Wednesday, 2 July 2025
ECONBIZ

'รมว.สุชาติ' มอบกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ลุย Upskill แรงงานไทยไปซาอุฯ

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เร่งพัฒนาทักษะและทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน รองรับส่งแรงงานไทยไปประเทศซาอุดีอาระเบีย 

นายสุชาติ  ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ
พล.อ. ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีนโยบายพัฒนาและยกระดับทักษะแรงงานให้เป็นแรงงานคุณภาพ สามารถปรับตัวให้ทำงานร่วมกับเทคโนโลยีและความเปลี่ยนแปลง สอดคล้องกับตลาดแรงงาน

โดยเฉพาะการสร้างโอกาสให้แก่แรงงานไทยไปทำงานในตลาดต่างประเทศ ซึ่งประเทศซาอุดีอาระเบียเป็นตลาดแรงงานสำคัญ ในอดีตมีแรงงานไทยไปทำงานจำนวนมาก และเป็นกำลังสำคัญในการสร้างรายได้เข้าประเทศไทยจำนวนมหาศาล ซึ่งประเทศนี้มีความต้องการแรงงานในตำแหน่ง วิศวกร ช่างก่อสร้าง ช่างไฟฟ้า ผู้จัดการ ผู้เชี่ยวชาญด้านงานคอมพิวเตอร์ พ่อครัวหรือเชฟ พนักงานโรงแรม ช่างตัดเย็บเสื้อผ้า ผู้ควบคุมงานด้านโลจิสติกส์ ช่างเจียระไน และพนักงานขับรถบรรทุก

ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน เตรียมการรองรับส่งแรงงานไทยไปประเทศซาอุดีอาระเบีย โดยเร่งพัฒนาทักษะพร้อมทั้งดำเนินการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงานแห่งชาติในสาขาอาชีพซึ่งกำลังเป็นที่ต้องการดังกล่าว 

นายประทีป  ทรงลำยอง อธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กล่าวว่า ได้เรียกประชุมหน่วยงานทั่วประเทศผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ให้เตรียมความพร้อมฝึกทักษะแรงงานไทยป้อนตลาดแรงงานซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเมื่อเร็วๆนี้ ท่านนายกรัฐมนตรี พล.อ. ประยุทธ์  จันทร์โอชา พร้อมด้วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน นายสุชาติ ชมกลิ่น เดินทางไปกระชับความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลไทยกับราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย และเปิดตลาดแรงงานในซาอุดีอาระเบียซึ่งมีความต้องการแรงงานฝีมือคนไทยเป็นจำนวนมาก

ขณะนี้กรมพัฒนาฝีมือแรงงานได้ดำเนินการเชิงรุกเพื่อขับเคลื่อนนโยบายดังกล่าว เตรียมความพร้อมทั้งด้านหลักสูตรฝึกอบรม สถานที่เครื่องมือ เครื่องจักร และอุปกรณ์ โดยหลักสูตรที่กรมพัฒนาฝีมือแรงงานดำเนินการฝึกจะเน้นเรื่องความปลอดภัยในการทำงาน การใช้วัสดุอุปกรณ์อย่างมีประสิทธิภาพ ความคุ้มค่า รวมถึงทักษะด้านภาษา

ทั้งนี้ ต้องเร่งประชาสัมพันธ์ พร้อมเตรียมเปิดฝึกอบรมได้ทันที ทั้งด้านความรู้ ทักษะฝีมือในสาขาหรือตำแหน่งงานที่จะไปทำงาน รวมถึงการทดสอบมาตรฐานฝีมือแรงงาน ก่อนไปทำงานต่างประเทศ เพื่อให้ได้รับค่าจ้าง ค่าตอบแทนที่มีมาตรฐานและเป็นธรรม เน้นบูรณาการข้อมูลความต้องการตำแหน่งงานกับกรมการจัดหางาน เพื่อดำเนินการฝึกได้ตรงกับความต้องการในต่างประเทศ 

ดีพร้อม จับมือพันธมิตร ชวนชาวเหนือช็อปสนุก ในงาน ‘DIPROM MOTOR SHOW 2022’

กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม (กสอ.) หรือ ‘ดีพร้อม’ จับมือพันธมิตรภาครัฐและเอกชน เชิญชวนทุกท่านร่วมช็อปสินค้าดีมีคุณภาพ กับครั้งแรกในงาน ‘DIPROM MOTOR SHOW 2022’ พื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งภายในงานจะพบกับรถยนต์และจักรยานยนต์ กว่า 20 ค่ายดัง ยกขบวนพาเหรดโปรโมชันพิเศษสุดมาให้เลือกสรรภายในงานไม่ต่ำกว่า 10% พร้อมดาวน์ 0% 
 

โปรเจกต์ 'เชื่อมมิตร-เศรษฐกิจ' ใต้ความล้ำคิดของจีน ที่ชาติพันธมิตรถอดใจ เหตุมองจุดคุ้มจากการลงทุน

เพจ ลึกชัดกับผิงผิง โพสต์ข้อความถึงโครงการรถไฟจีน-ลาว ว่า ปี 2017 นายหยวน เจ้อเสียง หนุ่มชาวมณฑลหูหนาน (袁志祥) จบการศึกษามหาวิทยาลัย เข้าทำงานการรถไฟจีน เป็นช่วงที่กำลังก่อสร้างทางรถไฟจีน-ลาว เขาจึงถูกส่งไปทำงานที่เขตเขาที่อยู่ทางเหนือของทางรถไฟลาว 

ต่อมาไม่นาน หยวน เขารู้จักกับสาวลาวท้องถิ่นชื่ออาเฟิน (ชื่อภาษาจีน) และกลายเป็นแฟนกันในที่สุด 

ปี 2018 อาเฟินได้รับเชิญไปร่วมงานฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์ นายหยวน เจ้อเสียงขึ้นเวทีร้องเพลงจีน “เจิงฝู” (征服) ที่แปลว่าพิชิต เพลงนี้พิชิตใจสาวงาม อาเฟินตัดสินใจแต่งงานกับเขา 

ปี 2019 ลูกสาวคนแรกถือกำเนิดที่อำเภอหมื่นล่า มณฑลยูนนาน พวกเขาตั้งชื่อหยวน ซืออี๋ ซึ่งมีความหมายถึงมิตรภาพจีน-ลาว 

หลังโครงการทางรถไฟจีน-ลาวสร้างแล้วเสร็จ ครอบครัวนี้ยังอยู่ต่อในลาวอีกระยะหนึ่ง จนให้กำเนิดลูกสาวคนที่ 2 และตั้งชื่อ หยวน ซืออัน มีความหมายที่ต้องการให้จีนกับลาวเจริญรุ่งเรือง ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุข 

เรื่องดังกล่าวเป็นเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดขึ้นในโครงการก่อสร้างทางรถไฟจีน-ลาว ที่เป็นก้าวแรกของเครือข่ายรถไฟจีน-อาเซียน ตลอดจนเครือข่ายรถไฟอาเซียน-จีน-ยุโรป 

เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม ค.ศ. 2021 มีพิธีเปิดทางรถไฟจีน-ลาว ที่เชื่อมต่อกรุงเวียงจันทน์กับเมืองคุนหมิงเมืองเอกมณฑลยูนนาน ผู้นำจีนและลาวต่างมาร่วมพิธีเปิด ถือว่าเป็นการให้ความสำคัญกับทางรถไฟสายนี้อย่างสูง 

ทางรถไฟจีน-ลาวช่วงที่อยู่ในลาวมีระยะทาง 414 กิโลเมตร ความเร็ว 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขณะที่จีนในปัจจุบันเฉพาะทางรถไฟความเร็วสูงก็มีกว่า 35,000 กิโลเมตร จึงมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าทางรถไฟจีน-ลาวมีความสำคัญสูงถึงขนาดที่ผู้นำทั้งสองประเทศต้องไปร่วมพิธีเปิดการเดินรถเลยหรือ? 

คำตอบคือใช่ เพราะนี่เป็นทางรถไฟที่เกี่ยวข้องกับอนาคตของประชาชนลาว ประชาชนในภาคตะวันตกเฉียงใต้จีนและประชาชนอาเซียน 

มีคำถามว่า ลาวเป็นประเทศยากจนและไม่มีทางออกสู่ทะเล จะมีความสามารถปรับเปลี่ยนอนาคตของมณฑลยูนนาน กระทั่งเขตภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีนเชียวหรือ? คำตอบคือ ลาวคงไม่มี แต่ภูมิภาคเอเชียตะวันตกเฉียงใต้มีศักยภาพแบบนี้ ทางรถไฟจีน-ลาว เป็นเพียงขั้นแรก เป็นส่วนหนึ่งของทางรถไฟแพนเอเชีย 

ลาวเป็นประเทศที่มีภูมิประเทศแบบดั้งเดิม มีทรัพยากรธรรมชาติมากมาย เฉพาะเหมืองแร่โลหะขนาดใหญ่ก็มีกว่า 450 แห่ง ปัจจุบันขุดออกมาใช้แค่เพียง 3% เท่านั้น เพราะเมื่อขุดออกมาแล้วไม่มีทางขนส่งออกไปขาย จึงไม่มีใครกล้ามาลงทุนช่วยลาวขุดเหมืองแร่ ชาวลาวจึงเพียงเฝ้ารอคอย 

ปี 2016 รัฐบาลลาววางแผนพัฒนาระยะ 15 ปี หวังรับการลงทุนจากต่างประเทศเพื่อสร้างทางรถไฟ ทำให้ลาวซึ่งเดิมเป็นประเทศที่ถูกล็อกไว้ในแผ่นดินชั้นในมาเป็นประเทศที่เป็นชุมทางภูมิภาค และการสร้างทางรถไฟนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย ดังนั้น ประเทศเอเชียตะวันออกจำนวนหนึ่งก็ยินดีเข้าร่วมด้วย 

ก่อนเปิดเดินรถไฟจีน-ลาว ทั้งประเทศลาวมีทางรถไฟเพียง 3 กิโลเมตรเท่านั้น นี่ไปทางรถไฟที่จะเชื่อมต่อกับไทย เพื่อให้ความสะดวกแก่แรงงานลาวที่จะเข้าไปทำงานในไทย 

พื้นที่ส่วนใหญ่ของลาวเป็นป่าไม้ เขตที่สร้างทางรถไฟพอดีอยู่ในเขตรอยต่อของแผ่นธรณีภาคยูเรเซีย (Eurasian Plate) รองรับทวีปยุโรป ทวีปเอเชียและพื้นน้ำบริเวณใกล้เคียงมีชั้นแตกหักมากมาย ทั้งเป็นแนวที่เกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.0 ริกเตอร์ สัดส่วนอุโมงค์และสะพานมีกว่า 70% ช่วงเดือนเมษายนถึงตุลาคม จะมีฝนตกชุก 

นอกจากนั้น ช่วงสงครามเวียดนาม เส้นทางโฮจิมินห์ส่วนใหญ่ผ่านลาว ทหารสหรัฐฯ ฝังระเบิดไว้กว่า 200 ล้านลูก จนถึงปัจจุบันยังเหลือกว่า 10 ล้านลูกที่ยังไม่ระเบิด จำนวนลูกระเบิดมากกว่าจำนวนประชากรลาวด้วย ทำให้ลาวมีพื้นที่ที่ต้องปิดไม่ให้ผู้คนเข้าไปอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งยังทำให้ลาวที่เป็นประเทศยากจน แต่สินค้ากลับมีราคาสูง 

สรุป การสร้างทางรถไฟในลาวยากมากและอันตรายมาก ต้องลงทุนสูงและมีความเสี่ยงสูง สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และยุโรปไม่ยอมลงทุน มีแต่จีนเท่านั้นที่ตัดสินใจไปช่วย 

การสร้างทางรถไฟต้องใช้เงินทุน รัฐบาลลาวออกทุน 33% รัฐบาลจีนออก 7% บริษัทจีนในลาวออกทุน 60% หลังสร้างเสร็จ จีนเป็นฝ่ายบริหารก่อนครบอายุสัญญา แล้วจึงมอบให้แก่รัฐบาลลาว โครงการที่ทำยากมากๆ นี้แต่จีนใช้เวลา 5 ปีก็สร้างเสร็จและเปิดใช้ได้ 

ย้อนหลังทศวรรษที่ 1960 คณะกรรมการเศรษฐกิจและสังคมแห่งเอเชียและแปซิฟิก (Economic And Social Commission For Asia And The Pacific) หรือ แอสแคป (ESCAP) ได้กำหนดโครงการเครือข่ายทางรถไฟขนส่งสินค้าที่เชื่อมต่อทวีปเอเชียกับยุโรป ระยะทาง 14,080 กิโลเมตร ที่เริ่มจากสิงคโปร์-อิสตันบูล จนถึงยุโรป กระทั่งเชื่อมต่อกับแอฟริกา 

ปี ค.ศ. 1995 ในการประชุมผู้นำอาเซียนครั้งที่ 5 ดร.มหาเธร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย สืบทอดแนวคิดโครงการดังกล่าว เสนอให้สร้างทางรถไฟระหว่างประเทศที่ออกจากคุนหมิงผ่านลาวเข้าไทยกับ มาเลเซียและสิ้นสุดที่สิงคโปร์ เหล่าผู้นำประเทศที่ร่วมการประชุมล้วนเห็นด้วย และวางแผนจะสร้างให้แล้วเสร็จภายในเวลา 10 ปี โดยมียอดการลงทุนกว่า 15,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จีนออกประมาณครึ่งหนึ่ง

แต่เรื่องนี้พูดง่ายทำยาก คุยไปคุยมาจนถึงเดือนกันยายนปี 1999 จึงมีการลงนามบันทึกช่วยจำในการประชุมระดับรัฐมนตรีครั้งที่ 5 อาเซียน กำหนดแผนรถไฟแพนเอเชีย 

หลังจากนั้นคุยกันอีก 4 ปี เดือนสิงหาคม ค.ศ. 2010 ที่เมืองปูซาน เกาหลีใต้ 18 ประเทศได้ลงนาม “ความตกลงระหว่างรัฐบาลเกี่ยวกับเครือข่ายรถไฟเอเชีย” ที่มีแผนจะสร้าง “เส้นทางสายไหมเหล็กกล้า” 4 สาย เพื่อเชื่อมต่อทวีปเอเชียกับยุโรป ได้แก่ 

เส้นทางเหนือ เชื่อมต่อคาบสมุทรเกาหลี จีน มองโกเลีย คาซัคสถาน รัสเซีย ระยะทางรวม 32,500 กิโลเมตร

เส้นทางใต้ ผ่านยูนนาน พม่า อินเดีย อิหร่าน ถึง ตุรกี ระยะทางรวม 22,600 กิโลเมตร

'ช.การช่าง-ไอทีดี' พร้อม!! เริ่มก่อสร้าง 65 คาดพร้อมเปิดให้บริการภายในปี 2570

เพจ ข่าวรถไฟ โพสต์ข้อความระบุว่า ปักหมุดเตรียมก่อสร้างสายสีม่วงใต้!

ตอนนี้ก็รู้ผลกันแล้วว่า สายสีม่วงใต้ใครจะได้บริษัทอะไรบ้างสร้างในช่วงไหนบ้าง โดยเมื่อวันที่ 1 ก.พ. 65 ที่ผ่านมา ทาง รฟม. หรือการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยได้เปิดเผยผลการประกวดราคาจ้างการก่อสร้างดังนี้

สัญญาที่ 1 ช่วงเตาปูน - หอสมุดแห่งชาติ ได้ผู้เสนอราคาต่ำสุดคือ CKST-PL JOINT VENTURE (บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน))

สัญญาที่ 2 ช่วงหอสมุดแห่งชาติ - ผ่านฟ้า ได้ผู้เสนอราคาต่ำสุดคือ CKST-PL JOINT VENTURE (บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) และ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน))

“สุชาติ” รมว.แรงงาน เผยข่าวดี ผู้ประกันตนมาตรา 40 เฮ!! อีกรอบ ครม.เห็นชอบของขวัญปีใหม่ 65 ลดเงินสมทบเหลือร้อยละ 60 ต่ออีก 6 เดือน (ก.พ. – ก.ค. 65)

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า การประชุมคณะรัฐมนตรีภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและพล.อ.ประวิตร วงศ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลกระทรวงแรงงาน เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 มีมติเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการ จ่ายเงินสมทบประเภทของประโยชน์ทดแทนตลอดจนหลักเกณฑ์และเงื่อนไขแห่งสิทธิประโยชน์ทดแทนของบุคคลซึ่งสมัครเป็นผู้ประกันตน (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ... และร่างกฎกระทรวงกำหนดที่รัฐบาลอัตราเงินสมทบที่รัฐบาลจ่ายเข้ากองทุนประกันสังคมสำหรับผู้ประกันตน พ.ศ. ...

ซึ่งเป็นของขวัญปีใหม่ 2565 จากกระทรวงแรงงาน ที่พร้อมมอบให้กับผู้แรงงงานนอกระบบ ซึ่งประกอบอาชีพอิสระ และสมัครใจเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 และได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ให้เหลือร้อยละ 60 ของเงินสมทบ ต่ออีกเป็นระยะเวลา 6 เดือน ในงวดเดือนกุมภาพันธ์ – กรกฎาคม 2565 ให้ผู้ประกันตนมาตรา 40 จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม ในอัตราใหม่ 3 ทางเลือก ดังนี้

ทางเลือกที่ 1 ให้ผู้ประกันตนซึ่งจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทน ในกรณีการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ทุพพลภาพ ตาย จากเดิมจ่ายในอัตรา 70 บาท/เดือน จ่ายอัตราใหม่ เป็น 42 บาท/เดือน

ทางเลือกที่ 2 ให้ผู้ประกันตนซึ่งจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทน ในกรณีการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ทุพพลภาพ ตาย และกรณีชราภาพ จากเดิมจ่ายในอัตรา 100 บาท/เดือน จ่ายอัตราใหม่เป็น 60 บาท/เดือน

ทางเลือกที่ 3 ให้ผู้ประกันตนซึ่งจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนมีสิทธิได้รับประโยชน์ทดแทน ในกรณีการประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ทุพพลภาพ ตาย ชราภาพ และกรณีสงเคราะห์บุตร จากจากเดิมจ่าย ในอัตรา 300 บาท/เดือน จ่ายอัตราใหม่เป็น 180 บาท/เดือน

ส่วนสิทธิประโยชน์ที่ผู้ประกันตนมาตรา 40 จะได้รับทั้ง 3 เลือก ยังคงเดิม ทั้งนี้ กระทรวงแรงงาน สำหรับขั้นตอนของกฎกระทรวงดังกล่าว กระทรวงแรงงานโดยสำนักงานประกันสังคมจะได้เร่งดำเนินการเพื่อให้ประกาศใช้เป็นกฎหมายได้ทันภายในกำหนดต่อไป

ครม. ให้ ก.แรงงาน ปรับสูตรคำนวณบำเหน็จชราภาพ กรณีผู้ประกันตนที่รับบำนาญเสียชีวิต 

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ ระยะเวลา และอัตราการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพ (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ ร่างกฎกระทรวงฉบับนี้ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ ระยะเวลา และอัตราการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพ พ.ศ.2550 โดยแก้ไขเพิ่มเติมหลักเกณฑ์การจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพ เพื่อเป็นหลักประกันแก่ผู้รับเงินบำเหน็จชราภาพในกรณีผู้รับเงินบำนาญชราภาพเสียชีวิตภายใน 60 เดือน นับแต่เดือนที่มีสิทธิรับบำนาญชราภาพ ให้ได้รับเงินบำเหน็จชราภาพเพิ่มขึ้น ซึ่งมีสาระสำคัญดังนี้

1.ผู้รับบำนาญชราภาพถึงแก่ความตายภายใน 60 เดือน นับแต่เดือนที่มีสิทธิได้รับเงินบำนาญชราภาพ ให้จ่ายเงินบำเหน็จชราภาพ จากเดิม 10 เท่าของเงินบำนาญชราภาพรายเดือนที่ได้รับครั้งสุดท้ายก่อนถึงแก่ความตาย เป็น “จำนวนเท่ากับจำนวนเงินบำนาญชราภาพที่ได้รับเดือนสุดท้ายก่อนถึงแก่ความตาย x จำนวนเดือนที่เหลือหลังจากผู้รับเงินบำนาญชราภาพถึงแก่ความตายจนครบ 60 เดือน 

ตัวอย่างเช่น กรณีที่ผู้ประกันตนได้รับบำนาญชราภาพเดือนละ 5,250 บาท โดยได้รับมาแล้ว 20 เดือน ก่อนถึงแก่ความตาย เมื่อผู้ประกันตนเสียชีวิต ทายาทของผู้ประกันตนจะได้รับบำเหน็จชราภาพ ตามที่ร่างกฎกระทรวงฉบับใหม่กำหนด คือ 5,250 x (60 - 20) = 210,000 บาท จากเดิมจะได้รับ 5,250 x 10 = 52,500 บาท 

2.บุคคลซึ่งถูกงดการจ่ายเงินบำนาญชราภาพ เนื่องจากกลับเข้าเป็นผู้ประกันตนและความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลงด้วยเหตุเสียชีวิต หากบุคคลนั้นได้รับเงินบำนาญชราภาพมาแล้วไม่เกิน 60 เดือน ให้จ่ายเงินบำเหน็จชราภาพ จากเดิม 10 เท่าของเงินบำนาญชราภาพรายเดือนครั้งสุดท้าย ก่อนกลับเขาเป็นผู้ประกันตน เป็น “จำนวนเท่ากับจำนวนเงินบำนาญชราภาพที่ได้รับเดือนสุดท้ายก่อนกลับเข้าเป็นผู้ประกันตน x จำนวนเดือนที่เหลือหลังจากผู้รับเงินบำนาญชราภาพกลับเข้าเป็นผู้ประกันตนจนครบ 60 เดือน”

ตัวอย่างเช่น กรณีที่ผู้ประกันตนได้รับบำนาญชราภาพเดือนละ 5,250 บาท และได้รับเงินบำนาญชราภาพมาแล้ว 20 เดือน ต่อมากลับเข้ามาทำงาน เงินบำนาญชราภาพดังกล่าวจะถูกงดจ่าย และเมื่อผู้ประกันตนเสียชีวิต ทายาทของผู้ประกันตนจะได้รับบำเหน็จชราภาพ ตามที่ร่างกฎกระทรวงฉบับใหม่กำหนด คือ 5,250 x (60 - 20) = 210,000 บาท จากเดิมจะได้รับ 5,250 x 10 = 52,500 บาท

ครม.เห็นชอบ ลดเงินสมทบประกันสังคม ม.40 อีก 6 เดือน เริ่ม 1 ก.พ.- 31 ก.ค.65

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.เห็นชอบขยายระยะเวลาการลดอัตราเงินสมทบของผู้ประกันตนมาตรา 40 ที่ต้องจ่ายเข้ากองทุนประกันสังคม เป็นระยะเวลา 6 เดือน เริ่มตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 – 31 กรกฎาคม 2565 โดยมีอัตราส่งเงินสมทบภายหลังปรับลดทั้ง 3 ทางเลือก ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอดังนี้

ทางเลือกที่ 1 ลดเงินสมทบเหลือ 42 บาท จากเดิม 70 บาท โดยได้ประโยชน์ทดแทนใน 3 กรณี คือ ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ทุพพลภาพ และเสียชีวิต

ทางเลือกที่ 2 ลดเงินสมทบเหลือ 60 บาท จากเดิม 100 บาท โดยได้ประโยชน์ทดแทนใน 4 กรณี คือ ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ทุพพลภาพ เสียชีวิต และชราภาพ

ทางเลือกที่ 3 ลดเงินสมทบเหลือ 180 บาท จากเดิม 300 บาท โดยได้ประโยชน์ทดแทนใน 5 กรณี คือ ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ทุพพลภาพ เสียชีวิต ชราภาพ และสงเคราะห์บุตร

“สุชาติ” รมว.แรงงาน แจ้งข่าวดี นายจ้าง! ประกาศขยายกำหนดเวลายื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบและการนำส่งเงินสมทบผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) ออกไปอีก 7 วันทำการ

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) นำโดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแลกระทรวงแรงงาน มีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงแรงงานจากการประชุม ครม.เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2565 ที่ผ่านมา เรื่อง ขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบและการนำส่งเงินสมทบผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e - Payment) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอและให้ดำเนินการต่อไปได้

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมสนับสนุนและรองรับความสะดวกในการประกอบธุรกิจของนายจ้าง และเพื่อประโยชน์ของผู้ประกันตนให้ได้รับความคุ้มครองประกอบกับเพื่อบรรเทาและเยียวยาผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และส่งเสริมการคงระยะห่างทางสังคม โดยสนับสนุนให้นายจ้างทำธุรกรรมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งบัดนี้ กระทรวงแรงงานได้ออกประกาศดังกล่าว ลงในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2565 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 29 มกราคม 2565 เป็นต้นไx

นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน กล่าวถึงประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง การขยายกำหนดเวลาให้นายจ้างยื่นแบบและนำส่งเงินสมทบผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) ในครั้งนี้ว่า นายจ้างจะได้รับประโยชน์เป็นอย่างมาก โดยสาระสำคัญของประกาศดังกล่าว สำนักงานประกันสังคมจะขยายกำหนดเวลาในกรณีนายจ้างยื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบและการนำส่งเงินสมทบตามมาตรา 47 แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันสังคม (ฉบับที่ 4)พ.ศ.2558 โดยวิธีการนำส่งเงินสมทบผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) ออกไปอีก 7 วันทำการนับแต่วันที่พ้นกำหนดวันที่สิบห้าของเดือนถัดจากเดือนที่มีการหักเงินสมทบไว้ ซึ่งจะมีผลตั้งแต่เงินสมทบงวดเดือนมกราคม 2565 ถึงเดือนธันวาคม 2566 รวม 24 เดือน

‘สุริยะ’ ปลื้ม!! ‘แผนคุมโควิด-ฉีดวัคซีน’ อุตฯ เข้ม!! ดันดัชนีผลผลิตฯ 64 ทะลุเป้า พ่วงยอดส่งออกสูงลิ่ว

กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เผย ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) เดือนธันวาคม 2564 ขยายตัวร้อยละ 6.83 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมปี 2564 ขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 5.93 สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยคาดว่าเศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมปี 2565 มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นหลังการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเดือนธันวาคมขยายตัวร้อยละ 23.56 มีมูลค่าส่งออกสูงสุดเป็นประวัติการณ์ การนำเข้าเพื่อการผลิตขยายตัวอย่างต่อเนื่อง แนวโน้มเศรษฐกิจโลกดีขึ้น ตลาดภายในประเทศเริ่มฟื้นตัวหลังการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมถึงการเปิดประเทศและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมไทยขยายตัวใกล้เคียงกับช่วงก่อนหน้าสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 โดยภาพรวมดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ทั้งปี 2564 ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ร้อยละ 5.93 สูงกว่าเป้าหมายที่สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ประมาณการซึ่งจากเดิมคาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.0-5.0 นอกจากนี้เศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมปี 2565 คาดการณ์ว่ามีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากสัญญาณการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม (ไม่รวมทองคำ อาวุธ รถถัง และอากาศยาน) เดือนธันวาคมที่ผ่านมาขยายตัวร้อยละ 23.56 ซึ่งมีมูลค่าส่งออกอยู่ที่ 19,572.3 ล้านเหรียญสหรัฐ สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ ประกอบกับการนำเข้าสินค้าทุน สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ไม่รวมทองคำ) เดือนธันวาคม 2564 ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อจัดเตรียมการผลิตต่อไป

“สถานการณ์เศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรมฟื้นตัวใกล้เคียงช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 หลังประเทศคู่ค้ามีมาตรการรับมือทางด้านเศรษฐกิจ ในขณะเดียวกันการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และการกระจายวัคซีนที่ดีขึ้นในโรงงานอุตสาหกรรม ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมเป็นกลไกสำคัญในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทย โดยคาดว่าในปี 2565 จะขยายตัวเพิ่มขึ้นหลังแนวโน้มเศรษฐกิจโลกดีขึ้น รวมถึงตลาดภายในประเทศเริ่มฟื้นตัวหลังการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดและได้รับการสนับสนุนผ่านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องของภาครัฐ” นายสุริยะ กล่าว 

‘จุรินทร์’ กาง 7 แผนสอดรับ Saudi Vision 2030 เน้นขยายการค้า บุกตลาด ‘ฮาลาล’ เต็มพิกัด

หลังจากที่ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้มีคำสั่งให้กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ วิเคราะห์สถานการณ์การค้าของไทยกับซาอุดีอาระเบีย หากมีการรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างกัน สืบเนื่องจากการเยือนของนายกรัฐมนตรี ระหว่างวันที่ 25-26 มกราคม 2565 ตามคำเชิญของเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด มกุฎราชกุมารรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมซาอุดีอาระเบียนั้น

ล่าสุด นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษา รมว.พาณิชย์ เปิดเผยถึงข้อวิเคราะห์และรายงานจากสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ เมือง เจดดาห์ ระบุว่า เจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด มกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมซาอุดีอาระเบีย พระองค์เป็นมกุฎราชกุมารและเป็นว่าที่กษัตริย์แห่งซาอุดีอาระเบียองค์ต่อไป ทั้งยังเป็นผู้กำหนดแผนยุทธศาสตร์ Saudi Vision 2030 ที่ใช้ในการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจประเทศซาอุดีอาระเบีย การที่นายกรัฐมนตรีประเทศไทยมีโอกาสเข้าเฝ้าหารือกับเจ้าชายนั้น ทำให้เป็นโอกาสที่ซาอุดีอาระเบียจะฟื้นความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างกัน ซึ่งจะทำให้เกิดความคล่องตัวในหลายด้าน เช่น การผ่อนปรนการเข้าออกประเทศ การผ่อนปรนมาตรการทางการค้า การสั่งซื้อสินค้าจากประเทศไทยเพิ่มขึ้น การร่วมลงทุนและการนำแรงงานฝีมือจากประเทศไทยเข้าไปทำงานในซาอุดีอาระเบีย
ส่วนแผนงานและกิจกรรม ที่กระทรวงพาณิชย์ โดยส่งเสริมการค้าระหว่างไทย วางแผนตามนโยบายและยุทธศาสตร์ของนายจุรินทร์ กับประเทศซาอุดีอาระเบีย ได้แก่... 

1.) การจัดกิจกรรมสัมมนาให้ความรู้ด้านการตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคเปิดกว้างทางวัฒนธรรมของซาอุฯ ภายใต้ยุทธศาสตร์ Saudi Vision 2030 
2.) การจัดคณะผู้แทนการค้านักธุรกิจทั้งจากไทยไปซาอุฯ และจากซาอุฯ มาเยือนประเทศไทย เพื่อกระชับความสัมพันธ์และสร้างเครือข่ายระหว่างกัน 
3.) การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายสินค้าไทยร่วมกับซูเปอร์มาร์เก็ตชั้นนำในซาอุฯ เช่น ข้าว อาหารฮาลาล และผลไม้ เป็นต้น เพื่อให้สินค้าได้เป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น 
4.) การเชิญผู้ประกอบการไทยร่วมงานแสดงสินค้าในซาอุฯ เช่น งานแสดงสินค้าอาหารและสินค้าฮาลาล Saudi Food Expo 
5.) การประชาสัมพันธ์ภาพลักษณ์สินค้าอาหารสินค้าฮาลาล ผ่านช่องทางออนไลน์
6.) การเชิญผู้นำจากซาอุฯ ร่วมเจรจาการค้าผ่านออนไลน์ Online business Matching 
7.) การเชิญผู้นำจากประเทศซาอุฯ ร่วมงานแสดงสินค้านานาชาติของไทย ทั้งรูปแบบปกติ หรือรูปแบบไฮบริด และรูปแบบออนไลน์ 

โดย 7 แผนงานนี้ จะมีขึ้นในปี 2565 ขอให้ติดตามความเคลื่อนไหวจากกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ และอยากแนะนำให้ติดตามข่าวสารโดยผ่านทุกช่องทางของกระทรวง ผู้ประกอบการที่สนใจจะได้โอกาสและไม่พลาดตลาดสำคัญอีกแห่งหนึ่ง

'รัฐบาล' ยืนยันความพร้อมเปิดประเทศอีกรอบ 1 ก.พ.นี้ แบบเทส แอนด์ โก

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลยืนยันความพร้อมในการรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่จะเดินทางเข้าประเทศผ่านระบบเทส แอนด์ โกได้อีกครั้ง ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ. 2565 เป็นต้นไป ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายได้เตรียมพร้อมรับแนวทางการดำเนินนโยบายของนายกรัฐมนตรี ที่ได้สั่งการให้เดินหน้ากิจกรรมทางเศรษฐกิจ ฟื้นการท่องเที่ยว ควบคู่ไปกับมาตรการด้านสาธารณสุขที่รัดกุม เพื่อให้ประชาชนในหลายๆ สาขาอาชีพ มีงาน มีรายได้ เพื่อตนเองและครอบครัว แต่ไม่ขัดต่อสถานการณ์การควบคุมโรคโควิด -19 ของทั่วโลก

สำหรับความพร้อมในการรับนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางเข้าประเทศอย่างเต็มที่ภายใต้มาตรการสาธารณสุขขั้นสูงสุด ได้กำหนดแนวทางไว้แล้ว ตั้งแต่สนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งถือเป็นด่านหน้าต้อนรับนักท่องเที่ยว ได้มีการเตรียมความพร้อมรองรับผู้โดยสารที่จะกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ภายใต้มาตรการคัดกรองที่เข้มงวด และตามแนวทางด้านสาธารณสุข โดยได้ร่วมทำงานกับหน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องขณะเดียวกันกระทรวงสาธารณสุขก็ได้ประสานงานกับสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) ปรับมาตรการเพิ่มเติมด้านสาธารณสุข รวมทั้ง ได้มีการเตรียมพร้อมแผนเผชิญเหตุรองรับผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในอนาคต

ททท.เร่งโปรโมทดึงคนซาอุฯ เที่ยวไทย หลังฟื้นความสัมพันธ์ในรอบ 30 ปี

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เปิดเผยถึงสถานการณ์ท่องเที่ยวของไทยและซาอุดีอาระเบีย หลังจากทั้ง 2 ประเทศกลับมาการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทวิภาคีอีกครั้งในรอบ 30 ปี ว่า ททท. จะเร่งเดินหน้าวางแผนจัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์และเสนอขายการท่องเที่ยว เพื่อดึงให้นักท่องเที่ยวในซาอุดีอาระเบียได้เดินทางมาเที่ยวประเทศไทย เพราะผ่านมาทางการซาอุดีอาระเบีย ไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวชาวซาอุดีอาระเบีย เดินทางไปยังประเทศไทย สำหรับการท่องเที่ยว แต่อนุญาตให้เดินทางเพื่อการรักษาพยาบาล การติดต่อเจรจาธุรกิจหรือทางราชการเท่านั้น 

สำหรับแผนการทำการตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ ททท.จะร่วมมือกับ 3 สายการบินหลักในพื้นที่ตะวันออกกลาง ทั้งเอมิเรตส์ แอร์ไลน์, กาตาร์ แอร์เวย์ และ เอทิฮัด แอร์เวย์ส ที่มีเที่ยวบินเชื่อมโยงมาประเทศไทย เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นนักท่องเที่ยวกลุ่มตลาดนักท่องเที่ยวกลุ่มที่เคยเดินทางมาไทย โดยลงโฆษณาผ่านทางสื่อสิ่งพิมพ์ โซเชียลมีเดีย การจัดทริปท่องเที่ยวให้กับเอเย่นต์ทัวและสื่อมวลชนของซาอุดีอาระเบีย และการใช้ Arab KOLs ซึ่งปัจจุบันมีอิทธิพลทางความคิดในการช่วยประชาสัมพันธ์ประเทศไทย

คลังเปิดจีดีพีทั้งปี 64 โตแค่ 1.2% คาดปี 65 เร่งขึ้นเป็น 4% ได้

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทย ในปี 2564 คาดว่าจะขยายตัว 1.2% โดยเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ฟื้นตัวได้ดีกว่าที่คาดไว้ เนื่องจากได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกสินค้าและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ซึ่งมีส่วนสำคัญในการประคับประคองเศรษฐกิจไทย และเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบในทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดภายในประเทศที่ปรับดีขึ้นและการเร่งกระจายวัคซีนที่มีความครอบคลุมมากขึ้น 

ส่วนเศรษฐกิจไทยในปี 2565 กระทรวงการคลังคาดว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวเร่งขึ้นมาอยู่ในช่วง 4% โดยมีช่วงคาดการณ์ที่ 3.5 - 4.5% โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการใช้จ่ายในประเทศที่ขยายตัวหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย เริ่มมีผลกระทบในวงจำกัด คาดว่าการบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัว 4.5% และภาคการท่องเที่ยวที่กลับมาขยายตัวหลังจากการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างประเทศผ่านระบบ Test & Go อีกครั้ง ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.2565 เป็นต้นไป โดยคาดว่านักท่องเที่ยวต่างประเทศจะเดินทางเข้ามา 7 ล้านคน ขณะที่การส่งออกสินค้าคาดว่าจะขยายตัว 3.6% ตามอุปสงค์โลกที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง

‘เอ็น.ซี.ซี’ จัดหนัก!! เติมชีวิต ‘กิน-ช้อป-สุขภาพ’ ตอบโจทย์คนเมืองหลากไลฟ์สไตล์ในศูนย์สิริกิติ์

เปลี่ยนโฉมไปเยอะมาก สำหรับ ‘ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์’ ที่ต่อจากนี้ใครยังคุ้นภาพศูนย์แสดงสินค้ารูปแบบเดิม อาจต้องมีตกใจกันบ้าง!!

บริษัท เอ็น.ซี.ซี.แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด หรือ เอ็น.ซี.ซี.ฯ เปิดตำนานบทใหม่ให้แก่ ‘ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์’ (Queen Sirikit National Convention Center หรือ QSNCC) สู่การเป็น ‘The Ultimate Inspiring World Class Event Platform for All’ ที่ครอบคลุมการจัดงานทุกรูปแบบอย่างไร้ขีดจำกัด และตอกย้ำการเป็นมากกว่า ‘ศูนย์การประชุมฯ’ ด้วยการพัฒนาพื้นที่รีเทลเต็มรูปแบบ ภายใต้คอนเซปต์ ‘แอคทีฟ ไลฟ์สไตล์ มอลล์’ (Active Lifestyle Mall) ที่จะเปิดตัวพร้อมกับร้านค้าแบรนด์ชั้นนำกว่า 100 ร้าน เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มคนที่รักการออกกำลังกายและสุขภาพ ตลอดจนดีมานด์ของกลุ่มครอบครัว-และคนทำงานในเมือง

พื้นที่รีเทลของศูนย์ฯ สิริกิติ์โฉมใหม่นี้ มีจุดเด่นในด้านของทำเลที่ตั้ง ซึ่งสะดวกต่อการเดินทางเป็นอย่างมากด้วยจุดเชื่อมต่อกับ MRT ถึงด้านในอาคาร ทำให้ผู้ใช้บริการสามารถเข้าถึง QSNCC ได้โดยง่ายทุกช่วงเวลา พร้อมทั้งบริเวณโดยรอบยังถูกโอบล้อมด้วย ‘สวนป่าเบญจกิติ’ พื้นที่สีเขียวผืนใหญ่ร่วม 450 ไร่ ที่เปรียบเสมือนปอดแห่งใหม่ของคนกรุงเทพฯ และเป็นจุดศูนย์รวมของชุมชนรอบข้างและกลุ่มผู้รักสุขภาพสำหรับใช้เป็นพื้นที่พักผ่อนและออกกำลังกายอย่างเป็นประจำ ด้วยศักยภาพของพื้นที่แห่งนี้ประกอบกับความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่โดยรอบ ทำให้มั่นใจได้ว่าพื้นที่รีเทล QSNCC จะเป็นห้างใหม่ใจกลางเมืองที่น่าจับตามองด้วยรูปแบบการให้บริการพื้นที่ที่พิเศษ แตกต่าง และตอบโจทย์สังคมเมืองยุคใหม่

การเปิดตัวพื้นที่รีเทลของศูนย์ฯ สิริกิติ์โฉมใหม่นี้ จะเป็นศูนย์รวมด้านแอคทีฟไลฟ์สไตล์เต็มรูปแบบของกรุงเทพฯ หรือ Bangkok Active Lifestyle Mall (BALM) โดยปรับขนาดพื้นที่ใหญ่ขึ้นจากเดิมที่ 7,200 ตารางเมตร เป็น 11,000 ตารางเมตร แบ่งเป็นโซนตามหมวดหมู่ ประกอบด้วย กลุ่มร้านค้าอาหารและเครื่องดื่ม, กลุ่มอีเวนต์ซัพพอร์ต และกลุ่มแอคทีฟไลฟ์สไตล์ ซึ่งจะรองรับความต้องการของกลุ่มผู้รักสุขภาพและการออกกำลังกาย พร้อมกับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของรีเทลในประเทศไทยที่มีบริการในลักษณะนี้ รวมถึงยังได้เตรียมเปิดตัวแฟล็กชิพสโตร์แห่งแรกของสุดยอดแบรนด์อุปกรณ์และเครื่องแต่งกายกีฬาชั้นนำของไทยอีกด้วย 

นายศักดิ์ชัย ภัทรปรีชากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า “เอ็น.ซี.ซี.ฯ มุ่งมั่นที่จะยกระดับการให้บริการแพลตฟอร์มอีเวนต์ทุกรูปแบบ รวมถึงการสร้างประสบการณ์ระดับเวิลด์คลาส โดยจะขับเคลื่อนศูนย์ฯ สิริกิติ์ให้เป็นมากกว่า ‘ศูนย์การประชุมฯ’ แห่งใหม่ของภูมิภาคเอเชีย ซึ่งคาดว่าเมื่อโครงการพัฒนาแล้วเสร็จในเดือนกันยายน 2565 จะสามารถดึงดูดจำนวนผู้จัดงานและผู้เข้าใช้บริการได้มากขึ้นกว่า 13 ล้านคน/ปี ดังนั้น เพื่อเพิ่มศักยภาพในการให้บริการได้อย่างครอบคลุม จึงได้เตรียมขยายพื้นที่โซนรีเทลให้มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม 30%” 

ตรุษจีนซึมคนใช้จ่ายวูบหนักสุดรอบ 11 ปี

นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ เปิดเผยผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายของประชาชนในช่วงเทศกาลตรุษจีนปี 2565 พบว่า บรรยากาศการใช้จ่ายในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้ไม่คึกคัก เป็นผลมาจากประชาชนมีความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจที่ไม่ดีนัก ค่าใช้จ่ายสูงขึ้นเนื่องจากสินค้าราคาแพง รวมถึงรายได้ที่ลดลง ทำให้จำกัดในเรื่องของการซื้อสินค้าไหว้เจ้า การเดินทางท่องเที่ยว รวมถึงการใช้จ่ายอื่นๆ ลดลง โดยพบว่า ปีนี้มีเงินสะพัดที่ 39,627 ล้านบาท ถือเป็นมูลค่าเงินสะพัดที่ต่ำกว่า 40,000 ล้านบาทเป็นครั้งแรกในรอบ 11 ปี โดยติดลบจากตรุษจีนปีก่อน 11.82% ถือเป็นการติดลบต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 

“เงินสะพัดที่ลดลงเหลือแค่ 39,627 ล้านบาท ส่งผลต่อการขยายตัวของจีดีพีประมาณ 0.05% แต่ในช่วงเดียวกันรัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น โครงการคนละครึ่ง ก็พอจะช่วยทดแทนไปได้ แต่การลดวงเงินคนละครึ่งเหลือคนละ 1,200 บาท จากเดิม 1,500 บาท ทำให้เม็ดเงินที่จะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจหายไป 1.8 หมื่นล้านบาท ส่งผลให้การกระตุ้นเศรษฐกิจหายไป 0.15-0.2%”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top