Sunday, 18 May 2025
ECONBIZ NEWS

'เกษตรฯ' เร่งขับเคลื่อน 'นโยบายอาหารแห่งอนาคต' เล็งเจาะตลาด 'สาหร่าย' มูลค่า 5 แสนล้าน

'เกษตรฯ' เร่งขับเคลื่อนนโยบายอาหารแห่งอนาคต เล็งเจาะตลาดสาหร่ายมูลค่า 5 แสนล้าน ด้านกรมประมง คิกออฟงาน 'อนาคตสาหร่ายทะเลในประเทศไทย Seawed : The Next Future'

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยวันนี้ (27มิ.ย.) ว่า ภายใต้ 'นโยบายอาหารแห่งอนาคต' ของดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่มุ่งยกระดับอัพเกรดภาคเกษตรของไทยสู่เกษตรมูลค่าสูงเพื่อสร้างงานสร้างอาชีพเพิ่มรายได้ใหม่ให้เกษตรกรและพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็ง รวมทั้งตอบโจทย์วาระเศรษฐกิจมหาสมุทรที่ยั่งยืน (Sustainable Ocean Economy) เพื่อเป็นส่วนร่วมในทศวรรษวิทยาศาสตร์มหาสมุทรแห่งสหประชาชาติเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (พ.ศ. 2564 – พ.ศ. 2573) และการลดภาวะโลกร้อนจากผลกระทบของก๊าซเรือนกระจก จึงดำเนินการสนับสนุนส่งเสริมการผลิตและแปรรูปสาหร่ายทะเล (Seaweed) เป็นอาหารแห่งอนาคตตัวใหม่

เพราะปัจจุบันการผลิตสาหร่ายทะเลเติบโตอย่างรวดเร็วมีผลผลิตทั้งหมดทั่วโลกในปี 2562 ไม่น้อยกว่า 35 ล้านตัน มีมูลค่ารวมของอุตสาหกรรมอยู่ที่ 5 แสนล้านบาทเนื่องจากมีศักยภาพที่จะนำไปใช้ในอาหาร อาหารเสริม อาหารสัตว์ ปุ๋ย เชื้อเพลิงชีวภาพ เวชภัณฑ์ เครื่องสำอาง ซีรั่มชะลอความแก่ เป็นต้น อีกทั้งการเพาะปลูกสาหร่ายสามารถช่วยฟื้นฟูสภาพแวดล้อมที่เสื่อมโทรม เพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพในทะเลและลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยดักจับคาร์บอนไดออกไซด์ 

ดังนั้นอุตสาหกรรมสาหร่ายทะเล จึงมีศักยภาพในวงกว้างสาหร่ายไม่เพียงเป็นแหล่งที่ให้ปริมาณโปรตีนในระดับสูงเท่านั้น หากยังมีสารอาหารที่สำคัญต่อร่างกาย ได้แก่ วิตามินบี แคลเซียม ธาตุเหล็ก กรดไขมันที่จำเป็น และใยอาหารสูง นอกจากนี้ สาหร่ายยังมีกรดไขมันบางชนิดที่พบไม่ได้ในพืชชนิดอื่น ได้แก่ กรดไขมันที่มีโอเมก้า 3 และ 6 เช่น EPA และ DHA ทำให้ผลิตภัณฑ์เนื้อเทียมจากสาหร่ายมีคุณค่าทางอาหารเพิ่มขึ้น ช่วยเพิ่มรสชาติของอาหารให้อร่อยยิ่งขึ้นด้วยกรดกลูตามิก ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่ทำให้เกิดรสอูมามิหรือรสกลมกล่อมในอาหารอีกด้วย

นายอลงกรณ์ยังกล่าวต่อไปว่า กรมประมงจึงได้ผนึกความร่วมมือกับทุกภาคส่วนคิกออฟ 'นโยบายอาหารแห่งอนาคต' ด้วยการจัดงาน 'อนาคตสาหร่ายทะเลในประเทศไทย Seaweed : The Next Future' ในวันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2565 เวลา 09.00 – 16.00 น. โดยกรมประมงเป็นเจ้าภาพร่วมกับ มูลนิธิเวิลด์วิว ไคลเมท (WCF : Worldview Climate Foundation) และ และมูลนิธิเวิลด์วิว อินเตอร์เนชั่นแนล (WIF: Worldview International Foundation) 

งานเสวนาครั้งนี้จะฉายภาพสถานการณ์ของสาหร่ายทะเลในระดับประเทศ ภูมิภาค จนถึงระดับโลกที่เกี่ยวข้องกับสาหร่ายทะเลตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำเพื่อพัฒนาและยกระดับสาหร่ายทะเลจากหลากหลายภาคส่วนในมิติต่างๆ ทั้งมิติเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม วิชาการ ตั้งแต่ระดับผู้ปฏิบัติการ ผู้ประกอบการ นักวิจัย ผู้พัฒนานวัตกรรมการแปรรูป ภาครัฐ ภาคเอกชน ไปจนถึงองค์กรระหว่างประเทศที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนนโยบายเช่น องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) สถาบันอาหาร กระทรวงอุตสาหกรรมสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย มหาวิทยาลัยต่างๆ  เพื่อร่วมกันพัฒนาและยกระดับสาหร่ายทะเลของประเทศไทย รวมทั้งขยายความรู้ความเข้าใจขอบเขตความร่วมมือด้านสาหร่ายทะเล ตลอดจนโอกาสในการเสริมสร้างรายได้ให้แก่เกษตรกรชาวประมงของไทยอย่างยั่งยืน

CJ Worx ปล่อย 3 อาวุธทรงพลังแห่งยุคดิจิทัล ‘คืนชีพ-ติดสปีด’ ธุรกิจให้ยอดพุ่งไวหลังโควิด

‘Sringboardgun และ Spore’ ในเครือ CJ Worx Group จัด 3 อาวุธใหม่สู้ตลาดยุค Digital พร้อมช่วยธุรกิจไทยคืนชีพ ยอดขายพุ่งไวหลังยุคโควิดซา 

เรียกได้ว่าตลอดช่วง 2 ปีมานี้ สถานการณ์โควิดได้พรากโอกาสในการสร้างยอดขายและรายได้แก่แทบทุกธุรกิจ พร้อมทั้งสร้างผลกระทบให้เกิดแผลลึกร่วมด้วยในเวลาเดียวกัน

จากข้อมูลของ สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เผยว่า สถานการณ์ดังกล่าวได้สร้างผลกระทบต่อภาคธุรกิจโดยรวมถึง 58.1% 

อย่างไรก็ตามปัญหาจากโควิด ก็เป็นเพียงแค่ยอดของภูเขาน้ำแข็ง แต่ยังไม่ใช่ทั้งหมดของปัญหาที่แท้จริงทั้งหมดของภาคธุรกิจ ซึ่งยังมีอยู่อีกมายมายในเบื้องล่าง

นั่นก็เพราะ ถึงแม้ในปัจจุบันสถานการณ์โควิดดูมีท่าทีที่ดีขึ้น แต่สถานการณ์ของธุรกิจแบรนด์ไทยกลับยังแย่ลง!!

ยอดขายที่ลดลง, ฐานลูกค้าที่หายไป, ธุรกิจชะงัก รวมไปถึงเงินทุนหมุนเวียนมีปัญหา ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะผลกระทบจากโควิด แต่อีกส่วนหนึ่งคือประสิทธิภาพของการทำตลาดที่ยังควบไม่ทันกระแส Digital บูม!!

แน่นอนว่า การตลาดแบบ Digital เป็นตัวแปรสำคัญที่แบรนด์ธุรกิจไทยคงปฏิเสธได้ยาก ในการพาธุรกิจกลับมาต่อสู้ใหม่ได้อีกครั้ง

‘สุริยะ’ ปลื้ม ‘ร้าน มอก.’ ทะลุ 13,060 ร้าน ประกาศชัด!! ‘ร้านเล็ก-ใหญ่’ ใครๆ ก็เป็นได้

สมอ. อนุมัติเซเว่นฯ กว่า 12,000 สาขา เข้าร่วมเป็น ‘ร้าน มอก.’ รวมยอดทะลุ 13,060 ร้าน ประกาศชัด ‘ร้าน มอก.’ ใคร ๆ ก็เป็นได้ หากขายสินค้ามาตรฐาน มอก. เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมยังคงเดินหน้าโครงการ ‘ร้าน มอก.’ อย่างต่อเนื่อง โดยมอบหมายให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ดำเนินการ เพื่อสร้างเครือข่ายร้านจำหน่ายที่ใส่ใจในความปลอดภัยของผู้บริโภค โดยการคัดเลือกสินค้ามาตรฐาน มอก. มาจำหน่ายภายในร้าน เพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภคเลือกซื้อสินค้าที่ได้มาตรฐานมากยิ่งขึ้น รวมทั้งผลักดันให้ร้านค้าจำหน่ายสินค้าที่มีคุณภาพได้มาตรฐานเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาล ที่ภาครัฐและเอกชนร่วมกันคุ้มครองความปลอดภัยในคุณภาพสินค้าแก่ประชาชน ซึ่งผู้บริโภคจะได้รับความปลอดภัยหากเลือกซื้อสินค้าจากร้านที่เข้าร่วมเป็นร้าน มอก. 

ปัจจุบันมีร้านจำหน่ายทั่วประเทศทั้งขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ เข้าร่วมโครงการร้าน มอก. กับ สมอ. แล้วจำนวน 49 ราย 13,060 ร้าน ซึ่งมีทั้งห้างสรรพสินค้า, โมเดิร์นเทรด, ร้านจำหน่ายทั่วไป, ร้านสะดวกซื้อ และร้านค้าออนไลน์ที่มีความตระหนักและใส่ใจในความปลอดภัยของผู้บริโภค 

ด้าน นายบรรจง สุกรีฑา เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า สมอ. จะให้ความรู้ด้านการมาตรฐานแก่ร้านจำหน่าย เพื่อให้มีองค์ความรู้ในการคัดเลือกสินค้าที่มีเครื่องหมายมาตรฐาน มอก. มาจำหน่ายภายในร้าน โดยเฉพาะสินค้าที่ สมอ. ควบคุมจำนวน 136 รายการ ซึ่งกฎหมายบังคับให้ต้องเป็นไปตามมาตรฐาน เช่น พาวเวอร์แบงค์, อะแดปเตอร์, ปลั๊กพ่วง, หลอดไฟ, ไดร์เป่าผม, ของเล่น, ผงซักฟอก, ภาชนะเมลามีน, ถ่านไฟฉาย, ไฟแช็ก, เตาปิ้งย่าง, ฟิล์มยืดห่อหุ้มอาหาร เป็นต้น

มติการประชุมคณะกรรมการดำเนินการ ร้าน มอก. ครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ (24 มิ.ย. 65) ที่ผ่านมา 
ได้อนุมัติให้ร้านจำหน่ายจำนวน 3 ราย ที่ยื่นคำขอต่ออายุเป็น ‘ร้าน มอก.’ ได้แก่ 
1) บริษัท ทวีโชค พาณิช จำกัด 
2) บริษัท แสงไพบูลย์เชียงราย จำกัด (เอสซีจี โฮม บุญถาวร เชียงราย) 
และ 3) บริษัท โฮมมาร์ท ช. โลหะกิจ จำกัด (เอสซีจี โฮม บุญถาวร กระบี่) และมีร้านจำหน่ายรายใหม่ จำนวน 2 ราย สมัครเข้าร่วมเป็น ‘ร้าน มอก.’  ได้แก่…

ธอส. ปรับเงื่อนไขผลิตภัณฑ์สินเชื่อใหม่ ปลดล็อกให้คู่ LGBTQ+ กู้ร่วมซื้อบ้านได้

ธอส.ปรับปรุงเงื่อนไขในการให้สินเชื่อของธนาคาร ปลดล็อกให้กลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ สามารถกู้ร่วมกันได้แล้ว

นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือ ธอส. เปิดเผยว่า ขณะนี้ ธอส.ได้ปรับปรุงเงื่อนไขในการให้สินเชื่อของธนาคาร โดยกำหนดให้กลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+) สามารถกู้ร่วมกันได้แล้วตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ครอบคลุมทุกผลิตภัณฑ์สินเชื่อ เช่นเดียวกับกรณีกู้ร่วมกับคู่สมรส พี่-น้อง และบิดา-มารดา เพื่อส่งเสริมสิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียมทางเพศในสังคมไทย สนับสนุนให้กลุ่มบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศ มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้ง่ายยิ่งขึ้น 
 

คนไทยพอใจ หลัง ‘สลากดิจิทัล’ ช่วยราคาเป็นธรรม ด้าน ‘บิ๊กตู่’ ลั่น!! ยึดแก้หวยแพงลุยปัญหาอื่นต่อ

‘บิ๊กตู่’ พอใจ ‘สลากดิจิทัล’ ดึงเทคโนโลยีแก้ปัญหาหวยแพงสำเร็จ ยกเป็นโมเดลในการแก้ปัญหาอื่นเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน 

(27 มิ.ย.65) นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์  จันทน์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกว่าการกระทรวงกลาโหม พอใจการประเมินผลมาตรการแก้ไขปัญหาจำหน่ายสลากเกินราคา และการดำเนินการจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลผ่านแพลตฟอร์มจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลหรือสลากดิจิทัล (Digital Lottery) ผ่านแอปพลิเคชันของภาครัฐ หลังเปิดจำหน่ายได้ 2 งวด 

โดยล่าสุดสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) ได้ทำการสำรวจ เรื่อง ‘หวยแพง กับการแก้ปัญหา : ประชาชนคิดอย่างไร’ กรณีศึกษาประชาชนทุกสาขาอาชีพทั่วประเทศ พบว่า ประชาชนมีความพึงพอใจกับการแก้ไขปัญหา ร้อยละ 79.7 ระบุ พอใจมากที่สามารถซื้อเลขที่ถูกใจในราคาที่เป็นธรรม ขณะที่ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 90.7 ระบุ อยากให้เพิ่มสัดส่วนในการขายสลากออนไลน์มากขึ้น เพื่อกำจัดพวกผู้มีอิทธิพล พ่อค้าคนกลาง และหวยเถื่อนผิดกฎหมาย ที่เอาเปรียบมานาน 

นอกจากนี้ร้อยละ 89.8 ระบุ อยากให้รัฐบาล นำโมเดลการแก้ปัญหาสลากเกินราคา ไปใช้แก้ปัญหากับเรื่องอื่น ๆ ที่นำเอาเทคโนโลยีมาใช้ เพื่อผลประโยชน์สูงสุดตกอยู่กับประชาชน

กทม. เคาะ 2 มาตรการกระตุ้นศก. ลดค่าเช่าแผงตลาด - ลดดอกเบี้ยโรงจำนำ

เปิดชื่อ 12 ตลาด กทม. ‘ชัชชาติ’ สั่งลดค่าเช่าแผง 12 ตลาด กทม. ช่วยผู้ค้า ลง 50% นาน 3 เดือน ตั้งแต่ (ก.ค.-ก.ย.65) พร้อมลดดอกเบี้ยโรงรับจำนำลดภาระคนกรุง

วันนี้ (24 มิ.ย.65) นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เผยว่า กทม.มีแผนช่วยเหลือด้านเศรษฐกิจให้ประชาชน 2 เรื่อง คือ 1. ลดค่าเช่าแผงการค้าใน 12 ตลาด ที่อยู่ในความรับผิดชอบ ร้อยละ 50 เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือน (ก.ค.-ก.ย.65) ประกอบด้วย ตลาดนัดจตุจักร ตลาดนัดมีนบุรี ตลาดธนบุรี และตลาดชุมชนอีก 9 แห่ง ได้แก่ ตลาดประชานิเวศน์ 1 ตลาดเทวราช ตลาดบางกะปิ ตลาดหนองจอก ตลาดพระเครื่องวงเวียนเล็ก ตลาดรัชดาภิเษก ตลาดสิงหา ตลาดบางแคภิรมย์ และตลาดราษฎร์บูรณะ
 

ซาอุฯ ต้องการพยาบาลไทยเพิ่มอีก 400 อัตรา เงินเดือนสูงสุดหลักแสนบาทพร้อมสวัสดิการเพียบ

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า... เงินเดือนสูงสุดหลักแสน พยาบาลไทย ไปทำงานที่ซาอุฯ เปิดรับเพิ่มกว่า 400 อัตรา นะครับ อย่าลืมแชร์ข่าวดี ๆ ไปบอกคนใกล้ตัว 

รับตำแหน่ง ผู้จัดการพยาบาล หัวหน้าพยาบาล พยาบาลผู้ดูแล ประสบการณ์สูง มากกว่า 4 ร้อยอัตรา เงินเดือน สูงสุด 1 แสนบาท ตามตำแหน่งและประสบการณ์การทำงาน ผู้สนใจสมัครได้ระหว่างวันที่ (24 มิถุนายน – 4 กรกฎาคม 2565)

บริษัท KING FAHAD MEDICAL CITY ซึ่งประกอบกิจการบริการทางการแพทย์ จำนวน 400 อัตรา ได้แก่ 

ผู้จัดการพยาบาล จำนวน 20 อัตรา 

หัวหน้าพยาบาล จำนวน 30 อัตรา 

พยาบาลหัวหน้าเวร จำนวน 50 อัตรา 

พยาบาลผู้ดูแล1 จำนวน 200 อัตรา 

พยาบาลผู้ดูแล2 จำนวน 100 อัตรา

พาณิชย์ฯ ดัน 3 สินค้า GI ไทย เข้าสู่ตลาดญี่ปุ่น คาดดึงรายได้กลับชุมชนท้องถิ่นกว่า 1,200 ลบ.

'พาณิชย์ฯ' ดัน กาแฟดอยตุง, กาแฟดอยช้าง, สับปะรดห้วยมุ่น 3 สินค้า GI ไทย เข้าสู่ตลาดญี่ปุ่น เชื่อ!! สร้างรายได้ให้เกษตรกรท้องถิ่นได้กว่า 1,200 ล้านบาท

นายสินิตย์ เลิศไกร รมช.พาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งเสริมสินค้าชุมชนท้องถิ่นให้ขยายไปสู่ตลาดต่างประเทศจำเป็นต้องอาศัยทรัพย์สินทางปัญญา โดยเฉพาะสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI : Geographical Indications) เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยยกระดับสินค้าท้องถิ่นและสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคในคุณภาพสินค้า GI ไทย

สำหรับ GI นั้น เป็นสินค้าที่มาจากแหล่งผลิตที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งคุณภาพ หรือชื่อเสียงของสินค้านั้น ๆ เป็นผลมาจากการผลิตในพื้นที่ดังกล่าว GI จึงเปรียบเสมือนเป็น 'แบรนด์' ของท้องถิ่นที่บ่งบอกถึงคุณภาพ และแหล่งที่มาของสินค้า 

พูดง่าย ๆ ก็คือ เป็นสินค้าที่ผลิตได้จากท้องถิ่นใดท้องถิ่นหนึ่งเท่านั้น ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากภูมิปัญญาเฉพาะ หรือลักษณะทางภูมิศาสตร์เฉพาะของท้องถิ่นนั้น เช่น ดิน อากาศ แร่ธาตุ ฯลฯ ทำให้ได้สินค้าที่มีอัตลักษณ์ มีลักษณะเฉพาะ หรือรสชาติเฉพาะ ที่สินค้าแบบเดียวกันของท้องถิ่นอื่นไม่มี และเลียนแบบไม่ได้

'เฉลิมชัย' เดินหน้าพัฒนาเกษตรอีสาน มอบ 'อลงกรณ์' คิกออฟงานวันข้าวและชาวนาแห่งชาติ

'เฉลิมชัย' เดินหน้าพัฒนาเกษตรอีสานมอบ 'อลงกรณ์' คิกออฟงานวันข้าวและชาวนาแห่งชาติโชว์เทคโนโลยีอัจฉริยะและนวัตกรรมลดต้นทุนการผลิต เพิ่มศักยภาพชาวนาวิถีใหม่พร้อมมอบที่ทำกิน สปก.กว่า 200 ครัวเรือน

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดงานรณรงค์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตข้าวระดับเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เนื่องในวันข้าวและชาวนาแห่งชาติ ประจำปี 2565 ภายใต้แนวคิดงาน “๙๐ พรรษา ชาวนาวิถีใหม่ ๙ ไกลด้วยพระบารมี” ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 23 - 25 มิถุนายน 2565 โดยมีนางสาวนนทิชา วรรณสว่าง รองอธิบดีกรมการข้าว นายกฤษ อุตตมะเวทิน รองอธิบดีกรมการข้าว นายทินกร อ่อนประทุม นายณฐกร สุวรรณธาดา คณะทำงานที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯ.และผู้บริหารหน่วยงานในสังกัดกระทรวงเกษตรฯ เข้าร่วม ณ ศูนย์วิจัยข้าวอุบลราชธานี ว่า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมการข้าว จัดงานดังกล่าวขึ้นเพื่อเป็นการเผยแพร่องค์ความรู้ด้านข้าวแก่ชาวนาและผู้สนใจทั่วไป นำเสนอเทคโนโลยีและนวัตกรรมในการผลิตข้าว รวมถึงผลงานของกรมการข้าวด้านอื่น ๆ ที่ดำเนินการในรอบปีที่ผ่านมา โดยให้ความสำคัญด้านการวางแผนการผลิต ระบบการผลิต และการบริหารจัดการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ซึ่งจะนำไปสู่ความมั่นคงแก่ชาวนา รวมทั้งเป็นการเชิดชูเกียรติ และสร้างขวัญกำลังใจให้กับชาวนา ในฐานะผู้ผลิตอาหารหลักให้กับประชาชนทั้งประเทศ นอกจากนี้ ยังเป็นช่องทางให้ชาวนาได้แลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดเห็น และประสบการณ์กับหน่วยงานราชการ เอกชน และชาวนาด้วยกัน

“การจัดงานรณรงค์ถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตข้าวฯ ถือเป็นการแสดงวัฒนธรรมด้านข้าว ภูมิปัญญาท้องถิ่น และเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อสร้างการเรียนรู้ของเกษตรกรและเจ้าหน้าที่ เกษตรกรสามารถปรับเปลี่ยนวิธีการผลิตข้าวให้เหมาะสม ทำให้เกิดประสิทธิผลสูงสุด ซึ่งจะเป็นแนวทางหนึ่งในการที่จะเพิ่มศักยภาพการผลิตข้าวของชาวนาให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น ตามหลักการพึ่งพาตนเอง และทำให้อาชีพการทำนามีความยั่งยืน ก่อให้เกิดความมั่นคงแก่เกษตรกรต่อไป” นายอลงกรณ์ กล่าว

Fitch Ratings คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทยอยู่ในระดับมีเสถียรภาพ

นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ (21 มิ.ย. 65) บริษัท Fitch Ratings (Fitch) ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Outlook) อยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) โดยมีรายละเอียดดังนี้

1) ภาคการคลังสาธารณะ (Public Finance) มีความเข้มแข็งเป็นผลจากการบริหารจัดการทางการคลังอย่างรอบคอบ โดยมีกรอบนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่แข็งแกร่ง โดย Fitch คาดว่า ปี 2565 ประเทศไทยจะขาดดุลงบประมาณลดลง เนื่องจากมีการจัดเก็บรายได้ที่มีประสิทธิภาพ และมีมาตรการทางเศรษฐกิจเพื่อบรรเทาผลกระทบจากการระบาดของ COVID-19 ที่ผ่อนคลายขึ้น สำหรับสัดส่วนหนี้ภาครัฐบาล (General Government Debt) ต่อ GDP ของประเทศไทยปี 2565 คาดว่า จะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 55.4 ต่อ GDP ซึ่งอยู่ในระดับค่ากลางเดียวกับกลุ่มประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือในระดับเดียวกัน (Peers) โดยจะสูงขึ้นเป็นร้อยละ 56.6 ต่อ GDP ในปี 2569 อย่างไรก็ดี รัฐบาลไทยจะสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นได้เป็นอย่างดี เนื่องจากมีแนวทางการบริหารจัดการทางการคลังอย่างรอบคอบและมีหนี้สาธารณะส่วนใหญ่เป็นสกุลเงินบาท ประกอบกับมีตลาดทุนในประเทศที่มั่นคง

นอกจากนี้ Fitch คาดว่า เศรษฐกิจของประเทศไทยจะขยายตัวที่ร้อยละ 4.5 เนื่องจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศและการกลับมาของนักท่องเที่ยว ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก 6.5 ล้านคนในปี 2565 เป็น 22 ล้านคนในปี 2566


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top