Tuesday, 1 July 2025
COLUMNIST

พา Staycation วิวปัง รูปสวย คาเฟ่เริ่ด ครบจบในที่เดียว

ใครเบื่อทำงานที่บ้านบ้าง! วันนี้จะพาไป #Staycation แบบงานก็ได้แถมรูปก็มี 

กับโรงแรมที่ส่องกล้องไปทางไหนก็ได้รูป ที่ Kene Hotel Bangkok

Kene Hotel Bangkok อยู่ที่ซอย เจริญนคร 35 เป็นโรงแรมที่ตกแต่งแบบสมมาตร โค้งมน สไตล์มินิมอล คลีน  สมชื่อ ด้วยความเป็นโทนข๊าวขาว บวกกับสีฟ้าของสระว่ายน้ำที่เป็นมุม Signature ของที่นี่ พอเจอกับแสงแดดแล้วบอกได้เลยว่ามุมไหนก็อาร์ตไปหมด แถมยังติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา เปลี่ยนบรรยากาศในการทำงานแบบเลิศๆ ให้ไม่น่าเบื่อแถมยังมีรูปมาลงอีก ไม่ต้องห่วงเรื่องของมุมทำงานเลย เพราะภายในห้องจัดสองมุมสำหรับทำงานชิลๆ ไว้ให้เรียบร้อย หรือสามารถนั่งที่ไหนก็ได้ ทั้งริมสระ คาเฟ่ ที่สำคัญราคาที่นี่สุดประหยัด ทำคอนเทนต์กันได้แบบปังๆ สระว่ายน้ำ อาหารเช้า คาเฟ่ ครบ จบในที่เดียว

คะแนนสำหรับที่นี่
ราคา 8/10 
บรรยากาศ 9/10 
การบริการ 7/10 (โรงแรมเพิ่งเปิดใหม่พนักงานที่นี่ค่อนข้างน้อย)

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและสำรองห้องพักที่
+66 (02) 437 2168
LINE @Kenehotelbangkok หรือคลิก bit.ly/KeneHotelBKK
[email protected]

 

มุมไฮไลต์ของโรงแรมที่มีสระว่ายน้ำตรงกลาง ทุกห้องจะหันหน้าเข้าหาสระหมดเลย

การตกแต่งแนวโค้ง ๆ ของโรงแรม ภายใต้ดีไซน์ Arch โค้งมน

การตกแต่งแนวโค้งของโรงแรม


ภายในห้องพักจะตกแต่งเป็นสีขาวตัดกับสีน้ำตาล อันนี้เป็นห้องขนาดกลาง


อีกมุมที่นั่งทำงานได้ หรือใครจะเอามาไว้แต่งหน้าก็ได้ เพราะแสงของห้องนี้ดีเลย แต่งหน้าสบาย

เครื่องใช้ที่โรงแรมมีไว้ให้

โรงแรมมีโคมไฟให้ เผื่อใครอยากได้ความสว่างในการทำงานเพิ่มก็จัดไป

สายคาเฟ่ ฮอปปิ้ง ก็ต้องมา นอกจากโรงแรมแล้วที่นี่มี คาเฟ่ Sarin อยู่หลังโรงแรม บริเวณท่าเรือด้วย

ด้านหลังโรงแรมเป็นท่าน้ำ (แต่ไม่มีเรือให้ขึ้น) มองวิว Asiatique ไปเพลิน ๆ

ด้านหลังของโรงแรม


ที่นี่มีทั้งหมด 4 ชั้น ชั้น 4 เป็นห้องอาหารที่เราจะมากินข้าวเช้ากันที่นี่

Road trip UTAH

สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศกว้างใหญ่ไพศาล ประกอบด้วยห้าสิบรัฐ พื้นที่แต่ละรัฐกว้างพอ ๆ หรืออาจจะกว้างกว่าประเทศไทยด้วยซ้ำ 

ดังนั้น ความหลากหลายทางภูมิประเทศและภูมิอากาศจึงมากตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ราบลุ่ม ชายทะเลทั้งฝั่งแอตแลนติกและแปซิฟิก ทะเลทราย เทือกเขาสูงทอดตัวยาว ภูเขาหิมะ ทุ่งหญ้า ป่าหลากประเภท มีบริเวณอากาศร้อนชื้นไปจนถึงหนาวจัดสุดขั้วก็มี สถานที่ท่องเที่ยวสวยงามมากมายจึงกระจายทั่วประเทศ นักเดินทางต่างจึงมีทางเลือกเยอะมากในการปักหมุดหมายตามความชอบความต้องการ รวมถึงปริมาณเวลาว่างที่มี

  
ช่วงก่อนหน้านี้สามสี่เดือน ผมเดินทางในอเมริกาด้วยจักรยาน ปั่นท่องเที่ยวเลาะไปตามชายฝั่งทะเลแปซิฟิกในรัฐแคลิฟอร์เนีย โอเรกอน และรัฐวอชิงตัน อยากลองเปลี่ยนบรรยากาศ สลับสับเปลี่ยนรูปแบบการเดินทางมาเป็นการขับรถเที่ยวดูบ้าง พอดีรู้จักกับเพื่อนสองคนซึ่งปกติอยู่ไทย แต่กลับมาเที่ยวที่นี่ จึงเป็นเรื่องประจวบเหมาะ ชักชวนกันทำโร้ดทริป 

‘เน้ท’ เป็นคนอเมริกัน บ้านอยู่ที่โคโลราโด (และที่เชียงใหม่) ส่วน ‘เยา’ ผู้เป็นภรรยานั้นคือสาวไทย นัดแนะกันว่าจะพบกันที่บ้านพวกเขาบนเทือกเขาร็อกกี้ในรัฐโคโลราโด แล้วจะขับรถไปเที่ยวรัฐยูทาห์ซึ่งอยู่ติดกัน (พื้นที่ทางตอนกลางของสหรัฐ) 

มนต์เสน่ห์แห่งการท่องเที่ยวด้วยรถยนต์ผ่านภูมิประเทศแห้งแล้งกึ่งทะเลทรายจึงเริ่มต้นขึ้น จุดหมายปลายทางคือ อุทยานแห่งชาติอันเลื่องชื่อ อย่างอุทยานแห่งชาติ Arches National Park นั่นเอง 

จะว่าไป ส่วนตัว ผมไม่ได้รู้จักพื้นที่แถบนี้ดีเท่าไหร่นัก อารมณ์จับพลัดจับผลูได้มาเที่ยวเพราะมีเพื่อนเป็นคนแถวนี้มากกว่า ข้อดีก็คือไม่ต้องวางแผนการกินการนอน ไม่ต้องค้นหาว่าจะไปแวะเที่ยวที่ไหนบ้างระหว่างทาง สบายไปแปดอย่างสิบอย่างเพราะมีเพื่อนเป็นมัคคุเทศก์นำทางนั่นเอง


ทริปสบาย ๆ แบบไม่ได้กะเกณฑ์อะไรมาก เห็นอะไรสวยก็จอดแวะดูแวะถ่ายรูป คนขับง่วงก็หลบริมทางงีบ คุยสัพเพเหระอะไรกันไปขณะอยู่ในรถ โดยมีวิวสวยสองข้างทางสร้างความรื่นรมย์ ยิ่งเป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วงแบบนี้พวกต้นไม้ใบหญ้าแข่งกันประชันขันแข่งสีสันสดใส สร้างความตะลึงพรึงเพริดแก่คนพบเห็น

ข้อดีของอเมริกาอย่างหนึ่ง คือทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชนจัดสรรลานพักแรมกระจายอยู่ทั่วไปให้แก่นักท่องเที่ยว ทั้งพวกที่ขับรถบ้าน รถกระบะหรือเก๋ง นักบิดมอเตอร์ไซค์ นักปั่นจักรยาน รวมถึงคนแบกเป้ทั้งหลายด้วย นับเป็นความสะดวกสบายอย่างหนึ่ง พวกเราจึงมักอาศัยพักแรมตามลานกางเต็นท์ประเภทนี้ ไม่ก็หาพื้นที่หลบมุมกางเต็นท์ด้วยบ้างเช่นกัน 

แวะเที่ยวไปเรื่อย ทำให้กว่าจะถึงจุดหมายก็ปาเข้าไปสองวัน เมืองท่องเที่ยวที่อยู่ใกล้ Arches National Park คือเมืองโมอับ เป็นเมืองเล็ก แต่ความสะดวกสบายครบครันตามแบบฉบับเมืองที่ต้อนรับนักท่องเที่ยว ทั้งร้านค้าร้านอาหาร (มีแม้กระทั่งร้านอาหารไทย) ร้านขายของที่ระลึก โรงแรมหลายระดับ บริษัททัวร์ พิพิธภัณฑ์ก็มีด้วย พวกเราไม่ได้เลือกพักโรมแรม ส่วนหนึ่งเพราะต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย และไหน ๆ ก็แบกเต็นท์ เครื่องนอน เตาไฟ สำรับอาหารสดอาหารแห้งกันมาเกือบเต็มคันรถ ไฉนจึงไม่หาที่พักแรมสวยๆ ดื่มด่ำความงามของธรรมชาติโดยรอบ ซึ่งดีกว่านอนในห้องหับกว่ากันเป็นไหนๆ จริงไหมครับ

ครบรอบ 85 ปี ‘Golden Gate Bridge’ สะพานแขวนสีส้มแห่งนคร San Francisco

วันที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2480 (ค.ศ. 1937) ประธานาธิบดี Franklin D. Roosevelt ทำพิธีกดปุ่มทางไกลเปิดใช้สะพาน Gate Bridge ในนคร San Francisco อย่างเป็นทางการจากกรุง Washington D.C. โดยสะพาน Golden Gate ถูกจัดให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางวิศวกรรมของโลกยุคปัจจุบัน ด้วยเคยครองสถิติสะพานแขวนที่ยาวที่สุดในโลกมาก่อน (ปัจจุบันสะพานแขวนที่ยาวที่สุดในโลก คือ สะพาน Akashi-Kaikyo อยู่ที่ญี่ปุ่น) โดยมีระยะทาง 2.7 กิโลเมตร สูง 223.5 เมตร 

สะพาน Golden Gate ทอดข้ามอ่าว San Francisco บริเวณช่องแคบ Golden Gate ทางตอนเหนือของนคร San Francisco กับ เทศมณฑล Marin มลรัฐ California ในตอนก่อนสะพานจะถูกสร้างขึ้น เส้นทางสั้น ๆ ที่ใช้งานได้จริงเพียงเส้นทางเดียวระหว่างนคร San Francisco กับ เทศมณฑล Marin (ในปัจจุบัน) คือ โดยสารเรือ Ferry ข้ามอ่าว San Francisco โดยบริษัท Sausalito Land and Ferry ซึ่งบริษัทนี้เปิดตัวในปี พ.ศ. 2410 ในที่สุดก็กลายเป็นบริษัท Golden Gate Ferry ซึ่งเป็นบริษัทในเครือบริษัทรถไฟสายแปซิฟิกใต้ เรือ Ferry ข้ามฟากของบริษัทรถไฟสายแปซิฟิกใต้ทำกำไรมหาศาลและมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจในพื้นที่ โดย เรือ Ferry ที่ข้ามฟากระหว่างท่าเรือ Hyde Street Pier ในนคร San Francisco กับท่าเรือ Sausalito Ferry Terminal ในเทศมณฑล Marin ใช้เวลาราว 20 นาที และราคาค่าบริการอยู่ที่คันละ  1.00 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ในสมัยนั้น) 

ท่าเรือ Sausalito Ferry Terminal ในเทศมณฑล Marin ก่อนที่จะมีสะพาน Golden Gate

ด้วยเหตุนคร San Francisco เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาที่ยังคงไม่มีการเชื่อมโยงถาวรกับชุมชนรอบอ่าว และต้องใช้บริการโดยสารเรือ ferry ข้ามฟากเป็นหลัก จึงทำให้อัตราการเจริญเติบโตของเมืองต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอัตราการเจริญเติบโตของเมืองใหญ่ในสหรัฐฯ 

แต่ในยุคนั้นบรรดาผู้เชี่ยวชาญหลายคนต่างให้ความเห็นว่า เทคโนโลยีขณะนั้นคงไม่สามารถสร้างสะพานข้ามช่องแคบยาว 6,700 ฟุต (2,000 เมตร) ได้ เพราะมีอ่าว San Francisco มีกระแสน้ำที่หมุนวนอย่างแรง ความลึกของน้ำบริเวณใจกลางช่องแคบอยู่ที่ 372 ฟุต (113 ม.) และลมพัดแรงจัดมากอยู่บ่อย ๆ ครั้ง จึงเป็นเหตุให้ผู้เชี่ยวชาญสรุปว่า ลมที่พัดแรงจัด อีกทั้งหมอกลงหนักจะเป็นอุปสรรคขัดขวางการก่อสร้างและการใช้งานสะพาน 

แม้ว่าแนวคิดของเรื่องสะพานทอดข้ามช่องแคบ Golden Gate จะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ในที่สุดข้อเสนอก็ถูกตีพิมพ์ใน San Francisco Bulletin ปี พ.ศ. 2459 (ค.ศ. 1916) โดยบทความของ James Wilkins วิศวกรของนคร San Francisco ซึ่งได้ทำการประเมินค่าใช้จ่ายในการสร้างไว้ที่ 100 ล้านดอลลาร์ (ราว 2.5 พันล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน) แล้วก็ยังไม่สามารถทำได้ในขณะนั้น 

แต่ Joseph Strauss ซึ่งเป็นวิศวกรและกวี ผู้มีความทะยานอยาก ซึ่งเคยทำวิทยานิพนธ์เรื่องการออกแบบสะพานรถไฟยาว 55 ไมล์ (89 กม.) ข้ามช่องแคบ Bering และในขณะนั้น Strauss ได้สร้างสะพานแขวนเสร็จสมบูรณ์แล้วราว 400 แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสะพานในสหรัฐฯ และไม่มีอะไรที่เขาจะสนใจมากไปกว่าโครงการสร้างสะพานใหม่เพื่อข้ามช่องแคบ Golden Gate ภาพร่างสะพานเริ่มต้นของ Strauss ประกอบด้วยคานแขนขนาดใหญ่ในแต่ละด้านของช่องแคบ ซึ่งเชื่อมต่อกันด้วยส่วนกันสะเทือนกลาง โดย Strauss สัญญาไว้ว่า จะสามารถสร้างได้ด้วยงบประมาณ 17 ล้านดอลลาร์ (เทียบเท่ากับ 423 ล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน)


Joseph Strauss

หลังจากนั้นด้วยมติในสภานิติบัญญัติแห่งมลรัฐ California อนุมัติให้มีการสร้างสะพานและทางหลวงด้วยงบประมาณ 35 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 530 ล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน) เพราะมีความมั่นใจว่า Strauss จะมีการปรับเปลี่ยนแปลงรูปแบบ และยอมรับข้อมูลต่าง ๆ จากผู้เชี่ยวชาญโครงการที่ปรึกษาหลาย ๆ คนว่า การสร้างสะพานแขวนถือเป็นแนวทางที่น่าจะประสบความสำเร็จและสามารถใช้งานจริงได้มากที่สุด การก่อสร้างต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งทศวรรษเพราะโครงการก่อสร้างสะพานนี้ต้องเผชิญกับการต่อต้าน รวมถึงการฟ้องร้องดำเนินคดีจากผู้ที่คัดค้านและเสียผลประโยชน์มากมาย 

อีกทั้งกระทรวงสงครามของสหรัฐฯ เองก็เกรงว่า สะพานนี้จะกลายเป็นอุปสรรคต่อการสัญจรทางเรือ กองทัพเรือสหรัฐฯ กลัวว่า การชนสะพานของเรือหรือการก่อวินาศกรรมอาจเป็นปิดกั้นทางเข้าท่าเรือหลักแห่งใดแห่งหนึ่ง ส่วนสหภาพแรงงานเรียกร้องให้มีการรับประกันว่า คนงานในท้องถิ่นจะได้เข้าทำงานในการก่อสร้างโครงการนี้

นอกจากนั้น บริษัทรถไฟสายแปซิฟิกใต้ หนึ่งในผู้ที่ได้รับผลประโยชน์ทางธุรกิจที่ทรงอิทธิพลที่สุดในมลรัฐ California คัดค้านการสร้างสะพานนี้เพราะจะเป็นการแข่งขันกับธุรกิจเรือ Ferry ข้ามฟาก และได้ยื่นฟ้องคัดค้านโครงการนี้ ซึ่งนำไปสู่การคว่ำบาตรการใช้บริการเรือข้ามฟาก


 Leon Moisseiff วิศวกรผู้ออกแบบและสร้างสะพาน Manhattan ในมหานคร New York

ในที่สุด Strauss ก็ได้เป็นทั้งหัวหน้าวิศวกรที่รับผิดชอบการออกแบบโดยรวมและการก่อสร้างสะพาน แต่เนื่องจากเขามีความเข้าใจหรือประสบการณ์น้อยในการออกแบบระบบกันสะเทือนด้วยสายเคเบิล ความรับผิดชอบในด้านวิศวกรรมและสถาปัตยกรรมส่วนใหญ่จึงตกอยู่ที่ผู้เชี่ยวชาญคนอื่น ๆ 

ข้อเสนอจากการออกแบบเบื้องต้นของ Strauss (ช่วงเสาเข็มคู่สองช่วงที่เชื่อมโยงกันด้วยระบบกันสะเทือนส่วนกลาง) ไม่เป็นที่ยอมรับอันเนื่องมาจากมุมมองที่สามารถมองเห็นนั้นดูไม่สวยสง่า ทำให้การออกแบบช่วงล่างที่สวยงามขั้นสุดท้ายเกิดขึ้นโดย Leon Moisseiff วิศวกรผู้ออกแบบและสร้างสะพาน Manhattan ในมหานคร New York 
 

ย้อนอดีต ‘อโนชา ปันจ้อย’ 44 ปีแห่งการหายตัวของหญิงไทย ผู้ถูกสายลับเกาหลีเหนือลักพาตัว

รัฐบาลญี่ปุ่นยอมรับอย่างเป็นทางการจากว่าชาวญี่ปุ่นเพียง 17 คน (ชาย 8 คนและหญิง 9 คน) ถูกลักพาตัวไป

เรื่องของ อโนชา ปันจ้อย หญิงสาวชาวไทย ผู้ซึ่งถูกสายลับเกาหลีเหนือลักพาตัวไปจากอาณานิคมมาเก๊าของโปรตุเกส เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2521 (วันนี้เมื่อ 44 ปีก่อน) เห็นชื่อเรื่องแล้วผู้อ่านหลายๆ ท่านคงจะสงสัยว่า เรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นกับคนไทยด้วยหรือ เพราะข่าวส่วนใหญ่มักเกิดกับคนญี่ปุ่น โดยเฉพาะในระหว่าง ปี พ.ศ. 2520 ถึง 2526 แม้ว่ารัฐบาลญี่ปุ่นยอมรับอย่างเป็นทางการว่า มีชาวญี่ปุ่นเพียง 17 คน (ชาย 8 คนและหญิง 9 คน) ถูกลักพาตัวไป แต่ในความเป็นจริงแล้วอาจมีชาวญี่ปุ่นอีกหลายร้อยคนที่ถูกสายลับเกาหลีเหนือลักพาตัว ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2545 รัฐบาลเกาหลีเหนือยอมรับว่า ได้ทำการลักพาตัวพลเมืองญี่ปุ่น และขอโทษ ในขณะเดียวกันก็สัญญาว่าจะป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก

รัฐบาลเกาหลีเหนือยอมรับว่า ได้ทำการลักพาตัวพลเมืองญี่ปุ่นไป 13 คน

แม้ว่า ในเดือนตุลาคมปีนั้นผู้ที่ถูกลักพาตัวชาวญี่ปุ่นห้าคนจะได้เดินทางกลับญี่ปุ่น แต่ผู้ถูกลักพาตัวชาวญี่ปุ่นที่เหลือรัฐบาลเปียงยางยังไม่ได้ให้คำอธิบายใด ๆ ที่ยอมรับได้อีกเลย ถึงแม้ว่า เกาหลีเหนือจะมีพันธะสัญญาอย่างชัดเจนจากการประชุมสุดยอดผู้นำญี่ปุ่น-เกาหลีเหนือเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2547 เพื่อดำเนินการสอบสวนโดยละเอียดในทันทีในการตรวจสอบจำนวนชาวญี่ปุ่นที่ถูกลักพาตัวทั้งหมด 

การยืนยันของเกาหลีเหนือเกี่ยวกับประเด็นการลักพาตัวนั้น เกาหลีเหนือไม่ได้ให้หลักฐานที่น่าพอใจหรือที่น่าเชื่อใดๆ ดังนั้นรัฐบาลญี่ปุ่นจึงไม่ยอมรับ 

สำหรับการลักพาตัวพลเมืองญี่ปุ่นนั้น ทางรัฐบาลญี่ปุ่นถือเป็นปัญหาสำคัญที่เกี่ยวข้องกับอำนาจอธิปไตยของญี่ปุ่น ชีวิตและความปลอดภัยของพลเมืองญี่ปุ่น หากไม่มีการแก้ไขปัญหานี้ ความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับเกาหลีเหนือก็จะยังไม่ถือว่าเป็นปกติ 

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลญี่ปุ่นให้คำมั่นแก่ชาวญี่ปุ่นที่จะพยายามอย่างที่สุดในการติดตามและนำผู้ถูกลักพาตัวทั้งหมดกลับมายังประเทศญี่ปุ่นโดยเร็วที่สุด และรัฐบาลเกาหลีเหนือได้ยอมรับอย่างเป็นทางการว่า ได้ลักพาตัวชาวญี่ปุ่นไป 13 คน

ชาวเกาหลีใต้ชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือผู้ที่ถูกลักพาตัวชาวเกาหลีใต้ระหว่างสงครามเกาหลีกว่าแปดหมื่นคน

มาที่ด้านของเกาหลีใต้ ผู้ที่ถูกลักพาตัวชาวเกาหลีใต้โดยเกาหลีเหนือ แบ่งออกเป็นสองกลุ่มได้แก่ 1.) ผู้ที่ถูกลักพาตัวในระหว่างช่วงสงครามเกาหลี และ 2.) ผู้ที่ถูกลักพาตัวหลังจากสงครามเกาหลี โดยในช่วงระหว่างสงครามเกาหลี มีชาวเกาหลีใต้ประมาณ 84,532 คนถูกนำตัวไปยังเกาหลีเหนือ ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีการศึกษาหรือมีทักษะอยู่แล้ว เช่น นักการเมือง ข้ารัฐการ นักวิชาการ นักการศึกษา แพทย์ ผู้พิพากษา นักข่าว หรือนักธุรกิจ ตามคำให้การของสมาชิกในครอบครัวที่เหลืออยู่ การลักพาตัวส่วนใหญ่ถูกจับกุมโดยทหารเกาหลีเหนือซึ่งมีชื่อเฉพาะและบัตรประจำตัวของผู้ที่ถูกลักพาตัวอยู่ในมืออยู่แล้วเมื่อพวกเขามาปรากฏตัวที่บ้าน อันเป็นข้อบ่งชี้ว่า การลักพาตัวเกิดขึ้นโดยเจตนาและเป็นไปในลักษณะที่มีความเป็นระบบ 

สาธุคุณ Kim Dong-shik (ผู้จัดตั้งที่พักพิงในจีนสำหรับชาวเกาหลีเหนือที่แปรพักตร์) หนึ่งในผู้ที่ถูกลักพาตัว

นับตั้งแต่ข้อตกลงสงบศึกเกาหลีในปี พ.ศ. 2496 เกาหลีเหนือได้ทำการลักพาตัวชาวเกาหลีใต้ราว 3,800 คน (ส่วนใหญ่ในช่วงปลายทศวรรษ 1970) ชาวเกาหลีใต้ที่ถูกสายลับเกาหลีเหนือลักพาตัวในดินแดนเกาหลีใต้หรือต่างประเทศหลังจากการสงบศึกลงนามในปี พ.ศ. 2496 เป็นที่รู้จักในชื่อเรียกว่า “ผู้ถูกลักพาตัวหลังสงคราม” โดยส่วนใหญ่จะถูกจับในขณะตกปลาใกล้เขตปลอดทหารเกาหลี (DMZ) แต่บางคนถูกลักพาตัวโดยสายลับเกาหลีเหนือในเขตเกาหลีใต้ที่ลึกเข้ามา 

เกาหลีเหนือยังคงลักพาตัวชาวเกาหลีใต้อย่างต่อเนื่องในยุค 2000 ดังที่เห็นได้จากกรณีของสาธุคุณ Kim Dong-shik (ผู้จัดตั้งที่พักพิงในจีนสำหรับชาวเกาหลีเหนือที่แปรพักตร์) ซึ่งถูกลักพาตัวไปเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2543 และ Jin Gyeong-suk ชาวเกาหลีเหนือที่แปรพักตร์ไปอยู่ยังเกาหลีใต้ ซึ่งถูกลักพาตัวไปเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2547 ขณะที่เธอกลับไปยังเขตชายแดนจีน-เกาหลีเหนือโดยใช้หนังสือเดินทางเกาหลีใต้ ซึ่งในปี พ.ศ. 2549 ชาวเกาหลีใต้จำนวน 489 คนยังคงไม่ได้รับการปล่อยตัว 

ว่าด้วย...กำลังทหารของญี่ปุ่นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ตามมาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่น

หลังจากการเยือนราชอาณาจักรไทยของนายคิชิดะ ฟูมิโอะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 1-2 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา ก็มีคนไทยบางคนอ่านข่าวไม่ทันจบหรือไม่ทันได้ทำความเข้าใจในประเด็นต่างๆ ได้ออกมาโวยว่า...

ครั้งนี้รัฐบาลไทยไปทำความตกลงกับญี่ปุ่นสารพัดเรื่อง ทั้งๆ ที่การทำความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลต่างประเทศ จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อน รัฐบาลไทยจึงจะไปทำความตกลงกับรัฐบาลต่างประเทศได้ ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ ประเด็นหารือจึงใช้คำว่า ‘การเสริมสร้าง’

รัฐธรรมนูญ (ฉบับใหม่) ของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2490

โดยเฉพาะเรื่องของความมั่นคง ที่รัฐบาลญี่ปุ่นเองก็มีข้อจำกัดในเรื่องของการทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์ตามหมวด 2 (ตามรัฐธรรมนูญ (ฉบับใหม่) ของประเทศญี่ปุ่น) ‘การสละสิทธิ์สงคราม’ มาตรา 9 ซึ่งได้ระบุเอาไว้ว่า...ความมุ่งประสงค์อย่างแท้จริงในสันติภาพระหว่างชาติ โดยมีความยุติธรรมและความสงบเรียบร้อยเป็นพื้นฐาน ชนชาวญี่ปุ่นยอมสละจากสงครามไปตลอดกาลนาน ซึ่งให้ถือเป็นสิทธิสูงสุดแห่งชาติ ทั้งสละจากการคุกคามหรือการใช้กำลังเพื่อแก้ไขข้อพิพาทระหว่างชาติ เพื่อบรรลุความมุ่งประสงค์ในวรรคก่อน...จะไม่มีการธำรงไว้ซึ่งกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ กับทั้งศักยภาพอื่นๆ ในทางสงคราม รวมถึงไม่มีการรับรองสิทธิในการเป็นพันธมิตรในสงคราม

ชาวญี่ปุ่นเพียง 27% เห็นด้วยกับการแก้มาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญ ยินยอมให้ญี่ปุ่นกลับมามีกองทัพอย่างเป็นทางการ และสามารถประกาศสงครามได้ โดยมีผู้ไม่เห็นด้วยถึง 67%

มาตรา 9 ของรัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่น เป็นบทในรัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่นที่ห้ามพฤติการณ์แห่งสงครามโดยรัฐ รัฐธรรมนูญดังกล่าวมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2490 หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ในข้อความนี้ รัฐสละสิทธิอธิปไตยในสงครามและห้ามการระงับข้อพิพาทระหว่างประเทศผ่านการใช้กำลัง มาตรานี้ยังแถลงว่า เพื่อบรรลุเป้าประสงค์เหล่านี้ จะไม่มีการธำรงกองทัพที่มีศักย์สงคราม แต่ญี่ปุ่นยังคงธำรงกองทัพอยู่โดยพฤตินัยนั้น คือ กองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่น

นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นในขณะนั้นได้หลีกเลี่ยงกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 9 ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด โดยได้อนุมัติการตีความ มาตรา 9 ซึ่งรัฐธรรมนูญอันสละสิทธิ์สงครามขึ้นใหม่

รัฐธรรมนูญ (ฉบับใหม่) ของประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2490 ร่างขึ้นภายใต้การยึดครองของฝ่ายสัมพันธมิตรให้หลังสงครามโลกครั้งที่สอง และตั้งใจแทนที่ ‘ระบบแสนยนิยม’ (Militarism: แนวคิดนิยมทหาร) และสมบูรณาญาสิทธิราชย์เดิมของประเทศญี่ปุ่นด้วยประชาธิปไตยเสรีนิยมรูปแบบหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันเป็นรัฐธรรมนูญที่แก้ไขได้ยากมาก จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีการแก้ไขเพิ่มเติมใดๆ นับแต่มีมติเห็นชอบ

แม้ว่าในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2557 รัฐบาลญี่ปุ่นได้อนุมัติการตีความ มาตรา 9 ซึ่งรัฐธรรมนูญอันสละสิทธิ์สงครามใหม่ ที่อาจสร้างความกังวลและความไม่เห็นด้วยจากประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งอนุญาตให้ใช้กำลังทหารเพื่อโจมตีประเทศอื่นและเข้าสู่สงคราม รวมถึงการใช้กำลังทหารเพื่อการนี้ถูกพิจารณาว่ามิชอบด้วยกฎหมายและเป็นอันตรายร้ายแรงต่อประชาธิปไตยของญี่ปุ่น

แต่นายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นในขณะนั้น ได้หลีกเลี่ยงกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด และทำให้มีการเปลี่ยนแปลงมูลวิวัฒต่อความหมายของหลักการมูลฐานในรัฐธรรมนูญโดยคำสั่งของคณะรัฐมนตรี โดยปราศจากการอภิปรายหรือลงมติของสภาไดเอต (สภาผู้แทนราษฎร) และยังไม่ได้ผ่านประชามติความเห็นชอบจากสาธารณะเลย

กองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่น (Japan Self Defend Force : JSDF หรือ JSF หรือ SDF) 

กองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่น (Japan Self Defense Force : JSDF หรือ JSF หรือ SDF) เป็นกำลังทหารของญี่ปุ่นซึ่งถูกจัดตั้งขึ้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงเพื่อแทนที่กองทัพจักรวรรดิญี่ปุ่นที่ถูกยุบเลิก และฝ่ายสัมพันธมิตรได้เข้ามาทำการยึดครองญี่ปุ่นในช่วงหลังสงคราม

โดยกองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่นถูกใช้งานในเฉพาะภายในประเทศมีหน้าที่ในการป้องกันประเทศอธิปไตยชาติเพียงอย่างเดียวและไม่ได้รับอนุญาตให้ปฏิบัติภารกิจในต่างประเทศ ยกเว้นในสถานการณ์ที่ถือว่า เป็นการป้องกันตนเองภายในขอบเขตที่จำกัดเท่านั้น แม้อาจมีภารกิจในต่างประเทศอาทิ การปฏิบัติการรักษาสันติภาพ

กองกำลังป้องกันตนเองทางทะเลญี่ปุ่นขณะสวนสนาม

แต่ในวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 คณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นได้ตีความรัฐธรรมนูญมาตรา 9 ตามรัฐธรรมนูญแห่งญี่ปุ่นใหม่ และสรุปได้ว่า ญี่ปุ่นจะสามารถส่งทหารสังกัดกองกำลังป้องกันตนเองไปปฏิบัติภารกิจการป้องกันตนเองร่วมได้ (Collective Self Defense) ตามมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเพื่อปกป้องชาติหนึ่งชาติใดจากการถูกรุกรานได้ และญี่ปุ่นจะสามารถส่งกำลังทหารไปช่วยเหลือชาติพันธมิตรใกล้ชิดที่ถูกโจมตีได้ หากการโจมตีนั้นเป็นภัยคุกคามต่อการดำรงอยู่ของญี่ปุ่นและไม่มีวิธีอื่นในการปกป้องชีวิตของชาวญี่ปุ่น

แม้จะผลิตเองจะต้องจ่ายแพงกว่าการซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์สำเร็จรูปจากต่างประเทศ แต่ญี่ปุ่นก็เต็มใจจ่าย

ในด้านการพัฒนาอาวุธ รัฐธรรมนูญของญี่ปุ่นได้กำหนดห้ามการพัฒนาอาวุธในเชิงรุก ขณะที่การห้ามส่งออกอาวุธยุทโธปกรณ์นั้น แม้ญี่ปุ่นจะเป็นผู้กำหนดขึ้นเองเมื่อปี พ.ศ. 2510 แต่ในวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2557 ญี่ปุ่นได้ผ่อนคลายกฎห้ามส่งออกอาวุธยุทโธปกรณ์ โดยสามารถส่งออกอาวุธยุทโธปกรณ์ และสามารถมีส่วนร่วมในการผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ กับนานาชาติได้ แต่ญี่ปุ่นจะไม่ส่งออกอาวุธยุทโธปกรณ์ให้แก่ประเทศที่ตกอยู่ท่ามกลางความขัดแย้ง หรืออาจเป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพและความมั่นคงของนานาชาติ

มาดูแลผิวรับหน้าร้อนกันเถอะ

เมื่อถึงหน้าร้อนเป็นช่วงเวลาที่อุณหภูมิสูงขึ้น แสงแดดจัด ส่งผลให้ผิวหนังเกิดความระคายเคือง หน้ามันเยิ้ม ผิวไหม้แดด ฝ้า กระ ชัดขึ้น หากไม่ได้รับการดูแลอาจส่งผลให้เกิดริ้วรอย จุดด่างดำ ความหมองคล้ำ ผิวเสื่อมสภาพตามมาได้

ตัวการที่ทำร้ายผิวประกอบด้วย แสงแดด, ความร้อน, มลภาวะ, ฝุ่น, ควัน, การใช้ชีวิต, อาหารการกิน ก็มีส่วนทำให้ผิวเสื่อมสภาพได้

💥ปัจจัยทำให้ผิวเสื่อมสภาพ
1.) ปัจจัยภายใน การเสื่อมตามธรรมชาติหรืออายุที่เพิ่มมากขึ้น
2.) ปัจจัยภายนอกหรือสิ่งแวดล้อม
- รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ที่มากับแสงแดด
- แสงช่วงที่มองเห็นด้วยตาเปล่าโดยเฉพาะแสงสีฟ้า (Blue light) จากหน้าจอคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ
- รังสีอินฟราเรด เช่น ความร้อนจากการทำงาน, เครื่องยนต์ต่างๆ 
- มลภาวะเป็นพิษทางอากาศ ทั้งควันบุหรี่ (PM10) และฝุ่นขนาดเล็ก (PM2.5) ล้วนส่งผลเสียให้ผิวหนังเสื่อมสภาพเร็วหรือแก่ก่อนวัยได้
- การใช้ชีวิต เช่น การใช้โทรศัพท์มือถือด้านใด ผิวหน้าด้านนั้นจะมีฝ้าเข็มขึ้นกว่าอีกด้านหนึ่ง

นอกจากนี้ อนุมูลอิสระ (free radicals) ภายในชั้นผิวหนัง ยังทำให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน ทำให้ผิวแพ้ง่าย, ผิวหนังอักเสบ, เส้นเลือดฝอยขยาย, เซลล์ผิวเสื่อมสภาพและตายเร็วขึ้น ทั้งยังลดการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน, เกิดการทำลายดีเอ็นเอ, อาจมีเนื้องอกหรือมะเร็งผิวหนังเกิดขึ้นได้

การเกิดริ้วรอยและความหย่อนยาน ผิวหยาบกร้าน ไม่สดใส เกิดจากชั้นหนังกำพร้าที่หนาตัวขึ้นและชั้นหนังแท้ที่บางลงจากการสูญเสียคอลลาเจนและอิลาสติน 

💥รังสีอัลตราไวโอเลต (UV)

รังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ที่มากับแสงแดด ทำให้เซลล์ผิวหนังทำงานผิดปกติ มีการเปลี่ยนแปลงของผนังเซลล์ ไขมันและโปรตีนในเซลล์ เกิดภาวะผิวเสื่อมจากแสงแดด (Photo aging) รังสีอัลตราไวโอเลตจะทำลายดีเอ็นเอหรือยีนในเซลล์ผิวหนัง ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนังมากขึ้น

- ยูวีเอ (UVA) พบได้ทั้งกลางแจ้งและภายในอาคาร สามารถทะลุผ่านเสื้อผ้าและกระจกได้ ยูวีเอจะกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระในเซลล์ชั้นหนังแท้ ทำลายคอลลาเจน, อิลาสตินและดีเอ็นเอ ส่งผลเสียต่อระบบภูมิต้านทาน เป็นสาเหตุของผิวแก่ก่อนวัย ริ้วรอยและมะเร็งผิวหนัง

- ยูวีบี (UVB) แม้จะไม่สามารถทะลุผ่านกระจกได้ แต่จะถูกดูดซับโดยดีเอ็นเอในเซลล์หนังกำพร้าหรือรอยต่อระหว่างชั้นหนังกำพร้าและชั้นหนังแท้ ทำให้เกิดผิวไหม้แดด (Sun burn) มีการสร้างเม็ดสีส่วนเกินและมะเร็งผิวหนัง

- ยูวีซี (UVC) มักพบในประเทศที่มีภาวะเรือนกระจก เช่น ประเทศออสเตรเลีย พบผู้ป่วยมะเร็งผิวหนังมากที่สุดในโลก

💥แสงสีฟ้า (Blue light)

แสงสีฟ้าเป็นแสงที่มองเห็นด้วยตาเปล่าและมีช่วงความยาวคลื่นใกล้เคียงกับรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ดังนั้นจึงสามารถก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพได้ เช่น การทำลายเลนส์แก้วตา ผิวหมองคล้ำ สีผิวไม่สม่ำเสมอเช่นเดียวกับภาวะผิวเสื่อมจากแสงแดด

แสงสีฟ้ามาจากหน้าจออุปกรณ์คอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ รวมทั้งโทรศัพท์มือถือ การได้รับแสงสีฟ้าต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานจะทำให้เกิดความเครียดที่ผิวหนัง ผิวหนังอักเสบ ผิวหนังเสื่อม เกิดอนุมูลอิสระที่ผิวหนัง ส่งผลในการทำลายดีเอ็นเอ คอลลาเจน และอิลาสตินสลาย เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่นและหย่อนยาน รวมทั้งกระ ฝ้า 

สังเกตว่ารอยดำจากสิวอักเสบและฝ้า มักจะหายช้าและมีสีเข้มขึ้นที่ด้านข้างใบหน้าโดยเฉพาะข้างที่สัมผัสกับโทรศัพท์มือถือ 

ส่อง!! ขุมกำลังนอกประเทศ ประเทศไหน? กองกำลังทหารอยู่นอกบ้าน เพียบ!!

การมีกองกำลังทหาร หรือ มีการตั้งฐานทัพทางทหารในต่างประเทศ ทำให้ประเทศนั้นๆ สามารถแสดงพลังอำนาจทางทหารได้ โดยสามารถใช้กำลังทหารที่มีอยู่นอกประเทศได้มากมายหลากหลายภารกิจ ที่มีผลกระทบ และมีอิทธิพลต่อเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ ซึ่งสามารถใช้เป็นกำลัง, พื้นที่จัดเตรียมหรือใช้สำหรับการสนับสนุนด้าน Logistics, การสื่อสาร และการข่าว ขึ้นอยู่กับขนาดและโครงสร้างของกองกำลังหรือฐานทัพนั้นๆ 

ทั้งนี้ จากความขัดแย้งมากมายที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ ส่งผลให้ฐานทัพทหารในต่างประเทศ ถูกตั้งขึ้นเป็นจำนวนมากโดยประเทศมหาอำนาจโลก และการมีอยู่ของฐานทัพในต่างประเทศต่างๆ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ประเทศเหล่านั้นสามารถบรรลุเป้าหมายและผลประโยชน์แห่งทั้งทางการเมือง การทหาร เศรษฐกิจ และสังคม

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสอง จักรวรรดิอังกฤษและมหาอำนาจเจ้าอาณานิคมอื่นๆ ได้ตั้งฐานทัพทหารในหลายๆ ดินแดนอาณานิคม ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการแสวงหาสิ่งอำนวยความสะดวกที่จำเป็น ด้วยเหตุผลเชิงกลยุทธ์

การแข่งขันในการสร้างสถานี เพื่อเชื่อมการขนส่งทางน้ำสำหรับเรือเดินทะเลมีความสำคัญมากในช่วงสงครามเย็น ส่งผลให้สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตได้ตั้งฐานทัพทหารมากมายหลายแห่งภายในเขตอิทธิพลของตน และต่างก็แสวงหาอิทธิพลอย่างแข็งขัน 

ปัจจุบันสงครามต่อต้านการก่อการร้ายได้ทำให้มีการจัดตั้งฐานทัพของกองกำลังต่างชาติโดยเฉพาะในประเทศตะวันออกกลางมากมายหลายประเทศ แม้ว่าจำนวนฐานทัพทหารในต่างประเทศโดยรวมลดลงตั้งแต่ปี พ.ศ. 2488 (ค.ศ. 1945) อันเป็นปีที่สงครามโลกครั้งที่สองยุติลง แต่ สหรัฐอเมริกา, ตุรกี, สหราชอาณาจักร, รัสเซีย และฝรั่งเศส ยังคงมีกองกำลังและฐานทัพทหารในต่างประเทศจำนวนมาก รองลงมาก็คือ จีน, อิหร่าน, อินเดีย, อิตาลี, ซาอุดีอาระเบีย, สิงคโปร์ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

สำหรับ สหรัฐอเมริกา มีฐานทัพทหารในต่างประเทศที่ใหญ่และมากที่สุด จำนวน 38 ฐานทัพ โดยมีกำลังประจำการ ทั้งทหารจากเหล่าทัพต่างๆ กองกำลังพิทักษ์ชาติ กองหนุน หรือบุคลากรพลเรือน ณ วันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2557 (ค.ศ. 2014) ฐานทัพที่ใหญ่ที่สุดด้วยจำนวนของกำลังพลคือ ฐานทัพอากาศ Ramstein ในเยอรมนี ด้วยจำนวนบุคลากรเกือบ 9,200 นาย

อย่างไรก็ตาม ยังมีรายชื่อประเทศที่มีกองกำลังทหารอยู่นอกประเทศ และประเทศที่ตั้งของกองกำลังทหารอีกมากมายด้วย ซึ่งวันนี้ผมจะมาแชร์ให้ทราบโดยทั่วกัน...

เครื่องบิน F/A-18 กองทัพอากาศออสเตรเลีย ณ ฐานทัพอากาศ Butterworth มาเลเซีย

ออสเตรเลีย : มาเลเซีย - ฐานทัพอากาศ Butterworth ตามข้อตกลงด้านการป้องกันพลังทั้งห้า (Five Power Defence Arrangements : FPDA) ประกอบด้วย ออสเตรเลีย, นิวซีแลนด์, มาเลเซีย, สิงคโปร์ และสหราชอาณาจักร นอกจากนี้กองทัพออสเตรเลียยังมีกองร้อยทหารราบ Butterworth สำหรับการฝึกฝนอบรมทางทหาร และในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ - ฐานทัพอากาศ Al Minhad สำหรับรองรับปฏิบัติการของกองกำลังออสเตรเลียในตะวันออกกลาง

บังคลาเทศ : คูเวต - กองกำลังติดอาวุธของบังคลาเทศ (BMC) อยู่ในคูเวตตั้งแต่สิ้นสุดสงครามอ่าวในปี พ.ศ. 2534 (ค.ศ. 1991) เพื่อช่วยเหลือกองกำลังทหารคูเวตในด้านภารกิจขนส่ง และภาคส่วนอื่นๆ ภายใต้ข้อตกลงทวิภาคีของสองประเทศ

Operational Support Hub (OSH) ของกองทัพแคนาดาประจำภูมิภาคละตินอเมริกาและแคริบเบียน

แคนาดา : ในเยอรมนี - มีการตั้ง Operational Support Hub (OSH) ประจำภูมิภาคยุโรป ขึ้นในปี พ.ศ. 2552 ณ สนามบิน Köln-Bonn สามารถปฏิบัติการได้ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวันเพื่อให้เข้าถึงเครือข่ายการขนส่งของยุโรปอย่างเต็มรูปแบบ 

ในจาเมกา - สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2559 เป็น OSH ประจำภูมิภาคละตินอเมริกาและแคริบเบียน เพื่อสนับสนุนกำลังทหารแคนาดาในการซ้อมรบ TRADEWINDS 2016 ในจาเมกา 

ในคูเวต - OSH ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันตกเฉียงใต้ สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2554 เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติการของแคนาดาในอัฟกานิสถาน ในเซเนกัล - OSH ประจำภูมิภาคแอฟริกาตะวันตก สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2561 มีการจัดตั้ง Interim Operational Support Hub (IOSH) ขึ้นที่สนามบิน Léopold Sédar Senghor (LSS) ในกรุงดาการ์ เซเนกัล 

ฐานทัพสำหรับเรือปฏิบัติการข่าวกรองทางสัญญาณ (SIGINT) ของกองทัพเรือจีน เกาะโคโค่ เมียนมาร์

ประเทศจีน : ในจิบูตี - ฐานสนับสนุนกองทัพปลดแอกประชาชนจีน ในเมียนมาร์ - ฐานทัพเรือ สำหรับเรือปฏิบัติการข่าวกรองทางสัญญาณ (SIGINT) เกาะโคโค่ 
ในทาจิกีสถาน - ฐานทัพในกอร์โน - บาดักชานทางตะวันออกเฉียงใต้ ในกัมพูชา - กำลังสร้างฐานทัพเรือเรียม ใกล้เมืองสีหนุวิลล์

กองกำลังทหารฝรั่งเศสประจำจิบูตี (FFDj)

ฝรั่งเศส : ในจิบูตี - กองกำลังทหารฝรั่งเศสประจำจิบูตี (FFDj) 
ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ - กองกำลังทหารฝรั่งเศสประจำสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ 
ในไอวอรี่โคสต์ - กองกำลังทหารฝรั่งเศสในโกตดิวัวร์ (FFCI) 
ในกาบอง - หน่วยทหารฝรั่งเศสประจำกาบอง (EFG) 
ในเซเนกัล - หน่วยทหารฝรั่งเศสประจำเซเนกัล (EFS) 
ในเยอรมนี - กองพลน้อยฝรั่งเศส-เยอรมันใน Müllheim และศูนย์ฝึก Eurocopter Tiger ฐานทัพอากาศ Faßberg 
ในมาลี - หน่วยสนับสนุนอำนวยความสะดวกหลายแห่ง* 
ในบูร์กินาฟาโซ - หน่วยสนับสนุนอำนวยความสะดวกหลายแห่ง* 
ในมอริเตเนีย - หน่วยสนับสนุนอำนวยความสะดวกหลายแห่ง* 
ในชาด - ฐานทัพอากาศ N'Djamena* 
ในไนเจอร์ - ฐานทัพอากาศ Niamey* (*ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการ Barkhane) 
ในซีเรีย - อย่างน้อยสามฐานใกล้ Kobanî, Sarrin และ Ayn Issa** 
ในอิรัก - กองกำลังในแบกแดด** 
ในจอร์แดน - ฐานทัพอากาศ Prince Hassan** (**ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปฏิบัติการ Chammal) 

กองพันทหารราบเบาที่ 291 ของกองทัพบกเยอรมัน สังกัดกองพลน้อยฝรั่งเศส-เยอรมัน ประจำการใน Illkirch-Graffenstaden ฝรั่งเศส

เยอรมนี : ในฝรั่งเศส - กองพลน้อยฝรั่งเศส-เยอรมันใน Illkirch-Graffenstaden ใกล้ Strasbourg และศูนย์ฝึกเฮลิคอปเตอร์ Eurocopter Tiger ใน Le Cannet-des-Maures 
ในสหรัฐอเมริกา - กองบัญชาการอเมริกาเหนือของเยอรมันในเมือง Reston มลรัฐ Virginia

กรีซ : ในไซปรัส - กองกำลังกรีซประจำไซปรัส 
ในซาอุดีอาระเบีย - กองกำลังกรีซในซาอุดิอาระเบีย ในโคโซโว - กองกำลังกรีซในโคโซโว

อินเดีย : ในทาจิกิสถาน - ฐานทัพอากาศ Farkhor โดยกองทัพอากาศอินเดียและกองทัพอากาศทาจิกีสถาน - ฐานทัพอากาศไอนี่ โดยกองทัพอากาศอินเดียตั้งแต่ปี พ.ศ. 2548 เป็นต้นมา โดยมี Su-30 MKI ถูกนำไปใช้ในจำนวนที่จำกัดตั้งแต่ปี 2014 
ในภูฏาน - ชุดฝึกของกองทัพอินเดีย (IMTRAT) ประจำการถาวรในภูฏานตะวันตก 
ในมาดากัสการ์ - เสาเฝ้าฟังและสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับเรดาร์ในตอนเหนือของมาดากัสการ์ 
ในโอมาน - เสาเฝ้าฟังที่ Ras al Hadd และสิทธิในท่าเทียบเรือของกองทัพเรืออินเดีย ณ ฐานทัพเรือ Muscat สถานี Duqm สำหรับกองทัพอากาศและกองทัพเรืออินเดีย 
ในมอริเชียส - ระบบเรดาร์ตรวจการณ์ชายฝั่งในเกาะ North Agalega ปัจจุบันเกาะนี้เป็นที่ตั้งฐานทัพของอินเดียในมอริเชียส

อิหร่าน : ในอิรัก - สถานีปฏิบัติงานนอกชายฝั่งและสิ่งอำนวยความสะดวกทางทหารหลายแห่งในกรุงแบกแดด เมืองอัลอันบาร์ และเขตซาลาดิน 
ในซีเรีย - ฐานทัพทหารใกล้กับ Al-Kiswah, Abu Kamal และสถานีบริการอำนวยความสะดวกหลายแห่งใน 3 เขตการปกครอง
ในเลบานอน - หน่วยฝึกทหารใกล้กับ Beit Mubarak และสถานีปฏิบัติงานนอกชายฝั่งหลายแห่งในเขต Beqaa และ Beirut

นอนหลับอย่างไรให้สุขภาพดี

ในแต่ละวันการนอนหลับใช้เวลาเกือบ 1 ใน 3 ของช่วงเวลาทั้งวัน ดังนั้นหากนอนหลับอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้ร่างกายฟื้นฟูตัวเองอย่างเต็มที่ ส่งผลให้ฮอร์โมนต่างๆ ทำงานอย่างปกติและเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะในขณะที่นอนหลับสนิท ร่างกายจะผลิตฮอร์โมนที่กระตุ้นการเจริญเติบโต (Growth hormone) ออกมาเป็นจำนวนมาก

การนอนหลับบนที่นอนและหมอนที่เหมาะสมมีส่วนช่วยให้เกิดความผ่อนคลายและความสบาย ดังนั้นการเลือกที่นอนและหมอนที่ดีจึงมีความสำคัญและไม่ควรมองข้าม

✨ที่นอนที่ดีเป็นอย่างไร ?

ที่นอนที่ดีต้องรองรับน้ำหนักตัวได้อย่างเต็มที่ สามารถกระจายน้ำหนักตัวออกไปได้มากที่สุดจนร่างกายทุกส่วนรู้สึกผ่อนคลายและกล้ามเนื้อต่างๆ ทำงานน้อยที่สุด ทำให้กล้ามเนื้อได้พักผ่อนตลอดการนอนหลับ        6-8 ชั่วโมง ในทางตรงข้ามหากนอนหลับบนที่นอนที่ไม่เหมาะสม ไม่สามารถรองรับและกระจายน้ำหนักตัวได้เต็มที่ กล้ามเนื้อบางมัดอาจอยู่ในท่าเกร็งหรือไม่ผ่อนคลาย ส่งผลให้ปวดเมื่อยร่างกายได้

1.) ที่นอนที่ดีต้องเรียบ ตึง และแน่น
อาจทำจากนุ่น ใยสังเคราะห์ สปริงหรือใยมะพร้าว โดยมีความยืดหยุ่นพอสมควร นอกจากนี้ต้องไม่มีส่วนนูนโค้งเพราะทำให้รับน้ำหนักไม่สม่ำเสมอและกล้ามเนื้อบางมัดต้องทำงานขณะนอนหลับ 

2.) ที่นอนที่ดีต้องไม่นิ่มหรือแข็งจนเกินไป
ถ้าที่นอนนิ่มเกินไป ร่างกายจะจมลงไปในที่นอน ส่วนที่หนักจะถูกกดทับและรับน้ำหนักมากกว่าส่วนอื่น การกระจายน้ำหนักไม่ดี ทำให้รู้สึกปวดเมื่อยได้ง่าย ส่วนที่นอนที่แข็งเกินไป อาจทำให้รู้สึกเจ็บบริเวณปุ่มกระดูกต่างๆ 

3.) ควรเลือกที่นอนที่เหมาะสมกับรูปร่างของตัวเอง
สำหรับคนรูปร่างผอมอาจเลือกที่นอนที่มีลักษณะนิ่มกว่าเพื่อรองรับปุ่มกระดูกต่างๆ ของร่างกาย ส่วนคนรูปร่างใหญ่อาจเลือกที่นอนที่มีความแข็งกว่า เพราะกล้ามเนื้อและไขมันจะช่วยรองรับและกระจายน้ำหนักตัวได้ แต่ถ้าคนรูปร่างใหญ่ใช้ที่นอนนิ่ม ส่วนของร่างกายจะจมลงไปในที่นอน ทำให้รู้สึกไม่สบายตัว

นอกจากที่นอนที่ดีแล้ว อุปกรณ์ในการนอนที่มีความสำคัญเช่นกันก็คือ “หมอน” เพราะช่วยรองรับและกระจายน้ำหนัก โดยเฉพาะร่างกายช่วงคอบ่าไหล่

จิม โจนส์ (Jim Jones) ‘ผีบุญอเมริกัน’ ผู้ปิดฉากลัทธิ ด้วยการพาสาวกฆ่าตัวตายหมู่กว่า 900 ชีวิต

ประชาชนในพื้นที่อีสานประสบพบกับความยากลำบากจากภัยธรรมชาติ โดยเฉพาะการขาดแคลนแล้งน้ำเป็นประจำ

ระยะนี้บ้านเรามีผู้พยายามนำเรื่องราวของ ‘ผีบุญ’ อันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อ 121 ปีล่วงมาแล้ว โดยมีการตีไข่ใส่สีว่าผีบุญเป็นวาทกรรมที่ถูกสร้างขึ้นโดยฝ่ายรัฐ ทั้งๆ ที่ผู้นำขบวนการนั้นตั้งตัวเป็น ‘ผีบุญ’ เอง โดยให้ความหมายของผีบุญว่าเป็น ‘ผู้มีบุญ’ ซึ่งก็คือ การอวดอ้างตัวเองว่า เป็นผู้วิเศษ มีฤทธิ์ มีเดช เหนือมนุษย์ธรรมดาทั่วไป ได้รับบัญชาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้มาสร้างความมั่งคั่งผาสุกให้กับราษฎร ซึ่งชัดเจนแน่นอนว่าเป็นการโกหกหลอกลวงเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง แต่ก็ทำให้คนที่งมงายเชื่อได้เป็นจำนวนมาก

บรรดากบฏผีบุญถูกเจ้าหน้าที่ทหารควบคุมไว้ที่ ทุ่งศรีเมือง อุบลราชธานี เมื่อปี พ.ศ. 2444

ในสมัยนั้น มีผีบุญเกิดขึ้นในภาคอีสานหลายราย ด้วยเพราะประชาชนในพื้นที่ต้องประสบพบกับความยากลำบากจากภัยธรรมชาติ โดยเฉพาะการขาดแคลนแล้งน้ำเป็นประจำ ทำให้ผู้ที่มักใหญ่ใฝ่สูง อยากมีอำนาจออกมาปลุกปั่นว่า เป็นเพราะรัฐบาลสยามส่งคนมาปกครองแล้วเก็บภาษีไปปรนเปรอคนกรุงเทพฯ ประกอบกับผู้คนที่อาศัยอยู่ห่างไกลจากตัวเมืองและความเจริญมาก ยังมีความเชื่อเรื่องภูตผีและไสยศาสตร์ จึงถูกบรรดาเหล่าผีบุญหลอกลวงได้อย่างง่าย ๆ และกบฏผีบุญไม่ได้ถูกปราบปรามโดยรัฐบาลสยามเท่านั้น เพราะมีผีบุญปรากฏในดินแดนรัฐบาลอินโดจีนของฝรั่งเศส จึงถูกปราบปรามโดยรัฐบาลอินโดจีนของฝรั่งเศสด้วย จนกระทั่งปี พ.ศ. 2479 จึงถูกรัฐบาลอินโดจีนของฝรั่งเศสกำราบปราบปรามจนหมดสิ้น

ภาพวาดเจ้าพระฝาง (พระพากุลเถระ (มหาเรือน) ) ผู้ตั้งชุมนุมเจ้าพระฝาง

ผีบุญรายสำคัญอีกรายหนึ่งที่เกิดขึ้นก่อนครั้งนี้คือ ‘เจ้าพระฝาง’ (พระพากุลเถระ (มหาเรือน) ) ผู้ตั้งชุมนุมเจ้าพระฝางภายหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองในปี พ.ศ. 2310 โดยมีอิทธิพลจนสามารถยึดครองหัวเมืองฝ่ายเหนือได้เป็นส่วนใหญ่ จนกระทั่งถูกปราบปรามในปี พ.ศ. 2313 โดยกองทัพของพระเจ้ากรุงธนบุรี (พระเจ้าตากสินมหาราช) เรื่องราวของผีบุญ ซึ่งอวดอ้างตัวเองว่าเป็นผู้วิเศษนั้นจึงมีมานานมาแล้ว แม้ปัจจุบันก็ยังคงมีผู้ที่มีพฤติการณ์และพฤติกรรมเช่นนี้อยู่ในรูปแบบของการต้มตุ๋นหลอกลวง นำไปสู่การดำเนินคดีมากมายหลายกรณี แต่ขบวนการไม่ได้ใหญ่โตจนกลายเป็นการก่อการกบฏต่อบ้านเมือง เพียงแต่เป็นการหลอกลวงเพื่อหาผลประโยชน์ที่เป็นทรัพย์สิน เงิน ทอง

เดวิด โคเรช’ (David Koresh) เจ้าลัทธิแบรนช์ดาวิเดียน (Branch Davidians) ผีบุญอเมริกัน

ในประเทศที่เจริญแล้วก็มีเรื่องราวของเจ้าลัทธิที่มีพฤติการณ์และพฤติกรรมไม่ต่างจากผีบุญในบ้านเราเช่นกัน ได้เคยเล่าเรื่องของ จุดจบ ‘เดวิด โคเรช’ (David Koresh) เจ้าลัทธิแบรนช์ดาวิเดียน (Branch Davidians) เมืองเวโก้ มลรัฐเท็กซัส https://thestatestimes.com/post/2022041605 ซึ่งก็ถือว่าเป็นผีบุญอเมริกันคนหนึ่งที่จบเรื่องราวลงพร้อมด้วยกว่าแปดสิบชีวิตของสาวก แต่ไม่เพียงเท่านั้น ยังมี ‘ผีบุญอเมริกัน’ ที่นำสาวกไปจบชีวิตมากที่สุดอยู่อีกคนหนึ่ง…

จิม โจนส์ (Jim Jones) หรือชื่อเต็มว่า เจมส์ วาร์เรน โจนส์ (James Warren Jones)

เขาผู้นั้น คือ จิม โจนส์ (Jim Jones) หรือชื่อเต็มว่า เจมส์ วาร์เรน โจนส์ (James Warren Jones) เกิดเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2474 (ค.ศ. 1931) ในเขตชนบทของเมือง Crete มลรัฐ Indiana สหรัฐอเมริกา เป็นบุตรชายของ James Thurman Jones กับ Lynetta Putnam

ในวัยเด็ก โจนส์ มีชื่อเล่นว่า จิมมี่ เขามีเชื้อสายไอริชและเวลส์ ครอบครัวของเขาอาศัยอยู่ในชุมชนเคร่งศาสนา เขาเติบโตเป็นผู้ที่มีความศรัทธาในคริสต์ศาสนาอย่างแรงกล้า โดยเริ่มท่องจำ Bible ตั้งแต่อายุ 8 ขวบ พออายุสิบสองก็สามารถเทศน์สอนเด็กในละแวกบ้านได้ราวกับเป็นนักเทศน์จริง ๆ

ประวัติของจิมระบุว่า ครอบครัวของเขาค่อนข้างมีปัญหา เพราะบิดาเป็นทหารพิการจากพิษของอาวุธเคมีในสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้มีปัญหาในเรื่องการหายใจ ทำงานได้ไม่มากนัก ซ้ำได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์เศรษฐกิจถดถอยจนต้องสูญเสียบ้าน ส่วนตัวจิมเองก็มีปัญหาในการคบเพื่อนทำให้มีเพื่อนยาก

เมื่ออายุได้ 17 ปี จิมได้เข้าเป็นนักเรียนฝึกหัดเพื่อจะเป็นนักบวชของนิกาย Methodist พออายุ 21 ปี เขาก็ได้แต่งงานกับ Marceline Baldwin ซึ่งทำงานเป็นพยาบาล แล้วต่อมาจิมก็ออกจากนิกาย Methodist มาเป็นนักเผยแผ่ศาสนาหรือนักเทศน์อิสระ

ที่ตั้งแรกสุดของนิกายโบสถ์แห่งมวลชน (Peoples Temple) เมือง Indianapolis มลรัฐ Indiana

พ.ศ. 2500 (ค.ศ. 1957) จิมก่อตั้งนิกาย (ลัทธิ) โบสถ์แห่งมวลชน (Peoples Temple) ขึ้น เพื่อเผยแพร่คำสอน โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นชาวอเมริกันผิวสีในเขตสลัม ให้ความช่วยเหลือแก่ชาวอเมริกันผิวสีในรูปของอาหาร ที่พัก และหางานให้ทำ แต่ถูกต่อต้านจากชาวอเมริกันผิวขาวที่มีทัศนคติเหยียดสีผิว แต่จิมก็ไม่ยอมแพ้ และทำการเผยแผ่ศาสนาต่อไปเรื่อย ๆ โดยขณะนั้นพลเมืองอเมริกันผิวสีในเมือง Indianapolis เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว อีกทั้งสหรัฐอเมริกาก็มีการรณรงค์เพื่อการมีส่วนร่วมในทางการเมืองของชาวอเมริกันผิวสี ขณะที่ตัวจิมเองก็มีพรสวรรค์ในการเทศน์มาก จนทำให้จำนวนผู้ศรัทธาในตัวเขาเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้โบสถ์แห่งมวลชนเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วตามไปด้วย โดยในปี พ.ศ. 2502 (ค.ศ. 1959) จิมได้รับเด็กผิวสีและเด็กเชื้อสายเกาหลีมาเป็นบุตรบุญธรรมอย่างละคน นอกเหนือไปจากลูกสองคนของเขากับภรรยา จนมีลูกทั้งหมดเก้าคน และเรียกครอบครัวของเขาเองว่า ครอบครัวแห่งสายรุ้ง (Rainbow Family)

Martin Luther King Jr. (ซ้าย) และ Malcolm X (ขวา)

เชื่อกันว่า จิม ได้รับอิทธิพลทางความคิดมากมายหลายเรื่อง อาทิ การต่อต้านสงคราม และการรณรงค์เรียกร้องสิทธิเสรีภาพ จากสาธุคุณ Martin Luther King Jr. กับ Malcolm X และพรรคเสือดำ (Black Panther Party : BPP) ซึ่งเป็นนักเคลื่อนไหว และขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อชาวอเมริกันผิวสี เขาเชื่อถือศรัทธาในสังคมอุดมคติเป็นแบบสังคมนิยมซึ่งไม่มีการแบ่งแยกเชื้อชาติ และเริ่มทำการรณรงค์เพื่อต่อต้านการแบ่งแยกสีผิว ทั้งการเดินขบวนและออกรายการโทรทัศน์ โดยจิมเองเชื่อและมีทัศนคติว่า รัฐบาล และผู้ที่แยกตัวออกจากโบสถ์แห่งมวลชนเป็นศัตรูของเขา และเขาจึงมีผู้คุ้มกันอยู่ข้างตัวเกือบตลอด 24 ชั่วโมง รวมทั้งมีการส่งคนไปเฝ้าดูตามบ้านของผู้แยกตัวออกจากโบสถ์แห่งมวลชนอีกด้วย

โบสถ์แห่งมวลชน Redwood Valley ใกล้กับเมือง Ukiah มลรัฐ California

ในปี พ.ศ. 2508 (ค.ศ. 1965) จิมได้ย้ายโบสถ์แห่งมวลชนมายัง Redwood Valley ใกล้กับเมือง Ukiah มลรัฐ California และต่อมาในปี พ.ศ. 2510 (ค.ศ. 1967) จิมก็ย้ายโบสถ์แห่งมวลชนไปยังนคร San Francisco เขาเทศน์ในเรื่องความเสมอภาคในเชื้อชาติ ให้ความช่วยเหลือคนยากจน คนตกงาน คนที่มีคดีติดตัว ผู้ติดยาเสพติด โบสถ์แห่งมวลชนเติบโตอย่างรวดเร็ว มีสาวกมากมายหลายพันคน เขาได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการเมืองท้องถิ่น ด้วยการสร้างเครือข่ายเส้นสายในหมู่นักการเมือง จนทำให้โบสถ์แห่งมวลชนมีอำนาจมากเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

ต่อมาเขาได้รับเลือกให้เป็นประธานกรรมการการเคหะแห่งนคร San Francisco จิมเริ่มมีพฤติกรรมที่รุนแรงมากขึ้น เริ่มปฏิเสธพระเจ้า มีสภาพจิตใจผิดปกติ มีอารมณ์รุนแรง และต้องพึ่งยาระงับประสาท จิมชักชวนให้สาวกบริจาคสมบัติทั้งหมดแก่โบสถ์แห่งมวลชน แล้วมาใช้ชีวิตในโบสถ์ เด็ก ๆ ถูกแยกจากครอบครัว และสั่งให้สาวกเรียกเขาว่า ‘บิดาผู้ศักดิ์สิทธิ์’ และเริ่มสร้างความเชื่อถือศรัทธาในการฆ่าตัวตายหมู่ ด้วยความเชื่อว่าจะทำให้วิญญาณของทุกคนได้เป็นหนึ่งเดียว และได้รับความสุขอันเป็นนิรันดร์ ณ โลกใบอื่น

โจนส์ทาวน์ (Jones town) บนพื้นที่กว่า 300 เอเคอร์ ประเทศกายอานา ทวีปอเมริกาใต้

“ตะคริว” ตอนกลางคืน…ปัญหาสุขภาพที่ไม่ควรมองข้าม

เชื่อว่าหลายคนคงเคยประสบปัญหาการเป็นตะคริวตอนกลางคืนขณะนอนหลับ ทำให้เกิดความทุกข์ทรมานเป็นอย่างมากจนต้องสะดุ้งตื่นกลางดึก ทั้งนี้อาการ “ตะคริว” ยังเป็นหนึ่งในสัญญาณเตือนปัญหาสุขภาพในร่างกายอีกด้วย

อาการ “ตะคริว” ที่ขาช่วงเวลากลางคืน เป็นการหดเกร็งเป็นก้อนแข็งของกล้ามเนื้อที่เกิดขึ้นฉับพลัน มักเกิดความเจ็บปวดมากอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่งก่อนอาการจะทุเลาลง โดยมักจะเกิดกับกล้ามเนื้อด้านหลัง ต้นขา (Hamstrings) หรือ ด้านหลังน่อง (Calf) 

การเป็นตะคริวนี้อาจเกิดขึ้นกับกล้ามเนื้อส่วนใดของร่างกายก็ได้ และอาจเกิดกับกล้ามเนื้อเพียงมัดเดียวหรือหลายๆ มัดพร้อมกันก็ได้ พบได้บ่อยในวัยกลางคนและผู้สูงอายุ มักพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ในช่วงอายุ 50 ปีขึ้นไป รวมถึงหญิงตั้งครรภ์

❤️ สาเหตุการเกิดตะคริวตอนกลางคืน ❤️
1.) การนั่งหรือยืนอยู่ในท่าเดิมนานๆ เช่น พนักงานออฟฟิศที่ต้องนั่งประชุมทั้งวันและไม่ได้ขยับร่างกาย อาจส่งผลให้เกิดตะคริวที่ขาขณะนอนหลับได้ 
2.) ผู้ที่ออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมอย่างหนักที่ต้องใช้แรงขามาก เช่น การเล่นกีฬา หรือ ปีนเขา ทำให้กล้ามเนื้อขาทำงานหนัก เป็นปัจจัยนำไปสู่การหดเกร็งของกล้ามเนื้อขาและอาการตะคริวขณะนอนหลับ
3.) การนอนหลับในท่าเหยียดขาตรง ข้อเท้าและปลายเท้าชี้ลง ช่วยส่งเสริมให้กล้ามเนื้อน่องอยู่ในท่า      หดสั้น อาจทำให้เสี่ยงต่อการเป็นตะคริวได้ง่าย
4.) อากาศเย็นหรือฤดูหนาวเป็นช่วงที่มีอาการตะคริวเกิดขึ้นบ่อย โดยเฉพาะช่วงกลางคืนระหว่างนอนหลับอุณหภูมิในร่างกายจะลดต่ำลง ทำให้ปวดมากขึ้น 
5.) การทำงานผิดปกติของเซลล์ประสาทและเส้นประสาทที่ควบคุมการหดและคลายตัวของกล้ามเนื้อทำงานผิดปกติ
6.) การไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อไม่ดี 

❤️ ตะคริวตอนกลางคืน อาจเกี่ยวข้องกับภาวะต่างๆ ดังนี้ ❤️
- หญิงตั้งครรภ์อาจเป็นตะคริวได้บ่อย เนื่องจากระดับของแคลเซียมในเลือดต่ำหรืออาจเกิดจากการไหลเวียนของเลือดไปที่กล้ามเนื้อขาไม่สะดวก
- ภาวะผิดปกติของต่อมไทรอยด์
- ความผิดปกติของระบบประสาท เช่น โรคพาร์กินสัน
- โรคทางระบบประสาท เช่น โรคปลายประสาทอักเสบ (Peripheral Neuropathy) หรือ โรคเซลล์ประสาทนำคำสั่งเสื่อม (Motor neuron disease)
- ความผิดปกติของการเผาผลาญ เช่น โรคเบาหวาน
- โรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น โรคหัวใจ หรือโรคหลอดเลือดส่วนปลายอุดตัน (Peripheral vascular disease)
- โครงสร้างร่างกาย เช่น เท้าแบน หรือโรคโพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ (Spinal stenosis)
- การใช้ยาเพื่อรักษาโรคบางชนิด เช่น ยาที่ใช้ลดระดับคอเลสเตอรอล ยาขับปัสสาวะ และยาลดความดัน
- การดื่มน้ำน้อยเกินไป ทำให้เซลล์กล้ามเนื้อขาดน้ำ
- ภาวะเกลือแร่ในร่างกายไม่สมดุล โดยเฉพาะโซเดียมและโพแทสเซียม ได้แก่ ท้องเดิน อาเจียน เสียเหงื่อมาก ซึ่งอาจทำให้เป็นตะคริวรุนแรงได้
- ผู้ที่มีภาวะแคลเซียมในเลือดต่ำ ก็อาจเป็นตะคริวได้บ่อย
- กล้ามเนื้ออ่อนล้าหรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง จากการใช้งานติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือการทำงานหนัก จะทำให้เกิดตะคริวได้บ่อย
- การได้รับบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อ อาจเกิดจากการกระแทก ทำให้เกิดการฟกช้ำที่กล้ามเนื้อ
- กล้ามเนื้อขาดการยืดหยุ่น กล้ามเนื้อที่ตึงจะเกิดตะคริวได้บ่อย
- ผู้ที่มีภาวะหลอดเลือดแดงแข็งหรือหลอดเลือดตีบตัน เช่น ผู้สูงอายุอาจเป็นตะคริวขณะที่เดินนานๆ เนื่องจากการไหลเวียนของเลือดไปที่ขาไม่ดี

❤️ การรักษาและการบรรเทาอาการตะคริวตอนกลางคืน ❤️
1.) หยุดพักการใช้กล้ามเนื้อที่เป็นตะคริวทันที
2.) ยืดกล้ามเนื้อน่อง โดยเหยียดขาให้ตรงแล้วค่อยๆ กระดกข้อเท้าขึ้นให้ปลายนิ้วเท้าเข้าหาตัวหรือหันหน้าเข้ากำแพง ยืนห่างจากกำแพงออกมาประมาณ 1 ก้าว แล้วก้าวขาข้างหนึ่งไปข้างหลัง พร้อมกับเอียงตัวไปข้างหน้า โดยวางส้นเท้าให้แบนราบไปกับพื้น ใช้มือดันกำแพงทั้ง 2 ข้าง จะรู้สึกตึงบริเวณน่อง ทำค้างไว้ 10-15 วินาที ทำซ้ำ 5-10 ครั้ง โดยอาจประคบด้วยความร้อนบริเวณที่เป็นตะคริวเพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top