Sunday, 6 July 2025
ECONBIZ

ระเบิดเวลาอนาคตไทย หากยังมองเวียดนาม 'ห่างชั้น-ด้อยพัฒนา' หลังเหงียนเริ่มกลืนตลาดออนไลน์ไทย โดยคนรุ่นใหม่

จากเพจเฟซบุ๊ก 'สมเกียรติ โอสถสภา' ได้โพสต์เรื่องราวของคนที่ได้สัมผัสกับนักกลุ่มธุรกิจเวียดนามรุ่นใหม่ที่กำลังมองไกล สร้างตัว สร้างชาติอย่างต่อเนื่อง โดยแนวทางสร้างตัวหนึ่งที่น่ากังวลต่ออนาคตของคนในบ้านเราอย่างมาก คือ การมาตักตวงโอกาสที่คนไทยส่วนใหญ่มองข้าม แต่พวกเขามองขาด ไว้ว่า... 

ใครรู้บ้างว่าค่าโฆษณาเฟซบุ๊กเวียดนาม แพงกว่าเมืองไทย 2-3 เท่า ธุรกิจขายของออนไลน์ในไทย คือ "Blue Ocean" สำหรับชาวเวียดและสินค้าจีนที่ขายออนไลน์จำนวนมากในไทย ขายโดยคนเวียดนามที่นั่งสั่งการอยู่ที่เวียดนาม

ช่วงที่ผ่านมา ดิฉันพอได้มีโอกาสติดตามความเคลื่อนไหวของนักธุรกิจรุ่นเยาว์กลุ่มหนึ่ง ที่รวมตัวกันขึ้นมาหลวมๆ เรียกตัวเองว่า CEO Club คุยกันตามร้านกาแฟวันเสาร์-อาทิตย์ เดือนละ 1-2 ครั้ง บางทีก็จัดสัมมนาย่อยๆ ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเทคนิคการทำการตลาดออนไลน์ 

และ CEO Club กลุ่มนี้ก็ไปเชื่อมโยงกับเครือข่ายธุรกิจออนไลน์ขนาดใหญ่ขึ้น ที่มุ่งเน้นทำธุรกิจข้ามชาติ มากกว่าขายของในเวียดนาม โดยเริ่มต้นจากไทย ไปมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ จากนั้นก็จะขยายไปตะวันออกกลางและภูมิภาคอื่นๆ เช่น สหรัฐอเมริกา

เท่าที่ได้เคยพูดจา เจอกันตัวเป็นๆ บ้างในงานสัมมนาต่างๆ คนกลุ่มนี้อยู่ในวัย 20-30 กลางๆ (ร้อยละ 90 อายุน้อยกว่าดิฉันทั้งนั้น)...หน้าตาซื่อๆ แต่งตัวธรรมดา ขี่มอเตอร์ไซค์ แบกเป้ กันตามปกติ ไม่มีอะไรผิดสังเกต นอกจาก พกโทรศัพท์มือถือ อย่างน้อย 2 เครื่อง และไปเจอกันเกือบทุกงานสัมมนา ซึ่งงานสัมมนาบางรอบรับเฉพาะบริษัทที่มีงบโฆษณาเฟซบุ๊กเกินเดือนละ 500,000 บาท หรือบางสัมมนารับเฉพาะบริษัทที่มีรายได้เกินเดือนละ 10 ล้านบาทเท่านั้น ...และก็ยังมีผู้เข้าร่วมสัมมนาเป็นร้อยคน !!! 

ในงานสัมมนานอกจากการฝึกอบรมทั่วไป มักจะมี CEO หน้าละอ่อน ขึ้นเวทีแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ทั้งที่สำเร็จและไม่สำเร็จอยู่เรื่อยๆ

ที่ฟังแล้วทึ่งก็มี และที่สะอึกก็มาก โดยเฉพาะเมื่อเขาพูดกันถึงการทำธุรกิจขายออนไลน์ในไทย!!! 

ดิฉันจึงอยากสรุปความนำมาเล่าตามประสาชาวบ้าน ที่เก็บความลับไม่อยู่ เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านชาวไทยบ้าง

📍แนวทางขายของออนไลน์ในไทยจากเวียดนาม... 

1. เข้าหุ้นหรือหาตัวแทนจดทะเบียนบริษัทในไทย 
2. เช่าอาคารพาณิชย์เป็นคลังสินค้าและออฟฟิศ
3. จ้างพนักงานชาวไทยระดับเงินเดือนประมาณ 15000-20000 บาท เพื่อลดอัตราการลาออก หน้าที่หลักคือ ขายของออนไลน์ ตอบลูกค้า แพ็กของ ส่งของ ให้คำปรึกษาลูกค้า ฯลฯ
4. ส่งคนเวียดนามไปอบรมพนักงานไทย ที่ไทย
5. นำสินค้าเข้าจากจีน
6. ทำการตลาด โฆษณาต่างๆ ผ่านเฟซบุ๊ก เว็บไซต์ ยูทูบ ติ๊กต๊อก ฯลฯ โดยตรงจากเวียดนาม
7. สื่อการตลาดต่างๆ เอาจากเวียดนามแล้วจ้างคนแปลหรือจ้างคนไทยทำ
8. สำหรับนักลงทุนใหม่ ช่วงเริ่มต้นยังไม่ต้องเอาสินค้าเข้าไป ทำโฆษณาไปก่อน มีออเดอร์แล้วค่อยส่งของ เพราะคนไทยรอออเดอร์ได้นาน ทำให้มีเวลา test ระบบได้ก่อนลงทุนจริง

📍การลงทุนและผลตอบแทน

- สินค้า (คุณภาพดี) สามารถขายได้ราคาสูงกว่าที่เวียดนามประมาณ 2-3 เท่า
- สามารถทำจำนวนออเดอร์ 2000-3000 ออเดอร์ต่อวัน ได้ภายใน 1 ปี (100 ออเดอร์ต่อวันภายใน 1-2 เดือน)
- ค่าโฆษณาร้อยละ 35
- ค่าสินค้าร้อยละ 20
- ค่าดำเนินการร้อยละ 10
- ค่าขนส่งร้อยละ 10
- เบ็ดเสร็จหากทำเป็น กำไรตั้งแต่เดือนแรก
- งบลงทุนขั้นต่ำ 4-5 ล้านบาท

📍ทำไมถึงเป็นประเทศไทย
- คนไทยชอบสินค้าตามกระแส ไฮเทค
- คนไทยชอบซื้อของ
- ยอดซื้อของต่อออเดอร์คนไทยสูงกว่าเวียดนาม
- ต้นทุนการตลาดถูกกว่าเวียดนามมาก
- คนไทยชอบของดีมีคุณภาพ
- คนไทยไม่รังเกียจของจีนเหมือนเวียดนาม
- คนไทยใจดี ซื่อสัตย์ ไว้ใจได้
- อัตราการคืนของต่ำมาก (3%) เวียดนาม 30%
- คนไทยรอของได้นาน 10-15 วันยังรอ (เวียดนามรอ 3-4 วันก็ยกเลิกออเดอร์แล้ว)
- การขนส่งมีประสิทธิภาพกว่าเวียดนาม
- กฎระเบียบในประเทศไทยไม่เข้มงวด

ศาลสั่งจำคุก 2 ปี เจ้าของเพจ 'ตาสว่าง' ปมบิดเบือนการเลี้ยงไก่ หมิ่นประมาทซีพี

10 ก.พ. 65 - สำนักยุทธศาสตร์ข้อมูลและการสื่อสาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ ออกเอกสารข่าวระบุว่า ตามที่เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) โดย บมจ.ซีพีเอฟ (ประเทศไทย) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสถิต โคกศรี สมาชิกเฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อบัญชีผู้ใช้ว่า “ตาสว่าง” ในข้อหา “หมิ่นประมาทและหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา” ต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ เมื่อวันที่ 15 ม.ค. 61 จากกรณีที่นายสถิต โคกศรี หมิ่นประมาทกล่าวใส่ร้ายบริษัทฯ กระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน โดยการโฆษณาคลิปวิดีโอบันทึกภาพ บันทึกเสียง โดยบิดเบือนข้อมูลว่าซีพีได้ใช้อาหารและสารเคมีต้องห้ามตามกฎหมายในการเลี้ยงไก่อย่างไม่ถูกต้อง และเลี้ยงไก่โดยใช้ฮอร์โมนเข้าไปทำให้ไก่โตไวผิดปกติ และกล่าวหาว่าซีพีประกอบธุรกิจเกษตรพันธสัญญาอย่างไม่เป็นธรรม เอารัดเอาเปรียบเกษตรกร โดยจากการสืบพยานของศาลอาญากรุงเทพใต้ พบว่าคำบิดเบือนของเพจตาสว่างไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ทั้งพบข้อเท็จจริงอีกว่า การใช้ฮอร์โมนในการเลี้ยงไก่เป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายในประเทศไทย และซีพีประกอบธุรกิจตามหลักกฎหมาย และตามหลักธรรมาภิบาลมาโดยตลอด รวมถึงได้ให้การสนับสนุนเกษตรกรเป็นอย่างดี

ส.อ.ท. เผยความเชื่อมั่นอุตฯ เพิ่มต่อเนื่อง แต่ขอรัฐแก้ปัญหาค่าครองชีพ - ตรึงดีเซล 

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม เดือนม.ค. 65 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน โดยอยู่ที่ระดับ 88.0 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 86.8 ในเดือนธ.ค. 64 โดยกลับมาอยู่ระดับใกล้เคียงก่อนวิกฤตโควิด-19 ในช่วงต้นปี 2563 ซึ่งค่าดัชนีปรับตัวดีขึ้นเกือบทุกองค์ประกอบยกเว้นต้นทุนผู้ประกอบการ เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนจากอุปสงค์ในประเทศและต่างประเทศที่ขยายตัว 

ทั้งนี้ สะท้อนจากคำสั่งซื้อสินค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทั้งสินค้าคงทนและสินค้าอุปโภคบริโภค ขณะที่รัฐผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจยังดำเนินไปได้แม้จะมีการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน แต่ไม่ได้ส่งผลรุนแรงในภาคอุตสาหกรรมเนื่องจากมีการเร่งฉีดวัคซีนให้กับแรงงานในภาคอุตสาหกรรม

'รองโฆษกรัฐบาล' เผย สิทธิ์ทัวร์เที่ยวไทย เหลือกว่า 168,000 สิทธิ์ ชวน นทท.เที่ยว-บริษัททัวร์ ร่วมโครงการ ด้าน “นายกฯ”ย้ำ เข้มงวดมาตรการคุมโรค

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่รัฐบาล ขยายระยะเวลาโครงการทัวร์เที่ยวไทย ไปสิ้นสุด ในเดือนพ.ค.นี้ ขณะนี้ระบบเปิดให้ประชาชนลงทะเบียนซื้อรายการนำเที่ยว บริษัทนำเที่ยวรายเดิมเริ่มส่งรายการนำเที่ยว และบริษัทนำเที่ยวรายใหม่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการได้แล้ว จึงขอเชิญชวนประชาชนที่สนใจ และผู้ประกอบการนำเที่ยวเข้าร่วมโครงการ  

โดยประชาชนสามารถดำเนินการขอรับสิทธิตามโครงการผ่านแอปพลิเคชั่นเป๋าตังค์ และสามารถตรวจสอบแพ็คเกจท่องเที่ยวของบริษัทนำเที่ยวที่เข้าร่วมโครงการได้ที่เว็บไซต์ www.ทัวร์เที่ยวไทย.ไทย ที่แบ่งกลุ่มให้เลือก 3 กลุ่ม คือ กลุ่ม silver เป็นแพ็คเกจทัวร์ราคาถูก กลุ่ม Gold แพ็คเกจทัวร์ราคาปานกลาง และกลุ่ม Platinum แพ็คเกจทัวร์ราคาสูง ขณะที่ผู้ประกอบการนำเที่ยวรายเดิม สามารถยื่นรายการนำเที่ยว ส่วนผู้ประกอบการรายใหม่ลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการและศึกษารายละเอียดขั้นตอนและหลักเกณฑ์ตามโครงการได้ที่เว็บไซต์ www.ทัวร์เที่ยวไทย.ไทย โดยข้อมูลถึงวันที่ 9 ก.พ.นี้ เหลือสิทธิตามโครงการกว่า 168,000 สิทธิ จากที่รัฐบาลให้สิทธิ 2 แสนสิทธิ  

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า สำหรับสิทธิตามโครงการนี้ รัฐบาลจะสนับสนุนส่วนลดค่าแพ็คเกจท่องเที่ยวในประเทศให้ประชาชนผู้ร่วมโครงการ 40 เปอร์เซ็นต์ แต่ไม่เกิน 5,000 บาทต่อสิทธิ ให้ 1 สิทธิต่อคน รวมทั้งหมด 2 แสนสิทธิ โดยผู้เข้าร่วมโครงการต้องเป็นบุคคลสัญชาติไทย อายุ 18 ปีขึ้นไป และไม่สามารถใช้แพ็คเกจท่องเที่ยวของโครงการทัวร์เที่ยวไทยในช่วงเวลาเดียวกับการเข้าพักโรงแรม ที่พักของโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เฟส 4 ได้

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้กำชับว่าเนื่องจากขณะยังคงมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 จึงขอให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)เข้มงวดในเรื่องของการกำหนดแนวทางในการบริหารจัดการเพื่อควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดที่อาจเกิดขึ้นจากการเดินทางท่องเที่ยวภายใต้โครงการฯ และกำกับให้ผู้ประกอบการนำเที่ยวดูแลนักท่องเที่ยวตามมาตรการป้องกันโรคโดยเคร่งครัด โดย

กนง.คงดอกเบี้ย 0.50% ประเมินเศรษฐกิจไทยฟื้น

นายปิติ ดิษยทัต เลขานุการ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เปิดเผยว่า กนง. มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% ต่อปี โดยประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง การระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนคาดว่าจะสร้างแรงกดดันต่อระบบสาธารณสุขในวงจำกัด ความเสี่ยงด้านต่ำต่อเศรษฐกิจโดยรวมจึงลดลง แต่ยังต้องติดตามการระบาดในระยะต่อไป อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มเร่งขึ้นในช่วงแรกของปี 2565 จากราคาพลังงานและอาหารสดบางประเภท และมีความเสี่ยงด้านสูงเพิ่มขึ้น 

ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อด้านอุปสงค์ยังอยู่ในระดับต่ำ สะท้อนรายได้และกำลังซื้อที่เพิ่งเริ่มฟื้นตัว อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามราคาพลังงานโลกและสัญญาณการปรับเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าและบริการเป็นวงกว้าง 

ดังนั้น คณะกรรมการฯ จึงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ โดยนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อเนื่องจะช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจ ควบคู่กับมาตรการทางการเงินการคลังที่เน้นการฟื้นฟูและยกระดับศักยภาพทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ตลาดแรงงาน รวมถึงรายได้ของภาคธุรกิจและครัวเรือนฟื้นตัวได้อย่างเข้มแข็ง 

เปิดความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้น

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม เดือนม.ค.2565 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นเดือนที่ 5 ติดต่อกัน โดยอยู่ที่ระดับ 88.0 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับ 86.8 ในเดือนธ.ค. 2564 โดยกลับมาอยู่ระดับใกล้เคียงก่อนวิกฤตโควิด-19 ในช่วงต้นปี 2563 ซึ่งค่าดัชนีปรับตัวดีขึ้นเกือบทุกองค์ประกอบยกเว้นต้นทุนผู้ประกอบการ เนื่องจากมีปัจจัยสนับสนุนจากอุปสงค์ในประเทศและต่างประเทศที่ขยายตัว 

ทั้งนี้ สะท้อนจากคำสั่งซื้อสินค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทั้งสินค้าคงทนและสินค้าอุปโภคบริโภค ขณะที่รัฐผ่อนคลายมาตรการควบคุมโควิด-19 ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจยังดำเนินไปได้แม้จะมีการระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอไมครอน แต่ไม่ได้ส่งผลรุนแรงในภาคอุตสาหกรรมเรื่องจากมีการเร่งฉีดวัคซีนให้กับแรงงานในภาคอุตสาหกรรม

RS หอบ 877.6 ล้านบาท ปิดดีลกลุ่มยูนิลีเวอร์ ซื้อหน่วยธุรกิจขายตรง คาดแล้วเสร็จพ.ค. 65

บมจ.อาร์เอส (RS) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 17 ธ.ค. 64 มีมติอนุมัติให้บริษัท ย๊าค จำกัด (YAAK) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย รับโอนกิจการบางส่วนของบริษัท ยูนิลีเวอร์ไทย เทรดดิ้ง จำกัด (UTT) โดยรับโอนหน่วยธุรกิจขายตรงและตลาดแบบตรงสำหรับผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องสำอางภายใต้แบรนด์ Aviance แบรนด์ Beyonde และแบรนด์ I-Fresh ที่ดำเนินการภายใต้ชื่อทางการค้า “Unilever Life” หรือ “ULife” โดยเมื่อวันที่ 7 ก.พ. 65 บริษัทได้บรรลุข้อตกลงและเข้าลงนามในสัญญาซื้อขายกิจการกับ UTT มูลค่า 877.6 ล้านบาท คาดว่าจะเข้าทำรายการแล้วเสร็จในเดือน พ.ค. 65

ทั้งนี้ กิจการ ULife เป็นหน่วยธุรกิจหนึ่งของ UTT ที่ดำเนินกิจการขายตรงและตลาดแบบตรงสำหรับผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องสำอางภายโดยจัดจำหน่ายผ่านช่องทางทั้งออนไลน์ (เช่น Official Website Lazada และ Shopee) ออฟไลน์ (เช่น ร้านค้าประเภท Direct Shop และ Authorised Shop และผู้แทนจำหน่ายอิสระ (Business Partners))

RS เล็งเห็นว่าการเข้าซื้อกิจการ ULife สอดคล้องกับกลยุทธ์ “Lifestyle Wellbeing Solution” ซึ่งมีเป้าหมายคือการเป็นคำตอบในเรื่องสุขภาพให้กับผู้บริโภค เนื่องจากเป็นการเพิ่มศักยภาพและสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจคอมเมิร์ซ ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจหลักที่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของบริษัทฯ

ทั้งนี้ในปัจจุบัน ธุรกิจคอมเมิร์ซ มุ่งเสนอขายสินค้าที่เสริมสร้างการมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ลูกค้า ผ่านแพลตฟอร์มและช่องทางการขายต่างๆ ทั้งนี้การเข้าซื้อกิจการ ULife ซึ่งมีจุดแข็งในการประกอบธุรกิจขายตรงชั้นนำ ด้วยจำนวนสมาชิกภายใต้เครือข่ายธุรกิจกว่า 150,000 ราย ร้านค้าหลายสาขารวมถึงช่องทางออนไลน์ต่างๆ และมีผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องสำอางที่โดดเด่นภายใต้แบรนด์ Aviance แบรนด์ Beyonde และแบรนด์ I-Fresh ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่ผู้บริโภค จะทำให้บริษัทฯ มีสินค้าและช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าทั้งทางออฟไลน์และออนไลน์ที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งนอกจากจะช่วยเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้แล้วยังช่วยทำให้เข้าถึงลูกค้าในวงกว้างมากขึ้นด้วย

'พาณิชย์' ยัน! ภาพรวมราคาสินค้ายังทรงตัว

นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวภายหลังประชุมคณะทำงานกำกับติดตามสถานการณ์ราคาสินค้าว่า ภาพรวมราคาสินค้าส่วนใหญ่ทรงตัวเมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะเนื้อหมู ปรับลดลงชัดเจน ราคาหมูเนื้อแดง เฉลี่ยทั่วประเทศอยู่ที่กิโลกรัมละ 175 บาท และในห้างต่างๆ เหลือเพียงกิโลกรัมละ 164-170 บาท จากสัปดาห์ที่แล้วเฉลี่ยถึงกิโลกรัมละ 187 บาท เพราะผู้บริโภคเปลี่ยนไปบริโภคเนื้อไก่แทน ขณะที่เนื้อไก่ ยังอยู่ในการกำกับดูแล ราคาน่องติดสะโพก มาห้างเฉลี่ยกิโลกรัมละ 65 บาท ส่วนในตลาดเฉลี่ยกิโลกรัมละ 70-75 บาท

ส่วนราคาผักแตกต่างกันไปแต่ละจังหวัด เนื่องจากแหล่งเพาะปลูกเฉพาะพื้นที่ ทำให้บางพื้นที่ต้องมีต้นทุนขนส่ง แต่คาดว่าจะไม่ปรับสูงขึ้นไปกว่านี้แล้ว เช่นเดียวกับราคาน้ำมันปาล์มบรรจุขวด เริ่มเห็นมีการปรับลดลงเล็กน้อย ในห้างค้าปลีก เหลือขวดละ 61-62 บาท ร้านสะดวกซื้อ ขวดละ 64-65 บาท โดยราคาน่าจะทรงตัวไปอีกประมาณ 2 สัปดาห์ จากสตอกเก่า ก่อนจะทยอยปรับลดลง เพราะผลปาล์มเริ่มออกสู่ตลาด จะมีการเก็บเกี่ยวมากขึ้นในเดือนมีนาคม ทำให้ราคาน้ำมันปาล์มน่าจะลดลงชัดเจนในเดือนมีนาคมนี้ รวมไปถึงสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป ราคายังทรงตัว โดยภาคใต้จะสูงกว่าภาคอื่นเล็กน้อยจากการขนส่งที่ไกลกว่า

นอกจากนี้กระทรวงพาณิชย์มีชุดสายตรวจเฉพาะกิจในส่วนกลาง และมีทีมพาณิชย์จังหวัดออกตรวจสอบทั่วประเทศ เพื่อป้องกันการฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้า และกำกับดูแลให้ปิดป้ายแสดงราคาให้ชัดเจน เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภคตัดสินใจก่อนซื้อ ส่วนความคืบหน้าการตรวจสอบห้องเย็นสินค้าปศุสัตว์ ตามประกาศคณะกรรมการว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ หรือ กกร. ที่ให้ห้องเย็นรายใหญ่ ที่มีสตอกเกิน 5,000 กิโลกรัม ให้แจ้งปริมาณ และราคาจำหน่ายทุกสัปดาห์นั้น กระทรวงพาณิชย์ ได้ตรวจสอบห้องเย็นทั้งหมด ไม่เฉพาะรายใหญ่เท่านั้นตามที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น จำนวนทั้งหมด 616 ราย พบปริมาณเนื้อหมูในสตอก รวมกันกว่า 19 ล้าน 5 แสนกิโลกรัม 

‘เฉลิมชัย’ เร่งพลิกโฉมกระทรวงเกษตรฯ ย้ำชัด พอใจผลพัฒนา-การบริหารภาครัฐคืบหน้า

‘เฉลิมชัย ศรีอ่อน’ เร่งปฏิรูปพลิกโฉมกระทรวงเกษตรฯ พอใจผลการพัฒนาการบริหารและการบริการภาครัฐด้วยระบบดิจิทัลคืบหน้า 70% 

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายเทคโนโลยีเกษตร 4.0 และประธานคณะกรรมการบริหารศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (Agritech and Innovation Center : AIC)เปิดเผยวันนี้ (7 ก.พ.) ถึงผลงานความคืบหน้าของการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์เทคโนโลยีเกษตร 4.0 ประจำเดือนมกราคม 2565 ซึ่งเป็น 1 ใน 5 ยุทธศาสตร์การปฏิรูปภาคเกษตรกรรมของดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ว่า จากผลการปฏิรูปการบริการและการบริหารภาครัฐของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่และการดำเนินงานของศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม (AIC : Agritech and Innovation Center) มีความก้าวหน้าอย่างมีนัยสำคัญและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ พอใจต่อผลการทำงานล่าสุดโดยเฉพาะการดำเนินงานด้านระบบบริการภาครัฐด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล (Gov Tech) ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีความคืบหน้าถึง 70% จากพัฒนาบริการภาครัฐทั้งหมด 176 ระบบเปลี่ยนเป็นการบริการภาครัฐด้วยดิจิทัล (Digital Service) แล้ว 156 ระบบ ซึ่งในส่วนนี้ดำเนินการเสร็จสิ้นและให้บริการแล้ว 109 ระบบหรือคิดเป็น 70% 

ส่วนการพัฒนา NSW (National Single Window) 54 ระบบ อยู่ระหว่างการพัฒนาปรับปรุงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ 47 ระบบ ในขณะที่ด้านระบบฐานข้อมูลดิจิทัล (Big Data) โดยศูนย์ข้อมูลเกษตรแห่งชาติได้เชื่อมโยงข้อมูลสู่ภูมิภาคกับศูนย์ AIC เช่นศูนย์ AIC เพชรบุรี (มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบุรี) ในการพัฒนาฐานข้อมูลเพื่อการวิจัยและพัฒนาเกลือทะเลไทยเชิงบูรณาการ การวิจัยและพัฒนาต้นแบบด้าน IT เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการด้านเกษตรกรรม และศูนย์ AIC จังหวัดเชียงราย ในการดำเนินโครงการ Flagship ร่วมกับ สำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดเชียงราย เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมกาแฟอาราบิกา การใช้งานระบบ CKAN เพื่อจัดทำ Data Catalog เป็นต้นทั้งนี้ นายอลงกรณ์ ได้สั่งการให้มีการจัดประชุมเรื่อง NSW เป็นการเฉพาะในเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อสนับสนุนการค้าระหว่างประเทศและการพยากรณ์ข้อมูลราคาและตลาดสินค้าเกษตรในต่างประเทศ

สำหรับด้านเกษตรอัจฉริยะ ได้มีการรายงานการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการเกษตรอัจฉริยะ ปี พ.ศ. 2565 - 2566 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์และการขับเคลื่อนการบูรณาการด้านเกษตรอัจฉริยะ ร่วมกับ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยดำเนินโครงการเกษตรแม่นยำ 2 ล้านไร่ จับคู่เกษตรแปลงใหญ่ (Big Farm) กับบริษัทอุตสาหกรรมเกษตรขนาดใหญ่ (Big Brother) โครงการความร่วมมือด้าน Smart Farming กับบริษัท ล็อกซ์เล่ย์ จำกัด (มหาชน) เพื่อขับเคลื่อนแปลงใหญ่เกษตรอัจฉริยะข้าว และระบบช่วยการตรวจประเมินระยะไกล (Remote Audit) หรือการตรวจผ่านระบบออนไลน์ แปลง GAP และเกษตรอินทรีย์ (Organic) (แอปพลิเคชัน Kasettrack) 

สำหรับด้าน E-Commerce ได้มีการขับเคลื่อนเรื่องแผนการกระจายผลไม้ในประเทศ และความร่วมมือด้านการเกษตรและการค้าไทย-บาห์เรน รวมทั้งโครงการ Thailand E-Commerce Village 

ส่วนงานด้านธุรกิจเกษตร (Agribusiness) มีการนำเสนอผลการดำเนินงานโครงการพัฒนาแบรนด์ธุรกิจ SMEs ด้วยการสร้างสรรค์คาแรคเตอร์ให้โดนใจกลุ่มผู้บริโภค และการประชาสัมพันธ์การจัดงานตลาดนัด Local CIP Fair และ Character Walking Street โดยความร่วมมือของภาคีเครือข่าย ในระหว่างวันที่ 11-13 กุมภาพันธ์ 2565

นอกจากนี้นายอลงกรณ์ได้มอบนโยบายให้คณะอนุกรรมการด้านธุรกิจเกษตร ศึกษาจุดอ่อนจุดแข็งในเรื่องของระบบธุรกิจเกษตรแบบ Contract Farming ภายใต้กฎหมายปัจจุบันว่ามีจุดอ่อนจุดแข็งที่จะต้องดำเนินการแก้ไขพัฒนาอย่างไร และการขับเคลื่อนการทำงานในพื้นที่ด้วยคณะทำงานของ AIC ในการพัฒนาธุรกิจเกษตร 

ทางด้านผลการดำเนินงานการขับเคลื่อนการทำงานของ AIC ที่ผ่านมา มีการนำเสนอความก้าวหน้าในเรื่องของการเชื่อมโยงศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) กับศูนย์ AIC โดย กรมส่งเสริมการเกษตร ซึ่งในปัจจุบันมีการทำโครงการเชื่อมโยงองค์ความรู้ของศูนย์ AIC ผ่าน ศพก. ใน 6 เขตพื้นที่ โดยเกษตรกรสามารถนำความรู้ด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรม การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และเทคโนโลยีการผลิต ที่เป็นองค์ความรู้จาก AIC ไปใช้ในแปลงเกษตรได้เป็นอย่างมาก และมีการสนับสนุนงบประมาณในกิจกรรมต่างๆ เพื่อการพัฒนาเกษตรกรครบรอบด้านผ่านการดำเนินงานของศูนย์ ศพก. และเครือข่าย การนำ (INNOVATION CATALOG) มาใช้ประโยชน์กับเกษตรกรของศูนย์ AIC จังหวัดระยอง ร่วมกับศูนย์ ศพก. หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และเกษตรกรในพื้นที่ 

กระทรวงอุตฯ X ดีแทค เชื่อมภูมิปัญญาท้องถิ่น ยกระดับสู่ ‘หมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์’

กระทรวงอุตสาหกรรมจับมือกับดีแทคเน็ตทำกิน นำดิจิทัลเชื่อมต่อภูมิปัญญาท้องถิ่นยกระดับ “หมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์” จำนวน 152 หมู่บ้าน จาก 76 จังหวัด พร้อมฟื้นฟูการท่องเที่ยววิถีใหม่ ตั้งเป้ารายได้กว่า 250 ล้านบาท

นางวรวรรณ ชิตอรุณ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า “เราตระหนักในความสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก เพื่อนำชุมชนร่วมฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืน กระทรวงอุตสาหกรรมได้วางแผนและตั้งเป้าหมายในการพัฒนาหมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative Industry Village : CIV) ที่มีศักยภาพจำนวน 152 หมู่บ้าน เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวและการบริโภคเศรษฐกิจระดับชุมชน (Local Economy) โดยการพัฒนาผู้ประกอบการชุมชนและปัจจัยสนับสนุนการท่องเที่ยวสร้างและพัฒนาไกด์ชุมชน (Local Guide) สร้างและพัฒนานักขายชุมชน ถอดรหัสผลิตภัณฑ์พื้นถิ่นเชิงอัตลักษณ์สู่สากล และเตรียมความพร้อมพื้นที่สร้างกิจกรรมการท่องเที่ยว แต่ทั้งหมดจะทำได้ยั่งยืนก็ต่อเมื่อทุกชุมชนสามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและการเชื่อมต่อมาสร้างคุณค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจได้ 

กระทรวงจึงมีความยินดีที่ได้ร่วมมือกับ “ดีแทค เน็ตทำกิน” ที่จะร่วมกับหน่วยงานของกระทรวงฯ ช่วยเสริมศักยภาพการทำการตลาดออนไลน์ การสร้างตัวตนดิจิทัลเพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในชุมชน โดยคาดว่าจะมีรายได้เพิ่มสูงขึ้นกว่า 250 ล้านบาท (เป็นรายได้จากการขายสินค้าออนไลน์ รายได้จากการขายของที่ระลึก รายได้จากการท่องเที่ยวเช่น ค่าที่พัก อาหาร อื่นๆ) สอดคล้องกับเทรนด์การท่องเที่ยวใหม่  อันจะเป็นการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันของประเทศ”

ปัจจุบันจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เกิดผลกระทบไปถึงการชะงักงันของเศรษฐกิจการค้า การทำงานผลิต อุตสาหกรรมท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง โรงแรม ร้านอาหาร รวมทั้งส่งผลโดยตรงกับภาคเศรษฐกิจและบางกลุ่มประชากร ยังน่าเป็นห่วงว่าอาจได้รับผลกระทบที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะจำนวนนักท่องเที่ยวลดลง ซึ่งส่งผลโดยตรงกับรายได้จากการท่องเที่ยวของหมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ที่มีรายได้ลดลงมากกว่าร้อยละ 70 และหากมีการถูกกระทบอีกระลอกจะเป็นความเสี่ยงต่อเนื่องที่ภาครัฐควรยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ เพื่อที่จะสร้างรายได้ที่มีเสถียรภาพและกระจายรายได้อย่างสมดุล สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป

นายประเทศ ตันกุรานันท์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มเทคโนโลยี บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค กล่าวว่า “เราภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้จับมือกับกระทรวงอุตสาหกรรมร่วมสร้างมูลค่าเศรษฐกิจภูมิปัญญาท้องถิ่นของหมู่บ้านอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ (Creative Industry Village : CIV) ดีแทคเห็นในศักยภาพที่โดดเด่นของภูมิปัญญาชุมชนที่ตกผลึกถ่ายทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น จนมีอัตลักษณ์ของผลิตภัณฑ์และมีเรื่องราวที่น่าสนใจ เมื่อนำภูมิปัญญาของชุมชนผสานกับดิจิทัลจะติดปีกให้กับชุมชนอย่างยั่งยืน ที่ผ่านมา ดีแทคมองเห็นช่องว่างทางดิจิทัลในการปรับตัวของคนไทย จึงได้ดำเนินโครงการดีแทค เน็ตทำกิน ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การสร้างทักษะการทำธุรกิจยุคดิจิทัลให้กับคนตัวเล็กที่สุดในสังคม ที่ผ่านมาพบว่าผู้ประกอบการที่ร่วมโครงการดีแทค เน็ตทำกินมีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 40-50% และเพื่อสร้างโอกาสหาเลี้ยงชีพใหม่บนแพลตฟอร์มดิจิทัลได้อย่างมั่นใจ สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ ทีมดีแทคเน็ตทำกินจะเริ่มฝึกทักษะให้กับ 20 หมู่บ้านนำร่องจาก 152 หมู่บ้าน ในเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคมนี้ พร้อมขยายผลลงพื้นที่ให้ครอบคลุมทั้ง 152 หมู่บ้านภายใน 1-2 ปีนับจากนี้”

'กอบศักดิ์' ชี้!! 2 ตัวแปร ราคาน้ำมันโลกพุ่งสูงสุดในรอบ 8 ปี ลุ้นทะลุ 100 ดอลลาร์/บาร์เรล ก่อนร่วงเพราะ EV

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ หรือ BBL / นักเศรษฐศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาประเทศ การเงิน และตลาดทุน / อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง แนวโน้มราคาน้ำมันโลกพุ่ง ระบุว่า... 

ราคาน้ำมันโลกพุ่งขึ้นสูงสุดในรอบ 8 ปี !!!

ล่าสุดทะลุ 90 ดอลลาร์/บาร์เรล อีกครั้ง

ทั้งยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกระยะ จาก (1) ความต้องการซื้อน้ำมันที่เพิ่มขึ้นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศต่างๆ รวมทั้งจาก (2) ความขัดแย้งระหว่างประเทศ (Geopolitics) โดยเฉพาะกับรัสเซียที่ยูเครน และกับอิหร่าน ที่ทำให้อิหร่านมีปัญหาในการส่งออกน้ำมัน

ถ้าปัญหาที่ยูเครนลุกลามบานปลาย จะส่งผลต่อการส่งออกน้ำมันของรัสเซียที่มีสัดส่วนประมาณ 10% ของ World Supply ขณะนี้ และซ้ำเติมให้สถานการณ์ความตึงตัวของตลาดน้ำมันโลกแย่ขึ้นจากเดิม ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมตลาดจึงกังวลใจเรื่องนี้มาก

'ศ.ดร.กนก' ชี้! ทางรอดเศรษฐกิจไทย กระจายเม็ดเงินจากทุนสู่รากหญ้า ปลดล็อกสุราพื้นบ้าน ให้โอกาสทุกคนบนนโยบายที่เท่าเทียม วอน ส.ส.ทุกพรรค ประคองสภา อย่าให้ล่มแล้วล่มอีก เร่งออกกฎหมายเพื่อชาวบ้าน 

ศ.ดร.กนก วงษ์ตระหง่าน รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันว่าการจะคืนคงจะเป็นเรื่องยากและรัฐบาลคงไม่สามารถใช้เงินแจกไปได้ตลอด ถึงเวลาที่ต้องกลับมาคิดที่จะเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ กระจายเม็ดเงินที่เคยหมุนเวียนขนาดใหญ่ มาถึงมือคนตัวเล็กตัวน้อยให้ได้มากที่สุด

ให้โอกาสกับทุกคนบนนโยบายที่เท่าเทียม ถึงเวลาให้ชาวบ้านต้มสุราพื้นบ้านได้แล้ว เพราะสุราพื้นบ้านที่ชาวบ้านผลิตมี”เอกลักษณ์”ของตัวเอง ทั้งรสชาต กลิ่น และคุณภาพที่สามารถแข่งขันได้ นี่คือกลไกใหม่ที่จะสร้างรายได้ให้เกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และ SME ในชนบท

สุราพื้นบ้านคือกุญแจดอกแรกที่จะช่วยแก้ไข”ความเหลื่อมล้ำ”ทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทย พราะสุราพื้นบ้านจะสร้างรายได้มหาศาลให้เกษตรกรตัวเล็กตัวน้อยที่จะช่วยลดช่องว่างของรายได้ 

AIS ชวนเชียร์ 4 นักสกีไทยบู๊ศึกโอลิมปิกฤดูหนาว ลูกค้า AIS ดูฟรี!! ผ่าน 10 ช่องกีฬาบน AIS PLAY

AIS ในฐานะ Official Broadcaster ชวนคนไทยเชียร์-ชม ถ่ายทอดสดมหกรรมกีฬาโอลิมปิก ฤดูหนาว ปักกิ่ง 2022 ผ่าน 10 ช่องกีฬาบน AIS PLAY 

สำหรับมหกรรมกีฬาโอลิมปิก ฤดูหนาว ปักกิ่ง 2022 ระหว่างวันที่ 4-20 กุมภาพันธ์ 2565 ได้มีการจัดการแข่งขันทั้งหมด 7 ชนิดกีฬา ชิงชัยกันรวมทั้งหมด 109 เหรียญทอง มีนักกีฬาจากทั่วโลกเดินทางมาเข้าร่วมการแข่งขัน ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ยังคงจัดการแข่งขันแบบปิด ทำให้ประสบการณ์การรับชมของแฟนกีฬาผ่านหน้าจอเพื่อส่งแรงเชียร์ให้กับนักกีฬากลายเป็นวิถีใหม่ของการรับชม

บีโอไอ ฟุ้งต่างชาติลงทุนในไทยพุ่ง โชว์ยอดขอส่งเสริมทะลุ 6.4 แสนล้านบาท โต 59%

บีโอไอโชว์ปี 64 ยอดขอส่งเสริมทะลุ 6.4 แสนล้านบาท โต 59% ชี้ FDI หนุนเพิ่มขึ้นกว่า 163% ด้านบอร์ดไฟเขียวมาตรการส่งเสริมภาคเกษตร หนุนไทยสู่ ไบโอ ฮับภูมิภาคอาเซียน ส่งเสริมศูนย์การค้าผลผลิตทางการเกษตรระบบดิจิทัล

4 ก.พ. 65 นางสาวดวงใจ อัศวจินตจิตร์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า สถิติการขอรับการส่งเสริมการลงทุนในปี 2564 ที่ผ่านมา มีมูลค่ารวม 642,680 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 59% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวนโครงการรวม 1,674 โครงการ เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และอุตสาหกรรมการแพทย์ มีอัตราการขยายตัวสูง จากนโยบายส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่เป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในอนาคต

ขณะที่การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) มีโครงการยื่นขอรับการส่งเสริมการลงทุนรวม 783 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 455,331 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 163% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยประเทศที่ยื่นขอรับการส่งเสริมที่มีมูลค่าเงินลงทุนมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ ญี่ปุ่น มีมูลค่าเงินลงทุน 80,733 ล้านบาท รองลงมา คือ จีน มีมูลค่าเงินลงทุน 38,567 ล้านบาท และสิงคโปร์ มีมูลค่าเงินลงทุน 29,669 ล้านบาท ตามลำดับ

สำหรับคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย มีมูลค่าลงทุนรวมทั้งสิ้น 340,490 ล้านบาท คิดเป็น 53% ของมูลค่าคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนรวม ขณะที่สำหรับพื้นที่เป้าหมายอีอีซี มีการขอรับการส่งเสริมจำนวน 453 โครงการ มูลค่าเงินลงทุนรวม 220,500 ล้านบาท โดยจังหวัดระยองมีมูลค่าเงินลงทุนสูงสุด 112,740 ล้านบาท รองลงมาเป็นจังหวัดชลบุรี มูลค่าเงินลงทุน 74,550 ล้านบาท และจังหวัดฉะเชิงเทรา มูลค่าเงินลงทุนรวม 33,210 ล้านบาท

นอกจากนี้กิจการในกลุ่ม BCG ซึ่งครอบคลุมในหลากหลายกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมเกษตรและแปรรูปอาหาร เทคโนโลยีชีวภาพ มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรม BCG ในปี 2564 มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 152,434 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 123% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากจำนวนโครงการ 746 โครงการ เพิ่มขึ้น 63% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และตั้งแต่ปี 2558 - 2564 คำขอรับการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรม BCG มีมูลค่ารวม 675,781 ล้านบาท รวม 2,996 โครงการ

นางสาวดวงใจ กล่าวถึงผลการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ดบีโอไอ) โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบการปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการลงทุนภาคเกษตร และเปิดประเภทกิจการใหม่ ได้แก่ กิจการศูนย์การค้าผลิตผลทางการเกษตรระบบดิจิทัล และกิจการนิคมหรือเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร และทบทวนสิทธิประโยชน์และเงื่อนไขสำหรับผลิตภัณฑ์สมุนไพร เพื่อขับเคลื่อนประเทศไทยก้าวสู่ไบโอ ฮับตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี

กพร. คุมเข้ม!! ‘อัคราฯ’ หลังรีสตาร์ตเหมืองแร่ทองคำ ต้องอยู่ใต้กม. พร้อมอุ้มชุมชน-ชาวบ้านกระทบทุกมิติ

กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) กระทรวงอุตสาหกรรม ชี้แจงกรณีภาคประชาชนขอให้ตรวจสอบ บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) รวมถึงความบกพร่องในกระบวนการต่างๆ หลังเตรียมเปิดกิจการเหมืองแร่ทองคำในจังหวัดพิจิตรอีกครั้ง โดยสรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้...

1.) กรณีขาดการมีส่วนร่วมในการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนและชุมชนในพื้นที่การต่ออายุประทานบัตรจำนวน < แปลงของบริษัท อัคราฯ เป็นการอนุญาตให้ประกอบกิจการ ในพื้นที่เดิม ไม่ได้มีการเพิ่มหรือขยายพื้นที่ใหม่แต่อย่างใด แม้การต่ออายุประทานบัตรตาม พ.ร.บ.แร่ 2560 ไม่ได้กำหนดให้ต้องจัดทำการรับฟังความคิดเห็นของชุมชนในพื้นที่ แต่เนื่องจาก กพร. ตระหนักถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมของชุมชนในพื้นที่ จึงได้ดำเนินการสำรวจความคิดเห็น ความต้องการ และความเดือดร้อนของประชาชนบริเวณรอบพื้นที่เหมืองแร่ของบริษัท อัคราฯ ในรัศมี 500 เมตร และในรัศมี 500 เมตร - 3 กิโลเมตรในพื้นที่จังหวัดพิจิตร เพชรบูรณ์ และพิษณุโลก ในช่วงปี 2558 - 2564 รวม 5 ครั้ง ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่าง เพื่อให้ทุกหลังคาเรือนมีโอกาสได้มีส่วนร่วมเท่าๆ กัน ซึ่งผลปรากฏว่าส่วนใหญ่ต้องการให้เหมืองเปิดดำเนินการ

นอกจากนี้ กพร. ยังได้มอบนโยบายให้บริษัท อัคราฯ ทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ให้ทั่วถึงมากขึ้น และกำชับให้บริษัทฯ ส่งเสริม ช่วยเหลือ ดูแล และพัฒนาชุมชน เพื่อให้การประกอบกิจการได้รับการยอมรับมีความสัมพันธ์ที่ดี และสามารถอยู่ร่วมกับชุมชนได้อย่างยั่งยืน

2.) การเตรียมงบประมาณเพื่อรับผิดชอบต่อสังคมและการพัฒนาชุมชนเพียงร้อยละ 0.1 อยู่ในระดับต่ำ ในขณะที่ต่างประเทศ ต้องเตรียมงบฯ ดังกล่าวร้อยละ 0.9 นอกจากการดำเนินโครงการด้านความรับผิดชอบต่อสังคมที่บริษัทดำเนินการด้วยความสมัครใจแล้วบริษัทยังต้องดำเนินการตามเงื่อนไขของทางราชการ ซึ่งที่ผ่านมาบริษัท อัคราฯ ได้จัดสรรงบประมาณ เพื่อการฟื้นฟูพื้นที่โครงการมากกว่า 600 ล้านบาท และนำเงินเข้ากองทุนประกันความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและพัฒนาคุณภาพชีวิตปีละ 10 ล้านบาท ปัจจุบันมีเงินคงเหลือสะสม 80 ล้านบาท และตามกรอบนโยบายบริหารจัดการแร่ทองคำ 2560 และ พ.ร.บ.แร่ 2560 กำหนดให้มีการจัดตั้งกองทุน จำนวน 4 กองทุน ประกอบด้วย กองทุนพัฒนาหมู่บ้านรอบพื้นที่เหมืองแร่ กองทุนฟื้นฟูพื้นที่เหมืองแร่ กองทุนเฝ้าระวังสุขภาพ และกองทุนประกันความเสี่ยง ซึ่งบริษัทต้องนำเงินเข้ากองทุนในอัตราร้อยละ 21 ของค่าภาคหลวงแร่ แต่ต้องไม่น้อยกว่า 65 ล้านบาทต่อปี

ทั้งนี้ การจัดเก็บค่าภาคหลวงย้อนหลัง 6 ปี (ปี 2554 - 2559) กพร. จัดเก็บค่าภาคหลวงทองคำและเงินในอัตราก้าวหน้าหรือประมาณร้อยละ 10 ของมูลค่าแร่ จากบริษัท อัคราฯ ได้มากกว่าปีละ 500 ล้านบาท สามารถประมาณการเงินที่บริษัทต้องนำเข้ากองทุนไม่ต่ำกว่าปีละ 100 ล้านบาท ดังนั้น เงินที่จะถูกจัดสรรไปเพื่อการพัฒนาชุมชนจึงมีมากกว่าร้อยละ 1.0 ของมูลค่าแร่ นอกจากนี้ เงินค่าภาคหลวงที่จัดเก็บได้จะถูกจัดสรรให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัดร้อยละ 50 เพื่อใช้ในการพัฒนาชุมชนอีกด้วย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top