Monday, 12 May 2025
THE STATES TIMES TEAM

‘บุญชอบ’ ถือฤกษ์ เข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ฯ โอกาสเข้ารับตำแหน่ง ‘ปลัดแรงงาน’ คนที่ 12

นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ เข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงแรงงาน ในโอกาสรับตำแหน่งปลัดกระทรวงแรงงาน คนที่ 12 ภายหลังมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมประกาศแต่งตั้งเมื่อวันที่ 14 กันยายน ที่ผ่านมา

เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2564 นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน ถือฤกษ์เดินทางเข้ากระทรวงแรงงานเพื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำกระทรวงแรงงาน ประกอบด้วย ประกอบด้วย ศาลท้าวมหาพรหมเทวฤทธิ์ ศาลพ่อปู่ชัยมงคล พระพุทธชินราช พระพุทธสุทธิธรรมบพิตร ศาลพ่อปู่สุชินพรหมมา ณ บริเวณกระทรวงแรงงาน และพระพุทธชินราช ณ ห้องทำงานชั้น 7 อาคารกระทรวงแรงงาน โดยมี นางสาวบุปผา เรืองสุด รองปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวต้อนรับและแสดงความยินดี พร้อมด้วยผู้บริหารระดับสูง ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่กระทรวงแรงงานร่วมให้การต้อนรับอย่างอบอุ่น

สำหรับ นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ สำเร็จการศึกษาศิลปศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัยรามคำแหง รัฐประศาสนศาสตรมหาบัณฑิต สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ เคยดำรงตำแหน่งที่สำคัญ ได้แก่ ผู้อำนวยการสำนักบริหารกลาง สป.ทส.  ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและฝึกอบรมด้านสิ่งแวดล้อม รองอธิบดีกรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม รองอธิบดีกรมป่าไม้ อธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง อธิบดีกรมป่าไม้ หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรรมการมูลนิธิเทพรัตนเวชชานุกูล ที่ปรึกษาประธานมูลนิธิปิดทองหลังพระฯ และที่ปรึกษามูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ และ ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง ปลัดกระทรวงแรงงาน สำนักงานปลัดกระทรวงแรงงาน ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ได้แก่ เหรียญราชการชายแดน เหรียญกาชาดสมนาคุณ เหรียญจักรพรรดิมาลา ประถมาภรณ์ช้างเผือก และมหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.)

“DITP” เลื่อนการประกวดรับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT เป็นปี 2565 จากสถานการณ์โควิด-19 ที่ไม่แน่นอน โดยจะประกาศรับสมัครผ่านทางเว็บไซต์อีกครั้ง

นายนันทพงษ์ จิระเลิศพงษ์ รองอธิบดี กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ หรือ DITP กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ที่ยังคงมีการแพร่ระบาดในหลายพื้นที่ ส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนของการบริหารจัดการ กรมฯ จึงเลื่อนการจัดประกวดพิจารณามอบตราสัญลักษณ์ Thai SELECT (ไทย ซีเล็คท์) ของผลิตภัณฑ์อาหารไทยสำเร็จรูป จากวันที่ 9-10 กันยายน ที่ผ่านมา เป็นเดือนมีนาคม 2565 เนื่องจากกิจกรรมดังกล่าวเป็นกิจกรรมที่ต้องมีการสาธิตการปรุงอาหารจากผลิตภัณฑ์ที่สมัครขอใช้ตราสัญลักษณ์ Thai SELECT จากบริษัทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเมนูอาหารคาว อาหารหวาน เครื่องแกงสำเร็จรูป ตลอดจนน้ำจิ้ม เพื่อให้คณะกรรมการชิมรสชาติพร้อมพิจารณาให้คะแนน จึงไม่สามารถปรับการจัดกิจกรรมเป็นการดำเนินการผ่านระบบออนไลน์ได้ หากยังคงจัดกิจกรรมจะเป็นการรวมตัวของคนจำนวนมาก แม้จะมีมาตรการป้องการการติดเชื้อที่ได้มาตรฐาน แต่เพื่อความปลอดภัยของคณะกรรมการและผู้เข้าร่วมประกวด และการไม่ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) กรมฯ  จึงพิจารณาเลื่อนกิจกรรมดังกล่าวออกไปในปีหน้า โดยจะมีการประชาสัมพันธ์และประกาศรับสมัครผ่านเว็บไซต์กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ หรือ www.ditp.go.th  และ www.thaiselect.com ในโอกาสต่อไป

สำหรับการพิจารณามอบตราสัญลักษณ์ Thai SELECT ให้แก่ผลิตภัณฑ์อาหารไทยสำเร็จรูปนั้น แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ อาหารไทยสำเร็จรูปพร้อมรับประทาน (Thai Food : Ready to Serve/Ready to Eat)  อาหารไทยพร้อมปรุง (Thai Food : Ready to Cook)  และ น้ำจิ้มสำหรับอาหารไทย (Thai Food : Dipping Sauce) คณะกรรมการจะพิจารณาให้คะแนนจากรสชาติอาหาร นวัตกรรมคุณภาพอาหาร ขั้นตอนการเตรียมและปรุงอาหาร มาตรฐานการผลิต และบรรจุภัณฑ์ ซึ่งคณะกรรมการประกอบไปด้วยผู้แทนจากหน่วยงานจากภาครัฐและเอกชน ได้แก่ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กรมวิชาการเกษตร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สมาคมผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูป สถาบันอาหาร สมาคมอาหารแช่เยือกแข็งไทย และผู้ทรงคุณวุฒิด้านอาหารไทย

สิทธิประโยชน์เมื่อได้รับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT ประกอบด้วยการได้รับการพิจารณาคัดเลือกจัดแสดงสินค้าในส่วนนิทรรศการที่ได้รับจัดสรรพื้นที่ภายในงานแสดงสินค้าที่เกี่ยวข้องโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย การพิจารณาคัดเลือกเข้าร่วมกิจกรรมทั้งในประเทศหรือต่างประเทศที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกิจกรรมประชาสัมพันธ์ของกรมฯ ตามความเหมาะสม การประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ ของกรมฯ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์อาหารไทยสำเร็จรูป ได้รับการบรรจุรายชื่อในฐานข้อมูลของเว็บไซต์ และ Application Thai SELECT เพื่อประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับตราสัญลักษณ์ Thai SELECT เป็นต้น

 

มาสด้าเผยคุณค่า CX-8 ครอสโอเวอร์เอสยูวีพรีเมี่ยม ตอบโจทย์ทุกรูปแบบของชีวิตสะท้อนรสนิยมเหนือระดับ

ปัจจุบัน หลายคนอาจกำลังมองหารถยนต์ที่ตอบโจทย์การใช้งานที่หลากหลายรูปแบบมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ห้องโดยสารที่กว้างขวางสะดวกสบาย การขึ้นลงและเข้าออกทำได้สะดวก ขับขี่คล่องตัวทั้งในเมืองและการเดินทางไกล รองรับผู้โดยสารได้มากกว่ารถยนต์นั่งทั่วไป จึงเกิดเป็นรถประเภทครอสโอเวอร์เอสยูวีขึ้นมา เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น เฉกเช่น “มาสด้า” ที่ได้พัฒนารถประเภทนี้ขึ้นมาหลายรุ่น ภายใต้ชื่อตระกูล CX-Series ซึ่งรวมถึงการถือกำเนิดขึ้นมาของ CX-8 ครอสโอเวอร์เอสยูวีระดับพรีเมี่ยม ทั้งแบบ 3 แถว 6 ที่นั่ง และแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง ที่เข้ามาเติมเต็มความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น หรือกำลังมองหารถที่โดยสารได้มากกว่า 5 ที่นั่ง ห้องโดยสารเงียบสงบ ระบบช่วงล่างมีความนุ่มนวล มีระบบความปลอดภัยสูง ซึ่งในประเทศไทยถือว่ามีตัวเลือกน้อยมาก ส่วนใหญ่จะเป็นประเภทที่ถูกดัดแปลงหรือพัฒนามาจากโครงสร้างพื้นฐานของรถกระบะ หรือ PPV ส่งผลให้ไม่คล่องตัวสำหรับการขับขี่ในเมือง ผนวกกับช่วงล่างสไตล์รถกระบะ และความสูงของรถที่ส่งผลต่อความสะดวกในการขึ้น-ลงของผู้สูงอายุและเด็ก ดังนั้น CX-8 จึงเข้ามาเติมเต็มความต้องการของลูกค้าในสังคมไทย โดยเฉพาะช่วงเวลาที่สำคัญของสมาชิกทุกคนในครอบครัวเพื่อก่อให้เกิดมิตรภาพและความอบอุ่นตลอดการเดินทาง

รถอเนกประสงค์ครอสโอเวอร์เอสยูวีมาสด้า CX-8 เปิดตัวในประเทศไทยเมื่อช่วงปลายปี 2562 โดยเป็นรถเจเนอเรชั่นใหม่ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีสกายแอคทีฟอย่างเต็มรูปแบบ ถือเป็นรถยนต์ที่ตอบโจทย์ความต้องการและตรงตามวัตถุประสงค์การใช้งานของลูกค้ามากที่สุด เพราะถูกวางตำแหน่งให้เป็น “New Era of 3-Row Crossover SUV” เป็นครอสโอเวอร์อเนกประสงค์ระดับพรีเมี่ยมแบบ 3 แถว ที่ดีที่สุดในตลาดปัจจุบัน มาพร้อมแนวคิด “The Precious Moment for All” ทุกช่วงเวลา...มีค่าไม่สิ้นสุด เป็นยนตรกรรมที่สร้างแรงบันดาลใจให้ออกไปใช้ชีวิตได้อย่างไร้ขอบเขตและไม่สิ้นสุด และเข้ามาเติมเต็มความต้องการและการใช้ชีวิตของลูกค้าให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น

1. คุณค่าด้านความสะดวกสบาย: The Finest Craftsmanship ทุกองค์ประกอบได้รับการออกแบบดุจงานศิลปะขั้นสูง ผ่านการคัดสรรด้วยวัสดุคุณภาพสูงและเปี่ยมไปด้วยความพิถีพิถันใส่ใจในทุกรายละเอียด ซึ่งความโดดเด่นที่สำคัญของมาสด้า CX-8 คือเรื่องความสบายของห้องโดยสาร สามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 7 ที่นั่ง ในรุ่น 3 แถว 7 ที่นั่ง โดยถูกพัฒนาขึ้นบนพื้นฐานของรถยนต์นั่งอย่างแท้จริง เพื่อมอบความสะดวกสบายสูงสุด ทั้งในแง่ของพื้นที่การใช้งาน คุณภาพของห้องโดยสาร สมรรถนะในการขับขี่ที่เหนือกว่า ที่ได้รับการพัฒนาเพื่อเพิ่มสมรรถนะการขับขี่และความเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างผู้ขับขี่กับรถ ตามหลัก “Human-Centric Development” ที่พัฒนาโดยมีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง นอกจากนี้ ที่นั่งในแถวที่ 2 และ 3 ก็สามารถนั่งได้อย่างสะดวกสบาย จึงทำให้มาสด้า CX-8 ตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้าที่ต้องการความนุ่มนวลและความสะดวกสบายในการขับขี่ ซึ่งช่วยสร้างบรรยากาศภายในห้องโดยสารให้ทุกการเดินทางไกลและการขับขี่ในเมืองเต็มไปด้วยความสุข นอกจากนี้ ห้องโดยสารก็ยังมีให้เลือกถึง 2 รูปแบบ ได้แก่ ห้องโดยสารแบบ 7 ที่นั่ง ที่ภายในห้องโดยสารกว้างขวางมอบความสะดวกสบายในทุกอิริยาบถ และห้องโดยสารแบบ 6 ที่นั่ง ที่มาพร้อมที่นั่งแถวสองแบบ Captain Seat 2 ที่นั่ง แยกอิสระซ้าย-ขวา ที่ตอบโจทย์ความภูมิฐานและความพรีเมี่ยม รวมถึงมอบความสะดวกสบายให้แก่ผู้โดยสารทุกคน

2. คุณค่าด้านการออกแบบที่งดงาม: Elegant and Comfort in Perfect Harmony ในด้านการออกแบบที่ตอบโจทย์ทุกการใช้งานของทุกคนในครอบครัว มาสด้า CX-8 ยังคงความประณีตพิถีพิถัน ภายใต้ปรัชญา Kodo Design: Soul of Motion ที่เน้นความเรียบง่ายแต่งดงาม ทั้งภายนอกและภายในห้องโดยสาร โดยภายในเลือกใช้แต่วัสดุคุณภาพสูงเพื่อสะท้อนภาพลักษณ์แห่งความภูมิฐาน สง่างามและสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นโทนสีและวัสดุที่ใช้ตกแต่งภายในที่ได้รับการคัดสรรมาเป็นอย่างดี การเลือกใช้วัสดุแบบ Real Wood และสีเงินซาตินโครม ผสานอย่างลงตัวกับเบาะหนัง Nappa สีแดง Deep Red ที่ช่วยสร้างบรรยากาศแห่งความอบอุ่นให้กับทุกคนในครอบครัว สำหรับภายนอกก็โดดเด่นไม่ซ้ำแบบใคร ไม่ว่าจะเป็นด้านหน้าของรถที่โดดเด่นด้วยซิกเนเจอร์วิง การตกแต่งเสาบีและเสาซีด้วยวัสดุสีดำเปียโนและโครเมี่ยมที่ช่วยเพิ่มรูปลักษณ์ที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพ และไฟท้ายที่ตกแต่งอย่างมีเอกลักษณ์ พร้อมมีสีภายนอกให้เลือกมากถึง 6 สี

3. คุณค่าด้านสมรรถนะของเครื่องยนต์: Thrilling Performance ที่สุดของสมรรถนะความแรงที่เปี่ยมไปด้วยพลัง ด้านสมรรถนะเครื่องยนต์ CX-8 มาพร้อมเครื่องยนต์สกายแอคทีฟอันเลื่องชื่อของมาสด้า ซึ่งมีให้เลือกถึง 2 เครื่องยนต์ ได้แก่ เครื่องยนต์สกายแอคทีฟคลีนดีเซล 2.2 ลิตร ให้พละกำลังสูงถึง 190 แรงม้า แรงบิด 450 นิวตัน-เมตร พร้อมระบบวาล์วไอเสียแปรผันอัจฉริยะ VVT และระบบเทอร์โบแปรผัน 2 ขั้น ให้การตอบสนองที่รวดเร็วและแม่นยำด้วยนวัตกรรมในการส่งแรงบิดที่ยอดเยี่ยม และการทำงานที่ราบรื่นจนถึงรอบเครื่องยนต์สูง ในขณะที่มีเสียงรบกวนต่ำ ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม และประหยัดน้ำมันสูงถึง 17.5 กิโลเมตรต่อลิตร และอีกหนึ่งเครื่องยนต์กับสกายแอคทีฟเบนซิน 2.5 ลิตร ให้พละกำลังสูงถึง 194 แรงม้า แรงบิด 258 นิวตัน-เมตร พร้อมระบบวาล์วแปรผันคู่อัจฉริยะ Dual S-VT ที่ถูกพัฒนาให้สามารถตอบสนองอัตราเร่งได้อย่างดีเยี่ยม แม่นยำ และทรงพลัง ให้สมรรถนะการขับขี่ที่คล่องแคล่วและประหยัดน้ำมันได้ถึง 13.2 กิโลเมตรต่อลิตร เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งตอบโจทย์ทุกรูปแบบการขับขี่ไม่ว่าจะเป็นการขับในเมืองหรือการขับขี่ทางไกลที่ต้องใช้ความเร็วสูงก็ตาม

4. คุณค่าการควบคุมการขับขี่จากเทคโนโลยี SKYACTIV-VEHICLE DYNAMIC: More Control with Less Effort เพลิดเพลินกับทุกเส้นทางและมั่นใจในทุกการขับขี่ ด้วยเทคโนโลยีสกายแอคทีฟที่ผสานและควบคุมการทำงานของรถทั้งคัน ให้ทำงานประสานกันอย่างมีประสิทธิภาพ ให้ทั้งความแรง ประหยัดน้ำมัน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงโครงสร้างตัวถังสกายแอคทีฟ ที่ผลิตจากเหล็กกล้าคุณภาพสูง High Tensile Steel น้ำหนักเบาและแข็งแกร่ง ให้การควบคุมรถที่มั่นคง ช่วยลดแรงสะเทือนจากพื้นถนน และกระจายแรงปะทะที่จะเข้าสู่ห้องโดยสารในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุ และช่วงล่างและระบบบังคับเลี้ยวที่ยึดเกาะถนนมั่นคง ให้ความนุ่มนวลแก่ห้องโดยสาร พร้อมระบบบังคับเลี้ยวที่ช่วยให้เข้าโค้งได้แม่นยำ รวมถึงระบบควบคุมสมรรถนะการขับขี่อัจฉริยะ (GVC) ที่ช่วยให้ทุกการขับขี่เป็นไปได้อย่างง่ายดายและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

5. คุณค่าด้านความพร้อมของเทคโนโลยีเพื่อความเพลิดเพลิน: Your World, at Your Fingertips ก้าวสู่ความเหนือระดับด้วยเทคโนโลยีการเชื่อมต่ออย่างไร้ขีดจำกัด ด้วยความมุ่งมั่นที่จะส่งมอบสุนทรียภาพในการขับขี่ให้กับผู้โดยสารไปตลอดการเดินทาง มาสด้าจึงได้ติดตั้งเทคโนโลยีเชื่อมต่ออย่างไร้ขีดจำกัด Mazda Connect เพื่อตอบโจทย์การใช้งาน ทั้งด้านธุรกิจและครอบครัว ด้วยการอัพเดทข้อมูลข่าวสาร หรือรับ-ส่ง SMS จากสมาร์ทโฟน ผ่านสัญญาณบลูทูธ พร้อมรองรับระบบ Apple CarPlay และระบบ Android Auto ที่เชื่อมต่อแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน และสามารถใช้งานฟังก์ชั่นสำคัญได้ โดยแสดงผลผ่านหน้าจอสี Center Display แบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว ที่สามารถควบคุมด้วยปุ่มควบคุมอัจฉริยะ Center Commander และสร้างสุนทรียภาพรอบทิศทางด้วยระบบเสียงคุณภาพ Bose® พร้อมลำโพง 10 ตำแหน่ง

 

"การเดินทางของวัคซีน" จากการวางแผนสู่การปฏิบัติการกระจายวัคซีนไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก

เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าหนึ่งในทางออกจากวิกฤตโควิด-19 คือวัคซีน และการที่จะสร้างภูมิคุ้มกันในระดับสูง จำเป็นที่จะต้องมีการฉีดวัคซีนราวหนึ่งหมื่นล้านโดสทั่วโลกภายในสิ้นปี 2564 ตัวเลขดังกล่าวบ่งชี้ถึงความท้าทายครั้งใหญ่ด้านลอจิสติกส์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน  สถานการณ์การแพร่ระบาดตอกย้ำถึงบทบาทที่สำคัญของเครือข่ายลอจิสติกส์ระหว่างประเทศในการรองรับระบบซัพพลายเชนให้ดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่องจนถึงการจัดส่งสิ่งของจำเป็นถึงปลายทาง


วันนี้ ประเทศไทยได้รับวัคซีนไฟเซอร์ไบออนเทคแล้วรวม 3.5 ล้านโดส ซึ่งขนส่งโดยดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส โดยในจำนวนนี้เป็นวัคซีน 2 ล้านโดสที่มาถึงไทยในวันที่ 29 กันยายน จนถึงปัจจุบันดีเอชแอลได้จัดส่งวัคซีนโควิด-19 กว่า 1 พันล้านโดสไปยัง 160 ประเทศทั่วโลก นับได้ว่า ดีเอชแอลมีบทบาทสำคัญในการผลักดันเรื่องนี้มาตลอด บริษัทได้ส่งมอบบริการที่รวดเร็ว และน่าเชื่อถือสำหรับการขนส่งวัคซีนซึ่งมีข้อกำหนดที่เข้มงวดในการรักษาระดับอุณหภูมิที่เหมาะสม เพื่อให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ในการเชื่อมต่อผู้คนและยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนให้ดียิ่งขึ้น ดีเอชแอลจะยังเดินหน้าพัฒนาโครงสร้างการขนส่งแบบควบคุมอุณหภูมิ (cold chain infrastructure) ทำงานร่วมกับเครือข่ายระดับโลกที่แข็งแกร่ง เพิ่มพูนความรู้ด้านลอจิสติกส์ และประสบการณ์ของพนักงานดีเอชแอลอย่างต่อเนื่อง
โลกจะสามารถเอาชนะการแพร่ระบาดได้เร็วเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับ “การกระจายวัคซีนอย่างมีประสิทธิภาพ” ดีเอชแอลดำเนินการอย่างจริงจังตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาในการสร้างและขยายเครือข่ายระดับโลกสำหรับการขนส่งด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพและการสินค้าเพื่อสุขภาพ (Life Sciences & Healthcare - LSH) และตอนนี้ถึงเวลาที่ต้องเริ่มจริงจังกับการแก้ไขอุปสรรคด้านลอจิสติกส์ในอนาคตอันใกล้

 จากผลการศึกษาของดีเอชแอลเรื่อง Revisiting Pandemic Resilience โครงสร้างระบบลอจิสติกส์และความสามารถในการรองรับสถานการณ์แพร่ระบาดเป็นสิ่งที่ยังคงต้องรักษาระดับคุณภาพไว้ เพราะประชากรโลกยังคงต้องการวัคซีนถึง 7-9 พันล้านโดสในปีต่อๆ ไป เพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำ และทำให้อัตราการติดเชื้อลดลง รวมถึงชะลอระยะการกลายพันธุ์ของไวรัสที่ไม่รวมการผันผวนที่เกิดขึ้นตามฤดูกาล 

ข้อกำหนดด้านการควบคุมอุณหภูมิที่เคร่งครัด

หนึ่งในความท้าทายสำคัญที่สุดสำหรับการกระจายวัคซีนคือ การขนส่งวัคซีนภายใต้อุณหภูมิที่กำหนด โดยวัคซีนบางยี่ห้อจะต้องจัดเก็บในระดับอุณหภูมิต่ำมากที่ -80°C ซึ่งก่อให้เกิดความท้าทายด้านการขนส่งในระบบซัพพลายเชนทางการแพทย์ที่โดยปกติจะรองรับการจัดส่งวัคซีนที่อุณหภูมิประมาณ 2–8°C และในบางภูมิภาคไม่มีการจัดเก็บที่เอื้ออำนวยต่อการรักษาวัคซีน นอกจากนี้ ดีเอชแอลประเมินว่าจะต้องใช้พาเลทในการขนส่งมากถึง 200,000 พาเลท กล่องเก็บความเย็น 15 ล้านกล่อง และเที่ยวบินขนส่ง 15,000 เที่ยวบินไปยังจุดต่าง ๆ เพื่อรองรับการขนส่งวัคซีนหนึ่งหมื่นล้านโดสตามที่ได้ตั้งเป้าไว้ 

วัคซีนเป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูง อ่อนไหวต่อสภาพแวดล้อม และจำเป็นต้องมีการควบคุมอุณหภูมิอย่างเข้มงวด ซึ่งนั่นหมายถึงความเสี่ยงที่สูงมาก ความผิดพลาดใด ๆ ในขั้นตอนการขนส่ง อาจหมายถึงความสูญเสียชีวิต ดังนั้นการขนส่งวัคซีนจึงต้องมีการประสานงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด และต้องอาศัยบุคลากรที่ผ่านการฝึกอบรมมาเป็นอย่างดี รวมถึงโครงสร้างพื้นฐานที่ผ่านการรับรองตามมาตรฐาน ความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับรายละเอียดต่าง ๆ เช่น การบรรจุหีบห่อ การจัดเก็บ การกำหนดเส้นทางการขนส่งทางอากาศและทางบก การกำหนดกรอบเวลา การเลือกบริษัทขนส่ง ข้อกำหนดการขนย้ายที่เฉพาะเจาะจง และอื่น ๆ

เราใช้จุดแข็งของเราจากการมีช่องทางการขนส่งที่หลากหลาย เช่น บริการจัดส่งพัสดุ บริการขนส่งทางอากาศ และเครื่องบินเช่าเหมาลำ ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านลอจิสติกส์ควบคู่กับการขนส่งด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพ และเครือข่ายซัพพลายเออร์ที่มีอยู่เพื่อรองรับการขนส่งวัคซีนให้เป็นไปอย่างราบรื่น ตามข้อกำหนดด้านอุณหภูมิอย่างเคร่งครัด เราได้ลงทุนในโครงสร้างการขนส่งแบบควบคุมอุณหภูมิเพิ่มขึ้น เช่น การจัดซื้อตู้แช่แข็งสำหรับอุณหภูมิที่ต่ำมาก รวมถึงขยายการให้บริการด้าน LSH, การรับรองจาก IATA CEIV Pharma สำหรับการปฏิบัติตามกฎข้อบังคับ GxP (การปฏิบัติงานที่เหมาะสม) ในประเทศเยอรมัน 

การจัดส่งเวชภัณฑ์ที่สำคัญไปยังสถานที่และเวลาตามกำหนด เป็นภารกิจที่เราต้องทำให้สำเร็จลุล่วงในแต่ละวัน โดยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญดังกล่าวได้ก่อเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม สถานการณ์แพร่ระบาดในปัจจุบันย้ำให้เห็นถึงความจำเป็นในการมีระบบซัพพลายเชนที่ก้าวล้ำโดยสามารถขนส่ง จัดเก็บยาและเวชภัณฑ์อย่างปลอดภัย และน่าเชื่อถือ  

การกระจายวัคซีนจำเป็นต้องอาศัยโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสม

โครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งซึ่งประกอบด้วยเครือข่ายคลังสินค้า และความสามารถด้านการขนส่งที่มีประสิทธิภาพ เป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความต่อเนื่องในการการขนส่งสินค้าเวชภัณฑ์ โซลูชั่นซัพพลายเชนแบบครบวงจร (end-to-end) และการตรวจสอบจำนวนสินค้าแบบเรียลไทม์ นั้นมีความสำคัญมากเพราะทำให้ความต้องการซื้อและความต้องการขายอยู่ในจุดที่สมดุล

เครือข่ายลอจิสติกส์ระดับโลกที่มีความแข็งแกร่ง ผ่านการรับรองตามมาตรฐานการขนส่ง และสามารถจัดเก็บผลิตภัณฑ์ด้านวิทยาศาสตร์ชีวภาพ อย่างเช่นวัคซีน มีความจำเป็นเพื่อให้มั่นใจว่าเงื่อนไขต่าง ๆ และการตรวจสอบคุณภาพอยู่ในทุกขั้นตอนของซัพพลายเชน ทีมงานของดีเอชแอลประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้าน LSH กว่า 9,000 คนในเครือข่ายระดับโลก รวมถึงเภสัชกรกว่า 150 คน คลังจัดเก็บสำหรับการวิจัยทางการแพทย์กว่า 20 แห่ง สถานีกระจายสินค้าที่ผ่านการรับรองกว่า 100 แห่ง คลังสินค้าที่ผ่านการรับรอง GDP กว่า 160 แห่ง ศูนย์บริการที่ผ่านการรับรอง GMP กว่า 15 แห่ง และศูนย์บริการขนส่งด่วนทางการแพทย์กว่า 135 แห่ง  ด้วยเครื่องบินที่จัดเตรียมไว้สำหรับภารกิจนี้โดยเฉพาะกว่า 280 ลำ ทั้งจากดีเอชแอล สายการบินมากมายที่เป็นพาร์ทเนอร์ และเครือข่ายเกตเวย์และศูนย์กระจายสินค้าที่ครอบคลุมกว่า 220 ประเทศทั่วโลก ดีเอชแอลจึงพร้อมในการขนส่งวัคซีนโควิด-19 ไปยังประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

การกระจายวัคซีนเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับการแพร่ระบาด
การแพร่ระบาดของโควิด-19 ครั้งนี้ไม่ใช่การแพร่ระบาดครั้งแรกที่โลกของเราต้องเผชิญ และแน่นอนว่าจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย เพื่อรองรับการจัดหาเวชภัณฑ์อย่างมั่นคงปลอดภัยทั้งในปัจจุบันและอนาคต รัฐบาลประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกจำเป็นต้องสร้างความร่วมมือและมีระบบจัดการวิกฤตการณ์ด้านสาธารณสุข

การระบุและป้องกันวิกฤตการณ์ด้านสุขภาพแต่เนิ่น ๆ เป็นสิ่งจำเป็นโดยต้องอาศัยความร่วมมืออย่างจริงจัง ระบบเตือนภัยทั่วโลกที่จำต้องขยายขอบเขตเพิ่มมากขึ้น แผนป้องกันการแพร่ระบาดที่ครอบคลุม และการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) แบบเจาะจงเป้าหมาย ดีเอชแอลสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในแวดวงวิทยาศาสตร์ชีวภาพและสาธารณสุข ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ เอ็นจีโอ บริษัทยา ผู้ผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์ หรือบริษัทลอจิสติกส์ เริ่มดำเนินการทันที 

บทความโดย คุณเฮอร์เบิต วงศ์ภูษณชัย กรรมการผู้จัดการ ดีเอชแอล เอ๊กซ์เพรส ประเทศไทยและหัวหน้าภาคพื้นอินโดจีน



 

สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม จัดพิธีประกาศเกียรติคุณ สำหรับกำลังพล สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ที่รับราชการจนเกษียณอายุราชการ ประจำปีงบประมาณ 2564

ในวันพฤหัสบดีที่ 30 กันยายน 2564 เวลา 8.30 น. พลเอก ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีประกาศเกียรติคุณ สำหรับกำลังพลสังกัด สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ที่รับราชการจนเกษียณอายุราชการ ประจำปีงบประมาณ 2564 เพื่อเป็นการสดุดี แก่ผู้เกษียณอายุราชการ  ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ด้วยความอุตสาหะ วิริยะ ทุ่มเท กำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญา บนพื้นฐานของความถูกต้อง ยุติธรรม มาโดยตลอดชีวิตรับราชการ ซึ่งสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ได้จัดพิธีสวนสนามของกองทหารเกียรติยศผสม 3 เหล่าทัพ สำหรับเทิดเกียรติ ปลัดกระทรวงกลาโหม / รองปลัดกระทรวงกลาโหม / นายทหารชั้นนายพล และกำลังพลสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ณ ลานด้านหน้าพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตึกบัญชาการ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม (ศรีสมาน)

 

จันทบุรี - สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติภาค 2 จัดประชุมเชิงปฏิบัติการคัดเลือกเป็นกรรมการลุ่มน้ำผู้แทนองค์กรผู้ใช้น้ำ ลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลตะวันออกตามพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำแห่งชาติ พ.ศ. 2561

วันนี้ ( 30 ก.ย.64 ) ที่โรงแรม มณีจันทร์รีสอร์ท จังหวัดจันทบุรี นายสุธี ทองแย้ม ผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรีเป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการ และการคัดเลือกกรรมการลุ่มน้ำผู้แทนองค์กรผู้ใช้น้ำลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลตะวันออกจากภาคเกษตรกรรม ภาคอุตสาหกรรม และภาคพาณิชยกรรม ซึ่งเป็นการแบบลับมีการลงคะแนนเสียงโดยใช้คูหาของ กกต.ภายใต้มาตรการป้องกันโควิด -19 ผ่านระบบวงจรปิดแยกห้องประชุม 2 ห้องห้องละ 40 คน ซึ่งนางสาวธารทิพย์ จันทร์พิทักษ์ ปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการกลุ่มประสานงานลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลตะวันออก กล่าวรายงานว่า ด้วยพระราชบัญญัติทรัพยากรน้ำแห่งชาติ พ.ศ. 2561 ได้กำหนดให้มีองค์กรบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เพื่อขับเคลื่อนการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำทั้งในประเทศและระดับลุ่มน้ำ โดยมาตรา 27 กำหนดให้มีคณะกรรมการลุ่มน้ำ

โดยมีองค์ประกอบ ประกอบด้วย (1) กรรมการลุ่มน้ำโดยตำแหน่ง (2) กรรมการลุ่มน้ำผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (3) กรรมการลุ่มน้ำผู้แทนองค์กรผู้ใช้น้ำ และ (4) กรรมการลุ่มน้ำผู้ทรงคุณวุฒิ และมาตรา 38 กำหนดให้บุคคลซึ่งใช้น้ำในบริเวณใกล้เคียงกันและอยู่ในเขตลุ่มน้ำเดียวกัน มีสิทธิรวมตัวกันจดทะเบียนก่อตั้งองค์กรผู้ใช้น้ำ โดยการได้มาซึ่งกรรมการลุ่มน้ำผู้แทนองค์กรผู้ใช้น้ำภาคเกษตรกรรม ภาคอุตสาหกรรม และภาคพาณิชยกรรม ในแต่ละเขตลุ่มน้ำมาจากการคัดเลือกกันเองของผู้แทนองค์กรผู้ใช้น้ำแต่ละภาค ซึ่งถูกเสนอชื่อโดยองค์กรผู้ใช้น้ำที่ได้จดทะเบียนก่อตั้งขึ้นตามมาตรา 38 และยังคงมีการดำเนินการขององค์กรผู้ใช้น้ำนั้น ในเขตลุ่มน้ำซึ่งหลักเกณฑ์และวิธีการให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในกฎกระทรวงการได้มาซึ่งกรรมการลุ่มน้ำผู้แทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กรรมการลุ่มน้ำผู้แทนองค์กรผู้ใช้น้ำ และกรรมการลุ่มน้ำผู้ทรงคุณวุฒิ ในคณะกรรมการลุ่มน้ำ พ.ศ. 2564

รองผบ.ตร. ผลการระดมกวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในห้วงวันที่ 23 - 30 ก.ย. 64 จับกุมเป้าหมาย 334 คดี ผู้ต้องหา 355 คน

ตามนโยบายของรัฐบาลโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้กวดขันจับกุมปราบปรามการกระทำความผิดทางออนไลน์ โดยใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือในการหลอกลวงประชาชน โดยมอบหมายให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DES) กำกับดูแลนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติโดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร.ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญ จึงได้มีคำสั่ง ตร.ที่ 366/2564 ลง 23 ก.ค.2564 เรื่อง ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ และมอบหมายให้ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร.ทำหน้าที่ผู้อำนวยการศูนย์ฯ

โดยวันนี้ (30 ก.ย. 64) เวลา 10.30 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.สุทิน ทรัพย์พ่วง ผู้ช่วย ผบ.ตร., พล.ต.ท.ปรีชา เจริญสหายานนท์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. แถลงผลการระดมกวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในห้วงวันที่ 23-30 ก.ย. 64 ทั่วประเทศโดยมีรายละเอียดดังนี้

​ศปอส.ตร. และ ศปอส.บช.น./ภ.1 – 9 สามารถจับกุมเป้าหมายได้ทั้งสิ้น 334 คดี​ ผู้ต้องหา 355 คน แบ่งเป็น​คดีหลอกลวงออนไลน์ทางด้านการเงิน 19 คดี

- ​คดีหลอกลวงจำหน่ายสินค้าออนไลน์และสินค้าผิดกฎหมาย 90 คดี
- ​คดีเผยแพร่ข่าวปลอมและคดีความผิดตามพรบคอมพิวเตอร์ 130 คดี
- ​คดีล่วงละเมิดทางเพศต่อเด็กหรือสตรีทางอินเตอร์เน็ตและค้ามนุษย์ 20 คดี
- ​คดีพนันออนไลน์และอาชญากรรมข้ามชาติและอื่น ๆ 75 คดี


​โดยมีคดีที่น่าสนใจ เช่น จับกุมผู้ต้องหานำภาพของผู้เสียหายไปใช้ในแอพพลิเคชั่น และหลอกลวงให้ผู้อื่นโอนเงินไปให้ ,จับกุมแก๊งค์หลอกขายโทรศัพท์ ผ่านช่องทางไลน์ , จับกุมผู้ต้องหาอ้างเป็นพนักงานไปรษณีย์ไทย หลอกคนพิการโอนเงินซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า, จับกุมพริตตี้สาว ถูกใช้ให้โพสต์ชักชวนคนมาเล่นพนันออนไล์ มีผู้ติดตามกว่า 2 หมื่นคน เป็นต้น

 

ชลบุรี - ฐานทัพเรือสัตหีบ จัดพิธีรับ-ส่งหน้าที่ผู้บัญชาการ โดย พลเรือตรี นฤพล เกิดนาค ผู้ชำนาญการกองทัพเรือ ขึ้นดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการฐานทัพเรือสัตหีบ (อัตราพลเรือโท)

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 29 ก.ย.64 ที่หน้ากองบัญชาการ ฐานทัพเรือสัตหีบ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี พลเรือโท อนุชาติ อินทรเสน ได้ทำพิธีส่งหน้าที่พร้อมมอบธงสายการบังคับบัญชาให้แก่ พลเรือตรี นฤพล เกิดนาค ผู้ชำนาญการกองทัพเรือ ขึ้นดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการฐานทัพเรือสัตหีบ (อัตราพลเรือโท) ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป โดยมี คณะนายทหาร ข้าราชการ เข้าร่วมในพิธี

ขอนแก่น - โชว์ศักยภาพผลผลิตกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ตั้งเป้ายอดคงค้างไม่เกินร้อยละ 5 พร้อมระบุกองทุนได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ขอเข้าร่วมโครงการพักชำระหนี้ได้ทันที

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 29 ก.ย. 2564 ที่ หอประชุมเทศบาลเมืองศิลา ต.ศิลา อ.เมือง จ.ขอนแก่น นายศรัทธา คชพลายุกต์ รอง ผวจ.ขอนแก่น  พร้อมด้วยนายจำเริญ แหวนเพชร พัฒนาการจังหวัดขอนแก่นร่วม มอบเกียรติบัตรเชิดชูเกียรติคนกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี สร้างพลังสตรี สร้างความสุข สร้างรายได้สู่ชุมชน  ตามแผนงานการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ประจำปี2564 โดยมีคณะทำงานกองทุนบทบาทสตรีและสมาชิกกองทุนฯ จากทั้ง 26 อำเภอของจังหวัดเข้าร่วมแสดงผลงานและนำเสนอผลิตภัณฑ์กันอย่างพร้อมเพรียง

นายศรัทธา คชพลายุกต์ รอง ผวจ.ขอนแก่น กล่าวว่า กองทุนพัฒนาบทบาทสตรีเป็นการดำเนินงานให้กลุ่มสตรีได้รับเงินกู้ไปส่งเสริมกิจกรรม ส่งเสริมรายได้ภายในชุมชน ซึ่งขอนแก่นมีกลุ่มสตรีเข้าร่วมดำเนินการตามแผนงานของกองทุนดังกล่าวเป็นจำนวนมากที่กู้ไปประกอบอาชีพ ทั้งในด้านการทอผ้าไหม การเลี้ยงสัตว์ การแปรรูปอาหาร ซึ่งทั้งหมดสามารถพัฒนาไปเป็นสินค้าโอทอป แต่ในภาวะวิกฤตโควิด-19 กรมการพัฒนาชุมชนได้กำหนดแผนงานในเรื่องของการพักหนี้และลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งมีสมาชิกกองทุนประสานงานเพื่อเข้าร่วมโครงการพักชำระหนี้แล้วอย่างต่อเนื่อง ขณะที่กลุ่มสตรีใดที่สามารถยังคงดำเนินการและเดินหน้าต่อไปได้ ในกิจการที่กำหนดก็จะมีการพิจารณาเงินอุดหนุนให้เพิ่มเติมอีกด้วย

 

ตร. PCT จับหนุ่มอ้างเป็นเสี่ย "สวนทุเรียน" ลวงเหยื่อโอนเงินสูญกว่าล้านบาท

วันนี้ (30 ก.ย.64) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เวลา 10.00 น. พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ผู้อำนวยการศูนย์ปราบปราม อาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ PCT., พล.ต.ท.ปรีชา เจริญสหายานนท์ ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ฯ, พล.ต.ต.ไตรรงค์ ผิวพรรณ รอง ผบช.ภ.6/หัวหน้าชุดปฏิบัติการ PCT ชุดที่ 4 นำกำลังตำรวจ PCT เข้าทลายเครือข่าย "หลอกขายทุเรียน ผู้เสียหาย 11 ราย มูลค่าความเสียหายกว่า 1,000,000 บาท

ตำรวจ PCT ได้รับการร้องเรียนจากประชาชนว่าถูกเฟซบุ๊คชื่อ “คนทำสวนทุเรียน จันทบุรีทุเรียนอร่อย” หลอกขายทุเรียน โดยเฟซบุ๊คดังกล่าวได้มีการโฆษณาชวนเชื่อว่าตนทำสวนทุเรียนและเปิดคิวรับจองทุเรียนก่อนวันเก็บเกี่ยวผลผลิต ซึ่งได้โพสทั้งในเฟซบุ๊คส่วนตัวและกลุ่มซื้อขายทุเรียนทั่วไปเพื่อหลอกลวงเหยื่อ และสร้างความน่าเชื่อถือ เมื่อมีเหยื่อสนใจเจ้าของเพจจะทักไปหาเหยื่อและใช้นามแฝงว่าชื่อ ป็อบ เป็นเจ้าของสวนทุเรียนอัมรินทร์ ตั้งอยู่ที่ อ.แก่งหางแมว จ.จันทบุรี และแจ้งว่าต้องสั่งจองเป็นจำนวนมาก ๆ ถึงจะส่งให้ จากนั้นจึงให้ผู้เสียหายโอนเงินค่ามัดจำไปก่อนเพื่อเป็นการจองคิว ทำให้ผู้เสียหายจำนวนมากโอนเงินไปมัดจำ โดยให้โอนเงินเข้าทั้งบัญชีตนเองและของบุคคลอื่นหลายบัญชี และเมื่อถึงเวลาส่งของก็ไม่มีการส่งทุเรียนไปให้ผู้เสียหายตามที่ได้ส่งเงินมัดจำไว้ หลังจากนั้นจะบล็อคเฟซบุ๊คของผู้เสียหาย ทำให้ไม่สามารถติดต่อได้ และทำการหลอกลวงเหยื่อรายใหม่ไปเรื่อย ๆ ในหลายพื้นที่ ตรวจสอบพบมีผู้เสียหายแจ้งความกว่า 15 ราย ความเสียหายกว่า 1 ล้านบาท

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ กล่าวว่า ได้สั่งการให้ชุดปฏิบัติการที่ 4 PCT สืบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน ขอศาลอนุมัติหมายจับนายพลากร สงวนนามสกุล อายุ 32 ปี ผู้ต้องหา ได้ที่ บ้านเลขที่ 7/1 หมู่2 ต.ไร่อ้อย อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์ ยึดของกลาง ดังนี้

 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top