Wednesday, 2 July 2025
ECONBIZ

"ประวิตร" ลั่น ไม่ทอดทิ้งแรงงานได้รับผลกระทบโควิด กำชับ ก.แรงงาน เร่งเยียวยาผู้ประกันตนทุกกลุ่ม-จัดระเบียบแรงงานต่างด้าว-ป้องกันค้ามนุษย์

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมติดตามผลการดำเนินงานในรอบ 1 ปี ของกระทรวงแรงงาน ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ ร่วมกับแรงงาน 76จังหวัด สำนักงานแรงงานใน ต่างประเทศ โดยก่อนประชุม นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน นำ นายวิฑูรย์ แนวพานิช นายกสมาคมการค้าแท็กซี่ไทย นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย และนางญาดา พรเพชรรัมภา นายกชมรมหาบเร่แผงลอย กทม. เข้าพบเพื่อขอบคุณและมอบของที่ระลึกแก่พล.อ.ประวิตร ที่ช่วยเหลือ เยียวยาแรงงานทั้ง 3 กลุ่ม ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 

จากนั้นพล.อ.ประวิตร รับฟังรับฟังการรายงานผลงานของ ก.แรงงานในรอบ 1 ปี มีผลงานสำคัญ อาทิ ยกระดับทักษะฝีมือแรงงานให้เป็นแรงงานคุณภาพ ผ่านการอบรมแล้ว 110,110 คน มีงานทำแล้วคิดเป็น ร้อยละ 69.79 มีรายได้เฉลี่ย 14,152 บาทต่อเดือน การส่งเสริมการมีงานทำสามารถบรรจุงานได้ 1,313,591 คน ก่อให้เกิดรายได้ 75,728 ล้านบาทเศษ การคุ้มครองและแก้ไขปัญหาแรงงานถูกเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ให้ลูกจ้าง 16,000 คน วงเงิน 850 ล้านบาท การเพิ่มประสิทธิภาพ การบังคับใช้กม.โดยมีการตรวจสถานประกอบกิจการ เพื่อป้องกันการค้ามนุษย์ 1,211 แห่ง  และเยียวยาแรงงาน ผู้ประกันตน ลดเงินสมทบกว่า 12 ล้านคน นายจ้างกว่า 480,000คน เยียวยาเหตุสุดวิสัย 50% ให้ผู้ประกันตน 198,432 คน โครงการ ม.33 เรารักกัน 8,140,000 คน รวมทั้งการเยียวยาในพื้นที่สีแดงเข้ม 29 จังหวัด ในการตรวจเชิงรุก และการรักษาโควิด-19 อย่างทั่วถึง เป็นต้น

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ขอชื่ชมการทำการของรัฐมนตรี ผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่ของ ก.แรงงานทุกคน ที่ขับเคลื่อนนโยบายของรัฐบาล ในการช่วยเหลือผู้ใช้แรงงานอย่างรวดเร็ว ทั่วถึงและเป็นธรรม มีผลงานเชิงประจักษ์ และขอให้กระทรวงแรงงาน เร่งช่วยเหลือทั้งนายจ้าง และผู้ประกันตน ม.33 ,39 และ 40 ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ที่รอการช่วยเหลือให้ครบถ้วนและทั่วถึง รวมทั้งจัดระเบียบแรงงานต่างด้าว และเน้นย้ำป้องกันการค้ามนุษย์โดยมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ไม่ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ เข้าไปยุ่งเกี่ยวโดยเด็ดขาด

สสว. จับมือ SME D Bank เตรียมปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ย 1% ต่อปี เปิดยื่นกู้มาก่อน มิสิทธิ์ก่อน มุ่งช่วยเอสเอ็มอีท่องเที่ยว ร้านอาหาร พื้นที่ จว.เปิดการท่องเที่ยว กับควบคุมสูงสุดและเข้มงวด

สสว. จับมือ SME D Bank เตรียมปล่อยกู้ “โครงการสนับสนุน SMEs รายย่อย” วงเงิน 1,200 ล้านบาท  ดอกเบี้ย 1% ต่อปี ตอบสนองนโยบายรัฐบาล ช่วยเหลือเอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งทุน กลุ่มท่องเที่ยว, ธุรกิจโรงแรม, ห้องพัก, เกสต์เฮ้าส์ และสปา ใน 10 จังหวัดนำร่องเปิดการท่องเที่ยว 

รวมถึง ธุรกิจภัตตาคาร และร้านอาหาร ใน 29 จังหวัดพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด ชูพิจารณาสอดคล้องตามสถานการณ์จริง จากฐานการเสียภาษีปี 62 หรือ 63 ที่ผ่านมา วงเงินกู้ บุคคลธรรมดาสูงสุด 3 แสนบาท นิติบุคคลสูงสุด 5 แสนบาท กำหนดเปิดแจ้งความประสงค์ผ่านออนไลน์ ในรูปแบบมาก่อนมีสิทธิ์ก่อน

จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตลอดจนมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ของทางการ ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอย่างรุนแรง โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรม ห้องพัก เกสต์เฮ้าส์ สปา ภัตตาคาร และร้านอาหาร ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงและต่อเนื่อง    สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) จึงมอบหมายให้ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เป็นหน่วยร่วมดำเนินโครงการสนับสนุน SMEs รายย่อย อนุมัติสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ วงเงินรวม 1,200 ล้านบาท เพื่อให้เอสเอ็มอีในกลุ่มธุรกิจดังกล่าว นำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน เสริมสภาพคล่อง ลงทุน ขยายกิจกรรม ปรับปรุง ซ่อมแซม  ยกระดับมาตรฐานการให้บริการ โดยคิดอัตราดอกเบี้ยเพียง 1% ต่อปี ผ่อนนานสูงสุด 7 ปี ปลอดชำระคืนเงินต้นสูงสุดไม่เกิน 1 ปี หลักประกัน กรณีบุคคลธรรมดา ใช้บุคคลที่น่าเชื่อถือค้ำประกัน ส่วนกรณีนิติบุคคล ใช้กรรมการผู้มีอำนาจแทนนิติบุคคลค้ำประกัน 

โครงการสนับสนุน SMEs รายย่อย ดำเนินการสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่ต้องการให้เอสเอ็มอี โดยเฉพาะที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เข้าถึงสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำพิเศษได้สะดวก เหมาะสมกับสถานการณ์เร่งด่วน ดังนั้น ได้ปรับปรุงกระบวนการ โดยใช้เกณฑ์พิจารณาจากหลักฐานการเสียภาษีในปี 2563 หรือ 2562 ที่ผ่านมา ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีกลุ่มเป้าหมายเข้าถึงแหล่งทุนได้ง่ายขึ้น 

สำหรับคุณสมบัติของผู้ยื่นกู้ในโครงการนี้ ต้องเป็นสมาชิก สสว. กรณียังไม่ได้ขึ้นทะเบียนกับ สสว. สามารถขอขึ้นทะเบียนก่อนได้ (http://members.sme.go.th/newportal/) โดยต้องเป็นผู้ประกอบการเอสเอ็มอีกลุ่มรายย่อย (Micro) และขนาดย่อม (Small) ตามนิยามของ สสว. อยู่ในกลุ่มธุรกิจโรงแรม ห้องพัก เกสต์เฮ้าส์ และธุรกิจสปาที่ตั้งอยู่ในโรงแรม ห้องพัก เกสต์เฮาส์ ใน 10 จังหวัด พื้นที่นำร่องเปิดการท่องเที่ยว ประกอบด้วย 1.) ภูเก็ต 2.) กระบี่  3.) พังงา 4.) สุราษฎร์ธานี 5.) เชียงใหม่ 6.) ชลบุรี 7.) เพชรบุรี 8.) ประจวบคีรีขันธ์ 9.) บุรีรัมย์ และ 10.) กรุงเทพมหานคร 

หรือที่จะมีประกาศเพิ่มเติม รวมถึง กลุ่มธุรกิจภัตตาคาร ร้านอาหาร ใน 29 จังหวัด พื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด  ตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ฉบับล่าสุด ประกอบด้วย  1.) กรุงเทพมหานคร 2.) กาญจนบุรี 3.) ชลบุรี  4.) ฉะเชิงเทรา 5.) ตาก 6.) นครปฐม 7.) นครนายก 8.) นครราชสีมา 9.) นราธิวาส 10.) นนทบุรี 11.) ปทุมธานี 12.) ประจวบคีรีขันธ์ 13.) ปราจีนบุรี  14.) พระนครศรีอยุธยา 15.) เพชรบุรี 16.) ปัตตานี 17.) เพชรบูรณ์ 18.) ยะลา 19.) ระยอง 20.) ราชบุรี  21.) ลพบุรี 22.) สงขลา 23.)สิงห์บุรี 24.)สมุทรปราการ 25.) สมุทรสงคราม 26.) สมุทรสาคร 27.) สระบุรี 28.) สุพรรณบุรี และ 29.) อ่างทอง หรือที่จะมีประกาศเพิ่มเติม     

อีกทั้ง ต้องไม่เคยได้รับความช่วยเหลือเงินทุนในโครงการพลิกฟื้นฯ โครงการฟื้นฟูฯ หรือกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ รวมถึง ต้องไม่เป็นหนี้ NPLs ไม่ถูกดำเนินคดี และไม่เป็นบุคคลล้มละลาย    

สำหรับ วงเงินกู้ สำหรับบุคคลธรรมดา พิจารณาจากการชำระภาษี ภ.ง.ด.90 ในปี 2562 หรือ 2563 ที่สูงกว่า และความเป็นเจ้าของสถานประกอบการ สูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท หากจำนวนเงินที่ชำระภาษี 0-10,000 บาท วงเงินกู้สูงสุด 100,000 บาท, จำนวนเงินที่ชำระภาษี 10,001-20,000 บาท วงเงินกู้สูงสุด 200,000 บาท และจำนวนเงินที่ชำระภาษีมากกว่า 20,000 บาทขึ้นไป วงเงินกู้สูงสุด 300,000 บาท กรณีมีสถานประกอบการเป็นของตัวเองหรือบุคคลในครอบครัว ให้วงเงินเพิ่มอีกลำดับละ 50,000 บาท แต่รวมแล้วสูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท สำหรับนิติบุคคล ไม่เกินร้อยละ 50 ของค่าใช้จ่ายในงบการเงินปี 2562 หรือ 2563 ที่สูงกว่า สูงสุดไม่เกิน 500,000 บาท  

ผู้ประกอบการที่สนใจสามารถแจ้งความประสงค์ยื่นกู้ได้แล้ว ผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ ของ SME D Bank ได้แก่ สแกน QR Code ในโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์ หรือคลิก https://qrgo.page.link/VF6Ka รวมถึง เว็บไซต์ของ SME D Bank (https://www.smebank.co.th/), Line OA : SME Development Bank และแอปพลิเคชัน : SME D Bank โดยใช้เกณฑ์มาก่อนได้ก่อน (first come first serve) และจะปิดแจ้งความประสงค์ยื่นกู้เมื่อเต็มวงเงิน  

ดังนั้นเชิญชวนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีกลุ่มเป้าหมายที่สนใจ  รีบแจ้งความประสงค์โดยเร็ว สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1357


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“กระทรวงยุติธรรม” ผุดโครงการ “ฟ้าทะลายโจร ปลูกเดือนแม่ เก็บเกี่ยวเดือนพ่อ”  สั่ง ป.ป.ส. นำร่องหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน 1,000 แห่ง ปลูกฟ้าทะลายโจร สู้โควิด 19 เป้าหมาย 12 ล้านต้น เฉลิมพระเกียรติเนื่องในวันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม และเพื่อช่วยประชาชนที่ต้อ

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม เป็นประธานการประชุมหารือนำหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน จัดโครงการส่งเสริมปลูกฟ้าทะลายโจร สู้โควิด-19 เพื่อเฉลิมพระเกียรติ ในวันแม่แห่งชาติ 12 สิงหาคม ประจำปี 2564 ผ่านระบบ webex meeting โดยมี นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการ ป.ป.ส. ผู้อำนวยการ กอง/สำนัก ปปส.ภาค 1-9 และปปส.กทม. เข้าร่วม

โดย นายสมศักดิ์ กล่าวถึงที่มาของโครงการปลูกฟ้าทะลายโจรนี้ว่า  เพื่อเป็นการสืบสานพระราชปณิธานและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงก่อตั้งหมู่บ้านกองทุนของแผ่นดิน ประกอบกับ เดือนสิงหาคม ซึ่งตรงกับวันแม่แห่งชาติ (12 สิงหาคม) และการจัดกิจกรรมกองทุนแม่ของแผ่นดินที่ได้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี แต่ในปี 2564 นี้ ไม่สามารถดำเนินการจัดกิจกรรมได้ เนื่องจากสถานการณ์โควิด -19 จึงเห็นว่ากิจกรรมการปลูกฟ้าทะลายโจร น่าจะเป็นประโยชน์แก่หมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน และประชาชนคนไทย ที่จะมีพืชสมุนไพรฟ้าทะลายโจร เอาไว้ใช้รักษา ภายใต้แนวคิด “ฟ้าทะลายโจร ปลูกเดือนแม่ เก็บเกี่ยวเดือนพ่อ” 

ขณะที่ เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า แนวทางของการจัดโครงการนั้น สำนักงาน ป.ป.ส. ได้กำหนดเป้าหมายของการปลูกฟ้าทะลายโจรให้ได้ 12 ล้านต้น โดยหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดินที่มีศักยภาพ ซึ่งปัจจุบัน มีหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน 24,455 หมู่บ้าน ในการปลูกนำร่องนี้ จะเริ่มจากหมู่บ้านที่มีความพร้อมก่อน จำนวน 1,000 แห่ง โดยจะเริ่มปลูกภายในเดือนสิงหาคมนี้ และคาดว่า จะสามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตหรือนำมาผลิตแปรรูปเป็นเม็ดยาได้ในเดือนธันวาคม (5 ธันวาคม วันพ่อแห่งชาติ) 

เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวอีกว่า โครงการดังกล่าวเป็นนโยบายของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ที่ได้มอบหมายให้ สำนักงาน ป.ป.ส. ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน โดยนำเอาเครื่องผลิตเม็ดยาบ้า มาใช้ให้เกิดประโยชน์ ด้วยการช่วยผลิตฟ้าทะลายโจรอัดเม็ด โดยผลผลิตที่ได้จากหมู่บ้านกองทุนแม่ของแผ่นดิน ชุมชนสามารถบริหารจัดการเองได้ โดยอาจผลิตในรูปแบบเม็ด หรือ ยาลูกกลอนพื้นบ้าน หรือหากต้องการให้ สำนักงาน ป.ป.ส. ดำเนินการอัดเป็นเม็ดให้ ก็สามารถทำได้ ซึ่งส่วนหนึ่งของผลผลิต สำนักงาน ป.ป.ส. จะขอรับบริจาค เพื่อนำไปช่วยเหลือให้กับพี่น้องประชาชนที่มีความจำเป็นต้องการใช้เพื่อรักษาโควิด-19 ต่อไป

ธปท.แนะนำรัฐกู้เงินเพิ่มอีก 1 ล้านล้านบาท ย้ำ ต้องมีแบบแผนให้เหมาะกับอาการเศรษฐกิจ-การคลังของไทย

นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า สถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยหดตัวรุนแรง และมีผลชัดเจน 4 อาการ ได้แก่...

1.) หลุมรายได้ขนาดใหญ่ในระบบเศรษฐกิจ โดยพบว่า ในช่วงปี 2563-2564 รายได้จากการจ้างงานหายไปถึง 1.8 ล้านล้านบาท ขณะที่ปี 2565 คาดว่ารายได้จากการจ้างงานจะหายไปอีก 8 แสนล้านบาท ทำให้ตั้งแต่ปี 2563-2565 รายได้จากการจ้างงานจะหายไปรวมกว่า 2.6 ล้านล้านบาท

2.) การจ้างงานในระบบถูกกระทบรุนแรง โดยในช่วงไตรมาส 2/2564 พบว่ามีจำนวนผู้ว่างงาน หรือเสมือนว่างงาน (ผู้ที่มีงานทำไม่ถึง 4 ชั่วโมงต่อวัน) อยู่ที่ 3 ล้านคน และคาดว่าสิ้นปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 3.4 ล้านคน สูงกว่าช่วงก่อนเกิดการระบาดของโควิดถึง 3 เท่าตัว

3.) การฟื้นตัวของภาคเศรษฐกิจต่าง ๆ ไม่เท่าเทียม ส่งผลให้ความเป็นอยู่ของครัวเรือนเปราะบาง

4.) เศรษฐกิจไทยถูกกระทบจากโควิด-19 หนักกว่าและจะฟื้นตัวช้ากว่าประเทศในภูมิภาค เนื่องจากไทยพึ่งพารายได้จากภาคการท่องเที่ยวและบริการสูงสุดในเอเชีย คิดเป็น 11.5% ของจีดีพี และจากปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวทำให้คาดว่าเศรษฐกิจไทยจะต้องใช้เวลา 3 ปี จากช่วงเริ่มระบาดในการกลับสู่ระดับก่อนโควิด ขณะที่เอเชียโดยรวมจะใช้เวลาไม่ถึง 2 ปี โดยในไตรมาส 1/2564 จีดีพีของไทยอยู่ต่ำกว่าระดับก่อนโควิดที่ 4.6% ขณะที่เอเชียโดยรวมฟื้นเหนือระดับก่อนโควิดหมดแล้ว

โดย ธปท. ยังคงคาดการณ์ตัวเลขจีดีพีในปีนี้ไว้ที่ 0.7% ส่วนปัจจัยที่จะทำให้มีการปรับคาดการณ์ในจีดีพีใหม่ คือ หากมีการล็อกดาวน์ยาวถึงไตรมาส 4/2564 เพราะการใช้มาตรการล็อกดาวน์ในแต่ละเดือน มีผลกระทบต่อจีดีพีประมาณ 0.3-0.4% และมองว่ามีโอกาสน้อยที่เศรษฐกิจไทยในปีนี้จะเติบโตติดลบ แม้ว่าผลกระทบจากการระบาดของโควิดระลอกปัจจุบันจะหนัก และมากกว่าที่คาดการณ์ แต่ก็ยังเชื่อว่าเศรษฐกิจจะโตเป็นบวกได้ไม่ที่ระดับ 0.7% ตามที่คาดการณ์ก็บวกได้ในระดับใดระดับหนึ่ง เพราะยังมีตัวช่วยอย่างภาคการส่งออก

สำหรับแนวทางในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะนี้จึงต้องเหมาะสม และสมเหตุสมผลกับอาการ จากอาการของไทยที่หนัก ก็ต้องใช้ยาแรง ต้องแก้ให้ตรงจุด ตรงต้นเหตุ นั่นคือ “วัคซีน” โดยยังยืนยันเหมือนเดิมว่า หากไม่เร่งดำเนินการเรื่องวัคซีน มาตรการอื่น ๆ ที่เร่งผลักดันออกมาให้ตายก็ไม่พอ ไม่จบ เป็นแค่การซื้อเวลาเท่านั้น เรื่องวัคซีนยังเป็นตัวหลัก และหากไปดูข้อมูลการฉีดวัคซีนในปัจจุบันของประเทศไทย พบว่า สัดส่วนประชากรที่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบ 2 เข็มมีแค่ 7% ของประชากรทั้งหมด ต่ำกว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว และยังต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้านหลายประเทศด้วย ตัวนี้เป็นเครื่องสะท้อนว่าไทยในฐานะที่เป็นประเทศต้องพึ่งพาภาคการท่องเที่ยว และบริการเยอะ ยิ่งจำเป็นต้องกระจายวัคซีนให้เร็วขึ้น

ในระหว่างที่สังคมไทยยังไม่ได้รับวัคซีนมากพอ เราจะเป็นต้องใช้มาตรการด้านสาธารณสุขต่าง ๆ คุมการระบาด เพื่อไม่ให้สถานการณ์ลุกลามรุนแรงขึ้น ซึ่งมาตรการเหล่านี้มีต้นทุนด้านเศรษฐกิจสูง เพราะเป็นการจำกัดการเคลื่อนที่ของคน ซึ่งกระทบการดำเนินธุรกิจรุนแรง จึงต้องชั่งน้ำหนักระหว่างผลกระทบด้านสาธารณสุขกับเศรษฐกิจให้เหมาะสมกับบริบทประเทศ ที่สำคัญต้องเร่งรัดมาตรการตรวจ และคัดแยกผู้ติดเชื้อในครัวเรือนให้ครอบคลุม และทันการณ์ หากพบการติดเชื้อ อาจต้องใช้มาตราการควบคุม หรือล็อกดาวน์เฉพาะพื้นที่อย่างเข้มข้นในระยะเวลาจำกัดให้ได้ทันท่วงที

นอกจากนี้ ภาครัฐจะมีบทบาทในการเพิ่มรายได้ให้กับธุรกิจ และครัวเรือน ผ่านมาตรการทางการคลังซึ่งเป็นเรื่องจำเป็น ขาดไม่ได้ เพราะรายได้ครัวเรือนที่หายไปในช่วง 2 ปี จำนวน 1.8 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นเกิน 10% ของจีดีพี ยังไม่มีอะไรมาทดแทนได้ แม้ปีนี้จะประเมินว่าภาคส่งออกจะเติบโตได้ถึง 17.7% ก็ตาม แต่ก็ยังไม่เพียงพอ เพราะการจ้างงานในภาคการส่งออกไม่ได้เยอะเมื่อเทียบกับการจ้างงานในระบบ และเมื่อเทียบกับตัวเลขคนว่างานและเสมือนว่างงาน จึงเป็นเหตุผลว่าการส่งออกสามารถพยุงเศรษฐกิจได้ไม่เต็มที่นัก ขณะที่บริษัทเอกชนแม้จะมีการลงทุนเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังไม่น่าจะเพียงพอ ดังนั้นการใช้จ่ายของภาครัฐจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจจากปัญหาหลุมรายได้ที่ทั้งใหญ่ และลึก และคาดว่าจะยาวนาน

โดยการใช้จ่ายของภาครัฐจำเป็นต้องเพิ่มขึ้นอีกมาก และต้องเร่งเบิกจ่ายให้ได้มากที่สุดเพื่อเร่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะมาตรการที่ช่วยพยุงการจ้างงาน และเพิ่มรายได้ รวมถึงการใช้วงเงินกู้ตาม พ.ร.ก. กู้เงินเพิ่มเติม 5 แสนล้านบาทที่อาจนำมาใช้เยียวยากลุ่มเปราะบางให้ตรงจุด และทันการณ์ และออกมาตรการเพื่อรักษาการจ้างงาน และสร้างรายได้โดยเร็ว

นายเศรษฐพุฒิ กล่าวอีกว่า การกู้เงินเพิ่มเติมของภาครัฐก็จะช่วยให้จีดีพีกลับมาเติบโตได้ใกล้ศักยภาพเร็วขึ้น โดยกรณีที่รัฐบาลกู้เงินเพิ่มเติมอีก 1 ล้านล้านบาท คาดว่าจะทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นสูงสุดที่ประมาณ 70% ของจีดีพีในปี 2567 และจะลดลงได้ค่อนข้างเร็วตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ และความสามารถในการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลที่จะกลับมาฟื้นตัวเร็วขึ้น เนื่องจากฐานภาษีจะไม่ได้ลดลงจากแผลเป็นของเศรษฐกิจมากนัก ดังนั้นหากรัฐบาลไม่เร่งพยุงเศรษฐกิจเพิ่มเติมในภาวะที่ความไม่แน่นอนสูง เพื่อป้องกันไม่ให้วิกฤติยืดเยื้อ สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีแม้จะเพิ่มขึ้นช้า แต่จากการประมาณการคาดว่าจะทรงตัวในระดับสูง และปรับลดลงได้ไม่มากนักในระยะยาว

การกู้เพิ่มอีก 1 ล้านล้านบาท คิดเป็น 7% ของจีดีพี สมเหตุสมผลเมื่อเทียบกับปัญหาเศรษฐกิจที่กำลังเจออยู่ อีกประเด็นที่สำคัญและน่าสนใจ คือ การกู้ตอนนี้แล้วใส่เข้าไปในระบบเศรษฐกิจกลายเป็นจะทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีในอีก 10 ปีข้างหน้าต่ำกว่าเมื่อเทียบกับเราไม่กู้ เพราะการกู้ และการใส่เงินเข้าไปตอนนี้เป็นการขยายเศรษฐกิจ เพิ่มฐานภาษี และทำให้อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไปได้ ช่วยให้ภาระหนี้กลายเป็นลดลงในอนาคต

ดังนั้นภาพระยะยาวการกู้เพื่อใส่เข้าไปในระบบเศรษฐกิจเป็นสิ่งที่จริง ๆ แล้วทำตอนนี้ดีกว่าทำทีหลัง และมองว่าหนี้สาธารณะที่ 70% ของจีดีพีเป็นอะไรที่เศรษฐกิจก็ไม่ได้ลำบาก รองรับได้ สภาพคล่องในระบบรองรับการกู้ยืมจากภาครัฐได้ ขณะที่ดอกเบี้ยก็สะท้อนความสามารถที่ภาคการคลังจะกู้เพิ่มได้ โดยดอกเบี้ยกู้ระยะยาว 10 ปี ไม่ถึง 1.6% เป็นพื้นที่ที่ยังมีศักยภาพเมื่อเทียบกับประเทศอื่นที่ดอกเบี้ยสูงถึง 4-6% เป็นภาพรวมที่มองว่าเป็นยา หรือเป็นมาตรการที่จำเป็น และเหมาะสมกับอาการของเศรษฐกิจไทยที่เห็น

อย่างไรก็ตาม การกู้เงินต้องมีแผนชัดเจนในระยะยาวที่จะทำให้ภาคการคลังกลับมาสู่ระดับที่เข้มแข็งกว่าเดิม เพื่อรักษาความยั่งยืนทางการคลังของประเทศ และเพิ่มช่องทางในการทำนโยบายไว้รองรับภาระทางการคลัง และความเสี่ยงในอนาคต ดังนั้นรัฐบาลต้องมีมาตรการรัดเข็มขัดในระยะปานกลาง เพื่อให้สัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีกลับลงมาในระยะข้างหน้า เช่น การปฏิรูปการจัดเก็บภาษีผ่านการขยายฐานภาษี การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บ พร้อมทั้งการปรับเพิ่มภาษีบางประเภทให้สอดคล้องกับบริบทของประเทศหลังการแพร่ระบาดของโควิด พร้อมทั้งควบคุมรายจ่ายประจำ เพิ่มสัดส่วนของรายจ่ายลงทุน

นอกจากนี้ หากภาครัฐทำให้เศรษฐกิจกลับมาขยายตัวตามศักยภาพได้เร็ว จะช่วยเร่งการเข้าสู่ความยั่งยืนทางการคลังได้อีกทางหนึ่งด้วย เนื่องจากฐานภาษี และความสามารถในการจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้น เช่น กรณีเศรษฐกิจฟื้นตัวแล้ว หากรัฐบาลเพิ่มอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 1% จะทำให้รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทำให้หนี้สาธารณะลดลงอีกประมาณ 0.33% ต่อจีดีพี

ธปท.ไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับเรื่องนี้ แต่ด้วยสภาพอาการที่จำเป็นกับเศรษฐกิจไทยตอนนี้ มองว่ามีอะไรที่ต้องทำบ้าง เรื่องหนึ่งที่หนีไม่พ้นคือมาตรการการคลัง โดยผมมองว่าน้อยมากที่ไทยจะเสี่ยงถูกลดเครดิตเรตติ้ง เพราะฐานะการคลังไม่ใช่เรื่องที่บริษัทเครดิตเรตติ้งเป็นห่วงที่สุด สิ่งที่เป็นห่วงคือความไม่แน่นอนทางการเมือง และเศรษฐกิจฟื้นตัวช้า ส่วนที่บริษัทเครดิตเรตติ้งมองว่าเป็นจุดแข็ง คือ ฐานะการคลัง และเสถียรภาพทางการคลัง แต่จากสภาพอาการการของไทยตอนนี้จะรักษาโรคได้ก็ต้องรักษาที่องค์รวม จะแยกหมอเฉพาะทางอย่างเดียวไม่ได้ เพื่อให้คนไข้รอด ไม่ใช่ว่า ธปท.ไม่ทำอะไร ธปท.ก็ต้องทำเช่นกัน

โดยมาตรการทางการเงินของ ธปท. จะเป็นมาตรการเสริมในการช่วยดูแลภาระลูกหนี้ และเติมสภาพคล่องให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบที่รายได้หายไปชั่วคราว ที่ผ่านมามีการดำเนินการหลายมิติ ทั้งการแก้ไขหนี้ ผ่านมาตรการต่าง ๆ เช่น การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ระยะยาว การพักชำระหนี้ระยะสั้น และการเติมสภาพคล่อง

สำหรับข้อเสนอเรื่องการปรับลดเพดานดอกเบี้ยนั้น มองว่า ต้องพิจารณาให้ดี ให้รอบคอบ รอบด้าน เพราะว่ามีผลข้างเคียงเยอะ ไม่ใช่แค่กับระบบแต่เป็นผลกับลูกหนี้เอง ซึ่งการพิจารณาผลกระทบต่อลูกหนี้ในเรื่องการปรับลดเพดานดอกเบี้ยนั้น แนวทางที่จะช่วยเหลือลูกหนี้ได้มากกว่าภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันที่มีความเสี่ยงสูง คือ การขยายเพดานวงเงินให้เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง เพื่อให้คนที่เสี่ยงสูงยังอยู่ในระดับต่อไป และเสริมมาตรการปรับโครงสร้างหนี้สำหรับผู้ที่มีปัญหาในการชำระหนี้เดิม

สำหรับเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนนั้น ธปท. ไม่ได้มีการกำหนดระดับอัตราแลกเปลี่ยนไว้ในใจ แต่ก็ไม่อยากให้มีการเคลื่อนไหวของค่าเงินที่เป็นอุปสรรค หรือมีความผันผวนที่ไม่เหมาะสม โดยเฉพาะในเรื่องการเก็งกำไร


ที่มา : https://www.thaipost.net/main/detail/113487


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

เกษตรฯ เร่งจัดการตลาดลำไย รับผลผลิตมากสุดเดือนส.ค.

นายเข้มแข็ง ยุติธรรมดำรง อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร เปิดเผยว่า ขณะนี้ สถานการณ์และการบริหารจัดการลำไย ระหว่างเดือนมิ.ย. – ก.ย. 2564 (ข้อมูล ณ วันที่ 13 ส.ค. 2564) พบว่า คาดการณ์ผลผลิตลำไย 683,435 ตัน ซึ่งประเมินว่า จะมีผลผลิตลำไยออกสู่ตลาดมากที่สุดในเดือนส.ค.นี้ ประมาณ 394,707 ตัน ส่วนการเก็บเกี่ยวลำไย มีปริมาณเก็บเกี่ยวสะสม 415,797 ตัน คิดเป็น 60.84% และยังไม่ได้เก็บเกี่ยว 267,638 ตัน คิดเป็น 39.16% 

ส่วนการกระจายผลผลิตลำไย ที่ประชุมคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) ล่าสุดมีมติเห็นชอบให้เน้นทำการตลาดภายในประเทศ โดยกระจายผลผลิตผ่านล้งภายในประเทศ วิสาหกิจชุมชน สหกรณ์การเกษตร ห้าง ระบบของไปรษณีย์ไทย การตลาดออนไลน์และตลาดค้าผลไม้ภายในจังหวัด การจัดจำหน่ายตรงผู้บริโภค รณรงค์การบริโภคลำไยในครัวเรือน สนับสนุนจุดรวบรวมและคัดคุณภาพลำไยเพื่อกระจายออกนอกแหล่งผลิต ประสานงานกับภาคเอกชนและโลจิสติกส์ในการลดค่าขนส่งให้เกษตรกร 

รวมทั้งการเชื่อมโยงและกระจายผลผลิตลำไยไปยังจังหวัดปลายทาง และการแลกเปลี่ยนสินค้าเกษตรข้ามภาค โดยประสานงานร่วมกับกระทรวงกลาโหม เพื่อแลกเปลี่ยนสินค้า ลำไย – มังคุด จากภาคใต้เพื่อกระจายผลผลิตสู่ผู้บริโภคภายในพื้นที่ภาคเหนือ

“ตอนนี้ กรมฯ ได้ส่งเสริมให้เกษตรกรผู้ปลูกลำไย เน้นการพัฒนาคุณภาพผลผลิต เพื่อให้ได้ลำไยขนาดผลใหญ่คุณภาพระดับพรีเมี่ยม เกรด AA และเกรด A เหมาะสำหรับการบริโภคผลสดภายในประเทศ โดยไม่เน้นส่งเข้าโรงงานอบแห้งแปรรูปส่งออกประเทศจีน และการพัฒนากระบวนการผลิตให้ได้รับการรับรองคุณภาพตามระบบการจัดการกระบวนการผลิตทางการเกษตร ซึ่งมีเกษตรกรได้รับการรับรองทั้งหมด 12,494 ราย 14,400 แปลง พื้นที่รวม 135,595.47 ไร่ รวมทั้งส่งเสริมให้เกษตรกรใช้ช่องทางการตลาดแบบออนไลน์มากขึ้น” นายเข้มแข็ง กล่าว

จับตาสัญญาณว่างงานสิ้นปีพุ่งหลังเจอผลกระทบโควิด

นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงผลกระทบของไวรัสโควิด-19 ต่อการจ้างงานว่า ขณะนี้ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง โดยเฉพาะกิจการในภาคบริการและกิจการที่มีสายป่านสั้น เห็นได้จากข้อมูลการจ้างงานในไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 พบว่า มีผู้ว่างงานหรือเสมือนว่างงาน (ผู้มีงานทำไม่ถึง 4 ชั่วโมงต่อวัน) อยู่ที่ 3 ล้านคน และคาดว่า ในช่วงสิ้นปีนี้คนกลุ่มนี้จะเพิ่มเป็น 3.4 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่าช่วงก่อนโควิดกว่า 1 ล้านคน เช่นเดียวกับผู้ว่างงานระยะยาว เกิน 1 ปี มี 1.7 แสนคน เพิ่มขึ้นกว่าช่วงก่อนโควิดถึงกว่า 3 เท่าตัว 

ส่วนตัวเลขผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อนอยู่ที่ 2.9 แสนคน เพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนโควิดถึง 8.5 หมื่นคน และแรงงานย้ายถิ่นกลับภูมิลำเนาที่เพิ่มขึ้นจากภาคบริการ/อุตสาหกรรมในเมือง กลับไปยังภาคเกษตรที่มีผลิตภาพต่ำกว่า ล่าสุดอยู่ที่ 1.6 ล้านคน สูงกว่าค่าเฉลี่ยต่อปีในช่วงก่อนโควิดที่ 5 แสนคนมาก

นายเศรษฐพุฒิ กล่าวว่า การล็อกดาวน์รอบนี้ยิ่งซ้ำเติมธุรกิจและครัวเรือน ส่งผลให้ฐานะการเงินมีความเปราะบางสูงขึ้น เพราะเงินออมลดลงทุกครั้งที่การระบาดกลับมา สายป่านของครัวเรือนสั้นลงเรื่อย ๆ สะท้อนจากตัวเลขเงินฝากในบัญชีที่มียอดต่ำกว่า 50,000 บาท ล่าสุดในเดือนพ.ค. 2564 ปรับลดลงเทียบกับปีก่อนเป็นครั้งแรก โดยหดตัวที่ 1.6% ขณะที่เงินฝากในบัญชียอดสูงกว่า 1 ล้านบาทยังขยายตัวได้ที่ 6.0% ใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิด ขณะที่หนี้สินก็มีสัญญาณเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

เล็งขยายเวลาตึงราคาแอลพีจีช่วยชาวบ้านถึงสิ้นปี

นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวงพลังงานกำลังหารือเบื้องต้นถึงแนวทางขยายกรอบการตรึงราคาแอลพีจี เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพไปจนถึงสิ้นปี 2564 หลังจากคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) มีมติให้ขยายเวลาตรึงราคา LPG ไว้เท่าเดิมที่ 318 บาทต่อขนาดถังละ 15 กิโลกรัม ไปจนถึงสิ้นเดือน.ก.ย.นี้ โดยอาจต้องขยายกรอบวงเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอุดหนุนราคาเป็น 2.2 หมื่นล้านบาท จากปัจจุบันอุดหนุนอยู่ที่ 1.8 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้กระทรวงพลังงานได้หารือกับปตท.ถึงกรณีของราคาก๊าซ เอ็นจีวี ซึ่งล่าสุด บมจ.ปตท. ได้ประกาศขยับราคาขึ้น0.93บาท/กก.ราคาขายปลีกเขตกทม.อยู่ที่ 15.48บาท/กก. แม้ว่ากรณีนี้จะเป็นราคาผันแปรตามราคาต้นทุนก๊าซที่ขยับขึ้นตามราคาน้ำมันตลาดโลกที่ขยับขึ้น แต่ก็ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้เอ็นจีวี ซึ่งจากนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดจะหาทางช่วยเหลือผู้ใช้ต่อไป  

รมว.แรงงาน เร่งจัดส่งแรงงานไทยทำงานต่างประเทศตามเป้าปี 64 เผยสร้างรายได้เข้าประเทศแล้ว 1.5 แสนล้านบาท

รมว.แรงงาน เผยเป้าหมายจัดส่งแรงงานทำงานต่างประเทศ จำนวน 100,000 คน จัดส่งแล้ว 38,019 คน เตรียมส่งตามแผน 61,981 คน สร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 153,006 ล้านบาท

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า กระทรวงแรงงานมีเป้าหมายจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศ ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2564 จำนวน 100,000 คน โดยจัดส่งแล้ว 38,019 คน แบ่งเป็นไต้หวัน 10,641 คน อิสราเอล 5,593 คน สวีเดน 5,287 คน ฟินแลนด์ 3,363 คน ญี่ปุ่น 1,948 คน ประเทศอื่นๆ 11,187 คน และอยู่ระหว่างจัดส่งตามแผนอีก 61,981 คน ซึ่งจากข้อมูล ณ เดือน ก.ค. 64 มีแรงงานไทยที่ยังทำงานอยู่ในต่างประเทศรวม 110 ประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 118,572 คน ส่งรายได้กลับประเทศผ่านระบบธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว 153,006 ล้านบาท 
 
“รัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ให้ความสำคัญกับการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศอย่างมาก โดยในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด – 19 จะมุ่งเน้นการรักษาตลาดแรงงานเดิมซึ่งก็คือการส่งเสริมการจ้างงานอย่างต่อเนื่องกับงานภาคการเกษตรในรัฐอิสราเอล ภายใต้โครงการ “ความร่วมมือไทย-อิสราเอล เพื่อการจัดหางาน (TIC) งานภาคอุตสาหกรรมในประเทศญี่ปุ่น ผ่านองค์กร IM JAPAN  และงานภาคก่อสร้าง อุตสาหกรรม และการเกษตรในสาธารณรัฐเกาหลี ผ่านระบบ EPS ควบคู่การขยายตลาดแรงงานใหม่ที่มีแนวโน้มความต้องการแรงงานไทย” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานกล่าว 
 
ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า กรมการจัดหางาน มีกำหนดการจัดส่งแรงงานไทยไปทำงานต่างประเทศ ก่อนสิ้นเดือนสิงหาคมนี้ จำนวน 410 คน  แบ่งเป็น สาธารณรัฐเกาหลี 60 คน เดินทางระหว่างวันที่ 17 – 19 สิงหาคม และรัฐอิสราเอล 350 คน ทะยอยเดินทางวันที่ 25 สิงหาคม จำนวน 150 คน และวันที่ 30 สิงหาคม จำนวน 200 คน โดยแรงงานไทยสามารถเดินทางไปทำงานต่างประเทศอย่างถูกกฎหมาย 5 วิธี คือ 1.กรมการจัดหางานเป็นผู้จัดส่ง 2.บริษัทจัดหางานจัดส่ง 3.นายจ้างในประเทศไทยพาลูกจ้างของตนไปทำงานต่างประเทศ 4.นายจ้างในประเทศไทยส่งลูกจ้างของตนไปฝึกงานในต่างประเทศ 5.คนหางานแจ้งการเดินทางไปทำงานต่างประเทศด้วยตัวเอง ซึ่งวิธีเดินทางถูกกฎหมายดังกล่าวจะทำให้แรงงานไทยได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย ได้ค่าจ้างที่เหมาะสม และยังได้รับการดูแลที่ดีตามสิทธิที่พึงมีด้วย 
  
ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด สำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1 -10 หรือสายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน หรือสายด่วนกรมการจัดหางาน 1694 หรือเว็บไซต์กองบริหารแรงงานไทยไปต่างประเทศ www.doe.go.th/overseas

ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ แนะรัฐกู้เพิ่ม 1 ล้านล. - ขึ้นแวต

นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า หลังจากเกิดการระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบทำให้รายได้ครัวเรือนหายไป โดยประเมินภาพรวม 3 ปี ตั้งแต่ปี 2563 - 65 รายได้ครัวเรือนจะหายไปถึง 2.6 ล้านล้านบาท ทำให้เงินภาครัฐที่มีอยู่ในปัจจุบันคงไม่เพียงพอ และจำเป็นต้องเพิ่มแรงกระตุ้นทางการคลัง เพื่อช่วยให้รายได้ และฐานะทางการเงินของประชาชนและเอสเอ็มอีกลับมาฟื้นตัวได้โดยเร็วที่สุด 

ทั้งนี้มองว่า รัฐต้องเติมเข้าไปในระบบอย่างน้อย 1 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 7% ต่อจีดีพี ซึ่งเป็นการกู้เพิ่มเติมจากปัจจุบันที่ 1.5 ล้านล้านบาท โดยในกรณีที่รัฐบาลกู้เงินเพิ่ม 1 ล้านล้านบาท จะทำให้หนี้สาธารณะต่อจีดีพีเพิ่มขึ้นไปสูงสุดที่ประมาณ 70% ต่อจีดีพี ในปี 2567 แต่จะลดลงได้ค่อนข้างเร็วตามการขยายตัวของเศรษฐกิจและความสามารถในการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลที่จะกลับมาฟื้นตัวเร็ว 

ขณะเดียวกันเมื่อเทียบกับกรณีที่รัฐบาลกู้เงินเพิ่ม พบว่าสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีในอีก 10 ปีข้างหน้า หรือในปี 74 จะต่ำกว่ากรณีที่รัฐบาลไม่ได้กู้เงินเพิ่มเติมถึงกว่า 5% ดังนั้น รัฐบาลต้องปฏิรูปการจัดเก็บภาษีผ่านการขยายฐานภาษี และนำเทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดเก็บ รวมทั้งปรับอัตราภาษีบางประเภท ซึ่งในท้ายที่สุดก็ต้องปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต)

ส่วนการใช้จ่าย มาตรการเงินโอนควรต้องตรงจุด และควรกำหนดเงื่อนไขของการได้รับเงินโอน พร้อมทั้งควบคุมรายจ่ายประจำและเพิ่มสัดส่วนของรายจ่ายลงทุน หากภาครัฐทำให้เศรษฐกิจกลับมาขยายตัวตามศักยภาพได้เร็ว จะช่วยเร่งการเข้าสู่ความยั่งยืนทางการคลังได้อีกทางหนึ่งด้วย เนื่องจากฐานภาษีและความสามารถในการจัดเก็บภาษีจะเพิ่มขึ้น เช่น กรณีเศรษฐกิจฟื้นตัวแล้ว หากรัฐบาลเพิ่มอัตราแวต 1% จะทำให้รัฐบาลสามารถจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้น 60,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้หนี้สาธารณะลดลงเพิ่มเติมได้อีก 0.33% ต่อจีดีพี

บมจ.การบินไทย หรือ THAI รายงานผลประกอบการงวดครึ่งปีแรก 2564 มีกำไร 1.1 หมื่นล้านบาท หลังขายทรัพย์สิน และปรับโครงสร้างหนี้ ตามแผนฟื้นฟูกิจการ

16 ส.ค. 64 บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) แจ้งผลการดำเนินงาน งวดครึ่งปี 2546 (ม.ค.-มิ.ย.) สิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย. 64 ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า บริษัทมีรายได้ รวมทั้งสิ้น 10,220 ล้านบาท มีค่าใช้จ่าย รวมทั้งสิ้น 24,555 ล้านบาท ส่งผลให้ในช่วง 6 เดือนแรก ขาดทุนจากการดำเนินงาน รวมทั้งสิ้น 14,335 ล้านบาท

แต่เมื่อพิจารณาผลการดำเนินการสุทธิในช่วง 6 เดือนแรก กลับพบว่าบริษัทฯ และบริษัทย่อย สามารถพลิกกลับมีกำไรสุทธิ 11,121 ล้านบาท ในขณะที่ปี ก่อนขาดทุนสุทธิ 28,030 ล้านบาท หรือมีกำไรเพิ่มขึ้น 139%

โดย ณ วันที่ 30 มิ.ย. 64 บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีสินทรัพย์รวมจำนวน 168,582 ล้านบาท ลดลงจาก วันที่ 31 ธ.ค. 63 จำนวน 40,715 ล้านบาท หรือคิดเป็น 19.58% มีหนี้สินรวมจำนวน 285,066 ล้านบาท ลดลงจาก ณ วันที่ 31 ธ.ค. 63 จำนวน 52,896 ล้านบาท หรือคิดเป็น 15.7%

ขณะที่รายได้ส่วนใหญ่ ของบริษัทฯ และบริษัทย่อย เป็นรายการที่เกิดขึ้นครั้งเดียว จำนวน 25,899 ล้านบาท จากการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการ อาทิ...

>> กำไรจากการขายเงินลงทุนในบริษัท บริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) จำนวน 2,004 ล้านบาท

>> กำไรจากการขายเงินลงทุนในบริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด (มหาชน) จำนวน 95 ล้านบาท

กำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ จำนวน 8,675 ล้านบาท

>> รายการปรับปรุงผลประโยชน์พนักงาน 8,323 ล้านบาท จากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างบริษัทฯ และผลประโยชน์ของพนักงาน

>> ผลขาดทุนจากการด้อยค่าของเครื่องบินและสินทรัพย์สิทธิการใช้และอุปกรณ์การบินหมุนเวียน จำนวน -18,459 ล้านบาท

>> ผลขาดทุนจากการด้อยค่า ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 9 จำนวน -163 ล้านบา

ทั้งนี้รายงานดังกล่าวเผยอีกว่า การดำเนินการในระหว่างฟื้นฟูกิจการ การบินไทยได้พยายามแก้ไข ปรับปรุง รวมถึงได้ริเริ่มโครงการต่าง ๆ รวมกว่า 600 โครงการ โดยได้เริ่มดำเนินโครงการตามแผนปฏิรูปธุรกิจทั้งองค์กร และปรับโครงสร้างองค์กรให้เหมาะสม พร้อมทั้งได้ดำเนินการด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อรักษาสภาพคล่องทางการเงิน ได้แก่ การลดต้นทุนด้านบุคลากร, การลดต้นทุนค่าเช่า, เครื่องบิน, ลดต้นทุนในการดำเนินงานในด้านอื่น ๆ และหารายได้ในช่วงที่สถานการณ์การบินยังไม่กลับมาเป็นปกติ


ที่มา : https://www.khaosod.co.th/economics/news_6565336

https://www.pptvhd36.com/news/เศรษฐกิจ/154160


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!

A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!!

>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท

>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ

>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต

>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย

***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

สศช.หั่นจีดีพีปีนี้ลงเหลือ 1% ประเมินครึ่งปีหลักเจอโควิดหนัก

นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 2 ปี 2564 ขยายตัว 7.5% ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลง 2.6% ในไตรมาสก่อนหน้า โดยด้านการใช้จ่าย การส่งออกสินค้าและการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวเร่งขึ้น การบริโภคภาคเอกชน กลับมาขยายตัว ขณะที่ด้านการผลิต สาขาการผลิตอุตสาหกรรมและสาขาเกษตรกรรมขยายตัวเร่งขึ้น สาขาที่พักแรมและ บริการด้านอาหาร สาขาการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้า สาขาการขายส่งการขายปลีกและการซ่อมแซมฯ และ สาขาไฟฟ้าและก๊าซฯ กลับมาขยายตัว โดยการขยายตัวไตรมาสที่ 2 นี้ ส่งผลให้ครึ่งปีแรกเศรษฐกิจไทยขยายตัว 2%

ทั้งนี้ในช่วงที่เหลือของปีเศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทั้งปี สศช. ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยใหม่ จากเดิมคาดว่าจะขยายตัว 1.5 – 2.5% ลดลงเหลือ 0.7 – 1.2% หรือขยายตัวได้ 1% โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องควบคุมการระบาดให้ได้ในไตรมาสที่ 3 เพื่อทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาดำเนินการได้อีกครั้งในไตรมาสที่ 4 

ส่วนเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ พบว่า มีอัตราการว่างงานอยู่ที่ 1.9% ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับ 2.0% ในไตรมาสก่อนหน้า และ 2.0% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเฉลี่ยอยู่ที่ 2.4% ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุล 5,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ณ สิ้นเดือนมิ.ย. 2564 อยู่ที่ 2.47 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และหนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนมิ.ย. 2564 มีมูลค่าทั้งสิ้น 8,825,097 ล้านบาท คิดเป็น 56.1% ของจีดีพี

อย่างไรก็ตามยังต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงสำคัญ ๆ คือ 1) การแพร่ระบาดระลอกใหม่ของโรคโควิด-19 ที่มีความรุนแรงและยังมีความไม่แน่นอนอยู่สูง 2) ข้อจำกัดด้านฐานะการเงินของภาคครัวเรือนและธุรกิจ ท่ามกลางการว่างงานที่ยังอยู่ในเกณฑ์สูงและได้รับผลกระทบเพิ่มเติมจากการระบาดระลอกใหม่ 3) ภาคการส่งออก และการผลิตภาคอุตสาหกรรมยังมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากการระบาดในพื้นที่การผลิต รวมทั้ง ปัญหาข้อจำกัดในห่วงโซ่การผลิตและโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ และ 4) ความเสี่ยงจากความผันผวนของ เศรษฐกิจและการเงินโลก

หวังท่องเที่ยวไทยปีหน้าฟื้น สร้างรายได้เข้าประเทศ 2 ล้านล.

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยว่า ในปี 2565 ททท. ตั้งเป้าหมายการสร้างรายได้ 2 ล้านล้านบาท คิดเป็น 2 ใน 3 ของรายได้จากการท่องเที่ยวทั้งหมดในปี 2562โดยให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างสร้างสรรค์และเน้นคุณภาพ ไม่เน้นจำนวน ให้น้ำหนักกับการเพิ่มค่าใช้จ่ายต่อหัว และการสร้างสมดุลระหว่างรายได้นักท่องเที่ยวต่างชาติกับผู้เยี่ยมเยือนชาวไทย 

ทั้งนี้มีเงื่อนไข คือ การกระจายวัคซีนจะคุมการระบาดได้ต้นไตรมาส 4 ปีนี้ ทำให้ระยะการเกิดระดับภูมิคุ้มกันหมู่จะมีในครึ่งปีแรกของปี 2565 และเศรษฐกิจไทยจะกลับสู่ระดับก่อนระบาดปลายปี 2565 รวมทั้งเปิดประเทศได้ตั้งแต่เดือนต.ค.2564 และรัฐบาลมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง  

นายยุทธศักดิ์ กล่าวว่า การแข่งขันในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวหลังวิกฤติโควิด-19 คลี่คลายลง จะรุนแรงยิ่งกว่าเดิม เพราะทุกประเทศต้องทำทุกวิถีทางเพื่อฟื้นฟูอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้เร็วที่สุด ซึ่งประเทศไทยเองควรใช้โอกาสนี้เปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส โดยเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ โดยปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมท่องเที่ยวทั้งระบบ เพื่อให้การท่องเที่ยวเติบโตอย่างยั่งยืน ลดอุปทานส่วนเกิน สร้างอุปสงค์การท่องเที่ยวอย่างรับผิดชอบ ทำให้เกิดการพัฒนาอุปทานในมิติต่าง ๆ ที่สร้างสรรค์เพิ่มคุณค่า มีความแตกต่าง และสามารถพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว 

“ที่ผ่านมาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศไทย เกิดความถดถอยอย่างรวดเร็ว ทำให้เห็นปัญหาเรื้อรังด้านโครงสร้างที่เติบโตแบบขาดสมดุลอย่างชัดเจน โดยเฉพาะปัญหาเรื่องอุปทานห้องพักส่วนเกินและการพึ่งพาตลาดต่างประเทศเป็นหลัก รวมถึงปัญหาความสามารถในการปรับตัวของผู้เกี่ยวข้องกลุ่มต่าง ๆ ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวภายใต้วิกฤติ ในทางกลับกัน สภาพธรรมชาติที่เสื่อมโทรมกลับฟื้นตัวเป็นอย่างดีเมื่อว่างเว้นจากภาวะการเยี่ยมเยือนของนักท่องเที่ยวที่มีจำนวนเกินขีดความสามารถในการรองรับ”  

ศบค.ชุดใหญ่ จ่อถก คลายล็อก 4 ธุรกิจในห้างฯ 

รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล แจ้งว่า สำหรับการประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ชุดใหญ่ ครั้งที่ 12/2564 ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ในเวลา 13.30 น. วันที่ 16 ส.ค. มีวาระสำคัญคือ การพิจารณาขยายมาตรการยกระดับการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม) 29 จังหวัด เดิมระบุว่าจะดูถึงช่วงถึงวันที่ 18 ส.ค. อาจจะต้องขยายไปให้ถึงวันที่ 31 ส.ค. เนื่องจากตัวเลขผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตยังอยู่ในระดับที่สูงมาก รวมถึงยังมีการพิจารณาผ่อนปรนมาตรการในห้างสรรพสินค้าตามที่สมาคมศูนย์การค้าไทยเสนอขอผ่อนปรน 4 ธุรกิจ ได้แก่ ธนาคารและสถาบันการเงิน ธุรกิจสื่อสารและไอที ร้านเบ็ดเตล็ด และร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จำเป็น 

นอกจากนี้ ทางกระทรวงแรงงานจะเสนอขอให้พิจารณาผ่อนปรนการล็อกดาวน์ธุรกิจส่งออกขนาดใหญ่ 4 ประเภท ได้แก่ อาหาร ยานยนต์ เครื่องมือแพทย์ และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้สามารถส่งออกได้ ไม่ให้เกิดความเสียหายต่อธุรกิจดังกล่าวมากไปกว่านี้ รวมถึงการดำเนินการโครงการนำร่องการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดในโรงงาน หรือ Factory Sandbox ขณะที่อีโอซี ของกระทรวงสาธารณสุข จะเสนอให้ ศบค.พิจารณาขยายเวลาการใช้มาตรการควบคุมโรคใน จ.ภูเก็ต ออกไปอีก เนื่องจากคำสั่งเดิมจะสิ้นสุดในวันที่ 16 ส.ค.ขณะเดียวกัน อีโอซีของกระทรวงสาธารณสุข จะมีการรายงานให้ที่ประชุมทราบถึงเรื่องการรับความช่วยเหลือด้านการแพทย์และสาธารณสุขจากต่างประเทศ ทั้งเรื่องการแลกวัคซีนแอสตราเซเนกา ระหว่างรัฐบาลภูฏานกับรัฐบาลไทย รวมถึงการรับบริจาค Monoclonal Antibody (Casirivimab/Imdevimab) จากกระทรวงสาธารณสุข เยอรมนี  

อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า ศบค.อาจจะมีการพิจารณากรณีสมาคมฟุตบอลฯ เสนอแนวทางการจัดการแข่งขันฟุตบอลไทยลีก ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ที่มีกำหนดการเปิดสนามนัดแรกในช่วงวันที่ 3-5 ก.ย. ว่าจะสามารถแข่งขันได้ตามกำหนดหรือไม่

“โฆษก ศบศ.”เผย “บิ๊กตู่” สั่งเร่งเยียวยา ชี้โอนแล้ว ม.33 พื้นที่13 จ.ล็อกดาวน์กว่า 6.5 พันล้าน แจงเตรียมโอน16 จังหวัดพร้อม ม.39-40 กลุ่มแรก ด้านส่วนลดค่าเทอมเริ่มโอน 31 ส.ค.นี้ ขณะที่ยอดใช้จ่ายมาตรการลดค่าครองชีพใกล้ทะลุ 6.3 หมื่นล้าน

นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 (ศบศ.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการเยียวยานายจ้างและผู้ประกันตน ม. 33 ม. 39 และ ม. 40 ว่า เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม 2564 กระทรวงแรงงาน โดยสำนักงานประกันสังคม ได้โอนเงินเยียวยานายจ้างและลูกจ้างผู้ประกันตน ม. 33 ในพื้นที่ 13 จังหวัดไปแล้ว แบ่งเป็นลูกจ้าง 2,399,459 ราย เป็นเงิน 5,998.65 ล้านบาท และทำการโอนให้นายจ้างไปแล้ว  12,711  กิจการ เป็นเงิน 594.12 ล้านบาท รวมยอดเงินที่ทำการโอนไปแล้วจำนวน 6,592.77 ล้านบาท  โดยจะดำเนินการทยอยโอนให้ลูกจ้างและนายจ้าง ม. 33 พื้นที่ 16 จังหวัดที่ลงทะเบียนและจ่ายเงินสมทบภายในวันที่ 24 สิงหาคม 2564 ต่อไป พร้อมกับโอนเงินให้ผู้ประกันตน ม.39 และ ม.40 ใน 29 จังหวัด กลุ่มแรกวันที่ 24 สิงหาคมนี้ เช่นกัน ซึ่งจะทยอยโอนวันละ 1 ล้านราย โดยผู้ประกันตนสามารถตรวจสอบสิทธิได้ที่เว็บไซต์สำนักงานประกันสังคม 

นายธนกร กล่าวต่อว่า ส่วนความคืบหน้ามาตรการให้ความช่วยเหลือบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของครัวเรือนและประชาชน เพื่อช่วยบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้ปกครองและนักเรียนนักศึกษาทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ประจำปีการศึกษา 1/2564 ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ขณะนี้ อยู่ระหว่างการยืนยันตรวจสอบสิทธิ์การได้รับความช่วยเหลือ โดยเบื้องต้นกระทรวงศึกษาธิการ จะโอนเงินช่วยเหลือให้นักเรียนและผู้ปกครองในอัตรา 2,000 บาทต่อคน ในวันที่ 31 สิงหาคมนี้ ทั้งนี้ สำหรับผู้ได้รับเงินเยียวยาในส่วนของกระทรวงศึกษาธิการมีประมาณ 11 ล้านคน วงเงินรวมประมาณ 21,600 ล้านบาท 

โฆษก ศบศ. กล่าวอีกว่า สำหรับมาตรการเยียวยาและการฟื้นฟูเศรษฐกิจในประเทศ ทั้งโครงการคนละครึ่ง เฟส 3 เพิ่มกำลังซื้อในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ และโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษนั้น ยอดการใช้จ่ายของแต่ละโครงการ ผู้ใช้สิทธิสะสมรวม 38 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสมรวม 62,967.7 ล้านบาท แบ่งเป็น 1.โครงการคนละครึ่ง เฟส 3 มีผู้ใช้สิทธิสะสม 23.49 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 56,339.7 ล้านบาท แบ่งเป็นส่วนที่ประชาชนจ่ายสะสม 28,588.2 ล้านบาท และรัฐร่วมจ่ายสะสม 27,751.5 ล้านบาท 2.โครงการยิ่งใช้ยิ่งได้ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 66,101 คน ยอดใช้จ่ายสะสม 1,161 ล้านบาท และยอดใช้จ่ายด้วย e-voucher สะสม 31 ล้านบาท 3.โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 13.48 ล้านคน ยอดใช้จ่ายสะสม 5,110.8 ล้านบาท และ 4.โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้แก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ มีผู้ใช้สิทธิสะสม 979,821 คน ยอดใช้จ่ายสะสม 325.2 ล้านบาท นอกจากนี้ รัฐบาลยังเร่งพิจารณาเชื่อมต่อแพลตฟอร์มฟู้ดเดลิเวอรี่เพื่อให้สามารถเชื่อมกับโครงการ “คนละครึ่ง” ด้วย คาดว่าจะดำเนินการเชื่อมระบบเสร็จสิ้นและพร้อมใช้งานได้ในเดือนตุลาคม 2564 นี้ เพื่อให้ทันกับการรองรับการโอนเงิน “คนละครึ่ง” รอบ 2 อีก 1,500 บาท ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จะเร่งเยียวยาประชาชนทุกกลุ่ม

ททท. เตรียมชง ศบค. เปิด “ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์” เชื่อม 3 จังหวัด ส.ค.นี้

นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะโฆษกประจำศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบศ.) เปิดเผยว่า ในเร็ว ๆ นี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เตรียมนำเสนอที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) เห็นชอบแนวทางการให้นักท่องเที่ยวที่เข้าร่วมโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ สามารถเดินทางท่องเที่ยวเชื่อมโยงระหว่างจังหวัดภูเก็ตกับพื้นที่นำร่องอื่นในลักษณะ 7+7 โดยนักท่องเที่ยวต้องพำนักภายในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต 7 วันก่อน จึงสามารถเดินทางท่องเที่ยวและพำนักในพื้นที่นำร่องจังหวัดใดจังหวัดหนึ่งเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 7 วัน  คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ภายในเดือนส.ค.นี้ 

ทั้งนี้ในส่วนของพื้นที่นำร่องที่เชื่อมโยงจังหวัดภูเก็ตในลักษณะ 7+7 ได้แก่ 1.เกาะสมุย เกาะพะงัน และเกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี 2.เขาหลัก เกาะยาวใหญ่ และเกาะยาวน้อย จังหวัดพังงา และ 3.เกาะพีพี ไร่เลย์ และเกาะไหง จังหวัดกระบี่ โดยแนวปฏิบัติให้เป็นไปตามคำสั่งของ ศบค. และข้อกำหนดตามมาตรการของแต่ละจังหวัด เชื่อว่าจากนี้จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามามากขึ้น มีทิศทางปรับตัวดีขึ้นโดยเฉพาะช่วงไตรมาสสุดท้าย ที่เป็นไฮซีซั่น ของการท่องเที่ยว

นายธนกร กล่าวว่า รัฐบาลกำชับมาตรการการยกระดับดูแลความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในทุกพื้นที่ที่เปิดรับนักท่องเที่ยวแล้ว โดยจังหวัดมีการถอดบทเรียน แหล่งไหนที่ไม่เหมาะสมกับการท่องเที่ยว เป็นพื้นที่เปลี่ยวไม่ปลอดภัย เร่งปรับปรุงแก้ไขควบคู่ไปกับการดำเนินการตามมาตรการตรวจคัดกรองเชื้อโควิด-19 ในพื้นที่อย่างเข้มงวด

อย่างไรก็ตามในปัจจุบันโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ มียอดนักท่องเที่ยวสะสมอยู่ที่เกือบ 20,000 คน มียอดการจองโรงแรมที่ได้เครื่องหมายมาตรฐานความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยวและสุขอนามัย SHA Plus ตลอดไตรมาส 3 (ก.ค. –ก.ย. 2564) จำนวนกว่า 371,826 คืน มีเที่ยวบินเข้ามาอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกวัน โดยนักท่องเที่ยว 5 อันดับแรกมาจากสหรัฐอเมริกา อังกฤษ อิสราเอล เยอรมนี และฝรั่งเศส โดยจำนวนนักท่องเที่ยวแซนด์บ็อกซ์ที่เดินทางเข้ามาทั้งหมดนั้น ตรวจคัดกรองพบเชื้อจำนวน 55 คน คิดเป็น 0.28 % และนำเข้าสู่กระบวนการของสาธารณสุขแล้ว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top