Wednesday, 2 July 2025
ECONBIZ

น้ำปลาร้าแม่บุญล้ำ ประกาศผล!! 9 ‘ร้านอาหาร-ร้านยำ-ร้านตำ’ ผู้โชคดีคว้าทอง!! กิจกรรม ‘รวยล้ำล้ำกับแม่บุญล้ำ’

‘แม่บุญล้ำ’ ปิดกล่องแคมเปญ ‘รวยล้ำล้ำกับแม่บุญล้ำ’ จับแจกทอง คืนกำไร ‘ร้านอาหาร-ร้านยำ-ร้านตำ’ ผู้สนับสนุนสินค้ามาโดยตลอด พร้อมเผยรายชื่อ 9 ร้านผู้โชคดี จาก 9 จังหวัด 

คุณพิไรรัตน์ บริหาร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เพชรดำฟู้ดส์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำปลาร้าแบรนด์ ‘แม่บุญล้ำ’ กล่าวถึงกิจกรรม ‘รวยล้ำล้ำกับแม่บุญล้ำ’ (แจกทอง) ว่า เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมสุดล้ำ ที่ทางน้ำปลาร้าแม่บุญล้ำ ที่จัดขึ้นเพื่อขอบคุณกลุ่มลูกค้าสาย ‘ร้านอาหาร-ร้านยำ-ร้านตำ’ ที่ให้การสนับสนุน ซื้อและใช้สินค้าน้ำปลาร้าต้มสุกปรุงรส ตราแม่บุญล้ำ เสมอมา

โดยรายละเอียดในการร่วมสนุกกิจกรรมดังกล่าว ผู้ที่ซื้อสินค้าแม่บุญล้ำ สูตรฝาแดง ขนาด 2 ลิตร ขั้นต่ำ 1 ลัง หรือ สูตรใด ขนาดใดก็ได้ ในมูลค่าขั้นต่ำ 500 บาทขึ้นไป จะมีสิทธิ์ได้รับคูปอง 1 ใบ ขณะที่ผู้ซื้อสินค้าน้ำปลาร้าต้มสุกปรุงรสตราแม่บุญล้ำ สูตรใด ขนาดใดก็ได้ ทุก 2,500 บาท จะมีสิทธิ์ได้รับคูปอง 10 ใบ จากนั้นเขียนชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร หย่อนกล่องที่พนักงานขาย ลุ้นบัตรทองคำมูลค่า 25,000 บาทต่อจังหวัด (1 จังหวัด ต่อ 1 รางวัล) เฉพาะร้านอาหาร ร้านตำ ร้านยำ ในพื้นที่ กรุงเทพฯ, นครราชสีมา, ขอนแก่น, อุดรธานี, อุบลราชธานี, เชียงใหม่, เชียงราย, ภูเก็ต, กาฬสินธุ์ รวม 9 รางวัล ตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2565 ถึงวันที่ 15 มีนาคม 2565

สำหรับกิจกรรมดังกล่าว ได้รับความสนใจจากเจ้าของ ‘ร้านอาหาร-ร้านยำ-ร้านตำ’ อย่างมาก ซึ่งทางบริษัทฯ ก็ได้ทำการสุ่มจับรางวัลผ่าน Live เมื่อ 31 มีนาคม 2565 ไปเป็นที่เรียบร้อย โดยผู้โชคดีที่เข้าร่วมสนุกในกิจกรรม ‘รวยล้ำล้ำกับแม่บุญล้ำ’ (แจกทอง)’ และได้รางวัล ประกอบไปด้วย...

>> กรุงเทพมหานคร
1. คุณปิยวัชร สอนสุภาพ ร้านส้มตำ-ยำแซ่บ

รายชื่อสำรอง กรุงเทพมหานคร
1. คุณวรรณชัย แสงพล ร้านลาบยโส โอเค
2. คุณรัชดาวัลย์ เคนใบ ร้านครัวแม่สมใจ แซ่บอินเตอร์
3. คุณยุภารัตน์ สุขเสน ร้านป้าเพชร

>> นครราชสีมา
1. คุณแสงดาว เพประโดน ร้านป้าเช้า

รายชื่อสำรอง นครราชสีมา
1. คุณบุญสร้าง คูตระกูล ร้านต้น-ต่อ
2. คุณนงนุช วงษ์ลา ร้านส้มตำล้านสอง
3. คุณนงรักษ์ แข็งขัน ร้านด้องแด้ง

>> ขอนแก่น
1. คุณพิมพ์ชนา สุพัฒนาเศรษฐกุล ร้านร่มพุทราไก่ย่าง

รายชื่อสำรอง ขอนแก่น
1. คุณนัยนา สิทธิ์สงคราม ร้านนัยนา ตำแหลก
2. คุณวาสนา ไชยวารี ร้านวาสนาไก่ย่าง
3. คุณบังอร ไชยศรี ร้านหมูไก่ย่างวิเชียร์

'ไบเดน' เดินหน้าคว่ำบาตรรัสเซียรอบใหม่ พร้อมยึดทรัพย์ลูกสาวปูตินที่ถือครองในสหรัฐฯ

ไบเดนคว่ำบาตรรัสเซียรอบใหม่ ยึดทรัพย์ลูกสาวปูติน ชี้สงครามอาจลากยาว

ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศการคว่ำบาตรรัสเซียรอบใหม่โดยมุ่งเน้นไปที่ภาคการเงิน ภายใต้การกระทำที่เขาระบุว่าจะเป็นการลงโทษระยะยาวต่อเศรษฐกิจของรัสเซีย หลังจากภาพของการสังหารพลเรือนยูเครนอย่างโหดเหี้ยมปรากฏขึ้น

ไบเดนกล่าวว่า รัสเซียล้มเหลวในสงครามครั้งแรก หลังจากที่กองกำลังของรัสเซียต้องถอนกลับจากกรุงเคียฟ อย่างไรก็ดี เขาเตือนว่าการต่อสู้ครั้งนี้ยังไม่จบ และสงครามอาจดำเนินการต่อไปอีกนาน แต่สหรัฐฯ จะยืนหยัดร่วมกับยูเครนในการต่อสู้เพื่ออิสรภาพ โดยเราจะยับยั้งความสามารถในการเติบโตของรัสเซียในอีกหลายปีข้างหน้า

สหรัฐฯ ได้ประกาศห้ามการทำธุรกรรมกับธนาคารซึ่งใหญ่ที่สุดสองแห่งของรัสเซีย คือธนาคาร Sberbank และ Alfa Bank ผ่านระบบการเงินของสหรัฐฯ และห้ามไม่ให้ชาวอเมริกันทำธุรกิจกับธนาคารทั้งสองแห่งนี้

'การบินไทย' ปลื้ม!! ทั่วโลกคลายล็อกลุ้นทำกำไรปีหน้า พร้อมเตรียมเปิดไฟลต์บินไปซาอุฯ กลางปีนี้

“การบินไทย” ปลื้ม! หลายประเทศผ่อนมาตรการเดินทาง แผนเปิดเส้นทางบินผลตอบรับดี เคบินแฟกเตอร์เส้นทางยุโรปเดือนเมษาฯ นี้พุ่งแตะ 75% รายได้ขยับชัดเจน ปีนี้ “ยุโรป-ออสเตรเลีย-อินเดีย” เป็นตลาดสร้างรายได้หลัก ล่าสุดจ่อเปิดบินสู่ซาอุฯ มิ.ย.-ก.ค.นี้ คาดกลับมาทำกำไรจากการดำเนินงานได้ในปี’ 66

นายสุวรรธนะ สีบุญเรือง รักษาการแทนประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และนายนนท์ กลินทะ ประธานเจ้าหน้าที่สายการพาณิชย์ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ร่วมกันเปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า หลังจากที่หลาย ๆ ประเทศในทุกภูมิภาคทั่วโลกผ่อนคลายมาตรการการเดินทางเข้าประเทศทุกสายการบินระดมเครื่องบินกลับมาให้บริการกันอีกครั้ง

โดยในตารางบินฤดูร้อนปี 2565 นี้ (27 มีนาคม - 29 ตุลาคม 2565) สายการบินไทยให้บริการเที่ยวบินขนส่งผู้โดยสารจำนวน 34 เส้นทางบินทั่วโลก ทั้งยุโรป เอเชีย และออสเตรเลีย ประกอบด้วย 

1.) เส้นทางสนับสนุนโครงการภูเก็ตแซนด์บอกซ์ จำนวน 5 เส้นทาง ได้แก่ เส้นทางกรุงเทพฯ-ภูเก็ต-แฟรงก์เฟิร์ต, กรุงเทพฯ-ภูเก็ต-ลอนดอน-กรุงเทพฯ, กรุงเทพฯ-ภูเก็ต-ซิดนีย์-กรุงเทพฯ, กรุงเทพฯ-ภูเก็ต-โคเปนเฮเกน-กรุงเทพฯ และกรุงเทพฯ-ภูเก็ต-สตอกโฮล์ม-กรุงเทพฯ (27 มีนาคม - 30 เมษายน 2565)

2.) เส้นทางยุโรปและออสเตรเลีย จำนวน 10 เส้นทาง ได้แก่ เส้นทางไป-กลับกรุงเทพฯ สู่ลอนดอน, ปารีส, ซูริก, บรัสเซลส์, แฟรงก์เฟิร์ต, มิวนิก, โคเปนเฮเกน, สตอกโฮล์ม และเมลเบิร์น

และ 3.) เส้นทางเอเชีย จำนวน 19 เส้นทาง ได้แก่ เส้นทางไป-กลับจากกรุงเทพฯ สู่โตเกียว (นาริตะ), โตเกียว (ฮาเนดะ), นาโกยา, โอซากา, มะนิลา, โซล, ไทเป, ฮ่องกง, สิงคโปร์, จาการ์ตา, กัวลาลัมเปอร์, ธากา, เจนไน, เบงกาลูรู, นิวเดลี, มุมไบ, ละฮอร์, อิสลามาบัด และการาจี

นายสุวรรธนะกล่าวว่า เส้นทางที่ได้รับการตอบรับเร็วและดีที่สุดในขณะนี้คือ เส้นทางยุโรป โดยในเดือนเมษายนนี้พบว่ามีอัตราการบรรทุกผู้โดยสาร หรือ (cabin factor) เพิ่มขึ้นเป็น 70-75% เพิ่มขึ้นจากประมาณ 40-50% เมื่อเดือนมีนาคม และประมาณ 20% เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา

เช่นเดียวเส้นทางบินสู่ออสเตรเลียที่ปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน โดยมีอัตราการบรรทุกผู้โดยสารเพิ่มขึ้นมาอยู่ในระดับ 40-50% ในเดือนเมษายนนี้ เพิ่มขึ้นจากประมาณ 10-15% เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา

ขณะที่เส้นทางสู่ประเทศในภูมิภาคเอเชียนั้น ผลการตอบรับในด้านจำนวนผู้โดยสารยังช้า เนื่องจากหลายประเทศที่ประกาศยกเลิกมาตรการการเดินทางเข้าประเทศส่วนใหญ่ยังเปิดแบบมีเงื่อนไข และในหลายประเทศยังมีข้อจำกัดค่อนข้างมาก อาทิ ญี่ปุ่น ยังไม่เปิด, ฮ่องกงและไต้หวัน ยังรอมาตรการจากจีน ขณะที่จีนยังต้องรอประเมินอีกครั้งในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี เป็นต้น

“ขณะนี้เส้นทางในภูมิภาคเอเชีย ส่วนใหญ่เรายังต้องพึ่งพาเรื่องของการขนส่งสินค้า หรือคาร์โก้เป็นหลัก เนื่องจากจำนวนผู้โดยสารยังมีจำนวนน้อย แต่เราก็มีความจำเป็นต้องเปิดให้บริการ ตลาดหลักที่เราพึ่งพาได้ในปีนี้น่ายังคงเป็นเส้นทางยุโรป และออสเตรเลียเป็นหลัก” นายสุวรรธนะกล่าวและว่า

ขณะเดียวกันยังพบว่าหลังจากที่ประเทศอินเดียประกาศเปิดประเทศแล้ว เส้นทางสู่อินเดียก็เป็นตลาดที่ได้รับการตอบรับที่ดี และน่าจะเป็นตลาดที่คาดหวังได้เช่นกัน

นอกจากนี้ การบินไทยยังมีแผนเปิดเส้นทางใหม่สู่ 2 เมืองหลักของซาอุดีอาระเบีย คือ เจดดาห์ และกรุงริยาด เพื่อรองรับนโยบายฟื้นความสัมพันธ์กว่า 30 ปีของรัฐบาลไทย-ซาอุดีอาระเบีย โดยคาดว่าน่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ประมาณเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม 2565 นี้ (หลังเทศกาลรอมฎอน)

นายสุวรรธนะกล่าวด้วยว่า คาดหวังว่านับจากนี้เป็นต้นไป ประเทศไทยจะได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวต่างชาติในปริมาณที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังจากรัฐบาลไทยยกเลิกการตรวจ RT-PCR เมื่อมาถึงในวันที่ 1 พฤษภาคมนี้ และยกเลิก Thailand Pass ในวันที่ 1 มิถุนายนนี้

สุวรรณภูมิเริ่มฟื้น!! ผู้โดยสารต่างชาติพุ่ง 1.1 หมื่นคนต่อวัน รับอานิสงส์ยกเลิกตรวจ RT-PCR ต้นทาง

ทอท. เปิดตัวเลขผู้โดยสารเพิ่มขึ้นกว่า 65.97% ระหว่างประเทศพุ่ง 1 หมื่นคนต่อวัน หลังยกเลิกตรวจ RT-PCR ตั้งแต่ 1 เม.ย. 65 พร้อมเปิดอาคารเทียบเครื่องบิน C เพิ่มพื้นที่รองรับผู้โดยสารเพิ่ม

6 เม.ย. 65 นายกิตติพงศ์ กิตติขจร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) เปิดเผยว่า ภายหลังจาก ศบค. ได้ผ่อนคลายมาตรการการเดินทางเข้าราชอาณาจักร โดยยกเลิกการตรวจ RT-PCR ก่อนเดินทางเข้าประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2565 เป็นต้นมา ส่งผลให้มีจำนวนผู้โดยสารระหว่างประเทศเดินทางเข้าประเทศไทยเฉลี่ยวันละ 11,623 คน 

ทั้งนี้ เพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคมที่มีจำนวนผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศเฉลี่ยวันละ 7,003 คน หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 65.97% ในส่วนของเที่ยวบินขาเข้าระหว่างประเทศมีจำนวนเฉลี่ยวันละ 141 เที่ยวบิน เพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคมที่มีจำนวนเที่ยวบินเฉลี่ยวันละ 137 เที่ยวบิน หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 2.92 % และคาดว่าจากนี้ไปจะมีผู้โดยสารระหว่างประเทศเดินทางเข้าประเทศไทยเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

นายกิตติพงศ์ กล่าวต่อไปว่า เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกและเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการผู้โดยสาร ทสภ. ที่เพิ่มมากขึ้นให้ได้รับการบริการที่สะดวก รวดเร็ว ทสภ. จึงได้เปิดใช้งานอาคารเทียบเครื่องบิน C ซึ่งเป็นอาคารที่รองรับผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ ตั้งแต่วันที่  1 เมษายน ที่ผ่านมา จากเดิมที่เปิดให้บริการเฉพาะที่อาคารเทียบเครื่องบิน E, F และ G 

นอกจากนี้ ทสภ. ยังได้เปิดให้บริการจุดตรวจหนังสือเดินทางผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศ โซน 1 ชั้น 2 อาคารผู้โดยสาร หลังจากปิดปรับปรุงในช่วงการแพร่ระบาดของโรค Covid-19 โดยจุดตรวจหนังสือเดินทางที่มีการปรับปรุงใหม่นี้ จะมีการปรับเปลี่ยนโฉมเคาน์เตอร์ให้ดูสวยงาม ทันสมัย มีการปรับผังพื้นที่การติดตั้งเคาน์เตอร์ใหม่ ทำให้มีจำนวนเคาน์เตอร์ให้บริการเพิ่มมากขึ้นเป็น 56 เคาน์เตอร์ ส่งผลให้ประสิทธิภาพการตรวจหนังสือเดินทางผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นจากเดิม 3,450 คนต่อชั่วโมง เป็น 4,080 คน ต่อชั่วโมง  

ลุ้นพาณิชย์เคาะมาตรการดูแลวัตถุดิบอาหารสัตว์ใหม่ทั้งระบบ

นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ในวันที่ 7 เม.ย.นี้ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ จะเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ.) และคณะกรรมการนโยบายอาหาร เพื่อบริหารจัดการวัตถุดิบอาหารสัตว์ทั้งระบบใหม่ เพื่อลดผลกระทบต่อการเลี้ยงสัตว์ และผลกระทบต่อสินค้าบริโภคของประชาชนให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น เพื่อลดผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนโดยรวมและภาคธุรกิจในขณะนี้

ทั้งนี้ที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ การดูแลราคาสินค้าและบริการภายในประเทศ กระทรวงพาณิชย์ได้กำกับดูแลและติดตามอย่างใกล้ชิด เห็นได้ชัดราคาสินค้าอุปโภคบริโภคในห้างสรรพสินค้าส่วนใหญ่ราคายังคงทรงตัว และมีการปรับลดลงตามโปรโมชันของแต่ละห้าง และที่สำคัญ กระทรวงพาณิชย์ยังคงขอความร่วมมือตรึงราคาสินค้าและกำกับดูแลอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะสินค้า 18 หมวดสินค้าที่มีความจำเป็นในการดำรงชีวิตให้ตรึงราคาเอาไว้ก่อน

ขณะที่ผลกระทบจากภาวะสงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน รมว.พาณิชย์ ได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาหนทางลดภาระค่าใช้จ่ายให้กับประชาชนในทุกมิติ พร้อมทั้งให้ทีมกระทรวงพาณิชย์ประชุมหารือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย หาแนวทางลดต้นทุนในการผลิต เพื่อสร้างสมดุลให้กับทุกภาคส่วนให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด

‘สุริยะ’ ปลื้มยอดจอง EV ในมอเตอร์โชว์สูง สั่งหนุนเต็มสูบ ดันไทยเป็นฮับผลิต EV

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ปลื้มกระแสรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศมาแรง ดันยอดจองภายในงานมอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 43 รวมทั้งสิ้น 3,000 คัน สั่งเร่งเครื่องสนับสนุนเต็มสูบ หวังดันไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รมว.อุตสาหกรรม กล่าวถึงงานบางกอกอินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ 2022 หรือ งานมอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 43 ที่ปิดฉากลงไปเมื่อ 3 เมษายนที่ผ่านมา มียอดจองรถยนต์ภายในงานรวมทั้งสิ้น 33,936 คัน เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 13.6% โดยเป็นยอดจองรถยนต์ไฟฟ้ารวมประมาณ 3,000 คัน คิดเป็น 10% โดยส่วนหนึ่งมาจากมาตรการของภาครัฐที่ส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้า ประกอบกับรถยนต์และรถยนต์จักรยานยนต์รุ่นใหม่ที่แนะนำในช่วงงาน รวมถึงแคมเปญกระตุ้นยอดขายของค่ายรถ ขณะที่ผู้บริโภคให้ความเชื่อมั่นในมาตรฐานด้านความปลอดภัยของการจัดงานทำให้มีตัวเลขผู้เข้าชมงานสูงถึง 1,578,898 คน

นอกจากนี้ การจัดงานปีนี้มีบริษัทผู้ประกอบกิจการรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่ต้องการให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า โดยอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนยานยนต์เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยมีมูลค่าการส่งออกกว่า 1.09 ล้านล้านบาท หรือ 6.4% ของ GDP ของประเทศ ในปี 64 ประเทศไทยผลิตรถยนต์รวม 1.7 ล้านคัน และคาดว่าปี 65 ประเทศไทยจะผลิตรถยนต์เพิ่มขึ้นรวม 1.8 ล้านคัน

นายสุริยะ กล่าวว่า กระทรวงอุตสาหกรรม ได้หารือร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ สมาคมยานยนต์ไทย สมาคมผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกำหนดวิสัยทัศน์ให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและชิ้นส่วนที่สำคัญของภูมิภาค โดยกำหนดเป้าหมายในปี 68 การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศรวม 225,000 คันต่อปี คิดเป็น 10% ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมด และในปี 73 การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศรวม 725,000 คันต่อปี คิดเป็น 30% ของการผลิตรถยนต์ทั้งหมด ซึ่งจะทำให้ภายในปี 73 สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไม่น้อยกว่า 200,000 ล้านบาท และสร้างความต้องการแรงงานยานยนต์สมัยใหม่ประมาณ 30,000 อัตราต่อปี

มาคาเลียส เอาใจสายบุฟเฟต์ซีฟู้ด จับมือ 5 ร้านดัง จัดโปรเด็ดเริ่ม 599/คน

“มาคาเลียส” (Makalius) แหล่งรวมอี-วอเชอร์ที่พัก ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว จับมือ 5 ร้านบุฟเฟต์ซีฟู้ดรอบกรุง จัดโปรเด็ดเพียง 599 บาท/ท่าน รีบจองก่อนหมด

“มาคาเลียส” (Makalius) แหล่งรวมอี-วอเชอร์ที่พัก ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว อันดับ 1 ของประเทศไทย จับมือ 5 ร้านบุฟเฟต์ซีฟู้ดสุดพรีเมียมรอบกรุง “Baiyoke Sky Buffet” ประตูน้ำ “Seafresh Buffet” พระราม 3 “BNP Cuisine” รามอินทรา “White Orchid Cruise” ท่าเรือ Asiatique และ “Meridian Cruise” Iconsiam โซนสุขสยาม จัดโปรโมชั่นเด็ดฉลองซัมเมอร์ ขนวัตถุดิบสดๆ จากทะเล ทั้ง กุ้งลายเสือ หอยนางรม ปูทะเล ปลาแซลมอน และอีกมากมาย มาเสิร์ฟในราคาสุดว้าว เริ่มต้น 599/ท่าน อยู่ใกล้จุดไหนแวะไปจุกกันได้เลย เปิดจองวอเชอร์วันนี้เป็นต้นไป จนกว่าสินค้าจะหมด

คลิกดูรายละเอียดเพิ่มเติม ที่ www.makalius.co.th สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 02 821 5215, 085 355 4449 หรือ Line Official @makalius
 

‘หอการค้าฯ’ แนะ!! ภาคต่อคนละครึ่งเฟส 5 หลังเฟส 4 ดันเม็ดเงินสะพัด 6.4 หมื่นล้าน

นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทยได้กำหนดนโยบายการดำเนินงาน ต่อเนื่องจากนโยบายเร่งด่วน 99 วัน ที่ได้ดำเนินการจนสำเร็จเมื่อปีที่ผ่านมา เพื่อเป็นแนวทางในการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ

ทั้งนี้สถานการณ์เศรษฐกิจของไทยในปัจจุบันยังประสบปัญหาหลายอย่าง เช่น เรื่องโควิดที่ยังระบาดอยู่และมีมาตรการหลายอย่างที่ทำให้เดินหน้าเศรษฐกิจได้ไม่เต็มที่ ดังนั้นควรเร่งฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นทั่วประเทศให้เกิน 70% แล้วประกาศให้เป็นโรคประจำถิ่นโดยเร็ว ซึ่งหากเป็นไปได้ควรประกาศหลังสงกรานต์นี้ เพราะเราพึ่งพิงทั้งการท่องเที่ยว การค้า และการลงทุนกับต่างชาติ การประกาศให้เป็นโรคประจำถิ่นได้เร็ว จะช่วยเรียกความเชื่อมั่นกลับมา

นอกจากนั้น เรายังได้รับผลกระทบทางอ้อมจากปัญหาความขัดแย้งระหว่างประเทศ ส่งผลให้ต้องเผชิญกับสินค้าราคาแพงขึ้น แม้ว่ารัฐบาลจะมีแผนช่วยลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มกำลังซื้อให้ประชาชนบ้างแล้ว แต่คงยังไม่พอ และอาจจะไม่ทันต่อสถานการณ์เศรษฐกิจในช่วงนี้

อย่างไรก็ตามภาคเอกชนเห็นว่า การกระตุ้นกำลังซื้อภายในประเทศเป็นเรื่องสำคัญ โดยมาตรการคนละครึ่ง เฟส 4 กำลังจะหมดรอบในเดือนเมษายนนี้ มีเม็ดเงินในระบบสะพัดแล้วกว่า 6.4 หมื่นล้านบาท ถือว่าเป็นมาตรการที่ได้ประโยชน์และบรรเทาภาระค่าใช้จ่าย พร้อมเพิ่มกำลังซื้อให้ประชาชนได้จริง เชื่อว่า จะช่วยลดแรงกดดันที่ต้องขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ จากภาวะสินค้าราคาแพงได้อีกด้วย โดยต้องการเสนอให้รัฐบาลขยายเวลามาตรการคนละครึ่งไปจนถึงสิ้นปี 2565 และควรมีคนละครึ่งเฟส 5 ออกมาซึ่งวงเงินที่เหมาะสมน่าจะอยู่ที่เฟสละ 1,500 บาท

ขณะเดียวกันใน เรื่องภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ก็ควรขยายเวลาการเก็บเต็มจำนวนออกไปก่อน แล้วค่อยทยอยเก็บเพิ่มขึ้นเป็นขั้นบันได ก็จะช่วยลดภาระให้ประชาชนในช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดีนี้ได้

นายสนั่น กล่าวว่าภาคเอกชนเคยเสนอเรื่องขยายเพดานหนี้สาธารณะ ซึ่งรัฐบาลเองก็ได้เสนอผ่าน ครม.ไปแล้ว ดังนั้น ควรรีบนำเรื่องขยายเพดานหนี้สาธารณะจาก 60% ให้เป็น 70% ผ่านสภาฯ เพื่อให้รัฐบาลสามารถกู้เงินมากระตุ้นและพยุงเศรษฐกิจได้ เพราะขณะนี้เพดานหนี้ใกล้เต็ม 60% แล้ว อีกทั้งเงินกู้เดิมก็เหลือประมาณ 7 หมื่นล้านบาท และตอนนี้ยังเป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติ การกู้เงินเพิ่มมากระตุ้นเศรษฐกิจจะช่วยทั้งการสร้างงาน สร้างรายได้ ลดภาระหนี้ เพื่อ Reboot เศรษฐกิจ และดูแลกลุ่มเปราะบาง เพื่อให้เกิดการฟื้นตัว เช่น มาตรการคนละครึ่ง เฟส 5 และขยายสิทธิ์เราเที่ยวด้วยกัน เป็นต้น

“ตอนนี้เครื่องจักรที่จะสามารถช่วยให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ในปีนี้ คือเรื่องการส่งออก ซึ่งการดูแลค่าเงินบาทและการอำนวยความสะดวก จะเป็นปัจจัยให้การส่งออกเดินหน้าได้ดีขึ้น ดังนั้น ปัญหาเร่งด่วนในตอนนี้ คือการแก้ปัญหาการส่งออกผลไม้ไปจีน ซึ่งต้องขอขอบคุณทีมรัฐบาล ที่ได้ช่วยจัดการไปเจรจากับประเทศจีน โดยผมเพิ่งเดินทางกลับมาพร้อมกับท่านดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.ต่างประเทศ ซึ่งได้มีการหารือกับท่านหวังอี้ มนตรีแห่งรัฐ และ รมว.ต่างประเทศ และทีมเศรษฐกิจ ในการแก้ไขปัญหาการขนส่งผลไม้ เพื่ออำนวยความสะดวก และเพิ่มเวลาเปิดด่าน รวมถึงจะส่งเจ้าหน้าที่จีนมาช่วยตรวจสินค้าตั้งแต่ต้นทางอีกด้วย ซึ่งเชื่อว่า สถานการณ์จะสามารถคลี่คลายต่อไปได้” นายสนั่น กล่าว

ส่อง 8 ประเทศที่มีทองคำสำรองมากที่สุดในอาเซียน

สินทรัพย์ที่เป็น Safe Haven หรือหลุมหลบภัยที่นักลงทุนมักจะนึกถึงในช่วงเวลาที่มีความผันผวนทางเศรษฐกิจก็คือ ‘ทองคำ’ โดยวันนี้จะพาไปดูปัจจัยหลัก 4 ปัจจัยที่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของราคาทองคำ คือ

1.) อัตราดอกเบี้ย
อัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจะเป็นสัญญาณของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นและทำให้ราคาทองคำต่ำลง ในทางกลับกัน หากอัตราดอกเบี้ยลดลงอาจหมายถึงเศรษฐกิจที่กำลังอ่อนแอ เงินดอลลาร์สหรัฐจะอ่อนค่าลงและทำให้ราคาทองคำเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากผู้คนจะเริ่มป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ

2.) ราคาน้ำมัน
ราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นอาจทำให้เกิดเงินเฟ้อได้ ซึ่งการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมัน เงินเฟ้อ และราคาทองคำมักจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน เนื่องจากความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำมักจะเพิ่มขึ้นในช่วงเวลาดังกล่าว

3.) ดอลลาร์สหรัฐ
ดอลลาร์สหรัฐเป็นสกุลเงินที่มีการใช้อย่างแพร่หลายทั่วโลก ซึ่งเมื่อดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลง ราคาทองคำมักจะสูงขึ้น 

4.) อุปสงค์-อุปทานของโลหะมีค่า
ปัจจัยที่ 4 คืออุปสงค์และอุปทานของโลหะมีค่าทั่วโลก ซึ่งมักจะได้รับอิทธิพลมาจาก 3 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ ภาคอัญมณี ภาคการลงทุน และภาคการผลิตและการแพทย์

EA พลิกโฉมธุรกิจ สู่ยานยนต์ไฟฟ้า เปิดอาณาจักร ‘พลังงานบริสุทธิ์’ (EA) ผู้พร้อมป้อน ‘พลังงานใหม่’ สู่อนาคตไทย

เคยได้อ่านบทความหนึ่งของนิตยสาร Bloomberg เมื่อราว 2 ปีก่อน ตอนนั้นมีหัวข้อที่ทำให้ต้องคลิก Feed เข้าไปอ่านไปต่อ เพราะมีการพูดถึง ‘รถยนต์ไฟฟ้าแบรนด์ไทย’ ในชื่อว่า MINE Mobility แถม Bloomberg ยังได้กล่าวยกย่องให้ MINE เปรียบเสมือน ‘Tesla of Thailand’ 

จริงๆ แล้ว MINE Mobility เป็นหนึ่งในธุรกิจของ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA (Energy Absolute) ธุรกิจไทยผู้บุกเบิกและพัฒนาการนำ ‘พลังงานสะอาด’ หรือ ‘พลังงานทดแทน’ มาใช้ขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมเป้าหมายในประเทศไทย รวมถึงอุตสาหกรรมแห่งอนาคต

EA ถูกก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 โดยเริ่มต้นจากการทำธุรกิจ น้ำมันปาล์ม และหลังจากทำธุรกิจได้ 7 ปี ก็จดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้สำเร็จ มีรายได้ที่น่าสนใจดังนี้…

- ปี 2560 รายได้ 11,673 ล้านบาท กำไร 3,817 ล้านบาท
- ปี 2561 รายได้ 12,490 ล้านบาท กำไร 4,975 ล้านบาท
- ปี 2562 รายได้ 14,955 ล้านบาท กำไร 6,082 ล้านบาท
- 9 เดือน ปี 2563 รายได้ 12,738 ล้านบาท กำไร 3,720 ล้านบาท
- ปี 2564 รายได้ 20,558 ล้านบาท กำไร 6,100 ล้านบาท

ทีนี้หากมาพิจารณาถึงกลุ่มธุรกิจหลักๆ ของ EA แล้ว มีผลิตภัณฑ์ใดอยู่ในพอร์ต แล้วกลุ่มธุรกิจไหนที่น่าสนใจขนาดที่ Bloomberg เปรียบให้เป็น ‘Tesla of Thailand’

1.) กลุ่มธุรกิจไบโอดีเซล
ธุรกิจกลุ่มนี้เป็นธุรกิจการผลิต และจำหน่ายน้ำมันไบโอดีเซล หรือ B100 ซึ่งหากนำไปผสมกับน้ำมันดีเซลพื้นฐานตามปริมาณ ก็จะกลายเป็นน้ำมันดีเซลที่ใช้เติมเครื่องยนต์ เช่น ดีเซล B7 B10 หรือ B20 ขณะเดียวกันนอกจากน้ำมันไบโอดีเซลแล้ว ธุรกิจกลุ่มนี้ของ EA ก็ยังมีกรีนดีเซล สารเปลี่ยนสถานะ กลีเซอรีนบริสุทธิ์ 

2.) กลุ่มธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน
สำหรับธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนของ EA จะดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้า จากโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม เพื่อจำหน่ายให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค

3.) กลุ่มธุรกิจแห่งอนาคต
ธุรกิจกลุ่มนี้ ถือเป็นอนาคตของทั้ง EA และประเทศไทย และเป็นกลุ่มธุรกิจที่เชื่อว่าน่าจะเป็นเหตุผลให้เกิดการเปรียบเทียบกับการเป็น Tesla แห่งประเทศไทย นั่นก็เพราะธุรกิจกลุ่มนี้จะครอบคลุมการผลิตและจำหน่ายแบตเตอรี่ ประเภทลิเทียมไอออน พอลิเมอร์ รวมถึงยังประกอบรถยนต์ไฟฟ้า รถโดยสารไฟฟ้า รถบรรทุกไฟฟ้า และเรือโดยสารไฟฟ้า และธุรกิจสถานีอัดประจุไฟฟ้า ซึ่งในที่นี้จะพาลงไปดูรายละเอียดเพื่อทำความรู้จักกับธุรกิจกลุ่มนี้มากยิ่งขึ้น...

>> แบตเตอรี่ลิเทียมไอออน (Li-Ion Battery)
แบตเตอรี่ลิเทียมไอออน เป็นอุปกรณ์กักเก็บพลังงานไฟฟ้าที่มีความสามารถในการกักเก็บประจุไฟฟ้าได้ในปริมาณสูง ซึ่งเป็นแบตเตอรี่ชนิดที่สามารถชาร์จกระแสไฟฟ้าเข้าไปใหม่ได้หลังจากไฟฟ้าถูกใช้หมดไป โดยบริษัทฯ ได้ออกแบบให้มีคุณสมบัติที่โดดเด่น คือ สามารถกักเก็บพลังงานไฟฟ้าได้สูงมีน้ำหนักเบา มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน สำหรับแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนของกลุ่มบริษัทนั้น นอกจากไม่มีส่วนประกอบของสารที่เป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม โดยร่วมลงทุนในบริษัท AMITA Technologies Inc. (AMITA-Taiwan) ผู้เชี่ยวชาญมีประสบการณ์มากกว่า 20 ปี ในด้านการผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนที่ใช้สำหรับระบบกักเก็บพลังงานและยานยนต์ไฟฟ้า จากประเทศไต้หวัน

>> รถโดยสารพลังงานไฟฟ้า
โดยในปี 2563 กลุ่มบริษัทได้เริ่มก่อสร้างโรงงานประกอบยานยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ซึ่งผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% โดยใช้แบตเตอรี่ลิเทียมไอออนที่ผลิตโดยกลุ่มบริษัท ซึ่งมีกำลังการผลิตสูงสุดประมาณ 8,000 คันต่อปี และสามารถปรับเปลี่ยนสายการผลิตเป็นรถประเภทอื่นได้ เช่น รถโดยสารไฟฟ้า รถบรรทุกไฟฟ้า เรือไฟฟ้า หรือรถที่ใช้ในอุตสาหกรรมอื่นๆ 

ปัจจุบันได้มีการเริ่มทยอยส่งมอบรถโดยสารพลังงานไฟฟ้า “MINE BUS” ซึ่งเป็นรถชานต่ำ รองรับผู้โดยสารที่ใช้รถวีลแชร์ เด็กและผู้สูงอายุ ให้สามารถขึ้น-ลงได้ง่าย สะดวก โดยภายในห้องโดยสารมีความกว้างขวาง ระยะห่างระหว่างเบาะกว้าง ไม่อึดอัด มีช่องเสียบ USB เพื่อชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือให้บริการระหว่างการเดินทาง ยิ่งไปกว่านั้นในรถจะไม่มีทางเดินต่างระดับของช่วงห้องโดยสารที่สูงแบบรถประเภทอื่น ติดตั้งแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน ขนาด 250-350 kWh ที่ออกแบบให้สามารถชาร์จประจุไฟฟ้าได้ด้วยความเร็วภายในเวลาประมาณ 15-20 นาที สามารถขับเคลื่อนระยะทางได้ถึง 250-300 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ช่วยยกระดับการเดินทางบนท้องถนนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

>> เรือโดยสารพลังงานไฟฟ้า 
บริษัทฯ นำแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน (Lithium-ion Battery) ที่ใช้เป็นอุปกรณ์กักเก็บพลังงานให้กับยานยนต์ไฟฟ้า EV (Electric Vehicle) ประเภทรถยนต์ มาพัฒนาต่อยอดเป็นเรือโดยสารพลังงานไฟฟ้า “MINE SMART FERRY” ซึ่งได้รับการจดทะเบียนเรือไฟฟ้าลำแรกของประเทศไทย ผ่านการตรวจสอบการออกแบบ การทดสอบระบบ และการเดินเรือตามมาตรฐานและมีความปลอดภัย สามารถคว้ารางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ ประจำปี 2563 สามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 250 คน สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 18 knots ด้วยพลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน ขนาด 700 - 800 kWh ที่ผลิตจากโรงงานของบริษัท อมิตา เทคโนโลยี ภายในกลุ่มของบริษัทฯ สามารถชาร์จประจุไฟฟ้าจาก 0-80% ของ State of Charge (SOC) ในเวลาเพียง 15-20 นาที และขับเคลื่อนได้ระยะทางประมาณ 100 กม.ต่อการชาร์จหนึ่งรอบจากหัวชาร์จ 26 หัว ปัจจุบันมีให้บริการใน 3 เส้นทางระหว่างเส้นทางพระนั่งเกล้า-สาทร

ยิ่งไปกว่านั้น ทางบริษัทฯ ยังได้ร่วมมือกับกรมเจ้าท่า ในการพัฒนาท่าเรือสะพานพุทธ และท่าเรือนนทบุรี เพื่อติดตั้งจอแสดงข้อมูลการเดินทางต่างๆ แก่ผู้โดยสารบริเวณจุดรอเรือบนท่า และใช้ระบบบัตร EMV Contactless เป็นระบบหลักระบบเดียวในการชำระค่าโดยสาร เพื่อเป็นการนำร่องให้กับผู้ให้บริการขนส่งมวลชนรายอื่นๆ ได้สร้าง Ecosystem ของระบบบัตรโดยสารแบบ Open loop อีกด้วย

>> สถานีชาร์จประจุไฟฟ้า EA ANYWHERE
บริษัทเป็นผู้บุกเบิกการติดตั้งเครื่องชาร์จประจุไฟฟ้าเพื่อให้บริการชาร์จประจุไฟฟ้าให้กับยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าที่จะซื้อยานยนต์ไฟฟ้ามาใช้ โดยดำเนินงานธุรกิจสถานีชาร์จประจุไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ภายใต้เครื่องหมายการค้า “EA Anywhere” ให้บริการชาร์จประจุไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ทั้งประเภท PHEV (Plug-in Hybrid Electric Vehicle) และประเภท BEV (Battery Electric Vehicle) สามารถใช้ได้ทั้งการอัดประจุไฟฟ้ากระแสสลับได้สูงสุดที่ 44 กิโลวัตต์/ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับ On-board Charger ของรถยนต์ไฟฟ้าแต่ละรุ่น ส่วนเครื่องอัดประจุไฟฟ้าประเภทกระแสตรง สามารถอัดประจุไฟฟ้าได้สูงสุดที่ 150 กิโลวัตต์ /ชั่วโมง

พาณิชย์ยันยังไม่ไฟเขียวขึ้นราคาสินค้า

ร้อยตรีจักรา ยอดมณี รองอธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยว่า กรมการค้าภายในได้มีการติดตามสถานการณ์ราคาและต้นทุนของสินค้าอุปโภคบริโภคมาโดยตลอด โดยเฉพาะสินค้าที่จำเป็นต่อการครองชีพ หลังจากกรณีที่มีข่าวว่าสินค้าอุปโภคบริโภคบางชนิด เช่น ซอสปรุงรส และผงซักฟอก (ผลิตภัณฑ์ซักล้าง) ปรับขึ้นราคา โดยขณะนี้ยังไม่มีการอนุญาตให้ปรับขึ้นราคาสินค้าแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม ต้นสัปดาห์หน้า กรมฯ จะเรียกผู้ผลิตสินค้ากลุ่มซอสปรุงรสและผงซักฟอก (ผลิตภัณฑ์ซักล้าง) เพื่อกำชับในเรื่องราคา รวมทั้งจะประชุมร่วมกับห้างค้าส่งค้าปลีก เพื่อติดตามสถานการณ์ราคาและปริมาณสินค้า และให้มีการเตรียมสตอกสินค้าให้เพียงพอต่อการจำหน่ายในช่วงเทศกาลสงกรานต์ด้วย

รีบใช้เดือนสุดท้ายมาตรการรัฐ แจกเงินคนละครึ่ง บัตรคนจน

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า มาตรการรักษาระดับการบริโภคภายในประเทศ ปี 2565 ทั้ง บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 4 ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นพิเศษ ระยะที่ 2 และคนละครึ่ง ระยะที่ 4 โดยทั้ง 3 โครงการดังกล่าวจะสิ้นสุดโครงการในวันที่ 30 เมษายน 2565 โดยในส่วนของโครงการคนละครึ่ง ระยะที่ 4 ขณะนี้มีจำนวนผู้ใช้สิทธิครบ 1,200 บาท กว่า 11.54 ล้านราย และมีจำนวนผู้ได้รับสิทธิที่ยังไม่ได้เริ่มใช้สิทธิกว่า 1.2 แสนราย จึงขอเชิญชวนให้ประชาชนที่ยังมีสิทธิเหลือใช้จ่ายก่อนวันสิ้นสุดโครงการด้วย

ทั้งนี้ จากข้อมูลสะสม ณ วันที่ 31 มีนาคม 2565 ณ พบว่า มีผู้ใช้สิทธิทุกโครงการรวม 40.9 ล้านราย และมียอดใช้จ่ายรวมทั้งหมด 64,471.08 ล้านบาท โดยสรุปผลการใช้จ่ายได้ ดังนี้

เอกชนสงขลา ขานรับมาเลย์เปิดด่าน 1 เม.ย. เล็งเสนอรัฐใช้วัคซีนทราเวลเลน ดึงนักท่องเที่ยว

เอกชนสงขลาขานรับมาเลเซียเปิดด่าน 1 เม.ย เล็งเสนอรัฐบาลใช้มาตรการวัคซีนทราเวลเลน ดึงนักท่องเที่ยวมาเลเซียเข้าไทยกระตุ้นท่องเที่ยวเมืองหน้าด่านชายแดนฟื้นตัว

เมื่อวันที่ 9 มี.ค. 65 ทันทีที่ดาโต๊ะ ซรี อิซมาอิล ซาบรี ยาคบ นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ประกาศเปิดพรมแดนของประเทศอีกครั้งในวันที่ 1 เมษายน หลังจากปิดไปเพราะสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นเวลาเกือบ 2 ปี ข่าวนี้สร้างความหวังให้กับผู้ประกอบการในพื้นที่จังหวัดสงขลาอีกครั้ง

ส่องความสำเร็จ Phuket Sandbox 8 เดือน โกยรายได้ 5 หมื่นล้าน

ผลตอบรับ Phuket Sandbox 8 เดือน สร้างรายได้กว่า 5 หมื่นล้าน พร้อมต่อยอดท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ให้เป็นศูนย์กลางส่งเสริมธุรกิจการแพทย์และสุขภาพ

จากข้อมูลของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. เผยยอดรวมนักท่องเที่ยวนับตั้งแต่การเปิดโครงการ Phuket Sandbox เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 64 จนถึงปัจจุบัน รวมเป็นเวลากว่า 8 เดือน ได้รับการตอบรับจากนักท่องเที่ยวแล้วกว่า 400,000 คน สร้างรายได้ทางตรงจากนักท่องเที่ยวกว่า 21,000 ล้านบาท มีห้องพักเปิดให้บริการกว่า 70,000 ห้อง อัตราการเข้าพักเฉลี่ย 9 คืน/คน ในระยะเวลา 8 เดือนที่ผ่านมา ทำรายได้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 5 หมื่นล้านบาท เกิดจากการจ้างงานภายในพื้นที่ ช่วยให้ประชาชนมีรายได้...

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : https://www.prd.go.th/th/content/category/detail/id/39/iid/85854


ที่มา : กรมประชาสัมพันธ์

MAJOR เก็บหุ้น ‘TKN’ เพิ่มอีก 2% รวมถือ 7% แต่กลุ่ม ‘พีระเดชาพันธ์’ ยังถือเกิน 50%  

บมจ.เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง หรือ TKN ตอกย้ำศักยภาพการดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่ง หนุนความเชื่อมั่นนักลงทุนหลังกลุ่ม MAJOR เข้าลงทุนซื้อหุ้นเพิ่มอีก 27.6 ล้านหุ้น คิดเป็น 2% เตรียมหารือทำ Synergy นำความเชี่ยวชาญของทั้ง 2 บริษัท หนุนสร้างการเติบโตในอนาคต 

นายอิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เถ้าแก่น้อย ฟู๊ดแอนด์มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TKN ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสาหร่ายทะเลแปรรูปทั้งในและต่างประเทศภายใต้ตราสินค้า “เถ้าแก่น้อย” รวมถึงขนมขบเคี้ยว และผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เปิดเผยว่า ภาพรวมการดำเนินงานในปีนี้ของ TKN มั่นใจว่าจะผลักดันการเติบโตที่ดี โดยจะคงมุ่งรักษาความเป็นผู้นำผลิตภัณฑ์สาหร่ายทะเลแปรรูปภายใต้แบรนด์ ‘เถ้าแก่น้อย’ ที่ได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ ประกอบกับความสามารถด้านการผลิตที่มีประสิทธิภาพ ช่วยสนับสนุนการเติบโตของการดำเนินงานและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุน ทำให้ บมจ.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (MAJOR) ได้เพิ่มการลงทุนเข้าซื้อหุ้น TKN เพิ่มอีกจำนวน 27.6 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 2% ซึ่งรวมกับหุ้นเดิมส่งผลทำให้ MAJOR เข้าถือหุ้นในบริษัทฯ 7% 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top