Wednesday, 2 July 2025
ECONBIZ

‘กอบศักดิ์’ ชี้เฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ไม่ฉุดตลาดหุ้น หลัง ปธ.เฟด ส่งสัญญาณไม่ใช้ยาแรงขึ้นดอกเบี้ย 0.75%

‘กอบศักดิ์’ ชี้เฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ไม่กระทบตลาดหุ้น เหตุมี ‘ประโยคทอง’ ของประธานเฟดช่วยให้ตลาดสบายใจ ส่งสัญญาณไม่ใช้ยาแรงขึ้นดอกเบี้ย 0.75%

วันที่ 5 พฤษภาคม 2565 ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และกรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุ ถึงการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ล่าสุดว่า เมื่อคืนนี้หลายคนคงไม่ยอมนอน รอลุ้นว่า เฟดจะตัดสินใจอย่างไร และคงสงสัยว่า ทำไมตลาดหุ้น Dow Jones ถึงสุดท้ายแล้วขึ้นถึง 932 จุด เพราะตั้งแต่เช้า ตลาดแกว่งไปมาเล็กน้อย Dow Jones บวกลบไม่ถึง 100 จุด

เมื่อคืนนี้ก็ได้ติดตาม ‘ลุ้น’ ไปพร้อมกับทุกคน สำหรับผลการประชุมออกมาตอนช่วงตี 1 บ้านเรา โดยรวมต้องบอกว่า ‘ตามคาด’ เฟดขึ้นดอกเบี้ย 0.5% และจะถอนสภาพคล่องกลับในอัตราเดือนละ 9.5 หมื่นล้านดอลลาร์ ที่อาจดีกว่าคาดเล็กน้อย ก็คือ ‘ไม่เริ่มเลย’ แต่จะรอไปเริ่ม 1 มิถุนายน และช่วง 3 เดือนแรก เฟดจะลองดูดสภาพคล่องกลับประมาณ 4.75 หมื่นล้านดอลลาร์ (หรือครึ่งหนึ่ง) ของระดับที่ตั้งใจไว้ก่อน

จากที่นโยบายเฟดออกมาดีกว่าคาดเล็กน้อย ตลาดจึงปรับตัวเล็กน้อยเช่นกัน แกว่งตัวบวกขึ้นไปอีกนิด

แต่เมื่อถึงเวลาที่ทุกคนรอคอย และเป็นหมัดเด็ด เป็น Highlight ของเมื่อคืนนี้ ตอนตี 1 ครึ่ง คือ การแถลงข่าวของประธานเฟด ตลาดก็กลับมาที่เดิม คือ บวกประมาณ 90 จุด จากนั้นก็ถึงช่วงสำคัญ และถึง ‘จุดเปลี่ยน’ ที่ทำให้ตลาดกลับมาคึกคัก

โดยมีการส่งสัญญาณว่า กรรมการเฟดยังคิดจะขึ้น 0.5% อีก 2-3 ครั้งในช่วงการประชุมข้างหน้า แต่ไม่ใช่ขึ้นแค่ครั้งนี้และครั้งหน้า ตามที่ทุกคนคาดการณ์กัน

ไม่น่าแปลกใจ ด้วยคำพูดที่แรงและแนวการขึ้นดอกเบี้ยที่น่าจะมากกว่าตลาดคาดไว้เล็กน้อยเช่นกัน ในช่วงการอ่านแถลงการณ์ ตลาดก็ค่อย ๆ ตก จากที่บวก 90 จุด ก็กลายมาเป็นลบเล็กน้อย

สิ่งที่น่าติดตามที่สุดระหว่างการแถลงข่าวเมื่อคืน อยู่ที่ช่วงถามตอบ ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปี ที่เฟดเชิญนักข่าวมาที่อาคาร และได้ซักถามกันต่อหน้าเป็นเวลาเกือบ 40 นาที

โดย ‘ประโยคทอง’ ที่ทำให้ตลาดเปลี่ยนจากที่เคยซึม ๆ กลายเป็นกระทิงเปลี่ยว ทำให้เหวี่ยงขึ้นมาประมาณ 1,000 จุด เป็นผลจากคำถามที่ 2 ที่นักข่าวจาก CNBC ที่ถามถึงการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดว่า ‘มีโอกาสไหมที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยที่ 0.75%’

'สุริยะ' ปลื้ม!! คะแนนประเมินกองทุนฯ เอสเอ็มอีสูงขึ้นต่อเนื่อง เล็งยกระดับ 'กลุ่ม BCG - อุตฯ เป้าหมาย' เพิ่มต่อ

'สุริยะ' เผยผลประเมินการดำเนินงานกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีปีบัญชี 2564 มีผลคะแนนสูงขึ้นต่อเนื่อง หลังดำเนินมาตรการด้านสินเชื่อ และพัฒนาผู้ประกอบการให้มีผลิตภาพเพิ่มขึ้นเป็นไปตามเป้าหมาย ตั้งเป้าพัฒนาต่อยอดธุรกิจกลุ่ม BCG และอุตสาหกรรม S-Curve ในประเทศเพิ่มขึ้น พร้อมปรับปรุงระบบดิจิทัลรองรับการให้บริการกลุ่มเป้าหมาย และใช้ประโยชน์ได้อย่างรวดเร็วเต็มประสิทธิภาพ

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวถึงรายงานผลประเมินการดำเนินงาน ประจำปีบัญชี 2564 ของสำนักงานกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ จากกรมบัญชีกลาง และ บริษัท ทริส คอร์ปอเรชั่น จำกัด ว่า ปีนี้กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ กระทรวงอุตสาหกรรม มีผลคะแนนเท่ากับ 4.098 คะแนน ซึ่งสูงขึ้นจากปีบัญชีก่อนหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถดำเนินมาตรการด้านสินเชื่อได้ตามเป้าหมาย ควบคู่กับการพัฒนาผู้ประกอบการให้มีผลิตภาพเพิ่มขึ้น และที่สำคัญ คือ การปรับปรุงระบบดิจิทัลเพื่อรองรับการให้บริการกลุ่มเป้าหมาย และใช้ประโยชน์ในการตัดสินใจของผู้บริหารเพื่อกำหนดนโยบายและมาตรการต่างๆ ได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ 

คึกคัก!! ต่างชาติแห่เข้าไทยหลังเลิก 'เทสต์แอนด์โก' คาดปลายปีจำนวนเที่ยวบินใกล้เคียงก่อนโควิดระบาด

เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม นักท่องเที่ยวต่างชาติทยอยเดินทางเข้าประเทศไทยมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังรัฐบาลยกเลิกระบบเทสต์แอนด์โก เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา แหล่งท่องเที่ยวต่างๆ เริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง

เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา ถือเป็นการเปิดประเทศเต็มรูปแบบวันแรก บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. รายงานว่ามีจำนวนเที่ยวบินและผู้โดยสารระหว่างประเทศ ณ ท่าอากาศยานในความรับผิดชอบของ ทอท. ทั้ง 6 แห่ง พบจำนวนเที่ยวบินขาเข้ารวม 142 เที่ยวบิน จำนวนเที่ยวบินขาออก 156 เที่ยวบิน จำนวนผู้โดยสารขาเข้า 20,606 คน และจำนวนผู้โดยสารขาออก 16,385 คน

นายศักดิ์สยามกล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 2-4 พฤษภาคมนี้ ทอท. คาดการณ์ผู้โดยสารขาเข้าระหว่างประเทศและเที่ยวบินจะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น โดยท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) คาดว่าวันที่ 2 พฤษภาคม มีจำนวน 12,660 คน จำนวน 105 เที่ยวบิน วันที่ 3 พฤษภาคม 12,437 คน จำนวน 106 เที่ยวบิน และวันที่ 4 พฤษภาคม 13,220 คน จำนวน 109 เที่ยวบิน ส่วนท่าอากาศยานภูเก็ต วันที่ 2 พฤษภาคม จำนวน 2,318 คน จำนวน 22 เที่ยวบิน วันที่ 3 พฤษภาคม 2,976 คน จำนวน 27 เที่ยวบิน และวันที่ 4 พฤษภาคม 2,980 คน จำนวน 27 เที่ยวบิน

ยั่งยืนระดับโลก!! EA ติดอันดับดัชนีความยั่งยืนระดับสากล ‘The Sustainability Yearbook 2022’ จาก S&P Global ตอกย้ำเชื่อมั่นนักลงทุนทั้งสถาบันไทยและต่างประเทศ

ปัจจุบันภาคเอกชนนับว่ามีความสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจของประเทศอย่างมาก โดยเฉพาะบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ที่สามารถดึงเม็ดเงินลงทุนจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ 

แต่ในขณะเดียวกันบริษัทจดทะเบียนเอง หากต้องการได้รับการยอมรับจากนักลงทุน สิ่งสำคัญคือการพัฒนาธุรกิจให้สามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน พร้อมกับตระหนักถึงการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ และให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล

เฉกเช่น บมจ.พลังงานบริสุทธิ์ หรือ EA ที่สามารถพัฒนาและสร้างการเติบโตให้ธุรกิจ จนได้รับคัดเลือกเป็น 1 ใน 41 บริษัทไทยติดอันดับดัชนีด้านความยั่งยืนระดับสากล ‘The Sustainability Yearbook 2022’ ระดับ Member ซึ่งจัดโดย S&P Global

อมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) EA สะท้อนภาพธุรกิจของ EA ว่า การที่ S&P Global ประกาศรายชื่อบริษัทที่ได้รับการจัดอันดับใน The Sustainability Yearbook 2022 ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มี 41 บริษัทไทยที่ติดอันดับจากบริษัททั่วโลก 716 บริษัท โดย EA เป็นหนึ่งในบริษัทที่ติดอันดับดัชนีดังกล่าว ในระดับ Member และผลประเมินด้านความยั่งยืนของ S&P Global สะท้อนให้เห็นถึงการเป็นองค์กรแห่งความยั่งยืนในสายตาผู้ลงทุนทั้งไทย และต่างประเทศ และแน่นอนว่าการจัดอันดับดังกล่าว จะเป็นข้อมูลสำคัญที่ผู้ลงทุนทั่วโลกใช้ในการวิเคราะห์ และพิจารณาตัดสินใจในการเข้าลงทุน

ในปีนี้ S&P Global เน้นย้ำถึงวิกฤติของปัญหาภาวะโลกร้อนที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน นั่นจึงเป็นส่วนช่วยเสริมให้ EA มีความโดดเด่นมากยิ่งขึ้น เพราะธุรกิจหลักของ EA มุ่งมั่นในการนำเทคโนโลยีเข้ามาเสริมสร้างศักยภาพทางด้านพลังงานสะอาดและด้านพลังงานไฟฟ้า 

โดยมีธุรกิจที่ถือว่าเป็น New S Curve อย่างโรงงานผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนและโรงงานผลิตยานยนต์ไฟฟ้าที่มีกำลังการผลิตใหญ่ที่สุดในอาเซียน ตลอดจนเป็นผู้นำด้านสถานีอัดประจุ เพื่อที่จะยกระดับการเดินทางสมัยใหม่ให้มีความสะดวกสบาย ช่วยลดมลภาวะอย่างยั่งยืน และเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้ประเทศเข้าสู่การเป็นสังคมคาร์บอนต่ำ พร้อมทั้งสร้างงานสร้างอาชีพให้กับคนไทย มีรายได้สูงขึ้น ช่วยให้ประเทศไทยสามารถก้าวข้าม Middle income Trap ไปสู่ประเทศที่มีศักยภาพและมีความยั่งยืนทางด้านพลังงานในอนาคต

ขณะเดียวกัน EA ยังมีเป้าหมายที่จะพัฒนาองค์กร จากการเป็นผู้ผลิตพลังงานสะอาดสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจ EV แบบครบวงจร ซึ่งในปี 2565 จะเป็นปีแห่งการเก็บเกี่ยวผลตอบแทนจากที่ได้ทยอยลงทุนมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งยังมีการลงทุนเพิ่มเติม โดยจะเน้นในธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งจะสนับสนุนการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ

แน่นอนว่า ผลตอบแทนจากการที่บริษัทฯ ได้ลงทุนมาเริ่มเห็นผลชัดเจนมากขึ้น ทำให้ในปี 2565 บริษัทฯ มองถึงตั้งเป้าหมายการเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% โดยมาจากการเติบโตของธุรกิจ EV ทั้งในส่วนของ แบตเตอรี่ รถบัสไฟฟ้า รถบรรทุกไฟฟ้า และสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ขณะที่ธุรกิจไบโอดีเซล-พลังงานทดแทน วางเป้าหมายรักษาการเติบโตต่อเนื่อง

สำหรับผลการดำเนินงาน ในปี 2564 ที่ผ่านมา พบว่า EA  มีกำไรสุทธิ อยู่ที่ 6,100.07 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 895.50 ล้านบาท หรือ 17.21% เมื่อเทียบกับปี 2563 ที่มีกำไรสุทธิรวม 5,204.57 ล้านบาท

โดยปี 2564 บริษัทมีรายได้ 20,588.10 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3,358.96 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้น 19.53% เมื่อเทียบกับปี 2563 ที่มารายได้รวม 17,199.14 ล้านบาท

‘ดีพร้อม’ ขยายผล นโยบาย ‘ดีพร้อมแคร์’ ปั้นรายได้ภาคใต้ตอนบนแล้วกว่า 269 ลบ. 

(29 เม.ย. 65) กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม หรือ ดีพร้อม (DIPROM) ขับเคลื่อนเศรษฐกิจภูมิภาค ผ่านการดำเนินนโยบายดีพร้อมแคร์ (DIPROM CARE) ยกระดับศักยภาพของผู้ประกอบการ การเพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิต การพัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ และการส่งเสริมการตลาด เพื่อให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และวิสาหกิจชุมชนมีความพร้อมในทุกมิติ ชูตัวอย่างผลสำเร็จการส่งเสริมผู้ประกอบการทุกระดับผ่านการดำเนินงานของศูนย์ดีพร้อมเซ็นเตอร์ 10 (DIPROM CENTER 10) อาทิ การพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรชุมชน การยกระดับและเพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ พัฒนาผลิตภัณฑ์ บรรจุภัณฑ์ รวมถึงการส่งเสริมผู้ประกอบการประมงในการแปรรูปผลิตภัณฑ์เพื่อการส่งออก สามารถสร้างมูลค่าเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคใต้ตอนบนเพิ่มขึ้น 15 เท่าจากงบประมาณที่ได้รับคิดเป็นมูลค่ากว่า 269 ล้านบาท

ดร.ณัฐพล รังสิตพล อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า การส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นต้องกระจายการดำเนินงานให้ครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อให้สามารถสร้างความเข้มแข็งในระดับเศรษฐกิจภูมิภาค อันจะเป็นฟันเฟืองที่จะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศเพื่อตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติ โดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้ตอนบน เป็นหนึ่งในพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม มอบแนวทางให้ ดีพร้อม เร่งขับเคลื่อนภายใต้นโยบายดีพร้อมแคร์ (DIPROM CARE) ที่ได้ปรับประยุกต์การดำเนินการให้สอดคล้องบริบทของพื้นที่ โดยการปรับศูนย์ส่งเสริมอุตสาหกรรมภาคที่ 10 เป็น ‘ดีพร้อมเซ็นเตอร์ 10’ (DIPROM CENTER 10) จังหวัดสุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นหน่วยงานสำคัญในพื้นที่ที่ส่งเสริมผู้ประกอบการอย่างเข้มข้นในทุกระดับมากขึ้น โดยที่ผ่านมาได้กระจายการส่งเสริมและพัฒนาผู้ประกอบการและวิสาหกิจชุมชนจนสามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นกว่า 269 ล้านบาท คิดเป็น 15 เท่าจากงบประมาณดำเนินการ ประกอบด้วย…

>> ยกระดับศักยภาพของผู้ประกอบการ ผ่านการดำเนินโครงการสำคัญ อาทิ โครงการสร้างเครือข่ายผู้นำธุรกิจพันธุ์ดีพร้อม (DIPROM HEROES) สร้างเครือข่ายผู้นำในชุมชนได้กว่า 25 ราย โครงการพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจอุตสาหกรรม (คพอ.) หรือ DIPROM MINI MBA ที่สามารถเพิ่มขีดความสามารถของผู้ประกอบการพร้อมกับสามารถสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการให้มีเกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ความช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ สร้างความเข้มแข็งให้กับผู้ประกอบการในท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี รวมทั้งสนับสนุนผู้ประกอบการรายใหม่ให้มีโอกาสทางธุรกิจผ่านการอบรมเชิงลึกในรูปแบบต่าง ๆ ตั้งแต่ขั้นตอนการปูพื้นฐานไปสู่การต่อยอดในเชิงพาณิชย์ได้อย่างมีศักยภาพ

>> เพิ่มประสิทธิภาพกระบวนการผลิต ผ่านการดำเนินการของศูนย์แปรรูปเกษตรอุตสาหกรรมและศูนย์ออกแบบดีพร้อมที่มุ่งเน้นการให้บริการเครื่องจักร เพื่อยกระดับกระบวนการผลิต การแปรรูปผลิตภัณฑ์ รวมทั้งการพัฒนาและออกแบบผลิตภัณฑ์ให้สอดรับกับความต้องการของตลาดอย่างครบครัน ทั้ง 13 ศูนย์ทั่วประเทศ กระจายตัวอยู่ทุกภูมิภาคเพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใช้บริการ รวมทั้งสนับสนุนการใช้เทคโนโลยี AI ในทุกกระบวนการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ทั้งยังส่งเสริมเกษตรอุตสาหกรรมให้เข้าถึงเครื่องจักรกลที่ทันสมัย 

>> พัฒนาผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ เป็นการเพิ่มมูลค่าของผลิตภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ของชุมชนให้แสดงถึงอัตลักษณ์และสามารถเชื่อมโยงสู่การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ รวมถึงการแปรรูปผลิตภัณฑ์เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของพื้นที่

‘อลงกรณ์’ เผยข่าวดีจีนเปิดด่านรถไฟผิงเสียง พร้อมขนทุเรียนไทยผ่านเวียดนามแล้ววันนี้

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และประธานคณะทำงานแก้ไขปัญหาผลไม้ล่วงหน้าในคณะกรรมการพัฒนาและบริหารจัดการผลไม้ (Fruit Board) เปิดเผยวันนี้ (29 เม.ย.) ว่า วันนี้มีข่าวดีสำหรับชาวสวนทุเรียนและผลไม้ไทยโดยจีนเปิดด่านนำเข้าครบทุกด่านแล้ว ล่าสุดสำนักงานที่ปรึกษาฝ่ายเกษตร กว่างโจวรายงานว่า จีนได้เปิดด่านนำเข้าทุเรียนและผลไม้ไทยในวันนี้อีกด่านหนึ่งคือด่านรถไฟผิงเสียงบริเวณพรมแดน “จีน-เวียดนาม” ซึ่งจะช่วยกระจายการส่งออกทุเรียนและผลไม้ไทยไปตลาดจีนได้มากขึ้น

'กนอ.' เปิดเอกชนยื่นเสนอพื้นที่จัดตั้งนิคมฯ 'ราชทัณฑ์' ปักหมุด 5 จังหวัดเป้าหมาย เล็งอยุธยาเป็นที่แรก 

กนอ. ชวนเอกชนเสนอพื้นที่จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ เล็งพื้นที่เป้าหมาย 5 จังหวัด “สมุทรปราการ สมุทรสาคร ชลบุรี ฉะเชิงเทรา ระยอง” ปักหมุดพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมจังหวัดพระนครศรีอยุธยาที่แรก

นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า จากการเข้าร่วมประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ ครั้งที่ 1/2565 ที่มีนายวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการฯ เป็นประธานการประชุม เพื่อพิจารณาแนวทางการขับเคลื่อนการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งในส่วนของ กนอ. ได้ออกประกาศเชิญชวนเอกชนเพื่อเสนอพื้นที่จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมทั่วไปและนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ร่วมกับ กนอ. ในพื้นที่เป้าหมาย 5 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดสมุทรปราการ จังหวัดสมุทรสาคร และพื้นที่อีอีซี 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดชลบุรี จังหวัดฉะเชิงเทรา และจังหวัดระยอง แล้ว ซึ่งจากนี้จะดำเนินการประชาสัมพันธ์ โดยเฉพาะเรื่องของสิทธิประโยชน์ที่ผู้ประกอบการที่จะเข้าร่วมเป็นผู้พัฒนากับ กนอ.จะได้รับ

“พื้นที่ที่จะจัดตั้งเป็นนิคมอุตสาหกรรม ต้องมีขนาดพื้นที่ไม่น้อยกว่า 500 ไร่ และตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีความเหมาะสมสำหรับการประกอบกิจการ ต้องไม่ขัดต่อการใช้ประโยชน์ที่ดินตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เช่น ไม่อยู่ในเขตหวงห้ามการตั้งโรงงาน หรือแหล่งน้ำ หรือเขตที่มีการประกาศเป็นแหล่งอนุรักษ์ธรรมชาติ และพื้นที่โครงการต้องมีพื้นที่ดินติดต่อกันเป็นผืนเดียว รวมถึงมีความเหมาะสมต่อการประกอบอุตสาหกรรม มีแหล่งน้ำใช้ แหล่งรองรับน้ำทิ้ง และมีสภาพที่เอื้อต่อการป้องกันปัญหามลพิษ ที่สำคัญต้องเป็นพื้นที่สีม่วงที่สามารถประกอบกิจการอุตสาหกรรมได้จากการพิจารณาของผังเมืองจังหวัด ซึ่งที่ผ่านมามีเอกชนเสนอพื้นที่จัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม 1 ราย พื้นที่โครงการประมาณ 4,131 ไร่ ในพื้นที่อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการตามหลักเกณฑ์ของ กนอ.” นายวีริศ กล่าว

'กอบศักดิ์' วิเคราะห์ สัญญาณบวกนักท่องเที่ยวไหลสู่ไทย หลังสี่แยกหลักการเดินทางของภูมิภาค เริ่มพลุกพล่าน!!

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และกรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า...

ภาพเล็กๆ ที่มีความหมาย !!!

เมื่อตอนต้นเดือนเมษายน ได้เดินทางผ่านสนามบินสิงคโปร์

สิ่งที่คิดขึ้นมาในใจทันที ก็คือ..

"เริ่มฟื้นแล้ว"

จากที่เงียบเหงา แทบไม่มีใครเดิน ในช่วงปีที่แล้ว

สนามบินเริ่มกลับมาเปิดร้านค้าอีกครั้ง แม้ว่ายังไม่ 100%

แต่ก็เปิดเกินครึ่ง

แต่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ 'นักเดินทาง'

นักเดินทาง เริ่มเดินกันขวักไขว่อีกรอบ 

สนามบินสิงคโปร์เป็นจุดต่อเชื่อมที่สำคัญของการบินโลก 

การที่สี่แยกหลักของทางการเดินทางของภูมิภาค เริ่มพลุกพล่านอีกครั้ง 

เป็นสัญญาณว่า ต่อไปนักท่องเที่ยวกำลังกลับมา 

และจะมาที่ประเทศไทยต่อไป 

รมว.คลัง ย้ำไม่มีแนวคิด "คนละเสี้ยวแทนคนละครึ่ง" ส่วนต่อเฟส 5 หรือไม่ ต้องรอประเมินอีกที

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุถึงกรณีเฟซบุ๊ก เราชนะ โพสต์ข้อความเรื่อง "เตรียมบอกลาคนละครึ่งพบกับ (คนละเสี้ยว) รัฐช่วยจ่าย 25% ประชาชนจ่าย 75%" เป็นโครงการคนละครึ่งเฟส 5 ว่า ไม่เคยกล่าวถึงการต่อมาตรการคนละครึ่ง เฟส 5 รวมทั้งการปรับสูตรช่วยจ่ายเงินด้วย

คลังหั่นเศรษฐกิจไทยปีนี้โตแค่ 3.5% หลังเจอสารพัดปัจจัยเสี่ยง

นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลัง ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2565 เหลือขยายตัว 3.5% ลดลงจากประมาณการครั้งก่อน ที่มองว่าจะขยายตัว 4% หลังเจอผลกระทบความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน  ส่งผลให้เศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยชะลอตัว โดยเฉพาะ สหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา จึงกระทบให้ราคาพลังงานและอัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น

ทั้งนี้ยังต้องจับตาปัจจัยกระทบต่อเศรษฐกิจไทย 5 เรื่อง ดังนี้ 1.ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนกระทบต่อราคาพลังงาน 2. ความไม่แน่นอนของการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19  และอาจเกิดขึ้นใหม่ในอนาคต 3. ความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจและการเงินโลก เช่น การปรับเพิ่มดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อสูง อาจทำให้เกิดการไหลออกของเงินทุนเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศและส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาท  

4. ปัญหาข้อจำกัดในห่วงโซ่อุปทานการผลิต (Supply Disruption) เช่น การขาดแคลนอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ในอุตสาหกรรมยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น และ 5. ตลาดแรงงานยังคงฟื้นตัวไม่เต็มที่ จึงเป็นข้อจำกัดสำหรับการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน และความสามารถในการชำระหนี้สินของภาคครัวเรือนที่ยังคงมีความเปราะบาง

 

สหรัฐฯ ส่อไม่รอด 'ภาวะเศรษฐกิจถดถอย' แบบหนัก ด้าน 'ดอยช์แบงก์' ชี้!! ยิ่งคุมเงินเฟ้อ ยิ่งกระอัก

ดอยช์แบงก์' คาดการณ์ สงครามรัสเซีย-ยูเครน ผสมโรงจีนล็อกดาวน์กระตุ้นเงินเฟ้อ ส่อพา 'สหรัฐฯ' เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ที่อาจจะไม่เบาอย่างที่คิด

CNN รายงานการประเมินสถานการณ์เศรษฐกิจของทีมนักเศรษฐศาสตร์ประจำดอยช์แบงก์ (Deutsche Bank) ธนาคารพาณิชย์ชั้นนำสัญชาติเยอรมันที่อยู่ในตลาดหุ้นวอลล์สตรีท ว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เข้าสู่ภาวะถดถอยครั้งใหญ่

ธนาคารดอยต์เชอ หรือ ดอยช์แบงก์ (Deutsche Bank) เป็นธนาคารแรกที่พยากรณ์เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมานี้ว่า สหรัฐฯ จะเผชิญกับ ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (recession) ระดับไม่รุนแรง แต่รายงานล่าสุดที่เผยแพร่กับลูกค้าเมื่อ 26 เม.ย. ระบุว่า “เราจะเจอกับภาวะถดถอยครั้งใหญ่”

การประเมินครั้งนี้มาจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ 'เฟด' ต้องการสยบภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งอาจใกล้จุดพีกแล้ว แต่ต้องอาศัยเวลาอีกนานกว่าจะลดต่ำลง 2% ตามเป้าหมายของเฟด และความพยายามที่จะกดอัตราเงินเฟ้ออย่างหนักจะส่งผลลบต่อเศรษฐกิจ

“เราคาดว่า มีแนวโน้มสูงที่เฟดจะกดอัตราเงินเฟ้ออย่างหนักอีก ดังนั้นจึงต้องอาศัยภาวะถดถอยมาช่วยกดให้เงินเฟ้อลดต่ำลง นี่เป็นเหตุผลว่า ภาวะถดถอยที่กำลังจะมาถึงนี้ อาจเลวร้ายกว่าที่คาดไว้” ทีมนักเศรษฐศาสตร์ดอยช์แบงก์ ระบุ

>> เบื้องหลังตัวเลขเงินเฟ้อ-ว่างงาน
เมื่อเดือนมีนาคม ราคาอุปโภคบริโภคสูงขึ้นไปแล้วถึง 8.5% เป็นอัตราพุ่งสูงสุดในรอบ 40 ปี ส่วนตลาดแรงงานยังน่าเป็นห่วง โดยจากการประเมินของมูดีส์ อนาไลติกส์ คาดว่า อัตราคนว่างงานจะดิ่งต่ำที่สุดนับจากช่วงต้นของทศวรรษ 1950

การประเมินครั้งนี้ ดอยช์แบงก์ได้สร้างดัชนีที่วัดระยะความห่างระหว่างเงินเฟ้อกับคนว่างงานในช่วง 60 ปีมานี้ และดูว่าเฟดตั้งเป้าตัวเลขทั้งสองด้านอย่างไร?

จากการวิจัยสถานการณ์ล่าสุดนี้ พบว่าปัจจุบันเฟดอยู่เบื้องหลังการกำหนดตัวเลขดังกล่าวมากกว่าเมื่อช่วงต้นทศวรรษ 1980 ตอนที่เงินเฟ้อสูงมากจนบีบให้ธนาคารกลางต้องขึ้นดอกเบี้ยเป็นสถิติเพื่อจัดการคุมเศรษฐกิจ

ซึ่งประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่า เฟดไม่เคยคุมเงินเฟ้อและอัตราการจ้างงานได้ โดยปราศจากการผลักให้เศรษฐกิจเข้าไปอยู่ในภาวะถดถอยอย่างเห็นได้ชัด

การบีบตลาดแรงงานจนแน่นเกินเพื่อจะให้อัตราว่างงานอยู่ที่ 2% ทำให้ต้องเลือกภาวะถดถอยรุนแรงมากกว่าที่จะเลือกแบบเบาบาง

อย่างไรก็ตาม ยังพอมีข่าวดีจากดอยช์แบงก์ ว่าเริ่มเห็นแนวโน้มที่เศรษฐกิจจะกระเตื้องกลับมาช่วงกลางปี 2024 (พ.ศ. 2566) เมื่อเฟดถอยจากการต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อ

'กอบศักดิ์' จับตาโอมิครอนบุกปักกิ่ง หวั่น!! กระทบเศรษฐกิจโซนเอเชีย

‘ดร.กอบศักดิ์’ ชี้ต้องจับตาผลกระทบโควิดในจีนอย่างใกล้ชิด เมื่อ ‘โอมิครอน’ ลามถึง ‘กรุงปักกิ่ง’ หวั่นกระทบเศรษฐกิจเอเชีย

วันที่ 26 เมษายน 2565 ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และกรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ โพสต์เฟซบุ๊กถึงสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศจีน ว่า …

เมื่อโอมิครอนบุกปักกิ่ง !!! 

วันนี้มีข่าวว่า หลังจีนได้ต่อสู้กับโอมิครอนที่เซี่ยงไฮ้มาเป็นเวลาหลายสัปดาห์ ล่าสุด โอมิครอนได้ไปบุกไปถึงเมืองปักกิ่งแล้ว

ผลที่ตามมา ก็คือ ตลาดการเงินจีนและโลก ต่างปรับตัวรับข่าวอย่างรุนแรง

- ดัชนีตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ลดลง 5.1% ทำให้ดัชนีได้กลับไปต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดโควิดเรียบร้อยแล้ว

- ค่าเงินหยวนอ่อนค่าเพิ่มเติมอีก 1% ไปที่ 6.559 หยวน/ดอลลาร์ อ่อนสุดในรอบ 1 ปี

- ดัชนีฮั่งเส็งลดลง 3.7%

- ราคาน้ำมันโลกลดลง 5%

- ราคาทองคำลงไปต่ำกว่า 1,900 ดอลลาร์/ออนซ์

- ราคาพาลาเดี่ยม ลดลง 10%

- ราคาของสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ต่างลดลงกันถ้วนหน้า

ทั้งนี้ เนื่องจากทุกคนกังวลใจว่า จีนจะต้องใช้มาตรการที่เข้มงวดในการจัดการโอมิครอนที่ปักกิ่ง หลังจากมีรายงานว่ามีผู้ป่วยในพื้นที่หลายสิบคน และกำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ส่งออกมะม่วงไทยอันดับที่ 2 ในอาเซียน “บิ๊กตู่” สั่งพาณิชย์เจาะตลาด FTA

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรี พอใจมูลค่าการส่งออกมะม่วงสดของไทย ซึ่งปัจจุบันขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 15% ในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2565 โดยไทยถือเป็นผู้ส่งออกมะม่วงเป็นอันดับที่ 2 ในอาเซียน และเป็นอันดับ 7 ของโลก สะท้อนความนิยมของผลไม้ไทยซึ่งมีศักยภาพในตลาดโลก พร้อมสนับสนุนการขยายช่องทางทางการค้าเพิ่มเติมผ่านการเจรจา และข้อตกลง FTA 

ทั้งนี้ในปี 2564 ไทยส่งออกมะม่วงสดมูลค่ารวม 95 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 3,230 ล้านบาท ซึ่งขยายตัวกว่า 52% จากปี 2563 ต่อเนื่องจนในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2565 ไทยส่งออกมะม่วงสดมูลค่ารวม 11 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวมากถึง 15% จากช่วงเดียวกันของปี 2564 

จุรินทร์ ยกมาตรการดูแลราคาสินค้าใกล้ชิด 18 หมวด ยังห้ามขยับขึ้น! พาณิชย์ ละเอียด! คำนวณต้นทุนล่วงหน้า ช่วยประชาชน 

นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่ากรณีหลายภาคส่วนกังวลว่าน้ำมันจะขยับสูงขึ้นจะกระทบต่อต้นทุนผลิตและค่าขนส่ง และจะส่งผลต่อเนื่องให้สินค้าอุปโภคและบริโภคขยับราคาสูงขึ้นตามมานั้น เรื่องนี้นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้ให้นโยบายมาตั้งแต่ต้นและติดตามหากจะเกิดผลกระทบต่อราคาสินค้า ขณะนี้กระทรวงพาณิชย์โดย ให้กรมการค้าภายในขอความร่วมมือผู้ประกอบการ

ทั้งเรื่องตรึงราคาสินค้า 18 หมวด ได้แก่ อาหารสด บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารกระป๋อง ข้าวสารถุง ซอสปรุงรส น้ำมันพืช น้ำอัดลม นมและผลิตภัณฑ์จากนม เครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์ซักล้าง ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง อาหารสัตว์ เหล็ก ปูนซีเมนต์ กระดาษ ยาเวชภัณฑ์และบริการทางการแพทย์ และบริการผ่านห้างค้าปลีกค้าส่ง

"ทั้งนี้ การพิจารณาปรับราคาสินค้า จะต้องพิจารณาตามต้นทุนที่แท้จริงและเป็นกรณีไป เนื่องจากผู้ประกอบการแต่ละรายมีต้นทุนไม่เท่ากัน ที่สำคัญหากมีการปรับราคาจะต้องไม่เป็นภาระกับผู้บริโภคมากจนเกินไป ขณะที่ผู้ประกอบการต้องอยู่ได้และสามารถประกอบธุรกิจต่อไปได้ซึ่งทุกอย่างต้องสมเหตุสมผล ขณะนี้กระทรวงพาณิชย์ยังไม่มีนโยบายให้ปรับราคาสินค้าและยังไม่มีการอนุญาตให้ปรับราคาสินค้าแต่อย่างใด" นางมัลลิกา กล่าว 

และ 2.ได้ขอความร่วมมือห้างไม่ปรับขึ้นราคาจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการครองชีพ และหากมีผู้ผลิตหรือผู้แทนจำหน่ายแจ้งขอปรับราคากับห้างขอให้แจ้งกรมการค้าภายในทราบก่อน และให้จัดเตรียมสินค้าอุปโภคบริโภคให้มีปริมาณเพียงพอและต่อเนื่อง เติมสต็อกสินค้าและชั้นวางจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภค

รวมทั้งการจัดกิจกรรมส่งเสริมการจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพของประชาชนและช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศในช่วงเทศกาลให้มากขึ้น เช่น น้ำมันพืช ข้าวสาร นอกจากนั้นได้สั่งการให้จัดเจ้าหน้าที่ออกตรวจ เพื่อติดตามราคาจำหน่ายปลีกให้สอดคล้องกับต้นทุนการผลิต มิให้มีการเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภค หากพบว่ามีการฉวยโอกาสปรับราคาสินค้าเพิ่มสูงขึ้น สามารถร้องเรียนผ่านสายด่วน 1569 กรมการค้าภายในหรือสำนักงานพาณิชย์จังหวัดทุกจังหวัด

"แผนดำเนินงานเพื่อลดภาระค่าครองชีพและเพิ่มช่องทางการซื้อสินค้าราคาประหยัดให้แก่ประชาชน โดยจัดทำโครงการ Mobile พาณิชย์ลดราคา! ช่วยประชาชน จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการครองชีพราคาถูกว่าท้องตลาด ลดสูงสุด 60% สินค้าอุปโภคบริโภค เช่น ไข่ไก่เบอร์ M คละใหญ่ เบอร์ 2-3 น้ำตาลทราย ข้าวสาร น้ำมันปาล์ม บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป แชมพู สบู่ ซอสปรุงรส  น้ำยาซักผ้า ยาสีฟัน หน้ากากอนามัย เป็นต้น สินค้าเกษตรตามฤดูกาล เช่น มะม่วง ทุเรียน สับปะรด เป็นต้น ซึ่งช่องการจำหน่ายแบ่งเป็น รถ Mobile 25 คัน และจุดจำหน่าย 75 จุด สถานที่จำหน่ายในพื้นที่เขต กทม. 50 เขต ตามแหล่งชุมชน เคหะชุมชน หรือสำนักงานเขต ทั้งนี้ สามารถตรวจสอบจุดจำหน่ายได้ที่เว็บไซต์ของกรมการค้าภายใน ระยะเวลาดำเนินการเฟสนี้คือ 1 พฤษภาคม 2565 " ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าว 

เกษตรฯ เปิดฤดูกาลหมอนทอง ดีเลิศที่คุณภาพเยี่ยม

นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้กรมส่งเสริมการเกษตร ดำเนินมาตรการป้องกันการระบาดของโรคติดเชื้อ COVID - 19 ตั้งแต่ระดับสวนเกษตรกร และมาตรการควบคุมป้องกันแก้ไขทุเรียนอ่อนภาคตะวันออกปี 2565 ระดับสวนเกษตรกร เพื่อใช้เป็นมาตรฐานให้ทุกสวนผลไม้ส่งออกได้ยึดถือปฏิบัติ และเป็นแนวทางให้ทุกฝ่ายได้ดำเนินการไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อเป้าหมายให้ทุเรียนไทยมีคุณภาพดีที่สุดในโลก และมีมาตรฐานความปลอดภัย โดยมีหน่วยงานราชการในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ พร้อมเป็นพี่เลี้ยง และพร้อมแก้ไขปัญหาร่วมกัน

ทั้งนี้ยังได้เปิดงานประชาสัมพันธ์ “Eastern Monthong Best Quality เปิดฤดูกาลทุเรียนหมอนทองตะวันออก ดีเลิศที่คุณภาพ ดีเยี่ยมเพื่อส่งออก” ณ สวนทุเรียนน้ำกร่อย อำเภอนายายอาม จังหวัดจันทบุรี โดยยอมรับว่า ประเทศไทยเป็นผู้นำด้านการผลิตและการส่งออกผลไม้เมืองร้อนที่สำคัญและมีชื่อเสียงที่สุดในภูมิภาคอาเซียน มีมูลค่าการส่งออกเป็นอันดับหนึ่งในภูมิภาคอาเซียน อย่างไรก็ตามสถานการณ์ปัจจุบันประเทศไทยเราประสบปัญหาภาวการณ์แข่งขันที่มีข้อกำหนดและเงื่อนไขทางการค้าที่เข้มงวดขึ้น รวมถึงการควบคุมสินค้าให้มีคุณภาพ และปัญหาผลไม้ราคาตกต่ำในช่วงผลผลิตกระจุกตัว 

ดังนั้น แนวทางที่จะพัฒนาภาคเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุเรียน จึงต้องพัฒนาทั้งระบบด้วยความร่วมมือของทุกฝ่ายบูรณาการทำงานร่วมกันทั้งเกษตรกร ล้ง ภาคเอกชน หน่วยงานภาครัฐ ตั้งแต่การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เน้นการผลิตที่สอดคล้องกับตลาดโดยยึดหลักตลาดนำการผลิต สร้างและขยายตลาดโดยเฉพาะตลาดภายในประเทศให้มากยิ่งขึ้น และที่สำคัญ คือการแปรรูปสินค้าเกษตรเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top