Friday, 9 May 2025
ECONBIZ

รัฐ ลดค่าธรรมเนียมโอน-จดจำนอง บ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท เหลือ 0.01%

ข่าวดี! ต้อนรับปี 65 คนอยากมีบ้าน รัฐให้ของขวัญ “ลดค่าธรรมเนียมโอน-จดจำนอง” บ้านเดี่ยว-อาคารพาณิชย์ อาคารพร้อมที่ดิน ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท เหลือ 0.01%

นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ กล่าวว่าถือเป็นข่าวดีต้อนรับปี 2565 สำหรับคนต้องการมี “บ้าน” เป็นของตนเอง จากมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 64 ให้ความเห็นชอบมาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัย โดยลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์จากร้อยละ 2 ลดเหลือร้อยละ 0.01 และลดค่าธรรมเนียมการจดจำนองจาก ร้อยละ 1 ลดเหลือ ร้อยละ 0.01 (เฉพาะการโอนและจดจำนองในคราวเดียวกัน) สำหรับที่อยู่อาศัยและอาคารพาณิชย์ เฉพาะที่มีราคาซื้อขายและราคาประเมินทุนทรัพย์ไม่เกิน 3 ล้านบาท ซึ่งครอบคลุมบ้านเดี่ยว บ้านแฝด บ้านแถว อาคารพาณิชย์ และห้องชุด ทั้งนี้ มาตรการจะมีผลบังคับใช้สำหรับการโอนและจดจำนองนับตั้งแต่วันถัดจากวันที่เผยแพร่ประกาศกระทรวงมหาดไทยในราชกิจจานุเบกษาจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2565

นายกฯ ลุยฟื้นท่องเที่ยวไทย ชูจุดขาย ‘อะเมซิ่ง ไทยแลนด์ นิว แชปเตอร์’

โฆษกรัฐบาล เผย นายกฯ เดินหน้าฟื้นประเทศ ดันจุดขายใหม่ “ท่องเที่ยวไทย...อะเมซิ่ง ไทยแลนด์ นิว แชปเตอร์" ภายใต้การรักษาสมดุลทางเศรษฐกิจและมาตรการสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด

วันที่ 12 ม.ค. 65 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และรมว.กลาโหม เดินหน้าแผนส่งเสริมการท่องเที่ยวในปีนี้ ซึ่งเป็นปีท่องเที่ยวไทย โดยกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กำหนดโปรโมทการท่องเที่ยวไทยภายใต้แนวคิด อะเมซิ่ง ไทยแลนด์ นิว แชปเตอร์ (Amazing Thailand New Chapter) จุดขายใหม่ด้านการท่องเที่ยวของไทย ภายในเดือนมกราคมนี้ รวมถึงเดินหน้าจัดทำเส้นทางท่องเที่ยวสีขาว สอดคล้องเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (BCG) ในภาคการท่องเที่ยว ที่จะช่วยให้เกิดการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนและปลอดภัยขึ้น 

นอกจากนี้ในช่วงไตรมาส 2 ช่วงเดือนเมษายน วางแผนจะเก็บเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้าไทย 300 บาทต่อคน หรือเรียกกันว่าค่าเหยียบแผ่นดิน เพื่อนำเงินที่ได้รับไปพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวในไทย และทำประกันให้แก่นักท่องเที่ยว กรณีประสบอุบัติเหตุ หรือเสียชีวิต ก็จะได้รับวงเงินสูงสุด 1 ล้านบาท หรือ ค่ารักษาพยาบาล ได้รับสูงสุด 5 แสนบาท เป็นต้น โดยวางแผนเก็บรวมกับค่าตั๋วเครื่องบินกรณีเดินทางทางอากาศ และอยู่ระหว่างการพิจารณาวิธีการเรียกเก็บจากการเดินทางทางบก

‘กรณ์’ ค้านเก็บภาษีเทรดคริปโตฯ จนกว่า ‘สรรพากร’ จะทำความเข้าใจตอบได้ชัดเจน

กรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า อดีต รมว.คลัง กล่าวว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา กรมสรรพากรได้ประกาศถึงวิธีการคำนวณภาษีคริปโตฯ โดยคิดกำไรที่เกิดขึ้นจากการขายรายธุรกรรม (transactions) โดยไม่สามารถนำรายการที่ขาดทุนมาหักลบได้ 

โดยคำนวณจากเงินได้ (กำไร) แล้วหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% ตามที่กฎหมายกำหนด และไม่จบเพียงแค่นั้น แต่ยังต้องนำเงินได้ (กำไร) มารวมกับเงินได้อื่นๆ พร้อมยื่นภาษีประจำปี ซึ่งแน่นอนว่ามีเสียงสะท้อนออกมาในด้านลบ ไม่ว่าจะเป็นจากผู้ประกอบการ exchange หรือบรรดานักเทรดคริปโตฯ

เขากล่าวว่า ก่อนที่จะวิเคราะห์ประเด็นเรื่องภาษีกำไร อีกเรื่องที่นักลงทุนคริปโตควรจะต้องมีคำถามกับทางสรรพากร แต่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงคือประเด็นเกี่ยวกับการเก็บภาษี VAT เพราะสรรพากรเก็บ VAT เสมือนคริปโตเป็นสินค้า

เพราะฉะนั้น 'จะเกิดการจ่าย VAT สองเด้ง' หากเรารับชำระการขายสินค้าเป็นคริปโต เพราะนอกจากเสีย VAT ตอนขายสินค้าแล้ว เรายังต้องเสีย VAT จากการขายคริปโตเป็นบาทอีกด้วย

ทั้งนี้ แม้แต่ผู้ลงทุน หากขายคริปโตเกิน 1.8 ล้านบาท ก็ต้องจด VAT และเสีย VAT โดยไม่สามารถเขียนใบเสร็จได้ เพราะเราขายคริปโตใน exchange เราไม่รู้ผู้ซื้อ นี่คือสาเหตุที่หลายประเทศได้แก้กฎหมายเพื่อปลดล็อกคริปโตออกจากระบบ VAT

อดีต รมว.คลัง กล่าวว่า ดังนั้นทางกรมสรรพากรควรจะต้องเปิดโอกาสให้ผู้เกี่ยวข้องได้นำเสนอและศึกษาหาแนวทางที่เหมาะสมกับประเทศต่อไป โดยอาจจะดูตัวอย่างในต่างประเทศที่มีการออกข้อกำหนดลักษณะนี้มาแล้วก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง capital gains tax, VAT/GST สำหรับสินทรัพย์ดิจิทัลเช่น

1.) VAT/GST - สิงคโปร์ ออสเตรเลีย หรือบางประเทศใน EU กำหนดให้การขาย crypto currency, การใช้ crypto currency ในการซื้อสินค้าและบริการ, การจ่ายเงินเป็น crypto currency จะไม่ต้องเสีย VAT ในต่างประเทศมีการยอมรับให้ใช้ crypto currency โดยไม่เสีย VAT แต่ประเทศไทยเรื่องนี้ยังต้องมีการพูดคุยเพื่อให้เกิดความชัดเจนมากขึ้น มิเช่นนั้นอาจจะสร้างผลกระทบให้กับผู้ประกอบการที่ต้องการซื้อขายสินค้าโดยใช้ crypto currency ก็เป็นได้

‘มาคาเลียส’ ชี้!! โจทย์ใหญ่การท่องเที่ยวปีเสือ ‘เที่ยวที่ใกล้ - ไปเป็นครอบครัว - ทัวร์ถิ่นมาตรฐาน’

มาคาเลียส (Makalius) เผยภาพรวมธุรกิจปี 64 อัตราการเติบโตยังคงที่ ชี้ปัจจัยบวกการซื้อมาจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป เน้นคุณภาพและความยืดหยุ่นเรื่องเวลา พร้อมปรับแผนการตลาดชูกลยุทธ์ Customize & Quality Traveler ปรับแพ็กเกจ เพิ่มพันธมิตร สร้างความต้องการที่ตรงใจนักท่องเที่ยวยุคนิวนอร์มัลอย่างแท้จริง

นางสาวณีรนุช ไตรจักร์วนิช ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มาคาเลียส ประเทศไทย จำกัด (Makalius) สตาร์ตอัปธุรกิจท่องเที่ยวออนไลน์ชั้นนำของประเทศไทย กล่าวว่า "ภาพรวมด้านธุรกิจการจัดจำหน่ายวอเชอร์ท่องเที่ยวของมาคาเลียส ในปี 2564 ที่ผ่านมาอยู่ในระดับคงที่ มียอดจำหน่ายวอเชอร์รวมกว่า 20,000 วอเชอร์ หรือประมาณ 50 ล้านบาท แม้จะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่กลุ่มลูกค้ายังคงให้การตอบรับเป็นอย่างดีในการซื้อวอเชอร์ทั้งที่พักและร้านอาหาร อันเป็นผลมากจากพฤติกรรมการท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไป ประกอบกับความไม่แน่นอนของนโยบายด้านการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่หันมาใช้บริการในรูปแบบวอเชอร์ “ซื้อก่อนเที่ยวที่หลัง” เพิ่มมากขึ้น เพราะปัจจัยสำคัญคือเรื่องของความยืดหยุ่นด้านเวลา หากเกิดความไม่แน่นอนก็สามารถเลื่อนการท่องเที่ยวออกไปได้ 

นอกจากนี้ มาคาเลียสยังพบพฤติกรรมที่น่าสนใจจากการทำผลสำรวจความเพิ่งพอใจของกลุ่มลูกค้าที่มาใช้บริการกว่า 10,000 คน พบว่า 65% นิยมท่องเที่ยวในเขตพื้นที่ใกล้ตัว อย่างเช่น พัทยา, หัวหิน, เขาใหญ่, กาญจนบุรี เป็นต้น เพราะมองว่าการท่องเที่ยวในพื้นที่ใกล้ๆ ไม่ต้องวางแผนอะไรมากนัก และช่วยผ่อนคลายความเครียดได้ง่าย 50% ลองท่องเที่ยวแบบใหม่เพื่อเพิ่มประสบการณ์ อาทิ การรับประทานอาหารค่ำบนเรือบนเรือสำราญ เป็นต้น และยังพบว่า 48% นิยมท่องเที่ยวแบบกลุ่มเล็กกับเพื่อนหรือครอบครัว จำนวนไม่เกิน 5-10 คน เพราะเชื่อว่าการเที่ยวกับบุคคลใกล้ตัวจะช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ได้ และที่สำคัญที่สุดคือ กว่า 80% มองหาที่พัก ร้านอาหารที่มีความสะอาดและถูกสุขอนามัย มีตราสัญลักษณ์รับรองมาตรฐาน 

‘อธิบดีปศุสัตว์’ ยอมรับ พบโรค ASF ในหมู เผยตรวจพบจากโรงฆ่า จ.นครปฐม

นายสัตวแพทย์สรวิศ ธานีโต อธิบดีกรมปศุสัตว์ ในฐานะ ปธ.คณะทำงานด้านวิชาการป้องกัน ควบคุม และกำจัดโรค ASF ในสุกร พบการรายงาน โรค African Swine Fever หรือ ASF ในสุกร จากสุ่มตรวจสอบเพิ่มเติมโดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการเลี้ยงสุกรหนาแน่น ผลการวิเคราะห์ตัวอย่างเบื้องต้นจากจำนวนทั้งหมด 309 ตัวอย่าง พบผลบวกเชื้อ ASF จำนวน 1 ตัวอย่าง จากตัวอย่างพื้นผิวสัมผัสโรงฆ่าสัตว์แห่งหนึ่งที่มาจากจังหวัดนครปฐม 

จากการสุ่มตรวจสอบเพิ่มเติมโดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการเลี้ยงสุกรหนาแน่น ในวันที่ 8-9 มกราคม พ.ศ 2565 รวมทั้งหมด 10 ฟาร์ม 305 ตัวอย่าง และโรงฆ่าสัตว์ 2 แห่ง 4 ตัวอย่าง โดยในวันที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2565 สุ่มดำเนินการในพื้นที่จังหวัดราชบุรี เฝ้าระวังและเก็บตัวอย่างจำนวน 6 ฟาร์ม รวม 196 ตัวอย่าง และวันที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2565 สุ่มดำเนินการในพื้นที่จังหวัดนครปฐม เฝ้าระวังและเก็บตัวอย่างจำนวน 4 ฟาร์ม 109 ตัวอย่าง และ 2 โรงฆ่า 4 ตัวอย่าง รวม 113 ตัวอย่าง

พร้อมกันนี้ กรมปศุสัตว์ได้มีมาตรการในการดำเนินการในการเฝ้าระวัง ควบคุม และป้องกันการเกิด โรค ASF  ล่าสุดได้ประสานกับหน่วยงานภาคีต่างๆ เช่น สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ภาคีคณบดี คณะสัตวแพทยศาสตร์แห่งประเทศไทย สัตวแพทย์ผู้ควบคุมฟาร์มสุกร และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอความร่วมมือในการควบคุมโรคแล้ว 

‘Murata’ ยักษ์ใหญ่ผลิตชิ้นส่วน iPhone โยกฐานการผลิตสู่ไทย เปิดโรงงานใหม่ ต.ค. 66

สำนักข่าว Nikkei Asia รายงานเมื่อวันที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2565 ว่า บริษัท Murata Manufacturing และซัพพลายเออร์เทคโนโลยีอื่นๆ ของญี่ปุ่นกำลังลดการพึ่งพาจีน เนื่องจากความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ กับจีนทวีความรุนแรงขึ้น 

Murata ผู้ผลิตตัวเก็บประจุใหญ่ที่สุดในโลกและผลิตชิ้นส่วน iPhone รายสำคัญ ประกาศในเดือนพฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา ว่า บริษัทฯ จะเปิดโรงงานแห่งใหม่ในประเทศไทยในเดือนตุลาคม 2566 โดยโรงงานแห่งใหม่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมในจังหวัดลำพูน โดยจะมีขนาดใหญ่เท่ากับโรงงานแห่งเดิมในเมือง อู๋ซี ใกล้กับเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเป็นโรงงานหลักที่ Murata ผลิตตัวเก็บประจุเซรามิกหลายชั้นสำหรับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆสำหรับผู้บริโภครวมถึง iPhone ด้วย

ที่ผ่านมาบริษัทเป็นผู้นำด้านการผลิตอุปกรณ์ต่างๆ เช่น ตัวกรองเพื่อรับสัญญาณวิทยุ แอมพลิฟายเออร์สำหรับการเสริมกำลังสัญญาณ และเครื่องดูเพล็กซ์สำหรับจัดการสัญญาณขาเข้าและขาออกพร้อมกัน ซึ่งใช้ในสมาร์ตโฟน Apple iPhone, Samsung Galaxy และ Huawei Note เป็นต้น ส่วนประกอบต่างๆ จะถูกส่งไปสำหรับประกอบในสมาร์ตโฟนในประเทศจีน เพื่อจัดส่งไปยังตลาดสุดท้ายโดยมีสหรัฐฯ เป็นประเทศที่สำคัญที่สุด 

ครม. เทงบกลาง 574 ล้าน ให้เกษตรกร ชดเชยการทำลายหมู 56 จังหวัด

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบอนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 574.11 ล้านบาท เพื่อป้องกันโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร (African Swine Fever : ASF) และโรคระบาดร้ายแรงในสุกรหรือหมูป่า ซึ่งเป็นโรคติดต่อในสุกรที่เกิดจากเชื้อไวรัสที่รุนแรง 

โดยจะจ่ายเป็นค่าชดใช้ราคาสุกรที่ถูกทำลายตั้งแต่วันที่ 23 มี.ค. 64 - 15 ต.ค. 64 ตาม ม.13(4) แห่ง พ.ร.บ. โรคระบาดสัตว์ พ.ศ. 2558 ซึ่งได้ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการประเมินตามกฎกระทรวงกำหนดค่าชดใช้ราคาสัตว์ที่ถูกทำลายอันเนื่องจากโรคระบาดหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าเป็นโรคระบาดหรือสัตว์หรือซากสัตว์ที่เป็นพาหนะของโรคระบาด

เงินสำรองไทยแกร่งต่อเนื่อง!! ขยับขึ้นที่ 12 ของโลก สะท้อนฐานะทางการเงินประเทศแข็งแกร่ง

ในช่วงหลังวิกฤตต้มยำกุ้ง ปี 2540 นับเป็นช่วงเวลาที่ฐานะเงินสำรองระหว่างประเทศของไทย อ่อนแอลงอย่างมาก เนื่องจากต้องรับมือกระแสเก็งกำไรค่าเงินบาท ในช่วงก่อนเกิดวิกฤต จนทำให้เหลือเงินสำรองฯ เพียง 2 หมื่นกว่าล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น

อย่างไรก็ดี หลังจากได้รับบทเรียนจากวิกฤตในครั้งนั้น ฐานะเงินสำรองฯ ของประเทศไทยก็เริ่มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง กระทั่งปัจจุบันเพิ่มขึ้นมาถึง 10 เท่า จากปี 2540

และเมื่อมองย้อนกลับไป 5 ปี หลังสุด พบว่า ทุนสำรองระหว่างประเทศของไทย เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดย ปี 2559 อยู่ที่ 6,155,783 ล้านบาท, ปี 2560 อยู่ที่ 6,615,482 ล้านบาท, ปี 2561 อยู่ที่ 6,666,266 ล้านบาท, ปี 2562 อยู่ที่ 6,756,943 ล้านบาท, ปี 2563 อยู่ที่ 7,747,644 ล้านบาท และ ณ สิ้นปี 2564 อยู่ที่ 8,212,110 ล้านบาท

โดยข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย ณ เดือนต.ค. 64 ระบุว่า ทุนสำรองระหว่างประเทศรวม (gross reserves) อยู่ที่ 246,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 8.21 ล้านล้านบาท สูงเป็นอันดับที่ 12 ของโลก ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับมั่นคง โดยคิดเป็นประมาณ 3 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น 

จากตัวเลขดังกล่าว ส่งผลให้ปัจจุบัน ประเทศไทยมีทุนสำรองระหว่างประเทศ ขยับขึ้นมาอยู่ที่อันดับที่ 12 ของโลก จากจำนวน 195 ประเทศ

ขณะที่ 3 อันดับแรกประกอบด้วย จีน มีทุนสำรองระหว่างประเทศ 3,398,927 ล้านเหรียญสหรัฐ (ตัวเลข ณ เดือนพ.ย. 64), ญี่ปุ่น มีทุนสำรองระหว่างประเทศ 1,405,754 ล้านเหรียญสหรัฐ (ตัวเลข ณ เดือนพ.ย. 64) และสวิตเซอร์แลนด์ มีทุนสำรองระหว่างประเทศ 1,086,197 ล้านเหรียญสหรัฐ (ตัวเลข ณ เดือนต.ค. 64)

‘จุรินทร์’ สั่งเบรกขึ้นราคาไข่ - เนื้อไก่ เล็งหารือ ‘บิ๊กตู่’ เร่งชดเชยผู้เลี้ยงหมู

วันที่ 10 ม.ค. 65 - นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวถึงกรณีราคาสินค้าอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะราคาไข่ไก่ และเนื้อไก่ ราคาทยอยปรับขึ้น ว่า ขณะนี้ กระทรวงพาณิชย์ ยังไม่อนุญาตให้มีการขึ้นราคาสินค้าดังกล่าว

ทั้งนี้ อาจมีการฉกฉวยขึ้นราคา แต่ก็จะดำเนินคดีอย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้เป็นการเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภค แต่หากมีความจำเป็นต้องขึ้นราคาสินค้าในรายการใด ผู้ประกอบการสามารถทำเรื่องมายังกระทรวงพาณิชย์ เพื่อพิสูจน์เป็นรายกรณีไปว่ามีความจำเป็นแท้จริงหรือไม่ เพื่อไม่ให้กระทบต่อเกษตรกรรายย่อย จากการกดราคาทางนโยบาย เพื่อป้องกันไม่ให้สินค้าขาดตลาดอีก โดยมอบหมายให้อธิบดีกรมการค้าภายใน ไปติดตามราคาเนื้อไก่และไข่ไก่ เพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับผลกระทบจากกรณีเนื้อหมูได้ขึ้นราคาไปแล้ว ขณะเดียวกันยังต้องช่วยเหลือดูแลกับเกษตรกรรายย่อยด้วย โดยต้องให้สมดุลกันระหว่างผู้บริโภคและเกษตรกรรายย่อย

พาณิชย์ เบรกขึ้นราคาไข่ไก่และเนื้อไก่ สั่งให้ทำเรื่องเสนอมาก่อน

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวงพาณิชย์ ยังไม่อนุญาตให้มีการขึ้นราคาสินค้าอุปโภคบริโภค โดยเฉพาะราคาไข่ไก่และเนื้อไก่ ที่ทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยหากพบว่า มีการฉกฉวยขึ้นราคา กระทรวงพาณิชย์จะดำเนินคดีอย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้เป็นการเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภค แต่หากมีความจำเป็นต้องขึ้นราคาสินค้าในรายการใด ก็สามารถทำเรื่องมายังกระทรวงพาณิชย์ เพื่อพิสูจน์เป็นรายกรณีไปว่ามีความจำเป็น เพื่อไม่ให้กระทบต่อเกษตรกรรายย่อย และป้องกันไม่ให้สินค้าขาดตลาดอีก

อย่างไรก็ตามได้มอบหมายให้กรมการค้าภายใน ลงพื้นที่ติดตามราคาเนื้อไก่และไข่ไก่ เพื่อไม่ให้ประชาชนได้รับผลกระทบโดยในส่วนของราคาเนื้อหมูนั้น ตอนนี้มีโครงการพาณิชย์ลดราคาที่กำหนดราคาหมูเนื้อแดงไว้ที่ กก.ละ 150 บาท กว่า 600 จุด พร้อมเตรียมเสนอของบกลาง เพื่อเร่งมาชดเชยราคาในโครงการฯ ที่ตรึงไว้ 150 บาทต่อ กก. และอุดหนุนกับเกษตรกรผู้เลี้ยงหมูรายย่อย เพื่อให้มีกำลังใจในการเลี้ยงหมูต่อไป และไม่ให้เกิดภาวะหมูขาดแคลนในอนาคต  

ขณะที่นายมาโนช ชูทับทิม นายกสมาคมผู้เลี้ยงไก่ไข่ กล่าวถึงกรณีการปรับราคาไข่ไก่ ว่า เรื่องนี้เป็นมาตั้งแต่กลางปีที่ผ่านมา อาหารสัตว์ต่าง ๆ ขึ้นแล้วไม่ยอมลง ภาระต่างๆ ตกหนักที่ผู้เลี้ยง ซึ่งต้นทุนหลัก 60-70% เป็นอาหารสัตว์ และยังมีผลิตภัณฑ์อย่างอื่น เช่น วัคซีน ยาสัตว์ และอื่นๆ ขึ้นตามหมด รวมแล้วประมาณ 20-30% ซึ่งต้องยอมรับความเป็นจริงว่าเป็นต้นทุนที่สูงขึ้น และเกษตรกรต้องทนรับมาโดยตลอด

‘กรมสรรพากร’ รับนโยบาย ‘บิ๊กตู่’ คาดเกณฑ์เก็บภาษีคริปโตเสร็จเดือนนี้

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า กรมสรรพากรเตรียมหารือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง  เพื่อกำหนดแนวทาง หลักเกณฑ์การคิดภาษีจากกำไรการขายหรือการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล หรือ คริปโทเคอร์เรนซี ให้มีความเหมาะสม และสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนม.ค.นี้ หลังจากนายกรัฐมนตรี มอบหมายให้กรมสรรพากรเร่งสร้างความชัดเจน เกี่ยวกับแนวคิดคำนวณภาษีจากกำไร การขายหรือการลงทุนคริปโทเคอร์เรนซี ให้แก่นักลงทุนและประชาชนทั่วไป  

ทั้งนี้ กรมสรรพากร ได้หารือกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เช่น  ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และเตรียมเปิดรับฟังความคิดเห็นจากภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อนำมาจัดทำแนวทางการปฏิบัติในการเก็บภาษีจากสินทรัพย์ดิจิทัล ให้เกิดความเหมาะสมกับรูปแบบการลงทุนและบริบทในปัจจุบัน โดยยึดถือประโยชน์สูงสุดกับประชาชน และเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เพื่อสร้างความเป็นธรรมให้แก่นักลงทุน และผู้ที่เกี่ยวข้องจากการถือครองหรือได้รับผลประโยชน์จากสินทรัพย์ดิจิทัล

4 แนวทางจัดการ ‘หมูแพง’

4 แนวทางจัดการ ‘หมูแพง’

- ห้ามส่งออกหมูชั่วคราว 3 เดือน

- สั่งเช็กสต็อกหมูทั่วประเทศ ป้องกันการกักตุน

'ธ.ก.ส.'เปิดข้อมูลสินค้าเกษตรพาเหรดขึ้นราคายกแผง

นายสมเกียรติ กิมาวหา รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ธ.ก.ส. ประเมินราคาสินค้าเกษตรในเดือนม.ค. 2565 โดยสินค้าเกษตรที่มีแนวโน้มราคาปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่ ข้าวเปลือกเจ้าหอมมะลิ ราคาอยู่ที่ 9,966 - 10,075 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 1.17 - 2.27% เนื่องจากฮ่องกงมีความต้องการใช้ข้าวหอมมะลิเพื่อใช้ในช่วงเทศกาลตรุษจีน ประกอบกับภาครัฐดำเนินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี เพื่อชะลอการขายข้าวที่ออกสู่ตลาดในช่วงที่ผ่านมา เช่นเดียวกับข้าวเปลือกเหนียวเมล็ดยาว ราคาอยู่ที่ 8,160 - 8,460 บาท/ตัน เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 1.18 - 4.90% เนื่องจากผลผลิตข้าวเปลือกเหนียวนาปีออกสู่ตลาดน้อยลง 

ส่วนข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ราคาอยู่ที่ 9.08 - 9.16 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 0.85 - 1.73% เนื่องจากสิ้นสุดฤดูเก็บเกี่ยวข้าวโพดเลี้ยงสัตว์รุ่น 1 เข้าสู่ช่วงปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์รุ่น 2 (ข้าวโพดหลังนา) ทำให้ปริมาณข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ออกสู่ตลาดน้อยโดยมีผลผลิตเพียง 2.59% ของปริมาณผลผลิตทั้งปี ขณะที่ ยางพาราแผ่นดิบชั้น 3 ราคาอยู่ที่ 54.95 - 55.90 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 3.46 - 5.25% เนื่องจากความกังวลต่อการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ ส่งผลให้มีความต้องการใช้ถุงมือยางในอุตสาหกรรมทางการแพทย์เพื่อใช้ในการรักษาโรคไวรัสโควิด-19 หรือฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ให้กับคนไข้เพิ่มขึ้น 

ด้าน สุกร ราคาอยู่ที่ 77.56 - 81.29 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 1.45 - 6.31% เนื่องจากความต้องการเนื้อสุกรของร้านอาหารและผู้บริโภคเพื่อใช้ในการบริโภคในช่วงเทศกาลปีใหม่เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่มีผลผลิตสุกรมีแนวโน้มลดลงจากการที่ผู้เลี้ยงสุกรจะชะลอการผลิตเพราะต้นทุนการผลิตที่สูง กุ้งขาวแวนนาไม ราคาอยู่ที่ 163.73 - 164.39 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 0.45 - 0.85% เนื่องจากเป็นช่วงที่ผลผลิตกุ้งขาวแวนนาไมออกสู่ตลาดน้อย และโคเนื้อ ราคาอยู่ที่ 98.00 - 101.00 บาท/กก. เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน 0.29 – 3.36% เนื่องจากบรรยากาศการจับจ่ายใช้สอยในช่วงเทศกาลปีใหม่  

รมว.เฮ้ง เดินหน้าเสนอคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ปรับเงื่อนไขโครงการช่วย SMEs หลังสถานประกอบการบางส่วนเสียสิทธิ์รับเงินอุดหนุนเพราะเงื่อนไขโครงการฯ

คณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ อนุมัติเงื่อนไข ส่งเงินสมทบผ่าน e - Service 2 ข้อ หากปฏิบัติตามเงื่อนไขข้อใดข้อหนึ่ง มีสิทธิ์รับเงินอุดหนุน งวดธันวา 64 และมกรา 65
 
นายสุชาติ ชมกลิ่น  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงแรงงานได้เชิญชวนนายจ้างภาคเอกชนที่มีกิจการขนาดเล็ก – กลางเข้าร่วมโครงการส่งเสริมและรักษาระดับการจ้างงานในธุรกิจ SMEs เพื่อรับเงินอุดหนุนจากรัฐบาล ในอัตรา 3,000 บาท ต่อลูกจ้างสัญชาติไทย 1 คนต่อเดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน ในเดือนพฤศจิกายน 2564 - มกราคม 2565 ด้วยมีเป้าหมายช่วยเหลือนายจ้าง สถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ให้กลับมาแข็งแรงประสบผลสำเร็จดั่งในอดีตก่อนมีโรคโควิด-19 ตามความตั้งใจของรัฐบาล

ภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ที่ห่วงใยธุรกิจในกลุ่ม SMEs ซึ่งผลการลงทะเบียนในทุกรอบมีสถานประกอบการลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการถึง 246,099 ราย ช่วยรักษาระดับการจ้างงานลูกจ้างสัญชาติไทย 3,274,018 คน แต่ช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมามีการร้องทุกข์จากนายจ้าง/สถานประกอบการที่เข้าร่วมโครงการ ผ่านสำนักงานจัดหางานทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค เนื่องจากไม่ได้รับเงินอุดหนุนในเดือนธันวาคม 2564 เพราะไม่ได้ส่งข้อมูลเงินสมทบฯ ผ่านระบบ e - Service ของสำนักงานประกันสังคมภายในกำหนด เพื่อขอให้ทบทวนเงื่อนไขดังกล่าว ทำให้ได้รับเงินอุดหนุนบรรเทาความเดือดร้อนในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และเป็นทุนหมุนเวียน เสริมสภาพคล่อง หากเกิดการระบาดในระลอกใหม่ของสายพันธ์โอมิครอน

“ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เข้าใจความเดือดร้อนของผู้ประกอบการเป็นอย่างดี กิจการเล็กๆ หลายแห่ง ยังมีความไม่เข้าใจเงื่อนไขและขั้นตอนการใช้บริการภาครัฐผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ โดยไม่ได้มีเจตนาที่จะไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขแต่อย่างใด กระทรวงแรงงานจึงได้ปรับเงื่อนไขโครงการเสนอต่อคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้พิจารณา ซึ่งคณะกรรมการฯ ได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 5 มกราคม 65 และจะดำเนินการเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติในวันที่ 11 มกราคม 65 เพื่อให้นายจ้าง/สถานประกอบการที่เสียสิทธิ์ไป มีโอกาสได้รับเงินอุดหนุนในเดือนธันวาคม 64 และมกราคม 65 ดังนี้ 1. นายจ้างที่เข้าร่วมโครงการหากเคยนำส่งข้อมูลเงินสมทบผ่านระบบ e-Service ของสำนักงานประกันสังคม

ภายในปีนี้ ก่อนวันที่ 16 ธันวาคม 64 จะได้รับเงินอุดหนุน จำนวน 2 เดือน (ธ.ค. 64 – ม.ค. 65)  2. นายจ้างที่เข้าร่วมโครงการแต่มีการนำส่งข้อมูลเงินสมทบผ่านระบบ e-Service ของสำนักงานประกันสังคม หลังวันที่ 15 ธันวาคม 64 ที่ได้นำส่งข้อมูลฯ ภายในวันที่ 17 มกราคม 65 จึงจะได้รับเงินอุดหนุน จำนวน 2 เดือน (ธ.ค. 64 – ม.ค. 65)” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว  
 
ด้านนายไพโรจน์ โชติกเสถียร อธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า การสมัครใช้งาน e - Service และนำส่งข้อมูลเงินสมทบ ผ่านระบบ e - Service ของสำนักงานประกันสังคม เป็นเงื่อนไขสำคัญข้อหนึ่งของโครงการฯ โดยมีวัตถุประสงค์ให้ประชาชนหันมาใช้บริการภาครัฐผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ตามเจตนารมณ์ของคณะกรรมการกลั่นกรองการใช้จ่ายเงินกู้ ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลนายจ้างที่ไม่ได้นำส่งข้อมูลเงินสมทบผ่านระบบ e-Service ในงวดเงินสมทบเดือนพฤศจิกายน 2564 พบว่ามีนายจ้างปฏิบัติตามเงื่อนไขดังกล่าว

‘คุณสมบัติ’ ประธาน INTERLINK ประเดิมต้นปี!เปิดงานสัมมนา ต้อนรับโลกแห่งยุคดิจิทัล

คุณสมบัติ อนันตรัมพร ประธานกรรมการ กลุ่มบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ฯ เปิดงานสัมมนาต้อนรับปี 2022 ในงาน "The Next Innovation of LINK FIBER OPTIC" 

พร้อมนำทีมวิทยากรชั้นนำมาร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เจาะลึกในการเลือกใช้นวัตกรรมโครงข่ายสายสัญญาณเพื่อการเชื่อมต่อเข้าสู่โลกดิจิทัล 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top