Monday, 29 April 2024
ผศ.ดร.สุทัศน์ จันบัวลา

‘แผ่นดินไหว’ มหันตภัยใต้พิภพ ภัยเงียบจากธรรมชาติที่รอวันปะทุ

เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา คิดว่าทุกท่านคงได้ข่าวการเกิดภัยทางธรรมชาติของประเทศเพื่อนบ้านในโลกของเรา ซึ่งเป็นภัยพิบัติที่ทำให้เกิดความเสียหายทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สินเป็นจำนวนมาก นั่นก็คือข่าวการเกิดแผ่นดินไหวในประเทศตุรกี และประเทศซีเรีย โดยขนาดความรุนแรงของแผ่นดินไหวคือขนาด 7.8 ตามมาตราริกเตอร์ ซึ่งถือว่ามีความรุนแรงสูง และนับว่าเป็นเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดจากภัยพิบัติทางธรรมชาติอันดับ 6 ของโลกเลยทีเดียว 

ผลที่เกิดจากการเกิดแผ่นในครั้งนี้ ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่าสี่หมื่นคน และมีผู้คนที่ได้รับผลกระทบไร้ที่อยู่อาศัยและสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักอีกเป็นจำนวนมาก 

สำหรับวันนี้ผมจะพามาดูสาเหตุของการเกิดแผ่นดินไหว และมาดูว่าส่วนไหนของโลกนี้ที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดแผ่นดินไหวมากที่สุด รวมทั้งประเทศไทยเรามีโอกาสที่จะเกิดแผ่นดินไหวหรือไม่? ถ้ามีจะเกิดได้ในส่วนไหน และความรุนแรงจะมากน้อยขนาดไหนกันครับ 

ทั้งนี้ก่อนที่จะพูดเรื่องแผ่นดินไหว เรามาทำความเข้าใจแผ่นดินที่เราอาศัยกันอยู่ก่อนน่ะครับ โดยพื้นเปลือกโลก หรือที่เราเรียกว่าแผ่นดินที่เราอาศัยอยู่กันนี้ มีลักษณะเป็นแผ่นของแข็งที่มีหลายแผ่นเชื่อมต่อกันอยู่ ทำให้เกิดรอยต่อ หรือรอยแยกระหว่างแผ่นดินที่เชื่อมต่อแผ่นเปลือกโลกที่มีการเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลา 

โดยแผ่นเปลือกโลกหลักที่สำคัญและมีขนาดใหญ่ ได้แก่ แผ่นเปลือกโลกแปซิฟิก แผ่นเปลือกโลกอเมริกาเหนือ แผ่นเปลือกโลกอเมริกาใต้ แผ่นเปลือกโลกยูเรเชีย แผ่นเปลือกโลกแอฟริกา แผ่นเปลือกโลกอินเดีย-ออสเตรเลีย และแผ่นเปลือกโลกแอนตาร์กติก 


ภาพแสดงลักษณะของแผ่นโลก
นอกจากมีแผ่นเปลือกโลกหลักแล้ว ยังมีแผ่นรองที่เป็นลักษณะรอยต่อ หรือรอยเลื่อยย่อย ๆ อีกหลายรอยที่อยู่ภายในเปลือกโลกหลัก 

เมื่อถัดจากเปลือกโลกที่เป็นของแข็งลึกลงไปยังเนื้อโลก หรือภายในพื้นโลก ถ้าเราเจาะลงไปจะเจอของเหลวที่มีความหนืดและมีอุณหภูมิสูง ทั้งนี้เนื่องจากภายในเนื้อโลกมีอุณหภูมิที่สูงมากและมีการอัดแน่นกันอยู่ ทำให้มีการสะสมพลังงานที่จะทำให้เกิดการปะทุตัวอยู่ตลอดเวลา เปรียบได้กับการที่เราต้มน้ำให้เดือดและปิดฝาไว้ สังเกตว่าจะมีแรงน้ำปะทุขึ้นมานั่นเอง

ดังนั้นเมื่อเปรียบเทียบพื้นดินหรือเปลือกโลกที่เราอาศัยอยู่ก็เหมือนกับการที่เราอยู่บนเรือขนาดยักษ์หลายลำ ที่ลอยลำอยู่บนของเหลวที่มีความหนืด และมีความร้อนสูง มีการสะสมพลังงานที่พร้อมจะปลดปล่อยออกมาตลอดเวลา และเมื่อถึงเวลาที่ปลดปล่อย ก็จะปลดปล่อยออกมาในบริเวณที่เป็นรอยต่อของแผ่นเปลือกโลก ส่งผลทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนที่มีขนาดใหญ่ สามารถสร้างความเสียหายให้กับทุกสิ่งที่อยู่บริเวณศูนย์กลาง และบริเวณรอบ ๆ จุดศูนย์กลางที่เกิดแผ่นดินไหว 

โดยบริเวณที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดแผ่นดินไหว มักจะเป็นบริเวณเดียวกับที่มีความเสี่ยงจะเกิดการระเบิดของภูเขาไฟ เนื่องจากเป็นจุดที่จะมีการปล่อยพลังงานภายในเนื้อโลกออกมาเหมือนกัน การเกิดแผ่นดินไหวนั้นถ้าเกิดในบริเวณที่เป็นพื้นดินก็จะส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บริเวณนั้น แต่ถ้าเกิดในบริเวณที่เป็นมหาสมุทรก็อาจจะทำให้เกิดคลื่นสึนามิขนาดใหญ่พัดเข้าหาชายฝั่ง เหมือนกับที่เคยเกิดในประเทศไทยเมื่อปี 2547 

ทั้งนี้บริเวณที่มีความเสี่ยงมากที่สุดในโลก อยู่บริเวณกว้างที่เรียกกันว่า วงแหวนไฟ (Ring of fire) ได้แก่บริเวณรอบมหาสมุทรแปซิฟิก บริเวณหมู่เกาะญี่ปุ่น หมู่เกาะฟิลิปปินส์ หมู่เกาะแปซิฟิกใต้ และชายฝั่งตะวันตกของทวีปอเมริกาใต้ 
 

ภาพแสดงวงแหวนแห่งไฟ บริเวณที่มีโอกาสเกิดแผ่นดินไหว
>> ‘รอยต่อ’ หรือ ‘รอยเลื่อน’ ที่สำคัญและมีความเสี่ยงที่จะเกิดแผ่นดินไหวในประเทศไทย

ประเทศไทยมีรอยเลื่อนขนาดเล็ก ๆ เป็นจำนวนมาก โดยบริเวณที่น่าสนใจ เช่น รอยเลื่อนเจดีย์ 3 องค์, รอยเลื่อนแม่ปิง และรอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ โดยเฉพาะรอยเลื่อนศรีสวัสดิ์นี้ เป็นรอยเลื่อนที่มีการพูดถึงบ่อยมาก ๆ เนื่องจากเป็นรอยเลื่อนที่อยู่ใกล้กรุงเทพ และเป็นจุดที่ตั้งของเขื่อนศรีนครินทร์พอดี ทำให้เกิดการวิตกกังวลว่าถ้าเกิดแผ่นดินไหวจะทำให้เขื่อนแตก และเกิดมวลน้ำจำนวนมหาศาลไหลบ่าเข้าท่วมบริเวณที่อยู่ใกล้เขื่อนได้ 

แต่ความวิตกต่าง ๆ ก็เริ่มจางหายไป เพราะเมื่อปี พ.ศ.2526 ได้เคยเกิดแผ่นดินไหวบริเวณนี้ครั้งใหญ่ โดยมีขนาดความรุนแรงถึง 5.5 ริกเตอร์ แต่ก็ไม่สามารถทำให้เขื่อนศรีนครินทร์เสียหาย และโอกาสที่จะเกิดแผ่นดินไหวที่มีขนาดใหญ่กว่าครั้งนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องยาก เพราะรอยเลื่อนตรงจุดนี้เป็นรอยเลื่อนขนาดย่อย ไม่ใช่รอยเลื่อนหลักที่จะส่งผลให้เกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ได้ ทำให้โอกาสที่จะปลดปล่อยพลังงานที่ทำให้เกิดแผ่นดินไหวที่มีขนาดใหญ่ยาก

แถลงไข!! ‘พระจันทร์สีเลือด’ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ พิสูจน์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์ มิใช่สัญญาณบอกเหตุลางร้าย

เมื่อวันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา เป็นวันพระจันทร์เต็มดวง และเป็นเทศกาลลอยกระทงในรอบ 3 ปี ของประเทศไทย ที่ประชานชนทุกภาคได้มีโอกาสลอยกระทง และมีการจัดงานอย่างเต็มรูปแบบหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย และมีเรื่องราวหนึ่งที่มาพร้อมกับการเกิดพระจันทร์เต็มดวงที่ตรงกับเทศกาลลอยกระทงปีนี้คือ การเกิดปรากฏการณ์ลักษณะสีของดวงจันทร์ที่มีสีแดงอิฐคล้ายสีเลือด หรือเรามักเรียกกันว่า ‘พระจันทร์สีเลือด’ นั่นเอง 

เมื่อเกิดปรากฏการณ์นี้ขึ้น ก็จะมีคนในวงการหมอดูหรือทางโหราศาสตร์ออกมาแสดงความคิดเห็นกัน รวมทั้งเล่าเรื่องราวที่สืบต่อกันมา ว่าจะเป็นสัญญาณในการเกิดเหตุร้าย และมีบางสำนักออกมาบอกถึงขั้นว่าไม่ควรจะไปโดนแสงที่เกิดจากพระจันทร์สีเลือด เพราะจะทำให้เกิดเภทภัยภยันตรายตามมา 

บางรายก็บอกลงลึกไปถึงขั้นว่า คนที่เกิดราศีไหนจะเกิดผลกระทบมากที่สุดเมื่อโดนแสงจันทร์สีเลือด และมีคำเตือนไม่ให้คนในราศรีนี้ออกไปข้างนอกในช่วงเวลาดังกล่าว หนักถึงขั้นบางสำนักมีวิธีการในการแก้ไขว่าต้องทำกิจกรรมอะไรถึงจะแก้ไขเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้นเนื่องจากพระจันทร์สีเลือดอีกด้วย

สำหรับเรื่องพระจันทร์สีเลือดนี้ ผู้เขียนจะขอพูดถึงลักษณะปรากฏการณ์ที่ทำให้พระจันทร์มีสีเลือดกัน โดยใช้ 'หลักการทางวิทยาศาสตร์' ที่ได้ข้อมูลมาจากสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติมาอธิบายกันครับ 

ปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มดวง ในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2565 เกิดขึ้นในช่วงเวลาประมาณ 15.02 - 20.56 น. (ตามเวลาประเทศไทย) โดยเราจะเริ่มสังเกตเห็นได้ตั้งแต่ช่วงที่ดวงจันทร์โผล่พ้นขอบฟ้า ในเวลาประมาณ 17.44 น. เป็นต้นไป ทางทิศตะวันออก ตรงกับช่วงที่กำลังเกิดคราสเต็มดวง มองเห็นดวงจันทร์เต็มดวงปรากฏเป็นสีแดงอิฐ จนถึงเวลาประมาณ 18.41 น. 

จากนั้นเริ่มเห็นดวงจันทร์ปรากฏเว้าแหว่งบางส่วนและค่อย ๆ ออกจากเงามืดของโลก จนกระทั่งเข้าสู่เงามัวหมดทั้งดวงในเวลา 19.49 น. เปลี่ยนเป็นจันทรุปราคาเงามัวที่สังเกตได้ยาก เนื่องจากความสว่างของดวงจันทร์เปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และสุดท้ายดวงจันทร์พ้นจากเงามัวของโลกเวลา 20.56 น. ถือว่าสิ้นสุดปรากฏการณ์จันทรุปราคาในครั้งนี้โดยสมบูรณ์  

ขณะเกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มดวงเมื่อแสงของดวงอาทิตย์ ผ่านบรรยากาศโลก แสงสีน้ำเงินที่มีความยาวคลื่นสั้นกว่าจะถูกบรรยากาศกระเจิงออกไปหมด เหลือแต่แสงสีแดงที่มีความยาวคลื่นยาวกว่าหักเหไปตกกระทบบนผิวดวงจันทร์ จึงมองเห็นดวงจันทร์เป็นสีแดง 

เฉลย!! สารเคมีรั่วไหลจากโรงงานในนครปฐม สูดดมเข้าไป เป็นอันตรายกับเนื้อเยื่อปอด

เช้าวันที่ 22 กันยายน 2565 นอกจากจะเป็นวันที่ฝนตกปรอยๆ ในตอนเช้า อันเป็นสาเหตุที่ทำให้รถติดมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่คนเมืองที่อยู่ในเขตกรุงเทพและปริมณฑลเคยชินกันอยู่แล้ว ยังมีเหตุการณ์ที่น่าระทึกใจเพิ่มขึ้นมา นั่นก็คือ การได้กลิ่นเหม็นของสารเคมีบางอย่าง ที่มีลักษณะเหม็นคละคลุ้งไปทั่วคลอบคลุมพื้นที่หลายพื้นที่ เช่น อำเภอนครชัยศรี, อำเภอสามพราน, อำเภอพุทธมณฑล ของจังหวัดนครปฐม รวมไปถึงพื้นที่บางส่วนของกรุงเทพมหานคร เช่น เขตทวีวัฒนา และบางส่วนของอำเภอบางกรวย จังหวัดนครปฐม

โดยลักษณะของกลิ่น จะเป็นกลิ่นฉุน เหม็นเปรี้ยว และเมื่อสัมผัสนานๆ จะทำให้แสบตาได้ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้โรงเรียนหลายโรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง มีคำสั่งให้หยุดการเรียนการสอน เช่น โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย, โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ มหามงคล จังหวัดนครปฐม เป็นต้น 

สำหรับสาเหตุการรั่วไหลของสารเคมีจากโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดนครปฐมนั้น มาจาก โรงงานบริษัทอินโดรามา โพลิเอสเตอร์ อินดัสตรี จำกัด ที่ตั้งอยู่เลขที่ 535/8 หมู่ 4 ถนนเพชรเกษม ตำบลขุนแก้ว อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ซึ่งประกอบกิจการธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตเส้นใยโพลีเอสเตอร์และเส้นใยประดิษฐ์   

จากการตรวจสอบของผู้เชี่ยวชาญจากสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 5 จังหวัดนครปฐม พบว่า สารเคมีที่รั่วไหลนั้นมีชื่อว่า ‘สารไดฟีนิลออกไซด์’ และ ‘สารไบฟีนิล’ ซึ่งเกิดการรั่วไหลบริเวณระบบหล่อเย็น (Cooling) ของกระบวนการผลิตพลาสติก โดยลักษณะของสารเคมีดังกล่าว เมื่ออยู่ในสถานะแก๊ส จะมีน้ำหนักเบา ทำให้สามารถลอยไปในอากาศได้เป็นระยะไกล ทำให้ผู้ที่อาศัยห่างจากแหล่งรั่วไหลหลายกิโลเมตรได้กลิ่น 

ทั้งนี้ สารดังกล่าวนั้นเป็นกลุ่มของสารเคมีประเภทไฮโดรคาร์บอน ซึ่งมีธาตุคาร์บอนและไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบ โดยทั่วไปในธรรมชาติ จะพบสารประกอบไฮโดรคาร์บอนเกิดอยู่ในแหล่งต่างๆ มากมาย เช่น ยางไม้, ถ่านหิน, ปิโตรเลียม, นอกจากนี้ยังมีสารประกอบไฮโดรคาร์บอนบางตัวที่ได้จากการสังเคราะห์ 

ยิ่งไปกว่านั้น สารเหล่านี้ บางชนิดถูกใช้เป็นส่วนประกอบของกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม โดยมีแหล่งกำเนิดของสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่สำคัญที่สุด คือ ‘ปิโตรเลียม’ ซึ่งอันตรายที่เกิดจากการสูดดมสารประเภทนี้ คือ เมื่อสูดดมเข้าไป จะทำให้เป็นอันตรายกับเนื้อเยื่อปอด เพราะมันจะไปละลายไขมันในผนังเซลล์ที่ปอด 

วิทยาศาสตร์มีคำตอบ!! โอกาสถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 มีเพียง 0.0001% แต่ถ้าซื้องวดละ 1 ล้านใบ ถูกแน่ๆ 100%

ทำยังไงจะถูกหวย จะต้องลงทุนเท่าไรจึงจะถูกทุกงวด วิทยาศาสตร์มีคำตอบให้ครับ

สวัสดีครับกลับมาพบกันอีกครั้งกับต้นเดือนกันยายน 2565 ซึ่งเมื่อวันสองวันที่ผ่านมา น่าจะมีเศรษฐีหน้าใหม่ของประเทศไทยเกิดขึ้นมาอีกหลายคนน่ะครับ

เนื่องจากทุกวันที่ 1 และ 16 ทุกเดือนจะเป็นวันที่คนไทยทุกคนตั้งหน้าตั้งตารอ นั่นคือการลุ้นผลรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล หรือเรียกแบบบ้านๆ ว่า หวย ทั้งนี้แทบจะเรียก 2 วันนี้ว่าเป็นวันความหวังแห่งชาติ เลยก็ว่าได้ครับ

และผู้เขียนเชื่อว่าผู้อ่านหลาย ๆ ท่านคงจะเคยซื้อหวยกัน ไม่ว่าจะเป็นหวยที่ถูกกฎหมายหรือที่เราเรียกกันว่าลอตเตอรี่ แต่ถ้าเรียกให้ดูสวยหรูคือสลากกินแบ่งรัฐบาล หรือหวยที่ไม่ถูกกฎหมายแต่คนไทยทุกคนรู้จักกันดีและเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับสังคมมาเป็นเวลานาน นั่นก็คือหวยใต้ดิน ซึ่งมีอยู่หลายรูปแบบที่แตกต่างกันไป

ทั้งนี้จากผลสำรวจของโพลหลายสำนัก พบว่าคนไทยมากกว่าร้อยละ 60% เคยซื้อหวยกันครับ โดยเฉพาะลอตเตอรี่นอกจากจะทำให้บางคนเป็นเศรษฐีในชั่วพริบตา แต่ก็เป็นที่รับรู้กันดีว่าแม้จะมีราคาเขียนไว้ที่หน้าสลากชัดเจนแต่น้อยคนนักที่จะมีโอกาสได้ซื้อในราคาดังกล่าว

ในขณะเดียวกันเมื่อไม่นานมานี้รัฐบาลพยายามที่จะใช้มาตรการในการเข้ามาควบคุมให้ราคาลอตเตอรี่ขายในราคาที่กำหนดคือ ฉบับละ 80 บาท โดยให้มีการซื้อขายในระบบออนไลน์ หรือที่เรารู้กันว่า สลาก ดิจิทัล ซึ่งก็พบว่าขายดีมาก โดยขายได้หมดในเวลาเพียงแค่ 2-3 วันเท่านั้น

ทั้งนี้นอกจากหวยจะทำให้คนไทยมีความหวังในทุกๆ วันที่ 1 และ 16 ของเดือนแล้ว ก็ยังทำให้คนไทยหลาย ๆ คนมีอาชีพทำกินโดยการขายลอตเตอรี่อีกด้วย เท่านั้นยังไม่พอ ยังทำให้เกิดอีกอาชีพหนึ่งขึ้นมา นั่นก็คือ อาชีพของคนใบ้หวย ซึ่งหลาย ๆ คน ก็ร่ำรวยได้ง่าย ๆ จากอาชีพนี้กันครับ

สำหรับวันนี้ไม่ได้มาพูดเรื่องการใบ้หวยครับ แต่จะพาทุกท่านมาดูหลักการทางวิทยาศาสตร์กัน เวลาเราซื้อหวยไม่ว่าจะเป็นหวยที่ถูกกฎหมาย หรือหวยใต้ดิน เรามีโอกาสที่จะถูกมากหรือน้อยขนาดไหน และถ้าจะให้ถูกรางวัลทุกงวดเราจะต้องลงทุนเท่าไรกัน ในที่นี้จะขอพูดถึงสลากกินแบ่งรัฐบาลหรือลอตเตอรี่ก่อนนะครับ

ในปัจจุบันนี้ลอตเตอรี่ 1 ชุดจะมีเลขทั้งหมดจำนวน 6 หลัก ก็คือตั้งแต่เลข 000000 จนกระทั้งถึง 999999 หรือพูดง่ายๆ คือมีทั้งหมด 1 ล้านฉบับ และในจำนวนล้านฉบับมีรางวัลให้ลุ้นตั้งแต่รางวัล เลขหน้า เลขท้าย 3 ตัว และ 2 ตัว รวมทั้งหมด 14,168 รางวัล คิดเป็นจำนวนเงินรางวัลรวม 48 ล้านบาท

แล้วถ้าเราอยากจะถูกรางวัลทั้งหมดนี้ต้องลงทุนเท่าไร? หมายความว่าหากเราต้องซื้อสลากมาทั้งหมด 1 ล้านฉบับ ก็จะต้องถูกแน่ ๆ 100 % ซึ่งถ้าสลากขายในราคาที่กำหนด คือ 80 บาท เราก็จะต้องใช้เงินในการซื้อทั้งหมด 80 ล้านบาทครับ ดูแล้วคงไม่คุ้มแน่ ๆ

แต่ถ้าเราซื้อสลากมา 1 ฉบับล่ะ มีโอกาสที่จะถูกมากน้อยขนาดไหน ซึ่งโอกาสที่จะถูกรางวัลที่ 1 ก็คือ 1 ใน ล้าน หรือคิดเป็น 0.0001 % และยังมีรางวัลข้างเคียงรางวัลที่ 1 ซึ่งมี 2 รางวัล ก็มีโอกาสถูก 0.0002 %

นอกจากนี้รางวัลอื่นก็จะมีโอกาสถูกที่เพิ่มขึ้นแตกต่างกันไปตามจำนวนรางวัลเช่น รางวัลเลขหน้าและเลขท้าย 3 ตัว จำนวน 2,000 รางวัล จะมีโอกาสถูก 0.2 % รางวัลเลขท้าย 2 ตัว จำนวน 10,000 รางวัล มีโอกาสถูก 1 % เป็นต้น

พออ่านมาถึงตรงนี้หลาย ๆ ท่าน น่าจะพอรู้คำตอบของโอกาสในการถูกลอตเตอรี่ของรัฐบาลนะครับ แล้วถ้าเราไม่ซื้อหวยแบบที่ถูกกฎหมาย แต่เปลี่ยนมาซื้อหวยใต้ดินกันล่ะครับ เรามีโอกาสที่จะถูกเท่าไร และจะต้องลงทุนเท่าไรในการซื้อถึงจะถูก มาดูกันครับ

เป็นที่ทราบกันทั่วไปอยู่แล้วนะครับว่า ในการซื้อหวยใต้ดินมีรางวัลหลักๆ ที่ลุ้นกันอยู่ คือเลขท้าย 3 ตัว โดยอาศัยดูจากผลเลขท้าย 3 ตัว ของรางวัลที่ 1 สลากกินแบ่งรัฐบาล

และในส่วนของเลขท้าย 2 ตัว จะมี 2 แบบ คือข้างบนและข้างล่าง โดยข้างล่างจะอาศัยการใช้ผลของเลขท้าย 2 ตัวของสลากกินแบ่งรัฐบาล 2 ตัว ส่วนข้างบนก็อาศัยการใช้เลขท้าย 2 ตัว ของรางวัลที่ 1

รู้เท่าทัน ‘คุณและโทษ’ หลังปลดล็อกกัญชา ความท้าทายใหม่ของสังคมไทย

หลังจากที่เป็นมหากาพย์มาค่อนข้างจะยาวนาน จากนโยบายการหาเสียงของพรรคการเมืองใหญ่พรรคหนึ่ง สู่การนำมาใช้ปฏิบัติจริง จนกระทั่งกลายเป็นความขัดแย้งของหน่วยงานที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย 

สุดท้ายแล้ว เมื่อวันที่ (9 มิถุนายน 2565) ก็เป็นอีกวันหนึ่งที่ต้องมีการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ไทย หลังประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่องระบุยาเสพติดประเภทที่ 5 พ.ศ. 2565 มีผลบังคับใช้ ส่งผลให้ส่วนประกอบของกัญชาทุกอย่าง ยกเว้นสารสกัดจากกัญชาที่มีค่า THC (Tetrahydrocannabinol) ซึ่งเป็นสารที่ออกฤทธิ์เกิน 0.2 % มีสถานภาพที่ไม่ใช่สารเสพติดต่อไปอีกแล้ว



สำหรับกัญชานั้นเป็นพืชล้มลุกจำพวกหญ้าชนิดหนึ่ง มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Cannabis sativa L. เป็น mono specific มีชื่อสามัญหลากหลาย เช่น hemp, marijuana, pot, gandia เป็นต้น กัญชามักจะเป็นที่นิยมเรียกกันในกลุ่มผู้เสพว่าเนื้อ 

ก่อนที่จะถูกปลดล็อก กัญชาจัดเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ลักษณะใบกัญชา จะเรียวยาวแตกเป็นแฉกคล้ายใบละหุ่งหรือมันสำปะหลัง ส่วนที่นำมาใช้เสพก็คือ ใบและยอดช่อดอกตัวเมีย โดยการนำมาตากหรืออบแห้งแล้วบดหรือหั่นเป็นผงหยาบๆ นำมามวนบุหรี่สูบ หรืออาจสูบด้วยกล้อง หรือมีวัสดุสำหรับสูบ ทำจากไม้ไผ่เรียกว่าบ้องกัญชา บางครั้งอาจใช้วิธีเคี้ยวทาน หรือใช้เป็นส่วนประกอบกับอาหารรับประทานก็ได้ 

เมื่อเสพกัญชาเข้าไปในระยะแรกของการเสพ สาร THC ที่เป็นสารออกฤทธิ์ของกัญชาจะกระตุ้นประสาททำให้ผู้เสพมีอาการร่างเริง ช่างพูด หัวเราะง่าย หัวใจเต้นเร็ว ตื่นเต้นง่าย ต่อมาจะมีอาการคล้ายคนเมาเหล้าอย่างอ่อน เนื่องจากกัญชาออกฤทธิ์กดประสาท ผู้เสพจะมีอาการง่วงนอน ซึม หายใจถี่ เห็นภาพลวงตา ภาพหลอนต่าง ๆ เกิดอาการหู่แว่ว ตกใจง่าย วิตกกังวล หวาดระแวง บางรายคลื่นไส้อาเจียน ความจำเสื่อม ความคิดสับสน เพ้อคลั่ง ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ มีอาการทางจิต 

การปลดล็อกกัญชาให้ออกจากการเป็นสารเสพติด โดยใช้เหตุผลหลักเพื่อให้ได้ใช้ประโยชน์จากกัญชาอย่างเต็มที่ ทั้งในเรื่องของการเป็นยารักษาโรค และใช้เป็นส่วนประกอบของอาหาร ซึ่งจะส่งผลให้กัญชากลายเป็นพืชเศรษฐกิจอีกชนิดหนึ่งที่สามารถสร้างรายได้ให้กับผู้ปลูกได้ 
 


แต่อย่างไรก็ตามหลังจากการปลดล็อกกัญชาให้พ้นจากการเป็นยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 แล้วนั้น มีประเด็นที่ท้าทายสังคมไทยมากที่สุด คือการสร้างให้เกิดความสมดุลระหว่างประโยชน์และโทษของกัญชา 

ทั้งนี้การปลดล็อกกัญชาจากยาเสพติดนั้น จะต้องมีกระบวนการหรือมาตรการให้เกิดการนำเฉพาะส่วนที่เป็นข้อดีของกัญชาออกมาใช้ เพราะถึงแม้กัญชาจะมีประโยชน์มากมาย แต่ถ้าใช้ไม่ถูกวิธี หรือใช้เกินขนาดก็จะส่งผลให้เกิดโทษตามมาเช่นกัน โดยเฉพาะในส่วนของสารออกฤทธิ์ THC ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดว่าการใช้กัญชานั้นจะเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษ  

โดยลักษณะการออกฤทธิ์ของสาร THC จะมีลักษณะเด่น ๆ คือ ถ้าได้รับในปริมาณที่เหมาะสม คือไม่สูงจนเกินไปจะมีผลในการลดอาการปวด ลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ ลดอาการคลื่นไส้ ทำให้เกิดการผ่อนคลาย ช่วยให้นอนหลับได้ดี 

ทั้งนี้ทางการแพทย์ได้มีการนำมาใช้เป็นยารักษาโรคต่าง ๆ เช่น บรรเทาอาการข้างเคียงของการได้รับเคมีบำบัดรักษาโรคมะเร็ง บรรเทาอาการภูมิแพ้ บรรเทาอาการที่เกิดจากเชื้อเอชไอวี บรรเทาอาการที่ทำให้เจ็บปวดเรื้อรัง บรรเทาอาการการติดเชื้อ หรืออักเสบของอวัยวะต่างในร่างกาย เป็นต้น 

3 ฤดูในเดือนเดียว เมษายน 65 เดือนที่มีทั้ง 3 ฤดูในเมืองไทย

ในต้นเดือนเมษายน 2565 ปีนี้ นอกจากประเทศไทยจะเจอสถานการณ์โควิดที่ยังมองไม่เห็นทางสว่างที่ปลายอุโมงค์ว่าสถานการณ์จะเริ่มผ่อนคลายลงไปเมื่อไร เนื่องจากยอดของผู้ติดเชื้อที่อยู่ในหลักวันละสองหมื่นกว่าคนขึ้นไปทุกวัน แต่ในช่วงนี้มีสิ่งหนึ่งที่เป็นปรากฏการณ์ที่เชื่อว่าทำให้หลายๆ คนแปลกใจ โดยเฉพาะคนที่อยู่ภาคเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง 

นั่นก็เพราะจู่ๆ ในช่วงเดือนเมษายนซึ่งเป็นช่วงวันหยุดดยาวแห่งเทศกาลสงกรานต์ของคนไทย และเป็นเดือนที่ประเทศไทยจะมีอากาศร้อนมากที่สุด กลับกลายเป็นว่ามีบางช่วงโดยเฉพาะช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา มีพายุฝนฟ้าคะนองและลมแรง หลังจากนั้นอากาศเย็นลงทันทีทันใดจนต่ำกว่า 20 องศาเซลเซียส ทำให้เรารู้สึกได้ว่าเหมือนกับอยู่ในหน้าหนาวเลยกันเลย กลายเป็นว่ามี 3 ฤดูกาล เกิดขึ้นภายใน 1 เดือน ทั้งร้อน หนาว และฝน เลยทีเดียว นับว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ค่อยจะเกิดขึ้นบ่อยนักในประเทศไทย 

สำหรับวันนี้จะมาพูดถึงลักษณะของอากาศที่ทำให้ช่วงหน้าร้อนที่สุดของประเทศไทยกลายเป็น 3 ฤดูกาลภายในเดือนเมษายนนี้กันครับ ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักลักษณะฤดูกาลของประเทศไทยกันก่อนครับ 

ทั้งนี้ประเทศไทย ตั้งอยู่ในเขตร้อนใกล้เส้นศูนย์สูตรระหว่างละติจูดที่ 5-20 องศาเหนือ และลองจิจูดที่ 97-105 องศาตะวันออก ทำให้ภูมิอากาศของประเทศเรามีลักษณะเป็นแบบทุ่งหญ้าสะวันนา หรือภูมิอากาศแบบร้อนชื้นสลับแห้งแล้ง โดยภูมิอากาศแบบนี้ อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีจะสูงกว่า 18 องศาเซลเซียส และมีลักษณะที่สำคัญ คือ มีฤดูแล้งสลับฤดูฝนให้เห็นชัดเจน ขณะที่ฝนส่วนใหญ่ตกในฤดูร้อน ในฤดูหนาวอากาศจะแห้ง ซึ่งจะเกิดขึ้นในภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย 

ในขณะที่บางส่วนของประเทศไทย คือ ภาคใต้และทางตะวันออกสุดของภาคตะวันออก เป็นลักษณะภูมิอากาศแบบมรสุมเขตร้อน ทำให้มีฝนตกมากกว่าภาคอื่น และไม่ค่อยได้สัมผัสกับอากาศหนาวมากเหมือนกับภาคอื่น 

‘ภูเขาไฟระเบิด’ หายนะทางธรรมชาติ!! ที่มนุษย์เอาชนะไม่ได้

เมื่อประมาณกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา คิดว่าหลาย ๆ ท่านคงได้ยินข่าวที่น่าสนใจอันเกิดจากภัยธรรมชาติข่าวหนึ่ง ซึ่งเป็นภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นในประเทศเล็ก ๆ ที่ไม่ค่อยมีคนรู้จักเท่าไรนัก แต่ก็เป็นข่าวดังไปทั่วโลก นั่นคือการระเบิดของภูเขาไฟในประเทศตองกานั่นเอง 

โดยเกิดขึ้นในบริเวณหมู่เกาะฮังกา-ฮายาไป (Hunga Ha’apai island) ห่างไปทางเหนือราว 65 กิโลเมตร จากกรุงนูกูอาโลฟา ซึ่งเป็นเมืองหลวงของตองกา ทั้งนี้จากภาพถ่ายดาวเทียมเวิลด์วิว 02 (Worldview02) ดาวเทียมเซนติเนล-1 (Sentinel-1) และดาวเทียมเกาเฟิน-1 (Gaofen-1) ที่แสดงให้เห็นว่าพื้นที่บางส่วนของเกาะฮังกา-ฮายาไป สูญหายหลังเกิดเหตุภูเขาไฟใต้ทะเลปะทุรุนแรงเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2565 และเกิดการระเบิดปะทุซ้ำขึ้นมาอีกรอบ ในช่วงบ่ายของวันที่ 15 มกราคม 2565

ผลของการระเบิดของภูเขาไฟใต้มหาสมุทรทั้ง 2 ครั้ง ส่งผลกระทบทำให้เกิดคลื่นสึนามิขนาดใหญ่ที่มีความสูงราว 1.2 เมตร พัดถล่มหมู่เกาะ และชายฝั่งกรุงนูกูอาโลฟาจนเสียหายหนัก จากภาพถ่ายทางดาวเดียม เมื่อเปรียบเทียบก่อนและหลังการเกิดการระเบิดของภูเขาไฟ พบว่าหมู่เกาะทั้งเกาะหายไปเกือบทั้งเกาะเลยทีเดียว 

สำหรับวันนี้เราจะมาดูถึงที่มาและสาเหตุของการเกิดภูเขาไฟระเบิดกันครับ... การระเบิดของภูเขาไฟเป็นอีกปรากฏการณ์หนึ่งของธรรมชาติที่ส่งผลกระทบต่อมนุษย์ ก่อนอื่นที่จะทำความรู้จักการระเบิดของภูเขาไฟ เราต้องรู้กันก่อนน่ะครับว่าโลกที่เราอาศัยอยู่นี้ประกอบไปด้วยส่วนที่เป็นเปลือกโลก ซึ่งเราอาศัยอยู่ในส่วนนี้ และส่วนที่เป็นเนื้อโลก โดยภายในเนื้อโลกองค์ประกอบหลักเป็นธาตุโลหะหนักและหินที่มีอุณหภูมิสูงจนทำให้มีสถานะเป็นของเหลวหนืด ที่มีความร้อนสูง ซึ่งการเกิดภูเขาไฟเกิดก็เกิดขึ้นมาจากการที่ภายในชั้นเนื้อของโลกที่ประกอบไปด้วยหินหนืดที่มีความร้อนสูง หรือที่เรียกว่าแมกมา นั่นเอง  

‘Metaverse’ เทคโนโลยีที่ทำให้ความฝัน...กลายเป็นจริง!! 

เมื่อไม่นานมานี้หลาย ๆ ท่านคงได้ยินคำศัพท์ที่เป็นกระแสฮิตในโลกโซเชียลมีเดีย นั่นก็คือคำว่า “Metaverse” (เมตาเวิร์ส) กันครับ สำหรับวันนี้จะพาทุกท่านมาพบกับเรื่องราวของ Metaverse ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่สามารถสร้างเรื่องราวต่าง ๆ จากความฝันหรือจินตนาการให้กลายเป็นจริงได้ 

เทคโนโลยี Metaverse คือแนวคิดในการสร้างสภาพแวดล้อมของโลกแห่งความจริงและเทคโนโลยีเสมือนจริงเข้าด้วยกัน จนผสมผสานกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กลายเป็นชุมชนแห่งโลกเสมือนจริง ที่สามารถสร้างวัตถุรอบตัวและสภาพแวดล้อมที่มีอยู่จริงให้เชื่อมต่อกันเป็นหนึ่งเดียวกับสภาพแวดล้อมเสมือนจริงที่สร้างขึ้นมา จนทำให้เหมือนว่าเราได้ออกไปใช้ชีวิตร่วมกับบุคคลหรือสิ่งแวดล้อมภายนอก และสร้างกิจกรรมร่วมกัน เช่น การเดินทางไปยังสถานที่ที่เราไม่คิดว่าจะได้มีโอกาสไป ได้แก่ เดินทางท่องเที่ยวอวกาศ การอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เป็นจินตนาการ หรือการดูคอนเสิร์ต เป็นต้น 

โดยลักษณะความรู้สึกจะเสมือนกับว่าเราอยู่ในสถานที่แห่งนั้นจริง ๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เราอาจกำลังทำกิจกรรมทั้งหมดอยู่ภายในบ้านของตัวเอง ทั้งนี้ ถ้าใครเคยเข้าไปดูหนัง 4 มิติในโรงหนังขนาดใหญ่ก็อาจจะเคยได้สัมผัสเทคโนโลยี Metaverse กันบ้างแล้ว นั่นคือในขณะที่เรากำลังนั่งดูหนังอยู่ในโรงหนัง ลักษณะความรู้สึกจะเหมือนกับเราเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริง ๆ

คำว่า Metaverse มีที่มาจากนวนิยายในแนว Sci-Fi เรื่อง “Snow Crash” ซึ่งลักษณะเนื้อหาของนิยายจะเป็นการพูดถึงโลกอีกใบหนึ่ง ที่ให้ผู้คนได้เข้ามามีกิจกรรม หรือปฏิสัมพันธ์ร่วมกับผู้อื่นผ่านการจำลองเป็นตัวละครต่าง ๆ (Avatar) เมื่อเทคโนโลยีด้านต่าง ๆ มีการพัฒนามากขึ้น โดยเฉพาะเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตที่มีการพัฒนาขึ้นมาเรื่อย ๆ ตามแต่ละยุค จนถึงปัจจุบันเป็นยุค 5G ก็ได้มีการพัฒนารายละเอียดเทคโนโลยี Metaverse เพิ่มขึ้นมาด้วย

นวนิยายเรื่อง “Snow Crash”

ขอบเขตของ Metaverse จึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่โลก หรือจักรวาลแห่งหนึ่ง แต่เป็นอะไรก็ได้ ที่เกิดจากเทคโนโลยีและช่วยเชื่อมต่อผู้คนให้สามารถสื่อสารและทำกิจกรรมกันได้ โดยคำว่า Metaverse เป็นที่รู้จักกันมากยิ่งขึ้นหลังจาก “มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก” ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง Facebook ประกาศเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่เป็น “Meta” โดยมุ่งเน้นไปในเรื่องโลกดิจิทัล ที่ผู้คนสามารถโต้ตอบและใช้พื้นที่เสมือนจริงร่วมกันได้ ทำให้เทคโนโลยี Metaverse เป็นที่น่าสนใจมากขึ้น 

“บอนสี” ราชินีไม้ใบ!! ไม้ประดับเงินล้าน ปลูกยังไงให้แตกต่าง และสร้างมูลค่าสูง!!

ช่วงนี้คิดว่าหลาย ๆ ท่านคงได้ทราบข่าวการซื้อขายพืชไม้ประดับชนิดหนึ่ง ที่มีเอกลักษณ์พิเศษ คือ มีสีสันสวยงามหลากหลาย มีรูปทรงของใบที่สวยงาม เป็นพืชที่มีการปลูกใช้เป็นไม้ประดับตามบ้านเรือน มาเป็นเวลานานแล้ว นั่นก็คือบอนสี ทั้งนี้ตั้งแต่ผู้เขียนจำความได้ในสมัยเด็ก ๆ พี่สาวจะปลูกไว้เต็มบ้านเป็นสวนเลย โดยลักษณะของสีและรูปทรงของใบในแต่ละต้นที่สวยงาม ทำให้เกิดจินตนาการในวัยเด็กได้เป็นอย่างดี แต่ไม่เคยคาดคิดว่าไม้ประดับชนิดนี้จะมีราคาแพงขึ้นมาแบบน่าตกใจมากในยุคการระบาดของโควิด-19 ทั้งนี้มีราคาตั้งแต่ราคาหลักพันจนกระทั่งถึงหลักล้านกันเลยทีเดียว หรือแม้กระทั่งข่าวล่าสุดที่เป็นเรื่องฮือฮา ก็คือสามารถใช้แลกกับรถยนต์ราคาเป็นล้านได้เลยทีเดียว 

ในขณะเดียวกันก็มีกระแสข่าวเรื่องการปั่นราคาของพ่อค้าเพื่อจะให้มีการซื้อขายในราคาสูง แต่สุดท้ายราคาก็จะอาจตกลงมา จนกลับไปสู่ที่เดิมได้ โดยราคาหรือความมีค่าของพืชชนิดนี้จะขึ้นอยู่กับลักษณะรูปทรง และสีของใบที่มีความหลากสีและสวยงามแตกต่างกันไป ยิ่งต้นไหนที่มีความแปลกใหม่กว่าต้นอื่นที่ไม่มีใครเหมือนได้ ก็จะทำให้ราคากระโดดไปสูงหลายเท่าตัวเลยทีเดียว ทั้งนี้ ตามธรรมชาติทั่วไปใบไม้จะมีสีเขียว แต่ลักษณะของบอนจะมีสี หรือมีความด่างและรูปทรงของใบที่แตกต่างกันไป

สำหรับในวันนี้ เราจะมาดูรายละเอียดของพืชชนิดนี้ ทำยังไงให้มีความแตกต่าง โดยดูจากปัจจัยหรือองค์ประกอบที่ทำให้บอนสีมีรูปทรงและสีสันที่แตกต่างกันครับ “บอนสี” มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Caladium bicolor เป็นสายพันธุ์ในสกุลบอน ที่มีต้นกำเนิดมาจากลาตินอเมริกา และแพร่หลายในยุโรป มักถูกปลูกเป็นต้นไม้ประดับ เนื่องจากใบขนาดใหญ่มีรูปหัวใจหรือรูปหอกที่มีสีเขียว ขาว ชมพู หรือแดงที่โดดเด่น ซึ่งบอนสีนั้นมีมากกว่าร้อยสายพันธุ์ 

สำหรับในประเทศไทยนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสยุโรปครั้งแรกในปี พ.ศ. 2440 ได้ทรงนำบอนสีกลับเข้ามาปลูกในพระบรมมหาราชวัง สร้างความนิยมให้กับเจ้านายฝ่ายใน เป็นอย่างมาก ทั้งนี้สาเหตุที่บอนสีมีลักษณะของสีที่แตกต่างกันออกไปนั้น นอกจากจะขึ้นอยู่กับชนิดหรือพันธุกรรมของบอนสีแล้ว ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเจริญเติบโตของพืชได้แก่ 

>> ปัจจัยที่ 1 การได้รับแสงแดดที่แตกต่างกัน แสงแดดมีส่วนสำคัญในการที่พืชใช้ในการปรุงอาหาร และสร้างสารที่เรียกคลอโรฟิลล์ ที่มีส่วนทำให้ใบของพืชมีสีเขียว ที่แตกต่างกันไป 

ทั้งนี้ สังเกตได้ง่าย ๆ เวลาเราปลูกพืชในที่มีแสงแดดเยอะ ๆ กับบริเวณที่มีแสงแดดน้อย ลักษณะสีของใบพืช ถึงแม้ว่าจะเป็นพืชชนิดเดียวกันก็ตาม ก็จะมีสีที่แตกต่างกัน โดยพืชที่ได้รับแสงแดดที่เพียงพอใบของพืชก็มักจะมีสีเขียวที่เข้มกว่าพืชที่ได้รับแสงแดดน้อย หรือปลูกในที่ร่ม หรือพืชบางชนิดถ้าไม่ได้รับแสงแดดก็จะไม่เจริญเติบโต เห็นได้ง่ายจากวัชพืช เช่นหญ้า หรือพืชขนาดเล็กจะไม่เกิดในบริเวณที่เป็นร่ม เช่น ใต้ต้นไม้ใหญ่ เป็นต้น 

“พายุหมุนเขตร้อน” ฝันร้ายครบรอบ 10 ปี อุทกภัยครั้งใหญ่ของประเทศไทย!!

ช่วงนี้คิดว่าหลาย ๆ ท่านก็น่าจะรู้สึกกังวลใจกับสถานการณ์น้ำท่วมในปีนี้ว่าจะซ้ำรอยกับน้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 รวมทั้งผู้เขียนเองด้วยที่มีบ้านพักอยู่แถวอำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี ซึ่งเป็นพื้นที่ที่หนึ่งที่ได้รับผลกระทบหนักในช่วงนั้น ก็รู้สึกหวาดกลัวไปด้วย จำได้ว่าช่วงนั้นต้องหนีน้ำขึ้นไปอยู่ต่างจังหวัดเป็นเวลาถึง 2 เดือน ประกอบกับในเดือนตุลาคมปี 2564 นี้ ก็จะครบรอบ 10 ปี ในการเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ในปี 2554 ที่ต้องมีการบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของประเทศไทยพอดี 

โดยในครั้งนั้นมีพื้นที่ประสบภัยกระจายตัวในทุกภาคของประเทศ โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือและภาคกลางที่เกิดน้ำท่วมหนักเป็นระยะเวลานาน อุทกภัยครั้งนั้นส่งผลให้เกิดความเสียหายอย่างหนักทั้งทางภาคการเกษตร อุตสาหกรรม เศรษฐกิจ สังคม และส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปยังภาคส่วนอื่นอีกเป็นจำนวนมาก

ทั้งนี้สาเหตุของน้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 นั้น เกิดจากปรากฏการณ์ที่เรียกกันว่า “ปรากฏการณ์ลานีญา” คือปรากฏการณ์เกิดกระแสลมพัดจากด้านตะวันออกของมหาสมุทรแปซิฟิกมายังด้านตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก โดยที่กระแสลมมีความรุนแรงมากกว่าปกติ ทำให้กระแสน้ำอุ่นไหลมายังภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้นกว่าปกติ ส่งผลให้มีฝนตกมากขึ้นโดยมีปริมาณฝนในปี 2554 นั้น มากกว่าเกณฑ์ปกติเกือบทุกเดือนโดยรวมทั้งปีเกินเกณฑ์ปกติมากกว่าร้อยละ 29 เลยทีเดียว 

นอกจากนี้ในปีนั้น ประเทศไทยยังได้รับอิทธิพลจากพายุหมุนเขตร้อน ทั้งทางตรงและทางอ้อมทั้งหมด จำนวน 5 ลูก ได้แก่ พายุไหหม่า นกเตน ไห่ถาง เนสาด และนาลแก ทั้งนี้พายุแต่ละลูกก็จะมีความรุนแรงแตกต่างกันไปตามความเร็วลมที่หมุนรอบศูนย์กลาง พอมาปี 2564 นี้ เมื่อปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ก็เริ่มมีพายุผ่านเข้ามาในประเทศไทย และเริ่มมีน้ำท่วมหลายพื้นที่ทำให้เกิดความกังวลใจกัน และกลัวจะซ้ำรอยกับการเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่ในปี 2554 ขึ้นมาอีก 

สำหรับในวันนี้จะพาทุกท่านมาทำความรู้จัก พายุหมุนที่มีอิทธิพลต่อสภาพอากาศในประเทศไทย หรือที่เรียกว่าพายุหมุนเขตร้อนกันครับ 

"พายุหมุน" หมายถึง ลมที่เคลื่อนที่เป็นวงกลมหรือหมุนรอบตัวเองด้วยความเร็วสูง โดยจุดที่เป็นศูนย์กลางที่พายุหมุนรอบเรียกว่าตาพายุ ซึ่งในบริเวณใจกลางหรือตาของพายุจะเป็นบริเวณที่เงียบสงบคือไม่มีทั้งลมและฝน โดยทั่วไปพายุหมุนเขตร้อนจะมีรัศมีของพายุค่อนข้างจะมาก ทำให้ส่งผลกระทบต่อบริเวณรอบ ๆ ที่เป็นรัศมีพายุพาดผ่านกินพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง โดยในขณะที่พายุหมุนรอบตัวเองก็จะมีการเคลื่อนที่ไปด้วย ทั้งนี้การเกิดพายุหมุนเขตร้อนโดยทั่วไปจะเกิดในมหาสมุทร ก่อนที่จะเคลื่อนที่เข้ามายังชายฝั่ง และส่วนใหญ่จะสลายตัว หรือลดความรุนแรงลงเมื่อเคลื่อนที่ขึ้นฝั่งเนื่องจากไม่มีไอน้ำมาหล่อเลี้ยง 

ทั้งนี้สาเหตุของพายุหมุนนั้น เกิดจากความกดอากาศต่ำหรืออากาศมีอุณหภูมิสูงในบริเวณมหาสมุทร ที่มีกระแสน้ำอุ่น โดยลักษณะทั่วไปของอากาศเมื่อร้อนมาก ๆ จะมีความเบาและลอยขึ้นสู่ด้านบน และเมื่ออากาศร้อนลอยขึ้นสู่ด้านบนก็จะมีอากาศเย็นวิ่งเข้ามาแทนที่ ทำให้เกิดลักษณะการหมุนวนของลม ประกอบกับในบริเวณมหาสมุทรมีกระแสน้ำอุ่นที่ทำให้เกิดการระเหยของไอน้ำ เมื่อมารวมกับการเคลื่อนที่ของลมทำให้เกิดการควบแน่นเกิดเป็นลักษณะความแปรปรวนของอากาศที่มีทั้งลม และฝน เกิดขึ้นพร้อมกัน 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top