Thursday, 14 November 2024
SDGS

‘ไทย สมายล์ กรุ๊ป’ เดินแผนปลดระวางรถเมล์ NGV 350 คัน แล้วเสร็จ ผันตัวเป็น ‘ขนส่งไร้มลพิษ’ ให้บริการ ‘รถโดยสารไฟฟ้า’ เต็มรูปแบบ 

(29 ม.ค. 67) นางสาวกุลพรภัสร์ วงศ์มาจารภิญญา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไทย สมายล์ กรุ๊ป เปิดเผยว่า ปัญหาฝุ่นควันพิษที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ คุณภาพชีวิตของผู้คนซึ่งบริษัทได้ตระหนักถึงเรื่องนี้เป็นอย่างมาก ทำให้ก่อนหน้านี้ได้ทำการประกาศนโยบายพัฒนาระบบขนส่งของไทยให้ก้าวสู่ยุคพลังงานไฟฟ้า 100% ด้วยการปลดประจำการรถเมล์ NGV ทั้งหมด 350 คัน จะต้องถูกยกเลิกการใช้งานทั้งหมดภายในเดือน ม.ค.นี้

โดยปัจจุบันบริษัทฯ ได้ยกเลิกการใช้งานรถ NGV คันสุดท้ายไปเมื่อวันที่ 23 ม.ค.ที่ผ่านมาเรียบร้อยแล้ว เพื่อเป็นส่วนสำคัญในภาคการขนส่งที่ช่วยลดการปล่อยมลพิษสู่อากาศ ทั้งยังเตรียมตัวสู่ยุค Net Zero Carbon ที่สอดคล้องกับแนวคิดขององค์กร “เดินทางด้วยรอยยิ้ม ใส่ใจสิ่งแวดล้อม”

ขณะเดียวกัน TSB ได้ประกาศเป็นนโยบายให้รถทุกคันเปิดรับชำระค่าโดยสารทั้ง 2 ระบบ ผู้เดินทางสามารถใช้ ‘เงินสด’  จ่ายผ่านบัสโฮสเตส (พนักงานเก็บค่าโดยสาร) เพื่อให้ผู้ใช้บริการมีทางเลือกที่มากขึ้น ด้วยอัตราค่าโดยสารเริ่มเพียง 15-20-25 บาท ตามระยะทาง

นอกจากนี้ ยังมีบริการรองรับสำหรับคนใช้งานประจำ ในการใช้บัตร HOP Card เพื่อรับสิทธิประโยชน์ ‘เดลิ แมกซ์ แฟร์’ Daily Max Fare เดินทางกี่ต่อ กี่สาย กี่ครั้งก็ได้ไม่จำกัดจำนวนภายในหนึ่งวัน ด้วยการชำระค่าโดยสารสูงสุดเพียง 40 บาทต่อวันเท่านั้น หรือจะนั่งรถต่อเรือ เรือต่อรถ ชำระค่าโดยสารสูงสุดเพียง 50 บาทต่อวัน ทั้งนี้ ผู้สนใจสามารถหาซื้อบัตรได้ง่าย ๆ ผ่านทางแอปพลิเคชัน Shopee

‘เชียงใหม่’ นำร่อง!! ‘รถสองแถว EV’ พัฒนาโดย ‘มช.’ ช่วยลดมลพิษ-ประหยัดค่าใช้จ่าย หวังขยายผลทั่วประเทศ

(27 ม.ค. 67) รถเขียวเริ่มใช้งานแล้ว หลังผู้ขับรถสองแถวลองขับรถสองแถว EV ที่ใช้ไฟฟ้า 100% ซึ่งโครงการนี้มาพร้อมกับรถสีเขียวทั้งคันตอบโจทย์สโลแกนการรักษ์โลก และลดมลพิษ ลดฝุ่น PM 2.5 โดยรถสองแถวไฟฟ้าคันดังกล่าว อยู่ในระหว่างการพัฒนาโดยมหาลัยเชียงใหม่ ที่ได้รับการสนับสนุนจาก กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน

‘นายบริสุทธิ์ สันติวัฒนพันธ์’ คนขับรถสองแถว EV ที่เปลี่ยนจากการขับรถน้ำมันมาเป็นรถ EV เปิดเผยว่า รถสามารถใช้งานได้ดี และเป็นเรื่องที่ดีที่มีการใช้การมีรถโดยสาร EV เพราะตนได้รับรายได้เพิ่มขึ้น หลังจากไม่ต้องหมดไปกับค่าน้ำมัน โดยปกติจะเสียค่าน้ำมัน กิโลเมตรละ 3 บาท แต่การเปลี่ยนมาใช้ EV จะเหลืออยู่ที่กิโลเมตรละ 70 สตางค์

ด้านผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อนุชา พรมวังขวา อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกล คณะวิศวกรรมศาสตร์ และผู้จัดการโครงการฯ รถสองแถว EV นี้ กล่าวว่า อยากต่อยอดโครงการรถสองแถว EV ให้ขยายออกไปใช้กับรถโดยสารประจำทางที่มีลักษณะเดียวกันได้

อย่างรถ ‘รถแดง’ ซึ่งเป็นรถสองแถว EV ที่คนเชียงใหม่ใช้กันมากอยู่แล้ว และควรมีโครงการนำร่องในการรถแดง EV จำนวนประมาณ 100 คัน เพื่อจะให้เห็นภาพอย่างชัดเจนในการเปลี่ยนรถสองแถวแบบน้ำมัน ไปเป็น EV เบื้องต้นคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 6-8 เดือนในการดำเนินงานต่อไป และมีต้นทุนราว 600,000 บาทต่อคัน ซึ่งทุนที่สูงมาก จึงควรมีรัฐบาลเข้ามาช่วยเหลือ

โดยรถสองแถว EV ที่แล้วเสร็จทั้ง 2 คัน จะสามารถวิ่งได้ไกลประมาณ 270 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ซึ่งเพียงพอแล้วต่อการวิ่งรับส่งทั้งวัน โดยปกติรถสองแถวจะวิ่งอยู่ที่ระยะทาง 150 ถึง 160 กิโลเมตรต่อวัน

‘กรีนสปอต-DHL’ เปิดตัวรถขนส่งไฟฟ้า 18 ล้อ เดินหน้าโลจิสติกส์พลังงานสะอาด เป็นครั้งแรก

(26 ม.ค.67) นายสตีฟ วอล์กเกอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดีเอชแอล ซัพพลายเชน กลุ่มธุรกิจประเทศไทย กล่าวว่า นับเป็นก้าวสำคัญสำหรับความมุ่งมั่นของทั้งสองบริษัทสู่การสร้างสรรค์อนาคตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยั่งยืน รถขนส่งพลังงานไฟฟ้าที่เราเปิดตัวครั้งนี้ สามารถวิ่งได้ในระยะทางสูงสุดถึง 350 กิโลเมตรต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ซึ่งใช้เวลาชาร์จพลังงานเต็มประสิทธิภาพประมาณ 2 ชั่วโมง โดยคาดว่าจะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศได้ประมาณ 60 ตันต่อปี

การเปิดตัวรถขนส่งพลังงานไฟฟ้านี้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ในการขนส่งสินค้าของกรีนสปอต เพื่อให้มั่นใจว่าการขนส่งสินค้าทั้งภายในและภายนอกบริษัทจะเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเส้นทางการขนส่งสินค้าจะครอบคลุมตั้งแต่การขนส่งวัตถุดิบจากโรงงานผลิตขวดไปยังโรงงานกรีนสปอต หนองแค และรังสิต และขนส่งสินค้าจากโรงงานทั้งสองแห่งไปยังคลังสินค้าคลองหลวง หลังจากนั้น สินค้าจะถูกขนส่งไปยังผู้บริโภคผ่านช่องทางโมเดิร์นเทรดต่าง ๆ อาทิ บิ๊กซี โลตัส และ 7-11

สำหรับรถขนส่งพลังงานไฟฟ้านี้จะถูกบริหารจัดการโดยศูนย์ควบคุมการปฏิบัติการด้านการขนส่งของดีเอชแอล มีการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมากมายมาใช้ อาทิ Paragon Route Optimization System, Transport Management System, Telematics และ DHL’s MySupplyChain digital platform

นายสตีฟ กล่าวต่อว่า เรากำลังเดินหน้าอย่างมั่นคงสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 โดยให้ความสำคัญกับการดำเนินงานด้วยพลังงานสะอาดและยั่งยืนในทุกขั้นตอน ความร่วมมือของเรากับกรีนสปอตในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงค่านิยมของทั้งสองบริษัทที่มีร่วมกัน

โดยเฉพาะความมุ่งมั่นอันแน่วแน่ต่อแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืน การเปิดตัวรถขนส่งพลังงานไฟฟ้าของเราถือเป็นเครื่องพิสูจน์อันเด่นชัดถึงความทุ่มเทอย่างต่อเนื่องในเรื่องนี้ และด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย จะช่วยให้เราสามารถบริหารต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ผ่านการวางแผนเส้นทางการเดินรถที่มีประสิทธิภาพและการส่งมอบสินค้าอย่างปลอดภัย โดยลูกค้าสามารถตรวจสอบสถานะของสินค้าได้ในทุกขั้นตอนการทำงาน

>> กรีนสปอต ลดขยะ-ลดใช้พลังงาน

ด้านนายโชติ โสภณพนิช ประธานกรรมการ บริษัท กรีนสปอต จำกัด กล่าวว่า แนวทางการดำเนินงานของเราจะมุ่งเน้นเรื่องคุณภาพ ความปลอดภัยด้านอาหาร และมีคุณค่าทางโภชนาการเป็นหลักเสมอ การเปิดตัวรถขนส่งพลังงานไฟฟ้าเพื่อขนส่งเครื่องดื่มของเราในครั้งนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นไปอีกก้าวต่อการปฏิบัติงานที่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม ความร่วมมือกับดีเอชแอล ซัพพลายเชน ประเทศไทย ตอกย้ำถึงความทุ่มเทของเราในการดำเนินงานด้านโลจิสติกส์ที่สะอาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น เราจะยังคงมุ่งมั่นนำโซลูชั่นที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้ในกระบวนการต่าง ๆ ของซัพพลายเชนอย่างต่อเนื่องต่อไป

ความมุ่งมั่นของกรีนสปอตในด้านความยั่งยืน ยังครอบคลุมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร ลดการสร้างขยะให้น้อยที่สุด และลดอัตราการใช้พลังงาน ด้วยความพยายามอันเต็มเปี่ยมและจิตสำนึกในการรักษาสิ่งแวดล้อม บริษัทได้กำหนดเป้าหมายที่จะสร้างเสริมสุขภาวะและยกระดับคุณภาพชีวิตของทั้งผู้บริโภคและชุมชนในวงกว้าง นโยบายนี้สะท้อนผ่านการให้ความสำคัญต่อแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืน การส่งเสริมสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพ และการมีส่วนร่วมในการสร้างประโยชน์ต่อความเป็นอยู่ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย

>> ดีแอชแอลเดินหน้าโลจิสติกส์ยั่งยืน

ปัจจุบัน ดีเอชแอล ซัพพลายเชน ประเทศไทย มีการนำรถขนส่งพลังงานไฟฟ้ามาใช้จำนวนมากและมีแผนที่จะเพิ่มจำนวนอย่างต่อเนื่องในปี 2567 และปีต่อ ๆ ไป การนำรถขนส่งพลังงานไฟฟ้ามาใช้ขนส่งสินค้าอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับนโยบายการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green Transport Policy) ซึ่งเป็นแผนงานเชิงกลยุทธ์ในการใช้โซลูชั่นการขนส่งที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ตามแผนงานความยั่งยืนของกลุ่มบริษัท

นโยบายนี้ยังทำหน้าที่เป็นแบบแผนในการเปลี่ยนแปลงรูปแบบรถขนส่งโดยใช้ทางเลือกต่าง ๆ เพื่อให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น อาทิ การนำน้ำมันพืชที่ผ่านกระบวนการเติมไฮโดรเจน (hydrotreated vegetable oil) ก๊าซชีวภาพ พลังงานไฟฟ้า หรือเครื่องยนต์ไฮโดรเจน มาใช้ เป็นต้น ซึ่งในฐานะที่เป็นส่วนหนึ่งของโครงการริเริ่มนี้ ดีเอชแอล ซัพพลายเชน ตั้งเป้าที่จะปรับเปลี่ยนรถขนส่งประมาณ 2,000 คัน ทั่วโลกไปใช้พลังงานสะอาดมากยิ่งขึ้นในอนาคต 

‘รมว.ปุ้ย’ เร่งศึกษากม. ผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม-น้ำ ในครัวเรือน เตรียมชงเข้า ครม. พร้อม ‘โซลาร์รูฟท็อปเสรี’ หวังลดค่าไฟ ปชช.

(25 ม.ค. 67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ปัจจุบันกำลังเร่งดำเนินการศึกษากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการขออนุญาตผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม และน้ำภาคครัวเรือน

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการช่วยเหลือประชาชนเป็นหลักเกี่ยวกับเรื่องของการลดค่าใช้จ่ายให้กับครัวเรือน และไม่ให้มีปัญหาเรื่องของไฟฟ้า เพื่อนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้พิจารณาพร้อมกับนโยบายโซลาร์รูฟท็อป (Solar rooftop) เสรีในส่วนครัวเรือนของพรรคครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.)

ขณะที่ความคืบหน้านโยบายโซลาร์รูฟท็อปเสรีในส่วนครัวเรือนนั้น กระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการเรื่องดังกล่าวเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชน โดยปัจจุบันได้ปลดล็อกเรื่องการขอใบอนุญาตแล้วทั้งระบบ 

"กระทรวงฯ อำนวยความสะดวกให้แล้ว ด้วยการปลดล็อกการขอใบอนุญาต รง.4 ได้สบายมากขึ้น ไม่ต้องมาขอ ในภาคครัวเรือนด้วยเช่นเดียวกัน"

อย่างไรก็ดี ต้องเรียนว่าการติดตั้งโซลาร์ของครัวเรือนส่วนใหญ่จะมีขนาดกำลังผลิตไฟฟ้าไม่เกิน 10 เมกกะวัตต์ จะไม่ต้องขอใบอนุญาต รง.4 อยู่แล้ว 

ดังนั้น การดำเนินการดังกล่าวจึงเปรียบเสมือนเป็นการปลดล็อกทั้งระบบ ไม่ว่าจะเป็นขนาดใหญ่ และขนาดเล็กในครั้งเดียว

‘คาร์บอนเครดิตป่าไม้’ อีกหนึ่งทางเลือกน่าลงทุน ช่วยสร้างเม็ดเงิน แถมได้ปลูกป่า ลดก๊าซเรือนกระจก

ปัจจุบัน ‘คาร์บอนเครดิต’ เข้ามามีบทบาทมากขึ้นทั้งการซื้อขายจากที่ต่าง ๆ เพื่อข้อมูลการชดเชยการปล่อยคาร์บอน แต่มีอีกหนึ่งส่วนที่เป็นแหล่งลดคาร์บอนได้ไม่แพ้กันคือ การส่งเสริมคาร์บอนเครดิตภาคป่าไม้

(25 ม.ค. 67) พฤฒิภา โรจน์กิตติคุณ ผู้อำนวยการสำนักรับรองคาร์บอนเครดิต กล่าวงานฟอรั่มไม่มีค่า ภายใต้ Theme ‘สร้างเสน่ห์ ชุมชนสีเขียว: Enchanting Green Community’ ช่วง เสวนา ‘ชวนคุยชวนคิด ปลูก ไม้มีค่าจากต้นกล้า สู่ Carbon Neutrality คาร์บอนเครดิต’ จัดโดย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ว่า…

แนวทางภาพรวมการมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของประเทศไทยนั้น ต้องมีการเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนในการผลิตไฟฟ้า อย่างน้อย 68% ในปี พ.ศ. 2583 และ 74% ในปี พ.ศ. 2593 รวมถึงการ ยุติการใช้ถ่านหิน ในปี พ.ศ. 2593 และใช้เทคโนโลยีการดักจับคาร์บอน (CCUS) และการดักจับ และกักเก็บคาร์บอนเป็นกระบวนการสกัดพลังงานชีวภาพ (BECCS) รวมถึงการใช้พลังงานที่สะอาดทั้งในภาคขนส่ง และอุตสาหกรรม ในปี พ.ศ. 2588

ทั้งนี้ ไม่ได้มีแค่การปรับเปลี่ยนการใช้พลังงานแต่เพียงอย่างเดียว การปลูกต้นไม้ ตามแผนการดูดกลับก๊าซเรือนกระจกจากสาขาป่าไม้ และการใช้ประโยชน์ที่ดิน 120 ตันคาร์บอนไดออกไซด์ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2580 - 2608

นอกจากนี้ทาง องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์กรมหาชน) ได้มีสนับสนุนคาร์บอนเครดิต (Carbon Credits) ในภาคป่าไม้ โดยดูดซับปริมาณก๊าซเรือนกระจก ที่ลดและกักเก็บได้ จากการดำเนินโครงการ T-VER หรือการลดก๊าซเรือนกระจกในประเทศโดยความสมัครใจ (Thailand Voluntary Emission Reduction Project :T-VER) และได้รับการรับรองจากคณะกรรมการ อบก. และถูกบันทึกในระบบทะเบียนของ อบก. ซึ่งแบ่งเป็น 2 แบบ Standard และ Premium โดยมีเงื่อนไขการดำเนินโครงการดังนี้ 

1.เป็นไม้ยืนต้น (ชนิดใดก็ได้) ที่มีเนื้อไม้ และอายุยืนยาว 
2.มีหลักฐานเอกสารแสดงสิทธิที่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือเอกสารที่ยืนยันได้ว่าเจ้าของผู้มีกรรมสิทธิ์เหนือพื้นที่นั้น ๆ ยินยอมให้ดำเนินการ

โดยสถิติโครงการ T-VER ภาคป่าไม้ โครงการที่ได้รับการขึ้นทะเบียนทั้งหมด 51 โครงการ ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่คาดว่าจะกักเก็บได้ 361,966 ตันคาร์บอนไดออกไซด์/ปี โครงการที่ได้รับรองคาร์บอนเครดิต 8 โครงการ ปริมาณคาร์บอนเครดิต 123,708 ตันคาร์บอนไดออกไซด์

มาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมโครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจ เป็นพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ยกเว้นภาษีเงินได้ตามส่วน 3 หมวด 3 ในลักษณะ 2 แห่ง ประมวลรัษฎาภรให้แก่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล สำหรับกำไรสุทธิที่เกิดจากการขายคาร์บอนเครดิตในประเทศตามโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจที่ได้ขึ้นทะเบียนกับ อบก. ตั้งแต่วันที่พระราชกฤษฎีกานี้ใช้บังคับถึงวันที่ 31 ธ.ค.2570

ผลึก อาจหาญ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาลูกค้าและชุมชน ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า ได้มีการตั้งธนาคารต้นไม้ โดยเริ่มจากครอบครัวละ 9 ต้น ทำให้ชุมชนเกิดความหลากหลายทางชีวภาพมากขึ้นในชุมชนทั่วประเทศ สร้างรายได้ไปกว่าปีละ 100 ล้านบาท และได้มีการร่วมกับ อบก. ในการให้ความรู้เกี่ยวกับคาร์บอนเครดิตมากขึ้น และได้มีการตั้งงบสนับสนุนชุมชน 100 บาท/ตันคาร์บอนไดออกไซด์ ในชุมชนไม่เกินชุมชนละ 50,000 บาท ซึ่งสามารถใช้ต้นไม้เป็นหลักประกันได้อีกด้วย โดยปัจจุบันมีต้นไม้ไม่ต่ำกว่า 200 ชนิดที่รับเป็นหลักประกันซึ่งมีราคากลางในการประเมินต้นไม้ได้ โดยปัจจุบันนั้นมีผู้รับสินเชื่อเป็นวงเงินประมาณ 3,000 ล้านบาทแล้ว

ประสิทธิ์ เกิดโต รองผู้อำนวยการกรรมการผู้จัดการ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ กล่าวว่า บทบาทของป่าไม้สามารถเพิ่มเป็นพื้นที่เศรษฐกิจได้ ต้องปลูกแล้วสามารถเลี้ยงครอบครัวได้ อย่าง ยางพารา ไม้สัก ยูคาลิปตัส ในส่วนคาร์บอนเครดิตนั้นเป็นรายได้เสริมโดยมีค่าเฉลี่ยคือ 259 บาท และมีการประมาณรายได้ 120 ล้านบาท ในพื้นที่ 2 แสนไร่ ยิ่งมีพื้นที่มากยิ่งได้ต้นทุนการตรวจที่ลดลงอีกด้วย

จิรวัฒน์ ตั้งกิจงามวงศ์ นายกสมาคมธุรกิจไม้ กล่าวว่า ธุรกิจปลูกป่าทำรายได้ 18% ต่อปี ถือเป็นธุรกิจที่น่าลงทุน ซึ่งมีการให้คาร์บอนเครดิตที่สูง โดย 70% ของคาร์บอนเครดิตมาจาก ยางพารามากถึง 120 ล้านตันคาร์บอนซึ่งเป็นการส่งเสริมการปลูกต้นไม้เพื่อความยั่งยืนในการดูดซับคาร์บอนและสร้างรายได้เสริมให้กับประชาชนที่มีส่วนร่วมอีกด้วย

เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมเป็นสองสิ่งนี้อาจสวนทางกันแต่ปัจจุบัน ‘คาร์บอนเครดิตจากป่าไม้’ อาจเป็นคำตอบของสองสิ่งให้อยู่ร่วมกันได้อย่างดีด้วย

SET ส่งเสริมปลูกป่าชายเลน-ลดขยะทะเลชุมชนมอแกน สร้างแบบอย่าง สู่ วิถีองค์กรตระหนักลดคาร์บอนเครดิต

ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รักษ์โลกสู่วีถียั่งยืน หนุนแนวคิด ESG (Environment, Social, และ Governance) ซึ่งเป็นแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาขององค์กรอย่างยั่งยืน โดยเน้นรับผิดชอบ 3 ด้านหลัก คือ สิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล แนวคิดนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจากนักลงทุนทั่วโลก 

ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญได้ร่วมกันขับเคลื่อนแนวทางด้านความยั่งยืน หรือ ESG ด้วยการดำเนินโครงการด้านสิ่งแวดล้อม โดยภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ พร้อมผู้บริหาร ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ใน 3 ปีข้างหน้าเข้ามาสนับสนุนการขับเคลื่อนสู่ความยั่งยืน เพื่อสร้างตลาดทุนที่มีคุณภาพ สู่การเติบโตที่ยั่งยืน รวมถึงยกระดับความเชื่อมั่นตลาดทุน และเสริมศักยภาพการแข่งขัน 

โดยตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้สร้างแพลตฟอร์ม SET Social Impact เพื่อเป็นแนวร่วมการแก้ไขปัญหาสังคม โดยสร้างแรงกระเพื่อมให้สังคมตื่นรู้ ผ่านการริเริ่ม สร้างความร่วมมือด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยมุ่งหวังให้คนไทยเกิดการเรียนรู้ ร่วมรับรู้ ร่วมปรับพฤติกรรม และร่วมผลักดัน แนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ผ่านโครงการต่างๆ ดังนี้

1.Care the Bear เพื่อส่งเสริมการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยระบบตรวจวัดการปล่อยก๊าซจากการทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อนำไปสู่การสร้างพฤติกรรมการบริโภคคุ้มค่า ภายใต้เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)

2.Care the Whale เพื่อส่งเสริมการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ผ่านการบริหารจัดการของเสีย และสิ่งแวดล้อม โดยเป็นการทำงานเชิงพื้นที่ในถนนรัชดาภิเษก โดยร่วมกับอาคารสำนักงาน ที่อยู่อาศัย และศูนย์การค้าบนถนน

3.Care the Wild เพื่อส่งเสริมการสร้างพื้นที่ป่า เพื่อสร้างสมดุลในระบบนิเวศ

ล่าสุดตลาดหลักทรัพย์ฯ นำผู้บริหาร เจ้าหน้าที่องค์กร และสื่อมวลชน ร่วมมอบถุงยังชีพแก่ชาวชุมชนมอแกน หมู่เกาะสุรินทร์ จังหวัดพังงา และร่วมกันเก็บขยะทะเล ภายใต้โครงการ Care the Whale โดยมีอันดามันดิสคอฟเวอรี่ส์ ซึ่งเป็น SE ด้านพัฒนาชุมชน ในโครงการ SET Social Impact Gym ของตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นผู้นำกิจกรรม

โดยการเก็บขยะทะเลที่หน้าหาดชุมชนมอแกน ในครั้งนี้ได้จำนวนกว่า 204 กิโลกรัม ตีเป็นมูลค่า 1,000 กว่าบาท ที่ถือว่าเป็นรายได้เสริมให้กับชาวชุมชนมอแกนและเป็นการช่วยลดปริมาณขยะทะเลที่เป็นพลาสติก เพราะถือว่า อันตรายที่สุดที่ทำให้ทะเลเกิดไมโครพลาสติกต่าง ๆ และสัตว์ทะเลต้องตายลงไป เพราะกินพวกพลาสติกที่อยู่ในท้องทะเล

โครงการนี้ถือว่าได้ผลดีมาก เนื่องจากก่อนหน้านี้ขยะทะเลค่อนข้างมาก กระทั่งช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ที่เกิดวิกฤตโควิด ชุมชนมอแกนไม่มีนักท่องเที่ยว ชุมชนมอแกนจึงได้รวมกลุ่มกันประมาณ 6 - 7 คน เพื่อจะเก็บขยะทะเล เพื่อสร้างรายได้เข้าสู่หมู่บ้านมอแกน

อย่างไรก็ตาม จากความร่วมมือกันของหลายหน่วยงานทั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัทจดทะเบียน และอันดามันดิสคอฟเวอรี่ส์ ได้ร่วมกันให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ชุมชนมอแกนในการแยกขยะประเภทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการแยกฝา แยกขวด และแยกฉลาก เพื่อเพิ่มเสริมสร้างมูลค่าของขยะทะเลให้เป็นรายได้ที่มากยิ่งขึ้น

ขณะเดียวกัน Care the Wild เพื่อส่งเสริมการสร้างพื้นที่ป่า เพื่อสร้างสมดุลในระบบนิเวศ เพื่อการทำซ้ำและขยายผลเชิงพื้นที่ต่อไป ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญเช่นกัน จึงได้มีการเข้าร่วมปลูกป่าโกงกาง ที่ท่าดินแดง จังหวัดพังงา จำนวน 300 ต้น เนื่องจากป่าโกงกาง หรือป่าที่เกิดจากทะเลจะช่วย จะช่วยลดคาร์บอนเครดิต หรือ ลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ หรือก๊าซเรือนกระจกสู่สิ่งแวดล้อมได้เป็นจำนวนมาก และสามารถผลิตก๊าซออกซิเจนได้สูงกว่าป่าทั่วไปที่เกิดขึ้นตามภูเขา อีกทั้งยังเป็นการสร้างรายได้ให้แก่ชุมชนบ้านท่าดินแดงอีกด้วย

ทั้งนี้หากย้อนไปช่วงปี 2547 ที่เกิดเหตุการณ์สึนามิ ที่ซัดถล่มชายฝั่งอันดามัน ทำให้หลายหมู่บ้านได้รับความเสียหายในครั้งนั้นค่อนข้างมาก แต่หมู่บ้านท่าดินแดง ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีการปลูกป่าโกงกางค่อนข้างหนาแน่น ทำให้สามารถปกป้องหมู่บ้านไว้ได้ และหลังจากนั้นจึงได้มีการรณรงค์ปลูกป่าโกงกางโดยมีหน่วยงานภาครัฐเข้ามาช่วยสนับสนุนและเข้ามาดูแล

และ Care the Bear ได้มีการคำนวณปริมาณคาร์บอนที่เกิดจากเกิดขึ้นโดยการพยายามที่จะใช้รถโดยสารให้น้อยที่สุดหรือบรรจุคนในเรือให้เต็มลำ และคำนวณระยะทางของการใช้ยานพาหนะ โดยคำนวณเรือที่เดินทางไปหมู่เกาะสุรินทร์กี่กิโลเมตร รวมถึงวิเคราะห์ถึงอาหารที่รับประทานว่า เหลือทิ้งเท่าไร เป็นจำนวนกี่กิโลกรัม และขยะที่เกิดขึ้นบนหมู่เกาะสุรินทร์ เช่น กระดาษ ขวด กระเป๋า ก็จะเก็บนำมาคำนวณ ในการช่วยลดจำนวนคาร์บอนไดออกไซด์ได้

อย่างไรก็ตาม ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ยังขับเคลื่อนวาระสำคัญของตลาดทุนไทยและประเทศสู่ความยั่งยืน มุ่งสู่ Net Zero ตามเป้าหมายในปี 2050 สอดคล้องมาตรฐาน SBTi และเข้าร่วมการเปิดเผยข้อมูลทางการเงินที่เกี่ยวข้องกับสภาพภูมิอากาศ (TCFD) โดยมุ่งเน้นเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินการด้าน ESG ภายในองค์กรอย่างเข้มข้น เช่น การต่อยอดโครงการ SET’s Journey Towards Net Zero เพื่อมุ่งสู่การเป็น Net Zero Organization การพัฒนาองค์กรให้ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ และสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่พร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและมีความยืดหยุ่นมากขึ้น (Culture transformation) พร้อมกับการพัฒนาระบบบริหารความเสี่ยงและการกำกับดูแลกิจการที่มีประสิทธิภาพ (Risk management & Enhancing governance)

‘รทสช.’ เดินหน้าผลักดันนโยบาย Solar Rooftop เสรีในครัวเรือน หนุน ‘แก้ไขกฎ-ลดขั้นตอนติดตั้ง’ ช่วยปชช. เข้าถึงไฟฟ้าราคาถูก

(24 ม.ค. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สส.ราชบุรี โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เปิดเผยภายหลังประชุมพรรคว่า พรรคมีมติในการสนับสนุนให้รัฐบาลดำเนินนโยบายโซลาร์รูฟท็อป (Solar rooftop) เสรีในส่วนของครัวเรือน

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาจะมีปัญหา และอุปสรรคในการขออนุญาตติดตั้ง Solar rooftop บนหลังคาบ้านเรือน เนื่องจากต้องขอใบอนุญาตจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม และขออนุญาตติดตั้งได้ยากมาก

ดังนั้น ทางสส.ของพรรค จึงมีมติให้นายเกรียงยศ สุดลาภา สส.บัญชีรายชื่อ พรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นผู้ยื่นกระทู้ถามสดในสภาฯ ในวันที่ 25 มกราคม 2567 ที่จะถึงนี้ ถามนางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ถึงความคืบหน้าในโครงการ Solar rooftop เสรีซึ่งเป็นนโยบายที่สำคัญของพรรครวมไทยสร้างชาติ

เพื่อให้ประชาชนได้รับทราบข้อเท็จจริงในการเข้าถึงโครงการ Solar rooftop เสรี เพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานในครัวเรือน และเสริมในสิ่งที่กระทรวงพลังงานได้ดำเนินการไปแล้ว คือการลดค่าไฟให้กับประชาชน 

โดยโครงการติดตั้ง Solar rooftop เสรีมีส่วนสำคัญในการลดค่าไฟให้กับประชาชน ถ้าประชาชนต้องการติดตั้งโซลาร์เซลล์บนหลังคาบ้านเรือน สามารถทำได้โดยง่ายไม่ต้องติดกฎระเบียบต่าง ๆ ที่ยุ่งยากเหมือนในอดีต ถือเป็นการใช้พลังงานราคาถูก

นายอัครเดช กล่าวต่ออีกว่า เดิมทีการขออนุญาตติดตั้งโซล่าเซลล์บนหลังคาบ้านเรือน มีขั้นตอนยุ่งยาก เพราะต้องมีการเขียนแบบ มีการตรวจสอบ มีการติดตั้ง ซึ่งต้องเป็นไปตามนโยบายของกรมโรงงานอุตสาหกรรม จากนี้ไปจะง่ายขึ้น ส่วนเรื่องความปลอดภัย ยังเหมือนเดิม เพียงแต่จะลดขั้นตอนการอนุญาตติดตั้งในระดับครัวเรือนได้เร็วขึ้น

“รายละเอียดเรื่องนี้ ขอให้ประชาชนรอฟังการชี้แจงของน.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รมว.อุตสาหกรรม ที่จะมาตอบกระทู้สดในสภาฯ ถือเป็นนโยบายสำคัญของพรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ตั้งใจทำงานให้กับประชาชน” โฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติกล่าว

'รมว.พีระพันธุ์' มอบนโยบายพลังงานสู่ 7 จังหวัดภาคใต้ ช่วยชาวบ้านเข้าถึง 'พลังงานทดแทน' ต่อยอดวิสาหกิจชุมชน

(24 ม.ค. 67) นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานพร้อมคณะผู้บริหารกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ได้ดำเนินการมอบนโยบายให้กับพลังงานจังหวัดทั้ง 7 จังหวัดที่เข้าร่วมนำเสนอผลิตภัณฑ์จากวิสาหกิจชุมชน โดยให้พลังงานจังหวัดเป็นตัวแทนของกระทรวงพลังงานในการสำรวจพื้นที่ต่างๆ รวมถึงสอบถามความต้องการของประชาชนในส่วนที่กระทรวงพลังงานจะสามารถเข้าไปให้ความช่วยเหลือและสนับสนุนให้ประชาชนมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้

ทั้งนี้ หลายวิสาหกิจชุมชนที่ได้รับการสนับสนุนเทคโนโลยีและความรู้จากพลังงานจังหวัด ทำให้ชาวบ้านสามารถแปรรูปอาหารและผลิตภัณฑ์ต่างๆ จนทำให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยการส่งเสริมเทคโนโลยีพลังงานทดแทนให้กับประชาชน จึงมีความสำคัญ และเป็นหน้าที่ที่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่กระทรวงพลังงาน โดยเฉพาะพลังงานจังหวัดต้องเข้าไปให้ความช่วยเหลือ 

ดังนั้น จึงต้องการให้พลังงานจังหวัดทุกจังหวัดช่วยกันสำรวจพื้นที่ ทำหน้าที่ใกล้ชิดประชาชน รวมถึงพื้นที่ที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ เพื่อให้ประชาชนได้มีไฟฟ้าใช้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และมีรายได้จากการใช้เทคโนโลยีพลังงาน 

‘รมว.พีระพันธุ์’ เดินหน้าให้ความรู้ด้าน ‘พลังงาน’ แก่คนไทย หนุนผลิต-ใช้ ‘พลังงานทดแทน’ ปักหมุด ‘ไทย’ สู่ศูนย์กลางเอเชีย

(23 ม.ค. 67) เพจเฟซบุ๊ก ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ United Thai Nation Party’ โพสต์ข้อความในหัวข้อ รมว.พลังงานลงพื้นที่ จ.ชุมพร เปิดกิจกรรม ‘คาราวานความสุข @ชุมพร’ หนุนชุมชนใช้พลังงานทดแทน โดยระบุว่า…

เมื่อวันที่ 22 มกราคม นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน ลงพื้นที่จังหวัดชุมพร เปิดงาน ‘กระทรวงพลังงาน คาราวานความสุข @ ชุมพร’ ตามนโยบายสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน เพื่อวางรากฐานให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางพลังงานในภูมิภาคเอเชีย และ สร้างเศรษฐกิจฐานรากให้มีความเข้มแข็งจากภาคพลังงาน โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้นำองค์กรเอกชน กลุ่มพลังมวลชน ร่วมพิธีกว่า 2,000 คน ณ ลานกิจกรรมเทศบาลเมืองชุมพร อำเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร 

นายพีระพันธุ์ ให้สัมภาษณ์ว่า กิจกรรมครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญ ‘พลังงานสร้างสุข ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ มั่นคง เป็นธรรม ยั่งยืน เพื่อคนไทยทุกคน’ เพื่อประชาสัมพันธ์ เกี่ยวกับนโยบายด้านการส่งเสริมสนับสนุนการผลิตและใช้พลังงานทดแทนและการอนุรักษ์พลังงาน สร้างความเข้าใจและเข้าถึงองค์ความรู้ด้านพลังงานทดแทนและการอนุรักษ์พลังงาน ไปยังกลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน ผู้ประกอบการอาคาร โรงงานและประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

ทั้งนี้ มีการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ด้านพลังงานและส่งเสริมผลิตภัณฑ์ด้านพลังงานและสินค้าชุมชนให้มีโอกาสพบผู้บริโภคได้โดยตรง รวมทั้งสร้างเครือข่ายระหว่างผู้ประกอบการและชุมชนต่าง ๆ ให้สามารถแลกเปลี่ยน ซื้อขาย ตลอดจนตกลงร่วมมือทางด้านพลังงานทดแทนและการอนุรักษ์พลังงาน เสริมสร้างและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคการผลิตและบริการสร้างความเชื่อมโยงของห่วงโซ่มูลค่าระหว่างภาคเกษตร อุตสาหกรรม บริการ และเพื่อเป็นกรณีตัวอย่างแก่ผู้ประกอบการและชุมชนอื่น ๆ ให้เกิดการขยายผลในวงกว้าง

‘ก.พลังงาน’ เล็งใช้สิทธิทางภาษีจูงใจ ‘ภาคเอกชน’ หันมาใช้เครื่องจักรคุณภาพสูง เพื่อลดการใช้พลังงาน

(23 ม.ค.67) นายชำนาญ กายประสิทธิ์ รองอธิบดีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดการสัมมนา ‘การส่งเสริมการผลิต การใช้และการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร วัสดุ และอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง ด้วยการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี’ ภายใต้โครงการพัฒนาและติดตามผล มาตรการทางภาษีเพื่อการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ว่า การดำเนินงานโครงการนั้นเป็นการศึกษาแนวทางการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี เพื่อส่งเสริมการลงทุนและการปรับมาใช้เครื่องจักร วัสดุ และอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพพลังงาน โดยใช้กลไกทางการเงินเพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจให้เกิดการลงทุนและการปรับเปลี่ยนมาใช้เครื่องจักร วัสดุ และอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพสูง ด้วยการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานของประเทศ

ด้าน นายสมชาติ ตั้งลิขสิทธิ์ ผู้อำนวยการกองส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน กล่าวว่า พพ. ได้ดำเนินการศึกษาโครงสร้างภาษี ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการพลังงานและสิ่งแวดล้อม รวมถึงรูปแบบสิทธิประโยชน์ทางภาษี เครื่องจักร อุปกรณ์และกิจกรรมที่ให้สิทธิประโยชน์ ผู้รับสิทธิประโยชน์ และอัตราภาษีที่ได้รับสิทธิประโยชน์ ที่ได้ดำเนินการในประเทศไทย และในต่างประเทศ

พร้อมกันนี้ ยังได้จัดประชุมหารือและรับฟังความคิดสำหรับ (ร่าง) แนวทางและหลักเกณฑ์การส่งเสริมการผลิตการใช้ และการปรับเปลี่ยนเครื่องจักร วัสดุ และอุปกรณ์ประสิทธิภาพสูงด้วยสิทธิประโยชน์ทางภาษี กับหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน

อย่างไรก็ดี ได้มีผลการศึกษาแนวทางในการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีที่เหมาะสมต่อประเทศไทย คือ รูปแบบการยกเว้นภาษีเงินได้ โดยหักเป็นค่าใช้จ่ายก่อนการคำนวณภาษี และสนับสนุนอุปกรณ์ที่ติดฉลากประหยัดพลังงานประสิทธิภาพสูง, อุปกรณ์ที่ติดฉลากแสดงระดับประสิทธิภาพพลังงาน เพื่อผลักดันให้มีการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงมากยิ่งขึ้น และยังช่วยลดการใช้พลังงานในภาพรวมของประเทศ ภายใต้เงื่อนไขอัตราภาษีที่จะนำไปคำนวณสิทธิประโยชน์ที่เหมาะสมนั้น จะต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ด้านพลังงานที่จะได้รับ

อย่างไรก็ตาม แนวทางที่ได้จากการศึกษาจำเป็นต้องมีการนำเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อพิจารณาก่อนดำเนินการต่อไป


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top