Thursday, 16 May 2024
ECONBIZ NEWS

'วี สแควร์ คลินิก' จัดทัพศิลปิน นางงาม อินฟลูฯ แถลงข่าวดี กอดคอ 'มาสเตอร์พีช' พร้อมอวดสาขาใหม่ล่าสุด เซ็นทรัล เวสต์วิลล์

ฉลองครั้งใหญ่ไฟกะพริบกับความร่วมมือทางธุรกิจศัลยกรรมความงาม สองยักษ์ใหญ่แห่งวงการกอดคอกันกลมรับลมหนาวก่อนปิดปีกระต่ายทอง 2566 ระหว่างแบรนด์ Masterpiece Hospital และ V Square Clinic ขนทัพศิลปิน นางงาม อินฟลูเอนเซอร์ ร่วมยินดีแน่น เซ็นทรัล เวสต์วิลล์

ในงานแถลงข่าว 'เปิดบ้าน วี สแควร์ คลินิก และกลยุทธ์ธุรกิจการเติบโตในอนาคต' ของบริษัท วี เอ็กคลูซีฟ กรุ๊ป จำกัด ครั้งนี้ นอกจากเพื่อฉายภาพธุรกิจแล้ว ยังนับเป็นปาร์ตี้เฉลิมฉลองเพื่อแจ้งข่าวดีเรื่องความร่วมมือทางธุรกิจกับบิ๊กเนมเจ้าตลาดศัลยกรรมฯ อย่างโรงพยาบาลมาสเตอร์พีช พร้อมทัพศิลปิน นางงาม และอินฟลูเอนเซอร์ ตบเท้าเข้าร่วมงานคับคั่ง อาทิ ฟลุค - เกริกพล มัสยวาณิช, ตุ้ย - ธีรภัทร สัจจกุล, กี้ - นิโคล เทริโอ, อินฟลูเอนเซอร์คนดัง นินิว เพชรด่านแก้ว, ออยล์ - จุฑามาศ เมฆเสรี 

และนางงามจากหลายเวที อาทิ MUT ร้อยเอ็ด เอิร์ธ - กรประภา พลเขต, MUT อุดรธานี ซาร่า -สุภัสสรา สุปัญญา (ซาร่า), มิสแกรนด์นครพนม โอลีฟ - ศศิชา ดวงเกษ, Miss Angie Beauty Queen Thailand หมีพูห์ - วาสิตา ไชยกุลชื่นสกุล, Miss Trans Thailand ดร.พอลลี่ ณฑญา เป้ามีพันธ์, Miss Sexy Thailand เซียน - ปิยพร สังข์สุวรรณ ณ บริเวณ ชั้น G ลานน้ำตก Amphi Theatre, Central Westville (ลานแอมฟิ เธียเตอร์, เซ็นทรัล เวสต์วิลล์)

หลังจบพิธีการงานแถลงด้านกลยุทธ์ ธุรกิจและการตลาด เจ้าบ้าน วี สแควร์ คลินิก -นายแพทย์ พุทธพงศ์ เหลืองรัตน์ และคุณแป๊บ - นิวัฒน์ ตั้นตระกูล พร้อมแขกเยือนผู้มาร่วมกอดคอโรงพยาบาลมาสเตอร์พีช Specialty Hospital ของอุตสาหกรรมด้านความงามอันดับต้นของประเทศไทยและเอเชีย โดย หมอเส - นายแพทย์ระวีวัฒน์ มาศฉมาดล ซีอีโอ และ คุณดาว - ลภัสรดา เลิศภานุโรจ รองซีอีโอ บมจ.มาสเตอร์ สไตล์ ร่วมนำทัพศิลปิน นางงาม อินฟลูเอนเซอร์ และสื่อมวลชน อวดโฉมสาขาล่าสุดของ วี สแควร์ คลินิก ณ เซ็นทรัล เวสต์วิลล์ พร้อมช็อตเด็ดเซอร์ไพรส์ 'หมอเบส แห่ง วี สแควร์ คลินิก ฉีดโบทอกซ์ให้หมอเส แห่ง โรงพยาบาลมาสเตอร์พีช' ตอกย้ำความน่าเชื่อถือระดับซีอีโอ และก่อนหน้านี้ตัวหมอเบสเองก็ฉีดฟิลเลอร์ครึ่งซีกด้านขวาของตนเอง เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างอย่างมีนัยยะหว่างซีกหน้าที่ฉีดและไม่ได้ฉีดฟิลเลอร์ว่า ใบหน้าซีกขวาไม่ว่าจะใต้ตาและร่องแก้มที่หย่อนคล้อยกลับฟื้นฟู ดูยกกระชับ อ่อนเยาว์ แถมเห็นผลในทันที ทำเอาอึ้งกันทั้งวงการ 

งานนี้ 'แข่งกัน...ไม่ดี ข้ามแบรนด์...ไม่มี มีแต่จับมือ กอดคอ ผนึกกำลังกันแกร่ง สะเทือนลั่นวงการอุตสาหกรรมความงาม'

ย้อนกล่าวถึงแบรนด์ วี สแควร์ คลินิก โดยสรุปคือ ความเป็นเจ้าตลาดคลินิกเสริมความงามมายาวนานนับทศวรรษ โดย บริษัท วี เอ็กคลูซีฟ กรุ๊ป จำกัด ผู้ประกอบกิจการ วี สแควร์ คลินิก ภายใต้การนำของ นายแพทย์ พุทธพงศ์ เหลืองรัตน์ หัวหน้าทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์ด้านความงามอย่างยาวนาน พร้อมทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางที่มีประสบการณ์และเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางในด้านความงาม เช่น คลินิกปรับรูปหน้ายอดนิยม โดยให้บริการฟิลเลอร์ โบทอกซ์ ร้อยไหม เมโส Hifu CoolSculpting รวมถึงการนำเทคโนโลยียกกระชับอย่าง Thermage FLX และ New Ulthera SPT ดูแลโดยทีมแพทย์ที่สั่งสมประสบการณ์ยาวนานกว่า 15 ปี ชำนาญการปรับรูปหน้าในเคสที่หลากหลายด้วยความพิถีพิถัน เพื่อดูแลและให้คำแนะนำที่ดีที่สุด โดยมุ่งเน้นเรื่องความปลอดภัยและผลลัพธ์ที่ดูเป็นธรรมชาติ และมีการติดตามผลทุกเคส

นอกจากนี้ยังเป็นคลินิกความงามที่มีรีวิวจากผู้มารับบริการจริง และมีลูกค้าเพิ่มขึ้นจากการบอกต่อเป็นจำนวนมาก ผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์ที่ใช้ทุกตัวเป็นแบรนด์ระดับโลก จากประเทศสหรัฐอเมริกา สวีเดน และสวิตเซอร์แลนด์สามารถตรวจสอบกับผู้ผลิตได้ทุกชิ้นว่าเป็นของแท้ ทำให้ผู้รับบริการรู้สึกมั่นใจในคุณภาพและความปลอดภัย โดยจุดแข็งของ วี สแควร์ คลินิก ที่ผู้รับบริการกล่าวถึงมากที่สุด ได้แก่ ราคาที่ย่อมเยา คุ้มค่าและสมเหตุสมผล วี สแควร์ คลินิก มี 24 สาขา ทั่วกรุงเทพฯ ดูแลผิวพรรณและเลเซอร์ด้วยวิวัฒนาการทางการแพทย์ที่ทันสมัยและได้รับมาตรฐานระดับสากล

ได้ฤกษ์!! 'มอเตอร์เวย์โคราช-บางปะอิน' เปิดวิ่งฟรี 80 กม.  ดีเดย์ 28 ธ.ค.นี้ อนุญาตเฉพาะรถ 4 ล้อเท่านั้น

(7 ธ.ค. 66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตรวจติดตามความคืบหน้าโครงการก่อสร้างมอเตอร์เวย์บางปะอิน - นครนครราชสีมา และความพร้อมที่จะเปิดให้บริการช่วงสีคิ้ว - นครราชสีมา ภายหลังตรวจติดตามฯ และรับฟังบรรยายสรุปข้อมูลโครงการก่อสร้างมอเตอร์เวย์บางปะอิน - นครนครราชสีมา นายกรัฐมนตรีกล่าวว่าในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 ตั้งแต่วันที่ 28 ธ.ค. 2566 เป็นต้นไป จะเปิดใช้ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหมายเลข 6 หรือ มอเตอร์เวย์ M6 หรือ ‘มอเตอร์เวย์โคราช-บางปะอิน’ ฟรีตลอดจนกว่าการก่อสร้าง ‘มอเตอร์เวย์โคราช-บางปะอิน’ จะแล้วเสร็จสมบูรณ์พร้อมเก็บค่าผ่านทางในปี 2568 พร้อมสั่งการให้กระทรวงคมนาคม โดยกรมทางหลวง เปิดใช้ มอเตอร์เวย์บางปะอิน-โคราช ตอน 24 ตำบลหนองสาหร่าย อำเภอปากช่อง จ.นครราชสีมา ถึง ตอน 40 อำเภอเมืองนครราชสีมา จ.นครราชสีมา แบบไปกลับ 4 ช่องจราจร ระยะทาง 77.493 กิโลเมตร เฉพาะรถยนต์ 4 ล้อเท่านั้น ตลอด 24 ชั่วโมง และให้มีจุดบริการห้องน้ำ 1 จุด ช่วง อำเภอปากช่อง - อำเภอสีคิ้ว ที่ กม.147 ทั้งขาเข้าและขาออก

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้กรมทางหลวง กำชับสำนักงานทางหลวง และแขวงทางหลวง ที่ดูแล ‘มอเตอร์เวย์โคราช-บางปะอิน’ มอเตอร์เวย์ M6 ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของประชาชนที่ใช้เส้นทาง ปรับปรุงเส้นทางให้เกิดทัศนวิสัยในการมองเห็นชัดเจน มีการจัดตั้งศูนย์บริการประชาชน เพื่ออำนวยความสะดวก โดยบูรณาการร่วมกับหน่วยงานราชการ และเอกชนในพื้นที่ ติดตั้งไฟฟ้าส่องแสงสว่างตลอดเส้นทาง รวมถึงติดตั้งป้ายเตือน ป้ายแนะนำ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชน โดยเฉพาะติดตั้งป้ายระหว่างการก่อสร้าง ในช่วงที่ยังมีการก่อสร้าง ต้องมีป้ายเตือน ไฟเตือนให้เป็นไปตามระเบียบ และให้เพิ่มให้มากขึ้นในช่วงที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุ

สำหรับความคืบหน้า ‘มอเตอร์เวย์โคราช-บางปะอิน’ ข้อมูล ณ เดือนพฤศจิกายน 2566 แผนงานความก้าวหน้าร้อยละ 92.588 ผลงานความก้าวหน้าร้อยละ 93.054 เร็วกว่าแผนร้อยละ 0.466 คาดว่าจะเปิดทดลองให้บริการช่วงเทศกาลปีใหม่ 2567 ตั้งแต่ปากช่อง - ทางเลี่ยงเมืองนครราชสีมา ระยะทางประมาณ 80 กิโลเมตร 

ทั้งนี้ งานโยธาจะก่อสร้างเสร็จแล้วปลายปี 2568 โดยจะทดลองวิ่งจริงและเปิดให้บริการเต็มรูปแบบ ทั้ง 196 กิโลเมตรแบบเก็บค่าผ่านทาง ส่วนโครงการก่อสร้างกำแพงบังสายตาพร้อมวัสดุปิดคลุมแบบสมบูรณ์ 700 เมตร และกำแพงบังตารวม 1,000 เมตร ช่วง กม.140+040.000 ถึง กม.140+345.000 และช่วง กม.141+045.000 ถึง 141+740.000 ได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อยแล้ว

>> เส้นทาง ‘มอเตอร์เวย์โคราช-บางปะอิน’ ทั้งโครงการ มีแนวเส้นทางดังนี้ 

แนวเส้นทางโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง ‘มอเตอร์เวย์โคราช-บางปะอิน’ มีระยะทางรวมประมาณ 196 กิโลเมตร โดยออกแบบให้มีการควบคุมการเข้าออกอย่างสมบูรณ์ มีจุดเริ่มต้นเชื่อมต่อกับถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันออก (ถนนกาญจนาภิเษก) อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และไปสิ้นสุดที่บริเวณทางเลี่ยงเมืองจังหวัดนครราชสีมาด้านตะวันตก อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ระยะทางก่อสร้างรวมทั้งสิ้น 196 กม. หากเดินทางจาก กรุงเทพฯ - โคราช คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2 ชม.

'1.4 แสนชาวไร่อ้อย' เฮ!! ครม.ไฟเขียว จ่ายเงินหนุนตัดอ้อยสดตันละ 120 บาท ขอบคุณ 'รมว.ปุ้ย' จัดให้ หวัง!! อยากให้มีของขวัญแบบนี้ในทุกๆ ปี

(7 ธ.ค. 66) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามที่ประชุมคณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบเงินสนับสนุนตัดอ้อยสด ในโครงการสนับสนุนเกษตรกรชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสดคุณภาพดีเพื่อลดฝุ่น pm 2.5 ตามที่กระทรวงอุตสาหกรรมเสนอ โดยชาวไร่อ้อยจะได้รับเงินสนับสนุนตัดอ้อยสดตันละ 120 บาท คาดว่า มีชาวไร่อ้อยที่เข้าร่วมโครงการประมาณ 140,000 ราย ทั้งนี้ โครงการฯจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับชาวไร่อ้อย และส่งผลต้นทุนการผลิตอ้อยปรับตัวสูงขึ้น 

จากการคาดการณ์ใน ปี 2567-2568 ถึงแม้อุตสาหกรรมอาหาร และเครื่องดื่มที่มีการใช้น้ำตาลในการเป็นวัตถุดิบในการผลิตจะขยายตัวเพิ่มขึ้น หากแต่เกษตรกรชาวไร่อ้อยที่เป็นวัตถุดิบในการผลิตน้ำตาล กลับต้องเผชิญกับปัญหาเรื่องต้นทุนการเพาะปลูกที่สูงขึ้นทั้งด้านพลังงาน ปุ๋ย ยาปราบศัตรูพืช และค่าจ้างแรงงานเก็บเกี่ยวโดยเฉพาะอ้อยสด ซึ่งส่งผลต่อรายได้สุทธิและการตัดสินใจเพาะปลูกของเกษตรกร

ทั้งนี้ น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รมว.กระทรวงอุตสาหกรรม ได้เล็งเห็นปัญหาต่าง ๆ และได้เร่งดำเนินการแก้ไขโดยเริ่มจากการเสนอโครงการสนับสนุนเกษตรกรชาวไร่อ้อยตัดอ้อยสดคุณภาพดี เพื่อลดฝุ่น pm 2.5 ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) หลังประชุมได้ มีการอนุมัติโครงการดังกล่าว ทำให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยหนองบัวลำภูที่ทราบข่าวรวมตัวกันเดินทางมาที่รอพบรัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรม ที่มีกำหนดการมาดูงานที่โรงงานน้ำตาลเอราวัณ 

เมื่อ น.ส.พิมพ์ภัทรา และคณะได้เดินทางมาถึง นาย สมพร สังข์ศิริ ตัวแทนสมาชิกสมาคมชาวไร่อ้อยหนองบัวลำภู ได้ขอบคุณเป็นภาษาอีสาน ว่า “ผมขอเป็นตัวแทนเกษตรกรชาวไร่อ้อยหนองบัวลำภู และชาวไร่อ้อยไทย ที่ได้รับของขวัญปีใหม่ได้รับเงินสนับสนุนตัดอ้อยสดตันละ 120 บาท รวม ๆ แล้วได้เงินเป็นหมื่นที่สร้างรายได้ให้ครอบครับ และหวังว่าจะมีของขวัญแบบนี้ให้ทุก ๆ ปี แล้วชาวเกษตรกรชาวไร่อ้อยก็มีของขวัญปีใหม่คือสัญญาที่จะทำการเก็บเกี่ยวเฉพาะอ้อยสดเท่านั้นมอบให้ ครม. ด้วยเช่นกัน”

จากการอนุมัติโครงการดังกล่าวส่งผลให้เกษตรกรชาวไร่อ้อยที่เข้าร่วมโครงการ ประมาณ 140,000 ราย มีรายได้เพิ่มขึ้นประมาณ 8,000 ล้านบาท อีกทั้งการที่เกษตรกรชาวไร่อ้อยเก็บเกี่ยวอ้อยสด นั้นมีผลดีหลายอย่าง เช่น จะทำให้อ้อยที่เก็บเกี่ยวมีปริมาณมากขึ้นเพราะไม่สูญเสียจากความร้อนของไฟที่เผาไหม้ หรือสารอาหารแร่ธาตุต่าง ๆ ในดินก็ไม่เสียหาย และที่สำคัญ ยังลดมลพิษ pm 2.5 ในอากาศ เมื่อไม่มีการเผาไหม้ก็เกิดผลดีทั้งเกษตรกรและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย

กลุ่ม ปตท. จุดพลัง ‘สุดยอดนักขาย’ และ ‘สุดยอดไอเดียการตลาด’ มอบรางวัล ‘Young Influencer Challenge Thailand 2023’

เมื่อไม่นานมานี้ ณ อาคาร ปตท. สำนักงานใหญ่ นางกนกพร รอดรุ่งเรือง ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่บริหารชื่อเสียงองค์กรและกิจการเพื่อสังคม บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) (ปตท.) เป็นประธานใน พิธีประกาศผลและมอบรางวัลโครงการ ‘Young Influencer Challenge Thailand 2023 : ชวน U สร้างรอยยิ้ม’ ภายใต้ความร่วมมือของ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) บริษัท เทลสกอร์ จำกัด และ บริษัท ประชารัฐรักสามัคคีระยอง (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด เพื่อนำความรู้จากสถาบันการศึกษามาใช้วางแผนการตลาดให้กับสินค้าชุมชน และแข่งขันจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชนในโครงการชุมชนยิ้มได้ ซึ่งมีเยาวชน 30 ทีม จาก 10 มหาวิทยาลัยเข้าร่วมโครงการฯ โดย ปตท. และผู้สนับสนุน ร่วมมอบเงินรางวัลรวมมูลค่า 65,000 บาท เพื่อเป็นกำลังใจในการสร้างสรรค์ผลงานของนิสิต นักศึกษา

นางกนกพร รอดรุ่งเรือง กล่าวว่า โครงการ ‘Young Influencer Challenge Thailand 2023 : ชวน U สร้างรอยยิ้ม’ เป็นกิจกรรมที่เปิดพื้นที่ให้เยาวชนได้แสดงพลังและปลุกไอเดียความคิดสร้างสรรค์ พร้อมนำองค์ความรู้มาประยุกต์ใช้พัฒนาแผนการตลาดจำหน่ายสินค้าชุมชนในโครงการ ‘ชุมชนยิ้มได้ โดย กลุ่ม ปตท.’ ผ่านช่องทางออนไลน์ สร้างประสบการณ์จริง ซึ่งตลอดการแข่งขันในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เยาวชนทั้ง 30 ทีม กว่า 137 คน จาก 10 มหาวิทยาลัย ได้แสดงศักยภาพในการสื่อสารการตลาดทางออนไลน์ให้กับสินค้ากับชุมชน โดยศึกษาอัตลักษณ์สินค้าชุมชนร่วมกับชุมชนเจ้าของสินค้านั้น ๆ อย่างจริงจัง จนมาสู่การวางแผนการตลาด ทำให้สามารถสร้างรายได้ในการจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทาง www.ชุมชนยิ้มได้.com รวมเป็นเงิน 547,048 บาท ในระยะเวลาเพียง 1 เดือน ส่งเสริมให้สินค้าชุมชนในโครงการฯ เป็นที่รู้จักแพร่หลายเพิ่มมากขึ้น 

อีกทั้ง เยาวชนยังได้มอบความรู้ทางการตลาด และสร้างความมั่นใจให้กับชุมชนในการจำหน่ายสินค้าทางออนไลน์ ขณะเดียวกัน โครงการฯ นี้ยังเป็นการจุดประกายความตระหนักในบทบาทของเยาวชนไทยในการเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาเศรษฐกิจของชุมชนยั่งยืนได้ พร้อมเป็นกำลังที่สร้างอนาคตของชาติต่อไปด้วย

สำหรับรางวัลในการแข่งขันโครงการ Young Influencer Challenge Thailand 2023 ประกอบด้วย รางวัลสุดยอดนักขาย (Best Seller Award) จำนวน 5 รางวัล โดย บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) มอบรางวัลทีมที่ยอดจำหน่ายสูงสุด มูลค่า 25,000 บาท และมอบ รางวัลสุดยอดไอเดียการตลาด (Best Idea Award) จำนวน 1 รางวัล มูลค่า 5,000 บาท ซึ่งมีการประชันไอเดียจาก 4 ทีมที่มีแผนการตลาดโดดเด่น โดยไม่เกี่ยวกับยอดขาย เพื่อตัดสินรางวัลภายในพิธีฯ โดยมีรายชื่อทีมผู้ชนะ ดังนี้

รางวัล Best Seller Award :  
• รางวัลชนะเลิศ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สินค้า ‘Mango Cornflake Cookie’ จ.สระบุรี 
• รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 : มหาวิทยาลัยศิลปากร สินค้า ‘หมี่กรอบน้ำมะดันผสมธัญพืช’ จ.นครนายก
• รางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 2 : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สินค้า ‘กล้วยเส้น’ จ.เลย
• รางวัลชมเชย (2 รางวัล) : มหาวิทยาลัยกรุงเทพ สินค้า ‘กระเป๋าสานกระจูดหูยาว’ จ.ระยอง
มหาวิทยาลัยกรุงเทพ สินค้า ‘น้ำผึ้งแท้จากดอกลำไย’ จ.เชียงใหม่  

“ความสำเร็จที่เกิดขึ้นจากการแข่งขันในโครงการนี้ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของเยาวชนคนรุ่นใหม่ ที่สามารถส่งเสริมการขายสินค้าชุมชนด้วยไอเดียการตลาดที่สอดรับเทรนด์การขายสินค้าออนไลน์ ในช่องทางโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ซึ่งช่องทางและแผนการตลาดที่พัฒนาผ่านโครงการฯ ครั้งนี้ สามารถส่งต่อแก่ชุมชน เพื่อส่งเสริมการขายและเป็นช่องทางการสื่อสารกับลูกค้าในอนาคตได้ นับเป็นความภาคภูมิใจขององค์กรที่ได้สนับสนุนพื้นที่ให้เยาวชนได้แสดงฝีมือ และพร้อมที่จะผลักดันและส่งเสริมการพัฒนาบุคลากรเพื่อเป็นพลัง ในการร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศต่อไป” นางกนกพร กล่าว

'นายกฯ เศรษฐา' นัดเจอทีมงานเทศกาลดนตรี EDM ระดับโลก Tomorrowland  ดึงจัดในไทย 10 ปี หวังกระตุ้น 'เศรษฐกิจ-ท่องเที่ยวไทย' ไปยาวๆ

(7 ธ.ค.66) นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ทวิตข้อความ ระบุว่า...

"แฟนๆ EDM อยากไปเทศกาลดนตรี Tomorrowland ไหมครับ เมื่อคืนมีนัดทานข้าวกับทีมงาน เรารอไปสนุกกับเทศกาลระดับโลกพร้อมกันนะครับ ไม่ใช่แค่ปีเดียว แต่อาจจะถึง 10 ปีเต็มเลย"

สำหรับเทศกาลทูมอร์โรว์แลนด์ (Tomorrowland) เป็นเทศกาลดนตรีแนวดนตรีอิเล็กทรอนิกส์แดนซ์ (EDM) ที่จัดขึ้นที่เมืองบูม ประเทศเบลเยียม โดยเริ่มจัดขึ้นครั้งแรกในปี ค.ศ. 2005 และกลายเป็น 1 ในเทศกาลดนตรีที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และมีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก มีแฟนเพลงเข้าร่วมนับหมื่นคน มักจะขายบัตรหมดภายในไม่กี่นาที

ทั้งนี้ ถือว่า นายกฯ เป็นผู้มีรสนิยม และเข้าใจถึงดนตรีที่มีความหลากหลาย ซึ่งเป็นศิลปะหนึ่งในหลายแขนง ทำให้เกิดโอกาสใหม่ๆ ในการพัฒนาเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในประเทศไทยได้อย่างมาก เป็น Music Festival ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติและคนไทยมาร่วมงาน ทำให้มีเงินหมุนเวียนจากกิจกรรมนี้อย่างเดียวหลายพันล้านบาท

การให้ความสำคัญ และเปิดโอกาสให้มีกิจกรรมดนตรีและศิลปะที่หลากหลายมากขึ้น จะเปิดโอกาสใหม่ๆ ในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจผ่านการท่องเที่ยวและการส่งออกผลงานทางศิลปะได้มากขึ้นตามไปด้วย

'รัฐบาลเศรษฐา' เดินหน้า เร่งดัน EEC เฟส 2  มั่นใจ!! ดึงเงินลงทุนจริง 5 แสนล้าน ใน 5 ปี

เมื่อวานนี้ (6 ธ.ค.66) โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี (EEC) ที่เป็นเรือธงในการพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ผ่านมา ได้ถูกหยิบยกมาสานต่อในรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังอีกครั้ง 

ทั้งนี้ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา มีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เป็นประธาน ได้มีการพิจารณาเห็นชอบ ร่างแผนภาพรวมเพื่อการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (2566-2570) ที่เป็นกรอบดำเนินงานหลักของอีอีซี เพื่อให้หน่วยงานต่างๆ ร่วมบูรณาการในการพัฒนาเชิงพื้นที่ในทุกมิติ ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม

ถือเป็นการต่อยอดการพัฒนาอีอีซี จากระยะที่ 1 (2560-2565) ที่มีมูลค่าอนุมัติการลงทุนไปแล้วราว 2 ล้านล้านบาท ซึ่งจากการหารือทางที่ประชุมได้ให้หน่วยงานต่างๆ กลับไปจัดทำร่างแผนปฏิบัติการและการดำเนินงาน รวมถึงขอรับการจัดสรรงบประมาณให้ที่ประชุมพิจารณาอีกครั้งในเดือนมกราคม 2567

นายจุฬา สุขมานพ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (สกพอ.) หรือ อีอีซี เปิดเผยว่า ในการประชุมบอร์ดอีอีซีล่าสุด ได้เห็นชอบร่างแผนภาพรวมเพื่อการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2566-2570 เพื่อให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับทราบ และจัดทำร่างแผนปฏิบัติการและการดำเนินงาน

รวมถึงขอรับการจัดสรรงบประมาณ โดยจะนำร่างแผนดังกล่าวสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี(ครม.) เห็นชอบภายในเดือนธันวาคม 2566 นี้

แหล่งข่าวจากสกพอ.กล่าวว่า ร่างแผนภาพรวมเพื่อการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (2566-2570) เป็นการจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อผลักดันให้เกิดการลงทุนจริงในพื้นที่อีอีซีระยะที่ 2 ให้ได้ โดยมีเป้าหมายไว้ราว 5 แสนล้านบาทในระยะเวลา 5 ปี หรือเฉลี่ยปีละ 1 แสนล้านบาท

ทั้งนี้จะช่วยสร้างผลิตภัณฑ์มวลรวมของพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Gross Provincial Cluster Product : GPCP EEC) ขยายตัวเฉลี่ย 6.3% และดัชนีความก้าวหน้าของคน (Human Achievement Index) ในพื้นที่ได้แก่ ดัชนีย่อยด้านชีวิตการงานและดัชนีย่อยด้านเศรษฐกิจ มีอัตราเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2%

“ในปี 2564 GPCP EEC เท่ากับ 2.36 ล้านล้านบาท คิดเป็น 14.6 % ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ ซึ่งช่วงก่อนการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 (ปี 2560-2562) เศรษฐกิจอีอีซีมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องเฉลี่ยเพิ่มขึ้นปีละ 2.1 % จากภาคอุตสาหกรรมและภาคบริการเป็นหลัก”

สำหรับการผลักดันเป้าหมายดังกล่าว จะดำเนินงานภายใต้การพัฒนา 5 แนวทางประกอบด้วย 

1.ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนอุตสาหกรรมเป้าหมายและบริการแห่งอนาคต ที่ตั้งเป้าหมายให้ได้มูลค่าความตกลงสิทธิประโยชน์ปีละ 2.5 แสนล้านบาท มีจำนวนโรงงานอุตสาหกรรมเป้าหมายเพิ่มขึ้น 3.5 % ต่อปี สัดส่วนรายได้ของธุรกิจเอสเอ็มอีในอุตสาหกรรมเป้าหมายต่อจีดีพีในอีอีซีไม่น้อยกว่าปีละ 7 % รวมถึงจำนวนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอุตสาหกรรมเป้าหมายเพิ่มขึ้นปีละ 3.5 %

2. เพิ่มประสิทธิภาพ และการใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภค โดยมีเป้าหมายความสำเร็จของการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหลัก ได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน และการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา แล้วเสร็จกว่า 90% ในปี 2570 การก่อสร้างท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ท่าเทียบเรือ F1 แล้วเสร็จในปี 2570 

ขณะที่การก่อสร้างท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด ระยะที่ 3 ช่วงที่ 1 แล้วเสร็จในปี 2569 โดยจะมีปริมาณการขนส่งสินค้าทางรางเพิ่มขึ้นปีละ 5% มีปริมาณการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดไม่น้อยกว่า 5 % ในปี 2570 และมีปริมาณนํ้าต้นทุนเพียงพอต่อความต้องการใช้ในปี 2570 ที่ 2,888 ล้านลูกบาศก์เมตร

3. ยกระดับทักษะแรงงานให้พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีและนวัตกรรม มีเป้าหมายผลิตภาพแรงงานเพิ่มขึ้นปีละ 2.5% อัตราการว่างงานเฉลี่ยไม่เกินปีละ 0.83% มีแรงงานที่ได้รับการพัฒนาทักษะตามความต้องการของอุตสาหกรรมเป้าหมายไม่น้อยกว่า 2 หมื่นคนต่อปี

4. พัฒนาเมืองให้มีความทันสมัย น่าอยู่อาศัยและเหมาะสมกับการประกอบอาชีพ มีเป้าหมายการพัฒนาเมืองใหม่และเมืองเดิมได้รับการพัฒนาตามแผน 2 เมือง มีอัตราการส่งต่อผู้ป่วยออกนอกพื้นที่ลดลงปีละ 10 % ปริมาณการล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลง 20% ในปื2570 เมื่อเทียบกับปีฐาน และมีสัดส่วนการนำขยะกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ไม่น้อยกว่า 15 % ต่อปี

5.เชื่อมโยงประโยชน์จากการลงทุนสู่ความยั่งยืนของชุมชน ซึ่งมีเป้าหมายที่จะเพิ่มรายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนไม่น้อยกว่า 5 % ต่อปี

แหล่งข่าวกล่าวอีกว่า ขณะที่แผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรองรับการพัฒนาอีอีซี ระหว่างปี 2566-2570 ที่ผ่านมาได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีไปแล้ว ภายใต้ 3 ยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประกอบด้วย

1.การเพิ่มขีดความสามารถของระบบรางและทางนํ้า และเชื่อมต่อกับการขนส่งสินค้ารูปแบบอื่น
2.การยกระดับโครงข่ายคมนาคมรองรับการเดินทางของประชาชนอย่างไร้รอยต่อ และ
3.ยกระดับโครงข่ายคมนาคมด้วยมาตรการเชิงรุกและเทคโนโลยีที่ทันสมัย

ทั้งนี้ กำหนดให้มีการดำเนินโครงการทางด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งจำนวน 77 โครงการ วงเงินรวม 337,797.07 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการที่เริ่มดำเนินการในช่วงปี พ.ศ. 2566 จำนวน 29 โครงการ วงเงินรวม 125,599.98 ล้านบาท แบ่งเป็นวงเงินปี 66 ประมาณ 25,425.65 ล้านบาทและโครงการที่เริ่มดำเนินการในช่วงปี พ.ศ. 2567-2570 จำนวน 48 โครงการ วงเงินรวม 212,197.09 ล้านบาท

สำหรับโครงการตามแผนปฏิบัติการฯ พ.ศ. 2566-2570 รวม 77 โครงการ วงเงินรวม 337,797.07 ล้านบาท แบ่งเป็น

ภาครัฐลงทุน จากงบประมาณแผ่นดิน เงินกู้ และงบรัฐวิสาหกิจ จำนวน 61 โครงการ วงเงินรวม 178,578.07 ล้านบาท (52.87%)
ภาคเอกชนลงทุน และการร่วมทุนระหว่างภาครัฐ และเอกชน (PPP) จำนวน 16 โครงการ วงเงินรวม 159,219 ล้านบาท ( 47.13%)

ทั้งนี้เป็นการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน 295,710.49 ล้านบาท ( 87.5%) ระบบสาธารณูปโภค 38,382.58 ล้านบาท ( 11.4%) และมาตรการส่งเสริม 3,704 ล้านบาท ( 1.1%)

ส่วนกรณีที่อีอีซีมีแผนจะขยายพื้นที่จังหวัดในระยะที่ 2 ออกไปนั้น ยืนยันว่ายังไม่มีแผนดังกล่าว เพราะการขยายพื้นที่ในระยะที่ 2 จะต้องออกกฎหมายเพิ่มเติมหรือออกพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) เนื่องจากตามกฎหมายในปัจจุบันกำหนดให้อีอีซียังดำเนินการภายในพื้นที่ 3 จังหวัดตามเดิม ประกอบด้วย ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา

‘พีระพันธุ์’ เอาจริง!! มุ่งแก้ปัญหาค่าไฟฟ้าแพง บรรเทาทุกข์ประชาชน

‘ปัญหาราคาพลังงาน’ เป็นสิ่งที่คนไทยทั้งประเทศ ทุกข์ทนมายาวนาน หวังว่าสักวันจะมีคนเข้ามาแก้ไข ปรับปรุง และสร้างความเป็นธรรมให้กับประชาชน และแน่นอนว่าวันที่ประชาชนรอคอยมาถึงแล้ว นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รัฐมนตรีกว่าการกระทรวงพลังงานคนปัจจุบัน กำลังพยายามแก้ปัญหาพลังงานที่สุดจะยุ่งเหยิงนี้อยู่

โดยนายพีระพันธุ์ เคยโพสต์เฟซบุ๊กถึงเรื่องนี้ไว้ พร้อมระบุว่า…

“ขอให้มั่นใจค่าไฟจะไม่สูงอย่างที่เป็นข่าวครับ

ผมเข้าใจถึงความกังวลใจของพี่น้องประชาชนที่ถามกันมามากเรื่องราคาค่าไฟฟ้าภายหลังจากสิ้นสุดระยะเวลามาตรการลดค่าไฟฟ้าในเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ว่าราคาอาจกระโดดสูงขึ้นถึงหน่วยละ 4.68 บาท หรือ 17% จากราคาปัจจุบันหน่วยละ 3.99 บาทตามที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้เปิดให้มีการสอบถามและมีมติไป

ผมเองก็รับไม่ได้ถ้าราคาค่าไฟจะเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดอย่างนั้น เพราะถึง กกพ.จะมีมติแบบนั้น แต่เราก็ต้องบริหารจัดการเอาราคาค่าไฟลงมาให้ได้ ซึ่งผมได้สั่งการให้หน่วยงานต่าง ๆ เร่งประสานทุกจุดล่วงหน้าด้วยวิธีการใหม่ ๆ หลายรูปแบบแล้ว เพื่อไม่ให้ประชาชนไม่แบกรับค่าไฟฟ้าที่มากเกินไป จะพยายามทำให้ใกล้เคียงกับที่จ่ายอยู่ในปัจจุบันให้มากที่สุด

ผมขอให้ความมั่นใจว่ากระทรวงพลังงานยุคนี้ไม่ได้นิ่งนอนใจและทำงานล่วงหน้ามาระยะหนึ่งแล้วเพื่อให้ราคาค่าไฟอยู่ในระดับที่ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดิมมากนัก ซึ่งต้องใช้หลายกลไกพร้อม ๆ กันภายใต้โครงสร้างในปัจจุบันที่ไม่ได้ให้อำนาจกับฝ่ายนโยบายมากนัก แต่จะพยายามทำอย่างเต็มที่เพื่อประโยชน์ของพี่น้องประชาชน

ทั้งนี้การที่ กกพ. ประกาศให้ประชาชนเห็นชอบแนวทางในการปรับอัตราค่าไฟฟ้าก่อนหน้านี้ เป็นเงื่อนไขตามกฎหมายที่จะต้องมีการประกาศเพื่อให้ประชาชนแสดงความคิดก่อนที่จะมีมติ แต่ทั้งนี้ไม่ได้เป็นที่สุด จะต้องมีการบริหารจัดการเพื่อให้ประชาชนได้ประโยชน์สูงสุดต่อไป

ทั้งหมดนี้จะเตรียมการให้เสร็จสิ้นและประกาศโดยเร็วที่สุด

ผมพูดเสมอว่านี่คือการแก้ไขปัญหาระยะสั้นเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนภายใต้โครงสร้างแบบปัจจุบัน

แต่ที่กำลังดำเนินการแบบเข้มข้นที่สุด และทำงานกันไม่หยุดหย่อนทุกวัน คือการเร่งรวบรวมข้อมูลทุกด้านเกี่ยวกับพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน ก๊าซ ไฟฟ้า พลังงานทดแทน และพลังงานสะอาด ให้ครบทุกมิติ เพื่อนำไปสู่การ รื้อ ลด ปลด สร้าง พลังงานให้มั่นคง เป็นธรรม และยั่งยืนทั้งระบบ

ไม่ยากครับถ้าแค่พูดเอาเท่ ฟังดูดีทรงภูมิ 

คนทำแบบนั้นมีเยอะแล้ว แต่ไม่เคยเห็นรูปธรรม พูดไปเรื่อย ๆ ใช่ครับ อะไร ๆ ก็แก้โครงสร้าง แต่จะแก้อะไร แก้อย่างไรครับ ส่งผลกระทบแบบไหน จะทดแทนด้วยอะไร ทั้งระบบต้องสอดคล้องและไม่ก่อภาระเพิ่มให้กับประชาชน

ย้อนกลับไปดูกันนะครับ กฎหมายแต่ละฉบับ รูปแบบที่ใช้กันอยู่ ใช้มานานเท่าไร ปล่อยกันมาสี่สิบปีแล้วนะครับ

ผมเองหลังแถลงนโยบายมาสองเดือนเศษ ผมไม่พูดมากแต่ลงมือทำ อย่างน้อยผมก็พยายามลดภาระให้ประชาชนไม่ว่าจะตามโครงสร้างแบบไหน ทั้งน้ำมันดีเซล เบนซิน ค่าไฟฟ้า ตรึงราคาค่าแก๊ส ผมดีใจที่พี่น้องประชาชนได้ประโยชน์อย่างเต็มที่

เวลาเดียวกันก็เร่งดำเนินการรวบรวมข้อมูลชนิดลงลึกทุกขั้นทุกตอน ทำงานกันหลายคณะ ทำมากกว่าพูดลอย ๆ ว่า “ปรับโครงสร้างๆๆ”

เมื่อข้อมูลครบถ้วนแล้ว ไม่นานครับ เพราะผมและคณะจะร่างกฎหมายเอง เป็นชุดและครอบคลุมทั้งหมด ตอบได้ทุกคำถาม เพราะยึดเอาประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง

ผมศึกษา หาข้อมูล ถกเถียง คิดวิเคราะห์ คืบหน้าไปมากแล้ว แต่ยังไม่สมบูรณ์

เพราะนี่คือการลงมือทำจริง ไม่ใช่เพียงแค่พูดแล้วเสกออกมา

ขอให้มั่นใจ ผมเอาจริงแน่นอน

‘รมว.ปุ้ย’ เตรียมชง ครม.ตั้ง ‘ศูนย์อุตสาหกรรมฮาลาล’ เชื่อช่วยดัน GDP ภาคอุตฯ 1.2% ราว 5.5 หมื่นล้าน

‘รมว.พิมพ์ภัทรา’ เตรียมเสนอเรื่องเข้า ครม. ก่อตั้ง ‘ศูนย์อุตสาหกรรมฮาลาล’ เชื่อช่วยสร้างตัวเลขทางเศรษฐกิจกว่า 5.5 หมื่นล้านบาท พร้อมเผยข้อเสนอกลไกการบริหารงานศูนย์ฯ ระยะสั้น 3 เดือน ลั่น!! ต้องมีการแต่งตั้งผู้แทนการค้าไทยที่รับผิดชอบเรื่องฮาลาลขับเคลื่อนวาระและกำกับดูแลอย่างจริงจัง

(6 ธ.ค.66) นางสาวพิมพ์ภัทรา วิชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึงความคืบหน้าการผลักดันอุตสาหกรรมฮาลาลสู่ตลาดโลกว่า ล่าสุดกระทรวงอุตสาหกรรมเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อขออนุมัติดำเนินการจัดตั้งศูนย์อุตสาหกรรมฮาลาล และคณะทำงาน

ส่วนแนวทางการจัดตั้งศูนย์อุตสาหกรรมฮาลาลนั้น จะมีข้อเสนอกลไกการบริหารงานศูนย์ฯในระยะสั้น 3 เดือน ได้แก่ จะต้องมีการแต่งตั้งผู้แทนการค้าไทยที่รับผิดชอบเรื่องฮาลาล ซึ่งเป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยผู้แทนการค้าไทย เพื่อขับเคลื่อนวาระฮาลาล และทำหน้าที่กำกับดูแลศูนย์ฯ

หลังจากนั้นก็จะมีการขยายบทบาทและยกระดับศักยภาพสถาบันอาหารให้เป็นเจ้าภาพและศูนย์กลางการประสานงานเกี่ยวกับอุตฯฮาลาลของประเทศ (National Focal Point) เพื่อขับเคลื่อนนโยบายพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลของประเทศ (Nation Agenda)

รวมถึงจะต้องมีขอยืมตัวข้าราชการ (Secondment) พนักงานราชการ หรือบุคลากรจากหน่วยงานของรัฐ และเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อปฏิบัติงานในศูนย์อุตสาหกรรมฮาลาลที่จัดตั้งขึ้นในระยะทดลอง 1 ปี และต้องขอรับงบอุดหนุนจากสำนักงบประมาณตามนโยบายของรัฐบาล

ส่วนระยะยาวสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ประเมินผลสัมฤทธิ์จากการดำเนินการ 1 ปีแรกตามตัวชี้วัดของการจัดตั้งศูนย์อุตสาหกรรมฮาลาล เพื่อปรับบทบาทตามความเหมาะสม

ทั้งนี้ เมื่อตั้งคณะทำงานได้เรียบร้อยแล้วคาดว่าเบื้องต้นน่าจะต้องใช้งบประมาณอยู่ที่ 630 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการใช้ในภารกิจส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ได้แก่

ขยายตลาดการค้าอุตสาหกรรมฮาลาลทั้งในและต่างประเทศ เช่น ซาอุดีอาระเบีย, แอฟริกา จีน เป็นต้น โดยคาดว่าจะต้องใช้งบประมาณ 550 ล้านบาท แบ่งเป็น…

- เจรจาจัดทำกรอบความร่วมมือในการขยายตลาดสินค้า และบริการฮาลาล 150 ล้านบาท
- สร้างความร่วมมือกับหน่วยงานเครือข่ายฮาลาล (Thai Halal Network)
- ส่งเสริมและขยายตลาดผ่านกิจกรรมการจัดงาน HaLal Expro 2024/กิจกรรมทางการทูต (งาน Thai Night) เพื่อเผยแพร่สินค้าฮาลาลไทย 300 ล้านบาท
- ส่งเสริมประชาสัมพันธ์ และสร้างภาพลักษณ์ สินค้าและบริหารฮาลาลไทยในภารกิจ MICE เช่น ท่องเที่ยว การบิน การประชุม/นิทรรศการนานาชาติ 100 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังมีภารกิจพัฒนาการผลิตและมาตรฐาน โดยเป็นการยกระดับการผลิตและพัฒนาต้นแบบสินค้าฮาลาล 75 ล้านบาท แบ่งเป็น…

- พัฒนาผลิตภัณฑ์ฮาลาลต้นแบบเพื่อผู้บริโภคมุสลิม 25 ล้านบาท
- พัฒนา/จัดทำ Role Model เพื่อยกระดับผู้ประกอบการอุตสาหกรรมฮาลาล เพื่อการส่งออก เช่น โรงงานแปรรูป โรงฆ่าสัตว์ 50 ล้านบาท

สำหรับการดำเนินการดังกล่าวเชื่อว่าภายในระยะเวลา 3 ปีจะสามารถทำให้จีดีพี (GDP) ภาคอุตสาหกรรมขยายตัว 55,000 ล้านบาท หรือประมาณ 1.2% ของจีดีพีภาคอุตสาหกรรม

นางวรวรรณ ชิตอรุณ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) กล่าวว่า สินค้าเป้าหมายในระยะแรกประกอบด้วย เนื้อสัตว์, อาหารทะเล ในรูปแบบของอาหารพร้อมรับประทาน (Ready-to-EAT) และอาหารฮาลาลโดยธรรมชาติ, อาหารมุสลิมรุ่นใหม่ (Snack Bar) อีกทั้งยังมีสินค้าประเภทแฟชั่นฮาลาล, เครื่องสำอาง, ยาสมุนไพร และท่องเที่ยว

อย่างไรก็ดี หน่วยงานที่จะต้องบูรณาการทำงานร่วมกันเบื้องต้น ประกอบด้วย กระทรวงอุตสาหกรรม, สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.), กรมเจาจรการค้าระหว่างประเทศ, กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ, กระทรวงการต่างประเทศ, กระทรวงเกษตรและสหกรณ์, สำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.), สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.), สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา, กรมทรัพย์สินทางปัญญา, สำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย (สกอท.), สถาบันมาตรฐานฮาลาลแห่งประเทศไทย, กรมประมง/กรมปศุสัตว์/กรมวิชาการเกษตร, กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก/กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ, สถาบันอาหาร, ศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย), สถาบันฮาลาล (มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์) และห้องปฏิบัติการกลาง

“ปัจจุบันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมฮาลาลมีหลายหน่วยงาน เพราะฉะนั้น จะต้องรวบรวมทุกหน่วยงานเข้ามาทำงานร่วมกัน เพื่อให้ขับเคลื่อนนโยบายไปในทิศทางเดียวกันอย่างมีประสิทธิภาพ”

‘ยูเนสโก’ ประกาศขึ้นทะเบียน ‘ประเพณีสงกรานต์ไทย’ เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ

(6 ธ.ค.66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรม แห่งสหประชาชาติ หรือ ยูเนสโก จัดการประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ครั้งที่ 18 ณ เมืองคาเซเน สาธารณรัฐบอตสวานา

โดยมีวาระการพิจารณา ‘ประเพณีสงกรานต์ประเทศไทย’ ขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม รายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ

โดยรัฐบาลมอบหมายให้ นายโกวิท ผกามาศ อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนประเทศไทยเข้าร่วมการประชุม

‘พีระพันธุ์’ หารือแนวทางกดค่าไฟเหลือ 3.99 บาท/หน่วย ย้ำ!! เร่งทำงานเต็มที่ เพื่อมอบเป็นของขวัญปีใหม่ให้คนไทย

(6 ธ.ค. 66) รายงานข่าวจากกระทรวงพลังงาน แจ้งว่า กรณีคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ประกาศปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (เอฟที) งวดแรกของปี คือ มกราคม-เมษายน 2567 ซึ่งจะส่งผลให้ค่าไฟเฉลี่ยเรียกเก็บจากผู้ใช้ไฟทุกประเภทอยู่ที่เฉลี่ย 4.68 บาทต่อหน่วย เป็นไปตามกระบวนการทางกฏหมายที่จะต้องเปิดรับฟังความเห็นก่อนจะมีมติ แต่ยังไม่ถือเป็นการสิ้นสุด

โดย นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน มีอำนาจบริหารจัดการเพื่อไม่ให้กระทบต่อค่าครองชีพประชาชนและดูแลเศรษฐกิจโดยตรง ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาแนวทางที่จะไม่ให้ค่าไฟขึ้นไปถึงระดับ 4.68 บาทต่อหน่วยแน่นอน หากเป็นไปได้จะพยายามตรึงราคา 3.99 บาทต่อหน่วย หรือหากที่สุดต้องปรับขึ้นจะไม่เกิน 4.20 บาทต่อหน่วย

“ขณะนี้คณะทำงานกำลังเร่งหาแนวทางลดค่าไฟฟ้าจากหลายเครื่องมือ อาทิ ให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ ‘กฟผ.’ แบกรับภาระหนี้บางส่วนออกไป ให้บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) รับภาระส่วนของต้นทุนราคาก๊าซธรรมชาติ รวมไปถึงอาจหาเงินงบประมาณมาสนับสนุน ซึ่งนายพีระพันธุ์จะหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงต้องใช้เวลาช่วงเดือนธันวาคมนี้ในการเร่งทำงาน มั่นใจว่าจะเป็นข่าวดีสำหรับประชาชนในช่วงปีใหม่นี้แน่นอน” รายงานข่าวระบุ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top