Friday, 9 May 2025
ECONBIZ NEWS

'บีโอไอ' เผย!! 'ฮุนได' ทุ่ม 1,000 ล้าน ปักธงไทย ปั้นฐานผลิต EV-แบตเตอรี่ พร้อมดึง 'กลุ่มธนบุรี' ร่วมพันธมิตร ดีเดย์!! เดินเครื่องต้นปี 2569

(7 ส.ค.67) นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า บีโอไอได้อนุมัติส่งเสริมการลงทุนโครงการของบริษัท ฮุนได โมบิลิตี้ แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตรถยนต์อันดับหนึ่งจากประเทศเกาหลีใต้ เพื่อผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV) และผลิตแบตเตอรี่โดยเริ่มจากขั้นตอนการประกอบโมดูล เพื่อป้อนให้กับสายการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย รวมมูลค่าเงินลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท โดยมีบริษัท ธนบุรีประกอบรถยนต์ จำกัด และบริษัท ธนบุรี เอ็นเนอร์ยี่ สตอเรจ แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด เป็นพันธมิตรสำคัญในการลงทุนครั้งนี้ ซึ่งบริษัทพร้อมจะเริ่มลงทุนทันที และตั้งเป้าจะเริ่มผลิตในช่วงต้นปี 2569 นอกจากนี้ บริษัทยังอยู่ระหว่างการพิจารณาแผนจัดหาชิ้นส่วนจากผู้ผลิตในประเทศไทย ซึ่งบีโอไอจะทำงานร่วมกับบริษัทอย่างใกล้ชิด เพื่อเชื่อมโยง Supply Chain ในประเทศให้ได้มากที่สุด

“เกาหลีใต้เป็นหนึ่งในผู้นำอุตสาหกรรมยานยนต์ของโลก และค่ายรถยนต์รายใหญ่อย่างฮุนได ก็ถือเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล การลงทุนสร้างฐานการผลิตรถยนต์ EV ของค่ายเกาหลีในครั้งนี้ สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของไทยและนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าของรัฐบาลไทย นอกจากนี้ ยังแสดงถึงทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ และความต้องการยานยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การลงทุนของฮุนไดในครั้งนี้จะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับไทยเพื่อมุ่งสู่ศูนย์กลางการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าทุกประเภทในระดับโลก และจะช่วยสร้างโอกาสให้กับผู้ผลิตชิ้นส่วนไทยในการเข้าสู่ Supply Chain ของอุตสาหกรรมระดับโลกด้วย” นายนฤตม์ กล่าว

ทั้งนี้ แนวโน้มตลาด EV ทั่วโลกยังเติบโตต่อเนื่อง จากข้อมูล Global EV Outlook 2024 โดย IEA พบว่าในไตรมาสแรกของปีนี้ ยอดขายรถยนต์ EV ทั่วโลก มีอัตราเติบโตร้อยละ 25 และคาดว่าสิ้นปี 2567 จะมียอดขายรถยนต์ EV รวมกันกว่า 17 ล้านคัน หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 20 ของยอดขายรถยนต์ทั่วโลก โดยปัจจุบันบีโอไอได้อนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนโครงการในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า ทั้งการผลิตยานยนต์ BEV ประเภทต่าง ๆ แบตเตอรี่และชิ้นส่วนสำคัญ รวมทั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้า รวมมูลค่าเงินลงทุนกว่า 80,000 ล้านบาท

'ไทยออยล์' เผย 3 บริษัทผู้รับเหมา ยังไม่ยอมจ่ายค่าจ้างให้แรงงาน จี้!! ควรเร่งรับผิดชอบ บรรเทาความเดือดร้อน ก่อนม็อบบานปลาย

(7 ส.ค. 67) บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ได้ออกแถลงการณ์ ระบุว่า…จากกรณีกลุ่มผู้ใช้แรงงานรวมตัวชุมนุมบริเวณริมถนนสุขุมวิท หน้าโรงกลั่นไทยออยล์ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 24 กรกฎาคม 2567 จนถึงปัจจุบัน เนื่องจากไม่ได้รับค่าจ้างจากผู้รับเหมาตามกำหนดนั้น 

โดยในช่วงสัปดาห์แรกของการชุมนุม กลุ่มผู้ใช้แรงงานที่ไม่ได้รับค่าจ้างจากนายจ้าง คือ บริษัท วัน เทิร์น เท็น จำกัด, บริษัท เอ็มโก้ แอลทีดี (ไทยแลนด์) จำกัด และบริษัท ไทยฟง เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด  ซึ่งนายจ้างทั้ง 3 บริษัท  เป็นผู้รับเหมาช่วงของ บริษัท ซิโนเพค เอ็นจิเนียริ่ง กรุ๊ป (ไทยแลนด์) จำกัด (Sinopec)

ต่อมา ในช่วงสัปดาห์ที่สอง มีกลุ่มผู้ใช้แรงงานที่ไม่ได้รับค่าจ้างจากนายจ้างซึ่งเป็นผู้รับเหมาช่วงรายอื่นเข้าร่วมการชุมนุมเพิ่มเติม คือ บริษัท หิมวันต์ การช่าง 2009 จำกัด ซึ่งเป็นผู้รับเหมาช่วงของบริษัท เอสทีพี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (STP) บริษัท ศิวกฤต คอนสตรัคชั่นแอนด์เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด, ห้างหุ้นส่วนจำกัด เคยูเอ็น ซัพพลาย คอนสตรัคชั่น และห้างหุ้นส่วนจำกัด ซี.วาย.กรุ๊ป ซึ่งทั้ง 3 บริษัท เป็นผู้รับเหมาช่วงของบริษัท เอสซีไอ สยาม โคเรีย อินดันเตรียล จำกัด (“SCI”) 

โดย Sinopec, STP และ SCI เป็นผู้รับเหมาช่วงของกิจการร่วมค้า Unincorporated Joint Venture (UJV) of Samsung E&A (Thailand) Co., Ltd. (ชื่อเดิม Samsung Engineering (Thailand) Co., Ltd.) (Samsung), Petrofac South East Asia Pte. Ltd. (Petrofac) และ Saipem Singapore Pte. Ltd. (Saipem) ซึ่งเป็นคู่สัญญาจ้างทำของในการก่อสร้างโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project: CFP) ให้กับบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (ไทยออยล์) 

ไทยออยล์ ขอชี้แจงว่า ไทยออยล์ ได้จ่ายค่าตอบแทนให้ UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem ซึ่งเป็นผู้รับเหมาหลักในการก่อสร้างโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project: CFP) ตามเงื่อนไขที่ระบุในสัญญาจ้างเหมาทำของ ออกแบบวิศวกรรม การจัดหา และการก่อสร้าง (EPC: Engineering, Procurement and Construction) อย่างครบถ้วนถูกต้องแล้ว แต่ UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem ไม่ได้ชำระค่าตอบแทนตามสัญญาให้  Sinopec, STP และ SCI ซึ่งเป็นผู้รับเหมาช่วงของ UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem ส่งผลให้ Sinopec, STP และ SCI ยังไม่ได้ชำระค่าตอบแทนตามสัญญาจ้างเหมาให้กับผู้รับเหมาช่วงของตน อันได้แก่ บริษัท วัน เทิร์น เท็น จำกัด, บริษัท เอ็มโก้ แอลทีดี (ไทยแลนด์) จำกัด, บริษัท ไทยฟง เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด, บริษัท หิมวันต์ การช่าง 2009 จำกัด, บริษัท ศิวกฤต คอนสตรัคชั่นแอนด์เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด, ห้างหุ้นส่วนจำกัด เคยูเอ็น ซัพพลาย คอนสตรัคชั่น และห้างหุ้นส่วนจำกัด ซี.วาย.กรุ๊ป  ดังนั้น การที่กลุ่มผู้ใช้แรงงานของผู้รับเหมาช่วงมารวมตัวชุมนุมที่หน้าโรงกลั่นไทยออยล์ จึงเป็นหน้าที่ของผู้รับเหมาช่วงและ UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem ที่จะต้องรับผิดชอบในการชำระค่าจ้างให้แก่กลุ่มผู้ใช้แรงงานตามกฎหมาย 

ไทยออยล์ยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาลสำหรับการดำเนินธุรกิจอย่างโปร่งใสกับผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มมาโดยตลอด ซึ่งรวมถึง UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem ไทยออยล์ตระหนักถึงความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นของกลุ่มผู้ใช้แรงงาน และได้ใช้ความพยายามอย่างเต็มที่ในการร่วมมือกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้รับผิดชอบเหตุการณ์ดังกล่าว ได้แก่ UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem และ Sinopec, STP รวมถึง SCI หาข้อตกลงร่วมกันและจ่ายค่าจ้างให้กับกลุ่มผู้ใช้แรงงานโดยเร็วที่สุด 

โดยตลอดระยะเวลา 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ไทยออยล์ได้ประสานให้มีการหารือร่วมกันระหว่างผู้แทนกลุ่มผู้ใช้แรงงาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ผู้แทนของนายจ้าง ผู้แทนของ Sinopec, STP และ SCI และผู้แทนของ UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem มาอย่างต่อเนื่อง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้กลุ่มผู้ใช้แรงงานกลับไปทำงานได้ตามปกติ  

อย่างไรก็ดี ไทยออยล์ได้ทราบว่า UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem ยังไม่ยอมรับที่จะลงนามข้อตกลงร่วมกับ Sinopec, STP และ SCI จึงทำให้ระยะเวลาและกระบวนการจ่ายค่าจ้างให้กับกลุ่มผู้ใช้แรงงานยังไม่มีความชัดเจนและยังคงล่าช้าต่อไป ทั้งนี้ ไทยออยล์ หวังว่า UJV - Samsung, Petrofac และ Saipem, Sinopec, STP และ SCI จะยืนยันที่จะรับผิดชอบในการจ่ายค่าจ้าง เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับกลุ่มผู้ใช้แรงงานโดยเร็วที่สุด

'รมว.ปุ้ย' อัดฉีดสินเชื่อสีเขียว 15,000 ล้านบาท ดอกเบี้ยต่ำ 3% ด้าน SME D Bank ขานรับนโยบาย ดันเอสเอ็มอีมุ่งสู่อุตฯ สีเขียว

(6 ส.ค.67) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวในการเป็นประธานเปิด 'โครงการสินเชื่อ SME Green Productivity ยกระดับเพิ่มผลิตภาพเอสเอ็มอีสู่อุตสาหกรรมสีเขียว' ว่า กระทรวงอุตสาหกรรม เร่งขับเคลื่อนนโยบายด้านการส่งเสริมการผลิตและการใช้พลังงานสะอาด พลังงานหมุนเวียนเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน สานต่อนโยบาย Carbon Neutrality เพื่อให้ประเทศไทยเป็นผู้นำของอาเซียนในด้านการลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ 

ทางกระทรวงฯ จึงมุ่งมั่นในการสนับสนุนให้ภาคอุตสาหกรรม และผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย ยกระดับเพิ่มผลิตภาพเพื่อเข้าสู่อุตสาหกรรมสีเขียว หรือ 'Green Industry' ซึ่งจะสร้างประโยชน์ช่วยให้ผู้ประกอบการมีศักยภาพการแข่งขันสูงขึ้น ลดต้นทุนธุรกิจ และสามารถปรับตัวเข้ากับกฎกติกาการค้าใหม่ระดับสากลได้ ควบคู่กับเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ใช้พลังงานสะอาด ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ธรรมชาติ ภาคอุตสาหกรรมอยู่คู่ชุมชน เกิดการสร้างงาน กระจายรายได้ นำไปสู่สังคมแห่งความสุข สร้างรากฐานแข็งแรงอย่างยั่งยืนให้แก่ประเทศไทย 

ทั้งนี้ การเปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่อุตสาหกรรมสีเขียว จำเป็นต้องใช้ความรู้ควบคู่เงินทุน เพื่อปรับเปลี่ยนระบบ อุปกรณ์ นวัตกรรม หรือเทคโนโลยี ทว่า ปัจจุบัน ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในระบบที่มีกว่า 3.2 ล้านราย มากกว่าครึ่งเข้าไม่ถึงแหล่งทุนจากสถาบันการเงินในระบบ จำเป็นที่รัฐบาลต้องมาช่วยสร้างโอกาสให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เข้าถึงแหล่งทุน ผ่านโครงการ 'สินเชื่อ SME Green Productivity' วงเงิน 15,000 ล้านบาท 

ทั้งนี้ รมว.อุตสาหกรรม ได้มอบหมายให้ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank ซึ่งเป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ เป็นหน่วยงานหลัก ทำงานร่วมกับพันธมิตรต่าง ๆ ภาครัฐและเอกชน สนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งทุนในโครงการดังกล่าว ซึ่งมีจุดเด่นเป็นสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ เพียง 3% ต่อปี คงที่ 3 ปีแรก วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาท ผ่อนชำระนานสูงสุดถึง 10 ปี แถมปลอดชำระหนี้เงินต้นสูงสุด 12 เดือนแรก อีกทั้ง ผ่อนปรนเงื่อนไขและหลักทรัพย์ค้ำประกัน ช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี มีเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ และมีระยะผ่อนชำระนานเพียงพอที่จะสามารถพัฒนายกระดับเปลี่ยนผ่านธุรกิจสู่อุตสาหกรรมสีเขียวได้อย่างราบรื่น

ตั้งเป้าจะสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งทุนและเพิ่มผลิตภาพได้กว่า 1,500 ราย อีกทั้ง สร้างประโยชน์ เกิดการจ้างงานกว่า 24,000 อัตรา สร้างเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 68,700 ล้านบาท อีกทั้ง ช่วยแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของภาคอุตสาหกรรม สนับสนุนการลดก๊าซเรือนกระจกในธุรกิจเอสเอ็มอีได้ประมาณ 345,000 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี

ด้าน นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ SME D Bank กล่าวว่า SME D Bank ขานรับนโยบายรัฐบาล ในการยกระดับเพิ่มผลิตภาพแก่เอสเอ็มอีให้เข้าสู่อุตสาหกรรมสีเขียว หรือ Green Industry ผ่านโครงการสินเชื่อ 'SME Green Productivity' โดยจะทำงานร่วมกับหน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน เบื้องต้น 11 แห่ง ได้แก่ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม, บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม, การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย, สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย, สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม, สถาบันยานยนต์, สถาบันเพิ่มผลผลิตแห่งชาติ และองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ในการส่งเสริมและสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าถึง 'การพัฒนา' เติมทักษะความรู้ควบคู่กับพาเข้าถึง 'แหล่งทุน' ดอกเบี้ยต่ำ นำไปพัฒนา ปรับเปลี่ยนระบบ อุปกรณ์ นวัตกรรม หรือเทคโนโลยี ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีมีผลิตภาพสูงขึ้น พร้อมก้าวสู่อุตสาหกรรมสีเขียว สร้างการเติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืนให้ประเทศไทย ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ตามนโยบายของรัฐบาล  

สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่สนใจ 'สินเชื่อ SME Green Productivity' แจ้งความประสงค์ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ณ สาขาของ SME D Bank ทั่วประเทศ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357

คิกออฟ!! 'ไฮโดรเจน' พลังงานทางเลือกใหม่ ภายใต้แนวคิดของ ‘พีระพันธุ์’ หลัง 'ซาอุฯ' ไฟเขียว ร่วมอุตฯ การผลิต ‘ไฮโดรเจน’ เชิงพาณิชย์ในไทย

ความเป็นจริงเกี่ยวกับเชื้อเพลิงพลังงานที่ใช้กันอยู่ในบ้านเราทุกวันนี้ เกือบทั้งหมดต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศ 

ด้วยเพราะทรัพยากรเชื้อเพลิงพลังงานที่มีอยู่เองในประเทศนั้น จะมีช่วงเวลาที่ค่อย ๆ หมดไป ๆ และไม่เพียงพอต่อการรองรับความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ที่มีแต่เร่งความต้องการเชื้อเพลิงพลังงานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ 

แต่ในขณะที่เชื้อเพลิงพลังงานที่ต้องนำเข้า ต้องซื้อจากประเทศอื่น ๆ มานั้น ก็ใช่ว่าประเทศที่ขายให้จะไม่ตระหนักถึงทรัพยากรตนที่พร้อมจะหมดไป หรือไม่เพียงพอใช้ในประเทศเช่นกัน

ดังนั้น สิ่งที่ตามมา จึงเป็นเรื่องของราคาเชื้อเพลิงพลังงาน ที่ผู้ซื้อจำใจต้องยึดราคาภายใต้กรอบของผู้ผลิตที่จะกำหนดได้เองเป็นส่วนใหญ่ 

พอภาพโดยรวมเป็นแบบนี้ ก็ทำให้หลายประเทศเริ่มหันมาจริงจังกับ 'พลังงานใหม่' ไม่ว่าจะเป็นพลังทดแทนหรือพลังงานทางเลือก ที่ต้องให้ความสำคัญ มีการคิดค้น และพัฒนาให้กลายมาเป็นพลังงานที่จะถูกนำมาใช้แทนพลังงานในปัจจุบัน หรือพลังงานฟอสซิลมากขึ้นเรื่อย ๆ

‘ไฮโดรเจน’ (Hydrogen, H2) ถือเป็นเชื้อเพลิงพลังงานที่ถูกจัดให้เป็นหนึ่งในพลังงานทางเลือกสำหรับอนาคต เนื่องจากเป็นพลังงานสะอาด เป็นธาตุที่เบาที่สุดและเป็นองค์ประกอบของน้ำ (H2O) 

ขณะเดียวกัน ยังเป็นธาตุที่รวมอยู่ในโมเลกุลของสารประกอบอื่น ๆ เช่น สารประกอบจําพวกไฮโดรคาร์บอน (HC) คุณสมบัติทั่วไปของ ‘ไฮโดรเจน’ คือ ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น ติดไฟง่าย ไม่เป็นพิษ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แถมยังไม่มีสารประกอบคาร์บอน ซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะเรือนกระจก 

นอกจากนี้ ‘ไฮโดรเจน’ ยังถูกนำมาใช้ในการทำปฏิกิริยาไฮโดรจีเนชั่น (Hydrogenation) ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น โรงกลั่นน้ำมันเพื่อลดค่ากำมะถันในน้ำมัน, อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์, อุตสาหกรรมอาหาร, อุตสาหกรรมกระจก, อุตสาหกรรมเคมี และอื่น ๆ อีกมากมาย เพื่อเพิ่มผลผลิต ลดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม ฯลฯ

ไม่เพียงเท่านี้ ‘ไฮโดรเจน’ ยังสามารถนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงในการเผาไหม้และให้ความร้อน โดยมีค่าพลังงานความร้อนต่อน้ำหนักสูงกว่าน้ำมันเบนซินประมาณ 3 เท่า หรือนำไปผลิตกระแสไฟฟ้าโดยป้อนเข้าเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell) 

ดังนั้น ไฮโดรเจน จึงถือเป็นแหล่งพลังงานเชื้อเพลิงที่สำคัญอย่างมากในอนาคต โดยหลายประเทศทั่วโลกได้มีการวิจัยและพัฒนาในเรื่องนี้อย่างแพร่หลาย เช่น สหรัฐอเมริกา, เยอรมนี, อังกฤษ, ญี่ปุ่น, ฯลฯ

ทั้งนี้ ‘ไฮโดรเจน’ สามารถผลิตได้จากวัตถุดิบหลัก 3 แหล่ง ได้แก่ (1) เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น แก๊สธรรมชาติ ถ่านหิน น้ำมันปิโตรเลียม (2) พลังงานหมุนเวียน เช่น ชีวมวล น้ำ และ (3) พลังงานนิวเคลียร์ 

ส่วน ‘ไฮโดรเจน’ สำหรับเป็นเชื้อเพลิงพลังงานสามารถจำแนกจากชนิดของแหล่งพลังงานและวิธีในการผลิตไฮโดรเจน โดยกำหนดเป็นสีต่าง ๆ ไว้ 4 สี ดังนี้...

(1) ไฮโดรเจนสีเทา (Grey Hydrogen) คือ ไฮโดรเจนที่ผลิตขึ้นโดยใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เช่น ก๊าซธรรมชาติหรือถ่านหิน ซึ่งไฮโดรเจนสีเทาคิดเป็นประมาณ ร้อยละ 95 ของไฮโดรเจนที่ผลิตได้ในปัจจุบัน โดยกระบวนการผลิตนี้จะมีการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) สู่ชั้นบรรยากาศ 

(2) ไฮโดรเจนสีน้ำเงิน (Blue Hydrogen) คล้ายกับไฮโดรเจนสีเทา ยกเว้นการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งส่วนใหญ่จะถูกกักเก็บไว้ในพื้นดิน ใช้การดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCS: Carbon Capture and Storage) โดยไฮโดรเจนสีน้ำเงินเป็นทางเลือกที่สะอาดกว่าไฮโดรเจนสีเทา แต่มีราคาแพงกว่าเนื่องจากต้องใช้เทคโนโลยีในการดักจับคาร์บอน 

(3) ไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen) คือ ไฮโดรเจนที่ผลิตขึ้นโดยใช้ไฟฟ้าจากแหล่งพลังงานสะอาด ซึ่งไฮโดรเจนสีเขียวถือเป็นไฮโดรเจนที่มีการปล่อยมลพิษต่ำหรือเป็นศูนย์ เนื่องจากใช้แหล่งพลังงานสะอาด เช่น ลมหรือแสงอาทิตย์ จ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับอิเล็กโทรไลซิสในกระบวนการแยกน้ำ (H2O) เป็นไฮโดรเจน (H2) และออกซิเจน (O2) 

(4) ไฮโดรเจนสีอื่น ๆ ในอุตสาหกรรมพลังงาน อาจใช้สีอื่น ๆ เพื่อแยกความแตกต่างระหว่างชนิดของไฮโดรเจน แม้ว่าสีเทา, สีฟ้า และสีเขียวเป็นสีทั่วไป แต่มีสีดำ, สีน้ำตาล, สีแดง, สีชมพู, สีเหลือง, สีเขียวขุ่น และสีขาว เป็นสีสำหรับ Molecular Hydrogen (H2) ที่ผลิตจากแหล่งพลังงานและกระบวนการผลิตอื่น ตัวอย่างเช่น ไฮโดรเจนสีดำและสีน้ำตาลเป็นไฮโดรเจนสีเทาที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น โดยไฮโดรเจนสีดำคือ การใช้ถ่านหินบิทูมินัส ส่วนไฮโดรเจนสีน้ำตาลคือ การใช้ถ่านหินลิกไนต์ ผ่านกระบวนการ Gasification process เพื่อการผลิต ‘ไฮโดรเจน’ 

จากปัจจัยต่าง ๆ ที่ได้กล่าวมานั้น จึงทำให้ ‘ไฮโดรเจน’ เป็นหนึ่งในพลังงานใหม่ที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง 

สำหรับประเทศไทย ได้มีการใช้ ‘ไฮโดรเจน’ เป็นพลังงานในการผลิตกระแสไฟฟ้า โดยพลังงานจาก ‘ไฮโดรเจน’ จะทำหน้าที่สนับสนุนการผลิตกระแสไฟฟ้าพลังงานลม เพื่อเพิ่มความเสถียรในการผลิตกระแสไฟฟ้า และได้มีการนำร่องทดลองใช้เชื้อเพลิง ‘ไฮโดรเจน’ รถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell Electric Vehicle : FCEV) โดยใช้รถยนต์พลังงานไฮโดรเจนรับส่งนักท่องเที่ยวและผู้ที่สนใจในพื้นที่พัทยา - ชลบุรี และพื้นที่ใกล้เคียง 

นอกจากนี้ ยังมีการติดตั้งสถานีต้นแบบเติม ‘ไฮโดรเจน’ สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิงแห่งแรกของประเทศไทย (Hydrogen Station) ที่ อำเภอบางละมุง ชลบุรี อีกด้วย

แม้ว่าขณะนี้ ‘ไฮโดรเจน’ ยังไม่ใช่พลังงานทดแทนหลักที่ได้รับความนิยม แต่พลังงานจาก ‘ไฮโดรเจน’ ก็ยังมีการคิดค้นในเชิงนวัตกรรม เพื่อให้เป็นพลังงานสะอาดมากขึ้นเรื่อย ๆ พอที่จะนำมาแก้ไขปัญหาการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ลดการปลดปล่อยมลพิษ ช่วยพาสังคมมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emissions) เพื่อขจัดต้นตอของปัญหาโลกร้อนให้สำเร็จได้อย่างแท้จริงเสียที

อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยในวันนี้ ก็ไม่ได้นิ่งเฉยกับสุดยอดพลังงานทางเลือกนี้ และยังดูจะเอาจริงเอาจังกับการผลิต ‘ไฮโดรเจน’ เพื่อเป็นเชื้อเพลิงพลังงานหลักให้ประเทศอีกด้วย เพราะนี่คือหนึ่งในวิสัยทัศน์ด้านเชื้อเพลิงพลังงานของ ‘นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค’ รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน ที่ต้องการให้ไทยผลิต ‘ไฮโดรเจน’ ได้เองภายในประเทศ 

เหตุผลเพื่อนำมาเป็นเชื้อเพลิงพลังงานในการผลิตกระแสไฟฟ้าแทนที่ ‘LNG’ ที่ปัจจุบันต้องนำเข้าจากต่างประเทศด้วยราคาที่ไม่มีความแน่นอน และมีความเสี่ยงต่อการขาดแคลน จนส่งผลกระทบต่อต่อค่า ‘Ft’ ทำให้ราคาค่าไฟฟ้าในบ้านเรามีราคาแพง และสำหรับเป็นเชื้อเพลิงพลังงานในภาคการขนส่งแทนที่ ‘CNG’ ซึ่งกำลังการผลิตจากแหล่งผลิตในอ่าวไทยและนำเข้าจากเมียนมามีปริมาณที่ลดลงเรื่อย ๆ 

โดย ‘พีระพันธุ์’ ได้มอบนโยบายนี้ให้ ‘บมจ.ปตท.’ ผู้ประกอบการด้านพลังงานรายใหญ่ที่สุดของไทยได้ทำการศึกษาและขับเคลื่อน ซึ่งทาง ‘บมจ.ปตท.’ เอง ก็ได้เริ่มศึกษาความเป็นไปได้ในโครงการผลิตไฮโดรเจนสีเขียวแล้ว โดยร่วมกับ ‘บริษัท แอควา พาวเวอร์ จำกัด’ ประเทศซาอุดีอาระเบีย และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) 

สำหรับความคืบหน้าของเรื่องนี้ เกิดขึ้นจากการที่ ‘พีระพันธุ์’ ได้นำเรื่องของการผลิต ‘ไฮโดรเจน’ เชิงพาณิชย์ เพื่อเป็นเชื้อเพลิงพลังงานไปเจรจาหารือกับรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย ระหว่างการเยือนราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย เมื่อ วันที่ 15-17 กรกฎาคม ที่ผ่านมา และเพื่อเป็นการขยายผลต่อยอดโครงการฯ ดังกล่าว ทางรัฐบาลซาอุดีอาระเบียก็ได้ตอบรับและแสดงความสนใจที่จะลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิต ‘ไฮโดรเจน’ เชิงพาณิชย์เพื่อเป็นเชื้อเพลิงพลังงานในประเทศไทยแล้ว 

โดยการร่วมมือนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงการวิสัยทัศน์ซาอุดีฯ 2030 (Saudi Vision 2030) จากรัฐบาลซาอุดีอาระเบีย เพื่อที่จะลดการพึ่งพารายได้จากการขายน้ำมันเชื้อเพลิงเพียงอย่างเดียวของประเทศ และเพิ่มช่องทางการหารายได้ทางเศรษฐกิจของซาอุดีอาระเบียให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น 

นี่จึงถือเป็นนิมิตหมายที่ดี ที่ภาคการผลิตกระแสไฟฟ้าและการคมนาคมขนส่งของประเทศไทย จะมีโอกาสและทางเลือกในการใช้เชื้อเพลิงพลังงานที่สามารถผลิตได้ในประเทศ เพิ่มขีดความสามารถในการพึ่งพาตนเองด้านพลังงาน ทำให้ความมั่นคงทางพลังของไทยมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น และเป็นประโยชน์อย่างมากมายมหาศาลแก่พี่น้องประชาชนคนไทยโดยรวมทั้งหมดทั้งมวลต่อไป

ฟังบอสใหญ่ 'WHA' เปิดอีกมุมเจ็บจาก Startup ไทย ไปไม่รอด เพราะฝันล้น พยายามต่ำ นำเงินไปใช้ผิดๆ

เรียกได้ว่าเป็นประเด็นร้อนไม่น้อย หลังจาก 'คุณจูน จรีพร จารุกรสกุล' ประธานกรรมการบริหารของ บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA ที่ได้ให้สัมภาษณ์ช่องยูทูบ ‘BT beartai’ เมื่อวันที่ 31 ก.ค.67 โดยหนึ่งในเรื่องที่ให้สัมภาษณ์เป็นประสบการณ์เจ็บ ๆ เมื่อได้ร่วมลงทุนใน Startup ไทย ซึ่งมีเนื้อหาที่ดุเดือด ดังนี้…

พี่มักพูดเสมอว่า สมัยที่ทําธุรกิจตั้งแต่แรกเริ่ม ต้องหาทุนจากการกู้แบงก์ เพราะไม่มีทุนสนับสนุนใด

แบบปัจจุบัน โดยตัวแปรสำคัญที่ช่วยทำให้ธุรกิจเบ่งบานได้เช่นทุกวันนี้ ก็คือ เครดิต 

ถามว่าเครดิตเกิดจากอะไร?

เครดิตไม่ได้เกิดจากมีนามสกุลใหญ่โต ไม่ได้เกิดจากการที่มีเงินมากมาย แต่มันเกิดจากคําพูดของเรา หรือก็คือ เราต้องไม่ผิดคําพูดกับใครแม้แต่คําเดียว

อย่างการทำธุรกิจ ถ้าหากจะต้องพึ่งเงินทุนจากแบงก์ หรือต้องไปกู้เงิน เราต้องมีเครดิต เราต้องมีสินทรัพย์ค้ำ มีผลประกอบการ มีผลกำไรค้ำ แบงก์ถึงจะยอมให้กู้ พี่จึงต้องทําทุกอย่างด้วยความระมัดระวังทั้งหมดเลย หรือแม้แต่การใช้เงินทุกอย่างอย่างก็ต้องใช้อย่างมีคุณค่า เพื่อให้เครดิตตรงนี้เกิดขึ้น เหนื่อยมาก พยายามมาก และใช้เวลานานมาก

ดังนั้นภาพที่ว่ามาเหล่านี้ จึงแตกต่างกับการดำเนินธุรกิจแบบ Startup ในปัจจุบัน ซึ่งมีโอกาสได้เงินทุนจากนักลงทุนที่แค่เห็นโอกาส ภายใต้ภาพโมเดลธุรกิจในอนาคตที่ฉายออกมาให้เห็นถึงกําไร และความสำเร็จ เพียงแต่ก็ต้องไม่คิดว่านักลงทุนเหล่านี้ คือ มูลนิธิ

เพราะอันที่จริงบริษัทใหญ่ ๆ เฉกเช่นเดียวกันกับ WHA นั้น ล้วนสามารถทำ Startup เองได้ทั้งสิ้น แต่เหตุผลที่ไม่ทำเพราะเราอยากให้โอกาสธุรกิจที่เกิดจากไอเดียของคนรุ่นใหม่จริง ๆ ได้ฉายแสง เพราะพวกเขาจะเป็นอนาคตของประเทศต่อไป

นั่นคือ ความตั้งใจจากผู้ใหญ่ที่มีแต่โรยรา แต่ประเด็นคือ เมื่อสิ่งที่เราลงทุนไป และได้กลับมา มันสวนทาง ก็คงไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องนัก เช่น กรณีหนึ่งที่เราสนับสนุน คือ ได้เงินพี่ไปแล้ว และพี่ดันไปเห็นในเฟซบุ๊ก เขาไปเที่ยวต่างประเทศ ไปซื้อรถสปอร์ต โดยที่เราแทบไม่เห็นมุมการทำงานผ่านโลกโซเชียลเหล่านั้น ทำให้เราผิดหวังมาก

ตรงนี้มันจึงย้อนกลับมาเรื่องเครดิต การที่คุณได้เงินไป เพราะเราเชื่อใจคุณ เชื่อว่าคุณจะสร้างผลประกอบการ สร้างกําไรในอนาคต เพราะว่ากันตามตรง จะเงินกู้ หรือเงินทุนที่ได้รับนั้น ผู้ให้ย่อมคาดหวัง ซึ่งอาจจะไม่ใช่หวังเงินที่ให้ไปคืน แต่หวังที่จะเห็นความตั้งใจของ Startup นั้น ๆ ก้าวไปสู่ความสำเร็จ

ทั้งนี้ คุณจูนเล่าด้วยว่า ตนได้มีการให้ทุนไป 60 ล้านบาท ใน Startup 5 รายที่มีความเกี่ยวเนื่องในการต่อยอดธุรกิจของ WHA ได้ แต่สุดท้ายผลลัพธ์ที่ลงเงินไป อาจจะดูผิดหวังพอสมควร เนื่องจากบางรายตอนมาขอทุน มาพร้อมคำมั่นสัญญามากมาย แต่สุดท้าย บางรายพอทำไม่สำเร็จ ก็ถอนตัว แถมบางรายก่อนถอนตัวก็มีการขอระดมทุนอีก บางรายตั้งทีมงานเพื่อมาทำงานแทนตน ทั้ง ๆ ที่หากต้องการได้ทีมหรือได้คำปรึกษา ขอจากตนได้ทันที นั่นจึงให้คุณจูนอดเกิดคำถามไม่ได้ว่า ได้ทุนไป สุดท้ายทำตัวลอย ๆ ทั้ง ๆ ที่ผู้ให้ทุนเชื่อใจ แบบนั้นเท่ากับอะไร หรือบางคนทำแล้วไม่มีความอดทนจะต่อยอดมันต่อไป แบบนั้นหมายถึงอะไร

คุณต้องเข้าใจถ้าคุณคิดจะโต คุณต้องมองภาพธุรกิจให้ได้ว่ามันคืออะไร มันต้องสู้ มันต้องอึด มันต้องอดทน ใคร ๆ ก็อยากรวยใช่ไหม แต่จะถึงจุดนั้นมีกี่คน มันไม่ได้ฟลุ้ก ตอนพี่เริ่มธุรกิจก็ต้องลงแรงอย่างมากเป็นหลายสิบปี ทำงานแบบที่เรียกว่า มุทะลุ เลยก็ว่าได้ จึงไม่แปลกที่ตรงนี้จะเป็นความรู้สึกผิดหวังในมุมผู้ลงทุน ที่เห็นผู้รับทุนไม่มีความผิดชอบเงินในเงินของพี่ 

อย่างไรก็ตาม คุณจูนก็ยังคงให้โอกาสกับ Startup ทุกคน แม้จะเกิดความรู้สึกที่ย่ำแย่ไปบ้าง แต่ก็ยังให้คำปรึกษา และชี้มุมมองที่ถูกต้องแก่ Startup ที่รับทุน ซึ่งใครที่รับไม่ได้ ก็จำใจต้องปล่อยมือ ส่วนบางรายที่เข้าใจ ก็ขอบคุณในการเตือนสติด้วยความเต็มใจ และกลับลำสร้างเครดิต สร้างความเชื่อมั่นผ่านการทำงานให้โมเดล Startup นั้น ๆ เดินหน้าต่อไป

>> เมื่อถามถึงนิยามของ Satrtup หรือผู้ที่จะการมาขอเงินลงทุนจาก WHA นั้น จะต้องไม่ขาดทุนเลยใช่หรือไม่? คุณจูน เผยว่า...

ขาดทุนได้ พี่ไม่ได้บอกว่าพี่ลงทุนพี่ต้องได้ผลกําไรเสมอ แต่พี่ต้องดูสิ่งที่คุณทํา ว่าเป็นการทำที่สุดความสามารถแค่ไหน ทำอย่างมีสติไหม ไม่ใช่ได้เงินไปแล้ว ก็ไปเพิ่มคนนู่นนี่ เอามานั่งทำงานแทนตัวเอง แล้วสุดท้ายอีกภายในไม่กี่เดือนคุณต้องลดคน เพราะไม่ได้ตอบโจทย์ธุรกิจ เงินทุนเริ่มหาย ซึ่งพี่ก็งงกับการทํางานแบบนี้ ว่ามันคืออะไร 

เพราะอย่างที่บอก พี่ดูที่ประสิทธิภาพของธุรกิจ พี่กล้าลงทุนโดยมองกำไรเป็นเรื่องหลัง แล้วถ้าตั้งใจมุ่งมั่นทำ แต่ติดขัด เราก็พร้อมเข้าไปช่วยด้วยความเต็มใจ

>> เมื่อถามถึง Startup ไทยมักจะมองภาพความสำเร็จของอเมริกาโมเดล โดยเฉพาะเรื่องของการได้เงินทุนที่ง่ายดาย? คุณจูน มองว่า...

บางทีเรามองภาพความสําเร็จของอเมริกา ประเภทได้เงินทุนแล้วสามารถเบิร์นทิ้งได้ ทำแคมเปญ แจกนั่นนี่ ฟรีนั่นโน่น แต่สําหรับตลาดประเทศไทย

เมื่อหลายปีก่อนพี่ไปซิลิคอนวัลเลย์ ก็เห็นเด็กหนุ่ม ๆ Startup รุ่นใหม่ ๆ เขียน White Paper มาแผ่นหนึ่งแล้วก็ไปขอเงินทุนหลักร้อยล้าน แล้วก็ให้กันได้ง่าย ๆ ด้วย แม้บางรายจะไม่ได้สร้างโอกาสที่ดีเลยก็ตาม แต่คำถามคือ ระบบนิเวศของไทยเต็มไปด้วย Deep Technology หรือเต็มไปด้วยความคิดเชิงนวัตกรรมและสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ขนาดเขาหรือไม่?

แน่นอน!! ผู้ใหญ่ทุกคน อยากจะให้โอกาสอยู่แล้ว แต่ประเทศไทยเรามีคนแบบนี้มากน้อยเพียงใด ซึ่งกลับกันกับที่นั่น มันคือความไว้ใจที่คนของเขา สภาพแวดล้อมของเขา สร้างขึ้นมาไว้มากมาย จนเกิดเป็นความเชื่อใจ แต่ไทยเราไม่ได้เป็นแบบนั้น

>> เมื่อถามถึงแนวทางในการ Set up มุมคิดที่ควรจะเป็นแก่ Startup ไทยต่อจากนี้? คุณจูน เผยว่า... 

วงการ Startup ต้องมองเงินลงทุนของนักลงทุนเป็นภารกิจในการที่จะทําให้ธุรกิจของคุณเข้าใกล้ความสําเร็จ ไม่ใช่มองเป็นเงินรางวัล และพยายามอย่าไปมองชัยชนะของคนที่นำเสนองานบนเวทีต่าง ๆ มาเป็นต้นแบบจนเกินไป เพราะชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่า Start และต้อง Up คุณต้องมองไปให้ไกลถึงตอนที่ลงสนามจริง ว่ามันจะมีความยากแค่ไหน อย่าขายไอเดียแล้วสุดท้ายเมื่อถึงเวลากลับปฏิบัติไม่ได้

คุณจูน เสริมอีกว่า เอาจริง ๆ พี่เป็นคนเชื่อมั่นในตัวเด็ก ๆ นะ แล้วพี่ก็เป็นคนเชื่อมั่นในเด็กไทย แล้วพี่เป็นคนเชื่อมั่นในคนไทย พี่เชื่อมั่นว่าคนเราสามารถคว้าทุกโอกาสที่มาถึงเราได้ อย่างพี่เองก็เติบโตจากที่ไม่มีอะไร แต่พี่มีความฝันอันยิ่งใหญ่ของพี่ที่ต้องการสร้างธุรกิจตามความฝัน เพียงแต่ความฝันของพี่อยู่บนความเป็นจริง ไม่ใช่ไปนั่งดูหนังไทยแล้วเจอเจ้าชายได้แต่งงานแล้วก็เลยรวยคือพี่ไม่เพ้อฝัน

ฉะนั้น สิ่งที่อยากฝากสำหรับคนที่ต้องการลุย Startup จริง ๆ คือ คุณต้องวางแผนชีวิตของคุณ บนพื้นฐาน 3 สิ่ง...

สิ่งแรก ต้องรู้ตัวคุณเองให้ได้ก่อนรู้ว่าคุณมีความสามารถกับอะไรและมากขนาดไหน

สิ่งที่สอง คุณมีความชอบอะไร เพราะพี่ขอบอกเลยว่า คนเราต้องทํางานด้วยความสุข ด้วยความรัก หากคุณทํางานทั้งวันแล้วคุณทุกข์กับมัน จะทําไปทำไม 

สุดท้าย เติมจุดอ่อนจากความสามารถและความชอบที่คุณมี หากมันยังไม่ดีพอ ก็เติมมัน เรียนรู้มัน ไม่รู้ก็ถาม ไม่รู้ก็ฝึก ยุคนี้ความรู้เข้าถึงง่ายมากกว่ายุคพี่ ข้อมูลทั่วโลกถูกเชื่อมมาอยู่ในมือเราแค่ค้นหา

'ภูมิธรรม' เลื่อนแถลงร้านค้า 'ดิจิทัลวอลเล็ต' หวังลดซ้ำซ้อนลงทะเบียน ปชช. พร้อมเปิดทาง 'ธงฟ้าของถูกทั่วไทย ลดค่าเช่าแผงค้า' เดินหน้าก่อน

(4 ส.ค. 67) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า จะมีการเลื่อนแถลงข่าว ‘ร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการดิจิทัลวอลเล็ต’ ที่กำหนดไว้วันที่ 5 สิงหาคม 2567 ที่กระทรวงพาณิชย์ ออกไปเป็นเดือนกันยายน เพราะไม่ต้องการให้ซ้ำซ้อนกับการลงทะเบียนดิจิทัลวอลเล็ตของประชาชน อยากให้ผ่านขั้นตอนนี้ไปก่อน

สำหรับกระทรวงพาณิชย์ ได้เตรียมความพร้อมเรื่องร้านค้าที่จะเข้าร่วมโครงการดิจิทัลวอลเล็ตไว้แล้ว โดยนายภูมิธรรม ย้ำว่า เบื้องต้นมีร้านธงฟ้าในเครือข่ายกว่า 1.44 แสนร้านค้าที่จะเข้าร่วม

และ ในสัปดาห์นี้ จะเริ่มโครงการลดภาระและต้นทุนผู้ประกอบการ โดยเฉพาะค่าเช่าพื้นที่ ซึ่งได้ประสานหน่วยงานต่างๆ ให้ช่วยลดค่าเช่าพื้นที่หรือให้พื้นที่ขายของโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายอย่างน้อย 3 เดือน ระหว่างเดือนสิงหาคม-ตุลาคมนี้
โดยกระทรวงพาณิชย์ ประเดิมยกเว้นเก็บค่าใช้พื้นที่ขายของรายเดือน แบ่งเป็น ร้านจำหน่ายในศูนย์อาหารสวัสดิการ 43 ร้านค้า และ แผงค้าในตลาดนัดที่จัดทุกวันอังคาร พฤหัสบดี และศุกร์ จำนวน 993 แผง

‘ภูมิธรรม’ ยิ้มปลื้ม ลำไยราคาพุ่ง หลังภาครัฐช่วยหาตลาดให้ ‘เกษตรกร’ เร่งประสาน ‘กลาโหม-แรงงาน-มหาดไทย’ แก้ไขปัญหา ขาดแคลนแรงงาน

(4 ส.ค. 67) นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยภายหลังนำคณะลงพื้นจังหวัดลำพูน ที่ บริษัท แพลททินัม ฟรุ๊ต จำกัด ต.น้ำดิบ อ.ป่าซาง จ.ลำพูน ช่วงเย็นวานนี้ (3 ส.ค.67) เพื่อติดตามการรับซื้อลำไยสดช่อ และพบปะเกษตรกรผู้ปลูกลำไย ซึ่งบริษัทรับซื้อลำไยสดจากชาวสวนในพื้นที่ มาคัดแยกเกรดและนำเข้าห้องรมเพื่อยืดอายุผลผลิตก่อนส่งไปยังปลายทางในตลาดสำคัญอย่างจีนและอินเดีย

นายภูมิธรรม ระบุว่า มาที่นี่วันนี้ ‘ใจพองโต’ เพราะราคาลำไยแพง เกษตรกรพอใจ ซึ่งก่อนหน้านี้ท่านนายกฯได้ รับปากเกษตรกรในการดูแลราคาลำไย และสั่งการให้กระทรวงพาณิชย์ดูแลอย่างใกล้ชิด ไม่ปล่อยให้ราคาขึ้นลงไปตามธรรมชาติ ปัจจัยที่ทำให้ราคาลำไยราคาขึ้นสูง ปัจจัยแรกเพราะผู้ผลิต เกษตรกรทุ่มเทเอาใจใส่ในการปลูก ทำลำไยคุณภาพ ปัจจัยที่สองภาครัฐช่วยกันบริหารจัดการ หาตลาดให้กับเกษตรกร และคนกลางก็ช่วยกันรับซื้ออย่างครบวงจร

“ผมได้ให้นโยบายกระทรวงพาณิชย์ยึดหลักสมดุลไม่มีใครได้อยู่คนเดียว ต้องพึ่งพาร่วมมือกัน รัฐอำนวยความสะดวก ในการลงพื้นที่ผู้ประกอบการแจ้งกับผมว่าประสบปัญหาขาดแคลนแรงงาน จึงได้ประสานกับหลายภาคส่วนในการเร่งแก้ไขปัญหา ทั้งกระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กระทรวงกลาโหม ผู้บังคับการตำรวจภูธร ขอให้ทุกภาคส่วนช่วยกันคลี่คลายปัญหา รัฐบาลพร้อมช่วยกันทำงานดูแลราคาพืชผลโดยใช้ทุกกลไกเป้าหมาย เพื่อให้ผลผลิตเกษตรกรมีราคาดีและมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น” นายภูมิธรรม กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายในงานมีนายวัฒนศักย์ เสือเอี่ยม อธิบดีกรมการค้าภายใน นายณธกฤษ เอี่ยมสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท แพลททินัม ฟรุ๊ต จำกัด ผู้แทนหน่วยงานภาครัฐและเกษตรกรชาวสวนลำไยในพื้นที่เข้าร่วมด้วย ข้อมูลจากกรมการค้าภายในระบุว่า สำหรับปริมาณผลผลิตลำไยทั้งประเทศในปี 2567 คาดการณ์ว่าจะมีปริมาณอยู่ที่ 1,438,137 ตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2566 2% แหล่งผลิตสำคัญอยู่ที่ภาคเหนือ คาดการณ์ปริมาณผลผลิตที่ 994,953 ตัน คิดเป็น 69% ของปริมาณผลผลิตทั้งหมด โดยช่วงเดือน ม.ค.-มิ.ย.2567 ที่ผ่านมา ไทยส่งออกลำไยสดรวม 165,231 ตัน เพิ่มขึ้นจากปี 2566 ในช่วงเดือนเดียวกัน 23% ตลาดสำคัญ ได้แก่ จีน อินโดนีเซีย เวียดนาม และอินเดีย กระทรวงพาณิชย์ได้ออก 5 มาตรการในการบริหารจัดการลำไย ปี 2567 จำนวนกว่า 91,609 ตัน ในการร่วมมือทุกภาคส่วนกระจายและดูดซับผลผลิต ขณะนี้ ลำไยช่อเกรด AA ราคาเฉลี่ย 38-43 บาท/กก. ราคาสูงกว่าปีก่อนหน้า 25% ลำไยช่อ เกรด A ราคาเฉลี่ย 33-38 บาท/กก. ราคาสูงกว่าปีก่อนหน้า 29% ลำไยรูดร่วง เกรด AA ราคาเฉลี่ย 32-35 บาท/กก. ราคาสูงกว่าปีก่อนหน้า 43% และลำไยรูดร่วง เกรด A ราคาเฉลี่ย 17-18 บาท/กก. ราคาสูงกว่าปีก่อนหน้า 13%

'อ.พงษ์ภาณุ' มอง!! โอลิมปิก 2024 สะท้อนความน่าผิดหวังวงการกีฬาไทย แม้มีงบหนุนร่วม 4 พันล้านต่อปี แต่ผลงานไม่เคยดีกว่าปี 2004 อีกเลย

(4 ส.ค.67) ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้พูดคุยกับ อ.พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตปลัดกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง และผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ระดับประเทศ ในประเด็น 'โอลิมปิก 2024 กับการพัฒนากีฬาไทย' โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้...

โอลิมปิก 2024 ผ่านมาแล้วครึ่งทาง แต่ทัพนักกีฬาไทยยังไม่ได้เหรียญรางวัลใด ๆ แม้แต่เหรียญเดียว

กีฬาโอลิมปิกเป็นกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมวลมนุษยชาติ นักกีฬาชั้นยอดกว่า 10,000 คนจากกว่า 200 ประเทศ ซึ่งผ่านรอบคัดเลือก (Qualified) มาอย่างโชกโชน มาร่วมประชันความแข็งแกร่ง ความเร็ว และความสูงกันในระยะเวลา 2 สัปดาห์ ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยมีคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (International Olympic Committee-IOC) และคณะกรรมการโอลิมปิกประเทศเจ้าภาพเป็นผู้ดำเนินการ

ในช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมา วงการกีฬาโลกได้มีวิวัฒนาการไปอย่างมากตามการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม เทคโนโลยีได้ทำให้แฟนกีฬาทั่วโลกไม่ต่ำกว่า 3 พันล้านคน สามารถรับชมและติดตามการแข่งขันกีฬาทุกชนิดในโอลิมปิกครั้งนี้ได้อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะธุรกิจ Online Streaming ได้ทำให้รูปแบบการรับชมกีฬาเปลี่ยนไปจากเดิม ซึ่งเน้นการถ่ายทอดทางโทรทัศน์และ Cable TV มาเป็นการติดตามชมทาง Platform ต่างๆ จนทำให้การกีฬากลายเป็นธุรกิจข้ามพรมแดนที่มีมูลค่ามหาศาล และนี่ยังไม่รวมค่าสิทธิประโยชน์ (Sponsorship) อีกจำนวนมากมายจากสปอนเซอร์รายใหญ่อย่างเช่น CocaCola และ LVMH ซึ่งน่าจะทำให้ผู้จัดโอลิมปิกครั้งนี้ ไม่ขาดทุนเหมือนหลายครั้งที่ผ่านมา แม้จะมีต้นทุนค่าใช้จ่ายสูงมาก

สำหรับประเทศไทยคงเป็นประเทศเดียวที่สามารถใช้เงินรัฐจัดให้คนไทยได้ชมทางโทรทัศน์ แต่ก็น่าจะถึงเวลาต้องทบทวนแล้วว่า การถ่ายทอดสดผ่านฟรีทีวีในระบบ Must Have ของ กสทช. ยังคุ้มค่าอยู่หรือไม่ เพราะต้องใช้เงินผู้เสียภาษีอากรจำนวนมหาศาล ไปซื้อสิทธิการถ่ายทอดสดมาให้คนไทยได้ดูกัน ขณะที่วันนี้ผู้ชมกีฬารุ่นใหม่ต่างติดตามกีฬาที่ตนชอบผ่านสื่อออนไลน์เป็นส่วนใหญ่ และคงไว้เพียงผู้ชมสูงอายุรุ่นเก่าที่ยังคงดูโทรทัศน์หรือ Cable TV

ในด้านผลงานของนักกีฬาไทย แม้จะมีความหวังในเหรียญอยู่ แต่ต้องยอมรับว่า น่าผิดหวัง เราเคยได้เหรียญรางวัลถึง 8 เหรียญ ในโอลิมปิกเอเธนส์ เมื่อปี 2004 แต่หลังจากนั้นจำนวนเหรียญรางวัลที่ได้ก็ลดลงมาโดยตลอด ทั้งๆ ที่ภาครัฐได้ให้การสนับสนุนการกีฬาอย่างเต็มที่ผ่านกองทุนพัฒนากีฬาแห่งชาติ ปีละไม่ต่ำกว่า 4 พันล้านบาท ซึ่งต้องถือว่าเป็นงบประมาณสนับสนุนนักกีฬาจำนวนมากที่สุดประเทศหนึ่งเลยทีเดียว 

คงจะถึงเวลาต้องทบทวนว่าการใช้จ่ายเงินภาษีอากรจำนวนมหาศาลผ่านสมาคมกีฬาต่างๆ มีประสิทธิภาพและความคุ้มค่าหรือไม่ และมีความเป็นไปได้ที่จะให้ภาคธุรกิจเอกชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาการกีฬามากขึ้น

กีฬาไทยยังมีโอกาสพัฒนาอีกมาก โอลิมปิก ปารีส 2024 น่าจะเป็นบทเรียนที่มีค่า ถึงเวลาแล้วที่จะต้องปฏิรูปวงการกีฬาไทยอย่างจริงจัง

‘เศรษฐา’ สั่ง ‘ดีอี-ตำรวจ-สรรพากร’ ตรวจสอบแพลตฟอร์มจากจีน ย้ำ!! ต้องยึดกฎหมายเป็นหลัก มาทำการค้าบ้านเรา ก็ต้องเสียภาษีให้เรา

(3 ส.ค.67) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังลงพื้นที่จ.นราธิวาส ถึงกรณีแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ Temu ของจีนเข้ามาตีตลาดไทย รวมถึงตลาดอื่นทั่วโลก จึงกังวลว่าเงินจะถูกส่งกลับจีน โดยไม่ได้มีการจ่ายภาษีให้กับประเทศไทยว่า ก็ต้องมีการตรวจสอบและได้มีการกำชับไปที่กรมสรรพากร และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม(ดีอี)แล้ว เพราะตอนนี้ปัญหาเหล่านี้เป็นปัญหาใหญ่ ความก้าวหน้าเทคโนโลยีมีสูงมาก ฉะนั้นเราต้องเตรียมการให้ทัน

เมื่อถามว่า จะมีแนวทางแก้ปัญหาอย่างไร ที่จะไม่ให้มีการตีตลาดบ้านเรา นายกฯ กล่าวว่า แน่นอนถ้าเกิดมาทำการค้าบ้านเราต้องเสียภาษีที่เรา ตรงนี้ต้องยึดกฎหมายเป็นหลัก เมื่อถามย้ำว่า ต้องดูให้เขาเสียภาษีใช่หรือไม่ นายกฯ กล่าวว่า แน่นอน แน่นอนอยู่แล้วครับ

เมื่อถามต่อว่า ตอนนี้ได้มีการตรวจสอบแพลตฟอร์มดังกล่าวแล้วหรือยัง นายกฯ กล่าวว่า มีครับ ได้สั่งการไปที่ดีอีสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) และกรมสรรพากรด้วย เรื่องนี้ได้มีการพูดคุยกันตลอด เพราะถือเป็นเรื่องสำคัญ อย่างเรื่องของสินค้าที่มีมูลค่าไม่เกิน 1,500 บาท ได้รับการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม(VAT) ก็ถือเป็นส่วนหนึ่ง เพราะเอสเอ็มอีของเราเป็นภาคส่วนที่เปราะบาง เราเองต้องช่วยปกป้อง

เมื่อถามว่า หากพบมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง นายกฯ กล่าวว่า คำตอบมันอยู่ในตัวอยู่แล้วว่า รัฐบาลชุดนี้ควบคุมเรื่องนี้ ถ้าพิสูจน์ทราบได้ แต่เราต้องให้ความเป็นธรรมกับข้าราชการด้วย แต่ถ้าหากพิสูจน์ได้ก็ต้องดำเนินการตามกฎหมายขั้นเด็ดขาด

เปิดร่างกฎหมาย ‘กาสิโน’ ขอใบอนุญาต 5 พันล้าน คนไทยเสียค่าเข้าครั้งละ 5 พัน จัดตั้ง ‘สำนักงานกำกับการประกอบสถานบันเทิงครบวงจร’ ทำหน้าที่ ดูแล-ควบคุม

(3 ส.ค.67) รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลถึงการเดินหน้าโครงการสถานบันเทิงครบวงจร หรือ Entertainment Complex ว่า ภายหลังที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เห็นชอบรายงาน “รายงานผลการพิจารณาศึกษา เรื่อง ศึกษาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร (Entertainment Complex) เพื่อแก้ปัญหาการพนันผิดกฎหมายและเพื่อประโยชน์ด้านเศรษฐกิจของประเทศ” ที่คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ที่มีนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง เป็นประธานกรรมาธิการฯ ด้วยเสียง 253 ต่อ 0 เสียง เมื่อ 28 มีนาคม 2567

ต่อมา 8 เมษายน 2567 รายงานผลการศึกษาดังกล่าวได้นำเข้าสู่การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่มีนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน และได้รับการเห็นชอบ พร้อมกับมอบหมายกระทรวงการคลัง รับศึกษาความเป็นไปได้รายละเอียดของคณะกรรมการวิสามัญพิจารณาการเปิดสถานบันเทิงครบวงจร หรือ กาสิโนถูกกฎหมาย เพื่อแก้ปัญหาการพนันผิดกฎหมายให้นำมาเสนอต่อคณะรัฐมนตรี ภายใน 30 วัน

จากนั้นวันที่ 4 มิถุนายน 2567 นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการในที่ประชุม ครม.อีกครั้งให้กระทรวงการคลัง โดยนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง เร่งรัดการดำเนินการสถานบันเทิงครบวงจร เพื่อให้มีแนวทางในการดำเนินการให้เป็นรูปธรรมต่อไป

ล่าสุดกระทรวงการคลัง ได้ยกร่างร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร พ.ศ….เสร็จเรียบร้อยแล้ว และเตรียมเปิดให้มีการรับฟังความคิดเห็น ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 77 จากนั้นจะจัดทำรายงานสรุปผลรับฟังความคิดเห็นเพื่อมาประกบในร่างกฎหมาย ก่อนกระทรวงการคลังจะนำเสนอเข้าสู่การพิจารณาของ ครม. ต่อไป

ทั้งนี้สาระสำคัญของร่างกฎหมายดังกล่าวมีอยู่ทั้งสิ้น 65 มาตรา แบ่งออกเป็น 9 หมวด ประกอบด้วย 1. คณะกรรมการนโยบายสถานบันเทิงครบวงจรการ 2.คณะกรรมการบริหาร 3.สำนักงานกํากับการประกอบสถานบันเทิงครบวงจร 4.เลขาธิการ 5.พนักงานเจ้าหน้าที่ 6.การอนุญาตให้ประกอบสถานบันเทิงครบวงจร 7.การควบคุมการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร 8.บทกำหนดโทษ และ 9.บทเฉพาะกาล

ส่วนสาระสำคัญตามมาตราอื่น ๆ มีดังนี้ มาตรา 3 ได้กำหนดความหมายของ ‘สถานบันเทิงครบวงจร’ หมายความว่า การประกอบธุรกิจสถานบันเทิงตามบัญชีแนบท้ายพระราชบัญญัตินี้หลายประเภทรวมกัน ร่วมกับกาสิโน

‘กาสิโน’ หมายความว่า การจัดให้มีการเข้าเล่นหรือการเข้าพนันในสถานที่ที่กำหนดเป็นการเฉพาะ

‘ใบอนุญาต’ หมายความว่า ใบอนุญาตประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร

‘ผู้รับใบอนุญาต’ หมายความว่า ผู้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร

‘ผู้บริหาร’ หมายความว่า ผู้จัดการหรือบุคคลซึ่งรับผิดชอบในการบริหารงานของผู้รับใบอนุญาต ไม่ว่าโดยพฤติการณ์หรือโดยได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการบริหารของผู้รับใบอนุญาต

‘บริษัทในกลุ่ม’ หมายความว่า (1) นิติบุคคลที่ผู้รับใบอนุญาตถือหุ้นตั้งแต่ร้อยละยี่สิบของจำนวนหุ้นที่มีสิทธิออก

เสียงทั้งหมดของนิติบุคคล (2) นิติบุคคลที่มีผู้ถือหุ้นซึ่งถือหุ้นทั้งในนิติบุคคลนั้นและในนิติบุคคลที่เป็นผู้รับใบอนุญาต ตั้งแต่ร้อยละยี่สิบของจำนวนหุ้นที่มีสิทธิออกเสียงทั้งหมดของนิติบุคคลและนิติบุคคลที่เป็น ผู้รับใบอนุญาต

‘สำนักงาน’ หมายความว่า สำนักงานกำกับการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร

‘พนักงานเจ้าหน้าที่’ หมายความว่า ผู้ซึ่งสำนักงานแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้

‘เลขาธิการ’ หมายความว่า เลขาธิการสำนักงานกำกับการประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร

‘รัฐมนตรี’ หมายความว่า รัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัตินี้

ค่าธรรมเนียมใบอนุญาต
ในบัญชีแนบท้ายกฎหมาย ระบุค่าธรรมเนียมใบอนุญาตดังนี้

1.การขอรับใบอนุญาต ครั้งละ 100,000 บาท

2.ใบอนุญาต แบ่งเป็น ครั้งแรก ฉบับละ 5,000 ล้านบาท รายปี 1,000 ล้านบาท

3.ใบอนุญาต (ต่ออายุ) ฉบับละ 5,000 ล้านบาท รายปี 1,000 ล้านบาท

4.ใบแทนใบอนุญาต ฉบับละ 100,000 บาท

ประเภทเครื่องเล่น

มาตรา 52 กาสิโนให้กระทำได้เฉพาะในสถานบันเทิงครบวงจรโดยผู้รับใบอนุญาตและให้มีเฉพาะประเภท ดังต่อไปนี้

1 ใช้เครื่องเล่นซึ่งใช้เครื่องกล พลังไฟฟ้า พลังแสงสว่าง หรือพลังอื่นใดที่ใช้เล่นโดย วิธีสัมผัส เลื่อน กด ดีด ดึง ยิงโยน โยก หมุน หรือวิธีอื่นใดซึ่งสามารถทำให้แพ้ชนะกันได้ ไม่ว่าจะโดยการนับแต้มหรือเครื่องหมายใด ๆ หรือไม่ก็ตาม

2 ใช้อุปกรณ์ซึ่งสามารถทำให้แพ้ชนะกันได้ ไม่ว่าจะโดยการนับแต้มหรือเครื่องหมายใด ๆ หรือไม่ก็ตาม

ขณะที่ มาตรา 53 ห้ามมิให้ผู้รับใบอนุญาตจัดให้มีการเข้าเล่นหรือเข้าพนันผ่านการเชื่อมต่อระบบคอมพิวเตอร์ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่นใดกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เพื่อให้บุคคลภายนอกสถานประกอบการกาสิโนเข้าเล่นหรือเข้าพนันได้

ห้ามเด็กต่ำกว่า 20 ปี – คนไทยต้องเสียค่าเข้า

มาตรา 55 ห้ามมิให้บุคคลดังต่อไปนี้ เข้าไปในสถานประกอบการกาสิโน

1.ผู้มีอายุน้อยกว่า 20 ปีบริบูรณ์

2.ผู้ซึ่งสำนักงานสั่งห้ามเข้าสถานประกอบการกาสิโน

3.ผู้มีสัญชาติไทยซึ่งยังมิได้ลงทะเบียนและชำระค่าธรรมเนียม ตามที่คณะกรรมการนโยบายประกาศกำหนด

4.ผู้ที่มีลักษณะของบุคคลต้องห้ามตามที่สำนักงานประกาศกำหนด

ทั้งนี้ ในบัญชีแนบท้ายกฎหมายระบุค่าเข้าสถานประกอบการกาสิโนของผู้มีสัญชาติไทย ครั้งละ 5,000 บาท

มาตรา 62 ผู้รับใบอนุญาตที่ปล่อยปละละเลยหรือยินยอมให้บุคคลต้องห้าม เข้าไปในสถานประกอบกาสิโน ผู้รับใบอนุญาตต้องชำระค่าปรับไม่เกิน 1 แสนบาทให้แก่สำนักงาน

ห้ามโฆษณา – จ่ายใต้โต๊ะ

มาตรา 58 ห้ามมิให้ผู้รับใบอนุญาตดำเนินการ เชิญชวน โฆษณา ประชาสัมพันธ์หรือจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย เกี่ยวกับกาสิโน หรือให้ผู้ใดดำเนินการดังกล่าว เว้นแต่จะเป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการบริหารประกาศกำหนด

ให้ถือว่าการจ่ายค่าจ้างหรือผลประโยชน์ตอบแทนอื่นใดให้แก่บุคคลใด โดยผู้รับใบอนุญาตหรือบุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับผู้รับใบอนุญาต โดยมีเงื่อนไขว่าบุคคลผู้รับค่าจ้างหรือผลประโยชน์ตอบแทนอื่นใดต้องเพิ่มยอดการเข้าเล่นหรือเข้าพนันในสถานประกอบการกาสิโน ไม่ว่าการจ่ายค่าจ้างหรือผลตอบแทนจะคำนวณจากมูลค่าการเข้าเล่นหรือเข้าพนันในสถานประกอบการกาสิโนหรือไม่ก็ตาม เป็นการเชิญชวนหรือโฆษณาตามวรรคหนึ่ง

ให้ถือว่าการจัดกิจกรรมใด ๆ ที่เป็นการชักจูงให้บุคคลใดมีความประสงค์จะเข้าเล่น หรือเข้าพนันในสถานประกอบการกาสิโน เป็นกิจกรรมส่งเสริมการขายตามวรรคหนึ่ง

ให้สินเชื่อผู้เล่น

มาตรา 59 ผู้รับใบอนุญาตสามารถให้สินเชื่อแก่ผู้เข้าเล่นหรือเข้าพนันในสถานประกอบการกาสิโนได้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการนโยบายประกาศกำหนด


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top