Tuesday, 14 May 2024
ECONBIZ

‘ชัยวุฒิ’ นำทีมดีอีเอส ร่วมหารือ ก.ล.ต. เร่งจัดการมิจฉาชีพหลอกลงทุนออนไลน์

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ผนึกกำลังสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) หารือแนวทางการแก้ไขปัญหาหลอกลวงการลงทุนออนไลน์ โดยเฉพาะลวงลงทุนผ่านโซเชียลมีเดีย 

วันนี้ (10 ต.ค. 65) นายชัยวุฒิ ธนาคมนุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า ทางกระทรวงฯ ได้หารือร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อแก้ไขปัญหาหลอกลวงการลงทุนออนไลน์ผ่านโซเชียลมีเดีย รวมทั้งการระดมทุนที่ผิดกฎหมาย เช่น การให้บริการชักชวนคนมาลงทุน ขายหลักทรัพย์  โดยทางกระทรวงดิจิทัลจะจัดตั้งคณะทํางานร่วมกับทางก.ล.ต ในการติดตาม Facebook account หรือ เว็บไซต์ต่างๆ เพื่อวางแนวทางป้องกันปราบปรามปิดกั้นเว็บไซต์ที่หลอกลวงการลงทุนในช่องทางต่างๆ ที่ไม่ได้รับการอนุญาติจาก ก.ล.ต. หากพบจะถูกดําเนินคดีปิดกั้น Account หรือเว็บไซต์โดยทันที เพื่อลดผลกระทบความเสียหายของประชาชน

นางสาวรื่นวดี สุวรรณมงคล เลขาธิการ ก.ล.ต. กล่าวว่า ก.ล.ต. พร้อมให้ความร่วมมือกับดีอีเอส โดยหลังจาก ก.ล.ต. ได้รับแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับการเผยแพร่ข้อความโฆษณาชวนเชื่อและชักชวนให้ประชาชนลงทุนในลักษณะหลอกลวงผ่านช่องทางออนไลน์ และสื่อสังคมออนไลน์ (โซเชียลมีเดีย) ซึ่งอาจเข้าข่ายเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายและอาจก่อให้เกิดความเสียหายกับประชาชน ทาง ก.ล.ต. ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงและนำรายชื่อขึ้นไว้ใน Investor Alert บนเว็บไซต์ ก.ล.ต. เพื่อแจ้งเตือนประชาชนให้ระมัดระวังการลงทุนหรือทำธุรกรรมการเงิน รวมถึงการเก็บเอกสาร หลักฐานเพื่อนำส่งให้กับดีอีเอสได้ดำเนินการต่อไป

ในกรณีที่ ก.ล.ต. ตรวจพบว่ามีการกระทำอันเข้าข่ายเป็นความผิดตามกฎหมายภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. เช่น พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า หรือพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ผู้กระทำผิดอาจถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งมีโทษทั้งจำคุกและปรับ และหากเข้าข่ายการกระทำที่อาจผิดกฎหมายอื่น ก.ล.ต. มีกระบวนการในการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการต่อไป

ทั้งนี้ ประชาชนสามารถตรวจสอบรายชื่อบุคคลที่แนะนำการลงทุน ผู้ประกอบธุรกิจ หรือหลักทรัพย์ที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. ได้ที่แอปพลิเคชัน SEC Check First และเว็บไซต์ ก.ล.ต. www.sec. or.th หัวข้อ SEC Check First หากมีข้อสอบถามหรือมีเบาะแสเกี่ยวกับพฤติกรรมที่น่าสงสัย โปรดแจ้งที่ “ศูนย์บริการประชาชน ก.ล.ต.” โทร. 1207 หรือ SEC Live Chat ที่เว็บไซต์ ก.ล.ต.

'โรงไฟฟ้าขนอม' คว้ารางวัล The Prime Minister’s Industry Award 2022 สาขาความรับผิดชอบต่อสังคม ต้นแบบอุตฯ อยู่ร่วมกับชุมชนได้อย่างยั่งยืน

บริษัท ผลิตไฟฟ้าขนอม จำกัด ในกลุ่มบริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็กโก กรุ๊ป คว้ารางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น ประเภทความรับผิดชอบต่อสังคม ประจำปี 2565 (The Prime Minister’s Industry Award 2022) ซึ่งจัดโดยกระทรวงอุตสาหกรรม ตอกย้ำเจตจำนงของโรงไฟฟ้าขนอมที่มุ่งมั่น 'เป็นโรงไฟฟ้าต้นแบบในการรักษาสิ่งแวดล้อมและการอยู่ร่วมกับชุมชนอย่างยั่งยืน' 

โดย นายโกศล ศิริวาลย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตไฟฟ้าขนอม จำกัด เข้ารับโล่รางวัลจาก พลเอกประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในพิธีมอบรางวัลอุตสาหกรรม ประจำปี 2565 ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเร็วๆ นี้

นายโกศล ศิริวาลย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตไฟฟ้าขนอม จำกัด เปิดเผยว่า “โรงไฟฟ้าขนอม ในฐานะโรงไฟฟ้าเอกชนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในภาคใต้และมีส่วนร่วมสร้างความมั่นคงให้กับระบบไฟฟ้าของประเทศมานานกว่า 4 ทศวรรษ ตระหนักดีว่าการดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมเป็นหัวใจสำคัญที่นำไปสู่การยอมรับและการอยู่ร่วมกับสิ่งแวดล้อม ชุมชน และสังคมอย่างยั่งยืน บริษัทจึงมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจผลิตไฟฟ้าอย่างมีเสถียรภาพ โดยยึดหลักธรรมาภิบาล ควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อมในทุกมิติและอยู่ร่วมกับชุมชนรอบโรงไฟฟ้าอย่างเกื้อกูล โดยมีผู้บริหารเป็นแบบอย่างในการดำเนินกิจกรรม เพื่อชุมชน รวมทั้งการส่งเสริมและให้ความรู้ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมกับพนักงานทุกระดับ เพื่อเป็นแนวปฏิบัติในการพัฒนาชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อมร่วมกันทั้งองค์กร ส่งผลให้การทำกิจกรรมเพื่อชุมชนเป็นหนึ่งในกิจวัตรประจำวันของพนักงานทุกคน” 

นอกจากภารกิจผลิตไฟฟ้าแล้ว โรงไฟฟ้าขนอมได้ดำเนินโครงการส่งเสริมคุณภาพชีวิตชุมชนและอนุรักษ์ฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการ 'ขนอมโมเดล' ซึ่งเป็นศูนย์เรียนรู้เพื่อการสาธิตเกษตรอินทรีย์แบบ Smart Farm เพื่อสร้างวงจรการผลิตอาหารที่ปลอดภัยสำหรับการบริโภค พร้อมร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับชุมชนขนอมเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารร่วมกัน 

'มาคาเลียส' จัดโปรโมชั่น '10.10 ลดทั้งเว็บ' เพียงซื้อวอเชอร์ครบ 1,000 บาท ลดทันที 10%

(8 ต.ค. 65) 'มาคาเลียส' (Makalius) แหล่งรวมอี-วอเชอร์ที่พัก ร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว อันดับ 1 ของประเทศไทย จัดโปรโมชันเด็ดเอาใจเหล่าทราเวลเลร์สสายลุยที่ชอบท่องเที่ยวในฤดูฝน 'มาคาเลียส 10.10 จัดหนัก จัดเต็ม ลดทั้งแพลตฟอร์ม 10%' เพียงสั่งซื้อวอเชอร์ที่พัก สถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร เรือสำราญ ครบทุก 1,000 บาท ลดทันที 10% เริ่มตั้งแต่วันที่ 10 ตุลาคม 2565 เวลา 00.00 - 23.59 น.

'บิ๊กตู่' ปั้น 'ศูนย์ธุรกิจ EEC-เมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ' สำเร็จ ตั้งเป้าเป็นเมืองน่าอยู่อัจฉริยะ TOP 10 ของโลกในปี 2580

'ทิพานัน' ย้ำ 'พล.อ.ประยุทธ์' สร้างศูนย์ธุรกิจ EEC - เมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะสำเร็จ ชี้ปี 2566 เปิดให้เอกชนเข้าพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ เชื่อสร้างงาน 200,000 คน ดันมูลค่าจ้างงาน 1.2 ล้านล้านบาท

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และโฆษกพรรคพลังประชารัฐ เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีนโยบายในการพัฒนาศูนย์กลางธุรกิจ และการเงินระดับภูมิภาคในพื้นที่ EEC โดยมติคณะรัฐมนตรี (วันที่ 22 มีนาคม 2565) ได้อนุมัติให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) เข้าใช้ประโยชน์ที่ดินของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) จำนวน 14,619 ไร่ ในพื้นที่ ต.ห้วยใหญ่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ดำเนินโครงการศูนย์ธุรกิจ EEC และเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ เป็น 'ศูนย์กลางธุรกิจและการเงินระดับภูมิภาค' เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยแห่งอนาคต โดยธรรมชาติ มนุษย์ และเทคโนโลยีอยู่ร่วมกันมุ่งสู่เศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว (BCG Economy) เป็นพื้นที่แห่งนวัตกรรมและคุณภาพชีวิตระดับสากลของประเทศไทย และจะเป็นเมืองน่าอยู่อัจฉริยะ 1 ใน 10 ของโลกในปี 2580 โดยคาดว่าสามารถสร้างงานทางตรง 200,000 คน มูลค่าการจ้างงาน 1.2 ล้านล้านบาทภายในปี 2575

'Mazda' โชว์!! 9 เดือนแรกยอดขายโต 8% โกย 30,000 คัน พร้อมอวดโฉม 'บริการใหม่' มัดใจลูกค้าให้อยู่กันไปยาวๆ

(8 ต.ค. 65) ท่ามกลางความผันผวนและปัจจัยรอบด้านที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ของประเทศไทย แต่วันนี้สถานการณ์ต่างๆ เริ่มมีทิศทางที่สดใสมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ยอดขายสะสมของตลาดรถยนต์ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนกันยายน 2565 ขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 18% 

ด้านมาสด้า ก็เป็นอีกค่ายที่กลับมาได้อย่างงดงาม โดยมียอดขายเติบโต 8% พร้อมยอดจำหน่ายรวมช่วง 9 เดือนแรกของปีที่ 27,995 คัน และในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ก็ได้ประกาศเตรียมส่งรถยนต์รุ่นพิเศษบุกตลาด พร้อมทั้งเตรียมมัดใจลูกค้าด้วยบริการหลังการขายใหม่ Mazda Ultimate Service อุ่นใจกว่า...ทุกการดูแลรถคุณ เพิ่มความมั่นใจด้านการบริการหลังการขาย พร้อมดูแลลูกค้าแบบพรีเมี่ยม สร้างคุณค่าแบรนด์และสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้กับลูกค้าในระยะยาว และตอบรับกับสถานการณ์การแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงไป

นายธีร์ เพิ่มพงศ์พันธ์ รองประธานบริหารอาวุโส บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 9 เดือน นับตั้งแต่เดือนมกราคมถึงกันยายน 2565 เป็นต้นมา ตลาดรถยนต์ต้องเผชิญกับปัจจัยลบรอบด้านที่ส่งผลลบต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ไทย แต่ทั้งนี้แล้ว ด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในด้านต่างๆ จากภาครัฐ การเปิดตัวรถรุ่นใหม่จากหลากหลายค่ายรถ รวมถึงแคมเปญและงานจัดแสดงรถยนต์ต่างๆ จึงทำให้อุตสาหกรรมรถยนต์เริ่มกลับฟื้นตัวดีขึ้น และเดินหน้าต่อไปได้ท่ามกลางสถานการณ์ความไม่แน่นอน โดยเฉพาะในช่วงท้ายของไตรมาสที่สาม ที่สถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจในประเทศไทยได้ปรับตัวไปในทิศทางบวก อันเนื่องมาจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การส่งออกที่เติบโต และปัจจัยทางด้านการขาดแคลนเซมิคอนดัคเตอร์ที่ปรับตัวดีขึ้น จึงทำให้เริ่มเห็นทิศทางการเติบโตของยอดขายรถยนต์ในประเทศไทยตามมา

แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางปัจจัยบวกและปัจจัยลบหลายๆ ด้านเหล่านี้ ยอดขายสะสมรถยนต์มาสด้าในช่วง 9 เดือน แรกของปี ตั้งแต่เดือนมกราคม-กันยายน 2565 ก็ยังคงรักษาอัตราการเติบโตได้อย่างเหนียวแน่นสูงถึง 8% โดยมียอดขายสะสมรวมทั้งสิ้น 27,995 คัน แบ่งออกเป็นรถยนต์นั่งมาสด้า 2 จำนวน 15,340 คัน (เพิ่มขึ้น 13%) และ มาสด้า 3 จำนวน 1,287 คัน (ลดลง 20%) ในขณะที่ มาสด้า CX-30 ทำยอดขายได้สูงสุดของรถประเภทอเนกประสงค์เอสยูวี ด้วยจำนวน 5,180 คัน (ลดลง 3%) ตามมาด้วย มาสด้า CX-3 จำนวน 3,725 คัน (เพิ่มขึ้น 19%) มาสด้า CX-8 จำนวน 745 คัน (เพิ่มขึ้น 16%) และ มาสด้า CX-5 จำนวน 610 คัน (เพิ่มขึ้น 12%) ส่วนรถปิกอัพ มาสด้า บีที-50 มียอดขายสะสม 1,103 คัน (เพิ่มขึ้น 15%) และรถสปอร์ตเปิดประทุน มาสด้า MX-5 อีกจำนวน 5 คัน (เพิ่มขึ้น 67%) ตามลำดับ

เฉพาะเดือนกันยายนที่ผ่านมา มาสด้ามียอดขายรวมทั้งหมด 2,752 คัน แบ่งออกเป็นรถปิกอัพมาสด้า บีที-50 จำนวน 269 คัน (เพิ่มขึ้น 87%) รถอเนกประสงค์เอสยูวี จำนวน 1,220 คัน (เพิ่มขึ้น 33%) ได้แก่ มาสด้า CX-30 จำนวน 653 คัน มาสด้า CX-3 จำนวน 391 คัน มาสด้า CX-8 จำนวน 115 คัน มาสด้า CX-5 จำนวน 51 คัน และมียอดขายรถยนต์นั่ง จำนวน 1,263 คัน (ลดลง 24%) ได้แก่ มาสด้า2 จำนวน 1,144 คัน และมาสด้า3 จำนวน 119 คัน ตามลำดับ

คปภ. เร่งแก้ปัญหาเบี้ยประกันภัยรถ EV แพง ผุด 3 ทางออกเร่งด่วน สร้างความมั่นใจแก่ผู้ซื้อ

เมื่อวันที่ 8 ต.ค. 65 น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า แนวโน้มการใช้รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในประเทศไทย ซึ่งประชาชนให้ความสนใจเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เป็นผลจากนโยบายรัฐบาลที่ส่งเสริมการใช้รถยนต์ไฟฟ้า เพื่อลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงและช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม ผ่านมาตรการจูงใจทางภาษี ซึ่งปัจจุบันนี้ มีจำนวนรถยนต์ไฟฟ้า จำนวน 2.84 แสนคัน แบ่งเป็น รถยนต์ไฮบริด 2.28 แสนคัน รถยนต์ไฮบริดปลั๊กอิน 3.7 หมื่นคัน และรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอร์รี่ 1.8 หมื่นคัน 

และมีการประเมินจากผู้ประกอบการอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า สิ้นปี 2565 ยอดขายรวม 6.3 หมื่นคัน แบ่งเป็นรถยนต์ไฮบริด 4.2 หมื่นคัน รถยนต์ไฮบริดปลั๊กอิน 1.1 หมื่นคัน และ รถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอร์รี่ 1 หมื่นคัน

น.ส.รัชดา กล่าวว่า สิ่งหนึ่งที่ทำให้ประชาชนลังเลในการตัดสินใจซื้อรถ EV คือ เบี้ยประกัน ที่พบว่า เบี้ยประกันภัยของรถยนต์ไฟฟ้าแพงกว่าเบี้ยประกันภัยของรถยนต์ทั่วไปอย่างมาก ซึ่งทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลธุรกิจประกันภัย พัฒนา ส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิประโยชน์ของประชาชนด้านการประกันภัย ได้เชิญบริษัทประกันภัยที่มีการรับประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า (EV) หลายบริษัท และผู้แทนจากคณะกรรมการประกันภัยยานยนต์ สมาคมประกันวินาศภัยไทยหลายครั้ง เพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาในประเด็นหลักๆ คือ 

1.) บริษัทประกันกำหนดเบี้ยประกันภัยรถ EV แต่ละสัญชาติไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของแต่ละบริษัทที่รับประกันภัยรถยนต์กลุ่มนี้ 
2.) การรับประกันภัยรถ EV มีจำนวนค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับรถสันดาป ในปัจจุบันมีสัดส่วนประมาณ 800:1 ต้นทุนในการเกิดเหตุของรถ EV สูงกว่ารถสันดาปค่อนข้างมาก

'บิ๊กตู่' พอใจ!! ไทยติดอันดับจุดสนใจของโลกหลายเรื่อง ขอบคุณคนไทยช่วยทำให้ประเทศเป็นจุดสนใจของโลก

‘บิ๊กตู่’ ยินดี ไทยติดอันดับ 3 ใน Top Countries in the World จาก Condé Nast Traveler Readers' Choice Awards 2022 ขอบคุณคนไทยช่วยทำให้ประเทศเป็นจุดสนใจของโลก พร้อมเดินหน้าทำงานพัฒนาประเทศ สนับสนุนการท่องเที่ยวกระตุ้นเศรษฐกิจ 

(6 ต.ค. 65) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบและยินดี ประเทศไทยได้อันดับ 3 'ประเทศระดับท็อปของโลก' (Top Countries in the world) และกรุงเทพฯ ได้อันดับ 4 'เมืองที่ดีที่สุดในโลก' ในขณะที่เกาะ โรงแรม และรีสอร์ทของไทยหลายแห่ง ยังติดอันดับสูงในรายการ 'ดีที่สุด' อื่น ๆ อีกด้วย

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากรายงานผลการประกาศรางวัล Condé Nast Traveler Readers' Choice Awards 2022 ประเทศไทยได้รับเลือกให้เป็นอันดับที่ 3 ใน Top Countries in the World จากทั้งหมด 48 ประเทศ โดยได้รวม 90.46 คะแนน และอันดับ 1 คือ โปรตุเกส (91.22 คะแนน) และอันดับ 2 ญี่ปุ่น (91.17 คะแนน) ในขณะที่อันดับ 4 คือ สิงคโปร์ (90.09 คะแนน) โดยไทยและสิงคโปร์ เป็น 2 ประเทศในภูมิภาคอาเซียนที่ได้รับการจัดให้อยู่ใน 10 อันดับแรก นอกจากนี้ กรุงเทพฯ เมืองหลวงของประเทศไทยก็ติดอันดับ 4 'เมืองที่ดีที่สุดในโลก (Best Cities in the World) โดยกรุงเทพฯ ก็เป็นเพียง 1 ใน 2 เมืองในภูมิภาคอาเซียนที่ติดอันดับ 10 เมืองที่ดีที่สุดในโลกเช่นกัน ด้วยคะแนน 89.36 ซึ่ง เมืองซาน มิเกล เด อัลเลนเด (San Miguel de Allende) ประเทศเม็กซิโกได้รับการจัดอันดับที่ 1 ด้วยคะแนน 92.94 สิงคโปร์ อันดับที่ 2 (89.49 คะแนน) และอันดับ 3 เมืองวิคทอเรีย ประเทศแคนาดา (89.46 คะแนน) ตามลำดับ

EA ปลื้ม!! EBI คว้ารางวัล 'โรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ' ปี 65 ส่งเสริมความปลอดภัยและมีความรับผิดชอบต่อชุมชน

เมื่อวันที่ (4 ตุลาคม 2565) บริษัท อีเอ ไบโอ อินโนเวชั่น จำกัด บริษัทย่อยในกลุ่มบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ (EA) ได้รับรางวัลโรงงานอุตสาหกรรมเชิงนิเวศที่มีคุณค่าต่อสังคม (Eco Factory+SV) ระดับ Silver ประจำปี 2565 โดยมี นายณัฏฐพงษ์ จุลาเกตุโพธิชัย ผู้อำนวยการกองพัฒนาอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ กรมโรงงานอุตสาหกรรม เป็นประธานในพิธี จัดขึ้น ณ สโมสรทหารบก (วิภาวดี) กทม.

นายจีรพันธ์ ปัญญานันท์ ผู้อำนวยการฝ่ายโรงงาน บริษัท อีเอ ไบโอ อินโนเวชั่น จำกัด กล่าวว่า ในฐานะเป็นอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยี ส่งเสริมความปลอดภัยและมีความรับผิดชอบต่อชุมชน สู่การสร้างสังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Society) และยกระดับเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ และเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน ตามนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว (Bio Circular Green Economy : BCG Model) ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ

'ทิพานัน' เผยยอดขอจดทะเบียนโรงงานอุตฯ พุ่ง 1,900 แห่ง สะท้อนผลสำเร็จจากการกระตุ้นศก. ภายใต้รัฐบาลประยุทธ์

'ทิพานัน' เผยตัวเลขขอจดทะเบียนโรงงานอุตสาหกรรมใหม่ปีงบฯ 65 พุ่ง 1.9 พันแห่ง จ้างงานเพิ่ม 5.6 หมื่นคน สะท้อนผลสำเร็จมาตรการส่งเสริมการลงทุน-กระตุ้นเศรษฐกิจ-จ้างงาน ของรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ 

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีมาตรการส่งเสริมการลงทุนและกระตุ้นเศรษฐกิจ ให้สิทธิประโยชน์ตามกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ ส่งเสริมให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยพบว่าสถานการณ์ในรอบเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มีผู้ประกอบการขอจดทะเบียนโรงงานอุตสาหกรรมกับกรมโรงงานอุตสาหกรรมใหม่ จำนวน 172 แห่ง เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น 3,812 คน

ทั้งนี้ในภาพรวมปีงบประมาณ 2565 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 - 31 สิงหาคม 2565 มีโรงงานอุตสาหกรรมที่จดทะเบียนใหม่ 1,914 แห่ง เกิดการจ้างงาน 56,263 คน ขณะที่มีโรงงานอุตสาหกรรมที่ขอเลิกกิจการ 870 แห่ง มีลูกจ้างได้รับผลกระทบทั้งหมด 21,917 คน จะเห็นได้ว่า โรงงานอุตสาหกรรมที่ขอจดทะเบียนใหม่นั้น มีจำนวนสูงกว่าโรงงานที่ขอเลิกกิจการถึง 2 เท่า และเกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าของการขอเลิกกิจการ แม้ที่ผ่านมาจะต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และผลกระทบด้านพลังงาน จากสงครามรัสเซียกับยูเครนก็ตาม แต่รัฐบาลไม่เคยทอดทิ้ง ได้ออกมาตรการต่างๆมาแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า ระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว รวมทั้งนายกรัฐมนตรีได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดูแลสิทธิประโยชน์ของลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานและประกันสังคม พร้อมให้การช่วยเหลือในการเตรียมจัดหางาน ฝึกอาชีพและการเข้าถึงแหล่งทุน เพื่อให้มีงานทำอย่างยั่งยืน

ก.อุตฯ เตรียมจ่ายเงินค่าตัดอ้อยสด-คุณภาพดี รอบแรก จำนวน 1.22 แสนราย ผ่านบัญชี ธ.ก.ส. ไม่เกิน 7 ตุลาคมนี้

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า จากมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2565 เห็นชอบโครงการช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสดเพื่อลดฝุ่น PM 2.5 ฤดูการผลิตปี 2564/65 ในอัตรา 120 บาทต่อตัน ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ ภายใต้กรอบวงเงิน 8,319.24 ล้านบาท โดยจะเริ่มจ่ายเงินรอบแรกช่วยเหลือชาวไร่อ้อยที่ตัดอ้อยสดคุณภาพดีไม่เกินวันที่ 7 ตุลาคม 2565 ผ่านบัญชี ธ.ก.ส. ของชาวไร่อ้อยแต่ละรายโดยตรง จำนวน 122,651 ราย มีปริมาณอ้อยสดส่งโรงงาน 64.36 ล้านตัน เป็นจำนวนเงิน 7,723.73 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถจ่ายเงินช่วยเหลือครบทุกรายภายในเดือนพฤศจิกายน 2565 ทั้งนี้ คณะกรรมการ ธ.ก.ส. ได้ให้ความเห็นชอบโครงการฯ เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2565

นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า จากนโยบายในการช่วยเหลือชาวไร่อ้อยที่ตัดอ้อยสดลดฝุ่น PM 2.5 ทำให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยหันมาตัดอ้อยสดก่อนส่งโรงงานเพิ่มมากขึ้น กระทรวงอุตสาหกรรมพร้อมที่จะผลักดันอุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาลทรายให้เติบโตไปพร้อมกับการรักษาสิ่งแวดล้อม และได้วางแผนกำหนดมาตรการแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้อย่างต่อเนื่อง จัดหาเครื่องสางใบอ้อยมาให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยยืมใช้สางใบอ้อย ส่งเสริมการรับซื้อใบอ้อยเพื่อเพิ่มรายได้และลดการเผาอ้อย การลงนามในบันทึกความร่วมมือการแก้ไขปัญหาอ้อยไฟไหม้ในพื้นที่ปลูกอ้อย 47 จังหวัดทั่วประเทศ สนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอ้อยและแก้ไขปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) ปี 2565 - 2567 รวมถึงขอรับการสนับสนุนเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลเพื่อลดต้นทุนการตัดอ้อยสด

เปิด 17 ตัวแปร เปลี่ยนไทยให้ยิ่งใหญ่ ก้าวสู่ศูนย์กลาง EV แห่งอาเซียน

ประเทศไทย 🇹🇭 จะสามารถเป็นศูนย์กลาง Hub ของ EV ได้อย่างแน่นอน เพราะว่า...

1. ปัจจุบันโรงงานประกอบและผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมใหญ่ที่สุดในอาเซียนนั้น อยู่ที่ไทยเป็นของบริษัท EA 

2. บริษัท BYD, Mercedes Benz, BMW, MG, GWM, Volt ก็เลือกประเทศไทย เป็นฐานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย โดยตั้งให้ประเทศไทยเป็น Hub ผลิตรถ EV ในอาเซียน

3. BMW, Benz , Nissan, BYD, EVLOMO ก็ตั้งโรงงานผลิตแบตเตอรี่ EV ในประเทศไทย ตั้งให้เป็นฐานผลิตในภูมิภาค

4. Foxconn ร่วมมือกับ ปตท. ลงทุนประมาณ 72,000 ล้านบาท จัดตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าครบวงจร ชื่อ HORIZON PLUS พร้อมศูนย์วิจัย R&D ดันประเทศไทยสู่ศูนย์กลาง EV อาเซียน เซ็นสัญญากันไปเรียบร้อยแล้ว

5. ล่าสุด BYD ซึ่งเป็นบริษัทรถยนต์ EV ยอดขายอันดับ 1 ของจีน ได้ร่วมทุนกับกลุ่มบริษัทสยามกลการของไทย ซื้อที่ดิน จำนวน 600 ไร่ เพื่อตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้า BYD และโรงงานผลิตแบตเตอรี่ มูลค่าการลงทุนกว่า 20,000 ล้านบาทเพื่อใช้เป็นฐานการผลิตรถยนต์พวงมาลัยขวา เพื่อจำหน่ายในประเทศไทยและส่งออกไปยังภูมิภาคอาเซียน รวมไปถึงออสเตรเลีย และ อังกฤษ ด้วยกำลังการผลิตเบื้องต้นที่ 150,000 คัน ต่อปี (ซึ่งไทย มีข้อตกลง FTA กับประเทศเหล่านี่)

6. บริษัท อีวี ไพรมัส จากจีน มีแผนตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยที่นิคมอุตสาหกรรมเกตเวย์ ฉะเชิงเทรา มูลค่าการลงทุนกว่า 400 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มขึ้นไลน์ผลิตได้ในช่วงปลายปี 2566 โดยจะผลิตเพื่อขายรถยนต์ไฟฟ้าทั้งใน และต่างประเทศ ตั้งเป้าการผลิตอยู่ที่ 4,000 คันต่อปี

7. 'บ้านปู เน็กซ์' ร่วมกับ 'เชิดชัยฯ' และ 'ดูราเพาเวอร์' ผู้ผลิตแบตสัญชาติสิงคโปร์ ร่วมกันตั้งโรงงานแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนในประเทศไทยที่ โคราช ตั้งเป้าเพิ่มกำลังการผลิต 1 กิกะวัตต์ชั่วโมง (GWh) ภายในปี 2569 บุกตลาดในเอเชียแปซิฟิก

8. บริษัท EVLOMO บริษัทชั้นนำด้านยานยนต์ไฟฟ้าจากสหรัฐอเมริกา กำลังสร้างโรงงานผลิตแบตเตอรี่ขนาด 8 กิโลวัตต์ ซึ่งจะมีขนาดที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน สร้างในพื้นที่ EEC ด้วยเงินลงทุน 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และยังจับมือกับ OR ในการติดตั้งตู้ EV Super Charge 150kW อีกว่า 100 สถานีในประเทศไทย

'รัฐ' กร้าว!! สร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าเกษตร-อาหารของไทย เข้าสู่ระบบมาตรฐานความปลอดภัยที่สากลยอมรับ

ไม่นานมานี้ นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รัฐบาลเร่งขับเคลื่อนพัฒนาการผลิตสินค้าเกษตรและอาหารเข้าสู่ระบบมาตรฐานความปลอดภัย ซึ่งเกษตรอินทรีย์เป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล ที่ต้องเร่งดำเนินการให้เกิดเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้นสอดรับกับความต้องการของผู้บริโภคในประเทศและสถานการณ์โลก ที่ให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยด้านอาหาร กระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ล่าสุดรัฐบาลมอบหมายให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ทบทวนมาตรฐานสินค้าเกษตร (Good Agricultural Practices: GAP) พืชอาหาร และมาตรฐานเกษตรอินทรีย์ให้ครอบคลุมส่วนที่ใช้ขยายพันธุ์พืชและแมลงที่บริโภคได้ รวมทั้งสอดคล้องกับมาตรฐานอาเซียน รวมถึงการตรวจรับรองแหล่งผลิตพืชตามมาตรฐาน GAP โดยในปี 2565 มีผู้ยื่นขอการรับรอง 84,098 แปลง เกษตรกร 59,040 ราย โดยได้รับการรับรองมาตรฐาน GAPแล้ว จำนวน 74,152 แปลง เกษตรกร 50,209 ราย พร้อมมีการจัดทำฐานข้อมูลด้านการเกษตรปลอดภัยร่วมกับสมาชิกที่ได้รับใบรับรองมาตรฐาน GAP ในปี 2565 สหกรณ์ 47 แห่ง เกษตรกร 1,126 ราย ใน 22 จังหวัด และส่งเสริมให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนการผลิตในพื้นที่ไม่เหมาะสมตามแผนที่เกษตรเพื่อการบริหารจัดการเชิงรุก (Agri-Map) แล้ว 65,358 ไร่

บอสใหญ่แสนสิริฝากแบบนี้ถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ ที่หันมาทำแบรนด์กาแฟแข่งขันกับรายย่อย

กลายเป็นประเด็นชวนคิด เมื่อ นายเศรษฐา ทวีสิน ซีอีโอ จากบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ได้แชร์ข่าวผ่านทวิตเตอร์ ซึ่งมีพาดหัว 'ร้านกาแฟ 3 หมื่นล้านร้อนฉ่า ค่ายใหญ่เปิดศึกแย่งทำเลทอง'

โดยเนื้อหาในเนื้อข่าวได้ทีการพูดถึงบิ๊กแบรนด์ทั้งหลายที่หันมาปรับราคาเครื่องดื่มเพิ่มขึ้น ทั้งอเมซอนของ ปตท. หรือ OR อินทนิล จากบางจาก ดิโอโร่ จากโกลเด้นครีม....

เขาทวีตข้อความว่า "จริง ๆ แล้วส่วนตัวผมไม่เห็นด้วย กับบริษัทใหญ่ ๆ อย่าง OR หรือ BCP มาทำร้านกาแฟ แข่งขันกับรายย่อย"

"สถานภาพการเงินแข็งแกร่งขนาดนั้น น่าจะหาช่องทางลงทุนในธุรกิจอื่น ๆ ไม่ว่าทั้งในและต่างประเทศ แล้วเปิดโอกาสให้รายย่อย ได้แจ้งเกิดในอาชีพอิสระบ้าง ฝากไว้เป็นข้อคิดครับ"

ลอกเลนส์ นักเศรษฐศาสตร์โลก จากเวที World Economic Forum คาด ศก.6-12 เดือนข้างหน้าสุดท้าทาย แต่ไม่ใช่ให้แตกตื่น

ไม่นานมานี้ นายสันติธาร เสถียรไทย Group Chief Economist และกรรมการผู้จัดการใหญ่ของบริษัท Sea Group โพสต์ข้อคิดเกี่ยวกับทิศทางอนาคตเศรษฐกิจโลกลงในเฟซบุ๊กส่วนตัวไว้อย่างน่าสนใจ ระบุว่า...

รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เป็นตัวแทนกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์จากทั่วโลกของ World Economic Forum (WEF) ไปเสวนารอบพิเศษเรื่องทิศทางอนาคตเศรษฐกิจโลก (Special Agenda Dialogue on the Future of the Global Economy) 

เลยเอาข้อคิดที่สำคัญมาฝากครับ (ยาวนิดนะครับ)

ควรเตรียมรับมือเศรษฐกิจโลกถดถอย แต่จีนอาจเป็นม้ามืด

ไม่ว่าจะถึงขั้น Recession ไหมหรือจะนิยามเศรษฐกิจถดถอยว่ายังไง สิ่งที่จะเกิดขึ้นแน่ๆ ในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้า คือเศรษฐกิจโลกอาการไม่เบาแน่ 

รายงานสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ 22 คนทั่วโลกพบว่า ส่วนใหญ่ต่างเห็นตรงกันว่าทั้งธุรกิจและคนวางนโยบายควรต้องเตรียมรับมือ Global Recession ในปี 2566 (2023) จากการที่ธนาคารกลางในเศรษฐกิจขนาดใหญ่หลายแห่งขึ้นดอกเบี้ยพร้อมๆ กันเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อที่อาจจะยังดื้อดึงไม่ลงง่ายๆ 

โดย 90% ของนักเศรษฐศาสตร์ในแบบสำรวจมองว่ายุโรปอาการหนักแน่ๆ ตั้งแต่ปลายปีนี้จากวิกฤติพลังงานที่ทำให้เศรษฐกิจซบเซาพร้อมเงินเฟ้อสูง (Stagflation)

นอกจากนั้น หลายคนมองเศรษฐกิจอเมริกาจะแย่ลงอย่างชัดเจนในปีหน้าเมื่อฤทธิ์ยาขมจากดอกเบี้ยสูงออกผลเต็มที่ (ดอกเบี้ยเป็นเหมือนยาแรงที่ใช้เวลากว่าจะออกฤทธิ์)

แต่อย่างไรก็ตาม มีบางคนเหมือนกันที่มองว่าจีนอาจเป็นม้ามืด เพราะต่อไปอาจผ่อนคลายนโยบายซีโร่โควิดเปิดให้มีการเดินทางรวมถึงต่างประเทศได้มากขึ้น และอาจปล่อยยาแรงมากระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้นผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในต้นปีหน้า

แต่ทั้งนี้อย่างเก่งก็แค่ช่วยบรรเทาอาการทรุดของเศรษฐกิจโลกไม่พอที่จะพยุงเศรษฐกิจโลกคนเดียวในเวลาที่อเมริกาและยุโรปต่างชะลอตัว

จากท่องเที่ยวไปส่งออก แล้วกลับไปท่องเที่ยวใหม่

แต่ไม่ใช่ทุกอย่างจะแย่ไปหมด

ก่อนโควิด ภาคบริการโดยเฉพาะการท่องเที่ยว เป็นหัวหอกของการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะสำหรับประเทศไทย

แต่พอโควิดมาท่องเที่ยวแห้งเหือดกลายเป็นการส่งออกสินค้ากลับมาเป็นตัวละครหลักผลักดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจต่างๆ รวมทั้งประเทศไทยในปีที่ผ่านมา 

ตั้งแต่นี้ไปเราอาจกลับไปหนังม้วนเก่าคือท่องเที่ยวที่กำลังฟื้นตัวต่อเนื่องเป็นพระเอกอีกครั้ง 

สถานการณ์ด้านพลังงานในยุโรป เป็นหนึ่งในโอกาสสำคัญที่อาจทำให้การเดินทางมาพักผ่อนหรือทำงานในประเทศไทย มีความน่าสนใจเพิ่มขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งจะเป็นแรงสนับสนุนที่สำคัญของเศรษฐกิจไทยในปีหน้า อันเป็นช่วงที่ภาคการส่งออกอ่อนแอลงจากกำลังซื้อที่ลดลงของเศรษฐกิจใหญ่ๆ 

ประเทศที่พึ่งพาทั้งส่งออกและท่องเที่ยวอย่างไทยจะได้อย่างเสียอย่าง ส่งออกจะกลายเป็นตัวฉุดและเราก็ต้องกลับไปพึ่งการท่องเที่ยวเป็นพระเอกเช่นเคย

การดูแลให้ท่องเที่ยวฟื้นตัวได้ต่อเนื่องจึงจะยิ่งสำคัญในปีหน้า

กำลังซื้อลดลง คนจนเพิ่มขึ้น นโยบายต้องช่วยคนตัวเล็ก

ปัญหาค่าครองชีพดูแค่ตัวเลขเงินเฟ้อไม่ได้ 

เงินเฟ้อเป็นเสมือนภาษีของคนรายได้น้อย 

นักเศรษฐศาสตร์กว่า 80% ในแบบสำรวจมองว่ากำลังซื้อคนจะลดลงเพราะรายได้และค่าแรงจะไม่สามารถปรับตามเงินเฟ้อได้ทำให้เงินในกระเป๋าลดลง 

และ 90% ของนักวิเคราะห์กลุ่มนี้มองว่าคนจนจะเพิ่มขึ้นหลังจากนี้เพราะเงินเฟ้อที่มาจากราคาพลังงานและอาหารกระทบคนรายได้น้อยมากกว่าคนรายได้สูง

แม้ตัวเลขเงินเฟ้อน่าจะปรับตัวลงในปีหน้าแต่ปัญหาค่าครองชีพยังอาจจะไม่ได้หายไปเพราะรายได้คนไม่ได้ปรับขึ้นตามและราคาสินค้าจำนวนมากอาจไม่ได้ปรับลงเมื่อราคาพลังงานลดลง

มาตราการช่วยกลุ่มคนตัวเล็กของรัฐจึงจะมีบทบาทสำคัญมาก รัฐบาลต่างๆ ในวันนี้อาจไม่ได้มีเงินในกระเป๋าตังค์มากพอที่จะใช้กระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่อีกรอบ จึงต้องใช้นโยบายการคลังที่ยิงแม่นตรงจุดมากขึ้นช่วยคนที่ไม่สามารถช่วยตนเองได้จริงๆ

ประเทศต่างๆ ควรฉวยโอกาสที่คนใช้เทคโนโลยีดิจิทัลมากขึ้นในยุคหลังโควิด เอาเทคโนโลยีมาปรับช่วยคนเล็ก เช่น ส่งเสริมอีคอมเมิร์ซให้ช่วย SME ขยายตลาดใหม่ กระจายความเสี่ยง ใช้ฟินเทคช่วยให้คนเข้าถึงบริการการเงิน เช่น สินเชื่อ ประกัน ได้ดีขึ้น ไม่ต้องหันไปพึ่งเงินนอกระบบ เป็นต้น

โลกแตกแยกขึ้น ธุรกิจเร่งรีบปรับตัวต่อโลกใหม่มากขึ้น

สยายปีกในต่างแดน!! ‘มาเลเซีย’ ยก EA พันธมิตรใหญ่ ช่วยพัฒนาระบบขนส่งมวลชนไฟฟ้าเต็มรูปแบบ

ไม่นานมานี้ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA (Energy Absolute) ได้ส่ง EA Mobility Holding จับมือพันธมิตร Computer Forms (Malaysia) Berhad (CFM) ลงนาม HOA (Head of Agreement) ลุยพัฒนามาเลเซียสู่การเป็นสังคมไร้คาร์บอน ยกระดับคุณภาพชีวิตคนเมืองในมาเลเซีย ปูทางสู่การใช้ยานยนต์ไฟฟ้าภายในตัวเมืองลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

โดยการลงนามความร่วมมือในครั้งนี้ ก็เพื่อที่จะร่วมลงทุนในธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า และระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจรในประเทศมาเลเซีย ซึ่งมี Mr.Datuk Wira Justin Lim Hwa Tat กรรมการบริหาร, Computer Forms (Malaysia) Berhad (CFM) และนายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ร่วมในพิธีลงนาม

เรื่องนี้ถือเป็นประเด็นสำคัญอย่างยิ่งในประเทศมาเลเซีย ภายหลังที่เริ่มให้ความสำคัญกับนโยบายด้านพลังงานสะอาดอย่างชัดเจนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการลดการใช้พลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิล มุ่งเน้นให้มีการใช้ยานยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นถึง 37% ตามแผนนโยบายในปี 2022-2040 อีกทั้งการเข้าร่วม COP26 ของทางรัฐบาล เพื่อตอบสนองต่อนโยบายแห่งชาติในเวทีโลก เข้าสู่สังคมไร้มลพิษ 

ดังนั้นภารกิจร่วมมือเพื่อลงทุนพัฒนาระบบการคมนาคมไฟฟ้าแบบครบวงจรจึงถือกำเนิด ภายใต้บริษัท CFM ของมาเลเซีย ที่ได้เล็งเห็นถึงความสามารถและความเชี่ยวชาญของ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีพลังงานสะอาด และระบบนิเวศยานยนต์ไฟฟ้าแบบครบวงจรในประเทศไทย ผ่านผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายครอบคลุมเกี่ยวกับการคมนาคมแบบไร้มลพิษ ตั้งแต่การพัฒนาและผลิตแบตเตอรี่ การผลิตยานยนต์ไฟฟ้า เช่น รถโดยสารไฟฟ้า และเรือโดยสารไฟฟ้า และการให้บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้า ซึ่งมีเทคโนโลยีระบบ Ultra Fast Charge Technology สามารถอัดประจุไฟฟ้าสู่ยานยนต์ทุกชนิด 80% ในระยะเวลาเพียง 15-20 นาที

ด้านนายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท พลังงานบริสุทธิ์จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสร่วมมือกับ CFM เพื่อร่วมลงทุนในการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนไร้มลพิษ นับเป็นก้าวที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งของ EA ที่ได้รับการยอมรับในการนำนวัตกรรม Ultra Fast Charge Technology ของบริษัทฯ ผ่านผลิตภัณฑ์ที่พัฒนา และผลิตในประเทศไทย เข้าสู่ตลาดขนส่งมวลชนของประเทศมาเลเซีย ก่อให้เกิดการร่วมลงทุนและพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆ ร่วมกันในอนาคต สามารถผลักดันในบริษัทขยายตลาดสู่ภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก และตลาดโลกต่อไปในอนาคต


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top