Friday, 9 May 2025
ECONBIZ

ITEL ผนึกพันธมิตรจากออสเตรเลีย เพิ่มศักยภาพขยายฐานลูกค้า Data Center

บมจ.อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม หรือ ITEL ประกาศเปิดตัวพันธมิตร ดาต้าเซ็นเตอร์ ยักษ์ใหญ่จากประเทศออสเตรเลีย "Etix Everywhere" คาดช่วยขยายฐานลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ให้บริการ Cloud ในต่างประเทศที่ต้องการใช้ไทยเป็นฐานที่ตั้งสำหรับ Data Center 

นายณัฐนัย อนันตรัมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ITEL เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้บรรลุข้อตกลงกับ Etix Everywhere พันธมิตร Data Center ระดับโลกจากออสเตรเลีย เพื่อซื้อหุ้นจากบริษัท แอ็ดวานซ์ อินฟอร์เมชั่น เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ AIT และบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA ที่ถือหุ้นใน เจเนซิส ดาต้า เซ็นเตอร์ คิดเป็นร้อยละ 67 เมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา

โดย เจเนซิส ดาต้า เซ็นเตอร์ ตั้งอยู่ในจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งอยู่ห่างจาก ศูนย์กลางของกรุงเทพฯ 30 กิโลเมตร ศูนย์รับฝากข้อมูลแห่งนี้จะเป็นพื้นฐานของศูนย์ข้อมูลแห่งใหม่ ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้ผสมผสานระหว่างประสบการณ์เฉพาะด้านของบริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จำกัด (มหาชน) และความรู้ระดับสากลของ Etix Everywhere และฐานลูกค้าของทั้งสองฝ่าย โดยปัจจุบัน เจเนซิส ดาต้า เซ็นเตอร์ เฟสแรกมีอัตราการใช้พื้นที่ 85% และบริษัทฯ เตรียมขยายเฟส 2 ซึ่งมีพื้นที่ให้บริการ 180 racks การที่ GDC เข้ามาซื้อหุ้นจาก AIT และ WHA และกลายเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งระดับโลกของ ITEL ทำให้ ITEL สามารถขยายฐานลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ให้บริการคลาวด์ในต่างประเทศที่ต้องการใช้ไทยเป็นฐานที่ตั้งสำหรับ Data center

"บริษัทฯ รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่มีพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่าง Etix Everywhere ที่มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมนี้ บริษัทฯ เชื่อว่าการเป็นพันธมิตรธุรกิจของทั้งสองบริษัทฯ จะเสริมความแข็งแกร่งและสนับสนุนศูนย์รับฝากข้อมูลและอุตสาหกรรมคลาวด์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่กำลังเฟื่องฟู และนำพาบริษัทของเราสู่ความสำเร็จร่วมกัน" นายณัฐนัย กล่าว

ล่าสุด "เจเนซิส ดาต้า เซ็นเตอร์" ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "ETIX Bangkok #1" และตั้งเป้าที่จะขยาย ดาต้าเซ็นเตอร์แห่งนี้เพื่อรองรับลูกค้าในอนาคตได้สูงถึง 2.4 เมกะวัตต์ โดยดาต้าเซ็นเตอร์แห่งนี้จะเป็นแห่งแรกที่มีการเข้าถึงของโครงข่ายจากผู้ให้บริการโครงข่าย 4 เส้นทาง และรับไฟฟ้าจากแหล่งจ่ายไฟที่มาจาก 2 สถานีย่อยที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ การเพิ่มของ Data Usage ไม่ว่าจะเป็นจากการ Digitalize หรือการมาของ Metaverse ในอนาคต ส่งผลให้ดีมานด์ของ Data Center เพิ่มสูงขึ้นเพราะผู้ให้บริการจำเป็นต้องมีแหล่งจัดเก็บข้อมูลที่ใกล้ลูกค้ามากที่สุด

ด้านมร.หลุยส์ บลองโช (Louis Blanchot) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม Etix Everywhere กล่าวว่า บริษัทฯ รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะประกาศการขยายธุรกิจสู่เอเชียโดยเริ่มต้นจากการเข้าซื้อกิจการในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดที่มีพลวัตสูงสุดในภูมิภาคนี้ ก้าวแรกดังกล่าวในเอเชียนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในกลยุทธ์ของ Etix Everywhere ในการสนับสนุนลูกค้าทั่วโลกของบริษัทฯ ด้วยการให้บริการจัดสรรพื้นที่สำหรับการจัดวางหรือติดตั้งเซิร์ฟเวอร์ เพื่อให้องค์กรหรือหน่วยงานตลอดจนผู้ใช้งานทั่วไป (Co-Location) ที่ดีที่สุดในระดับเดียวกันสำหรับทุกๆ ที่ที่ลูกค้าต้องการ

‘วีริศ’ หารือ ‘ผู้ว่าฯ - นายด่านอรัญประเทศ’ ดึง ‘นักลงทุน’ เพิ่ม!! ในนิคมฯ สระแก้ว

‘วีริศ’ ลงพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมสระแก้ว หารือผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว นายด่านอรัญประเทศ หวังดึงนักลงทุนในพื้นที่ พร้อมหาแนวทางการบูรณาการความร่วมมือ ให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมร่วมกันอย่างยั่งยืน

นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยถึงการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมการดำเนินงานของนิคมอุตสาหกรรมสระแก้ว อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา (20-21 ม.ค. 65) ว่า ปัจจุบันนิคมอุตสาหกรรมสระแก้ว อยู่ระหว่างการขอปรับเปลี่ยนการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA: Environmental Impact Assessment) โดยเพิ่มหัวข้อประเภทโรงงานอุตสาหกรรมที่มีระบบการระบายออกทางปล่อง (Stack) เข้ามาประกอบกิจการในนิคมอุตสาหกรรมได้ ซึ่งอุตสาหกรรมในลักษณะเช่นนี้ ได้แก่ อุตสาหกรรมแปรรูป, ผลผลิตทางการเกษตร เป็นต้น ประกอบกับเป็นการสนับสนุนให้เกิดระบบเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน (BCG Economy) ซึ่งสามารถสร้างโอกาสทางการแข่งขันให้กับนักลงทุน และเพิ่มประสิทธิภาพให้กับผู้ผลิตเดิม เช่น เกษตรกร และชุมชน ให้เป็นผู้ประกอบการที่สามารถผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงได้

รอเลย รัฐลุย ‘เราเที่ยวด้วยกัน’ เฟส 4 ชงครม.เริ่ม ก.พ.นี้

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลเตรียมเดินหน้าโครงการ เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 4 ในเร็วๆ นี้ เบื้องต้นจะเพิ่มสิทธิจำนวนห้องพัก 2 ล้านสิทธิหรือห้อง โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดว่า จะเริ่มให้ประชาชนจองสิทธิได้ภายในเดือนก.พ. 2565 และสิ้นสุดการใช้สิทธิภายในเดือนเม.ย. 2565 โดยความคืบหน้าล่าสุดอยู่ระหว่างเตรียมเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณา 

ที่ผ่านมาโครงการ เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 3 และทัวร์เที่ยวไทย ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ประกอบการธุรกิจท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมต่อเนื่อง โดยโครงการเราเที่ยวด้วยกันเฟส 3 มีประชาชนใช้สิทธิ์ 637,171 คน ยอดการจอง โรงแรมสะสม 2,004,199 ห้อง สร้างมูลค่าการใช้จ่ายผ่านโครงการ 8,888 ล้านบาท และโครงการทัวร์เที่ยวไทย ที่รัฐบาลสนับสนุนค่าแพ็คเกจท่องเที่ยว 40% ไม่เกิน 5,000 บาทต่อสิทธิ จำนวน 1 ล้านสิทธิ ยอดรวมมูลค่าการเดินทางและค่าใช้จ่ายการสะสม 227.83 ล้านบาท โดยประชาชนสามารถใช้สิทธิทั้ง 2 โครงการได้ถึง 31 ม.ค.นี้ 

“นายกฯ” มั่นใจ ไทยพร้อมเป็นเจ้าภาพเอเปคปี65 ชวนปชช.เป็นเจ้าภาพที่ดี ส่งเสริมเศรษฐกิจ-เพิ่มศักยภาพธุรกิจ

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการเตรียมการเป็นเจ้าภาพการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้องตลอดปี 2565 ว่า เป็นโอกาสที่ไทยจะเวทีหารือเรื่องส่งเสริมการค้าการลงทุนระหว่างเขตเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ด้วยความร่วมมือจากผู้นำ 21 เขตเศรษฐกิจ มีการประชุมกว่า 250 การประชุม แบ่งเป็นสองระดับหลัก คือ ระดับนโยบายและระดับรัฐมนตรี รวมไปถึงการประชุมย่อย มีผู้เข้าร่วมตั้งแต่ระดับเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ระดับสูงจากภาครัฐ นักธุรกิจจากภาคเอกชน สื่อมวลชนจากทั่วโลก มีจุดมุ่งหมายเพื่อทบทวนการดำเนินงานที่ผ่านมา เสนอความคิดเห็นผ่านการแลกเปลี่ยนหารือร่วมกันเพื่อกำหนดเป้าหมายในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจร่วมกันอย่างเป็นรูปธรรม

นายธนกร กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ยืนยันความพร้อมของไทยในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปคในปีนี้ ขอบคุณหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ได้ประสานการทำงานร่วมกัน ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน และความร่วมมือในระดับท้องถิ่นเพื่อเตรียมความพร้อมต้อนรับผู้เข้าร่วมการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้องตลอดปีนี้ ล่าสุดมีการประชุมเชิงปฏิบัติการในหัวข้อ “การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับ MSMEs เพื่อภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกที่ครอบคลุมและยั่งยืน การลดขยะภาคอาหารในห่วงโซ่อุปทานโดยกระทรวงการต่างประเทศร่วมกับสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.)และสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปคของไทย ซึ่งได้นำข้อเสนอต่าง ๆ มาจัดทำเป็นคู่มือการลดขยะภาคอาหารของ MSMEs เพื่อความครอบคลุมและยั่งยืนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกต่อไป

นายธนกร กล่าวว่า ไทยได้จัดการประชุมครั้งนี้ภายใต้แนวคิด “เปิดกว้างสร้างสัมพันธ์ เชื่อมโยงกัน สู่สมดุล” (Open. Connect. Balance.) ซึ่งสอดคล้องกับสถานการณ์ในเวทีระหว่างประเทศ โดยนายกฯรัฐมนตรีพร้อมที่จะนำเสนอบทบาทของไทยในสามประเด็นหลัก ได้แก่ Open การเปิดกว้างสร้างสัมพันธ์ต่อทุกโอกาส สร้างโอกาสด้านการค้าการลงทุนในทุกมิติ รวมทั้ง วางแผนเศรษฐกิจในอนาคตจากบทเรียนสถานการณ์โควิด-19 Connect การฟื้นฟูความเชื่อมโยงในทุกมิติ เน้นการฟื้นฟูด้านการเดินทาง การท่องเที่ยว และความสะดวกด้านการค้า การลงทุน 

กลางปีเจอกัน!! เผยภาพ รถไฟบริจาคจากญี่ปุ่น ลงราง คาดเปิดใช้ในเส้นทางท่องเที่ยวกลางปีนี้

รถ KIHA 183 ลงรางเรียบร้อย มุ่งหน้าสู่โรงงานมักกะสัน การรถไฟฯ เร่งปรับปรุงรถไฟ Kiha-HOKKAIDO ตามแผน เพื่อใช้หนุนเส้นทางการท่องเที่ยว คาดกลางปีนี้เริ่มทดลองใช้ได้ 4 คันในเส้นทางท่องเที่ยวระยะสั้น 

นายเอกรัช ศรีอาระยันพงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์ประชาสัมพันธ์ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กล่าวถึงความคืบหน้าในการบริหารจัดการรถไฟดีเซลราง JR Hokkaido Kiha 183 จากญี่ปุ่น จำนวน 17 คัน ที่ไทยได้รับมอบจากบริษัท Hokkaido Railway Company (JR HOKKAIDO) ประเทศญี่ปุ่น เมื่อช่วงกลางเดือนธันวาคม 2564 ที่ผ่านมา ว่าขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการปรับปรุงอุปกรณ์หลักของตัวรถ พร้อมดัดแปลงสิ่งอำนวยความสะดวกภายในตู้โดยสารให้พร้อมรองรับการให้บริการนักท่องเที่ยวเพื่อสนับสนุนการเดินทางท่องเที่ยวด้วยรถไฟ พร้อมกระตุ้นรายได้ให้กับท้องถิ่น ฟื้นฟูเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวในภาพรวมให้กลับมาคึกคัก 

ทั้งนี้ ภายหลังจากการรถไฟฯ ได้ดำเนินการปรับขนาดเพลาล้อ จาก 1.067 เมตร (มาตรฐานญี่ปุ่น) เป็น 1 เมตร (มาตรฐานไทย) เสร็จเรียบร้อยและนำรถไฟลงรางที่สถานีแหลมฉบังแล้ว โดยในวันนี้ (21 มกราคม 2565) ขบวนรถ Kiha-HOKKAIDO ได้เคลื่อนขบวนออกจากสถานีแหลมฉบัง เมื่อเวลา 09.00 น. เพื่อเตรียมนำไปปรับปรุงสีใหม่ ที่โรงงานมักกะสัน เพื่อจะกลับมาให้บริการภายในปีนี้  

รมว.แรงงาน แจงผลการดำเนินการโครงการส่งเสริมการจ้างงานคนพิการเชิงสังคม ปี 65 จ้างงานเกินเป้า 40%

กระทรวงแรงงาน ร่วมมือสถานประกอบการภาคเอกชน ส่งเสริมความเสมอภาคทางสังคม สร้างโอกาสมีงานทำให้คนพิการ มีงานทำ 1,400 คน สร้างรายได้ร่วม 160 ล้าน

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งกำกับดูแลกระทรวงแรงงาน ให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนประเทศอย่าง "มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน" ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี โดยกระทรวงแรงงานพร้อมสนองต่อนโยบายรัฐบาล โดยเฉพาะยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ และด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคม โดยเน้นสร้างโอกาสแก่ประชาชนที่เป็นกลุ่มเปราะบาง คนพิการ เพื่อให้มีหลักประกันทางสังคม ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนกลุ่มเปราะบาง ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สามารถพึ่งพาตนเองได้ ลดความเหลื่อมล้ำ และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

“ผมในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานได้มอบหมายให้กรมการจัดหางานจัดทำโครงการส่งเสริมการจ้างงานคนพิการเชิงสังคม ประเภทจ้างเหมาบริการ เพื่อเชิญชวนนายจ้าง สถานประกอบการที่ส่งเงินเข้ากองทุนส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการตามมาตรา 34 ให้ดำเนินการให้สิทธิแก่คนพิการหรือผู้ดูแลคนพิการตามมาตรา 35 โดยจ้างงานคนพิการเป็นพนักงานเพื่อปฏิบัติงานสนับสนุนในหน่วยบริการสาธารณประโยชน์ในพื้นที่ชุมชนใกล้บ้าน เช่น โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล โรงเรียน/ศูนย์เด็กเล็ก ศูนย์ฟื้นฟูอาชีพคนพิการ ศูนย์บริการคนพิการของเทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบล ซึ่งช่วยให้คนพิการในพื้นที่ห่างไกล ได้รับโอกาสมีอาชีพ มีงานทำอย่างทั่วถึง สามารถพึ่งพาตนเองได้ทัดเทียมคนทั่วไป โดยมีการกำหนดเป้าหมายการจ้างงานคนพิการเชิงสังคม ปี 2565 ไว้ จำนวน 1,000 คน และเตรียมขยายการมีงานทำให้คนพิการฯ มีงานและรายได้เพิ่มขึ้นปีละ 20% ภายใน 4 ปี 

อย่างไรก็ดีต้องขอบคุณความร่วมมือของสถานประกอบการภาคเอกชน จำนวน 181 แห่ง อาทิ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนท์ บมจ.แคล - คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) สาขาเพชรบุรีและสาขาสมุทรสาคร กลุ่มบริษัท อเด็กโก้ ประเทศไทย และบริษัท รักษาความปลอดภัย การ์ดฟอร์ซ (ประเทศไทย) จำกัด  ที่ได้ให้สิทธิคนพิการฯ ตามโครงการส่งเสริมจ้างงานคนพิการเชิงสังคมในปีนี้ ถึง 1,400 คน เพิ่มจากเป้าหมายร้อยละ 40 ก่อให้เกิดรายได้ 159,943,425 บาทต่อปี” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าว

‘พาณิชย์’ เผยส่งออกปี 64 โต 17.1% มองปี 65 คาดขยายตัวเพิ่มอีก 3-4%

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ เปิดเผยถึงตัวเลขการส่งออกของประเทศในเดือนธ.ค. 64 ว่า การส่งออกของไทยในเดือนธ.ค. ยังเป็นบวกอยู่ที่ 24.2% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นมูลค่ากว่า 24,930 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ส่งผลให้ทำให้ตัวเลขการส่งออกทั้งปีเติบโตถึง 17.1% โดยเป็นยอดส่งออกทั้งสิ้น 271,173 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็นเงินบาท 8.5 ล้านล้านบาท

ทั้งนี้ตัวเลขการส่งออกที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในเดือนธ.ค. ถือว่า เป็นไปตามทิศทางเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว ทำให้การส่งออกของโลกดีขึ้นตาม แม้ปัญหาโควิดในเชื้อสายพันธุ์โอไมครอนจะแพร่ระบาดแต่ไม่น่าจะรุนแรงไปมากกว่านี้ ทำให้ภาครัฐและเอกชนยังคงเดินหน้าร่วมกันแก้ไขปัญหาและอุปสรรคต่างๆ รวมถึงเร่งเจาะตลาดในหลายประเทศอย่างต่อเนื่อง ทั้งตลาดเก่าและตลาดใหม่ โดยเฉพาะในตลาดรัสเซียในกลุ่มซีไอเอส เอเชียใต้ อาเซียน ตะวันออกกลาง แอฟริกา เกาหลีใต้ กลุ่มซีแอลเอ็มอี สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น และยุโรป 

‘เบทาโกร’ แจงไม่ได้กักตุนหมูห้องเย็นสงขลา ชี้สำรองสินค้าปกติ รอจัดส่ง 8 จังหวัดภาคใต้

เครือเบทาโกรปฏิเสธไม่ได้กักตุนเนื้อหมูกว่า 2 แสนกิโลกรัมที่ห้องเย็นในจังหวัดสงขลา ระบุเป็นคลังสำรองสินค้ารองรับการจัดส่ง 5-7 วัน ก่อนส่งถึงลูกค้าภาคใต้ตอนล่างมากกว่า 8 จังหวัด ย้ำประสานพาณิชย์ลดราคาช่วยประชาชน กิโลกรัมละ 150 บาท 667 แห่งทั่วประเทศ

วันนี้ (20 ม.ค.) จากกรณีที่จังหวัดสงขลา พร้อมทั้งปศุสัตว์จังหวัดสงขลา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าตรวจสอบห้องเย็นภายในบริษัท ปิติซีฟูดส์ จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 125/1 ม.5 ถ.สงขลา-ปัตตานี ต.บ้านนา อ.จะนะ จ.สงขลา ตามแผนการปฏิบัติงานตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ในการตรวจสอบห้องเย็นกรณีที่อาจมีการกักตุนสินค้าประเภทเนื้อสุกรพบว่าในระยะเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา มีการนำเนื้อสุกรจากบริษัท เบทาโกร เกษตรอุตสาหกรรมใน จ.พัทลุง เข้ามาเก็บรักษาไว้ที่ห้องเย็นดังกล่าว จำนวน 211,361 กิโลกรัม จากการลงพื้นที่ตรวจสอบวานนี้ (19 ม.ค.) พบว่า มีเนื้อสุกรคงคลัง 201,650 กิโลกรัม ปศุสัตว์จังหวัดจึงได้สั่งอายัดไว้เพื่อรอการตรวจสอบที่ชัดเจนว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการกักตุนทำให้เนื้อหมูมีราคาแพงด้วยหรือไม่

ล่าสุด เครือเบทาโกร (BETAGRO) ชี้แจงว่า จากกรณีที่ปรากฏรายงานข่าวการเข้าตรวจสอบบริษัทห้องเย็นแห่งหนึ่งในจังหวัดสงขลา และพบว่ามีการเก็บรักษาเนื้อสุกรจากบริษัท เบทาโกร เกษตรอุตสาหกรรม พัทลุง จำนวน 201,650 กิโลกรัมในห้องเย็นดังกล่าวนั้น บริษัทฯ ขอเรียนชี้แจงว่า การจัดเก็บรักษาเนื้อสุกรของบริษัท เบทาโกร เกษตรอุตสาหกรรม พัทลุง และสาขาในกลุ่ม ในบริษัทห้องเย็นตามที่ระบุในรายงานข่าว เป็นการจัดการสินค้าคงคลังตามแนวทาง การปฏิบัติโดยปกติ ภายใต้มาตรฐานการจัดส่งสินค้า เพื่อการสำรองสินค้ารองรับการจัดส่ง 5-7 วันอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้สินค้ามีความสดใหม่จนถึงมือผู้บริโภค โดยครอบคลุมพื้นที่จัดส่งในภาคใต้ตอนล่างมากกว่า 8 จังหวัด

‘จุรินทร์’ ชู ‘เกษตรผลิต - พาณิชย์ขาย’ ดันส่งออกผลไม้ โกยเงินแสนล้านเข้าปท.

แม้จะมีปัญหาอุปสรรคในช่วงสถานการณ์โควิด-19 และมีปัญหาจากการที่ประเทศจีนปิดด่านบางช่วง แต่ในปี 2564 ที่ผ่านมา การส่งออกผลไม้ไทยยังคงเติบโตได้ถึง 86% (ม.ค.-ต.ค.) โดยมีจีนเป็นตลาดที่สำคัญ เพราะมีสัดส่วนสูงถึง 85% 

ดังนั้น หากจีนปิดด่าน จะส่งผลกระทบต่อตลาดส่งออกผลไม้ไทยทันที แต่อย่างไรก็ดี จากความร่วมมือกันอย่างลงตัว ระหว่างกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่มี ‘จุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์’ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นหัวเรือใหญ่ ควงคู่ผสานกับ ‘เฉลิมชัย ศรีอ่อน’ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมขับเคลื่อนคอนเซปต์ ‘เกษตรผลิต - พาณิชย์ขาย’ ได้อย่างกลมเกลียว

ตลอดระยะเวลากว่า 2 ปีของรัฐบาลชุดนี้ จะเห็นว่าทั้งสองกระทรวง ได้บูรณาการแก้ปัญหาส่งออกผลไม้เฉพาะหน้าร่วมกันหลายครั้ง โดยเฉพาะปัญหาจากประเทศจีนปิดด่าน เพื่อคุมการระบาดโควิด-19 โดยมีด่านสำคัญ คือ ด่านโหย่วอี้กวนกับด่านโม่ฮาน ซึ่งโม่ฮานเป็นด่านใหญ่ เป็นด่านสำรองในการช่วยเวลาเกิดปัญหาที่ด่านโหย่วอี้กวน ให้สามารถมีช่องทางส่งผลไม้เข้าจีนได้เพิ่มขึ้น

ขณะที่ ส่วนหนึ่งนั้น มาจากการป้องกันการปนเปื้อนโควิด-19 ในการส่งออกผลไม้ไปจีน ที่ถือเป็นมาตรการสำคัญ ที่ทำให้จีนยอมรับให้นำเข้าผลไม้จากไทยได้อย่างไม่ติดขัด ส่งผลให้ตัวเลขการส่งออกผลไม้ไทย เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล เพราะนโยบายซีโร่โควิด-19 ที่เข้มงวด ทำให้สินค้าไทยได้รับความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าทั่วโลก

อย่างไรก็ตาม ในปี 2565 ยังคงเป็นปีที่ท้าทายสำหรับการส่งออกของไทย เพราะประเทศคู่ค้าหลายประเทศยังคงเผชิญกับการระบาดของโรคโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง แต่เชื่อว่า สินค้าไทยโดยเฉพาะผลไม้ยังคงเป็นที่ต้องการของผู้บริโภคทั่วโลก 

SME D Bank อัดแคมเปญ ‘SMEs Happy’ อุ้มหมื่นแรงงาน สานต่อ 2 พันลมหายใจเอสเอ็มอี

ข่าวดี!! ที่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยไม่ควรพลาด!! 

ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank จัดแคมเปญกระตุ้นเศรษฐกิจ อัดทุนเสริมสภาพคล่องเป็นของขวัญชิ้นใหญ่ให้เอสเอ็มอีไทย ผ่านแคมเปญ “SMEs Happy” ประกอบไปด้วย “บริการเติมทุนผ่านผลิตภัณฑ์สินเชื่อ” วงเงินรวมกว่า 15,000 ล้านบาท เพื่อให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยนำไปใช้ขยายกิจการ เสริมสภาพคล่อง รักษาการจ้างงาน และฟื้นฟูกิจการหลังสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย 

พิเศษ!! เมื่อยื่นขอสินเชื่อตามเงื่อนไขธนาคาร ระหว่างวันที่ 4 ม.ค. 65 - 31 มี.ค. 65  ได้รับสิทธิ ฟรี!! ค่าประเมินหลักประกัน ซึ่งโดยปกติจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 15,000 บาท ช่วยให้ผู้ประกอบการ ลดต้นทุน เดินหน้าธุรกิจได้เต็มศักยภาพ

สำหรับแคมเปญ “SMEs Happy” นับเป็นอีกแคมเปญจาก SME D Bank ที่เปิดกว้างครอบคลุม “ทุกกลุ่มธุรกิจ” ผ่านผลิตภัณฑ์สินเชื่อต่างๆ ได้แก่... 

>> สินเชื่อ “SMEs D Plus” เปิดรับรีไฟแนนซ์จากสถาบันการเงินเดิม ช่วยลดต้นทุนทางการเงิน รองรับการลงทุน ขยาย ปรับปรุงกิจการ และเป็นทุนหมุนเวียน อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 4.5% ต่อปี ปลอดชำระเงินต้นสูงสุด 18 เดือน ผ่อนนานสูงสุด 10 ปี  

พาณิชย์เปิดแผนปั้นสินค้าจีไอไทยทั้งระบบ

นายสินิตย์ เลิศไกร รมช.พาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ เร่งออกมาตรการเชิงรุกในปี 2565 เพื่อส่งเสริมสินค้าสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (จีไอ) ของประเทศไทย โดยกำหนดลงพื้นที่ให้ความรู้การขอรับความคุ้มครองสินค้าจีไอให้กับชุมชนกว่า 20 แห่งทั่วประเทศ ผลักดันการจัดทำคำขอขึ้นทะเบียนและเร่งรัดการตรวจสอบคำขอทั้งในและต่างประเทศจัดทำระบบควบคุมคุณภาพให้กับสินค้าจีไอที่ขึ้นทะเบียนแล้ว เพื่อรักษามาตรฐานสินค้าและสามารถส่งออกไปต่างประเทศ พร้อมส่งเสริมผู้ประกอบการกลุ่มเป้าหมายกว่า 800 ราย ให้นำตราสัญลักษณ์จีไอ ไปใช้ในเชิงพาณิชย์มากขึ้น 

ขณะเดียวกันยังเร่งโปรโมตสินค้าจีไอไทย ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างผ่านทั้งสื่อออนไลน์และออฟไลน์ การจัดพื้นที่จำหน่ายสินค้าในห้างสรรพสินค้าชั้นนำใจกลางเมือง จัดแสดงสินค้าในงานระดับนานาชาติ อาทิ  ไทยเฟ็กซ์ 2022, สไตล์ 2022, ไรซ์ แมทชิง2022 รวมทั้ง การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ให้กับสินค้าจีไอ เพื่อสร้างความโดดเด่นตรงความต้องการของตลาด

กางชื่อองค์กรในฝันของคนรุ่นใหม่ปี 2022 กูเกิลเต็งหนึ่ง!! ส่วนบริษัทไอทีติดโผเพียบ

WorkVenture ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มค้นหางานที่หลายคนรู้จัก ได้ทำแบบสำรวจ Top 50 Employers in Thailand 2022 องค์กรที่คนรุ่นใหม่ลงความเห็นว่า เป็นองค์กรที่น่า ‘ทำงาน’ ด้วยมากที่สุดในปี 2022 ด้วยสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นถือเป็นความท้าทายของหลายองค์กรอย่างมากที่ต้องรับมือจัดการปรับตัวให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์การทำงานในปัจจุบัน แทบทุกองค์กรต้องปรับรูปแบบการทำงาน Work from Home สลับกับการเข้าออฟฟิศ 

ในขณะเดียวกันก็ยังต้องรักษามาตรฐานในการ ทำงาน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางธุรกิจขององค์กร รวมถึงการรักษาพนักงานให้อยู่กับองค์กรให้ได้ เพราะโจทย์ใหญ่อีกโจทย์หนึ่งที่องค์กรได้รับนั่นก็คือปัญหาภาวะหมดไฟของคนทำงานจากความกดดันต่างๆ ในช่วงนี้ที่ทำให้เกิดการลาออกครั้งใหญ่ของพนักงาน เพื่อแสวงหาองค์กรที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตมากขึ้น

ทางทีม WorkVenture ได้รวบรวมข้อมูลจากทั้งกลุ่มนักศึกษาและหนุ่มสาววัยทำงาน ช่วงอายุระหว่าง 21-35 ปี จำนวนกว่า 10,000 คน ผ่านการทำผลสำรวจแบบออนไลน์ พบว่าปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการเลือกองค์กรยังคงมีอิทธิพลจากปัจจัยหลัก อย่างผลตอบแทน-เงินเดือน สวัสดิการ วัฒนธรรมองค์กรหรือไลฟ์สไตล์ในที่ทำงานตามลำดับ ส่วนปัจจัยที่คนรุ่นใหม่ให้ความสนใจเป็นพิเศษคือเรื่อง “อิสระในการทำงาน” ทำให้บริษัทที่มีนโยบายการ ทำงาน รูปแบบไฮบริดกลายเป็นทางเลือกอันดับต้นๆ

หากมองในด้านกลุ่มธุรกิจพบว่ากลุ่มทางด้านเทคโนโลยีได้รับความสนใจมากที่สุดในปีนี้ รองลงมาจะเป็นกลุ่มเครื่องอุปโภคบริโภคที่ผู้คนต้องใช้ทุกวัน ด้วยเหตุผลเรื่องความเติบโตของบริษัทและโอกาสเติบโตในสายงาน และกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ที่เป็นผู้นำในวงการเพราะมีความมั่นคงท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้สื่อโซเชียลมีเดียยังทำให้ผู้คนรู้จักกับบริษัทมากขึ้น ยิ่งเป็นบริษัทที่มีผู้ติดตามมากอย่างสายบันเทิงก็ยิ่งเป็นที่น่าสนใจในหมู่คนรุ่นใหม่ เพราะได้เห็นภาพว่าการทำงานที่นั่นเป็นเช่นไร และนี่คือ 10 องค์กรชั้นนำที่คนรุ่นใหม่อยากทำงานด้วยมากที่สุดในปี 2022

'เกษตรฯ' เตรียมแผนส่งออกผลไม้ภาคตะวันออกไปจีน

นายภัสชญภณ หมื่นแจ้ง รองอธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยว่า กรมฯ ได้เตรียมการรองรับการส่งออกผลไม้สำหรับฤดูกาลภาคตะวันออกไปจีน หลังจากหารือกับ ผู้ประกอบการเพื่อผลักดันให้การส่งออกผลไม้ไปจีนผ่านประเทศที่สามได้สะดวก ภายใต้มาตรการป้องกันและควบคุมไวรัสโควิด-19 ของจีนที่เข้มงวด ZERO COVID 100 % ทั้งคน สินค้า (รวมผลไม้สด) บรรจุภัณฑ์ และตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งหากจีนตรวจพบเชื้อโควิด-19 จะต้องปิดด่านและระงับการนำเข้าสินค้า ตามมาตรการของรัฐบาลกลางและรัฐบาลท้องถิ่นที่กำหนด  ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกผลไม้ไทยอาจติดอยู่ที่หน้าด่านได้

ทั้งนี้ในปี 2565 ประเมินว่า ผลผลิตทุเรียนจะมีไม่น้อยกว่า 700,000 ตัน และมังคุดไม่น้อยกว่า 200,000 ตัน ซึ่งมาตรการที่กรมฯ ได้เตรียมการไว้ คือ มาตรการควบคุมและป้องกันไวรัสโควิด-19 ในผลไม้ส่งออกตั้งแต่สวนต้นทางจนถึงปลายทางคือผู้ปฏิบัติงานในโรงคัดบรรจุ เพื่อควบคุม และป้องกันไวรัสโควิด-19 บนผิวผลไม้ที่ส่งออก บรรจุภัณฑ์ และในตู้คอนเทนเนอร์ขนส่งผลไม้ พร้อมกับเร่งการตรวจประเมินสวนผลไม้รายใหม่เพื่อรองรับมาตรฐาน GAP และจัดส่งข้อมูลการขึ้นทะเบียนให้กับสำนักงานศุลกากรแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (GACC) เป็นรายไตรมาส  เพื่อเพิ่มความรวดเร็วในการเพิ่มจำนวนแปลง GAP ในระบบฐานข้อมูลของจีน

กกร. ไฟเขียวประกาศ ไก่-เนื้อไก่ ขึ้นบัญชีสินค้าควบคุม

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ที่ประชุมกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) มีมติให้ไก่และเนื้อไก่เป็นสินค้าควบคุม กระทรวงพาณิชย์จะนำเสนอผลการประชุมดังกล่าวต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) เห็นชอบในสัปดาห์หน้าเพื่อให้มีผลบังคับใช้ได้ต่อไป ซึ่งแนวทางกำกับราคาไก่ถือว่าได้รับความร่วมมืออย่างดีจากเกษตรกรและผู้ประกอบการ พร้อมทั้งมอบหมายให้กรมการค้าภายในประชุมร่วมกับเกษตรกรและผู้ประกอบการด้านไก่โดยต่อเนื่อง และใกล้ชิดต่อไป เพื่อไม่ให้มีการซ้ำเติมอาหารทางเลือกกับผู้บริโภค

ขณะเดียวกันยังเห็นชอบกำหนดมาตรการให้ผู้เลี้ยงไก่ที่มีปริมาณการเลี้ยงตั้งแต่ 100,000 ตัวขึ้นไป และโรงชำแหละไก่ที่มีกำลังการผลิตมากกว่า 4,000 ตัวต่อวัน แจ้งปริมาณ สต๊อก และต้นทุนราคาจำหน่ายทุกเดือน และกำหนดให้โรงงานผลิตอาหารสัตว์ ซึ่งมีอยูทั้งหมด 55 โรง แจ้งต้นทุนราคาจำหน่าย ปริมาณการผลิต และสตอก รวมทั้งกำหนดมาตรการให้ การปรับราคาต้องได้รับอนุญาตจากกรมการค้าภายในก่อน

 

‘บิ๊กตู่’ เคาะงบกลาง 1.48 พันลบ. แก้ของแพง สั่งตั้งจุดขายสินค้าราคาถูกให้ประชาชน 3 เดือน

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม. อนุมัติเงินงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น วงเงิน 1,480 ล้านบาท ให้กระทรวงพาณิชย์ใช้แก้ไขปัญหาสินค้าราคาแพง ผ่านโครงการพาณิชย์ ลดราคา ช่วยประชาชน ปี 65 มีระยะเวลาดำเนินการ 90 วัน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนและเพิ่มช่องทางในการเลือกซื้อสินค้าที่จำเป็นต่อการดำรงชีพในราคาประหยัด

สำหรับรูปแบบของโครงการฯ จะเป็นการจำหน่ายสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพให้แก่ประชาชนในราคาประหยัด คือ จำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางจำหน่าย ทั้งบริเวณร้านสะดวกซื้อ ห้างท้องถิ่น หรือตลาด พื้นที่สาธารณะหรือลานอเนกประสงค์และสถานีบริการน้ำมัน รวมจำนวนไม่น้อยกว่า 3,000 จุด ตามแหล่งชุมชนในพื้นที่กรุงเทพฯ และภูมิภาค รวมถึงการจำหน่ายผ่านรถโมบายไม่น้อยกว่า 50 คัน ตามแหล่ง ชุมชนในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งเปิดจำหน่ายสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพ เช่น สินค้าเกษตร เนื้อไก่ ไข่ไก่ สินค้าอุปโภคบริโภค เป็นต้น จากสมาคม/ผู้ค้าปลีก/ค้าส่ง/ซัพพลายเออร์ในพื้นที่ เพื่อจำหน่ายในจุดจำหน่าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top