Friday, 9 May 2025
THE STATES TIMES TEAM

สุโขทัย - พ่อเมืองสุโขทัย ตรวจติดตามราคาสินค้า และมาตรการป้องกันโควิด-19 ที่ตลาดสดเมืองสุโขทัย

วันนี้ 19 ม.ค.65 นายวิรุฬ พรรณเทวี ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย ลงพื้นที่ตรวจติดตามราคาสินค้า และมาตรการป้องกันโควิด-19 ที่ตลาดสดในเขตเทศบาลเมืองสุโขทัยธานี พร้อมแนะพ่อค้าแม่ค้าจำหน่ายสินค้าในราคายุติธรรม และติดป้ายราคาสินค้าอย่างชัดเจน และส่งเสริมการท่องเที่ยว เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจให้ดีขึ้น พร้อมด้วยพาณิชย์จังหวัดสุโขทัย สาธารณสุขจังหวัดสุโขทัย ประชาสัมพันธ์จังหวัดสุโขทัย และนายกเทศมนตรีผู้บริหารเทศบาลเมืองสุโขทัยธานี ลงพื้นตลาดสดเขตเทศบาลเมืองสุโขทัยธานี เพื่อตรวจติดตามราคาสินค้า โดยเฉพาะเนื้อสุกรชำแหละที่มีราคาที่สูงขึ้น และสินค้าอื่น ๆ 

ด้านนายวิรุฬ พรรณเทวี ผู้ว่าราชการจังหวัดสุโขทัย กล่าวว่าเพื่อนำผู้เกี่ยวข้องในพื้นที่ ลงติดตามให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้บริโภค นอกจากนี้พ่อค้าแม่ค้าจำหน่ายเนื้อสุกรชำแหละกล่าวว่า ในช่วงนี้ราคาจำหน่ายสุกรชำแหละมีราคาสูงขึ้นมาก  ผู้ขายหรือพ่อค้าแม่ค้าก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน เนื่องจากจำนวนคนซื้อลดลง  ส่งผลให้รายได้จากจำหน่ายลดลงจากเดิมประมาณร้อยละ 50 จึงจำเป็นต้องลดปริมาณการจำหน่ายเนื้อสุกรชำแหละลงจากเดิม 

 

สระบุรี - จัดงานพิธี วันยุทธหัตถีของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ประจำปี 2565

วันนี้(18 ม.ค.2565)เวลา 08.30 น.นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์  ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี  เป็นประธานพิธีถวายเครื่องราชสักการะ วางพานพุ่ม ดอกไม้สด และพิธีบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายแด่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช  ณ พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช  กรมทหารม้าที่ 4 รักษาพระองค์

โดยมีหน่วยงานราชการต่าง ๆ ใน จ.สระบุรี ได้ขึ้นวางพานพุ่มดอกไม้สด เพื่อถวายราชสักการะ ตามลำดับ จากนั้น นายแมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี ประธานในพิธีขึ้นคลองพวงมาลัย วางพานพุ่ม ดอกไม้สด พร้อมจุดธูป เทียน เครื่องทองน้อย ถวายราชสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช  กล่าวถวายราชสดุดีเฉลิมพระเกียรติ เพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดี และน้อมรำลึกพระมหากรุณาธิคุณสมเด็จพระนเรศวรมหาราช วีรกษัตริย์นักรบที่มีพระปรีชาสามารถยิ่ง ทรงเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่กอบกู้เอกราชให้ชาติไทย พระเกียรติยศเลื่องลือไปทั่วสารทิศและเป็นเหตุผลสำคัญประการหนึ่งที่ข้าศึกไม่กล้ามารุกรานไทยอีกเป็นเวลากว่าร้อยปี

ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรี ได้มีมติเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2548 กำหนดให้วันที่ 18 มกราคม ของทุกปีเป็นวันยุทธหัตถี เป็นวันรัฐพิธี เนื่องในวันประวัติศาสตร์สำคัญ ที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงได้รับชัยชนะ จากการทำยุทธหัตถี กับพระมหาอุปราชา ซึ่งเหล่าพสกนิกรชาวไทยต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ อันยิ่งใหญ่ ที่ทรงกอบกู้เอกราชของชาติไทยและทรงสถาปนาความเข้มแข็งมั่นคงแก่ประเทศไทยมาในอดีตกาล อันนำมาซึ่งความสุขสงบและเกียรติภูมิของราชอาณาจักร มาถึงกาลปัจจุบัน โดยการทำยุทธหัตถีของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ณ อนุสรณ์ดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี

 

ตราด - ‘กองทัพเรือ’ จัดพิธีลอยพวงมาลา เนื่องใน “วันวีรกรรมทหารเรือไทยในยุทธนาวีที่เกาะช้าง”

พลเรือโท พิชัย ล้อชูสกุล ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 มอบหมายให้ นาวาเอก รังสรรค์ บัวเผือก ผู้บังคับหมวดเรือลาดตระเวนชายแดน เป็นประธานในพิธีลอยพวงมาลา เนื่องในวันวีรกรรมทหารเรือไทยในยุทธนาวีที่เกาะช้าง ณ บริเวณเกาะลิ่ม จังหวัดตราด โดยมีกำลังทางเรือและกำลังพล ของฐานส่งกำลังบำรุงทหารเรือตราด ทัพเรือภาคที่ 1 เรือหลวงสัตหีบ เรือ ต.992 และเรือ ต.236 เข้าร่วมพิธี

ผู้บังคับหมวดเรือลาดตระเวนชายแดน กล่าวว่า “ในวันนี้เมื่อ 81 ปีที่แล้ว ได้มีการยุทธที่สำคัญเกิดขึ้น ในพื้นที่เกาะช้างแห่งนี้ เมื่อครั้งสงครามอินโดจีน กองทัพเรือ จึงได้จัดกำลังทางเรือและกำลังพลเข้าร่วมในการยุทธ ดังกล่าว การปะทะในครั้งนั้น กำลังพลของกองทัพเรือไทย ได้เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก วันนี้ จึงถือว่าเป็นวันสำคัญวันหนึ่งของกองทัพเรือ ที่จะระลึกถึง คุณงามความดี วีรกรรมและความกล้าหาญของทหารเรือไทยทุกนาย ในการรักษาอธิปไตยของชาติไทย”

สำหรับการจัดพิธี ลอยพวงมาลาเนื่องในวันวีรกรรมทหารเรือไทย ในยุทธนาวีที่เกาะช้างในครั้งนี้ ประกอบด้วย การอ่านคำสดุดีวีรชนทหารเรือไทย ในยุทธนาวีที่เกาะช้าง การสงบนิ่งรำลึกถึงดวงวิญญาณของผู้กล้าหาญที่เสียชีวิต พิธีลอยพวงมาลา และการยิงสลุต ณ บริเวณเกาะลิ่ม ซึ่งเป็นจุดที่เรือหลวงสงขลา และเรือหลวงชลบุรี จมลง

‘ตำรวจ’ ร่วมกับ ‘วิริยะประกันภัย’ และ ‘มูลนิธิเมาไม่ขับ’ มอบเงินรางวัล โครงการ “7 วัน 7 คลิป 7 หมื่น” ให้เจ้าของคลิป รางวัลละ 10,000 บาท และแถลงผลการจับกุมรถที่มีควันดำเกินกฎหมายกำหนดในพื้นที่ กทม.

วันนี้ (18 ม.ค. 65) เวลา 10.30 น. ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์บริหารงานจราจร (ศจร.ตร.) พล.ต.ท.ปรีชา เจริญสหายานนท์ ผู้ช่วย ผบ.ตร. พล.ต.ท.เชษฐา  โกมลวรรธนะ จตร.(หน.จต.)/หัวหน้าคณะทำงาน งานตรวจสอบติดตามประเมินผล ศจร.ตร. พล.ต.ท.นิรันดร เหลื่อมศรี ผบช.ศ./หัวหน้าคณะทำงาน งานพัฒนามาตรฐานระบบงานจราจร ศจร.ตร. พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รอง ผบช.น. พร้อมด้วย คุณกานดา วัฒนายิ่งสมสุข ที่ปรึกษาฝ่ายการตลาด บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) นายแพทย์แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับ  ผู้แทนสถานีวิทยุพิทักษ์สันติราษฎร์  สวพ.91 และสถานีวิทยุ จส.100  ร่วมแถลงผลการพิจารณามอบรางวัลและเกียรติบัตรในโครงการอาสาตาจราจร “7 วัน 7 คลิป 7 หมื่น” ให้แก่เจ้าของคลิปวีดีโอที่ได้รับคัดเลือกจำนวน 7 คลิป  

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ เปิดเผยว่า ที่ผ่านมามีประชาชนได้ส่งคลิปวีดีโอเข้าร่วมโครงการ“7 วัน 7 คลิป 7 หมื่น”  ซึ่งวัตถุประสงค์หลักของโครงการดังกล่าว คือ ให้ประชาชนทุกคนร่วมเป็นอาสาตาจราจร ประชาชนสามารถส่งข้อมูลพยานหลักฐานเมื่อเกิดอุบัติเหตุ หรือ การกระทำความผิดบนท้องถนนต่าง ๆ ผ่านทางกล้องหน้ารถ หรือโทรศัพท์มือถือ โดยสามารถส่งคลิปวีดีโอผ่านช่องทางมูลนิธิเมาไม่ขับ ศูนย์โซเชียลมีเดีย ศปก.ตร.  จส.100 และ สวพ.91ในช่วง 7 วันของการควบคุมเข้มข้นในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2565 จำนวนกว่า 30 คลิป  ซึ่งมูลนิธิเมาไม่ขับได้เป็นผู้พิจารณาคัดเลือกคลิปวิดีโอโดยมีหลักเกณฑ์การคัดเลือก คือ  

1) กรณีการกระทำผิดกฎจราจรสำคัญ - เป็นคลิปวิดีโอที่สามารถช่วยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามผู้กระทำผิดมาดำเนินคดี หรือเป็นข้อมูลให้เข้มงวดกวดขันจับกุมการกระทำผิด หรือเป็นตัวอย่างอุทาหรณ์ไม่ให้ประชาชนทำผิดกฎหมาย

2) คดีอุบัติเหตุจราจร – เป็นคลิปที่สามารถใช้เป็นพยานหลักฐานในทางคดีให้กับพนักงานสอบสวน

เพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด สามารถชี้ตัวคู่กรณีฝ่ายที่กระทำผิดได้   

ซึ่งผลการพิจารณาของมูลนิธิเมาไม่ขับ มีคลิปวิดีโอที่ได้รับรางวัลจำนวน 7 คลิป ดังนี้ 

(1) คลิปกล้องหน้ารถ - รถฟอร์จูนเนอร์ ชนรถหลายคันและขับหลบหนี /สน.พหลโยธิน

(2) คลิปโทรศัพท์มือถือ - ผู้ขับขี่มีอาการเมาสุรา ขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ /สภ.คูคต

 (3) คลิปกล้องหน้ารถ - อุบัติเหตุรถกระบะเฉี่ยวชน รถจักรยานยนต์ /สภ.เชียงขวัญ จว.ร้อยเอ็ด

 (4) คลิปกล้องหน้ารถ - รถยนต์และรถจักรยานยนต์ ขับขี่ย้อนศรถนนคู้บอน  /สน.คันนายาว

 (5) คลิปโทรศัพท์มือถือ - รถจักรยานยนต์ ขับขี่บนทางด่วนกาญจนาภิเษก

 (6) คลิปกล้องติดหมวกนิรภัย - รถจักรยานยนต์เฉี่ยวชนกัน แล้วขับหลบหนี  /สน.หลักสอง 

 (7) คลิปโทรศัพท์มือถือ - ผู้ขับขี่ขับรถเกิดอุบัติเหตุและมีอาการเมาสุรา /สภ.เมืองเชียงใหม่ 

ซึ่งทางคณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์ ของศูนย์บริหารงานจราจร ตร. ได้ส่งข้อมูลให้สถานีตำรวจพื้นที่รับผิดชอบดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องทั้งหมดแล้ว ทั้งนี้ โครงการนี้ยังมีการดำเนินการต่อเนื่องและมอบรางวัล ให้เป็นประจำทุกเดือน เดือนละ 10 คลิป รวมเป็นเงิน 50,000 บาทต่อเดือน จึงขอประชาสัมพันธ์ให้ประชาชน ส่งข้อมูลพยานหลักฐานเมื่อเกิดอุบัติเหตุ หรือการกระทำความผิดบนท้องถนนต่าง ๆ ผ่านทางกล้องหน้ารถ หรือโทรศัพท์มือถือ พร้อมแจ้งข้อมูลชื่อ ที่อยู่ หมายเลขโทรศัพท์ผู้แจ้งข้อมูล ตามช่องทางดังกล่าวข้างต้นได้  โดยทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะปกปิดข้อมูลของผู้แจ้ง

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กล่าวต่อว่า เนื่องจากปัจจุบันสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็กในอากาศ (PM2.5) มีค่าสูงเกินมาตรฐานในหลายพื้นที่  โดยเฉพาะในพื้น กทม. ซึ่งในส่วนงานจราจร  ศจร.ตร. ได้สั่งการให้ทุกหน่วยเพิ่มมาตรการตรวจจับรถที่มีค่าควันดำเกินมาตรฐาน โดยประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมการขนส่งทางบก กรมควบคุมมลพิษ กรุงเทพมหานคร และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นพื้นที่ เพื่อตั้งจุดตรวจรถควันดำ ทั้งรถบรรทุก รถสาธารณะ และรถกระบะส่วนบุคคล สำหรับในเขตพื้นที่กทม. นั้นมีการตั้งจุดตรวจ จำนวน 20 จุด แบ่งเป็น จุดตรวจตั้งถาวร จำนวน 15 จุด  และจุดตรวจแบบเคลื่อนที่ (Mobile) จำนวน 5 จุด

โดยสถิติที่ผ่านมาในปี 2564  มีการเรียกตรวจรถรถบรรทุกและรถสาธารณะ รวมจำนวน 125,974 คัน มีค่าควันดำเกินกำหนด 51,625 คัน รถกระบะส่วนบุคคล รวมจำนวน 127,141 คัน มีค่าควันดำเกินกำหนด 52,176 คัน รวมมีรถควันดำเกินกำหนดทั้งสิ้น 103,802 คัน ออกคำสั่งห้ามใช้รถรวมทั้งสิ้น จำนวน 4,689 คัน และในปีนี้เฉพาะในช่วงวันที่ 1- 15 ม.ค.65  มีการเรียกตรวจรถบรรทุกและรถสาธารณะรวมจำนวน 3,748 คัน มีค่าควันดำเกินกำหนด 1,482 คัน  รถกระบะส่วนบุคคล รวมจำนวน 4,667 คัน  มีค่าควันดำเกินกำหนด 919 คัน รวมมีรถควันดำเกินกำหนด 2,401 คัน ออกคำสั่งห้ามใช้รถรวมทั้งสิ้น จำนวน 88 คัน ทั้งนี้ บช.น. ได้เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจจับรถที่มีค่าควันดำ โดยหากเป็นรถบรรทุกหรือรถสาธารณะจะมีโทษปรับสูงสุดถึง 50,000 บาท (ตามกฎหมายว่าด้วยการขนส่งทางบก) ส่วนรถส่วนบุคคล จะมีโทษปรับสูงสุดไม่เกิน 1,000 บาท (ตามกฎหมายว่าด้วยจราจรทางบก) และจะถูกออกคำสั่งห้ามใช้รถตามกฎหมายทั้งห้ามใช้ชั่วคราวและห้ามใช้เด็ดขาด

ในส่วนของมาตรการการดำเนินคดีกับรถจักรยานยนต์นั้นในช่วงวันที่ 15 พ.ย.64 ถึง 16 ม.ค.65  มีผลการจับกุมข้อหา ขับรถย้อนศร รวม   53,403 ราย ขับรถฝ่าฝืนสัญญาณไฟจราจร  27,466 ราย ขับรถรถจักรยานยนต์บนทางเท้า 7,293 ราย  ขับรถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียว 2,284 ราย  และดำเนินคดีข้อหาขับรถโดยไม่คำนึ่งถึงความปลอดภัยเป็นจำนวน 70 ราย  รวมผลการดำเนินการทั้ง 4 ข้อหา จับกุมรวมทั้งสิ้น 90,446 ราย แบ่งเป็น รถ จยย.ทั่วไป 74,832 ราย รถ จยย.เดลิเวอรี่  10,869  ราย และรถ จยย.สาธารณะ 4,718 ราย

 

‘วิลาศ’เฮลั่น! ศาลยกฟ้องซิโน-ไทย ฟ้องหมิ่น วิจารณ์ "โครงการก่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่เละเทะที่สุด" ชี้!เป็นการติชมโดยสุจริต

(18 ม.ค.65) นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีตส.ส.ประชาธิปัตย์ กล่าวว่าเมื่อเวลา 09.20 น. ที่ห้อง 602 ศาลอาญากรุงเทพใต้อ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ อ.300/2563 ระหว่างบริษัทซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่นจำกัด(มหาชน)โจทก์ ฟ้องนายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ จำเลยที่ 1 นายวรเทพ สุวัฒนพิมพ์ ที่ 2 บริษัทเนชั่น บรอดแคสติ้งคอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน)ที่ 3 ในข้อหาหมิ่นประมาทและเรียกค่าเสียหาย 5 ล้านบาทกรณีนายวิลาศไปออกรายการคมชัดลึกที่ช่องNation TV22 หัวข้อ"รัฐสภาแห่งใหม่ ใช้ชาตินี้ ไม่ใช่ชาติหน้านะจ๊ะ"เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 62 นั้น โจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 2 และ 3

ขณะที่คำพิพากษาของศาลบางตอนระบุว่าคณะรัฐมนตรียังมีมติให้เร่งรัดดำเนินโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ให้แล้วเสร็จภายในปี 2562 และบางตอนระบุว่าการกล่าวของจำเลยที่ 1

คำว่า"เป็นโครงการที่เละเทะที่สุด" จึงเป็นการกล่าวถึงความไม่มีระเบียบในการตั้งคณะกรรมการหลายคณะ รวมทั้งคณะกรรมการเร่งรัดการก่อสร้างฯของฝ่ายผู้ว่าจ้าง มิได้หมายความว่าโจทก์ทำงานก่อสร้างไม่มีมาตรฐาน ไม่มีคุณภาพ ผลงานออกมาเละเทะ ดังที่พยานโจทก์ทั้งสามคิดและเข้าใจ ดังนั้นการกระทำของจำเลยที่ 1  จึงเป็นการแสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริต ติชมด้วยความเป็นธรรมซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ ไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329(3) พิพากษายกฟ้อง

หลังศาลมีคำพิพากษา นายวิลาศ กล่าวว่า มีประชาชนถามมาว่าจะฟ้องกลับหรือไม่ ตอนนี้กำลังพิจารณาอยู่ แต่คนอย่างตนไม่ยอมให้ใครทำข้างเดียวแน่นอน 

 

‘สปส.’ ขานรับนโยบายรัฐ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง! ยกระดับศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพคนงานครบวงจร

นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน ได้กล่าวถึง การดำเนินการยกระดับศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพคนงาน ซึ่งเป็นหน่วยงานในกำกับดูแลของสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน ว่า ตามที่รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้มีนโยบายการพัฒนาระบบสาธารณสุขและหลักประกันทางสังคมที่ครอบคลุมด้านการศึกษา สุขภาพ การมีงานทำที่เหมาะสมกับประชากรทุกกลุ่ม ทั้งในระบบและนอกระบบให้ได้รับความปลอดภัยและมีสุขอนามัยที่ดีในการทำงานได้รับรายได้ สวัสดิการ และสิทธิประโยชน์ที่เหมาะสมกับการดำรงชีพ และกระทรวงแรงงานภายใต้การกำกับดูแลของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้กำหนดนโยบายที่สำคัญของกระทรวงแรงงานในปี 2565 ในด้านการบริหารจัดการแรงงานกลุ่มเปราะบาง และคนพิการให้ได้รับสิทธิและความคุ้มครองด้านแรงงาน มีรายได้ที่เหมาะสมและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยตนได้มอบหมายให้สำนักงานประกันสังคมพิจารณายกระดับศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพคนงานทั้ง 5 แห่ง ให้มีความพร้อมในการให้บริการลูกจ้างและผู้ประกันตนแบบครบวงจร เพื่อให้พี่น้องแรงงาน ลูกจ้าง ผู้ประกันตนสามารถกลับมาใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีศักดิ์ศรี ไม่เป็นภาระต่อสังคม สร้างรายได้ให้กับตนเองและครอบครัว และกลับมาเป็นกำลังในการช่วยกันพัฒนาประเทศต่อไปได้

ด้านนายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพคนงานทั้ง 5 แห่ง ได้แก่ ศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพคนงานภาค 1 จังหวัดปทุมธานี ศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพคนงานภาค 2 จังหวัดระยอง ศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพคนงานภาค 3 จังหวัดเชียงใหม่ ศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพคนงานภาค 4 จังหวัดขอนแก่น และศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพคนงานภาค 5 จังหวัดสงขลา ซึ่งดูแลครอบคลุมครบทุกภาคทั่วประเทศ โดยในปี 2564 มีลูกจ้าง/ผู้ประกันตนที่ประสบอันตรายหรือเจ็บป่วยจากการทำงานจนสูญเสียอวัยวะ หรือทุพพลภาพ มาเข้ารับบริการ จำนวน 1,251 คน ที่ผ่านมาทั้ง 5 ศูนย์นี้ ได้ทำหน้าที่ฟื้นฟูสมรรถภาพให้แก่ลูกจ้าง ผู้ประกันตนแบบองค์รวม ทั้งฟื้นฟูสภาพร่างกาย ปรับสภาพจิตใจ และฝึกอาชีพให้กับลูกจ้าง สำนักงานประกันสังคม ได้ขานรับนโยบายดังกล่าว โดยพัฒนาศักยภาพของศูนย์ฟื้นฟูสมรรถภาพคนงาน ให้มีความพร้อมในการให้บริการลูกจ้างและผู้ประกันตนแบบครบวงจร ทั้งในด้านบุคลากรมีนักสังคมสงเคราะห์คอยให้คำปรึกษา และนักกายภาพบำบัด

 

‘สำนักงานตำรวจแห่งชาติ’ เตือนภัย!! แนะนำผู้ปกครองควรดูแลบุตรหลาน เรื่องการใช้สื่อสังคมออนไลน์อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งแอปพลิเคชันหาคู่ อาจเสี่ยงต่อการตกเป็นเหยื่อ ถูกมิจฉาชีพหลอกลวง

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตือนภัยจากแอฟพลิเคชันหาคู่ แนะนำผู้ปกครองควรดูแลการใช้สื่อสังคมออนไลน์อย่างใกล้ชิด เนื่องจากเสี่ยงถูกมิจฉาชีพล่อลวงสร้างความเสียหายในหลายรูปแบบ

ในปัจจุบันเทคโนโลยีมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีบทบาทช่วยให้ประชาชนได้ใช้ชีวิตประจำวันได้สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงเรื่องการหาคู่ก็เช่นกัน  จึงมีผู้คิดค้นแอปพลิเคชันหาคู่ผ่านสื่อสังคมออนไลน์ และมีผู้ใช้งานเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่   ซึ่งแอปพลิเคชันหาคู่ที่คนไทยส่วนใหญ่นิยมใช้กัน ได้แก่  Tinder ,Omi ,Bumble เป็นต้น แอปพลิเคชันเหล่านี้จะช่วยจับคู่หนุ่มสาวที่มีความชอบคล้ายๆกัน ให้ได้พูดคุยกันได้ง่ายมากยิ่งขึ้น แต่เหรียญก็มักจะมีทั้ง 2 ด้านเสมอ กลุ่มมิจฉาชีพมักใช้โอกาสจากช่องทางนี้ในการหลอกล่อเหยื่อเช่นกัน ซึ่งช่วงที่ผ่านมาได้เกิดเหตุในลักษณะดังกล่าวขึ้นหลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่เหยื่อเป็นเด็กและเยาวชน   ตามที่ปรากฎบนสื่อสังคมออนไลน์และสื่ออื่นๆ หากรูปแบบการกระทำความผิดในลักษณะนี้เกิดขึ้นเรื่อยๆ อาจจะพัฒนาจนเป็นการค้ามนุษย์และสร้างความเสียหายเป็นวงกว้างมากขึ้นได้

ดังเช่นกรณีที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 ม.ค. 65 ในพื้นที่ จว.เชียงใหม่ ได้มีเด็กหญิงอายุ 14 ปี หายตัวไป จนผู้ปกครองได้เข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน และได้ทำการติดตามค้นหาจนเมื่อวันที่ 15 ม.ค. 65 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พบเด็กหญิงคนดังกล่าวอยู่กับชายอายุ 18 ปี ซึ่งทั้งสองได้พูดคุยกันผ่านแอพพลิเคชัน Litmatch และได้มีการนัดเจอกัน ซึ่งเป็นเหตุให้เด็กหญิงคนดังกล่าวหายตัวไป ต่อมาทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับกุมชายคนดังกล่าวพร้อมกับแจ้งข้อกล่าวหา กระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีฯ และ พรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปีไปจากบิดามารดาฯ ก่อนจะนำตัวส่งให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป

และในกรณีเมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 64 เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ร่วมกันจับกุมตัวชายอายุ 28 ปี ในข้อหา รีดเอาทรัพย์,กรรโชกทรัพย์,    ทำให้เสื่อมเสียเสรีภาพ,ทำให้ผู้อื่นเกิดความหวาดกลัวหรือตกใจโดยการขู่เข็ญ สืบเนื่องจากได้รับแจ้งจากหญิงสาวหลายรายว่าได้รู้จักกับผู้ต้องหาผ่านแอปพลิเคชันหาคู่ชื่อดังก่อนจะนัดหมายเจอกัน จากนั้นก็ออกอุบายตีสนิท เมื่อคบหากันก็ได้ถ่ายคลิปตอนมีเพศสัมพันธ์ พอผ่านไปสักระยะก็จะขอยืมเงิน หากไม่ยินยอมให้ ก็จะขู่เผยแพร่คลิปดังกล่าว เมื่อฝ่ายหญิงขอเลิกผู้ต้องหาก็จะขอค่าเลิกเป็นเงินจำนวน 100,000 บาท จะเห็นได้ว่าอันตรายไม่ได้เกิดขึ้นแค่เพียงกับเด็กและเยาวชนเท่านั้น แต่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกๆคน

ดังนั้นจึงขอให้ประชาชนใช้วิจารณญาณในการใช้บริการแอปพลิเคชันหาคู่ให้มากยิ่งขึ้น นอกจากมีความสุ่มเสี่ยงที่จะถูกล่อลวงไปกระทำชำเราแล้ว การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวผ่านสื่อสังคมออนไลน์ก็เสี่ยงต่อการถูกนำข้อมูลส่วนตัวไปใช้ในทางที่ผิด หรืออาจถูกนำไปขายต่อบน Dark Web และนำไปใช้ในการกระทำความผิด ทำให้ท่านอาจตกเป็นผู้ต้องหา โดยท่านไม่รู้ตัวก็เป็นได้

พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงได้กำชับและสั่งการไปยังหน่วยงานในสังกัดที่เกี่ยวข้องทุกหน่วย ในการป้องกันภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี(บช.สอท.) และ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศปอส.ตร.) ให้เร่งสร้างการรับรู้ให้กับพี่น้องประชาชน ทราบถึงพิษภัยและรูปแบบการกระทำความผิดต่างๆ พร้อมเร่งทำการสืบสวนปราบปรามจับกุม  ผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดี เพื่อเป็นการจำกัดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นและตัดโอกาสในการกระทำความผิดอย่างจริงจังต่อเนื่องโดยให้มีผลการปฏิบัติเป็นรูปธรรม

รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอฝากเตือนภัยและประชาสัมพันธ์แนะนำผู้ปกครองในการดูแลบุตรหลาน            ถึงแนวทางการป้องกันหลีกเลี่ยงการถูกล่อลวงผ่านแอปพลิเคชั่นหาคู่ ดังนี้

1.ควรระมัดระวังในการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว ไม่บอกข้อมูลทั้งหมดกับคนที่เพิ่งรู้จัก เมื่อใช้บริการแอปพลิเคชั่นหาคู่ออนไลน์ต่าง ๆ

2.ไม่ควรหลงเชื่อ หรือไว้ใจบุคคลใดง่าย ๆ หากมีความจำเป็นต้องนัดเจอควรมีเพื่อนหรือผู้ปกครองไปด้วยเพื่อความปลอดภัย

3.ผู้ปกครองควรดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิด ไม่ปล่อยให้ใช้สื่อสังคมออนไลน์หรือโทรศัพท์มือถือเพียงลำพัง, ควรพูดคุยทำความเข้าใจถึงขอบเขตการใช้งานว่าแอปพลิเคชั่นไหนใช้ได้บ้างหรือแอปพลิเคชั่นใดควรหลีกเลี่ยง, หมั่นเช็คประวัติการใช้งานอินเทอร์เน็ตหรือแอปพลิเคชั่นของบุตรหลานว่ามีการใช้งานที่ไม่เหมาะสมหรือมีการพูดคุยกับคนแปลกหน้าหรือไม่

4.พึงระลึกไว้เสมอว่า อะไรที่ดีเกินไป เร็วเกินไป มักจะลงเอยไม่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นโดยง่ายผ่านสื่อสังคมออนไลน์และขอให้เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นอุทาหรณ์ให้ระมัดระวังในเรื่องการมีความสัมพันธ์ผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์หรือ Chat Application ในรูปแบบต่าง ๆ

 

โฆษก ตร.ห่วงใย! ใช้รถ - ใช้ถนน - ไม่บรรทุกสิ่งของ ความสูงเกินกฎหมายกำหนด "สุดอันตราย" วอนคำนึง "ความปลอดภัย" เพื่อนร่วมทาง

17 ม.ค.65 พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยว่า จากกรณีที่มีการแชร์ในสื่อสังคมออนไลน์ ปรากฏภาพรถยนต์เปิดฝากระโปรงท้าย แล้วบรรทุกถังน้ำขนาดใหญ่ไว้ท้ายรถโดยมีเชือกพันไว้กับตัวรถ นั้น

พล.ต.ต.ยิ่งยศฯ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความห่วงใยและคำนึงถึงความปลอดภัยของพี่น้องประชาชน พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงได้สั่งการกำชับไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจทั่วประเทศหากพบการกระทำผิดกฎหมาย ให้ดำเนินคดีอย่างเข้มงวดรวดเร็ว เพื่อให้ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนมีความปลอดภัยอย่างสูงสุด

โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวต่อว่า ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการกวดขันจับกุมผู้กระทำผิดกฎหมายจราจรอย่างต่อเนื่อง เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของผู้ใช้รถใช้ถนน และด้วยความห่วงใยอยากจะฝากถึงผู้ที่ใช้รถยนต์บรรทุกสิ่งของ หากมีสิ่งของขนาดใหญ่เกินกว่าตัวรถแล้ว ขอให้ปรับเปลี่ยนหรือใช้รถให้ถูกประเภท เพื่อความปลอดภัยของตัวท่านเองและผู้ใช้รถใช้ถนนร่วมกัน ซึ่งหากใช้รถยนต์บรรทุกสิ่งของเกินตัวรถมากกว่าที่กฎหมายกำหนด อาจเป็นความผิดตามกฎหมาย 

พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522

มาตรา 18 รถที่ใช้บรรทุกคน สัตว์ หรือสิ่งของ จะใช้บรรทุกในลักษณะใดโดยรถชนิดหรือประเภทใด ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง

กฎกระทรวง ฉบับที่ 4 (พ.ศ.2522) ออกตามความในพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522

ข้อ 1 รถโรงเรียน รถบรรทุก หรือรถบรรทุกคนโดยสาร บรรทุกของได้ตามหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้

(3) สำหรับส่วนสูง

(ก) ในกรณีที่เป็นรถบรรทุก รถม้าสี่ล้อบรรทุกของ หรือเกวียน ให้บรรทุกสูงไม่เกิน 3.00 เมตร จากพื้นทาง

(ข) ในกรณีที่เป็นรถอื่นนอกจากที่ระบุไว้ใน (ก) ให้บรรทุกสูงไม่เกิน 1.50 เมตร

(ค) ในกรณีที่เป็นรถชนิดที่ผู้ขับขี่อยู่หลังตัวรถ ให้บรรทุกสูงไม่เกินระดับที่ผู้ขับขี่มองเห็นพื้นทางข้างหน้าได้ในระยะตั้งแต่ 3.00 เมตร จากรถ หรือน้อยกว่า

มาตรา 150 ผู้ใด (3) ไม่ปฏิบัติตามกฎกระทรวงที่ออกตามมาตรา 18 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 500 บาท

 

ชลบุรี - สำนักงาน ป.ป.ช.ชลบุรี แถลงข่าวชี้มูล คดีการทุจริตของข้าราชการ และผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

วันที่ 17 ม.ค.65 นายกิจติพงค์ ขลิบแย้ม ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดชลบุรี เป็นประธานจัดแถลงข่าว คดีที่สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดชลบุรี ดำเนินการ และคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิดรวมทั้งการเปิดเผยทรัพย์สินและหนี้สิน ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในจังหวัดชลบุรี ณ ห้องประชุมแสนสำราญ ชั้น 2 อาคารศูนย์การประชุม โรงแรมบางแสนเฮอริเทจ ตำบลแสนสุข อำเภอเมืองชลบุรี จังหวัดชลบุรี

นายกิจติพงค์ ขลิบแย้ม ผู้อำนวยการสำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดชลบุรี เปิดเผยว่า ตามที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้มอบหมายให้สำนักงาน ป.ป.ช. ระดับจังหวัด ดำเนินการแถลงข่าวคดีที่สำนักงาน ป.ป.ช. ประจำจังหวัดชลบุรี ดำเนินการ และคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด รวมทั้งการเปิดเผยทรัพย์สินและหนี้สิน ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในจังหวัดชลบุรี เป็นประจำทุกเดือน เพื่อสร้างพลังทางสังคมในการต่อต้านการทุจริต และปลูกจิตสำนึกด้านคุณธรรม จริยธรรม ให้เกิดขึ้นในสังคมไทยต่อไป

สำหรับจังหวัดชลบุรี ได้มีประเด็นการแถลงข่าว 3 เรื่อง ได้แก่ กรณี ผู้อำนวยการกองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม สังกัดเทศบาลตำบลพานทอง ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ทำการเบิกจ่ายเงินกองทุนหลักประกันสุขภาพของเทศบาลตำบลพานทอง ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2556 – 2557 โดยไม่มีเอกสารหลักฐานประกอบการเบิกจ่าย กรณีที่ 2 อดีตนายกองค์การบริหารส่วนตำบลแสมสาร กับพวกรวม 1 คน ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ออกใบอนุญาตปลูกสร้างอาคาร ดัดแปลงอาคาร หรือรื้อถอนอาคาร ในที่ราชพัสดุ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากกองทัพเรือ และกรณีที่ 3 อดีตรองนายกเทศบาลตำบลบางเสร่ จงใจปกปิดบัญชีทรัพย์สินที่ควรแจ้งให้ทราบ ซึ่งในคดีนี้ ในที่ประชุมได้มีมติให้เสนอเรื่องให้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัย ซึ่งคดีนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำสั่งให้ประทับรับฟ้องไว้พิจารณา เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2564 อันมีผลให้ผู้ถูกกล่าวหาต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลบางเสร่ (ปัจจุบันดำรงตำแหน่งนายกเทศมนตรีตำบลบางเสร่ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่ง จนกว่าจะมีคำพิพากษา)

 

ชลบุรี - ถวายราชสักการะ ‘วันพ่อขุนรามคำแหงมหาราช’ ประจำปี 2565

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 17 มกราคม 2565 ที่ห้องโถง ชั้น 1 ศาลากลางจังหวัดชลบุรี นายภัครธรณ์ เทียนไชย ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี เป็นประธานประกอบพิธีถวายราชสักการะ "วันพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ” ประจำปี 2565 พร้อมด้วยนางสุภาพร เทียนไชย นายกเหล่ากาชาดจังหวัดชลบุรี และรองผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรี หัวหน้าส่วนราชการ ศาล ทหาร ตำรวจ เข้าร่วมในพิธีฯ โดยได้ปฏิบัติตามมาตรการ การป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างเคร่งครัด

โดยประธานในพิธี ถวายพานพุ่ม ดอกไม้สด จุดธูปเทียนเครื่องทองน้อย และอ่านคำถวายอาศิรวาทราชสดุดี เนื่องในวันพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ประจำปี 2565 เพื่อเป็นการน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ ที่ทรงมีต่อปวงชนชาวไทย

 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top