Friday, 9 May 2025
THE STATES TIMES TEAM

ตร.แนะนำ แนวทาง “3 ไม่ 1 ควร” และชวนประชาชนร่วมเป็นเครือข่ายให้ข้อมูล ช่วยกำจัด ‘แก๊งคอลเซ็นเตอร์’!!

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กำชับให้กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ บูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เร่งแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์อย่างเร่งด่วน เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะขึ้นแก่ประชาชน โดยเฉพาะการสูญเสียทรัพย์สินจากการถูกหลอกลวง โดยให้มีการบังคับใช้กฎหมายโดยเคร่งครัดและหากพบผู้กระทำความผิดจะต้องดำเนินคดีตามกฎหมายโดยไม่มีข้อยกเว้น นั้น

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงขอประชาสัมพันธ์พี่น้องประชาชน ถึงแนวทาง “3 ไม่ 1 ควร” ซึ่งเป็นสิ่งที่จะช่วยป้องกันการถูกหลอกลวง และช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ในการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มอาชญากร เพื่อกำจัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่สร้างปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน ดังนี้

1. “ไม่ตกใจ” หากมีแจ้งว่าท่านหรือบุคคลในครอบครัวเกี่ยวข้องกับยาเสพติด หรือเกี่ยวกับการฟอกเงิน และท่านอาจถูกดำเนินคดี อย่าเพิ่งตกใจ ให้ตั้งสติให้ดี และระมัดระวังในการสนทนากับบุคคลดังกล่าว เพราะมีความเป็นไปได้สูงว่าจะไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐจริง

2“ไม่เชื่อ” หากได้รับสายจากบุคคลที่อ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือองค์กรต่าง ๆ ให้สอบถามก่อนว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานใด มี ยศ ชื่อ-สกุล และตำแหน่งใด ถ้าหากมีพฤติกรรมที่น่าสงสัยควรสอบถามไปที่หน่วยงานดังกล่าวโดยตรง

3. “ไม่โอน” หากมีการอ้างว่า ต้องให้ท่านโอนเงินเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ ห้ามโอนเงินให้เด็ดขาด เพราะเจ้าหน้าที่รัฐไม่มีทางที่จะขอให้ท่านโอนเงินมาให้ตรวจสอบแน่นอน

4. “ควรแจ้งเจ้าหน้าที่” หากท่านได้รับสายที่น่าเชื่อว่าเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงพี่น้องประชาชน ควรแจ้งเบาะแสของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่โทรศัพท์มาหาท่านให้กับเจ้าหน้าที่ทราบ โดยเฉพาะเบาะแสเกี่ยวกับช่องทางการติดต่อ เช่นหมายเลขโทรศัพท์ และหมายเลขบัญชีธนาคาร เพื่อให้เจ้าหน้าที่สามารถระงับหรืออายัดบัญชีธนาคารของคนร้ายและสามารถติดตามตัวผู้กระทำความผิดมาดำเนินคดีได้อย่างรวดเร็ว

พ.ต.อ.ศิริวัฒน์  กล่าวต่อไปอีกว่า ในขณะนี้มิจฉาชีพเหล่านี้ได้สร้างเดือดร้อน และความเสียหายให้กับพี่น้องประชาชนชาวไทยเป็นจำนวนมาก และมีการพัฒนาการหลอกลวงไปในหลายรูปแบบ สำหรับแนวทาง “3 ไม่ 1 ควร” เป็นเน้นและย้ำ เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนหลงเชื่อตกเป็นเหยื่อของแก๊งมิจฉาชีพ  

ปูนบำเหน็จ “ตำรวจกล้า” เลื่อนยศเป็น พลตำรวจตรี พร้อมเงินเยียวยาครอบครัวกว่า 1,500,000 บาท ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กำชับดูแลสิทธิประโยชน์อย่างดีที่สุดและรวดเร็ว

พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เผยว่า จากเหตุการณ์อันน่าสลดใจ ข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่เพื่อพี่น้องประชาชนเสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อเจ้าหน้าที่สืบสวน สภ.หนองปลิง สังกัดตำรวจภูธรจังหวัดนครสวรรค์ ได้ออกติดตามคนร้ายผู้ก่อเหตุ เมื่อถึงที่เกิดเหตุแล้วคนร้ายได้คลุ้มคลั่งยิงใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่งผลให้ ร.ต.อ.ชัยปติณญา แสงปาน รองสารวัตรสืบสวน สถานีตำรวจภูธรหนองปลิง ถูกยิงได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตในเวลาต่อมา

พล.ต.ต.ยิ่งยศฯ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า หลังจากที่ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้รับรายงานเกี่ยวกับเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว จึงได้กำชับผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นของ ร.ต.อ.ชัยปติณญาแสงปาน รองสารวัตรสืบสวน สถานีตำรวจภูธรหนองปลิง ให้ดูแลสวัสดิการต่าง ๆ แก่ครอบครัวของนายตำรวจผู้เสียสละอย่างดีที่สุดและรวดเร็ว

โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวต่อว่า ครอบครัวของ ร.ต.อ.ชัยปติณญา แสงปาน รองสารวัตรสืบสวน สถานีตำรวจภูธรหนองปลิง จะได้รับสิทธิประโยชน์เบื้องต้น ดังนี้ 

- เลื่อนยศจาก ร้อยตำรวจเอก เป็นพลตำรวจตรี

- การบรรจุทายาทเข้ารับราชการตำรวจ

- เงินฌาปนกิจสงเคราะห์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

- เงินกองทุนสวัสดิการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

- เงินบำเหน็จตกทอด และเงินสิทธิประโยชน์อื่น ๆ เบื้องต้นรวมประมาณ 1,500,000 บาท

“เฉลิมชัย” มอบ “อลงกรณ์” ลงพื้นที่หน้าด่านหนองคาย-อุดรฯ สัปดาห์หน้า ประสานผู้ประกอบการ ”ไทย-ลาว-จีน” ร่วมมือส่งออกข้าว-ยางพารา-ผลไม้ บนเส้นทางรถไฟสายใหม่รับมือฤดูกาลผลิตปี 2565

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะประธานคณะกรรมการความร่วมมือระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(กรกอ.)และประธานคณะทำงานจัดทำแผนแก้ไขปัญหาผลไม้เศรษฐกิจล่วงหน้าทั้งระบบเปิด

เผยวันนี้(21ม.ค.)ว่า ในวันพฤหัสบดีสัปดาห์หน้าจะเดินทางไปหนองคาย-อุดรฯ เพื่อหารือกับผู้ประกอบการ ”ไทย-ลาว-จีน” ด้านโลจิสติกส์เพื่อร่วมมือกันในการสนับสนุนการส่งออกสินค้าเกษตร เช่น ข้าว ยางพารา ผัก ผลไม้กล้วยไม้ สินค้าประมงและสินค้าปศุสัตว์บนเส้นทางรถไฟลาว-จีน 

สำหรับฤดูกาลผลิตปี 2565 ตามข้อสั่งการของ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รวมทั้งการติดตามความคืบหน้าของนิคมอุตสาหกรรมอุดรธานีทางด้านการลงทุนอุตสาหกรรมเกษตรอาหารและโครงการโลจิสติกส์ปาร์คตลอดจนการใช้เทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น ไนโตรเจนฟรีสเซอร์และระบบตรวจสอบย้อนกลับเพื่อการส่งออก

“ประเทศไทยสามารถส่งออกข้าวสาร จำนวน 20 ตู้ ปริมาณ 500 ตันโดยใช้เส้นทางรถไฟสายจีน-ลาวโดยมีจุดหมายปลายทางที่มหานครฉงชิ่ง (Chongqing)ในภาคตะวันตกของจีนเป็น Shipment แรกซึ่งสามารถผ่านการตรวจตราและออกใบรับรองจากด่านตรวจพืชที่หนองคายขนส่งถึงท่าบกท่านาและผ่านการเห็นชอบของด่านศุลกากรลาวแล้วรอขบวนรถขนส่งสินค้าเพื่อเดินทางออกจากสถานีเวียงจันทน์ใต้ไปมหานครฉงชิ่ง ก่อนหน้านี้ได้รับรายงานคลาดเคลื่อนจากหน่วยงานว่าขนส่งไปฉงชิ่งแล้วรวมทั้งจำนวนน้ำหนักซึ่งได้ช่วยประสานงานกับทางลาวและได้รับความร่วมมืออย่างดีในการอนุมัติผ่านด่านศุลกากรและกระทรวงเกษตรของลาว เมื่อขบวนรถไฟขนส่งมาถึงก็พร้อมออกเดินทางได้ทันที

การขนส่งระบบรางเป็นระบบใหม่จากไทยผ่านแดนลาวเพื่อขยายโอกาสทางการค้าภายใต้การทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ ภาคเกษตรกรและภาคเอกชนตามนโยบายการพัฒนาโลจิสติกส์เกษตรและยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิตเพื่อการส่งออกของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีพาณิชย์กับ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ซึ่งทั้ง 2 ท่านได้ดำเนินการเจรจากับทางการจีนและลาวทั้งเป็นทางการและไม่เป็นทางการตลอดมาโดยเฉพาะในภาวะที่ต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกแล้วระลอกเล่าซึ่งทำให้การทำงานเป็นไปด้วยความยากลำบากแต่ด้วยความมุ่งมั่นและความร่วมมือของทุกฝ่ายจึงสามารถฝ่าฟันอุปสรรคมาได้และถอดบทเรียนปัญหามาสู่การขับเคลื่อนไปข้างหน้าร่วมกัน” 

ศาลให้ประกันตัว’สรศักดิ์’ 1 แสนบาท!! พร้อมขอ ‘พรเพชร’ เป็นพยานคดี ’วัชระ’ ฟ้องผิดม.157,172 กรณีแจ้งเท็จ-ไม่ส่งเอกสารตามหมายเรียกของศาลอาญา

(21ม.ค.65)ว่าที่ร้อยตรี สุทธิศักดิ์ ประศาสน์ครุการ ทนายความของนายวัชระ เพชรทอง อดีตส.ส. พรรคประชาธิปัตย์เปิดเผยว่า ตามที่นายวัชระ เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสรศักดิ์ เพียรเวช อดีตเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรต่อศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ในฐานแจ้งความเท็จและประพฤติมิชอบ อันเป็นความผิดประมวลกฎหมายอาญาม. 157 และ 172 นั้น

 ศาลได้ออกนั่งบัลลังก์ 702 นัดสอบคำให้การของนายสรศักดิ์ เพียรเวช จำเลยว่าจะให้การรับสารภาพผิดหรือปฏิเสธสู้คดี ซึ่งจำเลยได้ให้การปฏิเสธ โดยร้องขอต่ออัยการจากสำนักงานอัยการฝ่ายแก้ต่าง ให้มาเป็นทนายความแก้ต่างให้จำเลย พร้อมอ้างขอพยานจำนวน 8 ปากคือ นายสรศักดิ์ เพียรเวช อดีตเลขาธิการสภาฯ อ้างตนเองเป็นพยานน.ส.สิริธร ลิมปะพยอม ผอ.สำนักรายงานการประชุมฯ นายณัฐวัชร์ มังคละคุปต์ ผบ.กลุ่มงานพัฒนาระบบ นายนัฑผาสุข อดีตเลขาฯสนง.เลขาฯวุฒิสภา นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานวุฒิสภา นางอศยา วังวล ผบ.กลุ่มงานบริหารงานทั่วไป นางอารยะหญิง จอมพลาพล ผอ.สำนักบริหารงานกลาง และนายจักรพันธ์ จันทรเจริญ ผอ.สำนักกฎหมาย 

ศาลมีคำสั่งให้คู่ความดำเนินการดังต่อไปนี้ภายใน 45 วัน นับแต่วันนี้

1. ตรวจสอบพยานหลักฐานของอีกฝ่ายหนึ่งและทำเป็นหนังสือยื่นต่อศาลว่ายอมรับหรือโต้แย้งพยานหลักฐานดังกล่าว หากโต้แย้งให้แสดงเหตุแห่งการโต้แย้งโดยชัดแจ้ง มิฉะนั้นถือว่ายอมรับพยานหลักฐานของอีกฝ่ายหนึ่ง

2. แถลงแนวทางการเสนอพยานหลักฐานในประเด็นที่ยังโต้แย้งกัน ทั้งพยานวัตถุ พยานเอกสาร พยานบุคคลและหลักฐานอื่นที่คู่ความจะสืบพยานให้คู่ความมาศาล เพื่อดำเนินการในเรื่องดังกล่าวร่วมกับเจ้าพนักงานคดี ให้นัดตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐานโดยเจ้าพนักงานคดีรวม 1 นัด ในวันที่ 17 ก.พ.65 เวลา 9.00 น.กรณีที่คู่ความไม่มาในวันนัดตรวจสอบและรวบรวมพยานหลักฐานโดยเจ้าพนักงานคดี หรือไม่ดำเนินการตามคำสั่งศาลดังกล่าว ถือว่าคู่ความมีความพร้อมดำเนินกระบวนพิจารณา และไม่มีข้อขัดข้องใด  ศาลจะพิจารณาตรวจพยานหลักฐานไปตามรูปคดีที่ปรากฎในสำนวนและตามรายงานของเจ้าพนักงานคดีต่อไป ให้ประกันตัวจำเลยโดยวางหลักทรัพย์จำนวน 1แสนบาทและให้นัดตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 16 มี.ค. 65 เวลา 9.30 น. 

 

คดีนี้นายวัชระ โจทก์ได้บรรยายคำฟ้องว่า นายสรศักดิ์ เป็นหัวหน้าส่วนราชการสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรมีอำนาจหน้าที่รับผิดชอบในการบริหารราชการของสภาผู้แทนราษฎรให้เป็นไปตามกฎหมาย ข้อบัญญัติ ระเบียบ และข้อบังคับของทางราชการ มีอำนาจสั่งการ อนุญาต และอนุมัติ และกระทำการแทนสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญา และยังได้รับการแต่งตั้งจากประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติให้เป็นคณะกรรมการเร่งรัดและติดตามโครงการก่อสร้างอาคารรัฐสภาแห่งใหม่

ชลบุรี - ทัพเรือภาคที่1 นำกองทัพไอโอดีนจากพี่น้องประมงชลบุรี มุ่งหน้าส่งมอบ ‘จากทะเล-สู่ดอย’ ตามโครงการพระราชดำริฯ ‘ต่อต้านโรคขาดสารไอโอดีน’

เคลื่อนทัพแล้ว...ทัพเรือภาคที่1 นำกองทัพไอโอดีน จาก พี่ น้อง ประมง พื้นที่ จ.ชลบุรี สมทบ กับพื้นที่อื่น ๆ มุ่งหน้าขึ้นเหนือทันที และส่งมอบให้เด็ก ๆ ตามโครงการพระราชดำริฯ ต่อต้านโรคขาดสารไอโอดีน

ที่เทศบาลตำบลบางเสร่ กลุ่มเกษตรกรประมง ต.บางเสร่ สมาคมการประมงแสมสาร และสมาคมประมงชลบุรี ร่วมกับ เทศบาลตำบลบางเสร่ ได้ส่งมอบ ปลากระตักแห้ง ปลาทูเค็ม และอาหารทะเลที่มีสารไอโอดีน ให้แก่ กองทัพเรือ โดย ทัพเรือภาคที่1

ภายหลังการส่งมอบเสร็จสิ้นเป็นที่เรียบร้อย ได้นำปลากระตักแห้ง ปลาทูเค็ม และอาหารทะเลที่มีสารไอโอดีน ขึ้นรถบรรทุก 6 ล้อ ของทัพเรือภาคที่1 ที่ได้จัดเตรียมไว้และ ได้ออกเดินทางทันที เพื่อไปสมทบกับขบวนรถของ ทัพเรือภาคที่1 ที่ได้รับมอบ ปลากระตักแห้ง ปลาทูเค็ม และอาหารทะเลที่มีสารไอโอดีน จาก สมาคมการประมง องค์การสะพานปลาอื่น ๆ ในพื้นที่รับผิดชอบของทัพเรือภาคที่1 (อ่าวไทยตอนบน )

ปทุมธานี - วัฒนธรรมจังหวัดปทุมธานี รับโล่รางวัลและเกียรติบัตรผู้ทำคุณประโยชน์ แก่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี

รองศาสตราจารย์ ดร.สมหมาย ผิวสอาด อธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี เป็นประธานในพิธีมอบประกาศเกียรติคุณผู้ทำคุณประโยชน์ให้กับมหาวิทยาลัย และบุคลากรดีเด่น ประจำปี 2564

โดย นางสาวฐิต์ณัฐ สมบัติศิริ วัฒนธรรมจังหวัดปทุมธานี เข้ารับโล่และประกาศเกียรติคุณผู้ทำคุณประโยชน์ต่อมหาวิทยาลัยประจำปี 2564 ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี

ทั้งนี้ นางสาวฐิต์ณัฐ สมบัติศิริ เป็นผู้มีบทบาทสำคัญและเป็นกลไกหลักในการส่งเสริม สนับสนุน การดำเนินงานด้านทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรมของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี โดยเป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ทั้งการคัดเลือกผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรม ประเภทกิตติมศักดิ์ และประเภทบุคคลทั่วไป โครงการยกย่องผู้มีผลงานดีเด่นทางวัฒนธรรม ตั้งแต่ปี 2560 - ปัจจุบัน และให้ความอนุเคราะห์ข้อมูลทางวัฒนธรรมในการดำเนินงานของฝ่ายทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม กองพัฒนานักศึกษา มาอย่างต่อเนื่อง

 

 

กาฬสินธุ์ - ออกหน่วยแพทย์ พอ.สว.เคลื่อนที่! บำบัดทุกข์สร้างรอยยิ้มสู้ภัยโควิด!!

ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ นำส่วนราชการ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ จัดโครงการหน่วยแพทย์ พอ.สว. และโครงการจังหวัดเคลื่อนที่ บำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้ประชาชนสู้ภัยโควิด เพื่อให้บริการด้านสุขภาพและบริการทั่วไป ให้ประชาชนได้รับบริการเชิงรุกอย่างทั่วถึง หลังว่างเว้นการจัดกิจกรรมไปนานหลายเดือน เนื่องจากสถานการณ์ระบาดของโรคโควิด-19

เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 20 มกราคม 2564 ที่โรงเรียนบ้านนาวิทยาคม บ้านนาใหญ่  หมู่ 4 ต.ม่วงนา อ.ดอนจาน จ.กาฬสินธุ์ นายทรงพล ใจกริ่ม ผวจ.กาฬสินธุ์ เป็นประธานจัดกิจกรรมโครงการหน่วยแพทย์ พอ.สว.และโครงการจังหวัดเคลื่อนที่ บำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้ม ให้ประชาชน โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ ประชาชน ร่วมงาน ภายใต้มาตรการป้องกันโควิด-19 อย่างเคร่งครัด

นายวีรดนย์ ศิริ นายอำเภอดอนจาน กล่าวว่า ปัญหาของประชาชนในพื้นที่ อ.ดอนจานส่วนใหญ่ เป็นเรื่องที่ดินทำกิน ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน และเขตป่าสงวนแห่งชาติ  นอกจากนี้ยังมีปัญหาเส้นทางคมนาคม ที่หลายหมู่บ้านยังไม่ได้รับความสะดวก ตลอดจนเป็นพื้นที่แห้งแล้ง ประชาชนส่วนใหญ่ได้รับความเดือดร้อนในการประกอบอาชีพทางการเกษตร ทำให้มีฐานะยากจน ในการจัดโครงการหน่วยแพทย์ พอ.สว. และโครงการจังหวัดเคลื่อนที่ บำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้ประชาชนในวันนี้ จึงทำให้ประชาชน มีขวัญกำลังใจ ที่จะดำรงชีวิตในสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ในขณะนี้

ด้านนายทรงพล ใจกริ่ม ผวจ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า โครงการหน่วยแพทย์ พอ.สว. เป็นกิจกรรมที่คณะแพทย์ พยาบาล และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ได้ออกบริการรักษา ตรวจสุขภาพให้ประชาชนในพื้นที่ ของหน่วยแพทย์ พอ.สว. ขณะที่โครงการจังหวัดเคลื่อนที่ บำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้ประชาชน เป็นโครงการส่วนราชการต่างๆและอำเภอ ออกมาให้บริการประชาชน มีการรับฟังปัญหาของประชาชนไปดำเนินการแก้ไข ทำให้ประชาชนมีความมั่นใจ ในการที่จะดำรงชีวิต ในสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 รวมทั้งยังเป็นการสร้างขวัญกำลังใจ ให้ประชาชนจะได้ประกอบอาชีพตามปกติอย่างไม่กังวลใจ ในส่วนสถานการณ์ระบาดโรคโควิด-19 ในขณะนี้ มีแนวโน้มคลี่คลายลงไปมาก อย่างไรก็ตามขอฝากให้ประชาชน ไม่ประมาท เช่น สวมหน้ากากอนามัย รับการฉีดวัคซีน จ.กาฬสินธุ์ และปฏิบัติตนตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุขอย่างเคร่งครัด

นายทรงพล กล่าวอีกว่า ในการจัดโครงการหน่วยแพทย์ พอ.สว. และโครงการจังหวัดเคลื่อนที่ บำบัดทุกข์ บำรุงสุข สร้างรอยยิ้มให้ประชาชนในครั้งนี้ จัดขึ้นหลังจากที่ว่างเว้นหลายเดือน เนื่องจากเกิดสถานการณ์ระบาดของโรคโควิด-19  

 

'แรงงานจังหวัดสมุทรสงคราม' เปิดฝึกอบรมทำเทียนแฟนซี! ช่วยผู้มีรายได้น้อย - มีอาชีพ - มีงานทำในชุมชน

นางรภัสสา พานิกุล แรงงานจังหวัดสมุทรสงคราม เป็นประธานเปิดการฝึกอบรม โครงการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนด้านอาชีพ จังหวัดสมุทรสงครามประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 กิจกรรมพัฒนาทักษะฝีมือ หลักสูตรการฝึกเสริมทักษะ กลุ่มอุตสาหกรรมศิลป์ สาขาการทำเทียนแฟนซี ณ ศูนย์ฝึกอาชีพชุมชนตำบลบางช้าง หมู่ที่ 1 ตำบลบางช้าง อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม โดยมี นางระพีพรรณ รัตนบริหาร สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดสมุทรสงคราม นายวิชัย จันทร์บุญ ประกันสังคมจังหวัดสมุทรสงคราม พร้อมผู้แทนหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานจังหวัดสมุทรสงคราม เข้าร่วมในครั้งนี้ด้วย

ซึ่งนางรภัสสา กล่าวว่า การฝึกอบรมโครงการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนด้านอาชีพจังหวัดสมุทรสงคราม โครงการเป็นการบูรณาการทำงานการร่วมกัน ระหว่างสำนักงานแรงงานจังหวัดสมุทรสงครามและหน่วยงานสังกัดกระทรวงแรงงานในจังหวัดสมุทรสงคราม สำนักงานแรงงานจังหวัดสมุทรสงคราม ได้จัดโครงการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนด้านอาชีพ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 กิจกรรมพัฒนาทักษะฝีมือ หลักสูตรการฝึกเสริมทักษะ กลุ่มอุตสาหกรรมศิลป์ สาขาการทำเทียนแฟนซี ระยะเวลาฝึกจำนวน 3 วัน 18 ชั่วโมง เพื่อเป็นการช่วยเหลือประชาชน ผู้ว่างงานและไม่มีรายได้ รวมทั้งผู้ที่มีความเดือดร้อนด้านอาชีพ รวมทั้งได้รับความเดือดร้อนจากการแพร่ระบาดของโควิด -19 และเพื่อเป็นการสร้างงาน สร้างอาชีพในชุมชน จากการฝึกทำเทียนแฟนซีในรูปแบบชนิดต่าง ๆ   

โดยได้รับการประสานงานวิทยากรจากสำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานจังหวัดสมุทรสงคราม เพื่อนำความรู้ที่ได้ไปประกอบอาชีพ และนำความรู้ที่ได้รับไปต่อยอดจากอาชีพเดิม ตลอดจนการรวมกลุ่มสมาชิกผู้เข้ารับการฝึกจาก นายอำพล ลอยมา อาสาสมัครแรงงานตำบลบางช้างและผู้ใหญ่บ้านตำบลบางช้าง อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม

โอกาสเดียวกันนี้ ได้มีวิทยากรจากสำนักงานประกันสังคมจังหวัดสมุทรสงคราม มาบรรยายเรื่องการประกันสังคมมาตรา 40 และขั้นตอนการสมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 กับสำนักงานประกันสังคม เพื่อให้ผู้เข้ารับการฝึกอบรมที่ประกอบอาชีพอิสระในครั้งนี้ได้สมัครเป็นผู้ประกันตนให้ครบทุกคน เป็นการเข้าถึงสวัสดิการและเสริมสร้างความมั่นคงในชีวิต ตลอดจนเป็นการเพิ่มสิทธิประโยชน์และยกระดับคุณภาพชีวิตให้เกิดความมั่นคงยั่งยืนต่อไป

 

นราธิวาส - ผกก.สภ.เมืองนราธิวาส นำ 'ตำรวจจิตอาสา' มอบรถเข็นวิลแชร์ 4 คัน พร้อมน้ำดื่มให้ผู้ป่วยติดบ้าน

ส่งเสริมให้ผู้ป่วยได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สร้างความปลาบปลื้ม ยินดีกับผู้ป่วยดังกล่าวเป็นอย่างมาก พ.ต.อ.เจฟฟรีย์ ไศลมานกุล ผกก.สภ.เมืองนราธิวาส พร้อมด้วยข้าราชการตำรวจจิตอาสา สภ.เมืองนราธิวาส และเจ้าหน้าที่สาธารณสุข  ร่วมกิจกรรมจิตอาสา มอบรถเข็นวิลแชร์ 4 คัน พร้อมน้ำดื่ม ให้ผู้ป่วยติดบ้าน จำนวน 4 คน ได้แก่ นางชุนกุ๋ย พับสิทธิ์ อายุ 77 ที่อยู่ 15/2 ถ.ประชาพัฒนา ต.บางนาค อ.เมือง จ.นราธิวาส , นางบุญ สุขเลี้ยง อายุ 87 ที่อยู่ 31 ซ.วัชรีบำรุง ถ.ณ นคร ต.บางนาค อ.เมือง จ.นราธิวาส , นางซีตี เปาะจิ อายุ 90 ปี บ้านเลขที่ 149/1 ม.10 ต.ลำภู อ.เมือง จ.นราธิวาส และนางแมะเยาะ สาและ อายุ 83 ปี บ้านเลขที่ 148/7 ม.10 ต.ลำภู อ.เมือง จ.นราธิวาส เพื่อเป็นการการอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน และการส่งเสริมให้ผู้ป่วยได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

พ.ต.อ.เจฟฟรีย์ ไศลมานกุล ผกก.สภ.เมืองนราธิวาส  กล่าวว่า ด้วยพระราชปณิธานอันแน่วแน่ของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณบดินทรเทพยวรางกูร ที่จะปลูกจิตสำนึกให้ประชาชนชาวไทยได้ร่วมกันบำเพ็ญประโยชน์ และทำความดี คิดถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน โดยบำเพ็ญสาธารณประโยชน์ในพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน และแก้ไขปัญหาให้แก่ประชาชน

 

“จุรินทร์-เฉลิมชัย” ร่วมสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่!!! ส่งออกข้าวไทยล็อตแรก 1,000 ตัน โดย “รถไฟสายจีน-ลาว” ถึงมหานครฉงชิ่งสำเร็จเป็นครั้งแรก “อลงกรณ์” ชี้!เป็นศักราชใหม่ของอีสานเกตเวย์ ตั้งเป้าหมายต่อไปส่งออก ‘ยางพารา ผลไม้ - กล้วยไม้ - สินค้าประมงและปศุสั

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เปิดเผยวันนี้(20 ม.ค.)ว่า ประเทศไทยสามารถส่งออกข้าวสาร จำนวน 20 ตู้ ปริมาณ 1,000 ตันโดยใช้เส้นทางรถไฟสายจีน-ลาวไปถึงมหานครฉงชิ่ง ( Chongqing )ในภาคตะวันตกของจีนสำเร็จเป็นครั้งแรกถือเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของการขนส่งระบบรางเพื่อขยายโอกาสทางการค้าและการสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร ผู้ประกอบการและประเทศโดยส่วนรวมภายใต้การทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์กับกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ ภาคเกษตรกรและภาคเอกชนตามนโยบายการพัฒนาโลจิสติกส์เกษตรและยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิต เพื่อการส่งออกของนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีพาณิชย์กับ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และต้องขอบคุณ สปป.ลาวและจีนในความร่วมมืออันดียิ่ง

สำหรับความสำเร็จก้าวแรกในครั้งนี้แม้ต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกแล้วระลอกเล่า ซึ่งทำให้การทำงานเป็นไปด้วยความยากลำบากโดยเฉพาะในปีที่ผ่านมา โดยจะประเมินผลการส่งออกข้าวล็อตแรกครั้งนี้รวมทั้งระบบการจองขบวนรถขนส่งสินค้าและการจองตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งกำลังประสานงานกับผู้ให้บริการของทั้งสปป.ลาวและจีน เพื่อเร่งขยายผลไปสู่การส่งออกสินค้าเกษตรตัวอื่นรวมทั้งเป้าหมายตลาดใหม่ ๆ ทั้งในมณฑลต่าง ๆ ของจีนและประเทศอื่น ๆ ต่อไปโดยเร็ว 

นายอลงกรณ์ กล่าวต่อไปว่า เราเดินหน้าสร้างความพร้อมสำหรับวันนี้มาเป็นเวลากว่า 2 ปี สำหรับการขนส่งผ่านทางรถไฟสายใหม่ ซึ่งเพิ่งเปิดเป็นทางการเมื่อวันที่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมาตามยุทธศาสตร์อีสานเกตเวย์(ESAN Gateway)เชื่อมไทย-เชื่อมโลก นับเป็นการเปิดศักราชหน้าใหม่ของการค้าการส่งออกสินค้าไทยไปจีน โดยมีเป้าหมายสู่ตลาดต่อไปคือตลาดเอเชียกลาง เอเชียตะวันออก ตะวันออกกลาง รัสเซีย และยุโรปและเพิ่มสินค้าเกษตรที่จะขนส่งผ่านเส้นทางรถไฟสายนี้คือยางพารา ผลไม้ กล้วยไม้ไทย มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน สินค้าประมงและปศุสัตว์ รวมทั้งสินค้าเกษตรแปรรูปและสินค้าอื่น ๆ

“สำหรับมหานครฉงชิ่ง เป็นชุมทางรถไฟและการขนส่งหลายรูปแบบ โดยอาศัยข้อได้เปรียบจากการมีที่ตั้งอยู่บนเส้นทางสายไหมใหม่BRI(อีต้าอีลู่) และแม่น้ำแยงซีเกียงจึงมีความพร้อมทางด้านโลจิสติกส์และได้วางนโยบายเชื่อมโยง “ฉงชิ่ง-อาเซียน” เป็นแนวทางที่สอดคล้องกับรัฐบาลไทย ทั้งนี้ มหานครฉงชิ่งมีเขตโลจิสติกส์อาเซียนและนานาชาติในตำบลหนานเผิง เขตปาหนาน (Chongqing ASEAN International Logistics Park) ถือเป็นเส้นทางขนส่งและระบบโลจิสติกส์ที่สำคัญและเป็น “ประตูเศรษฐกิจของจีนตะวันตก” สามารถเป็นจุดกระจายสินค้าไปมณฑลต่าง ๆ ในภูมิภาคตะวันตกของจีนและขนส่งผ่านไปยังประเทศต่าง ๆ

 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top