Wednesday, 7 May 2025
ECONBIZ NEWS

'บีโอไอ' หนุน 'ฮานา-ปตท.' ยกระดับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ต้นน้ำ ผุดโรงงานผลิตชิปชนิด 'ซิลิคอนคาร์ไบด์' แห่งแรกของประเทศไทย

'บีโอไอ'หนุนบริษัทร่วมทุน 'ฮานา - ปตท.' เดินหน้าแผนลงทุนสร้างโรงงานผลิตชิปชนิดซิลิคอนคาร์ไบด์แห่งแรกของไทย ภายในสิ้นปีนี้ หลังได้รับอนุมัติจากบีโอไอและออกบัตรส่งเสริมเมื่อเดือนสิงหาคม 2567 ลงทุนเฟสแรก 11,500 ล้านบาท เริ่มผลิตภายใน 2 ปี รองรับการเติบโตของกลุ่ม Power Electronics ทั้ง EV, Data Center และระบบกักเก็บพลังงาน ช่วยยกระดับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ต้นน้ำของไทย

(23 ก.ย. 67) นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2567 ได้นำคณะลงพื้นที่จังหวัดลำพูน เพื่อติดตามความคืบหน้าโครงการลงทุนผลิตชิป (Wafer Fabrication) แห่งแรกของประเทศไทย ของบริษัท เอฟทีวัน คอร์เปอเรชั่น จำกัด (FT1) ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ และกลุ่ม ปตท. หลังจากที่บีโอไอได้อนุมัติให้การส่งเสริมเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2567 จากนั้นบริษัทได้ดำเนินการออกบัตรส่งเสริมเมื่อเดือนสิงหาคม

ที่ผ่านมา บีโอไอได้ทำงานร่วมกับบริษัทฯ อย่างใกล้ชิด เพื่อสนับสนุนการดำเนินการในขั้นตอนต่างๆ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการออกแบบโรงงาน และเตรียมเริ่มก่อสร้างโรงงานในพื้นที่สวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์ จังหวัดลำพูน ภายในเดือนธันวาคมของปีนี้ โดยคาดว่าจะใช้เวลาก่อสร้างและติดตั้งเครื่องจักรประมาณ 2 ปี ก่อนจะเริ่มผลิตในช่วงไตรมาสแรกของปี 2570

บริษัท เอฟทีวัน คอร์เปอเรชั่น จำกัด จะจัดตั้งโรงงานผลิตชิปต้นน้ำแห่งแรกในประเทศไทย เงินลงทุน เฟสแรกกว่า 11,500 ล้านบาท โดยรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากผู้ผลิตชิปชั้นนำของเกาหลีใต้ เพื่อผลิตชิป (Wafer) ชนิดซิลิคอนคาร์ไบด์ (SiC) ขนาด 6 นิ้ว และ 8 นิ้ว โดยมีคุณสมบัติสำคัญที่แตกต่างจากชิปทั่วไปที่ผลิตจากซิลิคอน คือ สามารถทนกระแสไฟฟ้าและความร้อนสูงได้ จึงเหมาะสมสำหรับการใช้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ควบคุมการแปลงพลังงานไฟฟ้า (Power Electronics) เช่น เครื่อง Server ใน Data Center อุปกรณ์อัดประจุไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า Inverter ในยานยนต์ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงอุปกรณ์แปลงพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ในระบบกักเก็บพลังงาน ซึ่งกลุ่มอุตสาหกรรมเหล่านี้มีแนวโน้มเติบโตสูงในอนาคต

เหตุผลสำคัญของการเลือกประเทศไทยเป็นที่ตั้งของโครงการนี้ เนื่องจากข้อกำหนดหลักของลูกค้า คือ...

1) ต้องตั้งในประเทศที่มีความเป็นกลางเพื่อลดความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ 
2) มีต้นทุนที่แข่งขันได้ และ...
3) มีขีดความสามารถในการขยายกำลังการผลิตในอนาคต ซึ่งประเทศไทยสามารถตอบโจทย์เหล่านี้ 

นอกจากนี้ ไทยยังมีโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพสูง ไฟฟ้ามีความเสถียร มีศักยภาพด้านพลังงานสะอาด บุคลากรมีคุณภาพสูง มาตรการสนับสนุนที่ดีจากภาครัฐ อุตสาหกรรมรถยนต์ EV ระบบกักเก็บพลังงาน และ Data Center ที่กำลังเติบโตสูง อีกทั้งโรงงานของฮานาฯ ในไทย มีการประกอบกิจการที่ต่อเนื่องจากการผลิตชิปอยู่แล้ว โดยเฉพาะขั้นตอนการประกอบและทดสอบวงจรรวม (IC Assembly and Testing)    

“อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรมเป้าหมายต่างๆ ในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นยานยนต์ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ดิจิทัล โทรคมนาคม ระบบอัตโนมัติและหุ่นยนต์ หรืออุปกรณ์การแพทย์ ที่ผ่านมาบทบาทของไทยอยู่ในขั้นกลางน้ำ คือ การรับจ้างประกอบและทดสอบเซมิคอนดักเตอร์ หรือที่เรียกว่า OSAT โครงการลงทุนผลิตชิปครั้งนี้ จะเป็นก้าวสำคัญที่ส่งผลต่อการยกระดับประเทศไทยไปสู่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ต้นน้ำ นอกจากนี้จะช่วยสร้างงานและการพัฒนาบุคลากรด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ผ่านความร่วมมือในการพัฒนาหลักสูตรกับมหาวิทยาลัยในไทยและการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านเซมิคอนดักเตอร์จากเกาหลีใต้แล้ว ยังจะส่งเสริมผู้ประกอบการไทยให้เข้าสู่ซัพพลายเชนของเซมิคอนดักเตอร์ และนำไปสู่การพัฒนาระบบนิเวศของอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ซึ่งจะช่วยให้สามารถดึงดูดผู้ผลิตอิเล็กทรอนิกส์ชั้นนำรายอื่นๆ ให้เข้ามาลงทุนในไทยอีกด้วย” นายนฤตม์ กล่าว

'เงินบาท' แข็งค่าแตะ 32.91 ต่อดอลลาร์ เผย 5 เดือน แข็งพรวด 11.6% ฉุด!! ‘การท่องเที่ยว – การส่งออกไทย’ หลัง 'เฟด' ลดดอกเบี้ย

(21 ก.ย.67) เงินบาทยังคงแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว ล่าสุดช่วงค่ำคืนที่ผ่านมา (20ก.ย.) แข็งค่าหลุดระดับ 33 บาท มาเคลื่อนไหวที่บริเวณ 32.91 บาทต่อดอลลาร์ เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งเป็นระดับการแข็งค่าสุดในรอบ 20 เดือน นับจากสิ้นเดือนม.ค.2566

การแข็งค่าของเงินบาทนับเป็นเรื่องน่ากังวล เพราะแข็งค่าอย่างรวดเร็ว แม้ว่าตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน เงินบาทจะแข็งค่าขึ้นเพียง 3.7% แต่หากนับจากจุดที่เงินบาททำสถิติอ่อนค่าสุดในปีนี้ที่ระดับ 37.25 บาทต่อดอลลาร์ (วันที่ 29 เม.ย.2567) จะพบว่า เงินบาทแข็งค่าขึ้นมาแล้วถึง 11.6% ในเวลาไม่ถึง 5 เดือน จึงเป็นเรื่องยากในการบริหารค่าเงินของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าและส่งออก

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า เงินบาทกำลังแข็งอย่างรวดเร็วที่สุดในรอบ 26 ปี นับตั้งแต่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจเอเชียในปี 2541 ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกของไทยที่กำลังฟื้นตัวอย่างช้า ๆ 

ขณะที่เงินดอลลาร์ก็แข็งค่าอย่างรวดเร็วถึง 10% เมื่อเทียบกับเงินบาทนับตั้งแต่เดือนมิ.ย.ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบเกือบ 20 ปี ทำให้ผู้ประกอบการเรียกร้องให้รัฐบาลเข้ามาดูแลสถานการณ์ดังกล่าว

ล่าสุด ทั้งพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังได้ออกมาเรียกร้องให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เข้ามาดูแลและดำเนินมาตรการเพื่อชะลอการแข็งค่าของเงินดอลลาร์และลดความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน

ด้าน เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กล่าวว่า กรณีที่เฟดลดดอกเบี้ย ผลที่มีผลต่อตลาดเงิน ที่เห็นคือ การอ่อนค่าของดอลลาร์ ซึ่งอ่อนค่าไปพอสมควร ทำให้เงินบาท และค่าเงินในภูมิภาคแข็งค่ามากขึ้น  

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ซ้ำเติม ค่าเงินบาทให้แข็งค่ากว่าค่าเงินในภูมิภาค มาจากราคาทองคำในตลาดโลก ที่ทำระดับสูงสุดหรือออลล์ไทม์ไฮ ซึ่งส่วนใหญ่ค่าเงินบาทเป็นสกุลเงินที่เคลื่อนไหวกับทองคำมากกว่าค่าเงินภูมิภาค ทำให้เงินบาทแข็งค่ากว่าหลายประเทศ 

ทั้งนี้ สิ่งที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) ไม่อยากเห็นคือ การผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนที่สูงมาก และยอมรับว่า ช่วงหลัง ค่าเงินบาทแข็งค่าค่อนข้างเร็ว โดยเฉพาะช่วงหลังตามการคาดการณ์การลดดอกเบี้ยของเฟด ทำให้ตั้งแต่ต้นปี จนถึงปัจจุบันเงินบาทแข็งค่าขึ้นแล้ว 3.1% 

สำหรับปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ สาเหตุของการแข็งค่า หากมาจากเชิงปัจจัยโครงสร้าง มาจากปัจจัยเชิงพื้นฐาน หรือกรณีนี้ที่เงินบาทแข็งค่ามาจากการที่ดอลลาร์อ่อนค่า จากการที่เฟดลดดอกเบี้ย ก็ถือว่าเป็นการเคลื่อนไหวตามกลไกตลาดแต่สิ่งที่ไม่อยากเห็นคือ การแข็งค่าขึ้นเร็ว และไม่ได้มาจากปัจจัยเชิงพื้นฐาน จากเงินร้อน(ฮอตมันนี่) หรือการเข้ามาเก็งกำไรระยะสั้น ที่ทำให้เกิดความผันผวนเกิดขึ้น ซึ่งไม่สะท้อนปัจจัยพื้นฐาน พวกนี้จะเซนซิทีฟมากกว่า แต่ปัจจุบันยังไม่เห็นสัญญาณดังกล่าว แต่ก็ต้องติดตามใกล้ชิด

‘ไทย สมายล์ บัส’ เปิดบริการครบ 3 ปี มีรถเมล์ไฟฟ้ากว่า 2,000 คัน คาดสิ้นปีนี้ มีผู้โดยสารแตะ 4.5 แสนคนต่อวัน วางเป้าปีหน้าทะลุ 5 แสน

(21 ก.ย.67) นางสาวกุลพรภัสร์ วงศ์มาจารภิญญา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด (TSB) เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา วันนี้ถือเป็นหนึ่งบทพิสูจน์สำคัญว่า บริษัทของคนไทย รถเมล์ที่สร้างด้วยฝีมือคนไทย สามารถทำให้ระบบขนส่งมวลชนที่ถูกละเลยมาหลายสิบปี ได้มีรถเมล์พลังงานไฟฟ้าให้ประชาชนได้ใช้บริการกว่า 2,000 คัน มีระบบเทคโนโลยีทันสมัย มีโรงเรียนฝึกอบรมบุคลากร เราลงทุนพัฒนาจุดชาร์จ อู่สาขากว่า 24 แห่งทั่วกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ให้เป็นโครงสร้างพื้นฐานของการพัฒนา

นายวรวิทย์ ชาญชญานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายปฏิบัติการและกลยุทธ์ บริษัท ไทย สมายล์ บัส กล่าวว่า ช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาของปี 2567 ยอดผู้โดยสารใช้งานเฉลี่ยอยู่ที่วันละ 350,000 คน จากปัจจัยของรถที่มีให้บริการมากขึ้นในหลายเส้นทาง โดยเฉพาะเส้นทางรถเมล์โดยสารที่เปลี่ยนมาใช้เส้นทางปฏิรูปกับผู้ประกอบการทุกรายอย่างเท่าเทียมกัน ดังนั้น เมื่อเส้นทางเริ่มชัดเจนเห็นรถมากขึ้น ประชาสัมพันธ์มากขึ้น สอดคล้องกับตัวเลขจำนวนรถที่ให้บริการปัจจุบัน บริษัทมีค่าเฉลี่ยรถที่ให้บริการอยู่ราว 1,600 คัน ซึ่งในช่วงไตรมาส 4/2567 บริษัทมีแผนการปรับเพิ่มรถที่ให้บริการขึ้นไปอยู่ในระดับ 2,000 คันต่อวัน เพื่อเพิ่มสัดส่วนผู้โดยสารภายในปีนี้ ให้อยู่ในระดับ 400,000 – 450,000 คนต่อวัน ครองส่วนแบ่งการตลาดราว 50% ของผู้ใช้รถเมล์ทั้งหมด

ทั้งนี้ ช่วงไตรมาส 1 ปี 2568 นั้น TSB มีแผนเพิ่มรถให้บริการเป็น 2,200 คัน ไม่รวมรถสำรองหมุนเวียนภายใน เพื่อขยับสู่เป้าหมายผู้โดยสาร 500,000 คนต่อวัน จากปัจจัยเส้นทางใหม่ที่ทางบริษัทยังไม่ได้เพิ่มรถเข้าไปอย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น หากดูใบอนุญาตที่มีอยู่ในตอนนี้ 123 เส้นทาง ยังเห็นโอกาสการเติบโตได้อีกมาก โดยเฉพาะกลุ่มเส้นทางปฏิรูปทั้งหมด ผู้ประกอบการทุกรายใช้มาตรฐานเดียวกัน ซึ่งเราเชื่อว่ามีผู้โดยสารตกหล่นอยู่ ทั้งคนที่เคยรอรถหลายต่อ หาก TSB ให้บริการได้ครบลูป 100% เชื่อมต่อล้อ สู่ล้อ และทำให้เป็นโครงข่ายการต่อรถได้ เชื่อว่ายอดผู้โดยสารจะเติบโตขึ้นอย่างแน่นอน

เผยผลวิจัย ‘iPhone’ รับกระแสการเปิดตัวรุ่นใหม่ ในไทย Gen Z ชอบซื้อผ่อน Gen Y มองเป็นเครื่องชี้วัด ‘ความสำเร็จ’

(21 ก.ย.67) The 1 Insight เปิดผลวิเคราะห์เทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภค iPhone ในประเทศไทย รับกระแสการเปิดตัว iPhone 16 โดยพบว่า 40% ของผู้ใช้ iPhone ในไทยนิยมเปลี่ยนเป็นรุ่นใหม่ทุกปี สะท้อนถึงความสำเร็จในแง่ของตลาดไปจนถึงความสนใจที่มีต่อนวัตกรรมของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง

จากฐานข้อมูล The 1 ในช่วงปี 2562-2567 ชี้ให้เห็นถึง 5 กลุ่มหลักของผู้ใช้ iPhone ไทย ที่มีเทรนด์พฤติกรรมการซื้อและการใช้งานที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน ดังนี้

1. กลุ่ม Gen Z มุ่งท่องโลกโซเชียล แต่ยังเน้นความคุ้มค่า
กลุ่มคนรุ่นใหม่อายุ 18-24 ปี ใช้งาน iPhone เพื่อการเชื่อมต่อกับโซเชียลมีเดียเป็นหลัก รวมถึงการสร้างสรรค์คอนเทนต์

จากข้อมูล พบว่า คนกลุ่มนี้ซื้อ iPhone 15 และ iPhone 15 Plus รวมไปถึงอาจซื้อรุ่นก่อนหน้าที่ให้ความคุ้มค่ามากกว่า โดยเลือกใช้รุ่นที่มีความจุ 128GB ซึ่งเพียงพอกับการใช้งานและสอดคล้องกับข้อจำกัดด้านรายได้ โดยสีที่นิยมสูงสุดคือ Black กลุ่มวัยรุ่นโซเชียลมักอัปเกรด iPhone ทุกปี และนิยมใช้การผ่อนชำระ 0% ซึ่งช่วยให้เข้าถึง iPhone รุ่นพรีเมียมได้มากยิ่งขึ้น โดยมีแนวโน้มว่าในปีนี้จะซื้อ iPhone 16 และ iPhone 16 Plus

2. กลุ่ม Gen Y ผู้มอง iPhone เป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จ
กลุ่มชายวัยทำงานอายุ 25-40 ปี มองว่า iPhone รุ่นท็อปเป็นสัญลักษณ์ของความสำเร็จและสถานะทางสังคม รวมถึงมีความพร้อมด้านรายได้ที่สูงขึ้นตามความก้าวหน้าทางอาชีพและมีความสนใจในเทคโนโลยีล้ำสมัย ในปี 2023 จึงเลือกซื้อ iPhone 15 Pro และ iPhone 15 Pro Max ที่มีความจุ 512GB หรือ 1TB เพื่อรองรับการใช้งานได้ครบครันทั้งด้านการทำงานและความบันเทิง

โดยสีที่นิยมสูงสุดคือ Black และ Natural Titanium หนุ่มออฟฟิศกลุ่มนี้มักอัปเกรด iPhone ทุกปี และเป็นกลุ่มสำคัญที่ขับเคลื่อนยอดขายรุ่นท็อปในไทย และมีแนวโน้มว่าในปีนี้จะซื้อ iPhone 16 Pro และ iPhone 16 Pro Max

3. กลุ่ม Millennial Parents เน้นฟังก์ชันใช้งานสำหรับทั้งครอบครัว
กลุ่มคนมีครอบครัวที่มีอายุ 30-45 ปี มักให้ความสำคัญกับฟังก์ชั่นการใช้งานจริงและขนาดความจุที่เพียงพอเพื่อรองรับการใช้งานในระยะยาวสำหรับทั้งครอบครัว

ดังนั้น คนกลุ่มนี้จึงเลือกซื้อ iPhone 15 หรือ iPhone 15 Plus โดยเลือกรุ่นที่มีความจุ 128GB หรือ 256GB เพื่อรองรับการใช้งานที่หลากหลาย โดยสีที่นิยมสูงสุดคือ Colorful เช่น ฟ้า เหลือง ชมพู เขียว นอกจากนี้ยังเป็นกลุ่มที่มีรายจ่ายหลากหลาย จึงไม่เปลี่ยนเครื่องบ่อยนัก โดยมักอัปเกรดทุก 3-4 ปี โดยในปีนี้มีแนวโน้มที่จะซื้อ iPhone 16 หรือ iPhone 16 Plus

4. กลุ่ม Gen X ที่พร้อมลงทุนกับเทคโนโลยีเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
กลุ่มผู้บริหารที่มีอายุ 45-60 ปี มักเลือก iPhone ในรุ่นที่มีประสิทธิภาพสูงสุด โดยมองว่า เป็นการลงทุนระยะยาวเพื่ออัปเดตเทคโนโลยีในแต่ละครั้ง จึงเลือกซื้อ iPhone 15 Pro Max ในความจุ 512GB หรือ 1TB เพื่อตอบสนองความต้องการที่ครอบคลุมทั้งการทำงานและการใช้งานส่วนตัว

สีที่นิยมสูงสุดคือ Blue Titanium โดยมีรอบการอัปเกรดอุปกรณ์ทุก 2-3 ปี และไม่เน้นการเปลี่ยนตามกระแสสังคม ในปีนี้ มีแนวโน้มที่จะซื้อ iPhone 16 Pro Max

5. กลุ่ม Silver Spenders ใช้งานเพื่อสื่อสารทั่วไปและฟังก์ชันสุขภาพ
กลุ่มผู้สูงวัยที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป มีพฤติกรรมการใช้ iPhone ที่เน้นการใช้งานพื้นฐานและฟังก์ชั่นติดตามข้อมูลสุขภาพ เลือกซื้อ iPhone SE หรือ iPhone 15 หรืออาจเป็นรุ่นก่อนหน้า โดยใช้ควบคู่กับ Apple Watch Series 9 เพื่อเชื่อมต่อฟังก์ชันการติดตามข้อมูลสุขภาพอย่างละเอียด

ข้อมูลชี้ว่า กลุ่ม Silver Spenders ส่วนใหญ่เลือก iPhone รุ่นความจุ 64GB หรือ 128GB สีที่นิยมสูงสุดคือ Colorful เช่น ฟ้า เหลือง ชมพู เขียว โดยมักอัปเกรดทุก 4-5 ปี และมีแนวโน้มที่จะซื้อ iPhone 16 และ Apple Watch ในปีนี้

ถอดบทเรียน 'แม่สายโมเดล' พายุยางิถล่ม-น้ำท่วมเชียงราย หนึ่งในผลลัพธ์จากภาวะโลกร้อน ที่ 100 ปีก่อนยังไม่เคยมี

รายการ THE TOMORROW มหาชนต้องรู้ ออกอากาศทางสถานีวิทยุ ส.ทร. FM93.0 MHz และสื่อออนไลน์ ในเครือ THE STATES TIMES เมื่อวันที่ 21 ก.ย.67 ได้พูดคุยกับ ดร.ก้องเกียรติ สุริเย ผู้เชี่ยวชาญด้านคาร์บอนเครดิต ในประเด็นถอดบทเรียนจากเหตุน้ำท่วมใหญ่ที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย 

ดร.ก้องเกียรติ กล่าวว่า อุทกภัยที่แม่สาย จังหวัดเชียงราย เกิดจากปัญหาหลายมิติที่มีความซับซ้อนสูง ซึ่งอำเภอแม่สายเป็นพื้นที่พรมแดนติดประเทศเพื่อนบ้าน มีมิติทางด้านความมั่นคงอยู่ด้วย 

"ขอยกเป็นกรณีตัวอย่าง 'แม่สายโมเดล' โดยการเกิดอุทกภัยครั้งนี้ คาดว่ามีสาเหตุเกิดจากภาวะโลกร้อนอย่างแน่นอน เพราะเมื่อ 80 ถึง 100 ปีก่อน ไม่เคยเกิดภัยพิบัตินี้ พายุที่พัดมารุนแรง เช่น พายุยางิ ก็ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก แต่ถ้าวิเคราะห์จริง ๆ มันเกิดจาก โลกร้อนมากขึ้น กลายเป็นโลกเดือด เวลาโลกเดือดมันเดือดทั้งบนพื้นดินและบนพื้นน้ำ เวลาโลกเดือดเหนือมหาสมุทร ก็เหมือนเรากำลังต้มน้ำในหม้อ น้ำก็จะเดือดปุด ๆ กลายเป็นไอขึ้นมา โลกเดือดก็เหมือนกับการต้มน้ำกลายเป็นไอขึ้นไปบนชั้นบรรยากาศ"

ดร.ก้องเกียรติ เผยอีกว่า "ถ้าสังเกตดี ๆ วันนี้เรามองไม่เห็นยอดตึกแล้ว ส่วนใหญ่มองเห็นเป็นละอองฝอยปกคลุม คล้ายฝุ่น PM 2.5 แต่ไม่ใช่ เพราะเป็นไอน้ำที่ลอยขึ้นไปรอการควบแน่นและกลายเป็นฝนตกลงมา โดยเฉพาะบริเวณที่มีอากาศเย็น เช่น ยอดเขา ยอดภู ซึ่งทำให้บริเวณนั้นมีฝนตกหนักมากขึ้น แบบเทราด เรียกว่า Rain Bomb หรือ ระเบิดฝน ซึ่งสถานการณ์น้ำท่วมที่เชียงรายมีลักษณะนั้น"

ทั้งนี้ ดร.ก้องเกียรติ ได้กล่าวถึงสาเหตุน้ำท่วมใหญ่ที่เชียงราย โดยสรุปได้ 4 ประการ ดังนี้...

1.น้ำบนฟ้ามีมากขึ้น ทำให้เกิด Rain Bomb หรือ ระเบิดฝน 

2.ดินซับน้ำน้อยลง หมายถึง พื้นดินขาดสมดุลในการดูดซับน้ำ เนื่องจากป่าไม้ลดลง โดยเฉพาะป่าไม้ซึ่งเป็นต้นแม่น้ำสายซึ่งอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน จากการวิเคราะห์ขี้เลนที่พัดมาที่แม่สายเป็นเลนนุ่ม ๆ เลนละเอียด แสดงว่าผ่านการกรองเศษดิน เศษไม้มาพอสมควรน่าจะถูกพัดมาเป็นระยะทางไกล 

3.ทางระบายน้ำตีบตัน ตื้นเขินเวลาน้ำไหลผ่านแม่น้ำ ปกติต้องใช้ระยะเวลาหนึ่งถึงลงแม่น้ำโขงได้ เมื่อทางระบายน้ำตีบตัน ตื้นเขิน น้ำจึงเอ่อล้นเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชน ซึ่งในอดีตแม่น้ำสายมีความกว้าง 130-150 เมตร  แต่ปัจจุบันกว้างเพียง 20-50 เมตร เท่านั้น 

4.พื้นที่รับน้ำกลายเป็นเมืองมากขึ้น แก้มลิงหายไป ทำให้เกิดความเสียหายเป็นจำนวนมาก

ส่วนการรับมืออุทกภัยในอนาคต ดร.ก้องเกียรติ กล่าวว่า "เราควรเตรียมพร้อมและอยู่กับธรรมชาติให้ได้ โดยแบ่งเป็นส่วนของภาคประชาชน และภาครัฐ โดยส่วนของประชาชน 1.ควรพิจารณาการย้ายที่อยู่อาศัยเพื่อหลีกเลี่ยงทางน้ำ 2.ปรับเปลี่ยนรูปแบบบ้านให้กลับไปเป็นแบบดั้งเดิม สร้างบ้านใต้ถุนสูงขึ้น 3.เตรียมเรือไว้ให้พร้อม เตรียมข้าวสารอาหารแห้ง เพื่อดำรงชีวิตเวลาน้ำท่วม และในชุมชนร่วมกันสร้างเขื่อนกั้นน้ำให้สูงขึ้น ที่แม่สายตอนนี้สูง 1-2 เมตร อาจต้องปรับเพิ่มเป็น 3-5 เมตร 

"ในส่วนของภาครัฐ (1) ควรมุ่งเน้นนโยบายการลดก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจังและรวดเร็ว (2) เพิ่มเติมการซับน้ำโดยการอนุรักษ์ป่าไม้ เคร่งครัดข้อกฎหมายทำลายป่า และรีบดำเนินการเรื่องภาษีคาร์บอน คาร์บอนเครดิต (3) นโยบายด้านต่างประเทศ เร่งหารือระหว่างไทย-พม่า เพื่อเพิ่มความกว้างของทางน้ำมากขึ้น หรือสร้างทางด่วนน้ำให้เหมาะสม รวมถึงการติดตั้งระบบเตือนภัยภาวะน้ำท่วมฉับพลัน ให้อยู่บริเวณต้นน้ำเพื่อแจ้งเตือนประชาชนได้ล่วงหน้ามากขึ้น"

‘GAC AION’ เปิดตัว ‘HYPTEC HT’ เอสยูวีไฟฟ้า รุ่นเริ่มต้น 1.449 ล้านบาท รุ่นปีกนก 1.749 ล้านบาท

GAC AION เปิดตัวยานยนต์ไฟฟ้าแห่งอนาคต HYPTEC HT เอสยูวีไฟฟ้าลักซ์ชัวรี่ระดับไฮเอนด์ เน้นความหรูหราและเทคโนโลยีขั้นสูง ที่ผสานเข้ากับการออกแบบ และการใช้งานได้อย่างสมบูรณ์แบบ ด้วยคุณสมบัติ 5 จุดเด่น ของตัวรถ ได้แก่ HYPTEC Design, HYPTEC Space, HYPTEC Smart, HYPTEC Energy และ HYPTEC Performance เคาะราคาขายเริ่มต้น 1.449 ล้านบาท

(20 ก.ย. 67) นายโอเชี่ยน หม่า (Ocean Ma) กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอออน ออโตโมบิล เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด และ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอออน ออโตโมบิล แมนูแฟคเจอริ่ง (ประเทศไทย) จำกัด,นาย พอนตุส ฟอนเทอุส (Pontus Fontaeus) ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบของ GAC Advanced Design Los Angeles และผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบของ HYPTEC, นายสวี่เจ้าหยู่ (Xu Zhaoyu) ผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์ ร่วมเปิดตัว HYPTEC HT เอสยูวีไฟฟ้าลักซ์ชัวรี่ระดับ ไฮเอนด์ ณ สามย่านมิตรทาวน์ 

นายโอเชี่ยน หม่า เผยว่า หลังจากที่ GAC AION ได้มีการแนะนำแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าระดับไฮเอนด์ Hyper อย่างเป็นทางการ พร้อมเปิดตัว Hyper HT รถยนต์เอสยูวีไฟฟ้าลักซ์ชัวรี่ระดับไฮเอนด์ที่หลายคนรอคอย ในงาน Motor Show 2024 ล่าสุด HYPER ได้ประกาศการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในการดำเนินธุรกิจ ด้วยการเปลี่ยนชื่อแบรนด์ใหม่เป็น ‘HYPTEC’ และไม่ใช่เพียงแค่การเปลี่ยนชื่อแบรนด์เท่านั้น แต่เป็นการปรับปรุงภาพลักษณ์และกลยุทธ์ทางธุรกิจที่ครอบคลุมมากขึ้น สะท้อนถึงการก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ ที่มุ่งเน้นเทคโนโลยีล้ำสมัยและการขยายตัวในตลาดโลกอย่างมีนัยสำคัญ

การเปลี่ยนชื่อแบรนด์จาก HYPER เป็น HYPTEC เกิดจากการศึกษาวิจัยตลาดและความต้องการของลูกค้าทั่วโลกอย่างละเอียดลึกซึ้ง ซึ่งชื่อ ‘HYPTEC’ ถูกออกแบบมาเพื่อสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์เทคโนโลยีที่ตอบโจทย์ความต้องการในยุคดิจิทัล โดยชื่อแบรนด์ HYPTEC มาจาก ‘Hyper’ สื่อถึงความสุดยอดและความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า และ ‘Technology’ สื่อถึงการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัย มาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ไม่เพียงแค่หรูหรา แต่ยังล้ำหน้าด้วยคุณสมบัติทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่โดดเด่น

สำหรับการเปิดตัว HYPTEC HT เอสยูวีไฟฟ้าลักซ์ชัวรี่ระดับไฮเอนด์ มี 2 รุ่นย่อย ได้แก่ HYPTEC HT 620 Premium ราคา 1,449,000 บาท และ HYPTEC HT 620 Luxury (ประตูปีกนก: Gull wing doors) ราคา 1,749,000 บาท 

HYPTEC HT ได้รับการรับรองมาตรฐานความปลอดภัยระดับ 5 ดาวจากสถาบัน C-NCAP และได้รับคะแนนระดับ G (ระดับสูงสุด) ในด้านการปกป้องผู้โดยสาร, การปกป้องคนเดินถนน และความปลอดภัยเชิงรุก จากสถาบัน Zhongbao Research แถมระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบอิสระปีกนกคู่ (Double Wishbones) ด้านหลังแบบอิสระ 5-Link มาพร้อม ASTC (Eagle Claw) ระบบรักษาเสถียรภาพอัจฉริยะ ช่วยปรับสมดุลของตัวรถโดยอัตโนมัติ

นอกจากนี้ ระบบความปลอดภัย HYPTEC HT ยังมีออปชัน และระบบเด่น ๆ อีกมากมาย ดังนี้…
- ถุงลมด้านหน้า ด้านข้างตอนหน้า ม่านถุงลม
- ระบบเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ
- ระบบแจ้งเตือนก่อนการชนด้านหน้า
- ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน

- ระบบช่วยควบคุมรถเมื่อรถออกนอกเลน
- ระบบไฟสูงอัตโนมัติ
- ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา
- ระบบเตือนการเปิดประตู

- ระบบเตือนเมื่อมีรถในจุดอับสายตาขณะถอยหลัง
- ระบบช่วยเตือนเมื่อรถคันหลังเข้าใกล้
- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผันพร้อมฟังก์ชัน Stop & Go
- ระบบควบคุมความเร็ว (ICA)

- ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ (TJA)
- ระบบควบคุมความเร็วในขณะเข้าโค้ง
- ระบบช่วยเตือนความเหนื่อยล้าขณะขับขี่
- ระบบเสียงเตือนคนภายนอกรถขณะขับขี่โหมดมอเตอร์ไฟฟ้า

- ระบบตรวจสอบแรงดันลมยาง (TPMS)
- ระบบกล้องมองภาพรอบทิศทาง 360 องศา

ส่วนพละกำลังของ HYPTEC HT มาพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า 250 กิโลวัตต์ แบตเตอรี่ขนาด 83.3 กิโลวัตต์-ชั่วโมง ให้กำลังแรงม้าสูงสุดที่ 340 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 430 นิวตัน-เมตร ขับเคลื่อนล้อหลัง ให้อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้ใน 5.8 วินาที สามารถวิ่งได้ไกล สูงสุด 620 กม. ต่อการชาร์จ1 ครั้ง และรองรับการชาร์จเร็ว โดยสามารถชาร์จไฟจาก 10-70% ได้ภายใน 15 นาที วิ่งได้ระยะทาง 372 และการชาร์จเร็ว สามารถชาร์จไฟจาก 0-100% ภายใน 53 นาที

นอกจากนี้ HYPTEC HT ยังมีจุดเด่นที่ห้องโดยสารขนาดใหญ่ เบาะนั่งหนัง Nappa ที่พักแขนทำจากวัสดุไม้แท้ พร้อมด้วยฟีเจอร์เบาะรองน่องผู้โดยสารด้านหน้าปรับด้วยระบบไฟฟ้า พนักพิงเบาะหลังปรับเอนได้ 143 องศา รวมถึงเบาะรองขาทำให้ผู้โดยสารสามารถเหยียดขาได้ / โต๊ะอเนกประสงค์ด้านหลังเบาะคนขับออกแบบให้มีความโค้ง เพื่อลดอันตรายจากการกระแทกสำหรับเด็ก เบาะคู่หน้ามีระบบนวดไฟฟ้า 10 จุด และโหมดการนวด 5 รูปแบบ

มีหลังคากระจกพาโนรามาขนาด 2.6 ตารางเมตร ม่านไฟฟ้า (เฉพาะรุ่น 620 Premium) กระจกลามิเนตสองชั้นรอบคัน ป้องกันเสียงจากภายนอก พื้นที่เก็บสัมภาระ 670 ลิตร และพื้นที่จัดเก็บสัมภาระแบบสองชั้นขนาด 80 ลิตร และยังมีพื้นที่จัดเก็บด้านหน้ารถใต้ฝากระโปรงหน้าขนาด 55 ลิตร

มีระบบเสียง Dolby Atmos 7.1.2 พร้อมลำโพง 22 ตำแหน่ง ทำงานร่วมกับซับวูฟเฟอร์ และยังมีลำโพงอิสระที่ตำแหน่งไหล่ของผู้ขับขี่ สำหรับพูดคุยโทรศัพท์หรือฟังระบบนำทางโดยไม่รบกวนการฟังเพลงหรือภาพยนตร์ของผู้โดยสาร

มีจอความละเอียดสูง 2.5K ขนาด 14.6 นิ้ว ประมวลผลด้วยชิป Qualcomm 8155 รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และแอปพลิเคชันอื่น ๆ

สามารถเพิ่มบรรยากาศด้วยระบบน้ำหอมปรับอากาศ ซึ่งสามารถสั่งการผ่านหน้าจอกลาง เลือกกลิ่นได้ 3 รูปแบบ

มีระบบสั่งงานด้วยเสียงแบบ 4 ตำแหน่ง รองรับทุกตำแหน่งในรถ

มีระบบเตือนเมื่อเหนื่อยล้าหรือเสียสมาธิขณะขับขี่

นายโอเชี่ยน หม่า ยังได้กล่าวอีกว่า GAC AION ให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบพลังงานควบคู่ไปกับการพัฒนาบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในเทคโนโลยีรถยนต์พลังงานใหม่ โดยทำงานร่วมกับ GAC Energy โดยตั้งเป้าสร้างสถานีชาร์จ 25 แห่งในปีนี้ และสร้างเครือข่ายสถานีชาร์จภายในรัศมี 15 กิโลเมตรทั่วกรุงเทพฯ

“ภายในปี 2570 เราวางแผนจะสร้างสถานีชาร์จให้ครอบคลุม 100 เมืองทั่วประเทศ เป็นจำนวน 200 แห่ง เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า AION และ HYPTEC จะได้รับความสะดวกสบายในการชาร์จไฟฟ้า ขณะเดียวกันในด้านการพัฒนาบุคลากร เราได้เพิ่มจำนวนพนักงานในประเทศไทยถึง 12.6 เท่า จากช่วงเริ่มต้น และได้สนับสนุนการสร้างงานในท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง”

ในส่วนของสิทธิประโยชน์ HYPTEC Exclusive Privilege ประกอบไปด้วย…

1. Financial Benefit ดอกเบี้ยพิเศษ 0.99% (เมื่อดาวน์ 30% ผ่อน 48 งวด)
*เมื่อรับรถและจดทะเบียนรถ ระหว่างวันที่ 19 กันยายน 2567 ถึง 31 ธันวาคม 2567

2. Exclusive Warranty Package
- รับประกันแบตเตอรี่ และชุดขับเคลื่อนไฟฟ้าแบบรวม ตลอดอายุการใช้งาน (เฉพาะเจ้าของรถส่วนบุคคล ผู้ครอบครองรถลำดับที่ 1, และไม่ใช้งานรถในลักษณะเชิงพาณิชย์) *กรณีไม่เข้าตามเงื่อนไขด้านบน ระยะการรับประกันสำหรับชิ้นส่วนแบตเตอรี่และระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าแบบรวม จะถูกปรับเปลี่ยนเงื่อนไขการรับประกันเป็น 8 ปี หรือ 240,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) โดยนับจากวันที่ออกรถ

- รับประกันคุณภาพรถยนต์ 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)
- รับประกันชิ้นส่วนประตูปีกนก 8 ปี หรือ 240,000 กิโลเมตร (แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน)

3.Insurance Gift ฟรี ประกันภัยชั้น 1 นาน 1 ปี

4. Exquisite Gifts ฟรี ฟิล์มกระจก แผ่นรองเท้า ค่าจดทะเบียน

5. Exclusive Deal for Home Charger ฟรี Home Chager พร้อมบริการติดตั้ง (ฟรีสายไฟความยาวไม่เกิน 20 เมตร / รับประกันเครื่องชาร์จ 1 ปี)

6. In-car Internet Service แพ็กเกจอินเทอร์เน็ตในรถยนต์ฟรี นาน 2 ปี ไม่จำกัดปริมาณการใช้งาน

7. Lifetime OTA Firmware Update ล้ำสมัยตลอดการขับขี่ บริการอัปเกรดซอฟต์แวร์ที่เกี่ยวข้องในระบบรถยนต์ฟรีตลอดชีพ

8. 24 Hours Roadside Service บริการช่วยเหลือฉุกเฉินบนท้องถนนฟรี ตลอด 24 ชั่วโมง นาน 8 ปี

*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด

‘ผู้ว่าแบงก์ชาติ’ ชี้!! ถึงเฟดปรับลดดอกเบี้ย ก็ไม่ใช่ว่าไทยต้องลดตาม แจง!! การลดดอกเบี้ยของไทยควรขึ้นอยู่กับ 3 ปัจจัยหลัก

(20 ก.ย. 67) นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงกรณีธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีมติปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.50% ว่า กรณีเฟดไม่ใช่ว่าเฟดลดแล้วเราต้องลด การที่เฟดลดดอกเบี้ยมีผลกระทบต่อปัจจัยหลายด้าน ซึ่งเป็นตัวแปรที่เราต้องตัดสินใจเรื่องดอกเบี้ย

การดำเนินนโยบายการเงินของ ธปท. ยังคงเน้นจากปัจจัยภายในประเทศเป็นหลัก ใน 3 ปัจจัย กล่าวคือ แนวโน้มเศรษฐกิจว่าสามารถเติบโตได้ถึงศักยภาพหรือไม่ อัตราเงินเฟ้อ จะเข้ากรอบเป้าหมายหรือไม่ และเสถียรภาพด้านการเงิน แต่การพิจารณาจากสิ่งเหล่านี้ ก็หนีไม่พ้นต้องคำนึงถึงภาพรวมด้วย

ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ การปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินของธนาคารกลางรายใหญ่ของโลกควบคู่กันด้วย เพราะการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางในประเทศขนาดใหญ่ ย่อมมีผลกระทบในภาพรวม ที่ต้องคำนึงถึงผ่าน 3 ปัจจัยนี้

อย่างไรก็ดี สำหรับการตัดสินใจต่อนโยบายดอกเบี้ยของไทยจาก 3 ปัจจัยดังกล่าว ในปัจจุบัน ยังไม่เห็นสิ่งที่ทำให้ภาพการประเมินเศรษฐกิจต่างไปจากที่ ธปท.ได้เคยประเมินไว้ โดยยังคง Outlook Dependent ซึ่งเชื่อว่าเป็นกรอบการตัดสินใจที่เหมาะสม ถูกต้อง

นอกเหนือจากนี้ต้องคำนึงว่าการลดดอกเบี้ยจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริงแค่ไหน ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างภาระหนี้เดิม กับสินเชื่อใหม่ที่จะเกิดขึ้น และอยากฝากว่า การลดดอกเบี้ยนั้น ผลที่จะส่งต่อไปยังการลดภาระหนี้อาจจะไม่ได้เต็มที่ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง การปรับลดดอกเบี้ย ผลที่จะได้รับอาจไม่มากเท่ากับการปรับโครงสร้างหนี้ และจะคาดหวังว่าดอกเบี้ยลงแล้ว ภาระหนี้จะลดลงทันที คงไม่ใช่

'ดร.คงกระพัน' ซีอีโอ ปตท. คว้ารางวัลสุดยอดผู้บริหารองค์กรแห่งปี 2024 'DAILYNEWS TOP CEO OF THE YEAR 2024' ในวาระเดลินิวส์ครบรอบ 60 ปี

เมื่อวานนี้ (19 ก.ย.67) ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) รับรางวัลเกียรติยศ 'สุดยอดผู้บริหารองค์กรแห่งปี 2024' จากกองบรรณาธิการเดลินิวส์ ในงาน 'DAILYNEWS TOP CEO OF THE YEAR 2024' เนื่องในวาระเดลินิวส์ครบรอบ 60 ปี 

โดยการมอบรางวัลดังกล่าว เพื่อยกย่องเชิดชูเกียรติผู้บริหารสูงสุดขององค์กรที่มีผลงานเด่นชัดในการบริหารธุรกิจ ซึ่ง 'ดร.คงกระพัน' ผลักดันการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม ปตท. ภายใต้วิสัยทัศน์ 'ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน' หรือ 'TOGETHER FOR SUSTAINABLE THAILAND, SUSTAINABLE WORLD' เร่งสร้างความแข็งแรงและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในธุรกิจ โดยยึดมั่นภารกิจสร้างความมั่นคงทางพลังงาน ให้เป็นที่ยอมรับและมีมาตรฐานระดับสากล สร้างความเชื่อมั่นให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ทุกภาคส่วน พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ควบคู่กับการมุ่งบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ สู่การเติบโตขององค์กรในระดับโลกอย่างยั่งยืน

ทั้งนี้ ในงานดังกล่าวมีการมอบรางวัลรวม 25 รางวัล ให้กับผู้บริหารระดับสูงทั้งภาคเอกชน, ภาครัฐ และรัฐวิสาหกิจ ที่ประกอบกิจการอุตสาหกรรมและกิจการบริการ ซึ่งทุกรางวัลผ่านการพิจารณาอย่างรอบด้าน อาทิ ความเป็นผู้นำ วิสัยทัศน์และความสามารถในการบริหารองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน การดำเนินธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับชุมชนและสิ่งแวดล้อม เพื่อถ่ายทอดความรู้และกลยุทธ์ของผู้บริหารองค์กรที่ประสบความสำเร็จ และสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ผู้บริหารรุ่นใหม่ ซึ่งล้วนแต่เป็นรากฐานที่สำคัญของการพัฒนาประเทศไทยต่อไป

'รมว.เอกนัฏ' ปลุก!! 'กนอ.' ตีหลากโจทย์ภาคอุตสาหกรรมไทย 'เศรษฐกิจสีเขียว-ผลักดันอุตฯ ป้องกันประเทศ-สนับสนุน SMEs'

(19 ก.ย. 67) นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 18 ก.ย.67 ได้มีโอกาสไปตรวจเยี่ยม และมอบนโยบายให้กับ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ซึ่งก็ได้รับทราบถึงแผนงาน รวมถึงปัญหาอุปสรรคของ กนอ.หลายเรื่อง โดยได้เน้นย้ำถึงพันธกิจของกระทรวงฯ ที่ กนอ.เป็นหนึ่งในหน่วยงานสำคัญที่ต้องเข้ามาร่วมขับเคลื่อน โดยเฉพาะปฏิรูปอุตสาหกรรมไทยให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งการยกระดับอุตสาหกรรมเดิมที่มีอยู่ ไปถึงการดึงดูดการลงทุนกลุ่มอุตสาหกรรมแห่งอนาคตที่มีศักยภาพ เช่น เซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor) ที่เป็นหัวใจสำคัญของเทคโนโลยีสมัยใหม่ หรืออุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ ที่ผู้ประกอบการในไทยหลายรายมีศักยภาพสูง นอกจากนี้ยังต้องยกระดับเศรษฐกิจไทยไปสู่การเป็นเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ในการพัฒนาเศรษฐกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาสังคม และรักษาสิ่งแวดล้อม

นายเอกนัฏ กล่าวต่อว่า ในส่วนของการจัดการกากอุตสาหกรรม เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม และสุขภาพอนามัยของประชาชน ที่ผ่านมา กนอ.ถือว่าทำได้ดีอยู่แล้ว แต่อาจจะต้องวางแนวทางประสานข้อมูลกับทางกระทรวงฯ และต่อยอดองค์ความรู้ของ กนอ.ไปสู่ผู้ประกอบการนอกนิคมฯ เพื่อให้เกิดโรงงานสีเขียวทั่วประเทศ ซึ่งขณะนี้กระทรวงฯ กำลังจัดฐานข้อมูลของแต่ละหน่วยงานในกระทรวงฯ ให้เป็นหนึ่งเดียวตามแนวนโยบายรัฐบาลดิจิทัล (Digital Government) จึงอยากให้มีการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่าง กนอ. และกระทรวงฯ ทั้งในเรื่องการจัดการจากอุตสาหกรรม, ขออนุมัติ-อนุญาต และการรายงานผลประกอบการผ่านแพลตฟอร์มเดียวกัน (Single Form) เพื่อให้ฐานข้อมูลที่ทุกหน่วยงานสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้

รมว.อุตสาหกรรม กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังได้ฝากให้ กนอ.เข้าไปช่วยเหลือส่งเสริม SMEs ไทยในการพัฒนาเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทย โดยอาจจะจัดพื้นที่ และสนับสนุนเทคโนโลยีที่มีอยู่ภายในนิคมฯ ให้แก่ธุรกิจ SMEs ทั้งในแง่ของการลดต้นทุนการดำเนินธุรกิจ การเข้าถึงแหล่งทุน และการสร้าง Supply Chain หรือห่วงโซ่อุปทานให้เกิดขึ้นระหว่างผู้ประกอบการภายในนิคมอุตสาหกรรมนั้นๆ 

“ผมเห็นแล้วว่า หน่วยงานในสังกัดกระทรวงอุตสาหกรรมเรามีเป้าหมายเดียวกัน และเชื่อมั่นว่าการทำงานของเราจะสำเร็จตามเป้าหมาย เพราะเรามองเห็นภาพเดียวกัน และจับมือและเดินไปด้วยกัน การทำงานร่วมกันเป็นทีม และแสวงหาความร่วมมือกับภาคเอกชน เพื่อเป้าหมายเดียวกันในการปฏิรูปอุตสาหกรรม” นายเอกนัฏ ระบุ

ทั้งนี้ โอกาสเดียวกัน นายยุทธศักดิ์ สุภสร ประธานกรรมการ กนอ. ได้กล่าวย้ำถึงบทบาทสำคัญของ กนอ. ในฐานะหน่วยงานรัฐวิสาหกิจหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม และส่งเสริมภาคอุตสาหกรรม พร้อมนำเสนอข้อมูลการลงทุน (Investment Outlook) และดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมในภาพรวมและในนิคมอุตสาหกรรมที่ผ่านมาว่า พื้นที่นิคมฯที่ กนอ.ดำเนินการเอง และพื้นที่ร่วมดำเนินงาน ยังมีความสามารถที่จะรองรับการลงทุน โดยเฉพาะจากนักลงทุนต่างชาติได้อีกมาก

ด้าน นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ กรรมการ กนอ. รักษาการในตำแหน่งผู้ว่าการ กนอ. ได้นำเสนอวิสัยทัศน์ 'นิคมอุตสาหกรรมสู่มาตรฐานสากลด้วยนวัตกรรมอย่างยั่งยืน' ที่มุ่งพัฒนานิคมอุตสาหกรรมครบวงจรอย่างยั่งยืน ยกระดับความได้เปรียบในการแข่งขันแก่นักลงทุน และเพิ่มคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนได้เสีย สังคม และสิ่งแวดล้อมบนหลักธรรมาภิบาล พร้อมรายงานความคืบหน้าของโครงการท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 ช่วงที่ 1, นิคมอุตสาหกรรม Smart Park, การศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมตามแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน หรือนิคมฯ Circular, นิคมอุตสาหกรรมเพื่อรองรับโครงการแลนด์บริดจ์ในพื้นที่ จ.ระนองและ ชุมพร, นิคมอุตสาหกรรมฮาลาล และแนวคิดโครงการเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

นายสุเมธ ยังได้นำเสนอแผนงานตามนโยบาย “การปฏิรูปอุตสาหกรรม สู่เศรษฐกิจยุคใหม่ ทันสมัย สะอาด สะดวก โปร่งใส 3 ปฏิรูป 3 แนวทาง” ของ รมว.อุตสาหกรรม ด้วยว่า กนอ.ได้วางแนวทางเพื่อสนับสนุนนโยบายไว้ 3 เรื่องสำคัญที่จะเร่งดำเนินการ คือ 

1.การจัดตั้งศูนย์บ่มเพาะ SMEs (I-EA-T Incubation) เพื่อสร้างความเท่าเทียมในการแข่งขันของ SMEs โดยการใช้นิคมฯ เพื่อลดค่าใช้จ่ายให้ SMEs เบื้องต้นจะเริ่มดำเนินการ และพร้อมเปิดนิคมฯที่นิคมฯลาดกระบัง ภายใน 3 เดือน และการผลักดันแก้ไขปัญหาผังเมืองในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจหรือเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่จะดำเนินการภายใน 3 เดือนเช่นกัน

2.การบริหารจัดการกากอุตสาหกรรมครบวงจร ผ่านความร่วมมือกับกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ในการเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อลดขั้นตอนและเวลา เรื่องนี้จะสามารถดำเนินการได้เต็มรูปแบบภายใน 6 เดือน และ 3.การสร้าง Eco System หรือระบบนิเวศทางธุรกิจใหม่ โดยใช้แพลตฟอร์ม (Platform) ต่างๆ เพื่อรองรับอุตสาหกรรมยุคใหม่ ให้ง่ายต่อการประกอบกิจการ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ภายใน 1 ปี

“กนอ.ขอรับการสนับสนุนจาก รมว.อุตสาหกรรม ในด้านต่างๆ เช่น การผลักดันกฎหมายผังเมือง EEC, การบูรณาการแก้ไขการจัดการกากอุตสาหกรรมครบวงจร, Fast Track Lane (ช่องทางพิเศษเพื่ออำนายความสะดวกแก่ผู้ประกอบการ) กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กรมโยธาธิการและผังเมือง, กรมที่ดิน และ BOI (สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน) เพื่อให้โครงการตามนโยบายของ รมว.อุตสาหกรรม สำเร็จลุล่วง และที่ต้องการใช้กลไกของกระทรวงอุตสาหกรรม ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ” นายสุเมธ ระบุ

'บีโอไอ' ไฟเขียว!! ไฮเออร์' ลงทุนไทย 1.3 หมื่นล้าน จ้างงานคนไทย 3 พันตำแหน่ง ยกระดับไทยสู่ฐานผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะแห่งใหม่นอกประเทศจีน

(19 ก.ย. 67) นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า คณะอนุกรรมการพิจารณาโครงการ ซึ่งได้รับมอบอำนาจจากบอร์ดบีโอไอ ได้อนุมัติคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนกิจการผลิตเครื่องปรับอากาศอัจฉริยะ ของบริษัท ไฮเออร์ แอพพลายแอนซ์ แมนูแฟคเจอร์ จำกัด ภายใต้แบรนด์ 'Haier' ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้ารายใหญ่จากประเทศจีน ซึ่งมียอดขายอันดับ 1 ของโลกติดต่อกัน 15 ปี (ตั้งแต่ปี 2552 - 2566) จากการจัดอันดับโดยยูโรมอนิเตอร์

โครงการนี้จะมีกำลังการผลิตเครื่องปรับอากาศอัจฉริยะที่มีระบบเซ็นเซอร์และอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งตรวจจับและรับข้อมูลได้ และสามารถเชื่อมต่อกับ Smart Phone และอุปกรณ์อื่น ๆ ผ่านเครือข่าย Wi-Fi จำนวน 6 ล้านเครื่องต่อปี มีเงินลงทุนสูงถึง 13,400 ล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 200 ไร่ ที่นิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 3 จังหวัดชลบุรี โดยเฟสแรกจะเร่งลงทุนและติดตั้งกำลังการผลิต 3 ล้านเครื่องให้แล้วเสร็จ พร้อมเริ่มผลิตภายในเดือนกันยายน 2568 และจะเปิดเต็มโครงการภายในปี 2570 มีแผนการจ้างงานบุคลากรไทยกว่า 3,000 คน โครงการนี้จะเป็นการผลิตเพื่อส่งออกเป็นหลัก มีมูลค่าการส่งออกกว่า 32,000 ล้านบาทต่อปี 

“ไฮเออร์ได้ตัดสินใจลงทุนครั้งใหญ่เพื่อสร้างโรงงานแห่งใหม่ โดยเลือกประเทศไทยเป็นฐานการผลิตเครื่องปรับอากาศอัจฉริยะที่ใหญ่ที่สุดนอกประเทศจีน เนื่องจากเห็นว่าประเทศไทยมีโครงสร้างพื้นฐานที่มีคุณภาพ โดยเฉพาะพลังงานไฟฟ้ามีความเสถียรและเพียงพอต่อความต้องการ ห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่ง รวมทั้งพื้นที่ตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ที่มีความพร้อมด้านโลจิสติกส์ ทั้งท่าเรือและเส้นทางคมนาคมที่สะดวกเพื่อสนับสนุนการส่งออก อีกทั้งมีมาตรการส่งเสริมการลงทุนจากภาครัฐ ถือเป็นความสำเร็จในการดึงดูดโครงการลงทุนที่มีคุณภาพ ซึ่งจะช่วยสร้างประโยชน์ให้กับประเทศไทย ทั้งด้านการสร้างงาน การพัฒนาบุคลากร การใช้วัตถุดิบในประเทศ และเพิ่มมูลค่าการส่งออกของไทยในตลาดโลก” นายนฤตม์ กล่าว

นอกจากโรงงานแห่งใหม่ที่จังหวัดชลบุรี ที่ผ่านมากลุ่มไฮเออร์ได้รับการส่งเสริมการลงทุนในกิจการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ เช่น ตู้เย็น เครื่องซักผ้า หม้อหุงข้าวไฟฟ้า กระติกน้ำร้อนไฟฟ้า คอมเพรสเซอร์สำหรับตู้เย็น เป็นต้น ภายใต้ชื่อบริษัท ไฮเออร์ อีเล็คทริค (ประเทศไทย) จำกัด รวม 9 โครงการ เงินลงทุนกว่า 3,000 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่เขตอุตสาหกรรมกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมขยายกิจการผลิตตู้เย็นในพื้นที่โรงงานเดิมด้วย  

ปัจจุบันประเทศไทยเป็นฐานการผลิตชั้นนำของอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าในภูมิภาคอาเซียน และเป็นสินค้าส่งออกอันดับต้น ๆ ของไทย โดยผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จากพัฒนาการของเทคโนโลยีดิจิทัล ทั้ง AI, 5G และ IoT ที่เปลี่ยนมาตรฐานการใช้ชีวิตในโลกสมัยใหม่ที่ผู้บริโภคสามารถเชื่อมต่อและควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ภายในบ้านผ่านระบบอินเตอร์เน็ต 

การส่งเสริมการยกระดับอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าไปสู่ 'เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ' เป็นหนึ่งในเป้าหมายที่สำคัญของบีโอไอ โดยตั้งแต่ปี 2566 - มิถุนายน 2567 มีโครงการในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและชิ้นส่วนยื่นขอรับการส่งเสริมจากบีโอไอ จำนวน 144 โครงการ เงินลงทุนรวม 98,550 ล้านบาท โดยกว่าร้อยละ 80 เป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ นอกจากไฮเออร์แล้ว ยังมีแบรนด์ชั้นนำต่าง ๆ ที่มีฐานการผลิตในประเทศไทย เช่น มิตซูบิชิ, โซนี่, ไดกิ้น, ซัมซุง, อีเลกโทรลักซ์, ไมเดีย เป็นต้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top