Sunday, 25 May 2025
ECONBIZ

เดินหน้า “บิ๊กตู่” เป็นประธานเปิดเดินรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง บางซื่อ-รังสิตและบางซื่อ-ตลิ่งชัน ยกระดับการเดินทาง พร้อมเพิ่มประสิทธิภาพขนส่งเชื่อมต่อโลจิสติกส์ระหว่างภูมิภาค ทดลองบริการฟรีก่อนเปิดบริการเต็มรูปแบบ พ.ย.นี้

ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดให้ประชาชนใช้บริการเดินรถโครงการระบบรถไฟชานเมือง สายสีแดงช่วงบางซื่อ-รังสิตและบางซื่อ-ตลิ่งชัน ผ่านระบบวิดิโอคอนเฟอเรนซ์ โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย เข้าร่วม

โดยพล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มาร่วมพิธีเปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการรถไฟชานเมืองสายสีแดง ทั้งช่วงบางซื่อ-รังสิตและช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ซึ่งได้ดำเนินการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องและเตรียมความพร้อมเพื่อเปิดให้บริการประชาชนอย่างเต็มรูปแบบในเดือนพ.ย. 2564 นี้ จากการที่รัฐบาลได้กำหนดแผนยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี 2561-2580 ซึ่งการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในเขตเมือง เพื่อช่วยยกระดับการเดินทางให้ประชาชนมีความสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น ลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคล บรรเทาปัญหาการจราจร รวมทั้งพัฒนารถไฟทางคู่และรถไฟความเร็วสูง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการเดินทางขนส่งและโลจิสติกส์มีการเชื่อมต่อระหว่างภูมิภาค ขณะเดียวกันรักษาสภาวะแวดล้อมของโลกไปด้วย ควบคู่กันไปอย่างยั่งยืนรับเป็นก้าวย่างสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ในการพัฒนาระบบรางและการพัฒนาประเทศตามเป้าหมายของรัฐบาล ซึ่งต่อไปจะมีการเร่งรัดการดำเนินการในพื้นที่ต่างๆในแต่ละภูมิภาค 

สำหรับรถไฟชานเมืองสายสีแดง เปิดให้บริการเส้นทางสายเหนือช่วงบางซื่อ-รังสิต มีจำนวน 10 สถานี ระยะทาง 26 กิโลเมตร ใช้ระยะเวลาเดินทาง 25 นาที สายตะวันตกช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน มีจำนวน 3 สถานี ระยะทาง 15 กิโลเมตร ใช้ระยะเวลาเดินทาง 15 นาที ซึ่งการรถไฟแห่งประเทศไทย มอบหมายให้รฟท.จำกัดซึ่งเป็นบริษัทลูกเป็นผู้ให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุง เปิดให้ประชาชนให้บริการฟรีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ไปจนถึงประมาณปลายปี 2564 ซึ่งจะเป็นการเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์อย่างเต็มรูปแบบ 

ทั้งนี้จะเปิดให้บริการตั้งแต่ 06.00 น -20.00 น และในช่วงเวลาเร่งด่วนจะมีการเดินรถในเวลาทุกๆ 15 นาที ในเวลาปกติเดินรถทุก 30 นาที โดยท่ามกลางการการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด -19 การรถไฟแห่งประเทศไทยได้มีการจัดให้บริการจำกัดจำนวนผู้โดยสารทุกประเภทไม่เกินร้อยละ 50 ตามมาตรการรักษาระยะห่างนอกจากนี้ยังมีการบูรณาการร่วมกับการเดินทางอื่นๆเพื่อเพิ่มความสะดวกและการเข้าถึงของประชาชนและมีการเชื่อมต่อกับระบบขนส่งอื่นๆ

สำนักงบฯ แนะทุกหน่วยงานใช้งบต้องคิดถึงผลกระทบโควิดรุนแรง

สำนักงบประมาณได้รายงานรายงานผลการปฏิบัติงานและผลการใช้จ่ายงบประมาณประจำปี 64 ในช่วงไตรมาสที่ 3  โดยจากวงเงินรวม 3.2 ล้านล้านบาท มีการเบิกจ่ายแล้วประมาณ 2.28 ล้านล้านบาท คิดเป็น 69.49%  มีการก่อหนี้แล้วจำนวน 2.46 ล้านล้านบาท คิดเป็น 75.03% โดยในการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ทวีความรุนแรงขึ้นตั้งแต่ในเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การลงทุนทั้งในมิติของพื้นที่และการดำเนินชีวิตของประชาชน ซึ่งเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐยังเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการลงทุนภาครัฐซึ่งมีการก่อหนี้สูงกว่าเป้าหมายอย่างมากในปีนี้  

ทั้งนี้เพื่อให้การเบิกจ่ายและจัดสรรงบประมาณในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ (ก.ค. - ก.ย.) มีประสิทธิภาพสำนักงบประมาณจัดทำข้อเสนอข้อให้หน่วยงานราชการใช้เป็นแนวทางปฏิบัติ คือหน่วยรับงบประมาณควรเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณ และการบริหารงบประมาณที่ได้รับ การจัดสรรอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับสถานการณ์ที่อาจเกิดผลกระทบหรือกระทบต่อการปฏิบัติงานและการใช้จ่ายงบประมาณได้อย่างเหมาะสม และให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐและกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณ

อีกทั้งสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังทวีความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น หน่วยรับงบประมาณควรพิจารณากำหนดทิศทางหรือแนวทางการดำเนินงานให้สอดคล้องกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปตามวัตถุประสงค์และเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน ในส่วนช่องงบประมาณที่เป็นรายจ่ายประจำส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายคงที่ ควรมีการวางแผนอย่างเหมาะสม เพื่อให้การใช้จ่ายงบประมาณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศโดยรวม 

ผู้บริหารเอกชนหวั่นโควิดกระจายกระทบภาคการผลิต

นายวิรัตน์ เอื้อนฤมิต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI เดือนก.ค. 2564 เรื่อง การจัดการปัญหาแรงงานในสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. จำนวน 166 คน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 75 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด พบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่ มองว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในขณะนี้ ส่งผลกระทบต่อแรงงานในภาคอุตสาหกรรมทั้งปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในโรงงานอุตสาหกรรม 

รวมทั้ง ปัญหาขาดแคลนแรงงานในอุตสาหกรรมที่มีการใช้แรงงานเข้มข้น จนส่งผลทำให้กำลังการผลิตลดลงและกระทบต่อการส่งออกของไทย ดังนั้นจึงเสนอให้ภาครัฐเร่งฉีดวัคซีนให้แก่แรงงาน ม.33 เพื่อลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดโควิด-19 ในสถานประกอบการ รวมทั้ง รักษาศักยภาพในการผลิตและการส่งออกของประเทศ 

ทั้งนี้ ผู้บริหาร ส.อ.ท. ยังมองว่ามาตรการที่ภาคเอกชนมีความพร้อมและสามารถที่จะดำเนินการเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 ในสถานประกอบการได้ พบว่า 3 อันดับแรก ได้แก่ การมีระบบคัดกรองแรงงานก่อนเข้าโรงงาน และการเฝ้าระวังผู้ปฏิบัติงานที่เป็นกลุ่มเสี่ยงตามมาตรการ Bubble & Seal คิดเป็น 83.1% รองลงมา การจัดหาวัคซีนทางเลือกให้แก่แรงงานในสถานประกอบการ คิดเป็น 68.1% และการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาด คิดเป็น 65.7%

รัฐบาล เร่ง แก้ปัญหาราคามังคุดตกฮวบ ด้านพณ.ช่วยค่าส่งผลไม้ฟรีผ่านไปรษณีย์ไทย- อุดหนุนเกษตรกรรายย่อย

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้เกษตรกรชาวสวนมังคุดภาคใต้และภาคตะวันออก ที่ผลผลิตปีนี้มีจำนวนมากจนล้นตลาด ราคาตก ได้รับผลกระทบไม่สามารถส่งผลผลิตไปขายพื้นที่ต่างๆหรือส่งข้ามพรมแดนได้ช้า โดยกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้รณรงค์ให้บริโภคผลไม้ไทยและช่วยกระจายสินค้าผ่านหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน โดยมีมาตรการช่วยเหลือเกี่ยวข้องกับการขนส่งที่ล่าช้า การข้ามพรมแดนไปจีน เนื่องจากขนส่งทางรถผ่านด่านโหยวอี้กวนและด่านโม่ฮานติดขัดมาก ทำให้ตู้คอนเทนเนอร์หมุนกลับมาภาคใต้ไม่ทัน ปัญหาตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลน รวมถึงปัญหาการเคลื่อนย้ายแรงงานเข้าพื้นที่

น.ส.รัชดา กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์ ร่วมกับบริษัทไปรษณีย์ไทย ส่งเสริมการขายผ่านระบบออนไลน์ ช่วยเกษตรรายย่อยส่งผลไม้ฟรีทั่วประเทศถึงมือผู้บริโภค โดยกระทรวงฯจะสนับสนุนค่าขนส่ง ค่ากล่องไปรษณีย์ จำนวน 2แสนกล่อง บรรจุผลไม้น้ำหนัก 10 กิโลกรัม ตั้งเป้าช่วยกระจายผลไม้ 2พันตัน และมีมาตรการเร่งกระจายมังคุดออกนอกแหล่งผลิต โดยสนับสนุนค่าบริหารจัดการแก่ศูนย์กระจายในจังหวัดแหล่งผลิต กิโลกรัมละ 3 บาท เพื่อกระจายมังคุด 1.7 หมื่นตัน

ส่วนปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ส่งสินค้าไปจีน ได้หารือกับสมาคมผู้ประกอบการค้าผลไม้ ซึ่งภายในเดือนส.ค.นี้ ปัญหาจะคลี่คลาย ขณะที่ปัญหาขาดแรงงาน กระทรวงมหาดไทย จะผ่อนผันให้ล้งและแรงงานเคลื่อนย้ายไปซื้อมังคุดที่จ.จันทบุรี นครศรีธรรมราช ชุมพร และจังหวัดอื่นๆในภาคใต้ได้ภายใต้มาตรการควบคุการแพร่ระบาดโควิด-19 อย่างเคร่งครัด  ทั้งนี้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาราคามังคุดตกต่ำ โดยนายกรัฐมนตรี ได้ติดตามการดำเนินการของทุกหน่วยงานอยู่ตลอด และรับทราบถึงการบูรณาการของทุกกระทรวงเป็นอย่างดี เชื่อว่าสถานการณ์จะคลี่คลายในเร็วๆนี้

เร่งกระจายมังคุดส่งไปรษณีย์ช่วยแก้ล้นตลาด

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีมังคุดเกิดภาวะล้นตลาด-ราคาตกต่ำ ว่า ขณะนี้กระทรวงพาณิชย์ได้ร่วมมือกับบริษัท ไปรษณีย์ไทย ส่งเสริมการขายผ่านระบบออนไลน์ โดยส่งผลไม้ฟรีทั่วประเทศถึงมือผู้บริโภค โดยกระทรวงฯ จะสนับสนุนค่าขนส่ง ค่ากล่องไปรษณีย์ จำนวน 2 แสนกล่อง แต่ละกล่องบรรจุผลไม้รับน้ำหนักได้ 10 กิโลกรัม เป้าหมายช่วยกระจายผลไม้ 2,000 ตัน พร้อมมีมาตรการเร่งกระจายมังคุดออกนอกแหล่งผลิต โดยสนับสนุนค่าบริหารจัดการแก่ศูนย์กระจายในจังหวัดแหล่งผลิต กิโลกรัมละ 3 บาท เพื่อกระจายมังคุด 1.7 หมื่นตัน

น.ส.รัชดา กล่าวว่า ในส่วนของปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์เพื่อส่งสินค้าไปจีน ทางกระทรวงเกษตรฯ ได้หารือกับสมาคมผู้ประกอบการค้าผลไม้ ซึ่งมีการรายงานว่าในเดือนส.ค.นี้ ปัญหาจะคลี่คลาย ขณะที่การขาดแคลนแรงงาน ทางกระทรวงมหาดไทยได้เข้ามาอำนวยความสะดวก โดยจะผ่อนผันให้ล้งและแรงงานเคลื่อนย้ายไปซื้อมังคุดที่จังหวัดจันทบุรี นครศรีธรรมราช ชุมพร และจังหวัดอื่นๆในภาคใต้ได้ ซึ่งจะอยู่ภายใต้มาตรการควบคุการแพร่ระบาดโควิด-19 อย่างเคร่งครัด

“รัฐบาลได้เร่งเข้าแก้ปัญหาราคามังคุดตกต่ำ ซึ่งนายกรัฐมนตรีได้ติดตามการดำเนินการของทุกหน่วยงานอยู่ตลอด และได้รับทราบถึงการบูรณาการของทุกกระทรวงเป็นอย่างดี เชื่อว่าสถานการณ์จะคลี่คลายในเร็ว ๆ นี้”

นายจ้าง ลูกจ้าง ม.33 ใน 3 จังหวัด เฮ!! ได้เงินเยียวยา 9 สิงหาคมนี้

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงความคืบหน้าการจ่ายเงินเยียวยากลุ่มแรงงานและผู้ประกอบการตามมาตรการบรรเทาผลกระทบโควิด-19 ที่อยู่ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2564 เห็นชอบขยายพื้นที่เยียวยาผู้ประกอบการและลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการโควิด-19 จาก 10 จังหวัด เป็น 13 จังหวัด เพิ่ม จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และพระนครศรีอยุธยา ใน 9 ประเภทกิจการ ได้แก่ กิจการก่อสร้าง กิจการที่พักแรมบริการด้านอาหาร กิจกรรมศิลปะ ความบันเทิงและนันทนาการ กิจกรรมบริการด้านอื่น ๆ สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า สาขาขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์ สาขากิจกรรมการบริหารและบริการสนับสนุน สาขากิจกรรมวิชาชีพ วิทยาศาสตร์และกิจกรรมทางวิชาการ และสาขาข้อมูลข่าวสารและการสื่อสาร โดยให้มีอัตราการจ่ายและวิธีการจ่ายเงินเช่นเดิมนั้นว่า ท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงานและผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงได้สั่งการให้ผมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเร่งรัดให้สำนักงานประกันสังคมเร่งจ่ายเงินเยียวยาให้กับผู้ประกันตนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของนายจ้างและลูกจ้าง  

นายสุชาติ กล่าวต่อว่า สำหรับการจ่ายเงินเยียวยานายจ้าง ลูกจ้าง มาตรา33 ในพื้นที่ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และพระนครศรีอยุธยา มีผู้ประกันตนได้รับสิทธิจำนวน 272,746 คน นายจ้าง 19,213 ราย ใช้วงเงินทั้งสิ้น 1,522 ล้านบาท แยกเป็น นายจ้าง 841 ล้านบาท และลูกจ้าง 681 ล้านบาท โดยจะโอนเงินในวันที่ 9 สิงหาคมนี้ ให้ลูกจ้างผ่านบัญชีพร้อมเพย์เลขประจำตัวประชาชนเท่านั้น ส่วนนายจ้างบุคคลธรรมดา จะโอนเงินผ่านบัญชีพร้อมเพย์เลขประจำตัวประชาชนเช่นกัน และนายจ้างสถานะนิติบุคคล จะโอนเข้าบัญชีธนาคารตามชื่อนิติบุคคลนายจ้าง ทั้งนี้ ผู้ประกันตนมาตรา 33 สามารถตรวจสอบสิทธิโครงการเยียวยาได้ที่ https://www.sso.go.th หรือโทรศัพท์ สายด่วนประกันสังคม 1506 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

2 ส.ค. นี้ เปิดทดลองใช้บริการรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง ฟรี 

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ในวันที่ 2 ส.ค. 2564 นี้ รถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง จะเริ่มเปิดทดลองให้บริการ จึงขอเชิญชวนประชาชนร่วมใช้บริการฟรีในช่วงทดลองนี้เป็นเวลา 3 เดือน ระหว่างเดือน ส.ค.-ต.ค. ก่อนจะเริ่มให้บริการเชิงพาณิชย์ ในเดือน พ.ย. 2564 เป็นต้นไป 

ทั้งนี้ ในวันที่ 2 ส.ค. เวลา 10.00 น. นายกรัฐมนตรี จะเป็นประธานในพิธีเปิดในรูปแบบออนไลน์ ผ่านระบบวิดีโอ คอนเฟอร์เรนซ์ จากตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พร้อมปล่อยรถขบวนปฐมฤกษ์จากสถานีกลางบางซื่อ-รังสิต และบางซื่อ-ตลิ่งชัน ในเวลา 10.29 น. และประชาชนจะใช้บริการขบวนถัดไปในเวลาประมาณ 11.00 น. ซึ่งจะปล่อยขบวนรถทั้งจากฝั่งบางซื่อ-รังสิต, บางซื่อ-ตลิ่งชัน, รังสิต-บางซื่อ และตลิ่งชัน-บางซื่อ

สำหรับการเปิดให้บริการครั้งนี้ จะจำกัดจำนวนผู้โดยสารไม่เกิน 50% ของความจุ หรือให้บริการ 550 คน/ขบวน จากความจุ100% ของ 1 ขบวน 4 โบกี้อยู่ที่1,100 คน/ขบวน โดยหากมีความต้องการใช้บริการสูงจะใช้รูปแบบการเพิ่มโบกี้ต่อไป  โดย แบ่งเป็น 2 เส้นทาง ได้แก่ สีแดงเข้ม ช่วงบางซื่อ-รังสิตระยะทาง 26 กม. มี 10 สถานี ได้แก่ สถานีกลางบางซื่อ,สถานีจตุจักร, สถานีวัดเสมียนนารี,สถานีบางเขน, สถานีทุ่งสองห้อง, สถานีหลักสี่, สถานีการเคหะ, สถานีดอนเมือง, สถานีหลักหก และสถานีรังสิต ใช้เวลาเดินทาง 25 นาที 

ส่วนสีแดงอ่อน ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ระยะทาง 15 กม. มี 3 สถานี ได้แก่ สถานีบางซ่อน, สถานีบางบำหรุ และสถานีตลิ่งชัน ใช้เวลาเดินทาง 15 นาที ซึ่งทั้ง 2 เส้นทางยังมีส่วนต่อขยายอีกในอนาคต 

นายกฯ ยืนยัน"ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์" ยังเดินหน้าต่อ แม้มีการยกระดับมาตรการฯ  สร้างความมั่นใจศักยภาพการท่องเที่ยวควบคู่กับเฝ้าระวังการแพร่ระบาดโควิด-19

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ความมั่นใจโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ (Phuket Sandbox) ยังคงเดินหน้าต่อ ภายใต้การยกระดับมาตรการตรวจคัดกรองการเดินทางเข้าจังหวัดภูเก็ต ควบคุมการเดินทาง และเคลื่อนย้ายแรงงานในเขตพื้นที่จังหวัดภูเก็ต รวมทั้งการแก้ไขเพิ่มเติมการปิดสถานที่หรืองดกิจกรรมที่มีความเสี่ยง  มีผลตั้งแต่วันที่ 3-16 สิงหาคมนี้  เพื่อให้การควบคุมโรคมีประสิทธิภาพอย่างเต็มที่  ทั้งนื้ เพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวและประชาชนภูเก็ตทุกคน 

นายอนุชา ฯ กล่าวว่า จากการเปิดภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ (Phuket Sandbox) มาตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค.-28 ก.ค. 2564 มีภาพรวมที่เป็นไปในทิศทางที่น่าพอใจ  โดยมีนักท่องเที่ยวจำนวน 12,395 คน มีค่าใช้จ่ายเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ  60,000 บาท/ทริป/คน สร้างรายได้แล้วประมาณ 749.95 ล้านบาท  ทั้งนี้ จากการประเมินของกรมควบคุมโรคทื่พบอัตราการติดเชื้อที่เกิดขึ้นในพื้นที่ค่อนข้างต่ำ โดยการติดเชื้อส่วนใหญ่มาจากภายนอกหรือติดกันเอง โดยไม่มีการแพร่กระจายในพื้นที่ มองว่าโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ (Phuket Sandbox) ยังดำเนินไปได้ด้วยดี แม้สถานการณ์โลกและประเทศจะมีการแพร่ระบาดอยู่ก็ตาม 

ทั้งนี้ เมื่อถึงเดือนตุลาคม เริ่มเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว หากประเทศไทยสามารถสร้างความเชื่อมั่นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวโดยเน้นพื้นที่ปลอดภัยจากภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ (Phuket Sandbox) สมุยพลัสโมเดล (เกาะสมุย เกาะพงัน เกาะเต่า) และเตรียมขยายต่อเนื่องต่อไปยังจังหวัดกระบี่ (เกาะพีพี เกาะไหง ไร่เล) และจังหวัดพังงา (เขาหลัก เกาะยาวน้อย เกาะยาวใหญ่) ตามลำดับได้  เชื่อว่าจะส่งผลทำให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเพิ่มมากขึ้น ภายใต้แนวทางของพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี  ในการสร้างความสมดุลระหว่างการเฝ้าระวังความปลอดภัยสุขภาพอนามัยและการส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพี่อคนไทยทุกคน จึงขอให้ช่วยกันสร้างบรรยากาศที่ดีเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยว นอกจากนี้ Phuket Sandbox กำลังเป็นที่กล่าวถึงและเป็นที่จับตาของประเทศต่างๆทั่วโลก เพราะหากประสบความสำเร็จ จะถือว่าเป็นแนวทางในการที่ประเทศอื่นๆ จะนำไปเป็นต้นแบบในการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวในลักษณะเดียวกัน

“บิ๊กตู่” ได้ฤกษ์ปล่อยขบวนรถไฟฟ้าสายสีแดง “ช่วงบางซื่อ-รังสิต,บางซื่อ-ตลิ่งชัน” 2 ส.ค.นี้ชวน ปชช.ทดลองใช้บริการฟรี 3เดือน เผย 7 ปี ลงทุนไปแล้ว 1.5 ล้านล้านบาท       

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี  กล่าวว่า ในวันที่ 2 ส.ค. เวลา 10.00 น. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม  จะเป็นประธานในพิธีเปิดรถไฟสายสีแดง จากสถานีกลางบางซื่อ ช่วงบางซื่อ-รังสิต และบางซื่อ-ตลิ่งชัน ในรูปแบบออนไลน์ ผ่านระบบวิดีโอ คอนเฟอร์เรนซ์ จากตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาลขณะที่นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม นายนิรุฒ มณีพันธ์ ผู้ว่าการรถไฟฟ้าแห่งประเทศไทย(รฟท.) และคณะผู้บริหารกระทรวงคมนาคม จะเดินทางให้การต้อนรับประชาชน ที่สถานีกลางบางซื่อ ทั้งนี้โครงการดังกล่าวเป็นหนึ่งในโครงการลงทุนทางรางขนาดใหญ่ที่รัฐบาลผลักดันมาโดยต่อเนื่องเพื่อพัฒนาระบบคมนาคมทางรางให้เป็นระบบขนส่งหลักของประเทศ ลดต้นทุนโลจิสติกส์ อำนวยความสะดวกประชาชนและกระจายความเจริญไปยังพื้นที่ต่างๆของประเทศ

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า ขอเชิญชวนประชาชนร่วมใช้บริการฟรีในช่วงทดลองเป็นเวลา 3 เดือน ระหว่างเดือน ส.ค.-ต.ค. ก่อนจะเริ่มให้บริการเชิงพาณิชย์ ในเดือนพ.ย. 2564 เป็นต้นไป โดยนายกฯจะปล่อยรถขบวนปฐมฤกษ์จากสถานีกลางบางซื่อ-รังสิต และบางซื่อ-ตลิ่งชัน ในเวลา 10.29 น. และประชาชนจะใช้บริการขบวนถัดไปในเวลาประมาณ 11.00 น. ซึ่งจะปล่อยขบวนรถทั้งจากฝั่งบางซื่อ-รังสิต, บางซื่อ-ตลิ่งชัน, รังสิต-บางซื่อ และตลิ่งชัน-บางซื่อ โดยการให้บริการช่วงทดลองร.ฟ.ท. จะดำเนินการภายใต้มาตรการป้องกันโรคอย่างเข้มงวด โดยจะจำกัดจำนวนผู้โดยสารไม่เกิน 50% ของความจุ หรือให้บริการ 550 คนต่อขบวน จากความจุ100% ของ 1 ขบวน 4 โบกี้อยู่ที่1,100 คนต่อขบวน โดยหากมีความต้องการใช้บริการสูงจะใช้รูปแบบการเพิ่มโบกี้ต่อไป โดยผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีแดง เข้าใช้บริการได้เฉพาะประตู 1 ทั้งด้านหน้าและด้านหลังเท่านั้น เพื่อไม่ให้ปะปนกับประชาชนผู้มารับวัคซีนที่จะใช้บริการ ประตู 2,3 และ4 และเพื่อความสะดวกประชาชนสามารถใช้อุโมงค์ทางเชื่อมระหว่างสถานีกลางบางซื่อกับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (MRT) 

ซึ่งขณะนี้พร้อมเปิดให้บริการแล้ว ทั้งนี้ รถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงที่กำลังจะเปิดทดลองให้บริการนี้แบ่งเป็น 2 เส้นทาง ได้แก่ สีแดงเข้ม ช่วงบางซื่อ-รังสิตระยะทาง 26 กม. มี 10 สถานี ได้แก่ สถานีกลางบางซื่อ,สถานีจตุจักร, สถานีวัดเสมียนนารี,สถานีบางเขน, สถานีทุ่งสองห้อง, สถานีหลักสี่, สถานีการเคหะ, สถานีดอนเมือง, สถานีหลักหก และสถานีรังสิต ใช้เวลาเดินทาง 25 นาที และสีแดงอ่อน ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ระยะทาง 15 กม. มี 3 สถานี ได้แก่ สถานีบางซ่อน, สถานีบางบำหรุ และสถานีตลิ่งชัน ใช้เวลาเดินทาง 15 นาที ซึ่งทั้ง 2 เส้นทางยังมีส่วนต่อขยายอีกในอนาคต 

“รัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มุ่งมั่นที่จะผลักดันให้การขนส่งทางรางให้เป็นระบบการขนส่งหลักของประเทศ โดยในช่วง 7 ปีที่ผ่านมาได้ลงทุนไปแล้วรวมกว่า 1.5 ล้านล้านบาท  ทั้งโครงข่ายรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลและพัฒนาสถานีกลางบางซื่อ รถไฟทางคู่และทางสายใหม่ และรถไฟความเร็วสูง  เฉพาะโครงข่ายรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ได้เปิดบริการเพิ่มเป็น 9 เส้นทาง รวม 170.38 กม. จากก่อนปี 2557 ให้บริการอยู่ 4 เส้นทาง 85 กม. อยู่ระหว่างก่อสร้าง 6 เส้นทางรวม 131.76 กม. ซึ่งจะทยอยเปิดให้บริการประชาชนปีละ 30-40 กม.ในช่วงปี 2565-67 และ อยู่ระหว่างก่อสร้าง การประกวดราคา และศึกษาการลงทุนร่วมระหว่างรัฐและเอกชน(พีพีพี)อีกหลายเส้นทาง” น.ส.ไตรศุลี กล่าว 

BizMAX THE TOPIC จับประเด็น เน้นความรู้ EP.3/4 ตอน คำถามโลกแตก!! ‘คุณ’ ยังรักการอ่านอยู่ไหม?

BizMAX THE TOPIC จับประเด็น เน้นความรู้  EP.3/4 ตอน คำถามโลกแตก!! ‘คุณ’ ยังรักการอ่านอยู่ไหม? 

พบกับ ‘ช้างน้อย กุญชร ณ อยุธยา’ 
กรรมการผู้จัดการ บริษัท Cloud and Ground จำกัด 
ผู้ร่วมก่อตั้งสื่อน้ำดีที่ชื่อ ‘THE Cloud’

ดำเนินรายการโดย หยก THE STATES TIMES 

.

.


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
- ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
- รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
- สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
- แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

นายจ้าง ลูกจ้าง ม.33 พื้นที่ 10 จังหวัด 9 กิจการ เฮ!! สปส. โอนเงินเข้าพร้อมเพย์ 4 ส.ค.นี้

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงความคืบหน้ากรณีการจ่ายเงินเยียวยากลุ่มแรงงานและผู้ประกอบการตามมาตรการบรรเทาผลกระทบโควิด-19 ที่อยู่ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 10 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร นราธิวาส ปัตตานี ยะลา สงขลา ใน 9 ประเภทกิจการ ได้แก่ กิจการก่อสร้าง กิจการที่พักแรมบริการด้านอาหาร กิจกรรมศิลปะ ความบันเทิงและนันทนาการ กิจกรรมบริการด้านอื่นๆ สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า สาขาขายส่งและการขายปลีก การซ่อมยานยนต์ สาขากิจกรรมการบริหารและบริการสนับสนุน สาขากิจกรรมวิชาชีพ วิทยาศาสตร์และกิจกรรมทางวิชาการ สาขาข้อมูลข่าวสาร และการสื่อสาร นั้นว่า
          
ท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีความห่วงใยพี่น้องผู้ใช้แรงงาน
และผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงได้สั่งการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานเร่งรัดขยับเวลาการจ่ายเงินเยียวยาให้กับผู้ประกันตนไม่ให้เกินวันที่
6 สิงหาคม โดยจะเริ่มทยอยจ่ายตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคมนี้ ที่ต้องทำเช่นนี้เพราะระบบการโอนผ่านพร้อมเพย์สามารถดำเนินการได้วันละ 1 ล้านบัญชีเท่านั้น โดยผู้ประกันตนที่มีสิทธิได้รับเงินเยียวยามีจำนวน 2.87 ล้านคน จะต้องใช้เวลาถึง 3 วันจึงได้สามารถโอนได้ครบภายในกำหนดเวลาวันที่ 6 สิงหาคม ตามเจตนารมณ์
ของนายกรัฐมนตรี และจะทยอยโอนครั้งต่อไปให้กับนายจ้าง และผู้ประกันตนมาตรา 33 ทุก ๆ วันศุกร์ จนถึงวันที่ 29 ตุลาคม 2564
          
ด้าน นางสาวลัดดา แซ่ลี้ รองโฆษกสำนักงานประกันสังคม กล่าวว่า วิธีการจ่ายเงินเยียวยาสำหรับผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ได้รับเยียวยาจากรัฐบาลคนละ 2,500 บาท จะโอนผ่านบัญชีพร้อมเพย์ เลขประจำตัวประชาชนเท่านั้น ส่วนนายจ้างจะได้รับการเยียวยา จากรัฐบาล ตามจำนวนลูกจ้าง หัวละ 3,000 บาท สูงสุดลูกจ้างไม่เกิน 200 คน โดยนายจ้างบุคคลธรรมดา จะโอนเงินผ่านบัญชีพร้อมเพย์ เลขประจำตัวประชาชนเช่นกัน และนายจ้างสถานะนิติบุคคล จะโอนเข้าบัญชีธนาคารตามที่แจ้งไว้กับสำนักงานประกันสังคม
          
รองโฆษกสำนักงานประกันสังคม กล่าวในตอนท้ายว่า สำหรับผู้ประกันตนมาตรา 33 และนายจ้างที่อยู่ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด 3 จังหวัดที่เหลือ ได้แก่ ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และพระนครศรีอยุธยา นั้น สำนักงานประกันสังคมจะประชาสัมพันธ์วันจ่ายเงินให้ทราบในภายหลัง สอบถามเพิ่มเติมได้ที่สายด่วน 1506 ตลอด 24 ชั่วโมง

รมช.มนัญญา ปล่อยขบวนกระจายผลไม้ภาคใต้ บรรเทาความเดือดร้อนสมาชิกสหกรณ์ฯ รถขนส่งสินค้าชุมนุมสหกรณ์ฯ ร่วมฝ่าวิกฤติโควิด-19 ส่งตรงถึงมือผู้บริโภค

นางสาวมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานพิธีเปิดการกระจายผลไม้ภาคใต้เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของสมาชิกสหกรณ์ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด - 19 ) พร้อมด้วย นางสาวปารีณา ซักเซ็ค คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยมี นายวิศิษฐ์ ศรีสุวรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ นายศิริชัย ออสุวรรณ ประธานกรรมการดำเนินการชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทยให้การต้อนรับ โดยกิจกรรมดังกล่าวมุ่งเน้นในการช่วยลดปัญหาราคาผลไม้ตกต่ำ พร้อมมอบนโยบายการกระจายผลไม้เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของสมาชิกสหกรณ์ ผ่านระบบ Zoom Meeting และได้ถ่ายทอดสัญญาณไปยังสหกรณ์ผลไม้และสหกรณ์ผู้จำหน่ายข้าวสารในจังหวัดต่าง ๆ โอกาสนี้ รมช.เกษตรฯ ได้ปล่อยขบวนรถเปิดการกระจายผลไม้จากภาคใต้สู่ผู้บริโภค โดยมีรถแท็กซี่และรถขนส่งสินค้าของชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด เข้าร่วมเพื่อกระจายผลไม้ไปสู่ผู้บริโภค ณ ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย (ชสท.) เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 

รมช.มนัญญา กล่าวว่า “จากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงของผลไม้ ให้การกระจายผลผลิตที่ได้รับผลกระทบทั้งด้านการส่งออกไปต่างประเทศและการจำหน่ายภายในประเทศ และในวันนี้ สำหรับการกระจายผลผลิตเงาะจากภาคใต้ในวันนี้ เป็นอีกหนึ่งแนวทางในการช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของเกษตรกรผู้ผลิตผลไม้ของภาคใต้ ซึ่งใช้ขบวนการสหกรณ์ เป็นกลไกในการกระจายเงาะ จากเกษตรกรและสมาชิกสหกรณ์ชาวสวนผลไม้ ที่ได้รับความเดือดร้อนจากกการหยุดรับซื้อผลผลิตของพ่อค้าในพื้นที่ไปสู่ผู้บริโภครายย่อย ส่งถึงมือผู้บริโภคโดยตรง ซึ่งจะกระจายผลผลิตโดยมีชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด เป็นศูนย์กลางในการจำหน่ายผลไม้สหกรณ์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งเงาะที่นำมาจำหน่ายครั้งนี้ ส่งตรงมาจากสหกรณ์การเกษตรเมืองสุราษฎร์ธานี จำกัด จังหวัดสุราษฎร์ธานี และยังมีรถแท็กซี่สหกรณ์ ซึ่งได้รับผลกระทบจากการขาดรายได้ในช่วงสถานการณ์โควิด มาร่วมเป็นรถขนส่งผลไม้จากชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด ไปยังผู้บริโภคในเขตกรุงเทพฯ ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะกระจายผลผลิตมังคุด และลำไยต่อไปอีกด้วย

โดยการดำเนินงานกระจายผลผลิตดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจในขบวนการสหกรณ์ ที่เป็นองค์กรหลักในการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาของสมาชิกสหกรณ์  เมื่อสมาชิกสหกรณ์และเกษตรกรส่วนหนึ่งได้รับความเดือดร้อน ขบวนการสหกรณ์ก็เร่งหาแนวทางในการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับสมาชิก ซึ่งอาศัยความร่วมมือกันของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะเครือข่ายของสหกรณ์ด้วยกัน อย่างไรก็ตามต้องให้ความสำคัญเรื่องมาตรการในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด – 19) และคุณภาพของผลผลิตทุกชนิดของสหกรณ์ เพื่อให้ผู้บริโภคเกิดความเชื่อมั่น และเพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์การค้าในปัจจุบัน สหกรณ์ต้องเรียนรู้ด้านการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เพื่อตอบสนองต่อผู้บริโภคได้ทุกช่องทาง  รวมถึงกระบวนการโลจิสติกส์ซึ่งสำคัญอย่างมาก ต้องจัดส่งรวดเร็วให้ถึงมือผู้บริโภค เพื่อความสดใหม่เสมือนรับประทานในสวนผลไม้  หากขบวนการสหกรณ์ทำได้เช่นนี้ เชื่อมั่นว่าผลผลิตของสหกรณ์จะสามารถจำหน่ายได้จำนวนมาก ทั้งนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกรมส่งเสริมสหกรณ์พร้อมจะให้ความช่วยเหลือ และเชื่อมั่นว่าขบวนการสหกรณ์ จะเป็นขบวนการที่สำคัญที่จะร่วมมือกันพัฒนาด้านคุณภาพ ทั้งการผลิตและการตลาดได้ในอนาคต และมั่นใจว่าพลังของเครือข่ายในขบวนการสหกรณ์ จะเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ในการร่วมกันแก้ไขปัญหา และพัฒนาสหกรณ์และกลุ่มเกษตรกร ส่งผลถึงการอยู่ดีกินดีของสมาชิกเกษตรกรไทยต่อไป”

ข่าวดีผู้สูงอายุ!  “จุรินทร์” ให้คืนเบี้ยยังชีพซ้ำซ้อน จ่ายเงินช่วยตามบัตรสวัสดิการแห่งรัฐให้ผู้สูงอายุ 4.7 ล้านคน ขยายโครงการพักหนี้คนแก่อีก 6 เดือนถึง มีค.65

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) ซึ่งมีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ได้มีการหารือเรื่องการดูแลผู้สูงอายุภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันและการขับเคลื่อนสังคมผู้สูงอายุไทย โดยมีมติดังนี้

1.เห็นชอบแนวทางการจ่ายเงินสงเคราะห์เพื่อการยังชีพแก่ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยที่ได้รับสิทธิจากโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยเป็นการจ่ายย้อนหลังให้แก่ผู้มีสิทธิ์จำนวน 4.7 ล้านคน รายละเอียดคือ 
-ปีงบประมาณ 2563 จ่ายเงินสงเคราะห์ตั้งแต่เดือน มิ.ย.-ก.ย. อัตรา 100บาท/เดือน สำหรับผู้สูงอายุที่มีรายได้ไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี และอัตรา50บาท/เดือน สำหรับผู้สูงอายุที่มีรายได้มากกว่า 30,000 บาทต่อปี แต่ไม่เกิน 1แสนบาทต่อปี
-ปีงบประมาณ 2564 เป็นอัตราเช่นเดียวกับปีก่อน จ่ายเดือนเว้นเดือน (6งวด) เริ่มตั้งแต่ตุลาคม 2563

2.เรื่องการรับเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุซ้ำซ้อนกับสวัสดิการอื่นที่เคยเป็นประเด็นก่อนหน้า ที่ประชุมมีมติตามคำวินิจฉัยของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา คือ 1) คืนเงินที่เรียกเก็บจากผู้สูงอายุที่รับเงินซ้ำซ้อนกับสวัสดิการอื่น ซึ่งมีจำนวนประมาณ 1.5 หมื่นราย และมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยและกระทรวงการคลังหาแนวทางดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งเดือน หลังครม.พิจารณาเห็นชอบมติดังกล่าว   2) ถอนฟ้องหรือระงับการบังคับคดีในกรณีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้มีการดำเนินคดีเรียกคืนเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุไปแล้ว และ 3) แต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำหนดนโยบายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิด้านต่างๆเพื่อศึกษาแนวทางการกำหนดนโยบายและหลักเกณฑ์ในการจ่ายเบี้ยยังชีพฯแบบใหม่ให้มีประสิทธิภาพและครอบคลุมทุกมิติ

3)เห็นชอบขยายเวลาการพักชำระหนี้ของลูกหนี้กองทุนผู้สูงอายุ ต่อไปอีก 6 เดือน จากที่จะหมดเวลาในเดือน 30 ก.ย.ปีนี้  ไปจนถึง 31 มี.ค. 2565

4)เห็นชอบแผนปฏิบัติการด้านผู้สูงอายุ ระยะที่3 (พ.ศ. 2566-2580) พร้อมรับสังคมสูงวัยแบบสมบูรณ์ ซึ่งประกอบแผนฯย่อย 1) เตรียมความพร้อมของประชากรก่อนวัยสูงอายุ 2) ยกระดับคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุทุกมิติอย่างทั่วถึงและเป็นธรรม 3) ปฏิรูปและบูรณาการระบบบริหารเพื่อรองรับสูงวัยอย่างมีคุณภาพ 4) เพิ่มศักยภาพการวิจัยการพัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมรองรับสังคมสูงวัย

ทั้งนี้ นายจุรินทร์ยังได้กล่าวว่า คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติมีความห่วงใยและขอเป็นกำลังใจให้แก่ผู้สูงอายุในช่วงสถานการณ์โควิด-19 และจะกำชับให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาการแพร่ระบาดของโรคฯ ให้การดูแลผู้สูงอายุเป็นกรณีพิเศษ

"พิพัฒน์" ชะลอเที่ยวภูเก็ตแซนด์บ๊อกซ์ เชื่อม 3 จังหวัด 

นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ได้รับทราบรายงานการติดเชื้อรายใหม่ที่เกาะสมุย เกาะพะงัน และเกาะเต่า ในช่วง 2 วันมานี้ ซึ่งมีจำนวนผู้ติดเชื้อรวมกันมากถึง 61 ราย ซึ่งอาจกระทบต่อการทำโครงการสมุยพลัสโมเดล ล่าสุดหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังหารือแนวทางการควบคุมสถานการณ์ โดยจะดูตัวเลขในวันพรุ่งนี้อีกครั้งว่าจะกระเพื่อมขึ้นอีกหรือไม่ หากพบว่ามีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นอีก ก็ต้องออกมาตรการมาควบคุมเข้มข้นขึ้นหรือชะลอโครงการไปก่อน แต่ที่แน่ ๆ ตอนนี้ที่ชะลอไปแน่นอนแล้วคือ การเปิดสมุยพลัสเชื่อมโยงกับภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ในรูปแบบ 7+7 คืออยู่ในภูเก็ต 7 วันก่อนถึงจะเดินทางมาสมุยได้ เพราะต้องประเมินสถานการณ์ให้แน่ใจอีกครั้ง 

ส่วนการประเมินภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์นั้น ขณะนี้ทุกหน่วยงานได้ติดตามสถานการณ์แบบใกล้ชิดตลอด และตนเองก็อยู่ในพื้นที่ด้วย ทำให้สามารถประเมินสถานการณ์ได้ในทันที ซึ่งล่าสุดทางผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตก็ได้เพิ่มมาตรการการควบคุมโรคที่เข้มข้นขึ้นแล้ว เช่นเดียวกับการเปิดพื้นที่ภูเก็ตเชื่อมกับเชื่อมโยงจังหวัดกระบี่ (เกาะพีพี เกาะไหง และไร่เล) และจังหวัดพังงา (เขาหลัก เกาะยาวน้อย และเกาะยาวใหญ่) ซึ่งเดิมกำหนดจะเริ่ม 1 ส.ค.นี้ ก็ต้องชะลอเอาไว้เช่นกัน

“ตอนนี้ก็ได้ขอให้ทางจังหวัดภูเก็ตแสดงรายละเอียดของผู้ติดเชื้อ โดยแยกออกมาเป็นกลุ่ม ๆ เพื่อให้เห็นว่า มาจากไหนบ้าง เพราะส่วนใหญ่จะเป็นผู้ป่วยในระบบจากสถานที่กักตัว AQ มากที่สุด โดยเมื่อวันที่ 28 ก.ค. พบติดเชื้อใหม่ 27 ราย แยกเป็น AQ มากถึง 21 ราย ที่เหลือคือ ติดเชื้อจากต่างจังหวัด 1 ราย รอสอบสวนโรค 2 ราย และรับกลับบ้าน 3 ราย ขณะที่การคัดกรองพบผู้ติดเชื้อจากนักท่องเที่ยวต่างประเทศ พบ 1 ราย เป็นการยืนยันผลที่สนามบิน ซึ่งนักท่องเที่ยวก็รอผลตรวจภายในห้องพัก และไม่มีความเสี่ยง ซึ่งตัวเลขเหล่านี้ต้องแยกออกมาให้เห็นชัด ๆ และเรื่องนี้ นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายมาให้ดูเรื่องนี้ให้ดี และหาทางประชาสัมพันธ์รายละเอียดออกมาให้ชัดเจนเพื่อไม่ให้เกิดการเข้าใจผิดด้วย” 

รมว.แรงงาน ปลื้มผลงาน 2 สถานประกอบกิจการจังหวัดระยองคว้ารางวัลดีเด่นด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยของอาเซียน 

รมว.แรงงาน แสดงความยินดีกับบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และบริษัท นวอินเตอร์เทค จำกัด สถานประกอบกิจการในจังหวัดระยอง คว้ารางวัลสถานประกอบกิจการดีเด่นด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยของอาเซียน ครั้งที่ 3 พร้อมเน้นย้ำแรงงานไทยต้องทำงานบนพื้นฐานของความปลอดภัยเทียบเท่าระดับสากล

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า กระทรวงแรงงาน ภายใต้การนำของรัฐบาลพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ได้ให้ความสำคัญในเรื่องการส่งเสริมวัฒนธรรมความปลอดภัยในการทำงาน เพื่อให้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความปลอดภัยตามนโยบาย Safety Thailand ที่มีกลไกการขับเคลื่อนภารกิจด้านความปลอดภัยในการทำงานอย่างเป็นรูปธรรม รวมถึงการดูแลสวัสดิภาพของแรงงานให้ได้รับการคุ้มครองด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมในการทำงานเทียบเท่าระดับมาตรฐานสากล มีการตรวจและบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด รวมถึงการรณรงค์ปลูกจิตสำนึกด้านความปลอดภัยมาอย่างต่อเนื่อง

ซึ่งได้มอบหมายให้กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานทำหน้าที่ขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าว สำหรับการจัดการประชุมวิชาการเครือข่ายความปลอดภัยและอาชีวอนามัยของอาเซียน ครั้งที่ 7 และพิธีมอบรางวัลสถานประกอบกิจการดีเด่นด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยของอาเซียน ครั้งที่ 3 เป็นกิจกรรมที่ประเทศสมาชิกอาเซียนมุ่งส่งเสริมองค์ความรู้ในการพัฒนาสภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยและมีสุขภาพดีให้กับแรงงาน ผ่านการบูรการเครือข่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยในปีนี้ประเทศไทยมีสถานประกอบกิจการที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้ารับรางวัลดังกล่าวจำนวน 2 แห่ง ได้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) โรงแยกก๊าซธรรมชาติ จังหวัดระยอง ได้รับรางวัลสถานประกอบกิจการต้นแบบดีเด่นที่มีการดำเนินงานด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยที่ยอดเยี่ยมของอาเซียน (Excellence Award) และบริษัท นวอินเตอร์เทค จำกัด จังหวัดระยอง ได้รับรางวัลสถานประกอบกิจการ SMEs ที่มีการปฏิบัติที่ดีด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยของอาเซียน (Best Practice Award)  ซึ่งกระทรวงแรงงานขอแสดงความยินดีและขอชื่นชมสถานประกอบกิจการทั้งสองแห่งที่เป็นตัวอย่างที่ดีในการดำเนินการด้านความปลอดภัยให้กับสถานประกอบกิจการอื่นๆ ในประเทศต่อไป

นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า พิธีมอบรางวัลสถานประกอบกิจการดีเด่นด้านความปลอดภัยฯ ได้จัดขึ้นผ่านระบบวีดิทัศน์ทางไกล โดยสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม ที่ผ่านมา ซึ่ง 2 รางวัล ที่ประเทศไทยได้รับ เป็นรางวัลที่มอบให้กับสถานประกอบกิจการที่มีระบบบริหารและการจัดการด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัยที่ยอดเยี่ยม อย่างไรก็ตามกรมจะมุ่งมั่นส่งเสริมและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เพื่อการพัฒนาการบริหารจัดการด้านความปลอดภัยในการทำงาน ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ของเทคโนโลยีในปัจจุบัน ตลอดจนทบทวนปัญหาความไม่ปลอดภัยในการทำงาน และสร้างความร่วมมือในการดำเนินงาน เพื่อไปสู่เป้าหมายของการสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในการทำงานให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืนต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top