วรภพ-วิโรจน์ ก้าวไกล วิจารณ์นโยบายรัฐบาลอนุมัติต่างชาติ 4 กลุ่มซื้อที่ได้ 1 ไร่ ชี้ไม่เป็นธรรมต่อคนไทยหลายล้านที่ไม่มีโอกาสซื้อบ้านเป็นของตัวเอง หวั่นกติกาหละหลวม ผุด “นอมินี” กว้านซื้อที่เอาเปรียบคนไทย

วรภพ วิริยะโรจน์ ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล และวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ประธานคณะทำงานยุทธศาสตร์กรุงเทพมหานคร พรรคก้าวไกล วิจารณ์กรณีคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการ ให้ชาวต่างชาติ 4 กลุ่ม ได้แก่ 1) กลุ่มผู้มีความมั่งคั่งสูง 2) กลุ่มผู้เกษียณอายุ 3) กลุ่มที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย และ 4) กลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ ให้สามารถซื้อบ้านพร้อมที่ดินได้ไม่เกิน 1 ไร่ โดยต้องลงทุนไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาทไม่น้อยกว่า 3 ปี

โดยในส่วนของวรภพ ระบุว่าข้อน่ากังวลหลักของเรื่องนี้ คือเป้าหมายของรัฐบาลในการเพิ่มชาวต่างชาติ 4 กลุ่มเป้าหมายให้ได้ 1 ล้านคน ภายใน 5 ปี ซึ่งจะนำไปสู่ความต้องการซื้อบ้านและที่ดินเพิ่มขึ้นในประเทศไทยอีกเป็นหลายแสนยูนิต ซึ่งสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาคือราคาบ้านและที่ดินที่จะสูงขึ้น โดยเฉพาะในหัวเมืองใหญ่ที่มีชาวต่างชาติอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก  ขณะที่คนไทยอีกจำนวนมากไม่มีโอกาสแม้แต่จะซื้อบ้านเป็นของตัวเองได้ จากราคาบ้านที่แพงขึ้นทุกวัน

ดังนั้น สิ่งที่รัฐบาลควรจะมาควบคู่กันคือ สวัสดิการช่วยผ่อนบ้าน สำหรับบ้านราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท เพื่อช่วยให้คนไทยที่มีรายได้น้อย สามารถมีบ้านเป็นสินทรัพย์ของตนเองได้ เพื่อให้ผู้มีรายได้น้อย สามารถกู้ซื้อบ้านได้ การสนับสนุนให้คนไทยมีบ้านเป็นของตัวเองจะสร้างความมั่นคงในชีวิต และความเข้มแข็งในสังคม ซึ่งสิงค์โปร์เคยวิธีการนี้เป็นแนวนโยบายที่ทำให้ประชากรมากกว่า 90% มีบ้านเป็นของตัวเองได้มาแล้ว

“ผมเองก็ไม่แน่ใจว่ารัฐบาลจะคิดถึงคนไทยกลุ่มนี้หรือไม่ ที่จะได้รับผลกระทบ ทำให้โอกาสการซื้อบ้านยิ่งยากขึ้นไปอีก จากทั้งราคาบ้านที่จะแพงขึ้นจากความต้องการของต่างชาติที่เพิ่มขึ้น ถ้ารัฐบาลจะเปิดช่องให้คนต่างชาติ ซื้อบ้านและที่ดินได้ ช่วยมาพร้อมกับมาตรการสวัสดิการอุดหนุนให้คนไทยซื้อบ้านได้ด้วยบ้าง” วนภพกล่าว

ขณะที่วิโรจน์ ระบุว่าในปัจจุบันการถือครองที่ดิน อาคาร และกิจการของชาวต่างชาติ มีการใช้คนไทยมาเป็นตัวแทน หรือ “นอมินี” กันเป็นจำนวนมากอยู่แล้ว จึงไม่ได้กังวลว่านโยบายนี้จะเป็นการ “ขายชาติ” ได้แบบเทน้ำเทท่า แต่สิ่งที่น่ากังวลกว่า คือการนำไปสู่ความต้องการซื้อที่ดินที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบให้คนไทยต้องซื้อที่ดินในราคาที่แพงขึ้น เป็นเจ้าของที่ดินได้ยากลำบากมากขึ้น

นอกจากนี้ อาจจะทำให้เกิดการตั้งบริษัทนอมินีที่เอารัดเอาเปรียบคนไทยมากขึ้น ในลักษณะของการทำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และรับเหมาก่อสร้าง เพื่อสร้างบ้านขายชาวต่างชาติเดียวกัน โดยที่คนไทยได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจเพียงเล็กน้อยจากการจ้างงานพื้นฐานเท่านั้น

วิโรจน์ยังระบุด้วย ว่าตัวเองไม่ได้มีเจตนาที่จะขัดขวางการลงทุนจากต่างประเทศ เพียงแต่ต้องการให้การลงทุนจากชาวต่างชาติมีความเป็นธรรมกับคนไทย ทั้งการจ้างงาน การจัดซื้อจัดจ้างวัสดุอุปกรณ์ การพัฒนาธุรกิจในห่วงโซ่อุปทานที่ต่อเนื่อง และการถ่ายทอดเทคโนโลยี เพราะทุกวันนี้บริษัทนอมินีต่างๆ ก็ไม่มีกลไกจากภาครัฐในการควบคุมดูแลอยู่แล้ว อย่างที่จังหวัดเชียงใหม่ ที่ทุกวันนี้นักลงทุนชาวจีนมาเปิดบริษัทนอมินีร่วมกับผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ยึดครองธุรกิจต่างๆ แบบกินรวบ จนเม็ดเงินก้อนใหญ่จากการท่องเที่ยวไปตกอยู่ที่นักลงทุนชาวจีน โดยที่คนเชียงใหม่ได้ประโยชน์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

“ผมคิดว่าถ้ารัฐบาลเอาจริงเอาจังกับการควบคุมการลงทุนจากชาวต่างชาติให้มีความเป็นธรรม ไม่มีระบบนอมินี การจะให้สิทธิชาวต่างชาติซื้อที่ดินเพื่อการอยู่อาศัย ผมคิดว่าไม่ได้เป็นปัญหาอะไรเลย แต่ถ้ารัฐบาลยังคงปล่อยปละละเลยอย่างที่เป็นอยู่ ในที่สุด ก็จะเกิดบริษัทนอมินีมาทำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ รับเหมาก่อสร้าง ทำเองขายเองให้กับชาวต่างชาติ ชาติเดียวกันแล้วก็ขนเงินขนกำไรกลับประเทศ ในขณะที่คนไทยได้ประโยชน์ทางเศรษฐกิจน้อยมาก หนำซ้ำยังอาจจะได้รับผลกระทบจากราคาที่ดินที่แพงขึ้นอีกด้วย” วิโรจน์กล่าว