ในคลังสินค้าทัณฑ์บนโดยไม่ต้องผ่านพิธีการศุลกากรและยังไม่ต้องเสียภาษี จนกว่าผู้บริโภคจะสั่งซื้อสินค้า โดยการนำเข้ารูปแบบนี้มีข้อดี ดังนี้ (1) ลดระยะเวลาการรอคอยสินค้า การนำเข้าสินค้ามาเก็บไว้ในคลังสินค้าทัณฑ์บนสามารถจัดส่งสินค้าถึงผู้บริโภคได้ภายใน 3-7 วัน (2) ห่วงโซ่อุปทานที่ยืดหยุ่น ผู้ประกอบการสามารถดำเนินการคัดแยก บรรจุหีบห่อใหม่และการติดฉลากสินค้าในคลังสินค้าทัณฑ์บนโดยไม่ต้องเสียภาษีศุลกากร (3) รักษาสภาพคล่องได้ดีขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการจะต้องชำระอากรและภาษีเมื่อมีการนำสินค้าออกจากคลังสินค้าทัณฑ์บน จึงทำให้ธุรกิจสามารถรักษากระแสเงินสดได้เป็นอย่างดี แต่ก็ยังมีข้อจำกัด ดังนี้

(1) ข้อจำกัดด้านกฎระเบียบ อาทิ ขั้นตอนพิธีการศุลกากรที่เพิ่มขึ้นในการขอเก็บสินค้าในคลัง และข้อจำกัดในการจัดเก็บสินค้าในคลัง (2) ต้นทุนการดำเนินงาน อาทิ ค่าเช่า ค่าประกันภัย และค่าบริหารจัดการ

2.) การส่งสินค้าไปยังผู้บริโภคโดยตรง (Direct Mailing Mode) ผู้ประกอบการสามารถส่งสินค้าจากประเทศต้นทางไปยังผู้บริโภคที่อยู่ในจีนโดยตรงผ่านระบบโลจิสติกส์ การชำระเงิน และการเสียภาษีที่ร่วมมือกับแพลตฟอร์ม โดยจะมีความสะดวกของผู้บริโภคและผู้ประกอบการในด้านระบบโลจิสติกส์ เนื่องจากของแพลตฟอร์มกับบริษัทโลจิสติกส์ร่วมมือกันโดยตรง และยังมีต้นทุนต่ำจากการหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายคลังสินค้าทัณฑ์บนในจีน แต่ก็ยังมีข้อจำกัด คือ อาจต้องใช้ระยะเวลาผ่านพิธีการศุลกากรประมาณ 1-2 สัปดาห์ ซึ่งยาวนานกว่าการนำเข้าสินค้าผ่านคลังสินค้าทัณฑ์บนที่ใช้เวลาดำเนินการพิธีทางศุลกากรเพียง 1-2 วัน

นายพูนพงษ์กล่าวว่า โอกาสของผู้ประกอบการไทยจากการที่ตลาด CBEC ของจีนเติบโตอย่างต่อเนื่อง และยังมีความต้องการซื้อสินค้าในตลาดอยู่จำนวนมาก ประกอบกับมีสินค้าไทยหลายชนิดที่สามารถทำยอดขายในจีนได้อย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว อาทิ อาหารแปรรูป อาหารพร้อมรับประทาน ขนมขบเคี้ยว สินค้าเพื่อสุขภาพ ผลไม้สด เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์ดูแลผิวธรรมชาติ ดังนั้น หากผู้ประกอบการไทยค้าขายผ่านช่องทาง CBEC มากขึ้น และมุ่งเน้นสินค้าที่มีอัตลักษณ์ความเป็นไทย มีศักยภาพ และเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคจีน ตอบสนองคุณภาพชีวิตยุคใหม่ก็จะสามารถเพิ่มยอดขายและส่วนแบ่งตลาดในจีนได้โดยการค้าผ่าน CBEC มีสิทธิประโยชน์ทางภาษีและพิธีทางศุลกากรที่ถูกและง่ายกว่าการค้าแบบปกติ หากเป็นคำสั่งซื้อสินค้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 5,000 หยวน ต่อคำสั่งซื้อ และมูลค่ารวม ไม่เกิน 26,000 หยวนต่อปี/ต่อราย ก็จะได้รับการยกเว้นภาษีศุลกากรและชำระภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีสรรพสามิตเพียงร้อยละ 70 จากอัตราปกติ

“ด้วยแนวโน้มการซื้อขายสินค้าผ่าน CBEC ที่เติบโตต่อเนื่อง ประกอบกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีและพิธีศุลกากรที่ง่ายและรวดเร็วกว่าการซื้อขายในช่องทางปกติ จะทำให้ CBEC เป็นช่องทางสำคัญในการเพิ่มโอกาสและขยายช่องทางการตลาดของผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มเครื่องสำอางและสิ่งของที่ใช้ทำความสะอาดร่างกายและบำรุงผิว รวมไปถึงอาหารสด โดยผู้ประกอบการควรศึกษาตลาดจีนให้ลึกซึ้งทั้งในด้านกฎหมาย ภูมิประเทศ และวัฒนธรรมของกลุ่มเป้าหมาย ตลอดจนเลือกแพลตฟอร์มให้เหมาะกับตัวสินค้าเพื่อให้สื่อสารได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย และสามารถใช้ช่องทาง CBEC เป็นกุญแจสำคัญในการขยายธุรกิจสู่ตลาดจีนต่อไป” นายพูนพงษ์กล่าว

ปัจจุบัน กรมศุลกากรจีน ระบุว่า มูลค่าการนำเข้าและส่งออกผ่าน CBEC ในปี 2565 มีมูลค่า 2.06 ล้านล้านหยวน (2.83 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.1 และในช่วงครึ่งแรกของปี 2566 (ม.ค.-มิ.ย.) มูลค่าการนำเข้าและส่งออกผ่าน CBEC สูงถึง 1.1 ล้านล้านหยวน (1.50 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้นร้อยละ 16 แบ่งเป็น การส่งออก 8.21 แสนล้านหยวน (1.12 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.9 และการนำเข้า 2.76 แสนล้านหยวน (3.78 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.7 ซึ่งเมื่อพิจารณาแนวโน้มมูลค่าการนำเข้าและส่งออกผ่าน CBEC ของจีนแล้วจะเห็นว่ามีแนวโน้มที่เติบโตขึ้นตั้งแต่ปี 2563

‘Forbes’ มอบรางวัลแก่ ‘เจ้าสัวธนินท์’ ทำประโยชน์เพื่อสังคม ชี้ เป็นต้นแบบชีวิต ขึ้นแท่นหนึ่งในบุคคลที่น่าเคารพแห่งเอเชีย

(12 ก.ย. 66) ‘Forbes Media’ มอบรางวัลเกียรติยศ ‘MALCOLM S. FORBES LIFETIME ACHEIVEMENT’ แก่ ‘ธนินท์ เจียรวนนท์’ ประธานอาวุโสและผู้นำสูงสุดของเครือเจริญโภคภัณฑ์ โดยรางวัลนี้มอบเพื่อเป็นเกียรติและเป็นการเฉลิมฉลองความสำเร็จในการประกอบธุรกิจตลอดชีวิต ทั้งด้านความสำเร็จในการทำธุรกิจ การเป็นต้นแบบการใช้ชีวิต และการทำประโยชน์เพื่อสังคม

‘มัลคอม สตีฟ ฟอร์บส์’ ประธานกรรมการและบรรณาธิการบริหารของ ‘Forbes Media’ กล่าวว่า ในรอบ 6 ทศวรรษในการทำธุรกิจของนายธนินท์ เจียรวนนท์ ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่แก่เครือเจริญโภคภัณฑ์ จากธุรกิจครอบครัวที่เริ่มต้นจากธุรกิจด้านอุตสาหกรรมเกษตรของประเทศไทย จนเป็นธุรกิจครอบคลุมหลากหลายอุตสาหกรรมที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ธุรกิจเกษตรและร้านสะดวกซื้อ ไปจนถึงธุรกิจโทรคมนาคม ยา และบริการทางการเงิน นายธนินท์เป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจและเป็นที่น่าเคารพของนักธุรกิจในเอเชีย ถือเป็นบุคคลที่น่ายกย่องอย่างยิ่ง 

ทั้งนี้ นายธนินท์ เจียรวนนท์ ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ตนขอบคุณฟอร์บส์ที่มอบรางวัลนี้ให้กับชีวิตการทำงาน ตนเชื่อว่า ทรัพยากรมนุษย์เป็นสิ่งที่มีค่าที่สุด การเปิดโอกาส เปิดเวทีให้คนดีและคนเก่งได้แสดงความสามารถเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการสร้างและแบ่งปันคุณค่าทำประโยชน์ให้กับส่วนรวมได้

นายธนินท์กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของการเข้ามาทำธุรกิจตั้งแต่อายุเพียง 25 ปี และการได้รับโอกาสให้ขับเคลื่อนงานสำคัญตลอดช่วงชีวิตการทำงาน ทั้งการนำธุรกิจผ่านวิกฤตต้มยำกุ้ง ความยากลำบากในช่วงโควิด-19 ได้สร้างประโยชน์ให้กับทุกประเทศที่ไปลงทุน สร้างประโยชน์ให้กับผู้บริโภคและประชาชนในประเทศนั้น เจ้าสัวซีพีย้ำว่า การทำงานเป็นเหมือนการเล่นกีฬาที่มีความท้าทาย ต้องคิดว่าปัญหาเป็นความท้าทาย ต้องสนุกในการแก้ปัญหา และต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ผู้ได้รับรางวัล ‘MALCOLM S. FORBES LIFETIME ACHIEVEMENT’ ในอดีต ได้แก่ ลี กา-ชิง ประธานกรรมการ Cheung Kong (Holdings) และ Hutchison Whampoa (2006), แซม รอบสัน วอลตัน ประธานกรรมการคณะกรรมการของ ‘Wal-Mart Stores Inc’ (2009), คาร์โลส สลิม เฮลู ประธานกรรมการ Fundacion Telmex, Fundacion Carlos Slim, Impulsora del Desarrollo del Empleo en America Latina และ Cicsa (2010) และ แจ็ค หม่า ผู้ก่อตั้ง Alibaba Group (2019) รวมถึงผู้อื่นอีกมากมาย 

อนึ่ง ‘Malcolm S. Forbes Lifetime Achievement Award’ เป็นรางวัลที่มอบให้แก่บุคคลที่มีผลงานและความสำเร็จน่าประทับใจตลอดชีวิต โดยที่มาของรางวัลถูกตั้งชื่อตาม ‘มัลคอม สตีฟ ฟอร์บส์’ (Malcolm S. Forbes) ทายาทรุ่นที่ 2 ของ ‘Forbes Media’ สื่อชั้นนำของสหรัฐอเมริกา ซึ่งนายมัลคอมเป็นบิดาของ ‘สตีฟ ฟอร์บส์’ ประธานกรรมการของฟอร์บส์

ม.อ. - อินโนบิก ผนึกกำลังต่อยอดการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการแพทย์ เสริมความมั่นคงด้านสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่คนไทย

เมื่อเร็วๆ นี้ ดร.บุรณิน รัตนสมบัติ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจใหม่และโครงสร้างพื้นฐาน บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และประธานกรรมการ บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด ดร.ณัฐ อธิวิทวัส กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด พร้อมด้วย รศ.นพ.สุนทร วงษ์ศิริ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยและนวัตกรรม มหาวิทยาลัย สงขลานครินทร์ และ ผศ.คำรณ พิทักษ์ ผู้อำนวยการอุทยานวิทยาศาสตร์ภูมิภาค ภาคใต้มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนานวัตกรรมด้านสุขภาพและการแพทย์ ระหว่าง บริษัท อินโนบิก (เอเซีย) จำกัด และ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

เพื่อมุ่งต่อยอดผลงานวิจัยและนวัตกรรมสู่การใช้ประโยชน์จริงเชิงพาณิชย์ โดยจะนำผลงาน ที่มีศักยภาพมาวิเคราะห์และทดสอบการใช้งานจริงผ่านคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ผสานความเชี่ยวชาญด้านการตลาดของอินโนบิก เพื่อสนับสนุนให้นวัตกรรมจากการวิจัยของคนไทยสามารถเข้าสู่ตลาดที่เพิ่มมูลค่าให้กับอุตสาหกรรมการแพทย์ ลดการพึ่งพาการนําเข้า สร้างความมั่นคงด้านสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีของทุกคน 

‘ชาวต่างชาติ’ ยก ‘รถไฟฟ้าไทย’ ดีที่สุดในอาเซียน เทียบชั้นสิงคโปร์ 'สะอาด-ใช้งานง่าย-เส้นทางครอบคลุม’ อนาคตแซงหน้าชาติชั้นนำ

เมื่อวันที่ 11 ก.ย. 66 จากช่องยูทูบ ‘สะท้อนไทย’ ที่มักจะคอยมาเล่ามุมมองของชาวต่างชาติ ที่แสดงความคิดเห็นต่อประเทศไทยในด้านต่างๆ โดยล่าสุด ชาวต่างชาติต่างยกให้รถไฟฟ้าของประเทศไทยดีที่สุดในอาเซียน เมื่อพวกเขาเคยมาท่องเที่ยวและได้ลองใช้บริการ โดยระบุว่า…

ชาวต่างชาติต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่ารถไฟฟ้าของประเทศไทย มีระบบที่ดีเยี่ยม ทั้งเรื่องความสะดวกในการใช้งาน ความสะอาดของสถานี แม้นํามาเปรียบเทียบกับรถไฟฟ้าของชาติตะวันตกแล้ว ระบบรถไฟฟ้าของประเทศไทยถือว่าดีเยี่ยมเลยทีเดียว ทั้งนี้ ไม่ใช่เพียงแค่นักท่องเที่ยวจากชาติตะวันตกเท่านั้นที่ชื่นชอบรถไฟของประเทศไทย แต่นักท่องเที่ยวจากประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนของไทยต่างก็ชื่นชมรถไฟฟ้าของประเทศไทยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นลาว, พม่า, เวียดนาม และสิงคโปร์ ต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกัน “รถไฟฟ้าของประเทศไทยดีที่สุดในอาเซียน”

โดยจุดกําเนิดของรถไฟฟ้าในประเทศไทยนั้น เริ่มต้นจากรถไฟฟ้าบีทีเอส ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าสายแรกของประเทศที่เปิดให้บริการครั้งแรก เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2542 โดยเปิดสองเส้นทาง รวมทั้งสิ้น 23 สถานี ซึ่งคือ ‘สายสุขุมวิท’ มีระยะทางทั้งหมด 17 กิโลเมตร จากสถานีหมอชิต - สถานีอ่อนนุช และสายที่สองคือ ‘สายสีลม’ มีระยะทาง 6.5 กิโลเมตร จากสถานีสนามกีฬาแห่งชาติ - สถานีสะพานตากสิน และนี่คือสถานีทั้งหมดในช่วงแรก

แต่ในปัจจุบันมีการขยายสถานีออกไปเป็นจํานวนมาก ซึ่งสามารถช่วยเหลือเรื่องการคมนาคมของคนในชานเมืองได้เป็นอย่างมาก โดยระบบรถไฟฟ้าบีทีเอสเป็นระบบขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ มีความจุสูงแบบมาตรฐานสากล ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในเมืองใหญ่ทั่วโลก สามารถให้บริการแก่ผู้โดยสารได้มากกว่า 1 พันคนต่อขบวน

ในขณะที่การเดินทางด้วยรถยนต์ต้องใช้รถยนต์จํานวนมากถึง 250 คัน เพื่อขนส่งผู้โดยสาร นอกเหนือจากนี้การให้บริการที่ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ใจกลางกรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นศูนย์รวมของธุรกิจการค้า ย่านที่พักอาศัย และแหล่งช็อปปิ้งชั้นนํา อีกทั้งยังมีโครงการส่วนต่อขยายเพื่อขยายพื้นที่สําหรับให้บริการ และยังเข้าถึงผู้โดยสารได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งครอบคลุมการเดินทางหลายจังหวัด ทั้งกรุงเทพฯ และปริมณฑล สำหรับประเด็นนี้ได้มีชาวต่างชาติจํานวนมากเข้ามาแสดงความคิดเห็นกันอย่างล้นหลาม 

โดยมุมมองแรกต่างกล่าวว่า รถไฟฟ้าใต้ดินของไทยดูดีที่สุดแล้วในแถบนี้ ทั้งที่เปิดมาเกือบ 20 ปี แต่สภาพยังดูดี ดูสวย และสะอาดอยู่เลย อย่างไรก็ตาม อาจจะเป็นเพราะอายุที่ไม่มาก ค่าโดยสารจึงแพง แต่ก็สามารถคัดกรองคนได้ในระดับหนึ่ง เคยไปหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็นยุโรป อเมริกา ทั้งเหม็น ทั้งสกปรก

จากนั้น ได้มีความคิดเห็นนึงได้เผยว่า “ผมอยู่ออสโล บัตรเดียวใช้ได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าใต้ดิน รถราง รถเมล์ และเรือ แต่เรื่องความสะอาดออสโลสู้ไม่ได้เลย เพื่อนของผมชาวนอร์เวย์ที่เดินทางไปที่กรุงเทพฯ ยังตกใจ ทําไมประเทศไทยสะอาดเช่นนี้ สุดยอดมาก… แต่ติดอยู่เรื่องเดียวคือเรื่องตั๋ว ถ้าใช้ได้หมดจะสุดยอดมาก”

โดยคนส่วนหนึ่งต่างรู้สึกว่า สิงคโปร์และไทย มีคุณภาพใกล้เคียงกัน แต่ติดอยู่เรื่องเดียวคือของไทยไม่ค่อยมีห้องน้ำเหมือนของสิงคโปร์ และด้วยที่สิงคโปรอาจจะสร้างมานานกว่าประเทศไทย จึงทําให้สภาพดูเก่ากว่า แต่เรื่องความสะอาดในตอนนี้ ต้องยอมรับว่ารถไฟฟ้าของไทยดูใหม่จริงๆ

อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญและขาดไม่ได้ คือเรื่องของ ‘ห้องน้ำ’ ซึ่งพวกเขาหวังอยากให้ประเทศไทยมีห้องน้ำทุกสถานีเหมือนญี่ปุ่น เพราะอยากเข้าแบบอิสระ โดยไม่ต้องไปขอแม่บ้าน

“ตอนนี้ดิฉันอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ ประเทศไทยพัฒนามาก อีกสิบปีดิฉันจะเกษียณ และอยากไปใช้ชีวิตในต่างจังหวัดของประเทศไทย เชื่อว่าอีกสิบปีข้างหน้า จะสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้ เพราะรถไฟฟ้าของประเทศไทยครอบคลุมทั่วประเทศ อยากบอกลูกหลานทุกคนว่า ควรภูมิใจกับประเทศไทยตอนนี้ ยอดเยี่ยมมาก” ชาวต่างชาติท่านหนึ่งกล่าว

และนี่เป็นเพียงความคิดเห็นบางส่วนที่ได้หยิบยกขึ้นมา โดยความคิดเห็นนั้นมองออกเป็นสองมุม แต่โดยหลักๆ ต่างยกให้ไทยและสิงคโปร์เป็นประเทศที่มีรถไฟฟ้าดีที่สุดในอาเซียน

‘สุริยะ’ สัญญาทำรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เร่งผลักดัน ‘สายสีแดง-สีม่วง’ เป็นของขวัญปีใหม่

(12 ก.ย. 66) การแถลงนโยบายรัฐบาลช่วงค่ำวานนี้ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.คมนาคม ชี้แจงปัญหาการดำเนินโครงการรถไฟฟ้า 20 บาท ว่า เมื่อตนมารับตำแหน่งรมว.คมนาคมแล้ว หลายโครงการต้องทบทวน อะไรดีก็ทำต่อ อะไรมีปัญหาก็ต้องทบทวน เพื่อประโยชน์ประชาชน นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย จะทำต่อไป นโยบายนี้จะเริ่มทันที เพื่อสร้างโอกาสความเท่าเทียมให้ผู้มีรายได้น้อย โดยจะรวบรวมสัมปทานเส้นทางเดินรถไฟฟ้าของเอกชนทุกสายมาเจรจา ขั้นตอนเจรจาอาจต้องใช้เวลา 6 เดือน จากนั้น 20 บาทตลอดสายจะทำได้ทันที

นายสุริยะ กล่าวอีกว่า ส่วนเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีแดง ‘ตลิ่งชัน-รังสิต’ ราคา 14-42 บาท และสายสีม่วง ‘บางซื่อ-คลองบางใหญ่’ ราคา 14-42 บาท จะปรับราคาตลอดเส้นทางเป็น 20 บาท จะเร่งผลักดันภายใน 3 เดือน เป็นของขวัญปีใหม่ให้ประชาชน ขณะที่สายสีเขียวที่อยู่ในความรับผิดชอบของกทม. ต้องให้กทม.เป็นผู้ดำเนินการ แต่กระทรวงคมนาคมพร้อมจะสนับสนุน ยึดผลประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้ง

นายสุริยะ กล่าวต่อว่า สำหรับสายสีส้ม เนื่องจากตนเพิ่งเข้ามารับตำแหน่ง ขอเวลาพิจารณารายละเอียดทุกมิติ ทั้งข้อกฎหมาย ผลประโยชน์ประชาชน จะทำด้วยความโปร่งใส เพื่อผลประโยชน์ประเทศ ทราบว่าที่ผ่านมาในรัฐบาลชุดที่แล้ว ผู้บริหารกระทรวงคมนาคม เคยเชิญนายสุรเชษฐ์ ปวีณวงศ์วุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ที่เคยออกมาเปิดเผยความไม่โปร่งใสเรื่องรถไฟฟ้า มารับทราบข้อมูลที่ถูกต้อง แต่นายสุรเชษฐ์ไม่เคยรับคำเชิญ ดังนั้นในครั้งนี้จะขอเชิญท่านไปให้ข้อมูลอีกครั้ง

ด้านนายสุรเชษฐ์ ปวีณวงศ์วุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า ที่ผ่านมาไม่เคยได้รับหนังสือเชิญจากกระทรวงคมนาคมให้ไปรับฟังข้อมูลเรื่องดังกล่าวแต่อย่างใด ขอให้ทำหนังสือเชิญมา พร้อมจะไปรับฟังข้อมูล ซึ่งนายสุริยะตอบกลับว่า จะทำหนังสือเชิญนายสุรเชษฐ์มารับฟังข้อมูลต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top